หยางซานหลางเกิดความอิจฉานางอย่างนั้นหรือ ไยเขาถึงกล่าวหาว่านางแย่งชิงทุกอย่างมา ทั้ง ๆ ที่ตัวนางเองนั้นมิเคยได้รับอะไรเลย แม้แต่น้ำนมมารดาสักหยด อ้อมกอดจากบิดาแท้จริงสักครั้งยังไม่เคย แล้วเหตุใดกัน หยางซานหลางจึงมากล่าวหาว่านางแย่งชิงทุกอย่างมาจากเขาเล่า
น้ำตาของมารดาทั้งสองต่างไหลออกมาด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน หลิวเมิ่งชีต้องการได้ยินคำเรียกขานว่า ‘แม่’ สักครั้งจากปากของชายหนุ่ม ก่อนที่นางจะไม่มีโอกาสได้ฟังมันอีกชั่วชีวิต ตัวนางคงมิอาจทนต่อบาดแผลนี้ได้นานเท่าใดนัก
“เมตตาแม่สักครั้งเถิดลูกรัก เป็นแม่เองใช่หรือไม่ที่ทำร้ายเจ้า”
หลิวเมิ่งชีได้แต่รำพึงรำพันกับตนเองเบา ๆ ด้วยหัวใจที่สิ้นหวังเต็มทีแล้ว เสียใจตอนนี้ก็สายเกินกว่าที่จะกลับไปแก้ไขได้แล้ว หากนางปล่อยให้บุตรชายไม่รู้ความจริงเรื่องชาติกำเนิด ทุกอย่างคงมิเลวร้ายเช่นนี้ก็เป็นได้ หากนางยอมปล่อยหลิวเจินเจินไปเสีย ซานหลางคงมิเจ็บปวดถึงเพียงนี้
ส่วนหลิวเจินเจินนั้นนึกโทษตนเองที่ไร้ความสามารถในการอบรมบุตรชายให้เป็นคนดีได้ เสมือนนางผู้เป็นแม่นั้นบกพร่องในหน้าที่ยิ่งนัก ไหนจะเวลานี้ พี่น้องต้องมาเข่นฆ่ากันเอง สวรรค์ช่างโหดร้ายกับนางอะไรเช่นนี้
‘เพราะเจ้าเพียงผู้เดียวหยางซานชิน เจ้ามันไร้ความเป็นคน เจ้ามันไม่คู่ควรที่จะเป็นพ่อของผู้ใดได้เลย’
“สวรรค์โปรดเมตตาข้าสักครั้ง หากชีวิตข้าแลกกับลูก ๆ ของได้ ข้ายินดีที่จะมอบมันให้แก่พวกท่าน”
ปากก็พร่ำเอ่ยถึงสวรรค์เบื้องบน แขนเรียวยังคงกวัดแกว่งอาวุธ ห้ำหั่นศัตรูอย่างไม่ลดละเช่นกัน น้ำตาแม้จะไหลอาบแก้ม แต่ก็ไม่อาจบดบังดวงตาที่จะปกป้องตนเองให้ปลอดภัยเช่นกัน
หลิวเจินเจินรู้ดีว่าหากนางล้มเจ็บลง ลูก ๆ ของนางอาจเสียสมาธิได้ แม้นางมิชอบใจนักที่สองพี่น้องต่อสู้กันเอง แต่นางคือบุตรสาวนักรบ ย่อมรู้กฎดีว่าต้องทำเช่นไร หน้าที่กับความรู้สึกนั้นจำต้องแยกแยะให้ออกอยู่เสมอ เมื่อก้าวสู่สนามรบ แม้ศัตรูคือคนที่เรารักก็ตามที
ขณะที่หยางซานหลางหันหลังให้มารดาทั้งสอง เมี่ยวจ้านกลับมองเห็นทุกเหตุการณ์ แม้จะเห็นใจพี่ชายแค่ไหน นางก็มิอาจหยุดมือได้ เพราะส่วนรวมย่อมสำคัญกว่าพี่ชายผู้น่าสงสารที่ตกเป็นเพียงหมากในกระดานของบิดามารดาแท้ ๆ ของเขาเอง หากคนพวกนั้นมีจิตสำนึกในความผิดชอบชั่วดี ไม่แน่ว่าหยางซานหลางอาจจะเป็นคนดีกว่านี้ก็เป็นได้
เพราะหยางซานหลาง เติบใหญ่มากับคำสอนของคนเช่นหยางซานซินที่เสี้ยมสอนให้บุตรชายทะเยอทะยานจนเกินตน เมื่อฝุ่นดินจางลง เมี่ยวจ้านจึงเหินกายลงจากต้นไม้ ยืนประจันหน้ากับพี่ชายอีกครั้ง
ดวงตาของหยางซานหลางแดงก่ำดุจสีของโลหิต ยิ่งเพิ่มแรงกดดันในจิตใจของเมี่ยวจ้านขึ้นอีกเท่าตัว นางใช่คนไร้หัวใจจนมองไม่เห็นความในจากสายตาพี่ชายที่มีต่อมารดาของนาง แม้แต่กับตัวนางเองด้วยเช่นกัน
“อภัยให้ข้าด้วยพี่ชายที่ไม่อาจละเว้นท่านได้”
เมี่ยวจ้านกล่าวเนิบช้ากับชายหนุ่มตรงหน้าที่ขบกรามแน่นจนเป็นสันให้เห็นอย่างเด่นชัดต่อสายตาของเมี่ยวจ้าน
“ยังไม่ถึงบทสรุป อย่าได้มั่นใจไปน้องพี่ว่าเจ้าจะเป็นผู้คว้าชัยในครั้งนี้ ทุกอย่างย่อมเป็นไปได้เสมอ จงอย่ามองเพียงภาพภายนอกแล้วตัดสิน เจ้าควรมองที่จุดสิ้นสุด มันจะชัดเจนกว่าน้องสาวข้า”
ทุกคำพูดของชายหนุ่มนั้น เขามั่นใจว่าน้องสาวรู้ความหมายคำพูดของเขาได้เป็นอย่างดี และเขามิคิดเพรียกหาคำว่าเห็นใจจากนางเลยแม้แต่น้อย เวลานี้ หยางซานหลางเสมือนไร้ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือเจ็บปวดไปเสียแล้ว ชายหนุ่มพุ่งเข้าหาน้องสาวด้วยความดุดันและรวดเร็วเหมือนการรุกให้ไวและจบการต่อสู้เสียที
‘ไยต้องเป็นข้าที่เจ็บปวดแต่ผู้เดียว ทำไมกันเล่า’ หยางซานหลางโอดครวญอยู่ภายในใจ
แส้ของเมี่ยวจ้าวตวัดดุจอสรพิษ เข้าปะทะร่างแกร่งเต็มแรง โดย หยางซานหลางได้เกร็งร่าง รอรับอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน เมื่อรู้ว่ามิอาจหลบได้พ้น
ควับ!
“อึก!”
ตุบ! ร่างแกร่งตกลงยังแทบเท้าของหลิวเจินเจิน
“ซานหลาง”
เสียงแหบโหยของสตรีวัยกลางคน ได้แต่ยืนมองบุตรชายที่คุดคู้อยู่แทบเท้าตน ดวงตาอ่อนโยนเช่นมารดามองบุตรในอุทรของนางเสมือนคมมีดกรีดแทงใจแม่ทัพหนุ่มยิ่งนัก ซึ่งเวลานี้เขาได้เงยหน้ามองมารดาผู้เลี้ยงดูตนมาตั้งแต่แรกเกิด ก่อนจะเงยหน้ามองเลยไปยังด้านหลังของหลิวเจินเจิน
ในครรลองสายตาของชายหนุ่มนั้น มันสั่นสะท้านไปทั้งใจกับภาพที่เห็น พระสนมหลิวเมิ่งชี มารดาที่แท้จริงมีเลือดสด ๆ ไหลนองเปรอะเปื้อนบนชุดงามจนกลายเป็นสีแดงฉาน ก่อนจะดึงสายตากลับมายังคนตรงหน้าที่ยืนกำมือแน่น ร่างบางสั่นสะท้านด้วยหัวใจที่แตกสลาย
เมี่ยวจ้านคอยจ้องมองอยู่มิคลาดสายตา ด้วยมารดาตนอยู่ในระยะมิปลอดภัย หากนางเสี่ยงเข้าโจมตีในขณะที่สภาพจิตใจของมารดา มิปกติเช่นที่คนภายนอกมองเห็นนั้นนับว่าอันตรายมากทีเดียว นางไม่อาจตามเข้าไปได้จึงจำใจได้แต่ยืนควบคุมสถานการณ์อยู่ไม่ห่าง
หยางซานหลางยังคงผูกพันในตัวหลิวเจินเจิน แต่เขาจำต้องช่วยผู้ให้กำเนิดเช่นกัน ร่างสูงอาศัยจังหวะที่คนตรงหน้ากำลังสับสน ลุกขึ้นรวบร่างมารดาเลี้ยงมาไว้ในอ้อมแขน โดยมีดาบทาบทับอยู่ที่ลำคอ หลิวเจินเจินยิ้มเย็นเมื่อรู้แล้วว่า ความรักที่ตนมิอาจชโลมใจของบุตรชายได้เลย นางจึงทำเพียงโอนอ่อนตามบุตรชาย
“ปล่อยมารดาข้า หยางซานหลาง เจ้าคนอกตัญญู ค่าน้ำนมมารดาของข้า มันไม่มีความหมายสำหรับเจ้าสักนิดเลยหรืออย่างไรกัน” เมี่ยวจ้านพูดเสียงกร้าว
หยางซานหลางกลืนก้อนบางอย่างที่จุกอยู่ในลำคอลงไปจนหมดสิ้น เมื่อได้ฟังคำพูดต่อว่าจากน้องสาว ทางเลือกสำหรับเขา มันไม่มีเลยในเวลานี้ อยู่ก็เหมือนตาย แต่จะตายก็ยังมิอาจทำได้
“ฮา ๆ ๆ เจ้าไม่มีสิทธิ์…มาต่อรองกับข้า น้องสาว ปล่อยพระสนม มิเช่นนั้น นางตาย”
หยางซานหลางพยายามควบคุมน้ำเสียงเอาไว้ เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าตอนนี้ เขารู้สึกเช่นไร ในเมื่อมารดาแท้ ๆ กำลังจ้องมองมาที่เขา ส่วนแม่ผู้เลี้ยงดูอุ้มชูเขามานั้นอยู่ในอ้อมแขนของตน มันอบอุ่นเหลือเกินกับสตรีที่แนบกับอกแกร่ง ทว่า นางจำเป็นต้องตายด้วยหรือ คำนี้ เขาเคยอยากที่จะเอ่ยถามบิดายิ่งนัก แต่ความขุ่นเคืองและน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาทำให้ต้องเก็บมันเอาไว้ในใจแทน
“มิต้องสนใจแม่ เมี่ยวเอ๋อร์…จำคำแม่เอาไว้ให้ดี แม่รักเจ้าทั้งสองคน และแม่ยินดีตายด้วยมือของเจ้าซานหลาง แต่แม่จะมิยอมฆ่าลูกชายที่ดื่มนมจากอกของมารดาผู้นี้เป็นอันขาด”
คำพูดของหลิวเจินเจิน มันทิ่มแทงใจของหลิวเมิ่งชียิ่งนัก มันช่างเจ็บปวดยิ่งกว่ากระบี่ที่ปักกายนางอยู่ในตอนนี้หลายเท่าเลยก็ว่าได้
“หุบปาก! อย่าใช้มารยาหลอกข้า ท่านแม่คิดว่าข้าโง่งมแล้วจะพากันปั่นหัวข้าอย่างไรก็ได้เช่นนั้นใช่ไหม ทุกคนเห็นข้าเป็นตัวอะไรกันแน่ ตอบข้ามา!”
น้ำเสียงของคนที่เสมือนใจแตกสลายของชายหนุ่มช่างสะเทือนใจใครหลาย ๆ คนนัก หยางซานหลางยิ้มหยันกับคำถามที่เขาไม่มีวันได้คำตอบ ก่อนจะมองเลยไปยังผู้ให้กำเนิดซึ่งทำได้เพียงร้องไห้น้ำตานองหน้า
“ไม่เลยลูกรัก…แม่ไม่เคยทำเช่นนั้นกับเจ้า” หลิวเมิ่งชีละล่ำละลักแก้ตัวด้วยใบหน้าตื่นตกใจ นางมิเคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าบุตรชายจะพูดออกมาเช่นนี้“ซานหลาง! ลูกรู้แก่ใจว่าแม่เป็นเช่นไร” หลิวเจินเจินไม่มีคำแก้ ตัวเพื่อให้ตนเองดูดีเหนือญาติผู้พี่ แต่ใช้ความเป็นจริงในอดีตที่ผ่านมาเป็นตัววัดค่าของตนเองหยางซานหลางดวงตาแดงก่ำด้วยหัวใจอันแหลกสลาย เขาจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อมารดาที่แท้จริงกำลังมองมาด้วยดวงตาที่แสนรักใคร่เขาผู้เป็นบุตร แต่คนที่อยู่ในอ้อมแขนคือผู้ที่กลั่นเลือดในอกให้เขาดื่มกินมาจนเติบใหญ่ ความสำนึกผิดชอบชั่วดีกำลังฆ่าชายหนุ่มโดยมิรู้ตัวร่างแกร่งสั่นสะท้านจนหลิวเจินเจินรับรู้ได้ มืออุ่นยกขึ้นลูบแขนบุตรชาย พร้อมซบหน้าลงยังท่อนแขนแกร่งที่พาดผ่านช่วงใต้ลำคอตน พร้อมน้ำตาไหลรินออกมา ด้วยความรักของมารดามีต่อบุตรทำให้ใจที่กำลังหมดสิ้นทุกอย่างปวดร้าวจนแทบไร้เรี่ยวแรงจะยืนต่อ“แม่มิโทษเจ้าลูกรัก ลงมือเถิด…แม่ยอมสิ้นใจด้วยมือเจ้า ซานหลาง แต่จะไม่ยอมให้เจ้าสองพี่น้องต้องมาเข่นฆ่ากันต่อหน้าแม่เช่นนี้อีก”ดวงตาคู่งามหลับลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะเอนศีรษะไปพิงช่วงอกแกร่งของชายหนุ่ม หยางซานหลางกัดฟันจนแทบละเ
ทว่าอยู่ ๆ ลูกศรลึกลับก็พุ่งตรงมา โดยเป้าหมายก็คงไม่พ้นหัวใจของนาง แต่เพียงเสี้ยววินาทีนั้น นางกลับล้มลง และเมื่อหันกลับไปด้านหลังเท่านั้น ใจของนางก็แทบแหลกสลาย หยางซานหลางหมุนกายเข้ารับลูกธนูแทนผู้เป็นแม่ พร้อมกับผลักนางออกให้พ้นอันตราย เพราะการต่อสู้มีอยู่รอบด้านย่อมเป็นใครก็ได้ที่ลงมือชายหนุ่มกลับที่เลือกรักษาชีวิตนางเอาไว้ แทนที่เขาจะรักษาชีวิตตนเองเสียมากกว่าทั้งที่มีโอกาสอยู่มากมาย ทั้งรอยยิ้มและดวงตาเปี่ยมรักของบุตรชายส่งมาให้ก่อนร่างสูงจะล้มลง มันช่างดูมีค่ากว่าทองพันชั่งก็มิปาน“ท่านแม่! อึก! ข้าขอโทษที่มิอาจเลือกได้”ใบหน้าที่แนบอยู่กับอกของมารดา เงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาเศร้าสร้อย เลือดไหลทะลักออกมาจากริมฝีปากหนาได้รูป น้ำตาเปรอะเปื้อนไปทั้งใบหน้า ลมหายใจที่มีเสียงดังครืดคราด บอกถึงอาการของผู้เป็นเจ้าของกายได้อย่างชัดเจน หยางซานหลางยิ้มอย่างอ่อนแรงกับชะตากรรมของตนเอง“ซานหลาง! แม่จะช่วยเจ้าเองลูกรัก ทำใจดี ๆ เอาไว้นะ แม่จะไม่ยอมเสียเจ้าไปเป็นอันขาด” หลิวเจินเจินละล่ำละลักบอกบุตรชาย ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พร้อมทั้งพยายามกล้ำกลืนก้อนแข็ง ๆ ที่จุกอยู่ตรงลำคอหลิวเจินเจินใช้มืออั
“อ่า! เช่นนั้นหรอกหรือ ช่างรอบรู้เสียจริง ๆ ข้าไม่เคยบอกว่าตัวข้านี้เป็นใคร เจ้ากลับรู้ดีกว่าตัวข้าเสียอีกว่าผู้ใดคือมารดาของข้า นอกเสียจากว่าเจ้าจะรู้จักครอบครัวข้าเป็นอย่างดี หรือเจ้าก็คือหนึ่งในสกุลหยางกันนะ…รึข้าเดาผิด เช่นนั้นก็คงเป็นคนที่รู้จักข้ามากกว่าพ่อแม่แท้ ๆ ของข้าเองกระมัง”มีแค่เพียงคนสนิทของพระบิดาเท่านั้นที่รู้ความจริงเรื่องชาติกำเนิดแท้จริงของนาง“...” ไม่มีคำตอบจากคนที่กำลังหาจังหวะลงมือต่อหญิงสาวศัตรูที่มีไม่ใช่แค่ภายในแคว้นชีเป่ย แต่ด้วยตำแหน่งของนางนั้น จิ้งหนานก็ย่อมมีคนตามล่านางเช่นกัน มันจะเป็นใคร นางไม่ขอใส่ใจ ตอนนี้ต้องปกป้องคนที่นางรักให้ปลอดภัยเสียก่อนเท่านั้นเป็นพอ“เงียบทำไมกัน ข้ายินดีที่จะพบปะกับผู้มีความรู้มากเลยรู้หรือไม่ ยิ่งคนที่ล่วงรู้ชีวิตผู้อื่นเป็นอย่างดี…ยกเว้นตัวเอง”เมี่ยวจ้านพูดยั่วยุเพื่อให้อีกฝ่ายเผยที่ซ่อน ซึ่งคนผู้นี้ร้ายกาจมิเบาที่สามารถเคลื่อนไหวรอบกายนางได้โดยไร้ร่องรอยให้พบเห็น“วันนี้ ข้าไม่อยากเล่นกับเจ้า เด็กน้อย ข้าให้โอกาสเจ้าหนีได้หนึ่งครั้ง”ฉึก!มีดสั้นคู่กายของเมี่ยวจ้าน ปักอยู่ที่ลำคอของคนพูด“ข้ารอคำนี้มานานแล้ว”เมี่ยวจ
หมิงจงเป่าส่งเพียงเสียงแต่มิปรากฏกายให้อีกฝ่ายเห็น เวลานี้ ทหารติดตามไม่มีแล้วก็จริง แต่เขาวางใจอะไรไม่ได้ เพราะการที่หยางซานหลางต้องตาย นั่นหมายความว่ามีคนอื่นอีกนอกเหนือจากพวกเขาและคนของหยางซานหลางเพราะอยู่ ๆ ลูกธนูจะโผล่มาจากที่ใดได้ ในเมื่อเขาคอยจับตาอยู่ตลอดทั้งรับมือศิษย์น้องและคนของแม่ทัพหนุ่ม เขามั่นใจว่าไม่มีใครที่ยกคันศรอย่างแน่นอน นั่นบ่งบอกได้ว่ามีคนแฝงตัวอยู่เพื่อคอยสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล เขาจะมิยอมวางใจในสิ่งที่มองไม่เห็นเป็นอันขาด อาจมีใครอีกที่คอยฉวยโอกาสกับเรื่องนี้ มิตรแท้ไม่เคยมีในการแย่งชิงอำนาจเจิ้งถงพยายามเป็นอย่างมาก ในการเพ่งสมาธิเพื่อจับทิศทางของเสียงจากคนที่หายตัวไปอย่างรวดเร็ว“ท่านช่างน่าขบขันนึกศิษย์พี่ที่คิดจะทดสอบความสามารถของข้า ข้าเองก็อยากรู้นักว่า ท่านจะใช้อีกกี่กระบวนท่า เพื่อขัดขวางข้ามิให้ช่วงชิงลมหายใจของประมุขพรรคโลกันต์ได้”ขวับ! เจิ้งถงหันไปทางด้านซ้าย เมื่อเขาเห็นเงาร่างของศิษย์พี่ของตนยืนอยู่ และเป็นเช่นนั้น เมื่อหมิงจงเป่าปรากฏกายขึ้น ทั้งยังยืนนิ่งเฉยเหมือนไร้ความรู้สึกกลัวหรือกดดันแม้แต่น้อย มีเพียงรอยยิ้มกว้างเฉกเช่นคนอารมณ์ดีเท่านั้นท
‘ท่านอาจารย์…ไยทิ้งข้าตอนนี้เล่า’“โม่ไป๋หลาน…ข้าจะไม่มีวันให้เจ้าพ้นมือข้าอีกครั้งเป็นแน่”จีกวานฮวายังคงพูดจาข่มขู่โม่ฟางเล่อ พร้อมทั้งไล่ตามอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่งเหมือนโม่ฟ่างเล่อคือเหยื่ออันโอชะในเวลานี้โม่ฟางเล่อเองยังคงเคลื่อนไหวต่อไป พร้อมคอยจับสังเกตหาจุดอ่อนบนร่างกายของนางมาร ผู้กำลังควบคุมตนเองไม่ได้แล้ว ทว่า…‘เจอจนได้’“นั่น…มันเรื่องของเจ้าน้องสาว สำหรับตัวข้าไม่เคยคิดจะแย่งชิงอันใดกับเจ้าเลย แต่จะมิละเว้นคนที่เคยลงมือสังหารข้าเช่นกัน”ฟางเล่อยังคงต่อคำกับอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ เพื่อทำลายสมาธิของอีกฝ่ายไปด้วย ฟางเล่อจำต้องใช้หลักการหันเหเพื่อเรียกความสนใจของจีกวานฮวา ทั้งยังหาจังหวะจัดการกับอีกฝ่าย เพราะนางเห็นแล้วว่าจุดอ่อนของจีกวานฮวาคือที่ใดยิ่งสภาวะจิตใจของจีกวานฮวากำลังสาหัสจนเกินเยียวยา โม่ฟางเล่อจึงอาศัยโอกาสนี้ราดน้ำเกลือลงสู่บาดแผลที่ละน้อย เมื่ออีกฝ่ายไร้เมตตาต่อนาง ตัวนางเองก็ไม่จำเป็นต้องปรานีคนอย่างจีกวานฮวาเช่นกันเหมือนกับว่าฟางเล่อกำลังสะกดจิตของนางเองให้ไร้เมตตา เพื่อตัดขาดความอ่อนแอทางจิตใจให้ง่ายต่อการลงมือต่อศัตรู นี่เป็นครั้งแรกที่นางจับอาวุธสังหารคนจริง
ป่าอีกด้านหมิงจงเป่ายืนจ้องมองไปยังเจิ้งถงซึ่งกำลังมีสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความแค้นเคืองในตัวของศิษย์พี่ของตน ซึ่งแตกต่างกับรอยยิ้มกว้างของหมิงจงเป่าที่เหมือนชายผู้นี้ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรกับเรื่องตรงหน้าเลยสักนิดโดยตอนนี้ แขนของเจิ้งถงได้ห้อยลงข้างลำตัวทั้งยังสร้างความเจ็บปวดให้เจ้าตัวอยู่ไม่น้อย ทั้งยังมีเลือดสีแดงไหลจากต้นแขน เรื่อยลงมาจนถึงปลายนิ้ว ก่อนหยดลงลงสู่พื้นดินด้านล่าง กรามหนาของเจิ้งถงเป็นสันนูนจากการขบกัดของเจ้าตัวเอง“เจิ้งถง…หากคนอย่างข้าไร้ซึ่งฝีมือจริงคงมิอาจนั่งในตำแหน่งที่เจ้าปรารถนาได้กระมัง เจ้าไม่ควรที่จะท้าทายในสิ่งที่เหนือความสามารถของตนเอง หากเจ้ามีความเมตตา มิเห็นแก่ได้จนดวงตามืดบอด มีหรือตำแหน่งของข้าจะไม่เป็นของเจ้าในครั้งอดีต ทุกอย่างที่เจ้าพลาดหวัง มันเป็นที่ตัวเจ้า ไม่ใช่เพราะข้าหรือใครทั้งสิ้น”“หุปปาก! ข้าจะไม่ยอมก้มหัวให้คนเช่นเจ้า เป็นอันขาด ข้าเกิดมาเพื่อครอบครองสิ่งล้ำค่า แต่เป็นพวกเจ้าที่ผลักไสข้าออกจากสิ่งนั้น ข้าทำผิดอันใดไยถึงกล้ามาบอกแก่ข้า ว่าไข่มุกโลกันต์มิเลือกคนเช่นข้า แต่เป็นคนวิปลาสอย่างเจ้าแทน”เจิ้งถงตวาดเสียงดัง เขาต้องไม่มีวันพ่าย
“เจ้าจะว่าข้าใจดำก็ได้นะ เจิ้งถง ที่ปล่อยให้เจ้าถูกสังหาร แต่จะโทษข้าก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะมันมิใช่หน้าที่ของข้าที่จะต้องปกป้องคนเช่นเจ้า”เขาเห็นแล้วว่ามีลูกธนูพุ่งมา และเขาไม่คิดที่จะหลบหรือช่วยเหลือเจิ้งถง เพราะมันมิใช่เรื่องของเขา แต่มันเป็นการฆ่าปิดปากของผู้ร่วมขบวนการเสียมากกว่า อย่างน้อย เขาก็แก้แค้นให้แล้ว โดยการสังหารมือธนู ถือว่าเขาก็ยังมีเมตตาอยู่บ้าง‘เจ้าควรขอบใจข้าเจิ้งถง ในความเป็นคนดีมีเมตตา สังหารคนที่ฆ่าเจ้า หึ ๆ’ ก่อนที่ร่างสูงของหมิงจงเป่าจะหายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงดวงตาที่เหลือกค้างของคนทรยศ โดยไม่มีผู้ใดเดาได้ว่า เจิ้งถงสิ้นใจด้วยความแค้น หรือความเศร้าเสียใจและสำนึกผิดกันแน่ แต่สำหรับหมิงจงเป่านั้น เขาคิดเพียงแค่ว่าตัวเขาทำได้ดีที่สุดเท่านี้ เพราะอย่างน้อย เขาก็มิได้ลงมือสังหารเจิ้งถงด้วยความแค้นในอดีตอย่างที่ควรจะเป็นค่ายทหารเจียงไห่เพล้ง! หยางซานชินถึงกับใบหน้าถอดสีที่อยู่ ๆ กาน้ำชาได้ตกลงแตกกระจาย เพียงแค่เขาเดินผ่าน ยังมิทันได้แตะต้องหรือเฉียดใกล้เลยด้วยซ้ำไป เสมือนลางร้ายเกิดขึ้นในห้วงความคิดอย่างฉับพลัน แต่เขาจำต้องเก็บงำเอาไว้เสีย หยางซานซินปลอบใจต
ราชครูหลิว เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมอีกฝ่ายอยู่ในที ก่อนจะยกน้ำชาที่แม่ทัพหยางเป็นผู้รินให้ โดยไม่ได้หันไปสนใจว่าหยางซานซินจะพอใจเขาหรือไม่“ข้ามิได้ตั้งใจตำหนิท่านพ่อนะขอรับ เพียงแต่ข้ากำลังร้อนใจ เกรงว่าเมิ่งชีจะเกิดอันตราย นางมิคุ้นเคยกับชีวิตนอกวังเช่นนี้ ข้าแค่…”หยางซานซินจำต้องเงียบเสียงลง เมื่อราชครูหลิวได้ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าให้หยุดเอ่ยสิ่งใดอีก“แล้วเจ้าคิดว่า ข้ามิห่วงนางรึอย่างไรหยางซานซิน ข้าเป็นบิดาของนาง ข้าย่อมต้องคำนึงความปลอดภัยของบุตรสาวก่อนสิ่งอื่นใดอยู่แล้ว”ราชครูหลิวหันไปเผชิญหน้ากับเขยลับ ๆ ของตน ด้วยใบหน้าเรียบตึง แสดงชัดถึงความขุ่นเคืองอยู่ในที หยางซานซินทำได้เพียงกำหมัดแน่นอยู่บนต้นขาแกร่ง ก่อนจะก้มหน้าเล็กน้อยฟังคำพูดของบิดาคนรักต่อเงียบ ๆ“แต่เจ้าก็น่าจะรู้นะ หยางซานซิน ว่าเวลานี้ มันเหมาะหรือไม่ที่เราจะตื่นตูมต่อหน้าคนอย่างชูถง ในเมื่อเมิ่งชีบอกว่าจะไปชมตลาดเจียงไห่ หากข้าสั่งห้ามนางมิให้ไป เจ้าคนแซ่ชูก็ต้องตั้งคำถาม ว่าทำไม…นางถึงจะไปไม่ได้ หากบอกว่าที่นี่อันตราย เจ้าว่าคนอย่างชูถงรึจะรามือ คิดให้กว้างเสียบ้าง อย่าเอาความรู้สึกมาอยู่เหนือความเป็นจริ
เมื่อฮองเฮาเป็นผู้เปิดโอกาสให้แก่นางด้วยตนเอง มีหรือที่นางจะไม่รีบคว้าเอาไว้ในมือ แน่นอนว่าสักวัน อำนาจที่ถูกวางมาไว้ในมือนางจะมีค่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมฮองเฮาจ้าวเหลียนยิ้มอ่อนโยน แววตาไร้จริตมารยาส่งให้แก่ผู้เป็นภรรยาอีกคนของพระสวามี คำเรียกขานที่เปลี่ยนจากห่างเหินเป็นสนิทสนมขึ้นนั้นย่อมมีที่มาที่ไปเสมอ แต่มิจำเป็นต้องเล่าให้ผู้ใดรับรู้“น้องกั๋วเชียง เห็นอี้กงกงบอกว่า เจ้านำสิ่งใดมาให้พี่รึ”เวลาล่วงเลยมาเกินความจำเป็นที่จะสนทนากับแขกต่อไปให้ยืดเยื้อ เจ้าของตำหนักจึงเอ่ยถึงเรื่องอื่นเสีย เพื่อที่จะได้ดึงเข้าสู่การจบบทสนทนาในวันนี้ลง“จริงสิเพคะ กั๋วเชียงได้นำรากบัวหิมะต้มน้ำแกงสามรส มาถวายฮองเฮาด้วยนะเพคะ กั๋วเชียงได้ยินมาว่า พระนางทรงมีสุขภาพมิค่อยแข็งแรง เลยให้อี้กงกงนำรากบัวหิมะจากแคว้นตงนำไปต้มถวายเป็นเครื่องบำรุงมาให้เสวยเพคะ”พระสนมคนใหม่ได้เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มสดใสดั่งพระอาทิตย์ยามเช้าให้แก่ภรรยาเอกของพระสวามี ก่อนจะเอี้ยวกายไปยังด้านของกงกงผู้ดูแล โดยขณะนี้ ในมือของอี้กงกงได้มีถ้วยหยกขาววางอยู่บนถาดสีทองรออยู่แล้ว“ขอบใจเจ้ามาก น้องกั๋วเชียง ลำบากเจ้าแล้วจริง ๆ ไหนจะเดินทางม
อี้กงกงที่มองเจ้าของตำหนักอยู่ก่อนแล้วลอบกระหยิ่มอยู่ภายในใจ หากสิ้นฮองเฮาไปจริง ตำแหน่งสูงสุดจะต้องตกเป็นของเจ้านายคนใหม่ของเขาอย่างแน่นอน“กระหม่อมเต็มใจอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะที่จะรับใช้พระนางจนชีวิตจะหาไม่ ทูลพระนาง แต่ครั้งนี้ มิใช่กระหม่อมที่เป็นผู้เสาะหาสมุนไพรล้ำค่า มาในวันนี้พ่ะย่ะค่ะ”“หือ! มิใช่ท่าน แล้วเป็นผู้ใดกันเล่า”“ทูลเชิญองค์หญิงแห่งแคว้นตง เข้าเฝ้าฮองเฮาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อกล่าวจบ อี้กงกงยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันไปยังหน้าประตู เพียงครู่เดียวก็ปรากฏร่างระหงของหญิงสาววัยแรกแย้มในชุดหรูหรา แต่ทว่า เสื้อผ้าบนกายของผู้มาใหม่กลับเปิดเผยเสียจนน่ากลัวว่า อาภรณ์เหล่านั้นจะหลุดร่วงออกมากองอยู่บนพื้นเสียให้ได้เสียงกำไลข้อมือและข้อเท้าของหญิงสาวเมื่อกระทบกันเป็นระยะฟังแล้วช่างเสนาะหูยิ่งนัก หญิงสาวก้าวเข้ามาด้านในอย่างช้า ๆ ด้วยท่าทางประดุจนางหงส์ ดวงตากลมโตสดใสปานลูกแก้วล้ำค่า กลิ่นกายหอมฟุ้งกระจายเมื่อร่างบางก้าวขยับเข้ามาใกล้ เรียวปากอวบอิ่มได้รูป เหยียดออกแต่พองาม หญิงสาวผู้นี้มีความงดงามสมวัยยิ่งนักผู้เป็นเจ้าของตำหนักจำต้องขยับกายขึ้นนั่งตัวตรงเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่แขกผู้ม
แต่ใช่ว่าเขาจะมิเฝ้าติดตามสตรีตรงหน้าเสียเมื่อไหร่กัน เขาคอยแอบสอดส่องดูแลปกป้องนางอย่างลับ ๆ เสมอมา หากมีสิ่งใดล้ำค่า เขาจะฝากผู้เป็นบิดา นำไปมอบแก่นางมิเคยขาด“ท่านแม่ ลูกอกตัญญูนักที่ทำให้ท่านมีน้ำตาอีกครั้งในวันนี้”โม่คังเงยหน้าสบตามารดาอีกครั้ง ก่อนที่มือหนาจะเอื้อมไปเช็ดหยดน้ำที่หลุดร่วงจากหน่วยตางามคู่นั้นมือบางของจ้าวเหลียนถึงกับสั่นระริกด้วยมิอาจความคุม ความตื่นเต้นดีใจผสมปนเปไปด้วยความสับสนอยู่ไม่น้อย นางได้เอี้ยวใบหน้าหันมองทุกคนอีกครั้ง ก่อนที่ครอบครัวของนางจะพยักหน้าเบา ๆ เป็นการยืนยัน ว่าชายหนุ่มตรงหน้าของนางในตอนนี้คือบุตรชายที่ตายไปแล้วหนหนึ่ง เมื่อในอดีตครั้งที่ชายหนุ่มยังวัยเยาว์ร่างระหงอ้าแขนออกกว้าง เพื่อรอรับร่างสูงที่นางเฝ้าคะนึงหามาแสนนาน โม่คังขยับเข้าใกล้ผู้เป็นแม่ ก่อนจะสวมกอดตอบอ้อมแขนที่เขาคิดถึงจนสุดหัวใจทุกห้วงเวลาเลยก็ว่าได้โม่เหยียนเฉาใช้มือตบหหนัก ๆ ลงบนหลังของชายหนุ่ม เป็นการย้ำเตือนตนเองด้วยว่าบุตรชายเพียงเดียวของเขายังคงอยู่เคียงข้าง มิได้หายไปจากเขาอย่างที่ผู้คนทั่วแคว้นกล่าวถึง“เอาละ…น้องหญิง วันนี้ เด็ก ๆ เหนื่อยมามากแล้ว เจ้าก็อย่าได้ร้องห่
ถงเหยียนเจี๋ยกำลังพยายามปรับสีหน้าของตนเองอยู่ในที ด้วยเวลานี้ เขามั่นใจว่าตนเองนั้นกำลังมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างแน่นอน รู้สึกได้จากอาการร้อนผ่าวที่มิยอมคลายลงเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างภรรยา“ถงเหยียนเจี๋ย คารวะท่านพ่อตา ท่านแม่ยายทั้งสี่ขอรับ”“ฟางเล่อคารวะ ท่านลุง ท่านป้า ท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ”“ไม่ต้องมากพิธีหลานรัก มา ๆ นั่งข้าง ๆ ลุงนี่มา”ยังคงเป็นโม่เหยียนเฉาที่เอ่ยปากออกมาเช่นเคย เขาเองมิขัดข้องกับการพูดกับลูกหลาน แต่มันดูจะเอาเปรียบเขาเกินไปหรือไม่ น้องชายก็เอาแต่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มิใคร่พูดจา หรือเพียงเพราะเขาอายุมากสุด เลยต้องเป็นเขาที่จำต้องรับหน้าไปเสียทุกอย่างกระนั้นหรือ“เจ้าค่ะ ท่านลุง”โม่ฟางเล่อก้าวอ้อมไปนั่งด้านข้างของผู้เป็นลุง ก่อนจะส่งยิ้มละมุนให้กับทุก ๆ คน กิริยาของหญิงสาวช่างอ่อนหวานงดงามทำให้ทั้งผู้เป็นลุง ป้าและบิดามารดาชื่นมื่นกันทุกคน“เอาละ มากันครบแล้ว เราลงมือกินข้าวกันเลยดีรึไม่”ในที่สุด โม่เหยาก็ได้ฤกษ์ที่จะส่งเสียงออกมาเสียทีทำให้ผู้เป็นพี่ชายส่งสายตาคาดโทษไปให้จ้าวเหลียนมองชายหนุ่มที่ยังยืนนิ่งอยู่ห่างออกไ
เพียงพริบตา ร่างสูงไร้ซึ่งอาภรณ์ปิดกายได้ยืนกางแขนเอาหลังดันประตูเอาไว้ด้วยอาการตื่นตกใจ มิแพ้กับร่างบางที่พันกายห่อตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่ม“ข้ากำลังจะออกไปขอรับ ท่านพี่นำไปก่อนเลยขอรับ ประเดี๋ยว ข้าจะรีบตามไปนะขอรับ พอดีเล่อเล่อ...นางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่”เจ้าของห้องรีบละล่ำละลักบอกคนด้านนอกก่อนที่อีกฝ่ายจะบุกเข้ามาด้านใน“อ้อ…เช่นนั้น ข้ามิกวนพวกเจ้าแล้ว”โม่คังลากเสียงยาว ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่เสมือนเขารู้ว่าแท้จริงคนด้านในกำลังทำสิ่งใดกันอยู่ก็มิปานคำพูดของโม่คังเมื่อครู่ยิ่งทำให้สองสามีภรรยาแทบอยากละลายกลายเป็นไอหายไปยิ่งนัก หากผู้ใดมาเห็นสภาพของทั้งคู่ โดยเฉพาะถงเหยียนเจี๋ย ก็คงอดขำมิได้กับการที่ชายหนุ่มยืนตัวแดงก่ำเสมือนกุ้งต้ม ซ้ำยังไร้อาภรณ์ติดกาย ยืนขวางประตูเอาไว้อย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันการบุกรุกจากพี่ชายของหญิงสาวบนเตียงถงเหยียนเจี๋ยจัดการตรวจสอบอีกครั้งว่าได้ลงสอดไม้ขัดประตูไว้อย่างดีแล้ว ก่อนที่รางสูงจะก้าวเร็ว ๆ กลับขึ้นไปบนเตียงนอน ร่างแกร่งคว่ำหน้าลงทาบทับคนที่กำลังชุกซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่“จะรักษาต่อให้เสร็จ หรือจะตามพี่ชายเจ้าออกไปกัน หืม!”“ต้องถามตัวท่
ห้องครัว ณ เซียนอี้เสียงทำอาหารภายในห้องครัวส่วนตัวเล็ดลอดออกมาให้คนที่แอบอยู่ด้านนอกได้ยินกันถ้วนหน้า หมิงจงเป่าได้สั่งให้คนของตนเองมาคอยสอดแนมดูว่า หญิงสาวได้เปลี่ยนแปลงรายการอาหารหรือไม่ เพราะเกรงว่าฟางเล่อจะจับได้ว่าอาหารที่จะขึ้นโต๊ะในคืนนี้มิใช่ฝีมือของนาง“เรียนนายหญิง นายท่านและท่านอ๋องน้อย ผู้ติดตามเยว่คัง พร้อมทั้งคุณหนูเมี่ยวจ้านกลับมาแล้วขอรับ”“งั้นเร็วเข้า พวกเจ้าทยอยนำอาหาร ขึ้นไปจัดเตรียมยังห้องรับรอง ป่านนี้คงพากันหิวแย่ ปลาของข้าได้รึยัง เสร็จแล้วเอามาตรงนี้ ข้าจะปรุง”เมื่อได้ยินว่าพี่ชายและสามี รวมถึงว่าที่พี่สะใภ้กลับมาแล้ว ฟางเล่อเร่งลงมือกับวัตถุดิบตรงหน้า โดยมีเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมช่วยจัดเตรียมข้าวของช่วยอีกแรง มือบางที่ยังเผยให้เห็นรอยฟกช้ำจากการต่อสู้เมื่อกลางวัน แต่หญิงสาวหาได้ใส่ใจไม่ อาหารคือสิ่งจำเป็นในชีวิต ยิ่งในสงคราม หากทหารมิอิ่มท้อง ต่อให้เก่งเทียมฟ้าก็ต้องพ่ายแพ้หากไร้ซึ่งอาหารมาสร้างกำลังให้แก่ตนเองนับตั้งแต่แต่งงาน มีแค่มิกี่ครั้งที่นางลงมือปรุงอาหารให้แก่สามีและครอบครัว วันนี้นับว่าเป็นโอกาสของนางอีกคราที่จะได้แสดงความสามารถด้านนี้ให้ทุกคนไ
“ท่านไม่ควรทำเช่นนี้ เป็นสิ่งที่อันตรายเกินไปแล้วที่วางใจศัตรู เพราะต่อให้ท่านมิลงมือสังหารข้า ท่านจะมั่นใจได้อย่างไรว่าข้าจะไม่ทำร้ายท่าน อย่าได้ทำเช่นนี้อีก อะ…องค์…”ชายหนุ่มกลืนคำพูดทั้งหมดลงไปในลำคอ เมื่อช่วงที่ต่อสู้กันนั้น เขาไม่มีโอกาสเห็นบุรุษตรงหน้าได้ชัดเจนนัก แม้คราแรกที่สบตาหลังจากเขาฟื้นขึ้นมาหลังจากตกเป็นเชลย ในตอนนั้นจะตกใจอยู่มาก แต่ทว่า เขาก็ยังไม่แน่ใจเท่าใดนัก ทว่าเวลานี้ เขาเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นแม้จะเป็นยามค่ำคืนก็ตามที สิ่งสำคัญคือเขามั่นใจแล้วนั่นเองว่าชายหนุ่มคือใคร“ช่างเป็นศิลปะที่งดงามยิ่ง”“อะไร…ท่านหมายถึงสิ่งใดกันพี่ชาย”“ตัวอักษร ‘เยว่’ บนอกของท่านอย่างไรเล่า แม้เห็นเพียงรำไร มันก็ดูงดงามยิ่งใหญ่นัก”ถงเหยียนเจี๋ยยกมือขึ้นลูบกลางแผ่นอกของตนเอง เสื้อที่ภรรยาเลือกให้สวมใส่ในวันนี้ใช่ว่าจะปิดไม่มิด แต่เพราะการต่อสู้กับคนตรงหน้าทำให้มันถูกคมอาวุธจนเปิดออก เผยให้เห็นแผ่นอกของเขา รอยสักนี้ ทุกคนเคยเห็นมาแล้ว และมันมิได้สำคัญอันใดที่จะต้องปกปิด มันดูธรรมดามากสำหรับตัวเขาและสหาย คนตรงหน้ากลับบอกว่ามันงดงาม“ท่านมิใช่คนชีเป่ยรึถึงอ่านคำนี้ออก รอยสักเช่นนี้ ผู้ใดก
“เจ้าจัดการเถอะ หากเมื่อใดคิดว่าเขามิปลอดภัยสำหรับเราก็จงจัดการเสีย”“ท่านพ่อโปรดวางใจ คืนนี้ เราต้องพาเมิ่งชีไปยังฐานใหญ่ให้ได้เสียก่อน”ราชครูหลิวได้แต่เมินหน้าไปอีกทาง เขาไม่พร้อมที่จะเห็นบุตรสาวในตอนนี้ เขาอยากที่จะปลดปล่อยความเจ็บปวดออกมายิ่งนัก แต่จำต้องกล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้ภายในหยางซานซินมิใช่คนที่เขาควรต่อกรในเวลานี้ คนผู้นี้อันตรายเกินกว่าที่เขาคาดการณ์นัก คิดจะเก็บศัตรูไว้ข้างกายเพื่อหลอกใช้คนเช่นชูถง ช่างเป็นความคิดที่โง่เขลานัก แต่เขามิอาจพูดอันใดได้มากกว่านี้เพราะตอนนี้หยางซานซินเสมือนกับมิใช่คนที่เขาเคยรู้จัก หากพูดมากไป ตัวเขาเองก็คงมิพ้นถูกกำจัดเช่นกัน ไร้บุตรสาว ตัวเขาก็เสมือนไร้เขี้ยวเล็บ ด้วยอำนาจในราชสำนักเริ่มเสื่อมถอยตามวัยของเขา“ข้าจะไปเตรียมตัว เจ้าควรให้หมอมาดูแผลสักหน่อยนะ”“ท่านพ่อ กลับไปเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับคืนนี้เถอะขอรับ ทางนี้ ข้าจัดการเอง”ราชครูหลิวลุกขึ้น เดินตรงไปยังหน้ากระโจมด้วยหัวใจอันร้าวราน ทุกย่างก้าวมันช่างหนักอึ้งจนแทบขยับมิได้เลยทีเดียวหยางซานซินมองตามบิดาคนรัก ไปด้วยสายตายากที่จะอ่านออก สิ่งที่เขาต้องทำยังมีอีกมาก จะมามัวเสียเวลากับคนแก
ค่ายทหารเจียงไห่ราชครูหลิวเดินวนไปมาอยู่ภายในกระโจมบัญชาการด้วยความร้อนใจอย่างที่สุด การหายตัวไปของหยางซานซิน เขาเองก็สงสัยมากพออยู่แล้ว ซ้ำเวลานี้ บุตรสาวก็ยังไร้วี่แววว่าจะกลับมา เขาจะทำอย่างไรดี“ท่านราชครู ท่านเสนาบดีและท่านแม่ทัพใหญ่กลับมาแล้วขอรับ”ฟึบ!ยังมิทันได้ก้าวออกไปด้านนอก ร่างสูงของเสนาบดีหนุ่มก็ก้าวเข้ามาพร้อมห่อผ้าสีดำขนาดใหญ่ ตามมาด้วยหยางซานซินที่มีรองแม่ทัพซ้ายคอยพยุงเอาไว้“เป่าชุน เจ้าจัดการให้เรียบร้อยตามที่ข้าบอก ห้ามให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด”“ขอรับท่านเสนาบดี ข้าจะรีบจัดการในทันที”“อะไรกัน มันเรื่องอะไรกัน ท่านเสนาบดี ท่านแม่ทัพใหญ่ เกิดอะไรขึ้น ละ…แล้วนี่...มันคือสิ่งใด”ราชครูหลิวถามคนทั้งคู่ด้วยน้ำเสียงร้อนรนยิ่งนัก ก่อนจะชี้นิ้ว มายังสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของเสนาบดีหนุ่มชูถงเดินไปยังด้านในโดยมีหยางซานซินเดินนำไปก่อน พร้อมทั้งกวาดสิ่งของทั้งหมดออกจากโต๊ะตัวใหญ่ของหยางซานหลาง ก่อนที่ชูถงจะวางห่อผ้าลงอย่างเบามือ“ท่านราชครู ข้าขอให้ท่านทำใจสักหน่อย อีกเรื่องก็คืออย่าได้แพร่งพรายถึงสิ่งที่อยู่ในห่อผ้านั่นออกไปให้ผู้ใดรับรู้อีกเป็นอันขาด มิใช่ข้าที