กว่าที่ตัวนางจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ต้องแลกด้วยหลายสิ่งเหลือเกิน แม้แต่การฆ่าคน นางก็ต้องทำเพื่อรักษาความลับที่จะนำภัยมาสู่นางเอง จะให้การเสียสละความสุขส่วนตนของนางสูญไปเปล่า ๆ มิได้ นางใช้ทุกวิถีทางเพื่อทำให้เป็นที่โปรดปรานจนอยู่เหนือสนมทุกนาง เป็นรองเพียงฮองเฮาเท่านั้น
ยิ่งเวลานี้ ฮ่องเต้มิทรงไยดีในตัวฮองเฮา หรือสนมนางในอื่นใด มีเพียงนางที่ทรงเรียกหาให้ร่วมดื่มกินเป็นเพื่อนคุยอยู่สม่ำเสมอ ทุกอย่างที่นางต้องการก็มิเคยขัด จะมีก็แต่เพียงตำแหน่งสูงสุดในวังหลังเท่านั้นที่นางยังไม่ได้ครอบครอง
เมื่อก่อน นางอาจต้องการตำแหน่งนั้น แต่ตอนนี้ มันไม่จำเป็นที่จะยื้อแย่ง เพราะไม่ช้า มันจะเป็นของนางอยู่ดี
เรียวปากอวบอิ่มยกยิ้มหยัน เมื่อนึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับศัตรูของนางและคนรัก
‘หมดยุคของสกุลโม่แล้ว หยางและหลิวจะรวมเป็นหนึ่ง’
“พ่อมิคิดว่า...มันจะไม่ง่ายอย่างที่เราคาดการณ์เอาไว้น่ะสิ! หากเป็นเช่นที่คนผู้นั้นบอกมา ไอ้เด็กนั่นมันยังไม่ตาย รวมทั้งจิ่วอิงและเงา แต่มันก็อาจจะเป็นข่าวลวงเพื่อให้เราไขว่เขวได้เช่นกัน ทางที่ดีนับจากนี้ไป เราจะวางใจอะไรไม่ได้ทั้งนั้น แม้แต่พันธมิตรของเราเองก็ตามที”
สมกับที่ผ่านอะไรมามาก ราชครูหลิวพยามที่จะชี้แนะให้แก่บุตรสาว การที่พวกเขาซ่อนมีดไว้ข้างหลัง แต่ใบหน้ายิ้มแย้มให้แก่พันธมิตร และอีกฝ่ายก็ทำเช่นเดียวกัน ไม่เคยมีความภักดีที่แท้จริงต่อกัน ในการช่วงชิงอำนาจทำให้ราชครูผู้มากด้วยความรู้ คอยวางแผนรับมือได้อย่างแยบยลมาตลอดหลายปี
แต่ครั้งนี้ มันต่างออกไป เพราะมีข่าวลับ ๆ ที่มิสู้ดีเท่าใดนักเกี่ยวกับบรรดาทายาทสกุลโม่และจ้าว โดยเฉพาะองค์ชายที่ควรตายไปแล้ว ไยยังมีข่าวว่าองค์ชายผู้นั้นปรากฏตัวขึ้น
ไหนจะฝั่งสกุลจ้าวเองก็เหมือนจะมีการเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน คนของเขาส่งข่าวมาว่าจ้าวอวิ๋นได้เดินทางออกจากเกาะดอกเหมยมุ่งสู่เมืองหลวง แม้จะไร้สามารถ แต่เขาไม่อาจวางใจคนสกุลจ้าวได้ หากไม่มีดีจริง จ้าวเหลียนคงยังไม่รั้งตำแหน่งฮองเฮาอยู่จนถึงทุกวันนี้เป็นแน่
“หึ! กลัวไปไย! มันเป็นเพียงภูตผีที่มิอาจกลับมาทวงอะไรได้ และครั้งนี้ พวกมันต้องไม่รอดไปเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน ท่านพ่อควรห่วงเรื่องคนผู้นั้นเอาไว้จะดีกว่า มันมิโง่เช่นโม่เหยียนเฉาที่จะให้พวกเราจับจูงได้ง่าย ๆ ยิ่งคนที่เราเรียกว่าพันธมิตรนั่นละตัวดี คนพวกนี้มิต่างจากจิ้งจอก”
ราชครูหลิวระบายยิ้มพึงพอใจขึ้นมาได้บ้าง เมื่อได้ยินคำพูดในตอนท้ายของบุตรสาว อย่างน้อย นางก็มิได้โง่เขลาไปเสียทุกเรื่อง นับตั้งแต่หยางซานหลางถือกำเนิด เขาไม่เคยนอนหลับได้สนิทสักคืน ด้วยหวาดกลัวความลับจะรั่วไหล มันมิใช่แค่ชีวิตเขาหรือบุตรสาวเท่านั้นที่จะถูกลงทัณฑ์ หากเรื่องนี้หลุดลอดออกไป หลอกลวงเบื้องสูงพ่วงด้วยการหมิ่นพระเกียรติคงไม่พ้นถูกประหารสิบชั่วโคตรเป็นแน่
สองพ่อลูกมิได้เอ่ยชื่อผู้ใดมากนัก เพราะที่นี้มิใช่ห้องลับหรือจวนของพวกเขา จำต้องระวังทุกคำพูดเอาไว้เสมอ หน้าต่างมีหูประตูมีตา คนเช่นกัน ไว้ใจมิได้แม้แต่คนข้างกาย
“เรื่องนั้นมิต้องห่วง พ่อจัดการได้ รีบกินเข้าเถอะ เราจะได้เร่งออกเดินทางกันต่อ”
ห้องอาหารด้านข้างมีชายชราสองคน พร้อมหญิงชราอีกสองคนนั่งกินอาหารอยู่เงียบ ๆ แต่ใช่หูจะมิฟังสิ่งใด
รอยยิ้มเฉกเช่นคนอารมณ์ดีของชายชราทั้งสองนั้นเป็นเอกลักษณ์ของคนสกุลนี้เสียจริง แต่ตอนนี้ไม่มีใครจำทั้งคู่ได้จึงคิดว่าเป็นพ่อค้าเจ้าสำราญทั่ว ๆ ไปเท่านั้น การเดินทางจำต้องทิ้งระยะห่างเสียแล้ว ตอนนี้คงปล่อยคนห้องข้าง ๆ ล่วงหน้าไปก่อน อย่างไรเสีย เจียงไห่ก็มีคนรอต้อนรับ พระสนมคนงามและบิดาของนางอยู่แล้ว พวกเขามิต้องเร่งรีบตามไปให้เหนื่อย
พรรคเมฆาทมิฬ
จีกวานฮวาเดินหน้าตึงเข้าไปยังส่วนห้องรับรอง ด้วยอารมณ์มิค่อยดีนักทำให้หญิงสาวหญิงสาวปัดกาน้ำชาในถาดที่สาวรับใช้ยกมาให้แก่นาง
เพล้ง!
ประมุขพรรคถึงกับชะงักค้างขณะกำลังคีบอาหารเข้าปาก ก่อนจะวางกลับลงในจาน แล้วหันไปเผชิญหน้ากับหญิงสาว ดวงตาของท่านประมุขหรี่ลงมองไปยังหลานสาว ไยวันนี้ถึงได้ปิดบังใบหน้า ซ้ำยังอารมณ์ขุ่นมัวกว่าที่เคย ไม่ว่าจีกวานฮวาจะเอาแต่ใจเพียงใด นางมิเคยทำลายข้าวของต่อหน้าเขาเช่นนี้
“มานั่งข้าง ๆ อาสิ กวานเอ๋อร์ เกิดอันใดขึ้นกับเจ้า”
ประมุขแห่งเมฆทมิฬตบลงเก้าอี้ข้างตัว จีกวานฮวาเดินไปหย่อนกายนั่งลงยังเก้าอี้ตามที่ผู้เป็นอาต้องการ พร้อมปลดผ้าออกจากใบหน้า ดวงตาของผู้เป็นอาถึงกับเบิกกว้าง ไยหลานสาวเขาถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ด้วยฝีมือของนาง มิน่าพลาดพลั้งให้แก่ผู้ใดได้ง่าย ๆ
“เล่ามาสิ หลานข้า”
หญิงสาวเริ่มเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ผู้เป็นอาฟัง เมื่อจีกวานฮวาเล่าถึงตอนลมพัดแรงปานพายุ และควบคุมใบไผ่ได้เสมือนมีชีวิตดุจใบมีดแหลมคมที่พร้อมปลิดชีพของศัตรูได้นั้น มันทำให้ผู้นำแห่งเมฆาทมิฬถึงกับมือสั่นระริก
‘มิใช่แค่ทำให้บาดเจ็บได้เท่านั้น หากหมายเอาชีวิตก็ทำได้ เพียงแต่คนที่ใช้วิชาที่ว่า ไม่คิดที่จะลงมือทำเท่านั้นเอง วิญญาณที่ใดกันจะใช้วิชาหงส์สะบัดปีกเล่า พรรคโลกันต์ปรากฏกายแล้วรึนี่’
ว่าแต่มันมีความเกี่ยวพันอันใดกับอดีตภรรยาของแม่ทัพหยางซานหลาง ว่าที่หลานเขยของเขากันนะ…เห็นทีเรื่องนี้คงต้องสืบให้กระจ่างเสียแล้วกระมัง
หากผู้ขัดขวางคือคนของพรรคโลกันต์ ย่อมอันตรายมากสำหรับหลานสาวของเขา นางมิอาจต่อกรกับศิษย์ระดับกลางของพรรคโลกันต์ได้เลยด้วยซ้ำไป หากเกิดปะทะกับผู้อารักขาหรือผู้ถือครองไข่มุก จีกวานฮวามิพ้นต้องพบจุดจบอย่างแน่นอน
‘เห็นทีข้าคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้วจริง ๆ’
“ท่านอา…ท่านฟังข้าอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
จีกวานฮวาเอ่ยถามขึ้น เมื่อผู้เป็นอานิ่งเงียบไป ไม่เอ่ยถามอันใดจนนางหยุดเล่าได้สักพัก คนด้านข้างก็ยังนั่งเงียบมิเอ่ยสิ่งใดออกมาอยู่อีกจึงทำให้หญิงสาวเกิดความสงสัยขึ้น
“กวานเอ๋อร์ หลานรัก…จงฟังอาเอาไว้สักเรื่องนะ ตอนนี้ โลกันต์ตื่นจากหลับใหลแล้ว เจ้าไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าอย่าได้ประมาทเช่นที่ผ่านมา สิ่งที่เจ้าเล่ามานั้นไม่ใช่ภูตผี แต่เป็นวิชาของเหล่าชาวพรรคโลกันต์ อย่าให้ความดื้อรั้นของเจ้านำภัยมาสู่ตนเอง”
“ท่านอาเอาอะไรมาพูดเจ้าคะ โม่ไป๋หลานน่ะรึเจ้าคะที่จะใช้วิชาของพรรคสาบสูญ ไม่มีทางเป็นไปได้ มันก็แค่ผีที่พยายามทวงสามีคืนก็เท่านั้น ท่านอาอย่าได้โยงสองเรื่องเข้าหากันจนเป็นเสมือนเรื่องเดียวกันเลยนะเจ้าคะ”
ความดื้อดึงและเชื่อมั่นในตัวเองของจีกวานฮวาทำให้ประมุขแห่งเมฆาทมิฬทำได้เพียงทอดถอนหายใจ ก่อนร่างสูงจะลุกขึ้นก้าวตรงไปยังประตู และหยุดยืนนิ่ง แต่มิได้หันกลับไปมองหลานสาวที่กำลังทำสีหน้าไม่พอใจอย่างถึงที่สุดในเวลานี้
“อาปกป้องเจ้ามิได้ตลอดไปนะ…กวานเอ๋อร์”
เมื่อกล่าวจบ ร่างสูงก็ได้ก้าวเท้าพ้นประตูหายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงคำพูดที่ยากจะคาดเดาความหมายได้ และจีกวานฮวาหาได้ใส่ใจกับคำพูดของผู้เป็นอา นางกำลังคลั่งแค้นจนมองไม่เห็นความหวังดีของใครทั้งสิ้น
“คนอย่างข้า ไม่เคยมีคำว่าพ่ายอยู่ในหัวสมอง”
เจ็ดวันต่อมา ถนนมุ่งสู่ด่านชายแดน ชีเป่ย-จิ้งหนานรถม้ากำลังเร่งความเร็วสุดฝีเท้าเหมือนกำลังหนีอะไรสักอย่างอยู่ และใช่ มันคือการหนีจากกลุ่มคนที่ห้อม้าตามมาติด ๆ โดยทหารของกองทัพเจียงไห่นำโดยแม่ทัพหนุ่ม หยางซานหลางเนื่องจากชายหนุ่มได้รับข่าวจากสายรายงาน ว่าหลิวเจินเจินพร้อมหลักฐานสำคัญกำลังจะข้ามชายแดนในวันนี้ เขาจึงได้รับคำสั่งจากผู้เป็นพ่อให้ออกติดตามช่วงชิงหลักฐานกลับมาให้ได้ พร้อมกำชับให้จัดการกับมารดาเลี้ยง อย่าให้เกิดปัญหาตามมาในภายภาคหน้าด้วยใจที่รักในมารดาผู้เลี้ยงดู เขาจึงได้ขออาสารับหน้าที่นี้ด้วยตนเอง แทนที่จะเป็นคนของบิดาหรือเจิ้งถง หยางซานหลางมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ แม้ความเป็นไปได้จะน้อยนิดก็ตาม เขาจะไม่มีวันทำร้ายมารดาอย่างหลิวเจินเจินเป็นอันขาด ‘ถึงข้าจะชั่วช้าเพียงใด แต่จะไม่ลงมือต่อผู้ที่กลั่นเลือดในอกให้ข้าดื่มเป็นอันขาด’หยางซานหลางควบม้าจนสุดฝีเท้า เมื่อมองเห็นรถม้าอยู่ไม่ไกลนัก หลังจากฝุ่นดินจางลงบ้างแล้ว “ยะ!” ทุกคนต่างกระตุ้นม้า ไล่กวดคนที่กำลังหนีให้ทัน เพราะรถม้านั่น…ข้ามชายแดนไปได้ ทุกอย่างจะไม่ง่ายอย่างที่คิดแน่นอน“ข้าหวังว่าท่านแม่ทัพจะรู้จักหน้าที่”
“ท่านแม่! ได้โปรดออกมาตกลงกับลูกจะดีกว่านะขอรับ” หยางซานหลางยังคงเรียกหลิวเจินเจินว่าแม่ ทั้งที่ใจนั้นสับสนอยู่มิน้อย ไม่ใช่มารดาผู้นี้ไม่ดี แต่เป็นตัวเขาที่ไม่คู่ควรจะเรียกสตรีแสนดีว่าแม่คนสนิทของหยางซานซิน พยายามที่จะคาดเดาความคิดของชายหนุ่ม หากแผนการต้องพังลงเพราะความใจอ่อนของหยางซานหลาง เขาก็คงต้องกำจัดเสียให้สิ้นซาก ไม่เว้นแม้แต่ชายหนุ่มผู้เป็นแม่ทัพ ตามคำสั่งของนายใหญ่ซึ่งจะปล่อยให้ทุกอย่างเสียหายไม่ได้ แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยก็ตามที เขาได้รับคำสั่งจากนายใหญ่มาโดยตรง ดังนั้น หยางซานซินก็ไม่มีสิทธิ์คัดค้านหากเขาจะลงมือกำจัดบุตรชายของแม่ทัพใหญ่สกุลหยาง“หยางซานหลาง…เสียแรงที่ข้าอบรมสั่งสอนเจ้ามาแต่เยาว์วัย ไยถึงมิเอาสิ่งเหล่านั้นเข้าไปในสมองของเจ้าสักนิด เหตุใดเจ้าไม่รู้จักแยกแยะว่าสิ่งใดถูกผิดกันเล่า” หลิวเจินเจินยังคงนั่งอยู่ภายในรถม้าทำเพียงส่งเสียงตอบโต้ชายหนุ่มออกมาเท่านั้นหยางซานหลางได้แต่กัดฟันด้วยความเจ็บแปลบในหัวใจ ไยเขามิรู้ถูกผิด แต่เขาก็ไม่อยากอยู่ใต้อำนาจผู้ใดด้วยเช่นกันจึงเลือกที่จะอยู่ข้างบิดาซึ่งคอยบอกเขาเสมอว่า แผ่นดินชีเป่ยถูกสกุลโม่แย่งชิงไป แม้วันนี้ เขา
โรงเตี๊ยมเซียนอี้ ณ ห้องหนังสือส่วนตัวของโม่ฟางเล่อ“ฮา ๆ ๆ ข้านึกว่าพวกเจ้าจะลุกไม่ขึ้นเสียอีก ศึกเมื่อคืนหนักมากหรือเจี๋ย พวกเจ้าถึงได้ตื่นเอาป่านนี้”โม่หยวนฟางพูดไป ดวงตาก็จับจ้องใบหน้าแดงก่ำของฟางเล่อและถงเหยียนเจี๋ย ด้วยใบหน้าซับสีเลือดของทั้งคู่ทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ หลังจากปรับความเข้าใจกับเมี่ยวจ้านเรื่องความเข้าใจผิดเมื่อคืนที่ผ่านมา ก่อนที่เขาและหญิงสาวจะเข้ามารวมตัวกันกับน้องสาวและสหายรักภายในห้องนี้ ชายหนุ่มขบขันกับท่าทางของทั้งคู่ที่เอาแต่ก้มหน้ามองถ้วยชา“เจ้าคิดถึงไหนกัน หยวนฟาง”ถงเหยียนเจี๋ยเองก็ไม่คิดว่าเขาและภรรยาจะตื่นสายถึงเพียงนี้จนเป็นที่ล้อเลียนของคนรอบข้าง นี่ยังเหลืออีกสองคนซึ่งยังมิกลับจากไปทำภารกิจยังค่ายทหาร เขาไม่อยากจะคิดเลยว่า หากพี่ใหญ่ของสกุลโม่กลับมาคงมิแคล้วต้องมีคำพูดล้อเลียน ไม่ต่างจากคนที่กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามในตอนนี้อย่างแน่นอน ทว่า…“น้องรัก…พวกเจ้ากำลังนินทาพี่ชายผู้นี้อยู่รึ หืม!”‘เสียงมาก่อนตัวเสียอีก’ ฟางเล่อบ่นอยู่ในใจ นางมิเคยพบญาติผู้พี่มาก่อน ดีที่โม่หยวนฟางได้บอกนางก่อนแล้วเมื่อครู่ ว่านางนั้นยังมีพี่ชายอีกคนซึ่งโม่ไป๋หลานตัวจริงน
ครั้งที่ฟางเล่อพาเมี่ยวจ้านไปกลั่นแกล้งและทดสอบฝีมือของพ่อลูกสกุลหยางนั้น บอกได้เป็นอย่างดีว่าพ่อลูกสกุลหยางไม่ได้แสดงฝีมือเต็มที่นัก หากเอาจริงขึ้นมาคงหนักมือน้องของเขาอยู่มิน้อยหยางซานหลางแม้จะดูมิฉลาดในหลาย ๆ เรื่อง แต่ฝีมือของเขานั้นไม่เป็นรองผู้ใดเช่นกัน เพียงแต่ความมุทะลุและจิตใจคับแคบของหยางซานหลางเท่านั้นที่เป็นจุดด้อยในตำแหน่งแม่ทัพ เรื่องฝีมือการรบถือว่ายอดเยี่ยม เช่นเดียวกันกับผู้เป็นพ่อ หยางซานชินที่นับว่าเป็นยอดขุนพลน่าเสียดายที่สองพ่อลูกกลับหลงมัวเมาในอำนาจและสตรีจนมองข้ามความถูกผิดที่ได้กระทำลงไป พวกเขาจำต้องรอบคอบให้มากในทุก ๆ การเคลื่อนไหว มิเช่นนั้นจะกลายเป็นหมากในกระดานโดยถูกคนพวกนั้นคุมเกมแทนที่จะเป็นฝ่ายเขา การทำศึก ก้าวพลาดเพียงครั้งจะเปลี่ยนฝ่ายผู้กุมชัยในสนามรบทันทีห้องอาหาร…โรงเตี๊ยมชั้นล่างร่างสูงของเจิ้งถงนั่งดื่มสุราด้วยใบหน้านิ่งเรียบ เขาคอยจับสังเกตถึงสิ่งผิดปกติของคนในร้าน โดยเฉพาะบรรดาเสี่ยวเอ้อร์และคนดูแลโรงเตี๊ยม อีกทั้งเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาได้ออกติดตามหาร่องรอยผู้คุ้มกัน และศิษย์พรรคโลกันต์ กว่าจะกลับไปยังค่ายทหาร เรื่องมากมายก็เกิดขึ้นก่อนแล้ว
“ท่านแม่! ได้โปรดออกมาตกลงกับลูกจะดีกว่านะขอรับ” หยางซานหลางยังคงเรียกหลิวเจินเจินว่าแม่ ทั้งที่ใจนั้นสับสนอยู่มิน้อย ไม่ใช่มารดาผู้นี้ไม่ดี แต่เป็นตัวเขาที่ไม่คู่ควรจะเรียกสตรีแสนดีว่าแม่คนสนิทของหยางซานซิน พยายามที่จะคาดเดาความคิดของชายหนุ่ม หากแผนการต้องพังลงเพราะความใจอ่อนของหยางซานหลาง เขาก็คงต้องกำจัดเสียให้สิ้นซาก ไม่เว้นแม้แต่ชายหนุ่มผู้เป็นแม่ทัพ ตามคำสั่งของนายใหญ่ซึ่งจะปล่อยให้ทุกอย่างเสียหายไม่ได้ แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยก็ตามที เขาได้รับคำสั่งจากนายใหญ่มาโดยตรง ดังนั้น หยางซานซินก็ไม่มีสิทธิ์คัดค้านหากเขาจะลงมือกำจัดบุตรชายของแม่ทัพใหญ่สกุลหยาง“หยางซานหลาง…เสียแรงที่ข้าอบรมสั่งสอนเจ้ามาแต่เยาว์วัย ไยถึงมิเอาสิ่งเหล่านั้นเข้าไปในสมองของเจ้าสักนิด เหตุใดเจ้าไม่รู้จักแยกแยะว่าสิ่งใดถูกผิดกันเล่า” หลิวเจินเจินยังคงนั่งอยู่ภายในรถม้าทำเพียงส่งเสียงตอบโต้ชายหนุ่มออกมาเท่านั้นหยางซานหลางได้แต่กัดฟันด้วยความเจ็บแปลบในหัวใจ ไยเขามิรู้ถูกผิด แต่เขาก็ไม่อยากอยู่ใต้อำนาจผู้ใดด้วยเช่นกันจึงเลือกที่จะอยู่ข้างบิดาซึ่งคอยบอกเขาเสมอว่า แผ่นดินชีเป่ยถูกสกุลโม่แย่งชิงไป แม้วันนี้ เขา
เจ็ดวันต่อมา ถนนมุ่งสู่ด่านชายแดน ชีเป่ย-จิ้งหนานรถม้ากำลังเร่งความเร็วสุดฝีเท้าเหมือนกำลังหนีอะไรสักอย่างอยู่ และใช่ มันคือการหนีจากกลุ่มคนที่ห้อม้าตามมาติด ๆ โดยทหารของกองทัพเจียงไห่นำโดยแม่ทัพหนุ่ม หยางซานหลางเนื่องจากชายหนุ่มได้รับข่าวจากสายรายงาน ว่าหลิวเจินเจินพร้อมหลักฐานสำคัญกำลังจะข้ามชายแดนในวันนี้ เขาจึงได้รับคำสั่งจากผู้เป็นพ่อให้ออกติดตามช่วงชิงหลักฐานกลับมาให้ได้ พร้อมกำชับให้จัดการกับมารดาเลี้ยง อย่าให้เกิดปัญหาตามมาในภายภาคหน้าด้วยใจที่รักในมารดาผู้เลี้ยงดู เขาจึงได้ขออาสารับหน้าที่นี้ด้วยตนเอง แทนที่จะเป็นคนของบิดาหรือเจิ้งถง หยางซานหลางมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ แม้ความเป็นไปได้จะน้อยนิดก็ตาม เขาจะไม่มีวันทำร้ายมารดาอย่างหลิวเจินเจินเป็นอันขาด ‘ถึงข้าจะชั่วช้าเพียงใด แต่จะไม่ลงมือต่อผู้ที่กลั่นเลือดในอกให้ข้าดื่มเป็นอันขาด’หยางซานหลางควบม้าจนสุดฝีเท้า เมื่อมองเห็นรถม้าอยู่ไม่ไกลนัก หลังจากฝุ่นดินจางลงบ้างแล้ว “ยะ!” ทุกคนต่างกระตุ้นม้า ไล่กวดคนที่กำลังหนีให้ทัน เพราะรถม้านั่น…ข้ามชายแดนไปได้ ทุกอย่างจะไม่ง่ายอย่างที่คิดแน่นอน“ข้าหวังว่าท่านแม่ทัพจะรู้จักหน้าที่”
กว่าที่ตัวนางจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ต้องแลกด้วยหลายสิ่งเหลือเกิน แม้แต่การฆ่าคน นางก็ต้องทำเพื่อรักษาความลับที่จะนำภัยมาสู่นางเอง จะให้การเสียสละความสุขส่วนตนของนางสูญไปเปล่า ๆ มิได้ นางใช้ทุกวิถีทางเพื่อทำให้เป็นที่โปรดปรานจนอยู่เหนือสนมทุกนาง เป็นรองเพียงฮองเฮาเท่านั้นยิ่งเวลานี้ ฮ่องเต้มิทรงไยดีในตัวฮองเฮา หรือสนมนางในอื่นใด มีเพียงนางที่ทรงเรียกหาให้ร่วมดื่มกินเป็นเพื่อนคุยอยู่สม่ำเสมอ ทุกอย่างที่นางต้องการก็มิเคยขัด จะมีก็แต่เพียงตำแหน่งสูงสุดในวังหลังเท่านั้นที่นางยังไม่ได้ครอบครองเมื่อก่อน นางอาจต้องการตำแหน่งนั้น แต่ตอนนี้ มันไม่จำเป็นที่จะยื้อแย่ง เพราะไม่ช้า มันจะเป็นของนางอยู่ดีเรียวปากอวบอิ่มยกยิ้มหยัน เมื่อนึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับศัตรูของนางและคนรัก‘หมดยุคของสกุลโม่แล้ว หยางและหลิวจะรวมเป็นหนึ่ง’“พ่อมิคิดว่า...มันจะไม่ง่ายอย่างที่เราคาดการณ์เอาไว้น่ะสิ! หากเป็นเช่นที่คนผู้นั้นบอกมา ไอ้เด็กนั่นมันยังไม่ตาย รวมทั้งจิ่วอิงและเงา แต่มันก็อาจจะเป็นข่าวลวงเพื่อให้เราไขว่เขวได้เช่นกัน ทางที่ดีนับจากนี้ไป เราจะวางใจอะไรไม่ได้ทั้งนั้น แม้แต่พันธมิตรของเราเองก็ตามที”สมกับ
ครั้งที่ฟางเล่อพาเมี่ยวจ้านไปกลั่นแกล้งและทดสอบฝีมือของพ่อลูกสกุลหยางนั้น บอกได้เป็นอย่างดีว่าพ่อลูกสกุลหยางไม่ได้แสดงฝีมือเต็มที่นัก หากเอาจริงขึ้นมาคงหนักมือน้องของเขาอยู่มิน้อยหยางซานหลางแม้จะดูมิฉลาดในหลาย ๆ เรื่อง แต่ฝีมือของเขานั้นไม่เป็นรองผู้ใดเช่นกัน เพียงแต่ความมุทะลุและจิตใจคับแคบของหยางซานหลางเท่านั้นที่เป็นจุดด้อยในตำแหน่งแม่ทัพ เรื่องฝีมือการรบถือว่ายอดเยี่ยม เช่นเดียวกันกับผู้เป็นพ่อ หยางซานชินที่นับว่าเป็นยอดขุนพลน่าเสียดายที่สองพ่อลูกกลับหลงมัวเมาในอำนาจและสตรีจนมองข้ามความถูกผิดที่ได้กระทำลงไป พวกเขาจำต้องรอบคอบให้มากในทุก ๆ การเคลื่อนไหว มิเช่นนั้นจะกลายเป็นหมากในกระดานโดยถูกคนพวกนั้นคุมเกมแทนที่จะเป็นฝ่ายเขา การทำศึก ก้าวพลาดเพียงครั้งจะเปลี่ยนฝ่ายผู้กุมชัยในสนามรบทันทีห้องอาหาร…โรงเตี๊ยมชั้นล่างร่างสูงของเจิ้งถงนั่งดื่มสุราด้วยใบหน้านิ่งเรียบ เขาคอยจับสังเกตถึงสิ่งผิดปกติของคนในร้าน โดยเฉพาะบรรดาเสี่ยวเอ้อร์และคนดูแลโรงเตี๊ยม อีกทั้งเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาได้ออกติดตามหาร่องรอยผู้คุ้มกัน และศิษย์พรรคโลกันต์ กว่าจะกลับไปยังค่ายทหาร เรื่องมากมายก็เกิดขึ้นก่อนแล้ว
โรงเตี๊ยมเซียนอี้ ณ ห้องหนังสือส่วนตัวของโม่ฟางเล่อ“ฮา ๆ ๆ ข้านึกว่าพวกเจ้าจะลุกไม่ขึ้นเสียอีก ศึกเมื่อคืนหนักมากหรือเจี๋ย พวกเจ้าถึงได้ตื่นเอาป่านนี้”โม่หยวนฟางพูดไป ดวงตาก็จับจ้องใบหน้าแดงก่ำของฟางเล่อและถงเหยียนเจี๋ย ด้วยใบหน้าซับสีเลือดของทั้งคู่ทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ หลังจากปรับความเข้าใจกับเมี่ยวจ้านเรื่องความเข้าใจผิดเมื่อคืนที่ผ่านมา ก่อนที่เขาและหญิงสาวจะเข้ามารวมตัวกันกับน้องสาวและสหายรักภายในห้องนี้ ชายหนุ่มขบขันกับท่าทางของทั้งคู่ที่เอาแต่ก้มหน้ามองถ้วยชา“เจ้าคิดถึงไหนกัน หยวนฟาง”ถงเหยียนเจี๋ยเองก็ไม่คิดว่าเขาและภรรยาจะตื่นสายถึงเพียงนี้จนเป็นที่ล้อเลียนของคนรอบข้าง นี่ยังเหลืออีกสองคนซึ่งยังมิกลับจากไปทำภารกิจยังค่ายทหาร เขาไม่อยากจะคิดเลยว่า หากพี่ใหญ่ของสกุลโม่กลับมาคงมิแคล้วต้องมีคำพูดล้อเลียน ไม่ต่างจากคนที่กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามในตอนนี้อย่างแน่นอน ทว่า…“น้องรัก…พวกเจ้ากำลังนินทาพี่ชายผู้นี้อยู่รึ หืม!”‘เสียงมาก่อนตัวเสียอีก’ ฟางเล่อบ่นอยู่ในใจ นางมิเคยพบญาติผู้พี่มาก่อน ดีที่โม่หยวนฟางได้บอกนางก่อนแล้วเมื่อครู่ ว่านางนั้นยังมีพี่ชายอีกคนซึ่งโม่ไป๋หลานตัวจริงน