‘ท่านอาจารย์…ไยทิ้งข้าตอนนี้เล่า’
“โม่ไป๋หลาน…ข้าจะไม่มีวันให้เจ้าพ้นมือข้าอีกครั้งเป็นแน่”
จีกวานฮวายังคงพูดจาข่มขู่โม่ฟางเล่อ พร้อมทั้งไล่ตามอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่งเหมือนโม่ฟ่างเล่อคือเหยื่ออันโอชะในเวลานี้
โม่ฟางเล่อเองยังคงเคลื่อนไหวต่อไป พร้อมคอยจับสังเกตหาจุดอ่อนบนร่างกายของนางมาร ผู้กำลังควบคุมตนเองไม่ได้แล้ว ทว่า…
‘เจอจนได้’
“นั่น…มันเรื่องของเจ้าน้องสาว สำหรับตัวข้าไม่เคยคิดจะแย่งชิงอันใดกับเจ้าเลย แต่จะมิละเว้นคนที่เคยลงมือสังหารข้าเช่นกัน”
ฟางเล่อยังคงต่อคำกับอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ เพื่อทำลายสมาธิของอีกฝ่ายไปด้วย ฟางเล่อจำต้องใช้หลักการหันเหเพื่อเรียกความสนใจของ
จีกวานฮวา ทั้งยังหาจังหวะจัดการกับอีกฝ่าย เพราะนางเห็นแล้วว่าจุดอ่อนของจีกวานฮวาคือที่ใดยิ่งสภาวะจิตใจของจีกวานฮวากำลังสาหัสจนเกินเยียวยา โม่ฟางเล่อจึงอาศัยโอกาสนี้ราดน้ำเกลือลงสู่บาดแผลที่ละน้อย เมื่ออีกฝ่ายไร้เมตตาต่อนาง ตัวนางเองก็ไม่จำเป็นต้องปรานีคนอย่างจีกวานฮวาเช่นกัน
เหมือนกับว่าฟางเล่อกำลังสะกดจิตของนางเองให้ไร้เมตตา เพื่อตัดขาดความอ่อนแอทางจิตใจให้ง่ายต่อการลงมือต่อศัตรู นี่เป็นครั้งแรกที่นางจับอาวุธสังหารคนจริง ๆ มิใช่การฝึกฝน
‘หากข้ามิก้าวข้ามมันให้ได้ ข้าก็ต้องกลายเป็นผู้ที่ต้องตาย เจ้าทำได้ ฟางเล่อ’
จีกวานฮวาหายใจหอบแรงขึ้น ตามอารมณ์ความรู้สึกในเวลานี้ ความเคียดแค้นชิงชัง บวกกับนางพลาดหวังที่จะได้สวมชุดเจ้าสาวและไร้ซึ่งโอกาสที่จะได้เป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวของสามีผู้เกรียงไกรอย่างหยางซานหลาง
‘ไยต้องเป็นข้าด้วยเล่าที่เป็นคนสูญเสียแต่ผู้เดียว’ หญิงสาวรู้สึกสูญสิ้นทุกสิ่งอย่างที่นางได้วาดฝันเอาไว้
เมื่อโม่ไป๋หลานปรากฏตัวขึ้น มันเสมือนการตอกย้ำความพ่ายแพ้ของนางอย่างเห็นได้ชัด ฉะนั้น…แค้นนี้ นางจะต้องทวงคืนให้สาสม
เคล้ง! ตูม!
การต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นจังหวะที่ฟางเล่อพุ่งเข้าหาจุดอ่อนของจีกวานฮวา เมื่ออีกฝ่ายหมุนกายด้วยกระบวนท่าที่ไร้การป้องกันยังจุดบอดของตนเอง
“ข้ารอมานานแล้ว…”
ทว่า…เพียงปลายดาบสัมผัสยังส่วนนั้นของญาติผู้น้อง ฟางเล่อยังมิทันได้ปลิดชีพของจีกวานฮวา
ฟึบ! ตูม!
ฟางเล่อรีบขยับถอยออกห่าง พร้อมใช้แขนเสื้อโบกสะบัดไล่ควันสีขาวที่บดบังสายตาของนางกับศัตรู เพื่อความปลอดภัย ฟางเล่อจำต้องล่าถอยออกมาแทนที่จะฝ่าเข้าไป
เมื่อกลุ่มควันจางหายไป ร่างของจีกวานฮวาก็อันตรธานหายไปด้วยเช่นกัน ฟางเล่อขมวดคิ้วเป็นปม ก่อนจะเพิ่มการระวังตัวมากขึ้น
‘มีมือที่สามสอดแทรกการต่อสู้’
ไม่ว่าจะเป็นใคร มันก็บ่งบอกได้ชัดเจน ว่าคนผู้นั้นไม่มีทางหวังดีกับนางแน่นอน เพราะเป้าหมายในการสอดมือเพียงเพื่อช่วยชีวิตจีกวาน
ฮวาไม่ใช่ตัวนาง“เล่อเล่อ…เจ้าปลอดภัยดีหรือไม่”
เมี่ยวจ้านเอ่ยถามฟางเล่อด้วยน้ำเสียงห่วงใย เมื่อครู่นางได้ยินเสียงดังเกิดขึ้น เมื่อเงยหน้าขึ้นจากพื้นดินจึงได้เห็นกลุ่มควันสีขาว ล้อมรอบตัวของฟางเล่อเสียแล้ว จึงได้คว้าแส้ทองพุ่งตรงเข้าช่วยเหลือฟางเล่ออย่างทันท่วงที
“ข้าปลอดภัยดีเจ้าค่ะ พี่เมี่ยวจ้าน เพียงแต่…จีกวานฮวาหายไปก่อนที่ข้าจะปลิดชีพนาง”
ฟางเล่อเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงมิสู้ดีนัก เพราะการที่จีกวานฮวามีคนช่วยเหลือไปได้ นั่นย่อมไม่เป็นเรื่องที่ดีนัก ฐานะของนางเปิดเผยแล้วในตอนนี้ หากการมีอยู่ของนางแพร่ออกไป ฮ่องเต้อาจตกเป็นที่ครหาเอาได้ ว่าต้องการกำจัดครอบครัวหลานเขยจนต้องให้หลานสาวแกล้งตาย เรื่องราวต้องตามมาอีกมาก
“เจ้าคิดว่า นางจะรอดหรือไม่เล่า เล่อเล่อ”
“จังหวะก่อนที่ข้าจะล่าถอยนั้น ข้ามั่นใจว่าซัดฝ่ามือโลกันต์ใส่นางรุนแรงพอสมควร โอกาสรอดจนแก่ชราคงยากอยู่ไม่น้อยเจ้าค่ะ”
ฟางเล่อยิ้มกว้างเมื่อเอ่ยถึงสิ่งที่นางทำ ในกลุ่มควันเมื่อครู่นี้ เมื่ออาวุธยังมิทันปลิดชีพอีกฝ่าย นางจึงเปลี่ยนเป็นปล่อยอาวุธในมือทิ้งเสีย แล้วรวบรวมพลัง ซัดฝ่ามือวิชาแห่งโลกันต์เข้าที่ตัวของจีกวานฮวาเต็มแรง
“หากเป็นเช่นนั้นก็อย่าได้กังวลไปเลย อย่างไร คนเช่นจีกวานฮวาก็ต้องเผยตัวออกมาในไม่ช้า นางเป็นพวกหัวรั้น สำหรับจีกวานฮวาแล้ว มีเจ้าต้องไม่มีนาง หากมีนางต้องไม่มีเจ้า เล่อเล่อ เราแค่รอ”
เมี่ยวจ้านคาดเดานิสัยของจีกวานฮวาได้อย่างแม่นยำ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่พบเจอหญิงสาวผู้นั้น นางไม่เคยเห็นคนเช่นจีกวาน
ฮวาจะใช้สมองมากกว่าความคิดสักครา“เจ้าค่ะ พี่เมี่ยวจ้าน เราไปหาท่านแม่กันก่อนเถอะนะเจ้าคะ”
ฟางเล่อยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะสูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ หลายที นางกำลังทำใจที่จะก้าวไปยังร่างของอดีตสามีเจ้าของร่างนี้
เมี่ยวจ้านยืนมือ วางบนไหล่ของฟางเล่อ ก่อนจะบีบหนัก ๆ สองสามที เพื่อเพิ่มกำลังใจให้แก่หญิงสาว นางเป็นสตรีเหมือนกัน แม้จะเพิ่งเคยมีคนรักแบบจริง ๆ เหมือนกับสตรีอื่นเขา แต่เรื่องการสูญเสียคนที่เคยมีใจให้นั้น ใช่นางจะมิเคยมาก่อน การที่ฟางเล่อต้องพบกับร่างไร้วิญญาณของพี่ชายนางย่อมทำใจได้ยาก แม้ทั้งสองคนจะไร้สัมพันธ์ใด ๆ ต่อกันแล้วก็ตามที มันก็ใช่จะเป็นเรื่องที่ควรพบเจอไม่
ฟางเล่อหันไปยิ้มให้แก่ว่าที่พี่สะใภ้ด้วยความขอบคุณสำหรับกำลังใจที่อีกฝ่ายมอบให้ เมื่อเมี่ยวจ้านยกมือออกจากไหล่บาง ฟางเล่อจึงก้าวช้า ๆ ตรงไปยังร่างของอดีตสามีที่อยู่ในอ้อมแขนของมารดาเขา
“ท่านแม่…เล่อเล่อ เสียใจกับเรื่องพี่ซานหลางด้วยนะเจ้าคะ”
“เล่อเล่อ…อภัยให้พี่เขาได้รึไม่ลูก อย่างไรตอนนี้ ซานหลางก็มิอาจ กลับมาแก้ไขสิ่งใดได้อีกแล้ว ในอดีตนั้นเป็นแม่ที่ผิดเอง เล่อเล่อ”
“ท่านแม่…อย่ากล่าวเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ เมื่อในอดีตนั้นไม่มีผู้ใดถูกหรือผิด ความรักและผูกพันทำให้ข้าก้าวเข้าสู่วังวนนี้เอง หากว่าข้ามิต้องการ ผู้ใดก็ไม่อาจบังคับข้าได้ ท่านแม่เป็นแม่สามีที่ดีต่อข้ามาก แม้ไม่มีพี่ซานหลาง ข้าก็รักท่านแม่เช่นเดิมนะเจ้าคะ”
ฟางเล่อเอื้อมไปจับยังมือบางของหลิวเจินเจิน พร้อมบีบเบา ๆ เป็นการปลอบโยน นางจะทำหน้าที่ของลูกที่ดี ทดแทนโม่ไป๋หลานและ
หยางซานหลางเองฟางเล่อเล่อมองไปยังร่างของชายหนุ่ม ซึ่งขณะนี้ เมี่ยวจ้านกำลังพันแผลหลังจากได้ดึงลูกธนูออกจากร่างของผู้เป็นพี่ชาย ทุกการกระทำของเมี่ยวจ้านนั้นออกมาจากใจอย่างแท้จริง มิใช่เพียงแค่หน้าที่อย่างที่ควรจะเป็น
“ซานหลางพ้นทุกข์ไปแล้ว ยังคงเหลือแต่พวกเราเท่านั้นที่ยังต้องต่อสู้กับโชคชะตากันต่อไป”
หลิวเจินเจินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า นางยังคงนั่งอยู่กับพื้นดิน ก่อนจะก้มมองลูกหน้าบุตรชายซึ่งศีรษะของชายหนุ่มยังคงหนุนบนตักของผู้เป็นมารดาเลี้ยงอยู่นั่นเอง
ฟางเล่อมองเลยไปยังร่างที่ถูกตรึงไว้กับต้นไม้
“นางคือหลิวกุ้ยเฟย มารดาแท้จริงของซานหลาง” น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความชิงชังของหลิวเจินเจินที่มีต่อร่างไร้ลมหายใจเหมือนกับว่าภายในใจของนางไม่อยากที่จะเอ่ยชื่อของอีกฝ่ายเท่าใดนัก
ฟางเล่อไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ทำเพียงมองสำรวจไปโดยรอบ เพื่อให้แน่ใจว่าพวกนางปลอดภัยแล้วจริง ๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังม้าตัวใหญ่ที่ยืนห่างออกไปอีกฟากถนน
ป่าอีกด้านหมิงจงเป่ายืนจ้องมองไปยังเจิ้งถงซึ่งกำลังมีสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความแค้นเคืองในตัวของศิษย์พี่ของตน ซึ่งแตกต่างกับรอยยิ้มกว้างของหมิงจงเป่าที่เหมือนชายผู้นี้ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรกับเรื่องตรงหน้าเลยสักนิดโดยตอนนี้ แขนของเจิ้งถงได้ห้อยลงข้างลำตัวทั้งยังสร้างความเจ็บปวดให้เจ้าตัวอยู่ไม่น้อย ทั้งยังมีเลือดสีแดงไหลจากต้นแขน เรื่อยลงมาจนถึงปลายนิ้ว ก่อนหยดลงลงสู่พื้นดินด้านล่าง กรามหนาของเจิ้งถงเป็นสันนูนจากการขบกัดของเจ้าตัวเอง“เจิ้งถง…หากคนอย่างข้าไร้ซึ่งฝีมือจริงคงมิอาจนั่งในตำแหน่งที่เจ้าปรารถนาได้กระมัง เจ้าไม่ควรที่จะท้าทายในสิ่งที่เหนือความสามารถของตนเอง หากเจ้ามีความเมตตา มิเห็นแก่ได้จนดวงตามืดบอด มีหรือตำแหน่งของข้าจะไม่เป็นของเจ้าในครั้งอดีต ทุกอย่างที่เจ้าพลาดหวัง มันเป็นที่ตัวเจ้า ไม่ใช่เพราะข้าหรือใครทั้งสิ้น”“หุปปาก! ข้าจะไม่ยอมก้มหัวให้คนเช่นเจ้า เป็นอันขาด ข้าเกิดมาเพื่อครอบครองสิ่งล้ำค่า แต่เป็นพวกเจ้าที่ผลักไสข้าออกจากสิ่งนั้น ข้าทำผิดอันใดไยถึงกล้ามาบอกแก่ข้า ว่าไข่มุกโลกันต์มิเลือกคนเช่นข้า แต่เป็นคนวิปลาสอย่างเจ้าแทน”เจิ้งถงตวาดเสียงดัง เขาต้องไม่มีวันพ่าย
“เจ้าจะว่าข้าใจดำก็ได้นะ เจิ้งถง ที่ปล่อยให้เจ้าถูกสังหาร แต่จะโทษข้าก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะมันมิใช่หน้าที่ของข้าที่จะต้องปกป้องคนเช่นเจ้า”เขาเห็นแล้วว่ามีลูกธนูพุ่งมา และเขาไม่คิดที่จะหลบหรือช่วยเหลือเจิ้งถง เพราะมันมิใช่เรื่องของเขา แต่มันเป็นการฆ่าปิดปากของผู้ร่วมขบวนการเสียมากกว่า อย่างน้อย เขาก็แก้แค้นให้แล้ว โดยการสังหารมือธนู ถือว่าเขาก็ยังมีเมตตาอยู่บ้าง‘เจ้าควรขอบใจข้าเจิ้งถง ในความเป็นคนดีมีเมตตา สังหารคนที่ฆ่าเจ้า หึ ๆ’ ก่อนที่ร่างสูงของหมิงจงเป่าจะหายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงดวงตาที่เหลือกค้างของคนทรยศ โดยไม่มีผู้ใดเดาได้ว่า เจิ้งถงสิ้นใจด้วยความแค้น หรือความเศร้าเสียใจและสำนึกผิดกันแน่ แต่สำหรับหมิงจงเป่านั้น เขาคิดเพียงแค่ว่าตัวเขาทำได้ดีที่สุดเท่านี้ เพราะอย่างน้อย เขาก็มิได้ลงมือสังหารเจิ้งถงด้วยความแค้นในอดีตอย่างที่ควรจะเป็นค่ายทหารเจียงไห่เพล้ง! หยางซานชินถึงกับใบหน้าถอดสีที่อยู่ ๆ กาน้ำชาได้ตกลงแตกกระจาย เพียงแค่เขาเดินผ่าน ยังมิทันได้แตะต้องหรือเฉียดใกล้เลยด้วยซ้ำไป เสมือนลางร้ายเกิดขึ้นในห้วงความคิดอย่างฉับพลัน แต่เขาจำต้องเก็บงำเอาไว้เสีย หยางซานซินปลอบใจต
ราชครูหลิว เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมอีกฝ่ายอยู่ในที ก่อนจะยกน้ำชาที่แม่ทัพหยางเป็นผู้รินให้ โดยไม่ได้หันไปสนใจว่าหยางซานซินจะพอใจเขาหรือไม่“ข้ามิได้ตั้งใจตำหนิท่านพ่อนะขอรับ เพียงแต่ข้ากำลังร้อนใจ เกรงว่าเมิ่งชีจะเกิดอันตราย นางมิคุ้นเคยกับชีวิตนอกวังเช่นนี้ ข้าแค่…”หยางซานซินจำต้องเงียบเสียงลง เมื่อราชครูหลิวได้ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าให้หยุดเอ่ยสิ่งใดอีก“แล้วเจ้าคิดว่า ข้ามิห่วงนางรึอย่างไรหยางซานซิน ข้าเป็นบิดาของนาง ข้าย่อมต้องคำนึงความปลอดภัยของบุตรสาวก่อนสิ่งอื่นใดอยู่แล้ว”ราชครูหลิวหันไปเผชิญหน้ากับเขยลับ ๆ ของตน ด้วยใบหน้าเรียบตึง แสดงชัดถึงความขุ่นเคืองอยู่ในที หยางซานซินทำได้เพียงกำหมัดแน่นอยู่บนต้นขาแกร่ง ก่อนจะก้มหน้าเล็กน้อยฟังคำพูดของบิดาคนรักต่อเงียบ ๆ“แต่เจ้าก็น่าจะรู้นะ หยางซานซิน ว่าเวลานี้ มันเหมาะหรือไม่ที่เราจะตื่นตูมต่อหน้าคนอย่างชูถง ในเมื่อเมิ่งชีบอกว่าจะไปชมตลาดเจียงไห่ หากข้าสั่งห้ามนางมิให้ไป เจ้าคนแซ่ชูก็ต้องตั้งคำถาม ว่าทำไม…นางถึงจะไปไม่ได้ หากบอกว่าที่นี่อันตราย เจ้าว่าคนอย่างชูถงรึจะรามือ คิดให้กว้างเสียบ้าง อย่าเอาความรู้สึกมาอยู่เหนือความเป็นจริ
โม่หยวนฟางลากเสียงยาวในตอนท้าย แต่ไม่ได้เอ่ยว่าเป็นเรื่องใด ก่อนจะแสร้งรินสุราแล้วยกขึ้นดื่มพร้อมใบหน้าดูสุขล้น จนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามรู้สึกอยากลงมือต่อผู้เป็นน้องชายซึ่งกำลังล้อเลียนเขาอยู่นั่นเอง“การจะเป็นราชบุตรเขยต่างแคว้นนั้นมิง่ายอย่างที่ใจคิด คู่แข่งย่อมมีมากไม่ใช่น้อย หรือเจ้าว่าอย่างไร หยวนฟาง”“แค่ก ๆ ท่านพี่…ทะ…ท่าน ฮึ่ย!”“หึ ๆ”โม่คังหัวเราะอยู่ในลำคอ การเย้าแหย่ของสองพี่น้องจำต้องยุติลง เมื่อมีเสียง กุบ! กับ! ของม้าที่ห้อมาอย่างเต็มกำลังหลายตัวตรงมาตามถนนที่ทั้งคู่กำลังนั่งร่ำสุรากันอยู่โม่คังเอื้อมมือไปยังหน้ากากสีเงินซึ่งวางไว้อีกด้านบนโต๊ะสุราขึ้นสวมปิดบังใบหน้า เขายังต้องเป็นเยว่คังอีกนาน ต่อให้หยางซานซินรู้ว่าเขาคือผู้ใด แต่ก็มิอาจได้เห็นหน้าตาของเขาอย่างแน่นอน“อย่าหนักมือนักนะ หยวนฟาง อย่างไร หยางซานซินก็เป็นสะพานชั้นดีของพวกเรา แต่ถ้าคิดว่าเขาอันตรายเกินก็ทำลายสะพานนั้นทิ้งเสีย”“ทราบแล้วท่านพี่ ท่านเองก็อย่าได้เมาสุราจนลืมปกป้องข้าด้วยเช่นกัน”“ฮา ๆ” สองพี่น้องส่งเสียงหัวเราะชอบใจเหมือนอันตรายที่กำลังจะมาถึงตัวนั้นมิได้สร้างความหวาดหวั่นแก่ทั้งคู่เลยสักนิดฮี้
“หึ ๆ” เสียงหัวเราะในลำคอดังลอดผ่านให้ได้ยินแม้จะเพียงบางเบาในความคิดของชายหนุ่ม แต่ด้วยความเงียบของถนนเปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ มันช่างก้องกังวานยิ่งนักทำให้คนฟังขุ่นเคืองใจเป็นเท่าทวีคูณ แต่ด้วยฐานะและภาพลักษณ์อันทรงเกียรติจำต้องนิ่งเอาไว้ให้มากที่สุด“ท่านช่างเรื่องมากเสียจริง หยางซานซิน กับแค่การลงจากหลังม้า และไปตรวจสอบสิ่งของที่ข้านำมาคืน ท่านจะโยกโย้ให้เสียเวลามากไปทำไมกัน หรือจะต้องให้ข้าเดินไปอุ้มท่านลงมา เช่นนั้นรึ!”เมื่อเอ่ยจบ ชายหนุ่มได้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับคณะของหยางซานซินเพียงแค่แวบแรกที่ใบหน้าหล่อเหลาหันมา ทุกคนบนหลังม้าถึงกับดวงตาเบิกโพลง ด้วยความตกใจ‘ท่านอ๋องน้อยโม่หยวนฟาง’ “เป็นไปไม่ได้ เจ้าเป็นผู้ใดกัน ไยกล้าปลอมแปลงเป็นท่านอ๋องน้อย เจ้าโจรชั่ว ต้องการอะไรกันแน่ หากมิบอกความจริงแก่ข้ามาก็อย่าหวังจะรอดพ้นน้ำมือข้าในวันนี้ได้!”หยางซานซินเอ่ยปากหยั่งเชิงศัตรู เขามั่นใจว่าคนตรงหน้านี้คือตัวจริง แต่หากเขาลงมือต่ออ๋องน้อยจนถึงตายขึ้นมา มันก็ยังพอมีข้ออ้างที่สมเหตุสมผลอยู่มากพอ ในเมื่อทุกคนยืนยันว่าท่านอ๋องน้อยพำนักอยู่ที่ซานซี แล้วจะมาปรากฏตัวที่ชาย
“ท่านยังเร็วมิพอ แม่ทัพหยาง…ความชราของท่านมันคืออุปสรรคสินะ!”ชายหนุ่มพูดทั้งยังส่งเสียงหัวเราะในลำคอโดยจงใจให้อีกฝ่ายได้ยินด้วย เพียงแค่ผ้าซึ่งคลุมปลายทวนหลุดออก เผยให้เห็นถึงรูปลักษณ์ของตัวทวนที่มีลวดลายเฉพาะ โดยตัวเนื้อเหล็กกล้าเชื่อกับด้ามทวนนั้น ฝังไว้ด้วยอัญมณีล้ำค่าซึ่งมีเพียงคนเดียวที่ใช้ทวนนี้ได้‘ทวนสวรรค์’ทหารติดตามถึงกับดวงตาเบิกโพลงเมื่อมองเห็นทวนของชายหนุ่ม ความสับสนได้เกิดขึ้นภายในใจกันมิน้อย ว่าคนตรงหน้าคือตัวจริงหรือปลอมกันแน่ แต่ทั้งหมดก็ไร้โอกาสที่จะมองให้ชัดเจนกว่าเดิม เพราะจำต้องรับมือกับชายสวมหน้ากากซึ่งแม้จะไร้อาวุธแต่กลับรวดเร็วยิ่งนัก ซ้ำยังใช้เพียงมือเปล่ารับมือกับพวกเขาได้อย่างง่ายดายหยางซานซินแม้จะต่อสู้อยู่กับโม่หยวนฟาง แต่ทุกครั้งที่การประมือของเขากับชายหนุ่มนั้นได้มีโอกาสหันไปยังด้านของคนสวมหน้ากาก เขาจะเห็นบางอย่างที่คุ้นเคย เสมือนเขาเคยพบเจอคนที่ใช้วิชาเช่นนี้มาก่อนหน้าแล้วเมื่อครั้งในอดีต“เสียเวลามากเกินไปแล้ว เด็กน้อย ถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว”หยางซานซินปลดปล่อยพลังออกมาจนเกิดเสียงระเบิดอย่างรุนแรงรอบกายเขาและโม่หยวนฟาง ทางด้านอ๋องหนุ่มเองได้ตั้งรับอ
เสียงอาวุธกระทบกันเป็นระยะ ฝีมือของคนชุดดำในความคิดของชายหนุ่มนั้นนับว่าสูงส่งทีเดียว แต่เหมือนกับว่าอีกฝ่ายพยายามออมมือให้แก่เขา ซึ่งตัวเขาเองก็กำลังทำเช่นเดียวกัน‘หากข้าให้โอกาสเขาแล้ว นับว่าเป็นเสมือนดาบสองคมสินะ!’“พี่ชาย…ข้ามิออมมือแล้วนะ แต่มีบางเรื่องที่ตัวข้าอยากเตือนสติท่านสักหน่อย หากท่านมิรอดจากคมกระบี่ข้า ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าคนข้างหลังของท่านจะรอดชีวิตเช่นกัน มิเคยมีสัจจะในหมู่คนพาล ไยมิทบทวนให้ดี ทุกอย่างเกี่ยวกับท่าน ข้าเพียงคาดเดา พี่ชาย”ไร้การตอบรับจากคนชุดดำ การต่อสู้ยังคงดุเดือดขึ้นตามลำดับ แต่ดูอย่างไร คนชุดดำก็ยังมิจริงจังกับการต่อสู้นี้สักที‘คิดจะจบชีวิตในคมดาบศัตรู แทนการสังหารศัตรูเช่นนั้นหรือ เพราะอะไรกัน…’ถงเหยียนเจี๋ยถึงกับงุนงงในการกระทำของคู่ต่อสู้ เขามิรู้ว่าจะคาดเดาไปในทิศทางใดได้อีกแล้ว ทำเพียงหาทางหยุดอีกฝ่ายลงให้ได้โดยมิให้ถึงชีวิต หากเป็นเช่นที่เขาคิด บางทีการต่อรองกับคนผู้นี้อาจส่งผลดีต่อพวกเขาก็เป็นได้ทางด้านโม่คังเหมือนกับว่าเวลาเล่นสนุกของเขาได้หมดลงแล้ว เมื่ออยู่ ๆ ผู้เป็นน้องชายได้ถูกไล่ต้อนให้ออกห่างจากเขาจนเริ่มจะมองไม่เห็นแล้ว ไหมทอ
หยางซานซินยืดกายขึ้นตรง ก่อนจะมองเลยไปยังด้านหลังของบุตรสาว แม่ทัพใหญ่เกิดความรู้สึกผิดหวังปนขุ่นเคืองที่อยู่ ๆ บุตรสาวก็โผล่เข้ามาขัดขวางความสำเร็จของเขาเสียก่อน‘ในเมื่อเจ้าพยายามเสนอตัวเป็นลูกของข้า วันนี้ ข้าจะดูซิว่า เจ้าจะทำอย่างไรให้ข้ายอมรับเจ้าได้ บุตรสาวข้า’“หลีกทางพ่อเสีย…หรือเจ้าจะช่วยพ่อกำจัดศัตรูของครอบครัวเราก็จะเป็นการดีมิน้อย ลูกรัก”เมี่ยวจ้าวเอี้ยวตัวไปด้านหลังเล็กน้อย แค่เพียงให้มองเห็นชายหนุ่มทั้งสองซึ่งยืนนิ่งอยู่ด้านหลังของนาง มุมปากของหญิงสาวคลี่ออกเล็กน้อย ก่อนจะขยิบตาข้างที่อยู่ฝั่งกับบุรุษทั้งคู่ เมี่ยวจ้านจึงหันกลับมาเผชิญหน้ากับบิดาผู้ให้กำเนิด แต่มิเคยต้องการนางเลย“เรื่องของพวกท่าน ข้ามิขอยุ่งเกี่ยว ข้าเพียงนำคำมารดามาแจ้งแก่ท่าน…บิดาข้า”หยางซานซินเหยียดริมฝีปากออกเล็กน้อย “หึ ๆ” พร้อมเสียงหัวเราะในลำคอเขารู้อยู่แล้วว่าคนอย่างบุตรสาวนั้นเป็นคนหัวแข็งเช่นมารดาของนาง การจะชักจูงให้มาอยู่ฝ่ายตนนั่นคงมิใช่เรื่องง่าย ซึ่งดูได้จากคำตอบของนางที่ดูจะเป็นกลางยิ่งนัก เหมือนกับนางไม่เลือกฝ่ายใด‘ฉลาดนักนะ ลูกสาวข้า’ หยางซานซินรู้สึกชื่นชมในความเฉลียวฉลาดของบุตรส
เมื่อฮองเฮาเป็นผู้เปิดโอกาสให้แก่นางด้วยตนเอง มีหรือที่นางจะไม่รีบคว้าเอาไว้ในมือ แน่นอนว่าสักวัน อำนาจที่ถูกวางมาไว้ในมือนางจะมีค่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมฮองเฮาจ้าวเหลียนยิ้มอ่อนโยน แววตาไร้จริตมารยาส่งให้แก่ผู้เป็นภรรยาอีกคนของพระสวามี คำเรียกขานที่เปลี่ยนจากห่างเหินเป็นสนิทสนมขึ้นนั้นย่อมมีที่มาที่ไปเสมอ แต่มิจำเป็นต้องเล่าให้ผู้ใดรับรู้“น้องกั๋วเชียง เห็นอี้กงกงบอกว่า เจ้านำสิ่งใดมาให้พี่รึ”เวลาล่วงเลยมาเกินความจำเป็นที่จะสนทนากับแขกต่อไปให้ยืดเยื้อ เจ้าของตำหนักจึงเอ่ยถึงเรื่องอื่นเสีย เพื่อที่จะได้ดึงเข้าสู่การจบบทสนทนาในวันนี้ลง“จริงสิเพคะ กั๋วเชียงได้นำรากบัวหิมะต้มน้ำแกงสามรส มาถวายฮองเฮาด้วยนะเพคะ กั๋วเชียงได้ยินมาว่า พระนางทรงมีสุขภาพมิค่อยแข็งแรง เลยให้อี้กงกงนำรากบัวหิมะจากแคว้นตงนำไปต้มถวายเป็นเครื่องบำรุงมาให้เสวยเพคะ”พระสนมคนใหม่ได้เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มสดใสดั่งพระอาทิตย์ยามเช้าให้แก่ภรรยาเอกของพระสวามี ก่อนจะเอี้ยวกายไปยังด้านของกงกงผู้ดูแล โดยขณะนี้ ในมือของอี้กงกงได้มีถ้วยหยกขาววางอยู่บนถาดสีทองรออยู่แล้ว“ขอบใจเจ้ามาก น้องกั๋วเชียง ลำบากเจ้าแล้วจริง ๆ ไหนจะเดินทางม
อี้กงกงที่มองเจ้าของตำหนักอยู่ก่อนแล้วลอบกระหยิ่มอยู่ภายในใจ หากสิ้นฮองเฮาไปจริง ตำแหน่งสูงสุดจะต้องตกเป็นของเจ้านายคนใหม่ของเขาอย่างแน่นอน“กระหม่อมเต็มใจอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะที่จะรับใช้พระนางจนชีวิตจะหาไม่ ทูลพระนาง แต่ครั้งนี้ มิใช่กระหม่อมที่เป็นผู้เสาะหาสมุนไพรล้ำค่า มาในวันนี้พ่ะย่ะค่ะ”“หือ! มิใช่ท่าน แล้วเป็นผู้ใดกันเล่า”“ทูลเชิญองค์หญิงแห่งแคว้นตง เข้าเฝ้าฮองเฮาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อกล่าวจบ อี้กงกงยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันไปยังหน้าประตู เพียงครู่เดียวก็ปรากฏร่างระหงของหญิงสาววัยแรกแย้มในชุดหรูหรา แต่ทว่า เสื้อผ้าบนกายของผู้มาใหม่กลับเปิดเผยเสียจนน่ากลัวว่า อาภรณ์เหล่านั้นจะหลุดร่วงออกมากองอยู่บนพื้นเสียให้ได้เสียงกำไลข้อมือและข้อเท้าของหญิงสาวเมื่อกระทบกันเป็นระยะฟังแล้วช่างเสนาะหูยิ่งนัก หญิงสาวก้าวเข้ามาด้านในอย่างช้า ๆ ด้วยท่าทางประดุจนางหงส์ ดวงตากลมโตสดใสปานลูกแก้วล้ำค่า กลิ่นกายหอมฟุ้งกระจายเมื่อร่างบางก้าวขยับเข้ามาใกล้ เรียวปากอวบอิ่มได้รูป เหยียดออกแต่พองาม หญิงสาวผู้นี้มีความงดงามสมวัยยิ่งนักผู้เป็นเจ้าของตำหนักจำต้องขยับกายขึ้นนั่งตัวตรงเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่แขกผู้ม
แต่ใช่ว่าเขาจะมิเฝ้าติดตามสตรีตรงหน้าเสียเมื่อไหร่กัน เขาคอยแอบสอดส่องดูแลปกป้องนางอย่างลับ ๆ เสมอมา หากมีสิ่งใดล้ำค่า เขาจะฝากผู้เป็นบิดา นำไปมอบแก่นางมิเคยขาด“ท่านแม่ ลูกอกตัญญูนักที่ทำให้ท่านมีน้ำตาอีกครั้งในวันนี้”โม่คังเงยหน้าสบตามารดาอีกครั้ง ก่อนที่มือหนาจะเอื้อมไปเช็ดหยดน้ำที่หลุดร่วงจากหน่วยตางามคู่นั้นมือบางของจ้าวเหลียนถึงกับสั่นระริกด้วยมิอาจความคุม ความตื่นเต้นดีใจผสมปนเปไปด้วยความสับสนอยู่ไม่น้อย นางได้เอี้ยวใบหน้าหันมองทุกคนอีกครั้ง ก่อนที่ครอบครัวของนางจะพยักหน้าเบา ๆ เป็นการยืนยัน ว่าชายหนุ่มตรงหน้าของนางในตอนนี้คือบุตรชายที่ตายไปแล้วหนหนึ่ง เมื่อในอดีตครั้งที่ชายหนุ่มยังวัยเยาว์ร่างระหงอ้าแขนออกกว้าง เพื่อรอรับร่างสูงที่นางเฝ้าคะนึงหามาแสนนาน โม่คังขยับเข้าใกล้ผู้เป็นแม่ ก่อนจะสวมกอดตอบอ้อมแขนที่เขาคิดถึงจนสุดหัวใจทุกห้วงเวลาเลยก็ว่าได้โม่เหยียนเฉาใช้มือตบหหนัก ๆ ลงบนหลังของชายหนุ่ม เป็นการย้ำเตือนตนเองด้วยว่าบุตรชายเพียงเดียวของเขายังคงอยู่เคียงข้าง มิได้หายไปจากเขาอย่างที่ผู้คนทั่วแคว้นกล่าวถึง“เอาละ…น้องหญิง วันนี้ เด็ก ๆ เหนื่อยมามากแล้ว เจ้าก็อย่าได้ร้องห่
ถงเหยียนเจี๋ยกำลังพยายามปรับสีหน้าของตนเองอยู่ในที ด้วยเวลานี้ เขามั่นใจว่าตนเองนั้นกำลังมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างแน่นอน รู้สึกได้จากอาการร้อนผ่าวที่มิยอมคลายลงเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างภรรยา“ถงเหยียนเจี๋ย คารวะท่านพ่อตา ท่านแม่ยายทั้งสี่ขอรับ”“ฟางเล่อคารวะ ท่านลุง ท่านป้า ท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ”“ไม่ต้องมากพิธีหลานรัก มา ๆ นั่งข้าง ๆ ลุงนี่มา”ยังคงเป็นโม่เหยียนเฉาที่เอ่ยปากออกมาเช่นเคย เขาเองมิขัดข้องกับการพูดกับลูกหลาน แต่มันดูจะเอาเปรียบเขาเกินไปหรือไม่ น้องชายก็เอาแต่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มิใคร่พูดจา หรือเพียงเพราะเขาอายุมากสุด เลยต้องเป็นเขาที่จำต้องรับหน้าไปเสียทุกอย่างกระนั้นหรือ“เจ้าค่ะ ท่านลุง”โม่ฟางเล่อก้าวอ้อมไปนั่งด้านข้างของผู้เป็นลุง ก่อนจะส่งยิ้มละมุนให้กับทุก ๆ คน กิริยาของหญิงสาวช่างอ่อนหวานงดงามทำให้ทั้งผู้เป็นลุง ป้าและบิดามารดาชื่นมื่นกันทุกคน“เอาละ มากันครบแล้ว เราลงมือกินข้าวกันเลยดีรึไม่”ในที่สุด โม่เหยาก็ได้ฤกษ์ที่จะส่งเสียงออกมาเสียทีทำให้ผู้เป็นพี่ชายส่งสายตาคาดโทษไปให้จ้าวเหลียนมองชายหนุ่มที่ยังยืนนิ่งอยู่ห่างออกไ
เพียงพริบตา ร่างสูงไร้ซึ่งอาภรณ์ปิดกายได้ยืนกางแขนเอาหลังดันประตูเอาไว้ด้วยอาการตื่นตกใจ มิแพ้กับร่างบางที่พันกายห่อตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่ม“ข้ากำลังจะออกไปขอรับ ท่านพี่นำไปก่อนเลยขอรับ ประเดี๋ยว ข้าจะรีบตามไปนะขอรับ พอดีเล่อเล่อ...นางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่”เจ้าของห้องรีบละล่ำละลักบอกคนด้านนอกก่อนที่อีกฝ่ายจะบุกเข้ามาด้านใน“อ้อ…เช่นนั้น ข้ามิกวนพวกเจ้าแล้ว”โม่คังลากเสียงยาว ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่เสมือนเขารู้ว่าแท้จริงคนด้านในกำลังทำสิ่งใดกันอยู่ก็มิปานคำพูดของโม่คังเมื่อครู่ยิ่งทำให้สองสามีภรรยาแทบอยากละลายกลายเป็นไอหายไปยิ่งนัก หากผู้ใดมาเห็นสภาพของทั้งคู่ โดยเฉพาะถงเหยียนเจี๋ย ก็คงอดขำมิได้กับการที่ชายหนุ่มยืนตัวแดงก่ำเสมือนกุ้งต้ม ซ้ำยังไร้อาภรณ์ติดกาย ยืนขวางประตูเอาไว้อย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันการบุกรุกจากพี่ชายของหญิงสาวบนเตียงถงเหยียนเจี๋ยจัดการตรวจสอบอีกครั้งว่าได้ลงสอดไม้ขัดประตูไว้อย่างดีแล้ว ก่อนที่รางสูงจะก้าวเร็ว ๆ กลับขึ้นไปบนเตียงนอน ร่างแกร่งคว่ำหน้าลงทาบทับคนที่กำลังชุกซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่“จะรักษาต่อให้เสร็จ หรือจะตามพี่ชายเจ้าออกไปกัน หืม!”“ต้องถามตัวท่
ห้องครัว ณ เซียนอี้เสียงทำอาหารภายในห้องครัวส่วนตัวเล็ดลอดออกมาให้คนที่แอบอยู่ด้านนอกได้ยินกันถ้วนหน้า หมิงจงเป่าได้สั่งให้คนของตนเองมาคอยสอดแนมดูว่า หญิงสาวได้เปลี่ยนแปลงรายการอาหารหรือไม่ เพราะเกรงว่าฟางเล่อจะจับได้ว่าอาหารที่จะขึ้นโต๊ะในคืนนี้มิใช่ฝีมือของนาง“เรียนนายหญิง นายท่านและท่านอ๋องน้อย ผู้ติดตามเยว่คัง พร้อมทั้งคุณหนูเมี่ยวจ้านกลับมาแล้วขอรับ”“งั้นเร็วเข้า พวกเจ้าทยอยนำอาหาร ขึ้นไปจัดเตรียมยังห้องรับรอง ป่านนี้คงพากันหิวแย่ ปลาของข้าได้รึยัง เสร็จแล้วเอามาตรงนี้ ข้าจะปรุง”เมื่อได้ยินว่าพี่ชายและสามี รวมถึงว่าที่พี่สะใภ้กลับมาแล้ว ฟางเล่อเร่งลงมือกับวัตถุดิบตรงหน้า โดยมีเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมช่วยจัดเตรียมข้าวของช่วยอีกแรง มือบางที่ยังเผยให้เห็นรอยฟกช้ำจากการต่อสู้เมื่อกลางวัน แต่หญิงสาวหาได้ใส่ใจไม่ อาหารคือสิ่งจำเป็นในชีวิต ยิ่งในสงคราม หากทหารมิอิ่มท้อง ต่อให้เก่งเทียมฟ้าก็ต้องพ่ายแพ้หากไร้ซึ่งอาหารมาสร้างกำลังให้แก่ตนเองนับตั้งแต่แต่งงาน มีแค่มิกี่ครั้งที่นางลงมือปรุงอาหารให้แก่สามีและครอบครัว วันนี้นับว่าเป็นโอกาสของนางอีกคราที่จะได้แสดงความสามารถด้านนี้ให้ทุกคนไ
“ท่านไม่ควรทำเช่นนี้ เป็นสิ่งที่อันตรายเกินไปแล้วที่วางใจศัตรู เพราะต่อให้ท่านมิลงมือสังหารข้า ท่านจะมั่นใจได้อย่างไรว่าข้าจะไม่ทำร้ายท่าน อย่าได้ทำเช่นนี้อีก อะ…องค์…”ชายหนุ่มกลืนคำพูดทั้งหมดลงไปในลำคอ เมื่อช่วงที่ต่อสู้กันนั้น เขาไม่มีโอกาสเห็นบุรุษตรงหน้าได้ชัดเจนนัก แม้คราแรกที่สบตาหลังจากเขาฟื้นขึ้นมาหลังจากตกเป็นเชลย ในตอนนั้นจะตกใจอยู่มาก แต่ทว่า เขาก็ยังไม่แน่ใจเท่าใดนัก ทว่าเวลานี้ เขาเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นแม้จะเป็นยามค่ำคืนก็ตามที สิ่งสำคัญคือเขามั่นใจแล้วนั่นเองว่าชายหนุ่มคือใคร“ช่างเป็นศิลปะที่งดงามยิ่ง”“อะไร…ท่านหมายถึงสิ่งใดกันพี่ชาย”“ตัวอักษร ‘เยว่’ บนอกของท่านอย่างไรเล่า แม้เห็นเพียงรำไร มันก็ดูงดงามยิ่งใหญ่นัก”ถงเหยียนเจี๋ยยกมือขึ้นลูบกลางแผ่นอกของตนเอง เสื้อที่ภรรยาเลือกให้สวมใส่ในวันนี้ใช่ว่าจะปิดไม่มิด แต่เพราะการต่อสู้กับคนตรงหน้าทำให้มันถูกคมอาวุธจนเปิดออก เผยให้เห็นแผ่นอกของเขา รอยสักนี้ ทุกคนเคยเห็นมาแล้ว และมันมิได้สำคัญอันใดที่จะต้องปกปิด มันดูธรรมดามากสำหรับตัวเขาและสหาย คนตรงหน้ากลับบอกว่ามันงดงาม“ท่านมิใช่คนชีเป่ยรึถึงอ่านคำนี้ออก รอยสักเช่นนี้ ผู้ใดก
“เจ้าจัดการเถอะ หากเมื่อใดคิดว่าเขามิปลอดภัยสำหรับเราก็จงจัดการเสีย”“ท่านพ่อโปรดวางใจ คืนนี้ เราต้องพาเมิ่งชีไปยังฐานใหญ่ให้ได้เสียก่อน”ราชครูหลิวได้แต่เมินหน้าไปอีกทาง เขาไม่พร้อมที่จะเห็นบุตรสาวในตอนนี้ เขาอยากที่จะปลดปล่อยความเจ็บปวดออกมายิ่งนัก แต่จำต้องกล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้ภายในหยางซานซินมิใช่คนที่เขาควรต่อกรในเวลานี้ คนผู้นี้อันตรายเกินกว่าที่เขาคาดการณ์นัก คิดจะเก็บศัตรูไว้ข้างกายเพื่อหลอกใช้คนเช่นชูถง ช่างเป็นความคิดที่โง่เขลานัก แต่เขามิอาจพูดอันใดได้มากกว่านี้เพราะตอนนี้หยางซานซินเสมือนกับมิใช่คนที่เขาเคยรู้จัก หากพูดมากไป ตัวเขาเองก็คงมิพ้นถูกกำจัดเช่นกัน ไร้บุตรสาว ตัวเขาก็เสมือนไร้เขี้ยวเล็บ ด้วยอำนาจในราชสำนักเริ่มเสื่อมถอยตามวัยของเขา“ข้าจะไปเตรียมตัว เจ้าควรให้หมอมาดูแผลสักหน่อยนะ”“ท่านพ่อ กลับไปเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับคืนนี้เถอะขอรับ ทางนี้ ข้าจัดการเอง”ราชครูหลิวลุกขึ้น เดินตรงไปยังหน้ากระโจมด้วยหัวใจอันร้าวราน ทุกย่างก้าวมันช่างหนักอึ้งจนแทบขยับมิได้เลยทีเดียวหยางซานซินมองตามบิดาคนรัก ไปด้วยสายตายากที่จะอ่านออก สิ่งที่เขาต้องทำยังมีอีกมาก จะมามัวเสียเวลากับคนแก
ค่ายทหารเจียงไห่ราชครูหลิวเดินวนไปมาอยู่ภายในกระโจมบัญชาการด้วยความร้อนใจอย่างที่สุด การหายตัวไปของหยางซานซิน เขาเองก็สงสัยมากพออยู่แล้ว ซ้ำเวลานี้ บุตรสาวก็ยังไร้วี่แววว่าจะกลับมา เขาจะทำอย่างไรดี“ท่านราชครู ท่านเสนาบดีและท่านแม่ทัพใหญ่กลับมาแล้วขอรับ”ฟึบ!ยังมิทันได้ก้าวออกไปด้านนอก ร่างสูงของเสนาบดีหนุ่มก็ก้าวเข้ามาพร้อมห่อผ้าสีดำขนาดใหญ่ ตามมาด้วยหยางซานซินที่มีรองแม่ทัพซ้ายคอยพยุงเอาไว้“เป่าชุน เจ้าจัดการให้เรียบร้อยตามที่ข้าบอก ห้ามให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด”“ขอรับท่านเสนาบดี ข้าจะรีบจัดการในทันที”“อะไรกัน มันเรื่องอะไรกัน ท่านเสนาบดี ท่านแม่ทัพใหญ่ เกิดอะไรขึ้น ละ…แล้วนี่...มันคือสิ่งใด”ราชครูหลิวถามคนทั้งคู่ด้วยน้ำเสียงร้อนรนยิ่งนัก ก่อนจะชี้นิ้ว มายังสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของเสนาบดีหนุ่มชูถงเดินไปยังด้านในโดยมีหยางซานซินเดินนำไปก่อน พร้อมทั้งกวาดสิ่งของทั้งหมดออกจากโต๊ะตัวใหญ่ของหยางซานหลาง ก่อนที่ชูถงจะวางห่อผ้าลงอย่างเบามือ“ท่านราชครู ข้าขอให้ท่านทำใจสักหน่อย อีกเรื่องก็คืออย่าได้แพร่งพรายถึงสิ่งที่อยู่ในห่อผ้านั่นออกไปให้ผู้ใดรับรู้อีกเป็นอันขาด มิใช่ข้าที