ดังนั้น เมื่อมีโอกาสถ่ายทอดวิชาแก่ศิษย์รักไม่ว่าจะมากน้อย เขาจะไม่ยอมให้สูญเสียโอกาสเป็นอันขาด ส่วนเจิ้งถงจะฉวยเรียนรู้ไปด้วยหรือไม่นั้น เขามิคิดสนใจ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่อาจฝึกฝนไปทั้ง ๆ ที่ต่อสู้กับเขาได้อยู่แล้ว
เป็นอย่างที่หมิงจงเป่าคิดไม่มีผิด เมื่อฟางเล่อใช้สายตาที่ว่องไว ดูการเคลื่อนไหวของผู้เป็นอาจารย์ โดยร่างกายของนางนั้นขยับก้าวตามเสมือนการร่ายรำตามผู้นำการเต้นที่มีการแปรขบวนท่าอยู่อย่างต่อเนื่อง ครั้งแรก นางไม่ได้สนใจอะไรนอกจากจดจ่อกับการต่อสู้ แต่พอมีผู้มาใหม่ซึ่งทำให้อาจารย์ของนางหัวเราะเสียงดัง จากนั้นทุกการเคลื่อนไหว ตกอยู่ภายใต้สายตาของนาง และใช้ทุกกระบวนท่าที่จดจำได้มาตั้งรับและรุกคู่ต่อสู้ มันทำให้นางดูเหมือนจะได้เปรียบจีกวานฮวาขึ้นมาบ้างแล้ว
หากเป็นในโลกที่นางจากมา นับว่าสายตาของนางคืออัจฉริยะที่ว่องไวจนนางเองยังไม่อยากจะเชื่อ ความจำนั้นยิ่งเป็นเลิศกว่าแต่ก่อนมากนัก นางจำทุกถ้อยคำของท่านอาจารย์ได้ดี มิมีลืมเลือน
‘เล่อเล่อรู้ไหมนอกจากฝ่ามือโลกันต์แล้ว เพราะอะไรคนถึงอยากครอบครองไข่มุก จำไว้ให้ดีว่าไข่มุกโลกันต์ทำให้เจ้ามีสายตาที่ดี สมองที่ดี มันคือสมบัติที่ล้ำค่ากว่าสิ่งใด เพราะถ้าเจ้าฉลาดหลักแหลม เจ้าจะใช้มันเอาตัวรอดและกอบโกยเงินทองได้อย่างง่ายได้ จงใช้พรจากไข่มุกให้เกิดประโยชน์ และในทางที่ถูกต้องเข้าใจหรือไม่’
ใช่แล้ว หากว่านางฉลาดย่อมใช้มันแก้ปัญหาได้ดีกว่าการใช้เพียงกำลังและอารมณ์ในการตัดสินปัญหาซึ่งยากที่จะสำเร็จได้ลุล่วงด้วยดี เท้าบางขยับรุกรับได้อย่างว่องไว ร่างกายเอนหลบสลับโจมตีได้พลิ้วไหว หนักแน่นเสมอฟางเล่อกับอาจารย์ของนางคือคนคนเดียวกันก็มิปาน
ด้านเจิ้งถงทำได้เพียงขบกรามแน่น เสมือนตัวเขากำลังถูกตบใบหน้าจนชาหนึบ เมื่อเห็นการกระทำของประมุขพรรคโลกันต์กำลังขยับตามท่าทางการต่อสู้จากผู้คุ้มกันของนาง ซึ่งคนผู้นี้กำลังประมืออยู่กับเขาในตอนนี้
‘พวกเจ้ากล้าดูถูกข้า สารเลวนัก’
เป็นผู้ใดก็ย่อมเสียหน้าเป็นที่สุด มีอย่างที่ไหนกำลังต่อสู้กับเขาอยู่ยังหาญกล้าถ่ายทอดวิชาให้แก่อีกคนได้อย่างหน้าตาเฉย มันช่างหยามเกียรติกันเกินไปแล้ว เจิ้งถงเพิ่มความดุดันในการลงมือต่อศิษย์พี่ของตนเองให้หนักขึ้น
“ข้าจะไม่มีวันให้คนอย่างพวกเจ้ามาเหยียดหยามข้าถึงเพียงนี้ต่อไปได้อีก ความตายคือของขวัญสำหรับเจ้าสองคน ข้าเป็นผู้ที่เหมาะสมกับผู้นำแห่งโลกันต์ เข้าใจหรือไม่ ศิษย์พี่”
“ฮา ๆ เจ้ามั่นใจขนาดเลยรึ! ลองทำให้ข้าดูสักหน่อยจะเป็นไร”
แม้ใบหน้าหมิงจงเป่าจะประดับไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะยังคงมีไม่ขาดสาย แต่ใช่ว่าภายในจิตใจจะเป็นดังเช่นภายนอกเสียเมื่อไหร่กัน บุรุษที่จับอาวุธเพื่อช่วงชิงอำนาจผู้อื่นได้นั้น มิว่าอย่างไรก็อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด ต่อให้มองเสมือนศัตรูดูไร้ฝีมือ แท้จริงอาจเป็นเพียงกลลวง เพื่อให้เราตายใจก็เป็นได้
เช่นเดียวกันกับเจิ้งถง แม้จะฝีมือไม่อาจทัดเทียมเขาได้เมื่อในอดีต แต่ตลอดหลายปีที่เจิ้งถงหายไป มิอาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายร่ำเรียนวิชาเพิ่มพูนความสามารถมาจากที่ใดอีกบ้าง การประมือในครานี้นับว่าความเสี่ยงมีอยู่ไม่น้อย
หนึ่งรุกด้วยความทะนงในฝีมือ อีกหนึ่งรับด้วยความชาญฉลาด ผู้หนึ่งใช้กำลังเพื่อช่วงชิงชัยชนะ อีกหนึ่งนั้นใช้สติตอบโต้เพื่อรอจังหวะพลิกสถานการณ์ หากนี่คือสนามรบขนาดใหญ่ก็ยากจะประเมินได้ว่าผู้ใดคือคนที่จะคว้าชัยมีเพียงทั้งสองที่กำลังต่อกรกันเท่านั้นที่พากันประเมินผลครั้งนี้อยู่ภายในใจ
จีกวานฮวาลอบมองการต่อสู้ของ ชายที่นางเคยพบเจอเมื่อสองปีก่อนอยู่เช่นกัน
‘มิธรรมดาจริง ๆ คนผู้นี้คือใครกัน ไยดูจะห่วงใยโม่ไป๋หลานยิ่งนัก’
ดวงตากลมโตที่เคยสดในของจีกวานฮวาเปลี่ยนเป็นดุร้ายเจ้าเล่ห์ เสมือนจิ้งจอกก็มิปาน นางพลาดพลั้งให้คู่ต่อสู้บ้างแล้ว เรียกว่าตัวนางกำลังจะตกเป็นรองอีกฝ่ายอยู่รอมร่อ
“โม่ไป๋หลาน หากวันนี้ ข้าไม่ปลิดชีพเจ้าให้สิ้น ข้าไม่ขอมีลมหายใจอยู่ต่อไปอีกเช่นกัน”
“ข้าคงไม่อาจห้ามเจ้าได้น้องพี่ หากเจ้าคิดอยากจะตายในวันนี้ เอาเป็นว่าทำตามที่ใจเจ้าปรารถนาเถิด หึ ๆ พี่รักเจ้ามากยิ่งนัก คงทำได้เพียงสนับสนุนเจ้าให้สมปรารถนาเท่านั้นกระมัง”
ฟางเล่อกล่าววาจาเย้าแหย่อีกฝ่าย ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็ไม่มั่นใจนักว่าจะจบการต่อสู้ลงได้เมื่อใดกัน แต่มันคือหลักการใช้จิตวิทยาในการทำลายสมาธิของคู่ต่อสู้ตามแบบแผนที่นางจดจำมาจากอีกมิติ มาใช้หันเหความคิดของจีกวานฮวา เพื่อให้ญาติผู้น้องมุ่งเน้นแต่การกำจัดนาง โดยลืมเพิ่มการป้องกันตัวเองจากการต่อสู้
‘ในเมื่อกำลังของข้ายังไม่แข็งแกร่ง แต่ฝีปากข้าในการเบี่ยงเบนเจ้า เชื่อเถอะว่าข้าเหนือชั้นกว่าเจ้าจีกวานฮวา’
การต่อสู้ทางด้านพี่น้องสกุลหยาง
เมี่ยวจ้านขยับเท้าหลบการโจมตีได้แบบเฉียดฉิวมาก หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้าง คนอย่างนางหรือจะยอมละสายตาจากคู่ต่อสู้และทุกอย่างรอบ ๆ กาย หากทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่านางยินยอมตกเป็นรองศัตรูด้วยความสมัครใจนั้นเอง
‘ไม่ทางเสียละพี่ชายข้า’
หญิงสาวก้าวหลบได้อย่างว่องไวดุจสายลม ดาบในมือของหยางซานหลางฟันลงหมายผ่ากลางลำตัวให้จงได้ แต่มันกลับฝันลงยังพื้นดิน เฉียดปลายเท้าผู้เป็นน้องสาวเพียงเสี้ยวเท่านั้น
เมี่ยวจ้านจำต้องสะกิดปลายเท้า เหินกายถอยห่างหยางซานหลางด้วยว่านางใช้แส้เป็นอาวุธ แม่ทัพหนุ่มพุ่งตามเมี่ยวจ้านไปติด ๆ สองพี่น้องห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด
เสียงระเบิดของพลังวัตรมีเป็นวงกว้าง หยางซานหลางริษยาน้องสาวผู้ที่แย่งความรักของมารดาไปจากตนเอง เมื่อก่อนเขาเป็นลูกรักของมารดาเพียงผู้เดียวมาตลอด แต่เวลานี้ นอกจากมารดาจะเกลียดชังเขาแล้วยังมีลูกรักคนใหม่ที่เก่งกาจไม่แพ้กันกับเขา
‘เจ้ามันน่าชังนัก น้องสาวข้า’
“เจ้ามันสมควรตาย…เจ้าแย่งทุกอย่างไปจากข้า ข้าไม่มีน้องสาวเช่นเจ้า” หยางซานหลางพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันขณะที่บุกเข้าประชิดตัวผู้เป็นน้องสาว ใบหน้าดุดันจนกลายเป็นเหี้ยมเกรียมเลยทีเดียว
“มันควรเป็นข้าที่ต้องพูดแบบนี้พี่ชาย ท่านมันเกิดมาเพื่อหนักแผ่นดิน แล้วยังช่วงชิงครอบครัวของข้าไปอีก” เมี่ยวจ้านเองก็จุกไปทั้งทรวงอกเมื่อหยางซานหลางกำลังพาลหาเรื่องนาง
หยางซานหลางเองดวงตาเริ่มแดงก่ำจากการข่มกลั้นบางสิ่งเอาไว้ภายใน มิอาจปลดปล่อยออกมาให้ศัตรูได้เห็นมัน เขาเก็บกดเรื่องมารดามาหลายวันแล้วจนถึงตอนนี้ที่…
“อ๊ากกก…”
ตูม! ตูม!
พื้นดินแตกกระจายจนฝุ่นดินคละคลุ้งไปทั่วบริเวณจากการระเบิดพลังของชายหนุ่ม
เมี่ยวจ้านพุ่งขึ้นสู่ที่สูง สองเท้าเหยียบอยู่บนกิ่งไม้ มองลงด้านล่าง นางเห็นเพียงหยางซานหลางกวัดแกว่งดาบในมือพร้อมปลดปล่อยพลังออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ หยางซานหลาง”
เมี่ยวจ้านพึมพำเบา ๆ เมื่อมองเห็นสิ่งที่พี่ชายกระทำอยู่ในเวลานี้ เมี่ยวจ้านเหมือนกำลังมองดูอีกด้านของผู้เป็นพี่
หยางซานหลางเกิดความอิจฉานางอย่างนั้นหรือ ไยเขาถึงกล่าวหาว่านางแย่งชิงทุกอย่างมา ทั้ง ๆ ที่ตัวนางเองนั้นมิเคยได้รับอะไรเลย แม้แต่น้ำนมมารดาสักหยด อ้อมกอดจากบิดาแท้จริงสักครั้งยังไม่เคย แล้วเหตุใดกัน หยางซานหลางจึงมากล่าวหาว่านางแย่งชิงทุกอย่างมาจากเขาเล่าน้ำตาของมารดาทั้งสองต่างไหลออกมาด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน หลิวเมิ่งชีต้องการได้ยินคำเรียกขานว่า ‘แม่’ สักครั้งจากปากของชายหนุ่ม ก่อนที่นางจะไม่มีโอกาสได้ฟังมันอีกชั่วชีวิต ตัวนางคงมิอาจทนต่อบาดแผลนี้ได้นานเท่าใดนัก“เมตตาแม่สักครั้งเถิดลูกรัก เป็นแม่เองใช่หรือไม่ที่ทำร้ายเจ้า”หลิวเมิ่งชีได้แต่รำพึงรำพันกับตนเองเบา ๆ ด้วยหัวใจที่สิ้นหวังเต็มทีแล้ว เสียใจตอนนี้ก็สายเกินกว่าที่จะกลับไปแก้ไขได้แล้ว หากนางปล่อยให้บุตรชายไม่รู้ความจริงเรื่องชาติกำเนิด ทุกอย่างคงมิเลวร้ายเช่นนี้ก็เป็นได้ หากนางยอมปล่อยหลิวเจินเจินไปเสีย ซานหลางคงมิเจ็บปวดถึงเพียงนี้ส่วนหลิวเจินเจินนั้นนึกโทษตนเองที่ไร้ความสามารถในการอบรมบุตรชายให้เป็นคนดีได้ เสมือนนางผู้เป็นแม่นั้นบกพร่องในหน้าที่ยิ่งนัก ไหนจะเวลานี้ พี่น้องต้องมาเข่นฆ่ากันเอง สวรรค์ช่างโหดร้ายกับนางอะไร
“ไม่เลยลูกรัก…แม่ไม่เคยทำเช่นนั้นกับเจ้า” หลิวเมิ่งชีละล่ำละลักแก้ตัวด้วยใบหน้าตื่นตกใจ นางมิเคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าบุตรชายจะพูดออกมาเช่นนี้“ซานหลาง! ลูกรู้แก่ใจว่าแม่เป็นเช่นไร” หลิวเจินเจินไม่มีคำแก้ ตัวเพื่อให้ตนเองดูดีเหนือญาติผู้พี่ แต่ใช้ความเป็นจริงในอดีตที่ผ่านมาเป็นตัววัดค่าของตนเองหยางซานหลางดวงตาแดงก่ำด้วยหัวใจอันแหลกสลาย เขาจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อมารดาที่แท้จริงกำลังมองมาด้วยดวงตาที่แสนรักใคร่เขาผู้เป็นบุตร แต่คนที่อยู่ในอ้อมแขนคือผู้ที่กลั่นเลือดในอกให้เขาดื่มกินมาจนเติบใหญ่ ความสำนึกผิดชอบชั่วดีกำลังฆ่าชายหนุ่มโดยมิรู้ตัวร่างแกร่งสั่นสะท้านจนหลิวเจินเจินรับรู้ได้ มืออุ่นยกขึ้นลูบแขนบุตรชาย พร้อมซบหน้าลงยังท่อนแขนแกร่งที่พาดผ่านช่วงใต้ลำคอตน พร้อมน้ำตาไหลรินออกมา ด้วยความรักของมารดามีต่อบุตรทำให้ใจที่กำลังหมดสิ้นทุกอย่างปวดร้าวจนแทบไร้เรี่ยวแรงจะยืนต่อ“แม่มิโทษเจ้าลูกรัก ลงมือเถิด…แม่ยอมสิ้นใจด้วยมือเจ้า ซานหลาง แต่จะไม่ยอมให้เจ้าสองพี่น้องต้องมาเข่นฆ่ากันต่อหน้าแม่เช่นนี้อีก”ดวงตาคู่งามหลับลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะเอนศีรษะไปพิงช่วงอกแกร่งของชายหนุ่ม หยางซานหลางกัดฟันจนแทบละเ
ทว่าอยู่ ๆ ลูกศรลึกลับก็พุ่งตรงมา โดยเป้าหมายก็คงไม่พ้นหัวใจของนาง แต่เพียงเสี้ยววินาทีนั้น นางกลับล้มลง และเมื่อหันกลับไปด้านหลังเท่านั้น ใจของนางก็แทบแหลกสลาย หยางซานหลางหมุนกายเข้ารับลูกธนูแทนผู้เป็นแม่ พร้อมกับผลักนางออกให้พ้นอันตราย เพราะการต่อสู้มีอยู่รอบด้านย่อมเป็นใครก็ได้ที่ลงมือชายหนุ่มกลับที่เลือกรักษาชีวิตนางเอาไว้ แทนที่เขาจะรักษาชีวิตตนเองเสียมากกว่าทั้งที่มีโอกาสอยู่มากมาย ทั้งรอยยิ้มและดวงตาเปี่ยมรักของบุตรชายส่งมาให้ก่อนร่างสูงจะล้มลง มันช่างดูมีค่ากว่าทองพันชั่งก็มิปาน“ท่านแม่! อึก! ข้าขอโทษที่มิอาจเลือกได้”ใบหน้าที่แนบอยู่กับอกของมารดา เงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาเศร้าสร้อย เลือดไหลทะลักออกมาจากริมฝีปากหนาได้รูป น้ำตาเปรอะเปื้อนไปทั้งใบหน้า ลมหายใจที่มีเสียงดังครืดคราด บอกถึงอาการของผู้เป็นเจ้าของกายได้อย่างชัดเจน หยางซานหลางยิ้มอย่างอ่อนแรงกับชะตากรรมของตนเอง“ซานหลาง! แม่จะช่วยเจ้าเองลูกรัก ทำใจดี ๆ เอาไว้นะ แม่จะไม่ยอมเสียเจ้าไปเป็นอันขาด” หลิวเจินเจินละล่ำละลักบอกบุตรชาย ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พร้อมทั้งพยายามกล้ำกลืนก้อนแข็ง ๆ ที่จุกอยู่ตรงลำคอหลิวเจินเจินใช้มืออั
“อ่า! เช่นนั้นหรอกหรือ ช่างรอบรู้เสียจริง ๆ ข้าไม่เคยบอกว่าตัวข้านี้เป็นใคร เจ้ากลับรู้ดีกว่าตัวข้าเสียอีกว่าผู้ใดคือมารดาของข้า นอกเสียจากว่าเจ้าจะรู้จักครอบครัวข้าเป็นอย่างดี หรือเจ้าก็คือหนึ่งในสกุลหยางกันนะ…รึข้าเดาผิด เช่นนั้นก็คงเป็นคนที่รู้จักข้ามากกว่าพ่อแม่แท้ ๆ ของข้าเองกระมัง”มีแค่เพียงคนสนิทของพระบิดาเท่านั้นที่รู้ความจริงเรื่องชาติกำเนิดแท้จริงของนาง“...” ไม่มีคำตอบจากคนที่กำลังหาจังหวะลงมือต่อหญิงสาวศัตรูที่มีไม่ใช่แค่ภายในแคว้นชีเป่ย แต่ด้วยตำแหน่งของนางนั้น จิ้งหนานก็ย่อมมีคนตามล่านางเช่นกัน มันจะเป็นใคร นางไม่ขอใส่ใจ ตอนนี้ต้องปกป้องคนที่นางรักให้ปลอดภัยเสียก่อนเท่านั้นเป็นพอ“เงียบทำไมกัน ข้ายินดีที่จะพบปะกับผู้มีความรู้มากเลยรู้หรือไม่ ยิ่งคนที่ล่วงรู้ชีวิตผู้อื่นเป็นอย่างดี…ยกเว้นตัวเอง”เมี่ยวจ้านพูดยั่วยุเพื่อให้อีกฝ่ายเผยที่ซ่อน ซึ่งคนผู้นี้ร้ายกาจมิเบาที่สามารถเคลื่อนไหวรอบกายนางได้โดยไร้ร่องรอยให้พบเห็น“วันนี้ ข้าไม่อยากเล่นกับเจ้า เด็กน้อย ข้าให้โอกาสเจ้าหนีได้หนึ่งครั้ง”ฉึก!มีดสั้นคู่กายของเมี่ยวจ้าน ปักอยู่ที่ลำคอของคนพูด“ข้ารอคำนี้มานานแล้ว”เมี่ยวจ
หมิงจงเป่าส่งเพียงเสียงแต่มิปรากฏกายให้อีกฝ่ายเห็น เวลานี้ ทหารติดตามไม่มีแล้วก็จริง แต่เขาวางใจอะไรไม่ได้ เพราะการที่หยางซานหลางต้องตาย นั่นหมายความว่ามีคนอื่นอีกนอกเหนือจากพวกเขาและคนของหยางซานหลางเพราะอยู่ ๆ ลูกธนูจะโผล่มาจากที่ใดได้ ในเมื่อเขาคอยจับตาอยู่ตลอดทั้งรับมือศิษย์น้องและคนของแม่ทัพหนุ่ม เขามั่นใจว่าไม่มีใครที่ยกคันศรอย่างแน่นอน นั่นบ่งบอกได้ว่ามีคนแฝงตัวอยู่เพื่อคอยสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล เขาจะมิยอมวางใจในสิ่งที่มองไม่เห็นเป็นอันขาด อาจมีใครอีกที่คอยฉวยโอกาสกับเรื่องนี้ มิตรแท้ไม่เคยมีในการแย่งชิงอำนาจเจิ้งถงพยายามเป็นอย่างมาก ในการเพ่งสมาธิเพื่อจับทิศทางของเสียงจากคนที่หายตัวไปอย่างรวดเร็ว“ท่านช่างน่าขบขันนึกศิษย์พี่ที่คิดจะทดสอบความสามารถของข้า ข้าเองก็อยากรู้นักว่า ท่านจะใช้อีกกี่กระบวนท่า เพื่อขัดขวางข้ามิให้ช่วงชิงลมหายใจของประมุขพรรคโลกันต์ได้”ขวับ! เจิ้งถงหันไปทางด้านซ้าย เมื่อเขาเห็นเงาร่างของศิษย์พี่ของตนยืนอยู่ และเป็นเช่นนั้น เมื่อหมิงจงเป่าปรากฏกายขึ้น ทั้งยังยืนนิ่งเฉยเหมือนไร้ความรู้สึกกลัวหรือกดดันแม้แต่น้อย มีเพียงรอยยิ้มกว้างเฉกเช่นคนอารมณ์ดีเท่านั้นท
‘ท่านอาจารย์…ไยทิ้งข้าตอนนี้เล่า’“โม่ไป๋หลาน…ข้าจะไม่มีวันให้เจ้าพ้นมือข้าอีกครั้งเป็นแน่”จีกวานฮวายังคงพูดจาข่มขู่โม่ฟางเล่อ พร้อมทั้งไล่ตามอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่งเหมือนโม่ฟ่างเล่อคือเหยื่ออันโอชะในเวลานี้โม่ฟางเล่อเองยังคงเคลื่อนไหวต่อไป พร้อมคอยจับสังเกตหาจุดอ่อนบนร่างกายของนางมาร ผู้กำลังควบคุมตนเองไม่ได้แล้ว ทว่า…‘เจอจนได้’“นั่น…มันเรื่องของเจ้าน้องสาว สำหรับตัวข้าไม่เคยคิดจะแย่งชิงอันใดกับเจ้าเลย แต่จะมิละเว้นคนที่เคยลงมือสังหารข้าเช่นกัน”ฟางเล่อยังคงต่อคำกับอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ เพื่อทำลายสมาธิของอีกฝ่ายไปด้วย ฟางเล่อจำต้องใช้หลักการหันเหเพื่อเรียกความสนใจของจีกวานฮวา ทั้งยังหาจังหวะจัดการกับอีกฝ่าย เพราะนางเห็นแล้วว่าจุดอ่อนของจีกวานฮวาคือที่ใดยิ่งสภาวะจิตใจของจีกวานฮวากำลังสาหัสจนเกินเยียวยา โม่ฟางเล่อจึงอาศัยโอกาสนี้ราดน้ำเกลือลงสู่บาดแผลที่ละน้อย เมื่ออีกฝ่ายไร้เมตตาต่อนาง ตัวนางเองก็ไม่จำเป็นต้องปรานีคนอย่างจีกวานฮวาเช่นกันเหมือนกับว่าฟางเล่อกำลังสะกดจิตของนางเองให้ไร้เมตตา เพื่อตัดขาดความอ่อนแอทางจิตใจให้ง่ายต่อการลงมือต่อศัตรู นี่เป็นครั้งแรกที่นางจับอาวุธสังหารคนจริง
ป่าอีกด้านหมิงจงเป่ายืนจ้องมองไปยังเจิ้งถงซึ่งกำลังมีสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความแค้นเคืองในตัวของศิษย์พี่ของตน ซึ่งแตกต่างกับรอยยิ้มกว้างของหมิงจงเป่าที่เหมือนชายผู้นี้ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรกับเรื่องตรงหน้าเลยสักนิดโดยตอนนี้ แขนของเจิ้งถงได้ห้อยลงข้างลำตัวทั้งยังสร้างความเจ็บปวดให้เจ้าตัวอยู่ไม่น้อย ทั้งยังมีเลือดสีแดงไหลจากต้นแขน เรื่อยลงมาจนถึงปลายนิ้ว ก่อนหยดลงลงสู่พื้นดินด้านล่าง กรามหนาของเจิ้งถงเป็นสันนูนจากการขบกัดของเจ้าตัวเอง“เจิ้งถง…หากคนอย่างข้าไร้ซึ่งฝีมือจริงคงมิอาจนั่งในตำแหน่งที่เจ้าปรารถนาได้กระมัง เจ้าไม่ควรที่จะท้าทายในสิ่งที่เหนือความสามารถของตนเอง หากเจ้ามีความเมตตา มิเห็นแก่ได้จนดวงตามืดบอด มีหรือตำแหน่งของข้าจะไม่เป็นของเจ้าในครั้งอดีต ทุกอย่างที่เจ้าพลาดหวัง มันเป็นที่ตัวเจ้า ไม่ใช่เพราะข้าหรือใครทั้งสิ้น”“หุปปาก! ข้าจะไม่ยอมก้มหัวให้คนเช่นเจ้า เป็นอันขาด ข้าเกิดมาเพื่อครอบครองสิ่งล้ำค่า แต่เป็นพวกเจ้าที่ผลักไสข้าออกจากสิ่งนั้น ข้าทำผิดอันใดไยถึงกล้ามาบอกแก่ข้า ว่าไข่มุกโลกันต์มิเลือกคนเช่นข้า แต่เป็นคนวิปลาสอย่างเจ้าแทน”เจิ้งถงตวาดเสียงดัง เขาต้องไม่มีวันพ่าย
“เจ้าจะว่าข้าใจดำก็ได้นะ เจิ้งถง ที่ปล่อยให้เจ้าถูกสังหาร แต่จะโทษข้าก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะมันมิใช่หน้าที่ของข้าที่จะต้องปกป้องคนเช่นเจ้า”เขาเห็นแล้วว่ามีลูกธนูพุ่งมา และเขาไม่คิดที่จะหลบหรือช่วยเหลือเจิ้งถง เพราะมันมิใช่เรื่องของเขา แต่มันเป็นการฆ่าปิดปากของผู้ร่วมขบวนการเสียมากกว่า อย่างน้อย เขาก็แก้แค้นให้แล้ว โดยการสังหารมือธนู ถือว่าเขาก็ยังมีเมตตาอยู่บ้าง‘เจ้าควรขอบใจข้าเจิ้งถง ในความเป็นคนดีมีเมตตา สังหารคนที่ฆ่าเจ้า หึ ๆ’ ก่อนที่ร่างสูงของหมิงจงเป่าจะหายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงดวงตาที่เหลือกค้างของคนทรยศ โดยไม่มีผู้ใดเดาได้ว่า เจิ้งถงสิ้นใจด้วยความแค้น หรือความเศร้าเสียใจและสำนึกผิดกันแน่ แต่สำหรับหมิงจงเป่านั้น เขาคิดเพียงแค่ว่าตัวเขาทำได้ดีที่สุดเท่านี้ เพราะอย่างน้อย เขาก็มิได้ลงมือสังหารเจิ้งถงด้วยความแค้นในอดีตอย่างที่ควรจะเป็นค่ายทหารเจียงไห่เพล้ง! หยางซานชินถึงกับใบหน้าถอดสีที่อยู่ ๆ กาน้ำชาได้ตกลงแตกกระจาย เพียงแค่เขาเดินผ่าน ยังมิทันได้แตะต้องหรือเฉียดใกล้เลยด้วยซ้ำไป เสมือนลางร้ายเกิดขึ้นในห้วงความคิดอย่างฉับพลัน แต่เขาจำต้องเก็บงำเอาไว้เสีย หยางซานซินปลอบใจต
ห้องครัว ณ เซียนอี้เสียงทำอาหารภายในห้องครัวส่วนตัวเล็ดลอดออกมาให้คนที่แอบอยู่ด้านนอกได้ยินกันถ้วนหน้า หมิงจงเป่าได้สั่งให้คนของตนเองมาคอยสอดแนมดูว่า หญิงสาวได้เปลี่ยนแปลงรายการอาหารหรือไม่ เพราะเกรงว่าฟางเล่อจะจับได้ว่าอาหารที่จะขึ้นโต๊ะในคืนนี้มิใช่ฝีมือของนาง“เรียนนายหญิง นายท่านและท่านอ๋องน้อย ผู้ติดตามเยว่คัง พร้อมทั้งคุณหนูเมี่ยวจ้านกลับมาแล้วขอรับ”“งั้นเร็วเข้า พวกเจ้าทยอยนำอาหาร ขึ้นไปจัดเตรียมยังห้องรับรอง ป่านนี้คงพากันหิวแย่ ปลาของข้าได้รึยัง เสร็จแล้วเอามาตรงนี้ ข้าจะปรุง”เมื่อได้ยินว่าพี่ชายและสามี รวมถึงว่าที่พี่สะใภ้กลับมาแล้ว ฟางเล่อเร่งลงมือกับวัตถุดิบตรงหน้า โดยมีเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมช่วยจัดเตรียมข้าวของช่วยอีกแรง มือบางที่ยังเผยให้เห็นรอยฟกช้ำจากการต่อสู้เมื่อกลางวัน แต่หญิงสาวหาได้ใส่ใจไม่ อาหารคือสิ่งจำเป็นในชีวิต ยิ่งในสงคราม หากทหารมิอิ่มท้อง ต่อให้เก่งเทียมฟ้าก็ต้องพ่ายแพ้หากไร้ซึ่งอาหารมาสร้างกำลังให้แก่ตนเองนับตั้งแต่แต่งงาน มีแค่มิกี่ครั้งที่นางลงมือปรุงอาหารให้แก่สามีและครอบครัว วันนี้นับว่าเป็นโอกาสของนางอีกคราที่จะได้แสดงความสามารถด้านนี้ให้ทุกคนไ
“ท่านไม่ควรทำเช่นนี้ เป็นสิ่งที่อันตรายเกินไปแล้วที่วางใจศัตรู เพราะต่อให้ท่านมิลงมือสังหารข้า ท่านจะมั่นใจได้อย่างไรว่าข้าจะไม่ทำร้ายท่าน อย่าได้ทำเช่นนี้อีก อะ…องค์…”ชายหนุ่มกลืนคำพูดทั้งหมดลงไปในลำคอ เมื่อช่วงที่ต่อสู้กันนั้น เขาไม่มีโอกาสเห็นบุรุษตรงหน้าได้ชัดเจนนัก แม้คราแรกที่สบตาหลังจากเขาฟื้นขึ้นมาหลังจากตกเป็นเชลย ในตอนนั้นจะตกใจอยู่มาก แต่ทว่า เขาก็ยังไม่แน่ใจเท่าใดนัก ทว่าเวลานี้ เขาเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นแม้จะเป็นยามค่ำคืนก็ตามที สิ่งสำคัญคือเขามั่นใจแล้วนั่นเองว่าชายหนุ่มคือใคร“ช่างเป็นศิลปะที่งดงามยิ่ง”“อะไร…ท่านหมายถึงสิ่งใดกันพี่ชาย”“ตัวอักษร ‘เยว่’ บนอกของท่านอย่างไรเล่า แม้เห็นเพียงรำไร มันก็ดูงดงามยิ่งใหญ่นัก”ถงเหยียนเจี๋ยยกมือขึ้นลูบกลางแผ่นอกของตนเอง เสื้อที่ภรรยาเลือกให้สวมใส่ในวันนี้ใช่ว่าจะปิดไม่มิด แต่เพราะการต่อสู้กับคนตรงหน้าทำให้มันถูกคมอาวุธจนเปิดออก เผยให้เห็นแผ่นอกของเขา รอยสักนี้ ทุกคนเคยเห็นมาแล้ว และมันมิได้สำคัญอันใดที่จะต้องปกปิด มันดูธรรมดามากสำหรับตัวเขาและสหาย คนตรงหน้ากลับบอกว่ามันงดงาม“ท่านมิใช่คนชีเป่ยรึถึงอ่านคำนี้ออก รอยสักเช่นนี้ ผู้ใดก
“เจ้าจัดการเถอะ หากเมื่อใดคิดว่าเขามิปลอดภัยสำหรับเราก็จงจัดการเสีย”“ท่านพ่อโปรดวางใจ คืนนี้ เราต้องพาเมิ่งชีไปยังฐานใหญ่ให้ได้เสียก่อน”ราชครูหลิวได้แต่เมินหน้าไปอีกทาง เขาไม่พร้อมที่จะเห็นบุตรสาวในตอนนี้ เขาอยากที่จะปลดปล่อยความเจ็บปวดออกมายิ่งนัก แต่จำต้องกล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้ภายในหยางซานซินมิใช่คนที่เขาควรต่อกรในเวลานี้ คนผู้นี้อันตรายเกินกว่าที่เขาคาดการณ์นัก คิดจะเก็บศัตรูไว้ข้างกายเพื่อหลอกใช้คนเช่นชูถง ช่างเป็นความคิดที่โง่เขลานัก แต่เขามิอาจพูดอันใดได้มากกว่านี้เพราะตอนนี้หยางซานซินเสมือนกับมิใช่คนที่เขาเคยรู้จัก หากพูดมากไป ตัวเขาเองก็คงมิพ้นถูกกำจัดเช่นกัน ไร้บุตรสาว ตัวเขาก็เสมือนไร้เขี้ยวเล็บ ด้วยอำนาจในราชสำนักเริ่มเสื่อมถอยตามวัยของเขา“ข้าจะไปเตรียมตัว เจ้าควรให้หมอมาดูแผลสักหน่อยนะ”“ท่านพ่อ กลับไปเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับคืนนี้เถอะขอรับ ทางนี้ ข้าจัดการเอง”ราชครูหลิวลุกขึ้น เดินตรงไปยังหน้ากระโจมด้วยหัวใจอันร้าวราน ทุกย่างก้าวมันช่างหนักอึ้งจนแทบขยับมิได้เลยทีเดียวหยางซานซินมองตามบิดาคนรัก ไปด้วยสายตายากที่จะอ่านออก สิ่งที่เขาต้องทำยังมีอีกมาก จะมามัวเสียเวลากับคนแก
ค่ายทหารเจียงไห่ราชครูหลิวเดินวนไปมาอยู่ภายในกระโจมบัญชาการด้วยความร้อนใจอย่างที่สุด การหายตัวไปของหยางซานซิน เขาเองก็สงสัยมากพออยู่แล้ว ซ้ำเวลานี้ บุตรสาวก็ยังไร้วี่แววว่าจะกลับมา เขาจะทำอย่างไรดี“ท่านราชครู ท่านเสนาบดีและท่านแม่ทัพใหญ่กลับมาแล้วขอรับ”ฟึบ!ยังมิทันได้ก้าวออกไปด้านนอก ร่างสูงของเสนาบดีหนุ่มก็ก้าวเข้ามาพร้อมห่อผ้าสีดำขนาดใหญ่ ตามมาด้วยหยางซานซินที่มีรองแม่ทัพซ้ายคอยพยุงเอาไว้“เป่าชุน เจ้าจัดการให้เรียบร้อยตามที่ข้าบอก ห้ามให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด”“ขอรับท่านเสนาบดี ข้าจะรีบจัดการในทันที”“อะไรกัน มันเรื่องอะไรกัน ท่านเสนาบดี ท่านแม่ทัพใหญ่ เกิดอะไรขึ้น ละ…แล้วนี่...มันคือสิ่งใด”ราชครูหลิวถามคนทั้งคู่ด้วยน้ำเสียงร้อนรนยิ่งนัก ก่อนจะชี้นิ้ว มายังสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของเสนาบดีหนุ่มชูถงเดินไปยังด้านในโดยมีหยางซานซินเดินนำไปก่อน พร้อมทั้งกวาดสิ่งของทั้งหมดออกจากโต๊ะตัวใหญ่ของหยางซานหลาง ก่อนที่ชูถงจะวางห่อผ้าลงอย่างเบามือ“ท่านราชครู ข้าขอให้ท่านทำใจสักหน่อย อีกเรื่องก็คืออย่าได้แพร่งพรายถึงสิ่งที่อยู่ในห่อผ้านั่นออกไปให้ผู้ใดรับรู้อีกเป็นอันขาด มิใช่ข้าที
โม่คังสะบัดแส้รุนแรงขึ้น เพราะเวลานี้ พวกเขาถูกต้อนให้เข้าป่ามากขึ้นทุกที โม่คังลอบมองไปยังน้องชายและองค์หญิงแห่งจิ้งหนาน ซึ่งทั้งสองเองก็กำลังตึงมืออยู่มากไม่น้อยเคล้ง!ทวนสวรรค์ปะทะเข้ากับหอกเงินของเป่าชุน ความรุนแรงในการฟาดฟันของอาวุธทั้งสองทำให้ด้ามหอกและด้ามของทวนสวรรค์ต่างสะบัดสั่นไหวประหนึ่งอสรพิษเลื้อยหยางซานซินถอยกายเอนหลังพิงยังโคนต้นไม้ใหญ่ เวลานี้ เขาบาดเจ็บและหากเขามิรีบขับพิษออกจากร่างกาย อาจถึงขั้นสาหัสจนถึงชีวิตได้ มีดสั้นของเขาอาบยาพิษเอาไว้ มิคิดว่าจะเป็นเขาที่ถูกพิษร้ายเสียเอง หยางซานซินได้ล้วงเอายาแก้พิษออกมากิน ก่อนจะรวบรวมพลังวัตร เพื่อขับพิษร่วมไปด้วย หากรอเพียงออกฤทธิ์อาจทำให้อาการบาดเจ็บยืดเยื้อออกไปอีกเมี่ยวจ้านเองได้หันหลังให้กับคนรักและพี่ชายของเขาเหมือนกับว่าตอนนี้พวกเขาสามคนกำลังตกอยู่กลางวงล้อมของศัตรู ศึกนี้ดูจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว เมื่ออยู่ ๆ ก็มีตัวช่วยของหยางซานซินโผล่มากโดยมิทันคาดคิดตูม!อยู่ ๆ ก็เกิดเสียงดังขึ้น พร้อมกลุ่มควันมากมาย เป่าชุนและชูถงพร้อมทหารทั้งหมดรีบเหินกายถอยออกจากกลุ่มควันอย่างรวดเร็ว พวกเขารู้ดีว่าหากขืนยังอยู่จะเป็นพวกเขาเองที
“ชีวิตท่านคิดจะฆ่าลูก ๆ ของตัวเองให้สิ้นสกุลเลยหรืออย่างไร หยางซานซิน ในอดีตเมื่อข้ายังเยาว์วัย ท่านอาจว่องไวประดุจอินทรี แต่เมื่อข้าเติบใหญ่ ตัวท่านก็เริ่มแก่ชรา ไยมิรู้จักไปจำศีลในวัดวาอาราม จะมามัวถือดาบล้างสกุลตนเองและผู้อื่นเล่นอยู่ทำไมกัน”มือแกร่งของโม่คังกำลำคอหนาของแม่ทัพหยางเอาไว้แน่น มือข้างที่ถืออาวุธอยู่ก็มิอาจขยับได้ เพราะถูกแส้ทองของบุตรสาว พันธนาการเอาไว้เช่นกันหยางซานซินใช้มือข้างที่ยังว่างและไร้ซึ่งอาวุธพยายามแกะมือของชายสวมหน้ากากออกจากลำคอแกร่งของตนเอง“จะ…เจ้า แค่ก ๆ หมายความว่าอย่างไร เจ้าคือใคร”โม่คังคลายมือออกเล็กน้อยพอให้อีกฝ่ายส่งเสียงที่แหบแห้งออกมาได้ ดวงตาของทั้งคู่จ้องประสานกัน หนึ่งค้นหาความจริง อีกหนึ่งเย้ยหยันผู้ที่กำลังดิ้นรนเพื่อให้รอดชีวิต การที่เขาสอดมือเข้าช่วยเมี่ยวจ้านนั้น มิใช่กลัวว่านางจะรับมือหยางซานซินมิได้ แต่เขาเกรงว่านางจะสังหารหยางซานซินเสียมากกว่า“คิดให้ดี ว่าท่านเคยทำแบบนี้กับใครบ้าง อืม ๆ ข้าจะใบ้ให้นิดหน่อย เผื่อจะเตือนความจำของท่านแม่ทัพใหญ่ได้บ้าง เริ่มจากตรงไหนดีล่ะ”“ท่านพี่จะเสียเวลากับคนเช่นนี้ทำไมกันขอรับ ข้าจะบอกใบ้แทนท่าน
หยางซานซินยืดกายขึ้นตรง ก่อนจะมองเลยไปยังด้านหลังของบุตรสาว แม่ทัพใหญ่เกิดความรู้สึกผิดหวังปนขุ่นเคืองที่อยู่ ๆ บุตรสาวก็โผล่เข้ามาขัดขวางความสำเร็จของเขาเสียก่อน‘ในเมื่อเจ้าพยายามเสนอตัวเป็นลูกของข้า วันนี้ ข้าจะดูซิว่า เจ้าจะทำอย่างไรให้ข้ายอมรับเจ้าได้ บุตรสาวข้า’“หลีกทางพ่อเสีย…หรือเจ้าจะช่วยพ่อกำจัดศัตรูของครอบครัวเราก็จะเป็นการดีมิน้อย ลูกรัก”เมี่ยวจ้าวเอี้ยวตัวไปด้านหลังเล็กน้อย แค่เพียงให้มองเห็นชายหนุ่มทั้งสองซึ่งยืนนิ่งอยู่ด้านหลังของนาง มุมปากของหญิงสาวคลี่ออกเล็กน้อย ก่อนจะขยิบตาข้างที่อยู่ฝั่งกับบุรุษทั้งคู่ เมี่ยวจ้านจึงหันกลับมาเผชิญหน้ากับบิดาผู้ให้กำเนิด แต่มิเคยต้องการนางเลย“เรื่องของพวกท่าน ข้ามิขอยุ่งเกี่ยว ข้าเพียงนำคำมารดามาแจ้งแก่ท่าน…บิดาข้า”หยางซานซินเหยียดริมฝีปากออกเล็กน้อย “หึ ๆ” พร้อมเสียงหัวเราะในลำคอเขารู้อยู่แล้วว่าคนอย่างบุตรสาวนั้นเป็นคนหัวแข็งเช่นมารดาของนาง การจะชักจูงให้มาอยู่ฝ่ายตนนั่นคงมิใช่เรื่องง่าย ซึ่งดูได้จากคำตอบของนางที่ดูจะเป็นกลางยิ่งนัก เหมือนกับนางไม่เลือกฝ่ายใด‘ฉลาดนักนะ ลูกสาวข้า’ หยางซานซินรู้สึกชื่นชมในความเฉลียวฉลาดของบุตรส
เสียงอาวุธกระทบกันเป็นระยะ ฝีมือของคนชุดดำในความคิดของชายหนุ่มนั้นนับว่าสูงส่งทีเดียว แต่เหมือนกับว่าอีกฝ่ายพยายามออมมือให้แก่เขา ซึ่งตัวเขาเองก็กำลังทำเช่นเดียวกัน‘หากข้าให้โอกาสเขาแล้ว นับว่าเป็นเสมือนดาบสองคมสินะ!’“พี่ชาย…ข้ามิออมมือแล้วนะ แต่มีบางเรื่องที่ตัวข้าอยากเตือนสติท่านสักหน่อย หากท่านมิรอดจากคมกระบี่ข้า ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าคนข้างหลังของท่านจะรอดชีวิตเช่นกัน มิเคยมีสัจจะในหมู่คนพาล ไยมิทบทวนให้ดี ทุกอย่างเกี่ยวกับท่าน ข้าเพียงคาดเดา พี่ชาย”ไร้การตอบรับจากคนชุดดำ การต่อสู้ยังคงดุเดือดขึ้นตามลำดับ แต่ดูอย่างไร คนชุดดำก็ยังมิจริงจังกับการต่อสู้นี้สักที‘คิดจะจบชีวิตในคมดาบศัตรู แทนการสังหารศัตรูเช่นนั้นหรือ เพราะอะไรกัน…’ถงเหยียนเจี๋ยถึงกับงุนงงในการกระทำของคู่ต่อสู้ เขามิรู้ว่าจะคาดเดาไปในทิศทางใดได้อีกแล้ว ทำเพียงหาทางหยุดอีกฝ่ายลงให้ได้โดยมิให้ถึงชีวิต หากเป็นเช่นที่เขาคิด บางทีการต่อรองกับคนผู้นี้อาจส่งผลดีต่อพวกเขาก็เป็นได้ทางด้านโม่คังเหมือนกับว่าเวลาเล่นสนุกของเขาได้หมดลงแล้ว เมื่ออยู่ ๆ ผู้เป็นน้องชายได้ถูกไล่ต้อนให้ออกห่างจากเขาจนเริ่มจะมองไม่เห็นแล้ว ไหมทอ
“ท่านยังเร็วมิพอ แม่ทัพหยาง…ความชราของท่านมันคืออุปสรรคสินะ!”ชายหนุ่มพูดทั้งยังส่งเสียงหัวเราะในลำคอโดยจงใจให้อีกฝ่ายได้ยินด้วย เพียงแค่ผ้าซึ่งคลุมปลายทวนหลุดออก เผยให้เห็นถึงรูปลักษณ์ของตัวทวนที่มีลวดลายเฉพาะ โดยตัวเนื้อเหล็กกล้าเชื่อกับด้ามทวนนั้น ฝังไว้ด้วยอัญมณีล้ำค่าซึ่งมีเพียงคนเดียวที่ใช้ทวนนี้ได้‘ทวนสวรรค์’ทหารติดตามถึงกับดวงตาเบิกโพลงเมื่อมองเห็นทวนของชายหนุ่ม ความสับสนได้เกิดขึ้นภายในใจกันมิน้อย ว่าคนตรงหน้าคือตัวจริงหรือปลอมกันแน่ แต่ทั้งหมดก็ไร้โอกาสที่จะมองให้ชัดเจนกว่าเดิม เพราะจำต้องรับมือกับชายสวมหน้ากากซึ่งแม้จะไร้อาวุธแต่กลับรวดเร็วยิ่งนัก ซ้ำยังใช้เพียงมือเปล่ารับมือกับพวกเขาได้อย่างง่ายดายหยางซานซินแม้จะต่อสู้อยู่กับโม่หยวนฟาง แต่ทุกครั้งที่การประมือของเขากับชายหนุ่มนั้นได้มีโอกาสหันไปยังด้านของคนสวมหน้ากาก เขาจะเห็นบางอย่างที่คุ้นเคย เสมือนเขาเคยพบเจอคนที่ใช้วิชาเช่นนี้มาก่อนหน้าแล้วเมื่อครั้งในอดีต“เสียเวลามากเกินไปแล้ว เด็กน้อย ถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว”หยางซานซินปลดปล่อยพลังออกมาจนเกิดเสียงระเบิดอย่างรุนแรงรอบกายเขาและโม่หยวนฟาง ทางด้านอ๋องหนุ่มเองได้ตั้งรับอ