“อ่า! เช่นนั้นหรอกหรือ ช่างรอบรู้เสียจริง ๆ ข้าไม่เคยบอกว่าตัวข้านี้เป็นใคร เจ้ากลับรู้ดีกว่าตัวข้าเสียอีกว่าผู้ใดคือมารดาของข้า นอกเสียจากว่าเจ้าจะรู้จักครอบครัวข้าเป็นอย่างดี หรือเจ้าก็คือหนึ่งในสกุลหยางกันนะ…รึข้าเดาผิด เช่นนั้นก็คงเป็นคนที่รู้จักข้ามากกว่าพ่อแม่แท้ ๆ ของข้าเองกระมัง”
มีแค่เพียงคนสนิทของพระบิดาเท่านั้นที่รู้ความจริงเรื่องชาติกำเนิดแท้จริงของนาง
“...” ไม่มีคำตอบจากคนที่กำลังหาจังหวะลงมือต่อหญิงสาว
ศัตรูที่มีไม่ใช่แค่ภายในแคว้นชีเป่ย แต่ด้วยตำแหน่งของนางนั้น จิ้งหนานก็ย่อมมีคนตามล่านางเช่นกัน มันจะเป็นใคร นางไม่ขอใส่ใจ ตอนนี้ต้องปกป้องคนที่นางรักให้ปลอดภัยเสียก่อนเท่านั้นเป็นพอ
“เงียบทำไมกัน ข้ายินดีที่จะพบปะกับผู้มีความรู้มากเลยรู้หรือไม่ ยิ่งคนที่ล่วงรู้ชีวิตผู้อื่นเป็นอย่างดี…ยกเว้นตัวเอง”
เมี่ยวจ้านพูดยั่วยุเพื่อให้อีกฝ่ายเผยที่ซ่อน ซึ่งคนผู้นี้ร้ายกาจมิเบาที่สามารถเคลื่อนไหวรอบกายนางได้โดยไร้ร่องรอยให้พบเห็น
“วันนี้ ข้าไม่อยากเล่นกับเจ้า เด็กน้อย ข้าให้โอกาสเจ้าหนีได้หนึ่งครั้ง”
ฉึก!
มีดสั้นคู่กายของเมี่ยวจ้าน ปักอยู่ที่ลำคอของคนพูด
“ข้ารอคำนี้มานานแล้ว”
เมี่ยวจ้านแค่ต้องการรู้ตำแหน่งเท่านั้น นางไม่ได้ต้องการเสวนาให้เปลืองเวลาของนางขนาดนั้น คนที่กำลังจะสิ้นลมถึงกับดวงตาเหลือกค้าง เมื่อร่างบางของเจ้าของมีดได้ก้าวมายืนตรงหน้า
“อึก!” ไม่อยากเชื่อเลยว่า เขาจะพลาดท่าให้กับเด็กเมื่อวานซืน แถมยังเป็นสตรีอีกด้วย
“ข้าขอมีดคืนนะ” เมี่ยวจ้านดึงมีดออกจากลำคอของคนที่ล้มตึงลง เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เมี่ยวจ้านรีบพุ่งตรงกลับไปยังจุดที่จากมา โดยไม่ได้สนใจคนร้ายเลยแม้แต่น้อย
‘สงครามไม่อาจใจอ่อนได้’
และนางก็ไม่อยากรู้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร เพราะเมื่อใดที่กลับจิ้งหนานก็รู้เองหากมีใครหายไป
เมี่ยวจ้านเดินเข้าหามารดาและพี่ชาย ทุกย่างก้าวมันช่างหนักอึ้งจนเกินจะพรรณนาได้ ดวงตาแดงก่ำด้วยความสะเทือนใจกับภาพตรงหน้า นางมิได้ริษยาพี่ชายหรือน้อยใจอันใดแล้วในตอนนี้ แต่น้ำใส ๆ ที่เอ่อล้นออกมา มันคือความสงสารในความอาภัพของพี่ชายต่างมารดา
‘นี่สินะคำว่าสายเลือด’
แม้จะเกลียดบิดาเพียงใด แต่กับพี่ชายนั้น นางมิได้แค้นเคืองอันใดมากมายนัก
อย่างน้อยที่ผ่านมากว่ายี่สิบปีนั้น หยางซานหลางก็ดูแลมารดาของนางเป็นอย่างดี ดุจแม่ผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงก็มิปาน หญิงสาวหยุดเท้าตรงหน้าทั้งสอง ก่อนจะนั่งลงโดยเข่าสองข้างกระแทกลงต่อหน้าชายหนุ่ม หยางซานหลางพยายามปรือตามองผู้มาใหม่ซึ่งตอนนี้ก้มหัวลงเป็นการคำนับเขา แต่ไร้สุ้มเสียงใด ๆ จากปากของน้องสาวที่เขาแสนริษยาในความโชคดีของนาง
น้องสาวผู้ได้ถือกำเนิดจากสตรีที่แสนดี เช่นคนที่กำลังโอบกอดเขาพร้อมทั้งร้องเพลงขับกล่อมอยู่ในตอนนี้ เสมือนเขาคือเด็กชายเมื่อวัยเยาว์…ใช่แล้ว ท่านแม่ของเขาต้องการให้เขาหลับและจากไปอย่างมีความสุขที่สุด มันคือสิ่งที่เขาเองก็ต้องการ
เมี่ยวจ้านกลั้นสะอื้นเอาไว้สุดความสามารถ ไหล่บางไหวสะท้านด้วยพยายาม มิให้เสียงใด ๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากบาง นางจะส่งพี่ชายให้หลับโดยมีความสุขใจให้มากที่สุด
“ท่านพี่…สิ่งใดที่ท่านทำกับข้า นับจากนี้ น้องสาวจะมิถือสาหาความกับมัน และสิ่งใดที่ข้าได้ล่วงเกินท่านพี่ไป ได้โปรดอภัยให้แก่ข้าด้วย เราไร้ซึ่งวาสนาที่จะเป็นพี่น้องร่วมมารดาในชาตินี้ แต่บุญคุณของท่านพี่ที่คอยดูแลท่านแม่แทนข้า โปรดรับการคำนับจากเมี่ยวจ้านด้วยนะเจ้าคะ”
เมี่ยวจ้านยังมิเงยหน้ามองพี่ชาย หน้าผากของหญิงสาวยังคงแตะอยู่ที่พื้นดิน หยางซานหลางหลับตาลงช้า ๆ เขามิจำต้องข่มกลั้นความเจ็บปวดใด ๆ อีกต่อไปแล้ว สำนึกผิดตอนนี้ก็สายเกินไป และต่อให้เขามีลมหายใจอยู่ต่อก็มิอาจสู้หน้าผู้ใดได้ ด้วยความเลวร้ายที่ได้ก่อเอาไว้ มันสมควรแล้วที่จะจบลงด้วยชีวิตของเขาเอง
ทางด้านหมิงจงเป่าที่กำลังประมือกับศิษย์น้องของเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสามแม่ลูกนัก เขาเห็นทุก ๆ อย่าง แม้จะไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นก็ตามที
“มันคือชะตากรรม” คำพูดเพียงแผ่วเบาของเขา ไม่อาจทำให้สามแม่ลูกที่กำลังโอบกอดกันร่ำไห้อยู่นั้นได้ยิน
ช่างเป็นภาพที่น่าสะเทือนใจจนทำให้ผู้พบเห็นอดที่จะเศร้าเสียใจตามมิได้ แม้หยางซานหลางจะร้ายกาจเพียงใด มันก็มิใช่ความผิดเขาแต่ผู้เดียว ถ้าจะโทษแล้วคงหนีไม่พ้นบิดาของชายหนุ่มเองที่ไม่รักลูกจริงอย่างที่ปากพูด มิเช่นนั้นคงไม่ดึงเอาบุตรชายมาร่วมชะตากรรมที่โหดร้าย และทำในสิ่งที่ผิดต่อคุณธรรมเช่นนี้
ไหนจะอยู่ ๆ วันหนึ่ง…พ่อลุกขึ้นมาฆ่าแม่ แล้วกลับกลายเป็นว่า เขามิใช่บุตรของแม่ผู้เลี้ยงดู ความจริงที่ปรากฏ มันเป็นการทำร้ายจิตใจของแม่ทัพหนุ่มจนเขาไม่อาจทนรับมันได้ แต่ก็จำต้องเก็บเป็นความลับ เพราะหากเรื่องราวของหยางซานหลางนั้นหลุดออกไป รังแต่จะมีภัยมาสู่สามคนพ่อแม่ลูก
คงด้วยเหตุผลนี้ หยางซานหลางจึงยอมที่จะกำจัดหลิวเจินเจิน ผู้เป็นมารดาเลี้ยงตามคำสั่งผู้เป็นพ่อ แต่ตอนนี้ ภาพสามแม่ลูกโอบกอดล่ำลา หนึ่งในนั้นที่จะไม่มีโอกาสได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้อีกต่อไป เป็นที่น่าเห็นใจคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ยิ่งนัก
หมิงจงเป่าดึงความคิดกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เมื่ออาวุธในมือของเจิ้งถงเฉียดกายเขาไปเพียงเล็กน้อย
“เจิ้งถง! เจ้าควรเลิกฝันเฟื่องได้แล้วนะ อย่างไรวันนี้ ข้าก็ไม่ให้เจ้าได้แตะต้องท่านประมุขแน่นอน”
หมิงจงเป่ารู้เป้าหมายที่แท้จริงของศิษย์น้องของตนเองดี หลายครั้งแล้วที่เจิ้งถงพยายามที่จะหลบหลีกเขา เพื่อเข้าหาฟางเล่อที่กำลังรับมืออยู่กับนางมารน้อยจีกวานฮวา
“ศิษย์พี่! ท่านควรจะมองความเป็นจริงให้มากนะ ข้าเป็นบุรุษ อย่างไรเสียก็เหมาะที่จะเป็นผู้นำมากกว่าท่านหญิงผู้อ่อนแอ”
เจิ้งถงเห็นชัดเจนว่าประมุขพรรคโลกันต์นั้นมีฝีมือสูงส่งไม่ใช่น้อย เขาเองใช่จะล้มนางลงได้โดยง่ายหากปะทะกันตรง ๆ โดยไร้คนช่วย การที่เขาหมายจะเล่นงานนางในเวลานี้ให้ได้ เพราะมีจีกวานฮวาช่วยในการลงมือ จีกวานฮวามิได้อยู่ในสายตาเขาสักนิด แต่เวลานี้ หญิงสาวนับว่ามีประโยชน์ต่อเขาเป็นอย่างมาก
ก่อนอื่นต้องหาทางกำจัดผู้คุ้มกัน นั่นก็คือศิษย์พี่ที่ยังคงขวางทางเขาอยู่ในตอนนี้ และดูเหมือนมันจะไม่ง่ายอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ในทีแรกเอาเสียเลย ขนาดเวลาพลั้งเผลอของอีกฝ่าย เขายังมิอาจลงมือได้เลย
“ฮา ๆ…รักษาลมหายใจของเจ้าให้ได้เสียก่อน ค่อยคิดเรื่องอื่น เจิ้งถง”
สิ้นคำพูด…เจิ้งถงถึงกับขนลุกเกรียว เมื่ออยู่ ๆ ศิษย์พี่ของเขาก็หายไปจากตรงหน้า ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาจ้องอีกฝ่ายตาไม่กะพริบเลยด้วยซ้ำ
‘เป็นไปไม่ได้’
“คิดว่าจะหลบข้าพ้นรึศิษย์พี่”
เจิ้งถงกล่าวออกมาอย่างเชื่อมั่นในตนเอง แต่ภายในใจเขาหวาดหวั่นอยู่มากทีเดียว
‘ข้าไม่น่ารีบสังหารอาจารย์เลย’ เจิ้งถงรู้สึกเสียดายที่มิคิดร่ำเรียนจนสำเร็จทุกวิชาเสียก่อนค่อยลงมือต่ออาจารย์ของตนเอง
“คนบาปหนาเช่นเจ้า มันไร้วาสนาที่จะได้เรียนรู้ ทางที่ดีจงเตรียมตัวเพื่อไปขอขมาอาจารย์ของเจ้าในยมโลกจะดีกว่านะ”
หมิงจงเป่าส่งเพียงเสียงแต่มิปรากฏกายให้อีกฝ่ายเห็น เวลานี้ ทหารติดตามไม่มีแล้วก็จริง แต่เขาวางใจอะไรไม่ได้ เพราะการที่หยางซานหลางต้องตาย นั่นหมายความว่ามีคนอื่นอีกนอกเหนือจากพวกเขาและคนของหยางซานหลางเพราะอยู่ ๆ ลูกธนูจะโผล่มาจากที่ใดได้ ในเมื่อเขาคอยจับตาอยู่ตลอดทั้งรับมือศิษย์น้องและคนของแม่ทัพหนุ่ม เขามั่นใจว่าไม่มีใครที่ยกคันศรอย่างแน่นอน นั่นบ่งบอกได้ว่ามีคนแฝงตัวอยู่เพื่อคอยสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล เขาจะมิยอมวางใจในสิ่งที่มองไม่เห็นเป็นอันขาด อาจมีใครอีกที่คอยฉวยโอกาสกับเรื่องนี้ มิตรแท้ไม่เคยมีในการแย่งชิงอำนาจเจิ้งถงพยายามเป็นอย่างมาก ในการเพ่งสมาธิเพื่อจับทิศทางของเสียงจากคนที่หายตัวไปอย่างรวดเร็ว“ท่านช่างน่าขบขันนึกศิษย์พี่ที่คิดจะทดสอบความสามารถของข้า ข้าเองก็อยากรู้นักว่า ท่านจะใช้อีกกี่กระบวนท่า เพื่อขัดขวางข้ามิให้ช่วงชิงลมหายใจของประมุขพรรคโลกันต์ได้”ขวับ! เจิ้งถงหันไปทางด้านซ้าย เมื่อเขาเห็นเงาร่างของศิษย์พี่ของตนยืนอยู่ และเป็นเช่นนั้น เมื่อหมิงจงเป่าปรากฏกายขึ้น ทั้งยังยืนนิ่งเฉยเหมือนไร้ความรู้สึกกลัวหรือกดดันแม้แต่น้อย มีเพียงรอยยิ้มกว้างเฉกเช่นคนอารมณ์ดีเท่านั้นท
‘ท่านอาจารย์…ไยทิ้งข้าตอนนี้เล่า’“โม่ไป๋หลาน…ข้าจะไม่มีวันให้เจ้าพ้นมือข้าอีกครั้งเป็นแน่”จีกวานฮวายังคงพูดจาข่มขู่โม่ฟางเล่อ พร้อมทั้งไล่ตามอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่งเหมือนโม่ฟ่างเล่อคือเหยื่ออันโอชะในเวลานี้โม่ฟางเล่อเองยังคงเคลื่อนไหวต่อไป พร้อมคอยจับสังเกตหาจุดอ่อนบนร่างกายของนางมาร ผู้กำลังควบคุมตนเองไม่ได้แล้ว ทว่า…‘เจอจนได้’“นั่น…มันเรื่องของเจ้าน้องสาว สำหรับตัวข้าไม่เคยคิดจะแย่งชิงอันใดกับเจ้าเลย แต่จะมิละเว้นคนที่เคยลงมือสังหารข้าเช่นกัน”ฟางเล่อยังคงต่อคำกับอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ เพื่อทำลายสมาธิของอีกฝ่ายไปด้วย ฟางเล่อจำต้องใช้หลักการหันเหเพื่อเรียกความสนใจของจีกวานฮวา ทั้งยังหาจังหวะจัดการกับอีกฝ่าย เพราะนางเห็นแล้วว่าจุดอ่อนของจีกวานฮวาคือที่ใดยิ่งสภาวะจิตใจของจีกวานฮวากำลังสาหัสจนเกินเยียวยา โม่ฟางเล่อจึงอาศัยโอกาสนี้ราดน้ำเกลือลงสู่บาดแผลที่ละน้อย เมื่ออีกฝ่ายไร้เมตตาต่อนาง ตัวนางเองก็ไม่จำเป็นต้องปรานีคนอย่างจีกวานฮวาเช่นกันเหมือนกับว่าฟางเล่อกำลังสะกดจิตของนางเองให้ไร้เมตตา เพื่อตัดขาดความอ่อนแอทางจิตใจให้ง่ายต่อการลงมือต่อศัตรู นี่เป็นครั้งแรกที่นางจับอาวุธสังหารคนจริง
ป่าอีกด้านหมิงจงเป่ายืนจ้องมองไปยังเจิ้งถงซึ่งกำลังมีสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความแค้นเคืองในตัวของศิษย์พี่ของตน ซึ่งแตกต่างกับรอยยิ้มกว้างของหมิงจงเป่าที่เหมือนชายผู้นี้ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรกับเรื่องตรงหน้าเลยสักนิดโดยตอนนี้ แขนของเจิ้งถงได้ห้อยลงข้างลำตัวทั้งยังสร้างความเจ็บปวดให้เจ้าตัวอยู่ไม่น้อย ทั้งยังมีเลือดสีแดงไหลจากต้นแขน เรื่อยลงมาจนถึงปลายนิ้ว ก่อนหยดลงลงสู่พื้นดินด้านล่าง กรามหนาของเจิ้งถงเป็นสันนูนจากการขบกัดของเจ้าตัวเอง“เจิ้งถง…หากคนอย่างข้าไร้ซึ่งฝีมือจริงคงมิอาจนั่งในตำแหน่งที่เจ้าปรารถนาได้กระมัง เจ้าไม่ควรที่จะท้าทายในสิ่งที่เหนือความสามารถของตนเอง หากเจ้ามีความเมตตา มิเห็นแก่ได้จนดวงตามืดบอด มีหรือตำแหน่งของข้าจะไม่เป็นของเจ้าในครั้งอดีต ทุกอย่างที่เจ้าพลาดหวัง มันเป็นที่ตัวเจ้า ไม่ใช่เพราะข้าหรือใครทั้งสิ้น”“หุปปาก! ข้าจะไม่ยอมก้มหัวให้คนเช่นเจ้า เป็นอันขาด ข้าเกิดมาเพื่อครอบครองสิ่งล้ำค่า แต่เป็นพวกเจ้าที่ผลักไสข้าออกจากสิ่งนั้น ข้าทำผิดอันใดไยถึงกล้ามาบอกแก่ข้า ว่าไข่มุกโลกันต์มิเลือกคนเช่นข้า แต่เป็นคนวิปลาสอย่างเจ้าแทน”เจิ้งถงตวาดเสียงดัง เขาต้องไม่มีวันพ่าย
“เจ้าจะว่าข้าใจดำก็ได้นะ เจิ้งถง ที่ปล่อยให้เจ้าถูกสังหาร แต่จะโทษข้าก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะมันมิใช่หน้าที่ของข้าที่จะต้องปกป้องคนเช่นเจ้า”เขาเห็นแล้วว่ามีลูกธนูพุ่งมา และเขาไม่คิดที่จะหลบหรือช่วยเหลือเจิ้งถง เพราะมันมิใช่เรื่องของเขา แต่มันเป็นการฆ่าปิดปากของผู้ร่วมขบวนการเสียมากกว่า อย่างน้อย เขาก็แก้แค้นให้แล้ว โดยการสังหารมือธนู ถือว่าเขาก็ยังมีเมตตาอยู่บ้าง‘เจ้าควรขอบใจข้าเจิ้งถง ในความเป็นคนดีมีเมตตา สังหารคนที่ฆ่าเจ้า หึ ๆ’ ก่อนที่ร่างสูงของหมิงจงเป่าจะหายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงดวงตาที่เหลือกค้างของคนทรยศ โดยไม่มีผู้ใดเดาได้ว่า เจิ้งถงสิ้นใจด้วยความแค้น หรือความเศร้าเสียใจและสำนึกผิดกันแน่ แต่สำหรับหมิงจงเป่านั้น เขาคิดเพียงแค่ว่าตัวเขาทำได้ดีที่สุดเท่านี้ เพราะอย่างน้อย เขาก็มิได้ลงมือสังหารเจิ้งถงด้วยความแค้นในอดีตอย่างที่ควรจะเป็นค่ายทหารเจียงไห่เพล้ง! หยางซานชินถึงกับใบหน้าถอดสีที่อยู่ ๆ กาน้ำชาได้ตกลงแตกกระจาย เพียงแค่เขาเดินผ่าน ยังมิทันได้แตะต้องหรือเฉียดใกล้เลยด้วยซ้ำไป เสมือนลางร้ายเกิดขึ้นในห้วงความคิดอย่างฉับพลัน แต่เขาจำต้องเก็บงำเอาไว้เสีย หยางซานซินปลอบใจต
ราชครูหลิว เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมอีกฝ่ายอยู่ในที ก่อนจะยกน้ำชาที่แม่ทัพหยางเป็นผู้รินให้ โดยไม่ได้หันไปสนใจว่าหยางซานซินจะพอใจเขาหรือไม่“ข้ามิได้ตั้งใจตำหนิท่านพ่อนะขอรับ เพียงแต่ข้ากำลังร้อนใจ เกรงว่าเมิ่งชีจะเกิดอันตราย นางมิคุ้นเคยกับชีวิตนอกวังเช่นนี้ ข้าแค่…”หยางซานซินจำต้องเงียบเสียงลง เมื่อราชครูหลิวได้ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าให้หยุดเอ่ยสิ่งใดอีก“แล้วเจ้าคิดว่า ข้ามิห่วงนางรึอย่างไรหยางซานซิน ข้าเป็นบิดาของนาง ข้าย่อมต้องคำนึงความปลอดภัยของบุตรสาวก่อนสิ่งอื่นใดอยู่แล้ว”ราชครูหลิวหันไปเผชิญหน้ากับเขยลับ ๆ ของตน ด้วยใบหน้าเรียบตึง แสดงชัดถึงความขุ่นเคืองอยู่ในที หยางซานซินทำได้เพียงกำหมัดแน่นอยู่บนต้นขาแกร่ง ก่อนจะก้มหน้าเล็กน้อยฟังคำพูดของบิดาคนรักต่อเงียบ ๆ“แต่เจ้าก็น่าจะรู้นะ หยางซานซิน ว่าเวลานี้ มันเหมาะหรือไม่ที่เราจะตื่นตูมต่อหน้าคนอย่างชูถง ในเมื่อเมิ่งชีบอกว่าจะไปชมตลาดเจียงไห่ หากข้าสั่งห้ามนางมิให้ไป เจ้าคนแซ่ชูก็ต้องตั้งคำถาม ว่าทำไม…นางถึงจะไปไม่ได้ หากบอกว่าที่นี่อันตราย เจ้าว่าคนอย่างชูถงรึจะรามือ คิดให้กว้างเสียบ้าง อย่าเอาความรู้สึกมาอยู่เหนือความเป็นจริ
โม่หยวนฟางลากเสียงยาวในตอนท้าย แต่ไม่ได้เอ่ยว่าเป็นเรื่องใด ก่อนจะแสร้งรินสุราแล้วยกขึ้นดื่มพร้อมใบหน้าดูสุขล้น จนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามรู้สึกอยากลงมือต่อผู้เป็นน้องชายซึ่งกำลังล้อเลียนเขาอยู่นั่นเอง“การจะเป็นราชบุตรเขยต่างแคว้นนั้นมิง่ายอย่างที่ใจคิด คู่แข่งย่อมมีมากไม่ใช่น้อย หรือเจ้าว่าอย่างไร หยวนฟาง”“แค่ก ๆ ท่านพี่…ทะ…ท่าน ฮึ่ย!”“หึ ๆ”โม่คังหัวเราะอยู่ในลำคอ การเย้าแหย่ของสองพี่น้องจำต้องยุติลง เมื่อมีเสียง กุบ! กับ! ของม้าที่ห้อมาอย่างเต็มกำลังหลายตัวตรงมาตามถนนที่ทั้งคู่กำลังนั่งร่ำสุรากันอยู่โม่คังเอื้อมมือไปยังหน้ากากสีเงินซึ่งวางไว้อีกด้านบนโต๊ะสุราขึ้นสวมปิดบังใบหน้า เขายังต้องเป็นเยว่คังอีกนาน ต่อให้หยางซานซินรู้ว่าเขาคือผู้ใด แต่ก็มิอาจได้เห็นหน้าตาของเขาอย่างแน่นอน“อย่าหนักมือนักนะ หยวนฟาง อย่างไร หยางซานซินก็เป็นสะพานชั้นดีของพวกเรา แต่ถ้าคิดว่าเขาอันตรายเกินก็ทำลายสะพานนั้นทิ้งเสีย”“ทราบแล้วท่านพี่ ท่านเองก็อย่าได้เมาสุราจนลืมปกป้องข้าด้วยเช่นกัน”“ฮา ๆ” สองพี่น้องส่งเสียงหัวเราะชอบใจเหมือนอันตรายที่กำลังจะมาถึงตัวนั้นมิได้สร้างความหวาดหวั่นแก่ทั้งคู่เลยสักนิดฮี้
“หึ ๆ” เสียงหัวเราะในลำคอดังลอดผ่านให้ได้ยินแม้จะเพียงบางเบาในความคิดของชายหนุ่ม แต่ด้วยความเงียบของถนนเปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ มันช่างก้องกังวานยิ่งนักทำให้คนฟังขุ่นเคืองใจเป็นเท่าทวีคูณ แต่ด้วยฐานะและภาพลักษณ์อันทรงเกียรติจำต้องนิ่งเอาไว้ให้มากที่สุด“ท่านช่างเรื่องมากเสียจริง หยางซานซิน กับแค่การลงจากหลังม้า และไปตรวจสอบสิ่งของที่ข้านำมาคืน ท่านจะโยกโย้ให้เสียเวลามากไปทำไมกัน หรือจะต้องให้ข้าเดินไปอุ้มท่านลงมา เช่นนั้นรึ!”เมื่อเอ่ยจบ ชายหนุ่มได้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับคณะของหยางซานซินเพียงแค่แวบแรกที่ใบหน้าหล่อเหลาหันมา ทุกคนบนหลังม้าถึงกับดวงตาเบิกโพลง ด้วยความตกใจ‘ท่านอ๋องน้อยโม่หยวนฟาง’ “เป็นไปไม่ได้ เจ้าเป็นผู้ใดกัน ไยกล้าปลอมแปลงเป็นท่านอ๋องน้อย เจ้าโจรชั่ว ต้องการอะไรกันแน่ หากมิบอกความจริงแก่ข้ามาก็อย่าหวังจะรอดพ้นน้ำมือข้าในวันนี้ได้!”หยางซานซินเอ่ยปากหยั่งเชิงศัตรู เขามั่นใจว่าคนตรงหน้านี้คือตัวจริง แต่หากเขาลงมือต่ออ๋องน้อยจนถึงตายขึ้นมา มันก็ยังพอมีข้ออ้างที่สมเหตุสมผลอยู่มากพอ ในเมื่อทุกคนยืนยันว่าท่านอ๋องน้อยพำนักอยู่ที่ซานซี แล้วจะมาปรากฏตัวที่ชาย
“ท่านยังเร็วมิพอ แม่ทัพหยาง…ความชราของท่านมันคืออุปสรรคสินะ!”ชายหนุ่มพูดทั้งยังส่งเสียงหัวเราะในลำคอโดยจงใจให้อีกฝ่ายได้ยินด้วย เพียงแค่ผ้าซึ่งคลุมปลายทวนหลุดออก เผยให้เห็นถึงรูปลักษณ์ของตัวทวนที่มีลวดลายเฉพาะ โดยตัวเนื้อเหล็กกล้าเชื่อกับด้ามทวนนั้น ฝังไว้ด้วยอัญมณีล้ำค่าซึ่งมีเพียงคนเดียวที่ใช้ทวนนี้ได้‘ทวนสวรรค์’ทหารติดตามถึงกับดวงตาเบิกโพลงเมื่อมองเห็นทวนของชายหนุ่ม ความสับสนได้เกิดขึ้นภายในใจกันมิน้อย ว่าคนตรงหน้าคือตัวจริงหรือปลอมกันแน่ แต่ทั้งหมดก็ไร้โอกาสที่จะมองให้ชัดเจนกว่าเดิม เพราะจำต้องรับมือกับชายสวมหน้ากากซึ่งแม้จะไร้อาวุธแต่กลับรวดเร็วยิ่งนัก ซ้ำยังใช้เพียงมือเปล่ารับมือกับพวกเขาได้อย่างง่ายดายหยางซานซินแม้จะต่อสู้อยู่กับโม่หยวนฟาง แต่ทุกครั้งที่การประมือของเขากับชายหนุ่มนั้นได้มีโอกาสหันไปยังด้านของคนสวมหน้ากาก เขาจะเห็นบางอย่างที่คุ้นเคย เสมือนเขาเคยพบเจอคนที่ใช้วิชาเช่นนี้มาก่อนหน้าแล้วเมื่อครั้งในอดีต“เสียเวลามากเกินไปแล้ว เด็กน้อย ถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว”หยางซานซินปลดปล่อยพลังออกมาจนเกิดเสียงระเบิดอย่างรุนแรงรอบกายเขาและโม่หยวนฟาง ทางด้านอ๋องหนุ่มเองได้ตั้งรับอ
เมื่อฮองเฮาเป็นผู้เปิดโอกาสให้แก่นางด้วยตนเอง มีหรือที่นางจะไม่รีบคว้าเอาไว้ในมือ แน่นอนว่าสักวัน อำนาจที่ถูกวางมาไว้ในมือนางจะมีค่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมฮองเฮาจ้าวเหลียนยิ้มอ่อนโยน แววตาไร้จริตมารยาส่งให้แก่ผู้เป็นภรรยาอีกคนของพระสวามี คำเรียกขานที่เปลี่ยนจากห่างเหินเป็นสนิทสนมขึ้นนั้นย่อมมีที่มาที่ไปเสมอ แต่มิจำเป็นต้องเล่าให้ผู้ใดรับรู้“น้องกั๋วเชียง เห็นอี้กงกงบอกว่า เจ้านำสิ่งใดมาให้พี่รึ”เวลาล่วงเลยมาเกินความจำเป็นที่จะสนทนากับแขกต่อไปให้ยืดเยื้อ เจ้าของตำหนักจึงเอ่ยถึงเรื่องอื่นเสีย เพื่อที่จะได้ดึงเข้าสู่การจบบทสนทนาในวันนี้ลง“จริงสิเพคะ กั๋วเชียงได้นำรากบัวหิมะต้มน้ำแกงสามรส มาถวายฮองเฮาด้วยนะเพคะ กั๋วเชียงได้ยินมาว่า พระนางทรงมีสุขภาพมิค่อยแข็งแรง เลยให้อี้กงกงนำรากบัวหิมะจากแคว้นตงนำไปต้มถวายเป็นเครื่องบำรุงมาให้เสวยเพคะ”พระสนมคนใหม่ได้เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มสดใสดั่งพระอาทิตย์ยามเช้าให้แก่ภรรยาเอกของพระสวามี ก่อนจะเอี้ยวกายไปยังด้านของกงกงผู้ดูแล โดยขณะนี้ ในมือของอี้กงกงได้มีถ้วยหยกขาววางอยู่บนถาดสีทองรออยู่แล้ว“ขอบใจเจ้ามาก น้องกั๋วเชียง ลำบากเจ้าแล้วจริง ๆ ไหนจะเดินทางม
อี้กงกงที่มองเจ้าของตำหนักอยู่ก่อนแล้วลอบกระหยิ่มอยู่ภายในใจ หากสิ้นฮองเฮาไปจริง ตำแหน่งสูงสุดจะต้องตกเป็นของเจ้านายคนใหม่ของเขาอย่างแน่นอน“กระหม่อมเต็มใจอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะที่จะรับใช้พระนางจนชีวิตจะหาไม่ ทูลพระนาง แต่ครั้งนี้ มิใช่กระหม่อมที่เป็นผู้เสาะหาสมุนไพรล้ำค่า มาในวันนี้พ่ะย่ะค่ะ”“หือ! มิใช่ท่าน แล้วเป็นผู้ใดกันเล่า”“ทูลเชิญองค์หญิงแห่งแคว้นตง เข้าเฝ้าฮองเฮาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อกล่าวจบ อี้กงกงยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันไปยังหน้าประตู เพียงครู่เดียวก็ปรากฏร่างระหงของหญิงสาววัยแรกแย้มในชุดหรูหรา แต่ทว่า เสื้อผ้าบนกายของผู้มาใหม่กลับเปิดเผยเสียจนน่ากลัวว่า อาภรณ์เหล่านั้นจะหลุดร่วงออกมากองอยู่บนพื้นเสียให้ได้เสียงกำไลข้อมือและข้อเท้าของหญิงสาวเมื่อกระทบกันเป็นระยะฟังแล้วช่างเสนาะหูยิ่งนัก หญิงสาวก้าวเข้ามาด้านในอย่างช้า ๆ ด้วยท่าทางประดุจนางหงส์ ดวงตากลมโตสดใสปานลูกแก้วล้ำค่า กลิ่นกายหอมฟุ้งกระจายเมื่อร่างบางก้าวขยับเข้ามาใกล้ เรียวปากอวบอิ่มได้รูป เหยียดออกแต่พองาม หญิงสาวผู้นี้มีความงดงามสมวัยยิ่งนักผู้เป็นเจ้าของตำหนักจำต้องขยับกายขึ้นนั่งตัวตรงเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่แขกผู้ม
แต่ใช่ว่าเขาจะมิเฝ้าติดตามสตรีตรงหน้าเสียเมื่อไหร่กัน เขาคอยแอบสอดส่องดูแลปกป้องนางอย่างลับ ๆ เสมอมา หากมีสิ่งใดล้ำค่า เขาจะฝากผู้เป็นบิดา นำไปมอบแก่นางมิเคยขาด“ท่านแม่ ลูกอกตัญญูนักที่ทำให้ท่านมีน้ำตาอีกครั้งในวันนี้”โม่คังเงยหน้าสบตามารดาอีกครั้ง ก่อนที่มือหนาจะเอื้อมไปเช็ดหยดน้ำที่หลุดร่วงจากหน่วยตางามคู่นั้นมือบางของจ้าวเหลียนถึงกับสั่นระริกด้วยมิอาจความคุม ความตื่นเต้นดีใจผสมปนเปไปด้วยความสับสนอยู่ไม่น้อย นางได้เอี้ยวใบหน้าหันมองทุกคนอีกครั้ง ก่อนที่ครอบครัวของนางจะพยักหน้าเบา ๆ เป็นการยืนยัน ว่าชายหนุ่มตรงหน้าของนางในตอนนี้คือบุตรชายที่ตายไปแล้วหนหนึ่ง เมื่อในอดีตครั้งที่ชายหนุ่มยังวัยเยาว์ร่างระหงอ้าแขนออกกว้าง เพื่อรอรับร่างสูงที่นางเฝ้าคะนึงหามาแสนนาน โม่คังขยับเข้าใกล้ผู้เป็นแม่ ก่อนจะสวมกอดตอบอ้อมแขนที่เขาคิดถึงจนสุดหัวใจทุกห้วงเวลาเลยก็ว่าได้โม่เหยียนเฉาใช้มือตบหหนัก ๆ ลงบนหลังของชายหนุ่ม เป็นการย้ำเตือนตนเองด้วยว่าบุตรชายเพียงเดียวของเขายังคงอยู่เคียงข้าง มิได้หายไปจากเขาอย่างที่ผู้คนทั่วแคว้นกล่าวถึง“เอาละ…น้องหญิง วันนี้ เด็ก ๆ เหนื่อยมามากแล้ว เจ้าก็อย่าได้ร้องห่
ถงเหยียนเจี๋ยกำลังพยายามปรับสีหน้าของตนเองอยู่ในที ด้วยเวลานี้ เขามั่นใจว่าตนเองนั้นกำลังมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างแน่นอน รู้สึกได้จากอาการร้อนผ่าวที่มิยอมคลายลงเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างภรรยา“ถงเหยียนเจี๋ย คารวะท่านพ่อตา ท่านแม่ยายทั้งสี่ขอรับ”“ฟางเล่อคารวะ ท่านลุง ท่านป้า ท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ”“ไม่ต้องมากพิธีหลานรัก มา ๆ นั่งข้าง ๆ ลุงนี่มา”ยังคงเป็นโม่เหยียนเฉาที่เอ่ยปากออกมาเช่นเคย เขาเองมิขัดข้องกับการพูดกับลูกหลาน แต่มันดูจะเอาเปรียบเขาเกินไปหรือไม่ น้องชายก็เอาแต่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มิใคร่พูดจา หรือเพียงเพราะเขาอายุมากสุด เลยต้องเป็นเขาที่จำต้องรับหน้าไปเสียทุกอย่างกระนั้นหรือ“เจ้าค่ะ ท่านลุง”โม่ฟางเล่อก้าวอ้อมไปนั่งด้านข้างของผู้เป็นลุง ก่อนจะส่งยิ้มละมุนให้กับทุก ๆ คน กิริยาของหญิงสาวช่างอ่อนหวานงดงามทำให้ทั้งผู้เป็นลุง ป้าและบิดามารดาชื่นมื่นกันทุกคน“เอาละ มากันครบแล้ว เราลงมือกินข้าวกันเลยดีรึไม่”ในที่สุด โม่เหยาก็ได้ฤกษ์ที่จะส่งเสียงออกมาเสียทีทำให้ผู้เป็นพี่ชายส่งสายตาคาดโทษไปให้จ้าวเหลียนมองชายหนุ่มที่ยังยืนนิ่งอยู่ห่างออกไ
เพียงพริบตา ร่างสูงไร้ซึ่งอาภรณ์ปิดกายได้ยืนกางแขนเอาหลังดันประตูเอาไว้ด้วยอาการตื่นตกใจ มิแพ้กับร่างบางที่พันกายห่อตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่ม“ข้ากำลังจะออกไปขอรับ ท่านพี่นำไปก่อนเลยขอรับ ประเดี๋ยว ข้าจะรีบตามไปนะขอรับ พอดีเล่อเล่อ...นางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่”เจ้าของห้องรีบละล่ำละลักบอกคนด้านนอกก่อนที่อีกฝ่ายจะบุกเข้ามาด้านใน“อ้อ…เช่นนั้น ข้ามิกวนพวกเจ้าแล้ว”โม่คังลากเสียงยาว ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่เสมือนเขารู้ว่าแท้จริงคนด้านในกำลังทำสิ่งใดกันอยู่ก็มิปานคำพูดของโม่คังเมื่อครู่ยิ่งทำให้สองสามีภรรยาแทบอยากละลายกลายเป็นไอหายไปยิ่งนัก หากผู้ใดมาเห็นสภาพของทั้งคู่ โดยเฉพาะถงเหยียนเจี๋ย ก็คงอดขำมิได้กับการที่ชายหนุ่มยืนตัวแดงก่ำเสมือนกุ้งต้ม ซ้ำยังไร้อาภรณ์ติดกาย ยืนขวางประตูเอาไว้อย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันการบุกรุกจากพี่ชายของหญิงสาวบนเตียงถงเหยียนเจี๋ยจัดการตรวจสอบอีกครั้งว่าได้ลงสอดไม้ขัดประตูไว้อย่างดีแล้ว ก่อนที่รางสูงจะก้าวเร็ว ๆ กลับขึ้นไปบนเตียงนอน ร่างแกร่งคว่ำหน้าลงทาบทับคนที่กำลังชุกซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่“จะรักษาต่อให้เสร็จ หรือจะตามพี่ชายเจ้าออกไปกัน หืม!”“ต้องถามตัวท่
ห้องครัว ณ เซียนอี้เสียงทำอาหารภายในห้องครัวส่วนตัวเล็ดลอดออกมาให้คนที่แอบอยู่ด้านนอกได้ยินกันถ้วนหน้า หมิงจงเป่าได้สั่งให้คนของตนเองมาคอยสอดแนมดูว่า หญิงสาวได้เปลี่ยนแปลงรายการอาหารหรือไม่ เพราะเกรงว่าฟางเล่อจะจับได้ว่าอาหารที่จะขึ้นโต๊ะในคืนนี้มิใช่ฝีมือของนาง“เรียนนายหญิง นายท่านและท่านอ๋องน้อย ผู้ติดตามเยว่คัง พร้อมทั้งคุณหนูเมี่ยวจ้านกลับมาแล้วขอรับ”“งั้นเร็วเข้า พวกเจ้าทยอยนำอาหาร ขึ้นไปจัดเตรียมยังห้องรับรอง ป่านนี้คงพากันหิวแย่ ปลาของข้าได้รึยัง เสร็จแล้วเอามาตรงนี้ ข้าจะปรุง”เมื่อได้ยินว่าพี่ชายและสามี รวมถึงว่าที่พี่สะใภ้กลับมาแล้ว ฟางเล่อเร่งลงมือกับวัตถุดิบตรงหน้า โดยมีเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมช่วยจัดเตรียมข้าวของช่วยอีกแรง มือบางที่ยังเผยให้เห็นรอยฟกช้ำจากการต่อสู้เมื่อกลางวัน แต่หญิงสาวหาได้ใส่ใจไม่ อาหารคือสิ่งจำเป็นในชีวิต ยิ่งในสงคราม หากทหารมิอิ่มท้อง ต่อให้เก่งเทียมฟ้าก็ต้องพ่ายแพ้หากไร้ซึ่งอาหารมาสร้างกำลังให้แก่ตนเองนับตั้งแต่แต่งงาน มีแค่มิกี่ครั้งที่นางลงมือปรุงอาหารให้แก่สามีและครอบครัว วันนี้นับว่าเป็นโอกาสของนางอีกคราที่จะได้แสดงความสามารถด้านนี้ให้ทุกคนไ
“ท่านไม่ควรทำเช่นนี้ เป็นสิ่งที่อันตรายเกินไปแล้วที่วางใจศัตรู เพราะต่อให้ท่านมิลงมือสังหารข้า ท่านจะมั่นใจได้อย่างไรว่าข้าจะไม่ทำร้ายท่าน อย่าได้ทำเช่นนี้อีก อะ…องค์…”ชายหนุ่มกลืนคำพูดทั้งหมดลงไปในลำคอ เมื่อช่วงที่ต่อสู้กันนั้น เขาไม่มีโอกาสเห็นบุรุษตรงหน้าได้ชัดเจนนัก แม้คราแรกที่สบตาหลังจากเขาฟื้นขึ้นมาหลังจากตกเป็นเชลย ในตอนนั้นจะตกใจอยู่มาก แต่ทว่า เขาก็ยังไม่แน่ใจเท่าใดนัก ทว่าเวลานี้ เขาเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นแม้จะเป็นยามค่ำคืนก็ตามที สิ่งสำคัญคือเขามั่นใจแล้วนั่นเองว่าชายหนุ่มคือใคร“ช่างเป็นศิลปะที่งดงามยิ่ง”“อะไร…ท่านหมายถึงสิ่งใดกันพี่ชาย”“ตัวอักษร ‘เยว่’ บนอกของท่านอย่างไรเล่า แม้เห็นเพียงรำไร มันก็ดูงดงามยิ่งใหญ่นัก”ถงเหยียนเจี๋ยยกมือขึ้นลูบกลางแผ่นอกของตนเอง เสื้อที่ภรรยาเลือกให้สวมใส่ในวันนี้ใช่ว่าจะปิดไม่มิด แต่เพราะการต่อสู้กับคนตรงหน้าทำให้มันถูกคมอาวุธจนเปิดออก เผยให้เห็นแผ่นอกของเขา รอยสักนี้ ทุกคนเคยเห็นมาแล้ว และมันมิได้สำคัญอันใดที่จะต้องปกปิด มันดูธรรมดามากสำหรับตัวเขาและสหาย คนตรงหน้ากลับบอกว่ามันงดงาม“ท่านมิใช่คนชีเป่ยรึถึงอ่านคำนี้ออก รอยสักเช่นนี้ ผู้ใดก
“เจ้าจัดการเถอะ หากเมื่อใดคิดว่าเขามิปลอดภัยสำหรับเราก็จงจัดการเสีย”“ท่านพ่อโปรดวางใจ คืนนี้ เราต้องพาเมิ่งชีไปยังฐานใหญ่ให้ได้เสียก่อน”ราชครูหลิวได้แต่เมินหน้าไปอีกทาง เขาไม่พร้อมที่จะเห็นบุตรสาวในตอนนี้ เขาอยากที่จะปลดปล่อยความเจ็บปวดออกมายิ่งนัก แต่จำต้องกล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้ภายในหยางซานซินมิใช่คนที่เขาควรต่อกรในเวลานี้ คนผู้นี้อันตรายเกินกว่าที่เขาคาดการณ์นัก คิดจะเก็บศัตรูไว้ข้างกายเพื่อหลอกใช้คนเช่นชูถง ช่างเป็นความคิดที่โง่เขลานัก แต่เขามิอาจพูดอันใดได้มากกว่านี้เพราะตอนนี้หยางซานซินเสมือนกับมิใช่คนที่เขาเคยรู้จัก หากพูดมากไป ตัวเขาเองก็คงมิพ้นถูกกำจัดเช่นกัน ไร้บุตรสาว ตัวเขาก็เสมือนไร้เขี้ยวเล็บ ด้วยอำนาจในราชสำนักเริ่มเสื่อมถอยตามวัยของเขา“ข้าจะไปเตรียมตัว เจ้าควรให้หมอมาดูแผลสักหน่อยนะ”“ท่านพ่อ กลับไปเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับคืนนี้เถอะขอรับ ทางนี้ ข้าจัดการเอง”ราชครูหลิวลุกขึ้น เดินตรงไปยังหน้ากระโจมด้วยหัวใจอันร้าวราน ทุกย่างก้าวมันช่างหนักอึ้งจนแทบขยับมิได้เลยทีเดียวหยางซานซินมองตามบิดาคนรัก ไปด้วยสายตายากที่จะอ่านออก สิ่งที่เขาต้องทำยังมีอีกมาก จะมามัวเสียเวลากับคนแก
ค่ายทหารเจียงไห่ราชครูหลิวเดินวนไปมาอยู่ภายในกระโจมบัญชาการด้วยความร้อนใจอย่างที่สุด การหายตัวไปของหยางซานซิน เขาเองก็สงสัยมากพออยู่แล้ว ซ้ำเวลานี้ บุตรสาวก็ยังไร้วี่แววว่าจะกลับมา เขาจะทำอย่างไรดี“ท่านราชครู ท่านเสนาบดีและท่านแม่ทัพใหญ่กลับมาแล้วขอรับ”ฟึบ!ยังมิทันได้ก้าวออกไปด้านนอก ร่างสูงของเสนาบดีหนุ่มก็ก้าวเข้ามาพร้อมห่อผ้าสีดำขนาดใหญ่ ตามมาด้วยหยางซานซินที่มีรองแม่ทัพซ้ายคอยพยุงเอาไว้“เป่าชุน เจ้าจัดการให้เรียบร้อยตามที่ข้าบอก ห้ามให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด”“ขอรับท่านเสนาบดี ข้าจะรีบจัดการในทันที”“อะไรกัน มันเรื่องอะไรกัน ท่านเสนาบดี ท่านแม่ทัพใหญ่ เกิดอะไรขึ้น ละ…แล้วนี่...มันคือสิ่งใด”ราชครูหลิวถามคนทั้งคู่ด้วยน้ำเสียงร้อนรนยิ่งนัก ก่อนจะชี้นิ้ว มายังสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของเสนาบดีหนุ่มชูถงเดินไปยังด้านในโดยมีหยางซานซินเดินนำไปก่อน พร้อมทั้งกวาดสิ่งของทั้งหมดออกจากโต๊ะตัวใหญ่ของหยางซานหลาง ก่อนที่ชูถงจะวางห่อผ้าลงอย่างเบามือ“ท่านราชครู ข้าขอให้ท่านทำใจสักหน่อย อีกเรื่องก็คืออย่าได้แพร่งพรายถึงสิ่งที่อยู่ในห่อผ้านั่นออกไปให้ผู้ใดรับรู้อีกเป็นอันขาด มิใช่ข้าที