หมิงจงเป่าส่งเพียงเสียงแต่มิปรากฏกายให้อีกฝ่ายเห็น เวลานี้ ทหารติดตามไม่มีแล้วก็จริง แต่เขาวางใจอะไรไม่ได้ เพราะการที่หยางซานหลางต้องตาย นั่นหมายความว่ามีคนอื่นอีกนอกเหนือจากพวกเขาและคนของหยางซานหลาง
เพราะอยู่ ๆ ลูกธนูจะโผล่มาจากที่ใดได้ ในเมื่อเขาคอยจับตาอยู่ตลอดทั้งรับมือศิษย์น้องและคนของแม่ทัพหนุ่ม เขามั่นใจว่าไม่มีใครที่ยกคันศรอย่างแน่นอน นั่นบ่งบอกได้ว่ามีคนแฝงตัวอยู่เพื่อคอยสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล เขาจะมิยอมวางใจในสิ่งที่มองไม่เห็นเป็นอันขาด อาจมีใครอีกที่คอยฉวยโอกาสกับเรื่องนี้ มิตรแท้ไม่เคยมีในการแย่งชิงอำนาจ
เจิ้งถงพยายามเป็นอย่างมาก ในการเพ่งสมาธิเพื่อจับทิศทางของเสียงจากคนที่หายตัวไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านช่างน่าขบขันนึกศิษย์พี่ที่คิดจะทดสอบความสามารถของข้า ข้าเองก็อยากรู้นักว่า ท่านจะใช้อีกกี่กระบวนท่า เพื่อขัดขวางข้ามิให้ช่วงชิงลมหายใจของประมุขพรรคโลกันต์ได้”
ขวับ!
เจิ้งถงหันไปทางด้านซ้าย เมื่อเขาเห็นเงาร่างของศิษย์พี่ของตนยืนอยู่ และเป็นเช่นนั้น เมื่อหมิงจงเป่าปรากฏกายขึ้น ทั้งยังยืนนิ่งเฉยเหมือนไร้ความรู้สึกกลัวหรือกดดันแม้แต่น้อย มีเพียงรอยยิ้มกว้างเฉกเช่นคนอารมณ์ดีเท่านั้นที่ปรากฏในครรลองสายตาของเจิ้งถง
เจิ้งถงรีบพุ่งไปยังทิศทางนั้นในทันที เขาต้องกำจัดศิษย์พี่เสียก่อน เพราะต่อให้เขาพุ่งเข้าหาประมุขโลกันต์ ศิษย์พี่ก็ต้องเข้ามาขัดขวางอยู่ดี กำจัดทีละคนจะง่ายกว่า สองศิษย์เอกแห่งพรรคโลกันต์ไล่ล่ากันออกไปอีกด้านของป่า
ทางด้านหลิวเจินเจินและบุตรชายหญิง
หลิวเจินเจินยังคงขับกล่อมบุตรชายด้วยใจที่ประดุจภูผาทั้งลูกได้ร่วงหล่นลงมาทับบนตัวนาง มือหนาไม่ขยับไหวติงแล้ว ลมหายมิได้ผ่านช่องจมูกอีกต่อไปเช่นกัน หยางซานหลางเสมือนคนนอนหลับอย่างมีความสุขในอ้อมกอดของมารดา รอยยิ้มปรากฏให้เห็นบนใบหน้า หลิวเจินเจินใช้มือข้างหนึ่งลูบไปตามใบหน้าหล่อเหลาของบุตรชาย หลับแล้วลูกของนาง ไม่ต้องทรมานกับการแย่งชิงอีกต่อไป
‘เจ้าจะดีหรือร้าย เจ้าคือหัวใจของแม่ซานหลาง’ น้ำตายังคงไหลรินมิขาดสายจากดวงตาที่อ่อนล้าของหลิวเจินเจิน
“ซานหลาง! หากชาติหน้ามีจริง แม่ขอเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของเจ้าและน้องอย่างแท้จริงนะลูกรัก มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลย ซานหลาง แต่เป็นบิดาเจ้าที่เป็นผู้ก่อเรื่องนี้ขึ้นมา ฮือ ๆ…หยางซานชิน ไอ้คนสารเลว เจ้าฆ่าลูกข้า คนสารเลว เจ้าพรากทุกอย่างไปจากข้าสามแม่ลูก นับจากนี้ ข้าจะมิละเว้นคนเช่นเจ้าอีกต่อไป”
เสียงกรีดร้องที่เจ็บปวดและต่อว่าอดีตสามีได้เรียกความสนใจจากหญิงสาวทั้งสองคนที่อยู่ห่างออกไปพอสมควร จีกวานฮวาหันไปตามเสียงก่นด่าของหลิวเจินเจินถึงว่าที่พ่อสามี และสิ่งที่ฉายชัดในสายตาทำให้ร่างบางหนาวสะท้านไปทั้งตัว มือบางสั่นจนเห็นได้ชัด
ฟางเล่อหยุดมือในทันทีที่อีกฝ่ายนิ่งไป นางมิได้เลวร้ายขนาดที่เห็นอีกฝ่ายมิตอบโต้แล้วฉวยโอกาสลงมือต่อจีกวานฮวา แค่สภาพที่เห็นในตอนนี้ นางมารน้อยนั้นบาดเจ็บอยู่มากทีเดียว และคงไม่ใช่แค่เพียงแผลภายนอกเสียแล้ว จิตใจของจีกวานฮวาคงสาหัสกว่าร่างกายหลายเท่า หากนางลงมือกำจัดญาติผู้น้องของนางในตอนนี้ มันมิต่างกับฟางเล่อเป็นสุนัขตัวหนึ่งเท่านั้น
สิ่งที่ฟางเล่อเห็นในครรลองสายตาคืออดีตสามีนอนเหยียดยาว อยู่ในอ้อมกอดของหลิวเจินเจิน โดยองค์หญิงเมี่ยวจ้านคุกเข่าก้มหน้าอยู่มิห่างกัน ไม่ต้องให้ใครบอกซ้ำ นางก็มองออกได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายหนุ่ม ผู้เป็นรักเดียวของเจ้าของร่างนี้
‘หยางซานหลาง ท่านจงไปขอโทษโม่ไป๋หลาน ด้วยตนเองเสียเถอะนะ สำหรับตัวข้า อโหสิให้กับท่านในทุก ๆ เรื่องที่ผ่านมา’
แววตาของฟางเล่อดูนิ่งสนิท เสมือนนางมิรู้สึกสะเทือนใจอันใดกับการจากไปของแม่ทัพหนุ่มเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อนางไม่ใช่ภรรยาเขาจริง ๆ เสียหน่อย จะให้นางร้องไห้ฟูมฟายเช่นจีกวานฮวา มันก็คงจะไม่สมเหตุสมผลนัก อีกทั้ง นางไม่ได้รักหยางซานหลาง ไม่ว่าเขาจะอยู่หรือตายก็มิได้ทำให้อะไรในชีวิตของนางเปลี่ยนไป
‘หยางซานหลาง ข้าหวังว่าเจ้าจะพบนางในอีกโลกหลังความตาย’
จิตใจของจีกวานฮวาในตอนนี้เสมือนนางไร้ซึ่งวิญญาณ สองขารู้สึกอ่อนแรงลง ร่างบางทรุดลงกับพื้น มิอาจก้าวไปยังร่างของคู่หมั้นได้ นางกลัวเหลือเกินว่าสิ่งที่คิดจะเป็นเรื่องจริง นางจะอยู่ได้อย่างไรหากไร้ซึ่งหยางซานหลาง จีกวานฮวาเบนสายตากลับมาที่ศัตรูหัวใจ สองมือกำเข้าหากันแน่น ก่อนจะอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายพลั้งเผลอพุ่งเข้าหา
ฟางเล่อใช่จะประมาทเสียเมื่อไหร่กัน ร่างงามถอยหลังเพียงเล็กน้อย หลบกระบี่คมได้อย่างรวดเร็ว พลิ้วไหวดุจสายลม กำไลที่ฝังไว้ด้วยไข่มุกโลกันต์เริ่มเปล่งแสงสีแดงร้อนแรงขึ้นทุกช่วงเวลา นั่นบอกได้ดีว่าคนตรงหน้าอันตรายและเป็นภัยที่นางต้องกำจัด
ผมที่ดกดำของจีกวานฮวา ตอนนี้ไยเริ่มมีสีขาวแซม
‘หรือว่า…’ ฟางเล่อนึกถึงคำของผู้เป็นอาจารย์ ว่าหากคนที่บรรลุวิชาไร้รักเมื่อใด ผมจะเริ่มเปลี่ยนสี เพราะจิตมารเข้าควบคุมร่างกายและจิตใจจนหมดสิ้นแล้ว
“เจ้าไม่เคยไร้รักน้องพี่ แต่เป็นเจ้าที่ผลักไสมันออกไปเอง”
ฟางเล่อพูดกับหญิงสาวที่กำลังพุ่งโจมตีนางแบบไม่ลืมหูลืมตา ทุกการเคลื่อนไหวรุนแรงขึ้น แม้แต่แววตายังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“เพราะเจ้า ไป๋หลาน หากไม่มีคนอย่างเจ้า ข้าคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ตายซะ!”
จีกวานฮวาพูดด้วยความเกรี้ยวกราด และยังคงโทษผู้อื่น มากกว่ามองการกระทำของตนอยู่นั่นเอง
ฟางเล่อได้แต่ถอนหายใจ เมื่อได้ยินคำกล่าวหาของญาติผู้น้อง มันสายไปแล้วจริง ๆ ที่จะเตือนสติคนเช่นจีกวานฮวาให้รู้ผิดชอบชั่วดี
“จะเพราะอะไรนั้น…มันไม่ได้ขึ้นที่ผู้ใด จีกวานฮวา ต่อให้ไม่มีข้าอยู่บนโลกนี้ หากเจ้ามิใช่คู่ของหยางซานหลาง เจ้าทั้งคู่ก็ต้องพลัดพรากกันอยู่ดี จงโทษโชคชะตาที่ทำให้เจ้าและเขาไร้วาสนาซึ่งต่อกันถึงจะถูกน้องสาว”
“ข้าคือคู่ครองของเขา ควรเป็นเจ้าที่ต้องสิ้นใจ ไม่ใช่พี่ซานหลาง
อ๊ากก…มีข้าต้องไม่มีเจ้า โม่ไป๋หลาน”เสียงคำรามเสมือนคนเสียสติของจีกวานฮวาไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากตัวนางที่กำลังทำร้ายตนเอง จีกวานฮวาขาดการควบคุมจิตใจทำให้ผมเริ่มเปลี่ยนสีมากขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตากลายเป็นสีเลือด ใบหน้าเริ่มซีดเซียวไร้สีสันเช่นแต่ก่อน การเคลื่อนไหวของจีกวานฮวาเริ่มว่องไวขึ้น ความดุดันในการฟาดฟันอาวุธห้ำหั่นต่อศัตรูหัวใจมีมากกว่าเดิมหลายสิบเท่าจนยากที่ฟางเล่อจะรับมือตรง ๆ ได้
ฟางเล่อเริ่มเคลื่อนไหวหลบหลีกยากมากขึ้น ด้วยนางยังไม่สำเร็จวิชาทั้งหมดจะรับมือมารเต็มขั้นนั้นนับว่าตึงมืออยู่ไม่น้อย แต่ยังคงรักษาระดับมิได้เพลี่ยงพล้ำแกอีกฝ่ายเช่นกัน
ระยะเวลาสองปี ต่อให้เป็นเทพเซียนฝึกหัดยังไม่กล้าที่จะต่อกรกับปีศาจซึ่งบำเพ็ญมานานกว่าตนเองเช่นกัน นางฝึกฝนมาเพียงสองปีจะรับมือกับนางมารที่ฝึกฝนมาแต่เยาว์อย่างจีกวานฮวาได้ง่าย ๆ อย่างไรกัน นี่คือเรื่องจริง มิใช่นิทานที่เพียงวาดกระบี่ออกไปแล้วมารร้ายตายเป็นร้อย นางต้องใช้สมองให้มากกว่ากำลังแล้วในตอนนี้ เพราะเวลานี้ ผู้เป็นอาจารย์มิได้อยู่ช่วยชี้แนะนางอย่างในคราแรกแล้ว นางต้องพึ่งพาตนเองไปก่อน
‘ท่านอาจารย์…ไยทิ้งข้าตอนนี้เล่า’“โม่ไป๋หลาน…ข้าจะไม่มีวันให้เจ้าพ้นมือข้าอีกครั้งเป็นแน่”จีกวานฮวายังคงพูดจาข่มขู่โม่ฟางเล่อ พร้อมทั้งไล่ตามอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่งเหมือนโม่ฟ่างเล่อคือเหยื่ออันโอชะในเวลานี้โม่ฟางเล่อเองยังคงเคลื่อนไหวต่อไป พร้อมคอยจับสังเกตหาจุดอ่อนบนร่างกายของนางมาร ผู้กำลังควบคุมตนเองไม่ได้แล้ว ทว่า…‘เจอจนได้’“นั่น…มันเรื่องของเจ้าน้องสาว สำหรับตัวข้าไม่เคยคิดจะแย่งชิงอันใดกับเจ้าเลย แต่จะมิละเว้นคนที่เคยลงมือสังหารข้าเช่นกัน”ฟางเล่อยังคงต่อคำกับอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ เพื่อทำลายสมาธิของอีกฝ่ายไปด้วย ฟางเล่อจำต้องใช้หลักการหันเหเพื่อเรียกความสนใจของจีกวานฮวา ทั้งยังหาจังหวะจัดการกับอีกฝ่าย เพราะนางเห็นแล้วว่าจุดอ่อนของจีกวานฮวาคือที่ใดยิ่งสภาวะจิตใจของจีกวานฮวากำลังสาหัสจนเกินเยียวยา โม่ฟางเล่อจึงอาศัยโอกาสนี้ราดน้ำเกลือลงสู่บาดแผลที่ละน้อย เมื่ออีกฝ่ายไร้เมตตาต่อนาง ตัวนางเองก็ไม่จำเป็นต้องปรานีคนอย่างจีกวานฮวาเช่นกันเหมือนกับว่าฟางเล่อกำลังสะกดจิตของนางเองให้ไร้เมตตา เพื่อตัดขาดความอ่อนแอทางจิตใจให้ง่ายต่อการลงมือต่อศัตรู นี่เป็นครั้งแรกที่นางจับอาวุธสังหารคนจริง
ป่าอีกด้านหมิงจงเป่ายืนจ้องมองไปยังเจิ้งถงซึ่งกำลังมีสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความแค้นเคืองในตัวของศิษย์พี่ของตน ซึ่งแตกต่างกับรอยยิ้มกว้างของหมิงจงเป่าที่เหมือนชายผู้นี้ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรกับเรื่องตรงหน้าเลยสักนิดโดยตอนนี้ แขนของเจิ้งถงได้ห้อยลงข้างลำตัวทั้งยังสร้างความเจ็บปวดให้เจ้าตัวอยู่ไม่น้อย ทั้งยังมีเลือดสีแดงไหลจากต้นแขน เรื่อยลงมาจนถึงปลายนิ้ว ก่อนหยดลงลงสู่พื้นดินด้านล่าง กรามหนาของเจิ้งถงเป็นสันนูนจากการขบกัดของเจ้าตัวเอง“เจิ้งถง…หากคนอย่างข้าไร้ซึ่งฝีมือจริงคงมิอาจนั่งในตำแหน่งที่เจ้าปรารถนาได้กระมัง เจ้าไม่ควรที่จะท้าทายในสิ่งที่เหนือความสามารถของตนเอง หากเจ้ามีความเมตตา มิเห็นแก่ได้จนดวงตามืดบอด มีหรือตำแหน่งของข้าจะไม่เป็นของเจ้าในครั้งอดีต ทุกอย่างที่เจ้าพลาดหวัง มันเป็นที่ตัวเจ้า ไม่ใช่เพราะข้าหรือใครทั้งสิ้น”“หุปปาก! ข้าจะไม่ยอมก้มหัวให้คนเช่นเจ้า เป็นอันขาด ข้าเกิดมาเพื่อครอบครองสิ่งล้ำค่า แต่เป็นพวกเจ้าที่ผลักไสข้าออกจากสิ่งนั้น ข้าทำผิดอันใดไยถึงกล้ามาบอกแก่ข้า ว่าไข่มุกโลกันต์มิเลือกคนเช่นข้า แต่เป็นคนวิปลาสอย่างเจ้าแทน”เจิ้งถงตวาดเสียงดัง เขาต้องไม่มีวันพ่าย
“เจ้าจะว่าข้าใจดำก็ได้นะ เจิ้งถง ที่ปล่อยให้เจ้าถูกสังหาร แต่จะโทษข้าก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะมันมิใช่หน้าที่ของข้าที่จะต้องปกป้องคนเช่นเจ้า”เขาเห็นแล้วว่ามีลูกธนูพุ่งมา และเขาไม่คิดที่จะหลบหรือช่วยเหลือเจิ้งถง เพราะมันมิใช่เรื่องของเขา แต่มันเป็นการฆ่าปิดปากของผู้ร่วมขบวนการเสียมากกว่า อย่างน้อย เขาก็แก้แค้นให้แล้ว โดยการสังหารมือธนู ถือว่าเขาก็ยังมีเมตตาอยู่บ้าง‘เจ้าควรขอบใจข้าเจิ้งถง ในความเป็นคนดีมีเมตตา สังหารคนที่ฆ่าเจ้า หึ ๆ’ ก่อนที่ร่างสูงของหมิงจงเป่าจะหายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงดวงตาที่เหลือกค้างของคนทรยศ โดยไม่มีผู้ใดเดาได้ว่า เจิ้งถงสิ้นใจด้วยความแค้น หรือความเศร้าเสียใจและสำนึกผิดกันแน่ แต่สำหรับหมิงจงเป่านั้น เขาคิดเพียงแค่ว่าตัวเขาทำได้ดีที่สุดเท่านี้ เพราะอย่างน้อย เขาก็มิได้ลงมือสังหารเจิ้งถงด้วยความแค้นในอดีตอย่างที่ควรจะเป็นค่ายทหารเจียงไห่เพล้ง! หยางซานชินถึงกับใบหน้าถอดสีที่อยู่ ๆ กาน้ำชาได้ตกลงแตกกระจาย เพียงแค่เขาเดินผ่าน ยังมิทันได้แตะต้องหรือเฉียดใกล้เลยด้วยซ้ำไป เสมือนลางร้ายเกิดขึ้นในห้วงความคิดอย่างฉับพลัน แต่เขาจำต้องเก็บงำเอาไว้เสีย หยางซานซินปลอบใจต
ราชครูหลิว เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมอีกฝ่ายอยู่ในที ก่อนจะยกน้ำชาที่แม่ทัพหยางเป็นผู้รินให้ โดยไม่ได้หันไปสนใจว่าหยางซานซินจะพอใจเขาหรือไม่“ข้ามิได้ตั้งใจตำหนิท่านพ่อนะขอรับ เพียงแต่ข้ากำลังร้อนใจ เกรงว่าเมิ่งชีจะเกิดอันตราย นางมิคุ้นเคยกับชีวิตนอกวังเช่นนี้ ข้าแค่…”หยางซานซินจำต้องเงียบเสียงลง เมื่อราชครูหลิวได้ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าให้หยุดเอ่ยสิ่งใดอีก“แล้วเจ้าคิดว่า ข้ามิห่วงนางรึอย่างไรหยางซานซิน ข้าเป็นบิดาของนาง ข้าย่อมต้องคำนึงความปลอดภัยของบุตรสาวก่อนสิ่งอื่นใดอยู่แล้ว”ราชครูหลิวหันไปเผชิญหน้ากับเขยลับ ๆ ของตน ด้วยใบหน้าเรียบตึง แสดงชัดถึงความขุ่นเคืองอยู่ในที หยางซานซินทำได้เพียงกำหมัดแน่นอยู่บนต้นขาแกร่ง ก่อนจะก้มหน้าเล็กน้อยฟังคำพูดของบิดาคนรักต่อเงียบ ๆ“แต่เจ้าก็น่าจะรู้นะ หยางซานซิน ว่าเวลานี้ มันเหมาะหรือไม่ที่เราจะตื่นตูมต่อหน้าคนอย่างชูถง ในเมื่อเมิ่งชีบอกว่าจะไปชมตลาดเจียงไห่ หากข้าสั่งห้ามนางมิให้ไป เจ้าคนแซ่ชูก็ต้องตั้งคำถาม ว่าทำไม…นางถึงจะไปไม่ได้ หากบอกว่าที่นี่อันตราย เจ้าว่าคนอย่างชูถงรึจะรามือ คิดให้กว้างเสียบ้าง อย่าเอาความรู้สึกมาอยู่เหนือความเป็นจริ
โม่หยวนฟางลากเสียงยาวในตอนท้าย แต่ไม่ได้เอ่ยว่าเป็นเรื่องใด ก่อนจะแสร้งรินสุราแล้วยกขึ้นดื่มพร้อมใบหน้าดูสุขล้น จนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามรู้สึกอยากลงมือต่อผู้เป็นน้องชายซึ่งกำลังล้อเลียนเขาอยู่นั่นเอง“การจะเป็นราชบุตรเขยต่างแคว้นนั้นมิง่ายอย่างที่ใจคิด คู่แข่งย่อมมีมากไม่ใช่น้อย หรือเจ้าว่าอย่างไร หยวนฟาง”“แค่ก ๆ ท่านพี่…ทะ…ท่าน ฮึ่ย!”“หึ ๆ”โม่คังหัวเราะอยู่ในลำคอ การเย้าแหย่ของสองพี่น้องจำต้องยุติลง เมื่อมีเสียง กุบ! กับ! ของม้าที่ห้อมาอย่างเต็มกำลังหลายตัวตรงมาตามถนนที่ทั้งคู่กำลังนั่งร่ำสุรากันอยู่โม่คังเอื้อมมือไปยังหน้ากากสีเงินซึ่งวางไว้อีกด้านบนโต๊ะสุราขึ้นสวมปิดบังใบหน้า เขายังต้องเป็นเยว่คังอีกนาน ต่อให้หยางซานซินรู้ว่าเขาคือผู้ใด แต่ก็มิอาจได้เห็นหน้าตาของเขาอย่างแน่นอน“อย่าหนักมือนักนะ หยวนฟาง อย่างไร หยางซานซินก็เป็นสะพานชั้นดีของพวกเรา แต่ถ้าคิดว่าเขาอันตรายเกินก็ทำลายสะพานนั้นทิ้งเสีย”“ทราบแล้วท่านพี่ ท่านเองก็อย่าได้เมาสุราจนลืมปกป้องข้าด้วยเช่นกัน”“ฮา ๆ” สองพี่น้องส่งเสียงหัวเราะชอบใจเหมือนอันตรายที่กำลังจะมาถึงตัวนั้นมิได้สร้างความหวาดหวั่นแก่ทั้งคู่เลยสักนิดฮี้
“หึ ๆ” เสียงหัวเราะในลำคอดังลอดผ่านให้ได้ยินแม้จะเพียงบางเบาในความคิดของชายหนุ่ม แต่ด้วยความเงียบของถนนเปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ มันช่างก้องกังวานยิ่งนักทำให้คนฟังขุ่นเคืองใจเป็นเท่าทวีคูณ แต่ด้วยฐานะและภาพลักษณ์อันทรงเกียรติจำต้องนิ่งเอาไว้ให้มากที่สุด“ท่านช่างเรื่องมากเสียจริง หยางซานซิน กับแค่การลงจากหลังม้า และไปตรวจสอบสิ่งของที่ข้านำมาคืน ท่านจะโยกโย้ให้เสียเวลามากไปทำไมกัน หรือจะต้องให้ข้าเดินไปอุ้มท่านลงมา เช่นนั้นรึ!”เมื่อเอ่ยจบ ชายหนุ่มได้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับคณะของหยางซานซินเพียงแค่แวบแรกที่ใบหน้าหล่อเหลาหันมา ทุกคนบนหลังม้าถึงกับดวงตาเบิกโพลง ด้วยความตกใจ‘ท่านอ๋องน้อยโม่หยวนฟาง’ “เป็นไปไม่ได้ เจ้าเป็นผู้ใดกัน ไยกล้าปลอมแปลงเป็นท่านอ๋องน้อย เจ้าโจรชั่ว ต้องการอะไรกันแน่ หากมิบอกความจริงแก่ข้ามาก็อย่าหวังจะรอดพ้นน้ำมือข้าในวันนี้ได้!”หยางซานซินเอ่ยปากหยั่งเชิงศัตรู เขามั่นใจว่าคนตรงหน้านี้คือตัวจริง แต่หากเขาลงมือต่ออ๋องน้อยจนถึงตายขึ้นมา มันก็ยังพอมีข้ออ้างที่สมเหตุสมผลอยู่มากพอ ในเมื่อทุกคนยืนยันว่าท่านอ๋องน้อยพำนักอยู่ที่ซานซี แล้วจะมาปรากฏตัวที่ชาย
“ท่านยังเร็วมิพอ แม่ทัพหยาง…ความชราของท่านมันคืออุปสรรคสินะ!”ชายหนุ่มพูดทั้งยังส่งเสียงหัวเราะในลำคอโดยจงใจให้อีกฝ่ายได้ยินด้วย เพียงแค่ผ้าซึ่งคลุมปลายทวนหลุดออก เผยให้เห็นถึงรูปลักษณ์ของตัวทวนที่มีลวดลายเฉพาะ โดยตัวเนื้อเหล็กกล้าเชื่อกับด้ามทวนนั้น ฝังไว้ด้วยอัญมณีล้ำค่าซึ่งมีเพียงคนเดียวที่ใช้ทวนนี้ได้‘ทวนสวรรค์’ทหารติดตามถึงกับดวงตาเบิกโพลงเมื่อมองเห็นทวนของชายหนุ่ม ความสับสนได้เกิดขึ้นภายในใจกันมิน้อย ว่าคนตรงหน้าคือตัวจริงหรือปลอมกันแน่ แต่ทั้งหมดก็ไร้โอกาสที่จะมองให้ชัดเจนกว่าเดิม เพราะจำต้องรับมือกับชายสวมหน้ากากซึ่งแม้จะไร้อาวุธแต่กลับรวดเร็วยิ่งนัก ซ้ำยังใช้เพียงมือเปล่ารับมือกับพวกเขาได้อย่างง่ายดายหยางซานซินแม้จะต่อสู้อยู่กับโม่หยวนฟาง แต่ทุกครั้งที่การประมือของเขากับชายหนุ่มนั้นได้มีโอกาสหันไปยังด้านของคนสวมหน้ากาก เขาจะเห็นบางอย่างที่คุ้นเคย เสมือนเขาเคยพบเจอคนที่ใช้วิชาเช่นนี้มาก่อนหน้าแล้วเมื่อครั้งในอดีต“เสียเวลามากเกินไปแล้ว เด็กน้อย ถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว”หยางซานซินปลดปล่อยพลังออกมาจนเกิดเสียงระเบิดอย่างรุนแรงรอบกายเขาและโม่หยวนฟาง ทางด้านอ๋องหนุ่มเองได้ตั้งรับอ
เสียงอาวุธกระทบกันเป็นระยะ ฝีมือของคนชุดดำในความคิดของชายหนุ่มนั้นนับว่าสูงส่งทีเดียว แต่เหมือนกับว่าอีกฝ่ายพยายามออมมือให้แก่เขา ซึ่งตัวเขาเองก็กำลังทำเช่นเดียวกัน‘หากข้าให้โอกาสเขาแล้ว นับว่าเป็นเสมือนดาบสองคมสินะ!’“พี่ชาย…ข้ามิออมมือแล้วนะ แต่มีบางเรื่องที่ตัวข้าอยากเตือนสติท่านสักหน่อย หากท่านมิรอดจากคมกระบี่ข้า ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าคนข้างหลังของท่านจะรอดชีวิตเช่นกัน มิเคยมีสัจจะในหมู่คนพาล ไยมิทบทวนให้ดี ทุกอย่างเกี่ยวกับท่าน ข้าเพียงคาดเดา พี่ชาย”ไร้การตอบรับจากคนชุดดำ การต่อสู้ยังคงดุเดือดขึ้นตามลำดับ แต่ดูอย่างไร คนชุดดำก็ยังมิจริงจังกับการต่อสู้นี้สักที‘คิดจะจบชีวิตในคมดาบศัตรู แทนการสังหารศัตรูเช่นนั้นหรือ เพราะอะไรกัน…’ถงเหยียนเจี๋ยถึงกับงุนงงในการกระทำของคู่ต่อสู้ เขามิรู้ว่าจะคาดเดาไปในทิศทางใดได้อีกแล้ว ทำเพียงหาทางหยุดอีกฝ่ายลงให้ได้โดยมิให้ถึงชีวิต หากเป็นเช่นที่เขาคิด บางทีการต่อรองกับคนผู้นี้อาจส่งผลดีต่อพวกเขาก็เป็นได้ทางด้านโม่คังเหมือนกับว่าเวลาเล่นสนุกของเขาได้หมดลงแล้ว เมื่ออยู่ ๆ ผู้เป็นน้องชายได้ถูกไล่ต้อนให้ออกห่างจากเขาจนเริ่มจะมองไม่เห็นแล้ว ไหมทอ
ภายในจวนสกุลเชี่ยดูจะสงบเงียบกว่าที่เคย แต่ถึงกระนั้นก็มิใช่เรื่องที่คนภายนอกจะรับรู้ได้ เจ้าของบ้านสองสามีภรรยากำลังดื่มด่ำกับการจิบชาชั้นยอด พร้อมการสนทนากันตามประสา ซึ่งทำให้แขกผู้มาเยือนถึงกับส่ายหน้าด้วยความเอือมระอากับลีลาการเฝ้ารอศัตรูของคนสกุลใหญ่ หากนางปรากฏกายต่อหน้าทั้งสองคนนั้น เพียงครู่คงมีทหารในจวนโผล่ออกมาล้อมรอบ‘หึ ๆ’ นางมีดีกว่านั้น“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เงียบ ๆ มันดูมิตื่นเต้นเท่าใดนัก พวกเจ้าช่วยปลุกพวกเขาให้ตื่นกันเลยจะดีกว่า”จบคำพูดจากการแฝงตัวในเงามืด เพื่อเฝ้ารอเวลาลงมือ กลับเปลี่ยนเป็นการลงมืออย่างโจ่งแจ้ง ซ้ำวางกำลังไว้อีกชั้นเพื่อการเก็บกวาด“อ๊ากก!”เพียงครึ่งก้านธูป เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็เกิดขึ้น ทหารในจวนแท้จริงคือนักฆ่ารับจ้าง ทว่า จอมโจรผู้บุกรุกก็คือกลุ่มมือสังหารชั้นยอดเช่นกัน การมาปล้นในครั้งนี้ ผู้นำมิคิดที่จะนำคนมาเพียงหยิบมือเสียเมื่อไหร่กัน การจบหมากกระดานเล็กให้สิ้นซากก็คือทุบกระดานหมากให้แหลกคามือเท่านั้น“มิต้องเชิญข้า ใต้เท้าเชี่ย ฮูหยินเชี่ย ข้าดื่มกินมาอิ่มหนำสำราญมาจากบ้านแล้ว”“กำแหงนัก กล้าบุกรุกบ้านขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ช่างรนหาที่ตายโดยแท
“พวกเจ้ามันปีศาจ คนสกุลโม่ช่างไร้ความเมตตา ข้ามิทัน...อัก!”พูดได้เพียงเท่านั้น ลำคอกลับมีเลือดพุ่งออกมามากมาย โดยมิได้ถูกตัวหยวนฟางสักนิด ความเร็วดุจสายลมทำให้ร่างสูงออกมายืนอยู่ห่างพอสมควรโดยในมือมีบางสิ่งติดมาด้วย ก่อนที่ชายหนุ่มจะกางมือออก สิ่งนั้นจึงร่วงลงสู่พื้นดิน“คิดจะกลืนกินคนของข้า มิเจียมตน สกุลโม่หรือไร้เมตตา หึ! ไม่คิดบ้างหรือว่ากว่าจะทำให้แผ่นดินนี้เป็นปึกแผ่นได้ คนสกุลโม่ต้องแลกมาด้วยสิ่งใดบ้าง เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนทั้งแคว้นเอาไว้ ปู่ข้าต้องตายเพื่อปกป้องขอทานเพียงคนเดียว เพราะนั่นคือประชาชนของพระองค์ แล้วพวกเจ้าตายเพื่อปกป้องใครบ้าง”หนึ่งในคนร้ายถึงกับตาค้าง เพราะสิ่งที่ร่วงจากมือของโม่หยวนฟาง มันคือหลอดลมของชายชุดดำ คนร้ายที่ยังมีลมหายใจอยู่เพียงหนึ่งถึงกับตัวสั่นงันงก ด้วยความหวาดกลัว คนแรกว่าอำมหิตแล้ว แต่อ๋องน้อยผู้นี้มันปีศาจชัด ๆ ชายชุดดำขยับตัวหวังจะหลบหนีฉึก! ร่างสูงของคนร้ายทรุดลงกับพื้นก่อนจะทันได้ก้าวขา“คิดจะแทงข้างหลัง! คนเช่นโม่หยวนฟาง เจ้าควรคิดให้ดีก่อน”หากมีผู้ใดมาได้ยินคำพูดของโม่หยวนฟางคงอยากตายไปสักพันครั้ง คนร้ายคิดหนี แต่ท่านอ๋องน้อยกลับกล
“จะบุรุษหรือสตรี หากรู้จักการพลิกแพลงสถานการณ์ มิใช่เรื่องยากที่จะคว้าชัยในสนามรบ อ๊ะ!”โม่ฟางเล่อหมุนกายออกห่างจากคู่ต่อสู้ เมื่อรับรู้ถึงการจู่โจมจากทางด้านหลัง แม้จะเพียงเฉียดผ่าน ทว่ากระบี่ของศัตรูก็ได้ดื่มเลือดของนางเสียแล้ว โม่ฟางเล่อกลับมิได้สนใจบาดแผล หญิงสาวรีบล้วงขวดหยกใบเล็กออกมาจากอก ก่อนจะรีบกลืนสิ่งที่อยู่ในขวดลงไปอย่างรวดเร็ว นางยังไม่เชี่ยวชาญเรื่องพิษ แต่การป้องกันเอาไว้ก่อนเป็นเรื่องที่ผู้เป็นอาจารย์คอยกำชับและย้ำเตือนนางอยู่บ่อยครั้ง“การที่มั่นใจเกินไป มันก็มิใช่สิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่รึท่านหญิงโม่ ฮา ๆ”“สุนัขก็ยังเป็นสุนัขอยู่วันยังค่ำ ต่อให้พยายามทำตัวดั่งราชสีห์ เจ้าก็มิอาจเป็นได้ดั่งใจหมาย”จากรอยยิ้มกลับกลายเป็นใบหน้าบึ้งตึงด้วยความขุ่นเคืองใจกับคำพูดของหญิงสาว“หลีกไป ข้าจะจัดการนางด้วยตนเอง”เชี่ยหยาโถวคว้าแขนของผู้คุ้มกันออกจากการบังเขาจากหญิงสาวตรงหน้า เขาถูกสตรีอ่อนแอหยามเกียรติจนไม่เหลือชิ้นดี อย่างไรเสียวันนี้ เขาจะพิสูจน์ให้นางได้เห็นว่าคำพูดพล่อย ๆ ของสตรีเช่นนางนั้นมิใช่ความจริง“มาจบเรื่องกันเถอะ คุณชาย อย่าถ่วงเวลาพวกข้าให้มากไปกว่านี้อีกเลย”มือบางใช
คล้อยหลังโม่หยวนฟางไปเพียงครู่เดียว ร่างสูงของชายหนุ่มในชุดสีขาวได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของคนที่กำลังสั่นระริกไปทั้งร่างด้วยความรู้สึกอันหลากหลายที่ถาโถมเข้ามา เขาพ่ายแพ้ได้อย่างน่าอับอายเป็นที่สุด การต่อสู้เพียงแค่เวลาสั้น ๆ เขากลับกลายเป็นคนพิการ และรอเพียงเวลาถูกลงทัณฑ์จากผู้เป็นนายที่แท้จริง“หึ ๆ คนเก่งของท่านพ่อ ไยตอนนี้ถึงกลายมาเป็นเพียงคนไร้ค่าเช่นนี้ เจ้าก็ดีแต่ปาก หลงเป่า”“คนที่ดีแต่ปาก ข้าว่าน่าจะเป็นเจ้ามากกว่า หึ ๆ นึกว่าผู้ใดกัน แท้จริงก็เป็นคุณชายขี้โรคจากสกุลเชี่ยนี่เอง เชี่ยหยาโถว”ขวับ! ชายหนุ่มในชุดสีขาว หันกลับไปตามเสียงในทันที ทว่ากลับไร้วี่แววของเจ้าของเสียง ก่อนจะหันกลับมายังร่างของหลงเป่าที่ตอนนี้ถูกจับตัวเอาไว้โดยโม่หยวนฟาง“เมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เห็นทีคงมิอาจปล่อยท่านอ๋องน้อยให้มีลมหายใจต่อไปไม่ได้แล้วสินะ”“ฮา ๆ ปล่อยให้ข้ามีลมหายใจรึ ช่างกล้าพูดนะ คุณชายเชี่ย เจ้าไม่ใช่ตั้งใจจะกำจัดข้าอยู่ก่อนแล้วหรืออย่างไรกัน คนที่ขี้ขลาดแท้จริงคือตัวเจ้า อย่าได้โทษใครอื่นอีกเลย”“อย่าพูดให้มากความท่านอ๋องน้อย ข้ามาถึงขนาดนี้ย่อมต้องมีของพิเศษรอต้อนรับท่านอ๋องอยู่ก่อนแล
คนชุดดำไถลตัวลงมาจากต้นไม้อย่างรวดเร็ว พร้อมกระบี่ยาวชี้ตรงสู่กลางศีรษะของเมี่ยวจ้าน แม้จะสวมหมวกเอาไว้ แต่ทว่า ประสาทสัมผัสของนางนั้นเป็นเลิศมิแพ้ฝีมือเลยแม้แต่น้อย แส้ทองถูกสะบัดฟาด ไปด้านบนศีรษะด้วยกำลังภายในอันมหาศาลร่างของชายชุดดำที่กำลังคิดจะปลิดชีวิตของหญิงสาว มิอาจหลบได้ทัน ด้วยความเร็วที่ไม่ทันได้คาดคิดว่าจะถูกตอบโต้อย่างกะทันหันเช่นนี้ สำหรับเมี่ยวจ้านแล้ว นางไม่จำเป็นต้องมองขึ้นไปเลยด้วยซ้ำตุบ! ร่างของคนร้ายตกกระแทกพื้น โดยที่ศีรษะตกกลิ้งหลุน ๆ ไปอีกทาง ตอนนี้ธนูถูกวางลง อาวุธประจำกายถูกนำออกมาใช้แทน ทุกอย่างต้องทำให้เร็ว ด้วยจำนวนคนของฝ่ายนางมีน้อยกว่า ดังนั้นจำต้องจบทุกอย่างให้เร็ว หากยืดเยื้อมากไปกว่านี้รังแต่จะเสียเปรียบมากกว่าจะคว้าชัยมาอย่างปลอดภัย“ท่านเมี่ยวจ้าน”“อย่าแตกตื่นไป ท่านพี่ม่อตู เมี่ยวจ้านมิใช่เด็กน้อยแล้วนะ”ฟึบ!ม่อตูสะบัดผ้าคลุมกันอาวุธลับเพื่อมิให้ต้องกายผู้เป็นนาย ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้ากับความดื้อรั้นของนายสาวของตนเอง สำหรับเขาแล้ว องค์หญิงเมี่ยวจ้านคือน้องสาวตัวน้อยที่เขาเฝ้าปกป้องมานับตั้งแต่พบเจอกัน เมื่อนางยังเป็นเพียงทารกจนเติบโตขึ้นมาเป็นผู้
‘โดยเฉพาะเจ้า โม่หยวนฟาง ข้าจะต้องทำให้เจ้าก้มหัวแทบเท้าข้าให้จงได้’โม่หยวนฟางซึ่งเบนหัวม้าให้ตนเองถอยกับมารั้งท้ายทุกคน โดยมีคนสนิทเคียงข้างกายอยู่เพียงสองคน ทั้งสามไม่เอ่ยวาจาใด ๆ ต่อกันแม้แต่ครึ่งคำ ทว่าแค่เพียงสบตาพวกเขาก็รู้ดีว่าต้องทำสิ่งใดชายหนุ่มมั่นใจในตัวของสหายรักว่าจะปกป้องน้องสาวของเขาได้เป็นอย่างดี โม่ฟางเล่อเล่อทำสิ่งที่ควรได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะพลาดพลั้งก็แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นั่นคือการระวังหลังซึ่งเขามั่นใจว่าสองสาวคงต้องการให้เป็นเขาที่ทำหน้าที่นี้แทนโม่หยวนฟางแอบชำเลืองมองไปยังคนรักของตนที่อยู่อีกฝั่งของถนน โดยมีองครักษ์คู่ใจของนางคอยประกอบข้างมิห่างกาย ชายหนุ่มทั้งห้าผู้มาจากจิ้งหนาน ซึ่งมีหัวหน้าองครักษ์ม่อตูเป็นผู้เอ่ยปากขอติดตามนายของตนมา มิเช่นนั้นจำต้องใช้อำนาจที่มีนำตัวหญิงสาวกลับสู่แคว้นในทันทีแต่ทว่าเวลาเช่นนี้ เขากลับรู้สึกอุ่นใจอย่างไรไม่รู้ที่มีคนคอยปกป้องนางเมื่อยามต้องเจอศึกที่มิอาจคาดเดาได้ว่าจะมีโอกาสรอดมากน้อยเพียงใด“ข้าอีกแล้ว ไยต้องมาลงที่ชายหนุ่มผู้น่ารักเช่นข้าตลอดเลย”เสมือนว่าคำพูดของโม่หยวนฟางเป็นการเปิดศึกในครั้งนี้ก็มิปาน เพียงจบคำพ
ส่วนด้านนอกรถม้า สองแม่ทัพสกุลหยางแทบไร้การพูดคุยกันเช่นในอดีต หยางซานซินยังคงทำตัวเป็นปกติ ทว่า สิ่งที่แตกต่างก็ฉายชัดออกมาอยู่นั่นเอง เมื่อเขาดูจะไม่ใยดีบุตรชายซึ่งอยู่บนหลังอาชาเคียงข้างเขาอยู่ในขณะนี้ฝั่งหยางซานหลางก็ไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย จากคนที่นิ่งขรึมมาตลอด บัดนี้เรียกได้ว่าตลอดทั้งร่างของชายหนุ่มนั้นปลดปล่อยแต่เพียงรังสีแห่งการฆ่าฟัน ซึ่งแตกต่างจากเมื่อครั้งก่อนหน้าที่ชายหนุ่มจะเก็บงำทุกอย่างเอาไว้ มิแสดงตัวตนของเขาออกมาให้ผู้อื่นได้รับรู้มากถึงเพียงนี้แม้ว่าความเปลี่ยนแปลงของแม่ทัพทั้งสองจะสร้างความแปลกใจให้แก่ผู้ติดตามทั้งหมด ทว่าก็ไร้ซึ่งคำถามจากทุกคน เพราะถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของผู้นำ“ซานหลาง เจ้าจงเว้นระยะห่างกับพระนางกุ้ยเฟยให้มากขึ้นอีกสักหน่อยก็ดีนะ”แม้จะเป็นคำพูดที่ดูเรียบง่าย แต่กลับแฝงความนัยที่ทำให้ผู้ฟังขุ่นเคืองใจอยู่มากทีเดียว หยางซานหลางชำเลืองมองผู้ที่บัดนี้เขาต้องเรียกว่าบิดาเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองตรง ๆ ตามเส้นทางอันยาวเหยียดพร้อมรอยยิ้มยังมุมปาก“ขอรับท่านพ่อ แต่ถ้าจะให้ดี ท่านพ่อเองก็ควรระวังใจของตนเองเอาไว้ให้มากเช่นกัน
‘คำว่าแพ้มีให้แก่คนอ่อนแอเท่านั้น และมันมิใช่ข้า’“ทูลพระนางเต๋อเฟย ลู่กงกงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”กั๋วเต๋อเฟยเหลือบขึ้นมองคนสนิท ก่อนจะพยักหน้าให้กับอี้ถิง หญิงสาวย่อกายให้แก่ผู้เป็นนาย ก่อนจะหมุนกายออกไปยังห้องด้านนอก เพื่อทำตามประสงค์ของเจ้าของตำหนักเมื่อมีผู้มาเยือน การเดินหมากของนางก็จำต้องยุติลง มือวางสะบัดมือเพียงครั้ง ผ้าผืนบางที่วางอยู่บนโต๊ะได้ปลิวสะบัดก่อนจะคลุมลงยังกระดานหมากบนโต๊ะ เสมือนมีคนจับวางก็มิปาน ร่างระหงลุกขึ้นก้าวเดินออกไปยังห้องรับรองชั้นนอกลู่กงกงรีบโค้งกายลงต่ำ เมื่อเจ้าของตำหนักเดินนวยนาดออกมาจากหลังม่านไข่มุก“ลู่เฟย ถวายบังคมพระนางเต๋อเฟยพ่ะย่ะค่ะ”“ตามสบายลู่กงกง วันนี้มาพบข้า ท่านคงมีเรื่องสำคัญเป็นแน่ ว่ามาเถิด”“ทูลพระนาง กระหม่อมนำพระบัญชาของฝ่าบาทมาแจ้งแก่พระนางพ่ะย่ะค่ะ”“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งถึงข้ารึ”ใบหน้างามซับสีเลือดในทันที เมื่อนึกถึงบุรุษผู้องอาจผู้เป็นพระสวามีของนาง แม้ทรงมีพระชนม์มายุมากแล้ว ทว่ากลับยังคงความหล่อเหล่าเฉกเช่นวัยหนุ่มสาวก็มิปาน จากแต่เดิมที่นางท่องจำว่าเพราะหน้าที่กับการสมรสในต่างแดนครั้งนี้ กลับกลายเป็นว่านางปรารถนาที่จะเคียงคู่
วังหลวงบุรุษในชุดมังกรเดินวนไปมาเสมือนพยัคฆ์ติดบ่วง โดยมีร่างงามของสตรีในชุดสีแดงเพลิงปักลวดลายหงส์นั่งมองคนที่เดินไปมาด้วยความนึกขัน“จะทรงเดินอีกนานรึไม่เพคะ ฝ่าบาท”“จะให้ข้านิ่งนอนใจได้อย่างไรกันฮองเฮา ผู้อาวุโสมิรู้พากันสนุกสนานอยู่ที่ใดกัน ตอนนี้ กองทัพเคลื่อนพลสู่เมืองหลวงด้วยวิธีที่แยบยลนัก หึ ๆ เป็นข้าเอง ผิดที่ข้าฮองเฮา ข้าชักนำศึกเข้าเมืองเร็วเกินไป”ร่างสูงก้าวไปนั่งยังเก้าอี้ข้างฮองเฮา โดยที่พระนางยังคงสนใจในตำราหลังจากอีกฝ่ายนั่งลง“หากเป็นท่านผู้อาวุโสก็จะทำเช่นพระองค์เพคะ อย่าทรงโทษพระองค์เองไปเลยเพคะ ไม่ว่าอย่างไร คนพวกนั้นก็ต้องเคลื่อนไหวอยู่ดี การเดินเกมในบางครั้ง การปล่อยให้ศัตรูล่วงล้ำเข้ามาบ้างก็อาจเป็นผลดี”“ข้าไม่ถัดการวางแผนเช่นเจ้านี่ ภรรยาข้า หึ ๆ”“แต่ทรงเป็นนักรักที่เก่งกาจใช่ไหมเพคะ”“ฮา ๆ วางใจเถอะฮองเฮา จะไม่มีสตรีใดมาแทนที่เจ้าได้”เมื่อรู้ว่ามีผู้มาเยือนได้ก้าวเข้าสู่ห้องชั้นนอก สองสามีภรรยาจึงได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นหยอกล้อกันแทนห้องโถงรับรอง ตำหนักเหลียน“ลู่กงกง ท่านมาตามหาฝ่าบาทหรือเจ้าคะ”“เชียงเชียง เจ้าช่างรู้ใจข้ายิ่งนัก ฝ่าบาททรงมาแอบอยู่