หมิงจงเป่ายืนส่งยิ้มซึ่งเขาคิดว่าหวานที่สุดให้แก่หญิงสาว เจอกันครั้งนี้ นางช่างอัปลักษณ์ยิ่งนัก
จีกวานฮวาเพิ่งรู้สึกได้ว่าผ้าที่นางคลุมปิดบังใบหน้าได้ไปอยู่ในมือของอีกฝ่ายเสียแล้ว
‘เป็นไปไม่ได้ อะไรจะเร็วปานนั้น’ หญิงสาวรีบพุ่งตรงเข้าใส่ชายตรงหน้าในทันใด
ส่วนทหารติดตามได้พากันเข้าล้อมรอบรถม้า ทุกคนต่างกระชับอาวุธเอาไว้แน่น เตรียมพร้อมรับมือกับคนด้านใน ไม่มีใครมิรู้จักหลิวเจินเจิน ฝีมือนางร้ายกาจสมกับเป็นบุตรสาวแม่ทัพ แม้วัยของอดีตฮูหยินสกุลหยางจะล่วงเลยมามากแล้วก็ตามที พวกเขามั่นใจว่านางยังคงมีเขี้ยวเล็บแหลมคมเช่นเดิมมิเปลี่ยนไปแน่นอน
กระบี่หลายเล่มแทงจากรอบทิศทางเข้าไปภายในรถม้า ปัง! ชิ้นส่วนของตัวรถแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยพลังอันสูงส่ง สิ่งที่ปรากฏต่อสายตานั้น มิใช่หลิวเจินเจินแต่เพียงผู้เดียว กลับมีหญิงสาวอีกคนยืนเคียงข้างนางอยู่ด้วย
ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้สายตาของหยางซานหลาง ร่างบางในชุดสีขาวคุ้นตาทำให้ชายหนุ่มเสียสมาธิไปบ้าง
เมี่ยวจ้านถอยกลับไปยืนเคียงข้างมารดาและหญิงสาวอีกคน แค้นนี้มิใช่ของนางแต่ผู้เดียว หากจะลงมือจริง ๆ นางต้องการชีวิตหยางซานชินมากกว่าผู้ใด
ฟางเล่อค่อย ๆ หมุนกายเพื่อเผชิญหน้ากับอดีตสามี ดวงตาหงส์กอปรกับรอยยิ้มอย่างผู้มีชัยปรากฏเด่นชัดบนใบหน้าหวานล้ำ นางแค่ต้องการมาทวงความเป็นธรรมให้แก่เจ้าของร่างที่ต้องสังเวยชีวิตเพื่อความรักและอำนาจของผู้อื่น โม่ไป๋หลานจำต้องทนเก็บความเจ็บปวดแต่ผู้เดียว และต้องจบชีวิตลงเพราะความรักที่มีบุคคลที่สามเข้ามาแทรกแซง
ในเมื่อโอกาสมาถึงแล้ว นางก็จะไม่มีวันปล่อยให้มันหลุดมือไปเป็นอันขาด หากอยากกำจัดพ่อลูกสกุลหยาง จำต้องลงมือในเวลาที่จิตใจของสองพ่อลูกกำลังไขว้เขวและอ่อนแอ
ด้านจีกวานฮวาที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้วยังถึงกับมีใบหน้าถอดสี ด้วยความตกใจจนเรียกได้ว่าขวัญเสียเลยทีเดียว เพราะมิคาดคิดว่าจะพบเจอกับคนที่นางเคยคิดว่าตายไปแล้วนั่นเอง
หยางซานหลางยังคงนิ่งค้างมิอาจขยับกายได้ดั่งในต้องการ
‘เป็นไปไม่ได้’
หญิงสาวเลิกคิ้วน้อย ๆ ด้วยท่าทางที่ดูเป็นธรรมชาติ ความงดงามของโม่ไป๋หลาน เมื่อครั้งอดีตว่างดงามหยดย้อยแล้ว แต่โม่ไป๋หลานที่ยืนอยู่ตรงนี้กลับงดงามไปอีกแบบ นางดูสูงค่าจนชายหนุ่มรำพันในใจว่านางคือสิ่งที่เขามิอาจเอื้อมถึงได้เลยก็มิปาน
แน่นอนว่าวันนี้…ฟางเล่อและอีกสามคนไม่คิดปล่อยให้หยางซานหลางกับคนของเขาให้มีชีวิตรอดกลับไปแม้แต่คนเดียว ด้วยว่าความลับของพวกนางถูกพบเห็นโดยความตั้งใจของพวกนางเอง
อย่างไรเสีย มันก็ถึงเวลาเปิดศึกอย่างเป็นทางการกับฝ่ายกบฏแล้วนั่นเองจะปิดบังต่อไปก็ไร้ประโยชน์ มิเช่นนั้นจะเป็นการสูญเสียโอกาสที่จะช่วงชิงความได้เปรียบในหมากกระดานนี้
อยากรู้นักว่า หากหยางซานชินต้องสูญเสียของรักไป เขาจะรู้สึกเช่นไรบ้าง
‘จะว่าข้าใจร้ายก็ย่อมได้ แต่หากพวกเจ้าไม่เริ่มก่อน มีหรือคนเช่นข้าจะทำแบบนี้’
ฟางเล่อยิ้มเย็นชั่วขณะ ก่อนจะกลับมาเป็นละมุนเช่นเดิม
“เจอกันอีกแล้วนะ ท่านพี่”
“ไยต้องเป็นเช่นนี้”
น้ำเสียงแผ่วเบาที่หลุดออกมาจากปากของหยางซานหลาง เมื่อสองตาดุจพญาอินทรีจ้องมองรอยยิ้มหยันของอดีตภรรยา
‘เจ้าไม่ได้รักข้าแล้วหรืออย่างไร’
หยางซานหลางได้แต่รำพันอยู่ภายในส่วนลึกของหัวใจ
“ยะ!”
กุบ! กับ!
สตรีในชุดหรูหราควบม้าด้วยความร้อนใจโดยมีผู้ติดตามไปนับสิบคนตามหลังมิห่าง ฝันร้ายที่เกิดขึ้นติดต่อกันมานานทำให้นางไม่อาจวางใจได้ เมื่อรู้เรื่องจากคนรักว่าเวลานี้บุตรชายเพียงคนเดียวกำลังออกติดตามอดีตภรรยาของแม่ทัพใหญ่หยางซานชินที่กำลังหลบหนีไปยังแคว้นข้างเคียง พร้อมหลักฐานสำคัญและความลับของนางกับแม่ทัพสกุลหยางทั้งสอง
สำหรับเรื่องนั้น นางมิกังวลใจเท่ากับภาพฝันซ้ำ ๆ ว่าบุตรชายเพียงคนเดียวร้องเรียกหาผู้เป็นมารดาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
“ยะ!”
หลิวเมิ่งชีเร่งกระตุ้นม้าให้เร็วขึ้น ทั้งหมดวิ่งไปตามถนนเส้นเล็กที่รอบด้านเรียงรายไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ใจของนางยิ่งมิอาจควบคุมให้สงบลงได้ เมื่อภาพฝันฉายชัดอยู่ในห้วงความคิดไม่ยอมจางหาย
ดวงตาคู่งามเบิกกว้างขึ้นพร้อมอาการตื่นตัวของคนบนหลังม้าทันที เมื่อเสียงอาวุธกระทบกันดังให้ได้ยินจากเพียงบางเบาจนชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนภาพที่ปรากฏให้เห็นอยู่เบื้องหน้าทำให้หลิวเมิ่งชีดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะเหินกายจากหลังม้า ตรงเข้าหาบุตรชาย
แต่ยังมิทันเข้าถึงตัว ร่างงามต้องเซถอยเมื่อเท้าสัมผัสพื้นดิน หลิวเจินเจินปรากฏกายขวางกั้นญาติผู้พี่ของตนเอาไว้เสียก่อน
“ท่านพี่…ไยถึงมิอยู่ในวังเล่าเจ้าคะ ออกมาเที่ยวเล่นเช่นนี้มิเหมาะสมเลยนะเจ้าคะ”
หลิวเจินเจินพูดด้วยน้ำเสียงติดเยาะหยัน แววตาที่เคยมีแต่ความรัก และไว้ใจเมื่อครั้งในอดีต บัดนี้มันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มีเพียงความว่างเปล่าในสายตาของหลิวเจินเจินที่มีต่อญาติผู้พี่ของนาง
หลิวเมิ่งชีสะท้านในอกเล็กน้อย ก่อนจะเหยียดยิ้มอย่างผู้มีชัย ส่งกลับให้ญาติผู้น้องของตนเอง
“เจินเจิน…อย่าปากดีไปหน่อยเลย อย่างไรซะ! วันนี้ ข้าก็ต้องจบเรื่องระหว่างเราให้เสร็จสิ้นกันเสียที ”
หลิวเมิ่งชีชี้กระบี่ไปยังญาติของตน พระสนมคนงามถึงกับขบกรามแน่น เมื่อมองเลยไปยังบุตรชายที่กำลังต่อสู้กับหญิงสาวซึ่งนางไม่รู้จักว่าเป็นใครด้วยความเป็นห่วง
นับตั้งแต่เยาว์วัย หยางซานหลางจะนับนางเป็นเพียงแม่ทูนหัว แต่วันนี้ นางอยากได้ยินคำว่าแม่อย่างเพียงเดียว ไม่มีคำอื่นใดต่อท้าย
“ข้าก็ยังเป็นคนเดิมพี่สาว สิ่งใดถูกผิด ข้าแยกแยะออกเสมอ เรื่องระหว่างเรานั้นคืออันใดเล่า บอกน้องสาวผู้โง่เขลานี้สักนิดจะได้หรือไม่”
หลิวเจินเจินข่มกลั้นความคลั่งแค้นเอาไว้ ภายใต้ใบหน้าระบายยิ้ม เพื่อมิให้คนที่หักหลังนางได้ใจไปมากกว่านี้
“เจ้ามิใช่เด็กแล้วเจินเจิน จงยอมรับความจริงว่า วันนี้ เจ้าพ่ายแพ้ให้แก่ข้าในทุก ๆ ด้าน เสียจะดีกว่าน้องรัก ไม่ว่าสิ่งใดที่เจ้าคิดว่าได้ครอบครอง แท้จริงมันเป็นของข้ามาแต่แรกแล้ว และจะเป็นตลอดไป เจ้าควรขอบคุณพี่สาวเช่นข้าที่เมตตาให้ยืมคนรักและบุตรชาย เพื่อให้เจ้ามีความสุขในวัยสาวอย่างภาพฝันที่เจ้าปรารถนามาตั้งแต่วัยเยาว์”
หลิวเมิ่งชียังคงพยายามพูดเพื่อให้ญาติของตนรู้สึกต่ำต้อยโดยการต้องย้ำเรื่องความพ่ายแพ้ที่อีกฝ่ายได้รับมา นางไม่สนว่าจะถูกหรือผิด ใครจะอยู่หรือตายนางไม่สนใจ เพื่อให้ลูกของนางอยู่อย่างปลอดภัยและเติบโตมาด้วยความเพียบพร้อม คนเช่นนางทำได้ทุกอย่าง ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว มิอาจกลับไปแก้ไขอันใดได้อีก วันนี้ นางจะต้องกำจัดญาติผู้น้องให้ตายตกตามลูกน้อยของหลิวเจินเจินไปซะ
“เช่นนั้นรึ…ท่านพี่ เป็นข้าสินะ! ที่ต้องของคุณในความเมตตานั้น สตรีที่กล้าทำผิดศีลธรรมเช่นท่านยังคิดอยู่อีกหรือว่า ซานหลางจะยอมรับในตัวมารดาเช่นท่านกัน”
“จะ…เจ้ายังคิดว่าตัวเองเหนือกว่าข้าอยู่อีกหรือ ซานหลางเลือกข้า เจินเจิน ไม่ใช่เจ้า เช่นนั้นแล้ว เขาจะตามมาฆ่าเจ้าเพื่อข้าทำไม”ทุกถ้อยคำของหลิวเมิ่งชีนั้นเหมือนมีดที่หมายกรีดกลางใจของอีกฝ่าย แต่หลิวเจินเจินกลับนิ่งเฉยต่อคำเหล่านั้น เพราะนางรู้ดีแก่ใจว่าบุตรชายเลือกใคร‘เขาคือลูกชายข้าเมิ่งชี ต่อให้เขาลงมือกับข้า ใจของซานหลางก็มีแต่ข้าที่เป็นมารดาของเขา ข้าเชื่อเช่นนั้น’“แล้วเราจะได้รู้กัน ท่านพี่”หลิวเมิ่งชีกำอาวุธเอาไว้แน่น ฝีมือนางมิเป็นรองหลิวเจินเจินแม้แต่น้อย และวันนี้ นางจะพิสูจน์ให้ทุกคนประจักษ์แก่สายตา ว่านางคือสตรีที่เพียบพร้อมทั้งอำนาจ หน้าตา และฝีมือ มิใช่หลิวเจินเจินที่มีแต่ผู้คนยกย่องสรรเสริญว่าสตรีเหนือสตรี เป็นรองเพียงฮองเฮาของแคว้น สิ่งใดที่คนอย่างหลิวเมิ่งชีต้องการ มิมีคำว่าไม่ได้“ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่กับลูกสาวของเจ้าเองน้องพี่”“มั่นใจขนาดนั้นเลยหรือพี่สาวข้า ว่าบุตรสาวข้าตายแล้ว บ่าวที่ภักดีของข้าก็มากมาย มีหรือพวกเขาจะปล่อยให้ลูกข้าตาย”หลิวเจินเจินหันใบหน้าไปด้านข้างเล็กน้อย ก่อนจะปรายตาไปยังหญิงสาวอีกคนที่กำลังสะบัดแส้ไปมาอย่างดุดัน ต่อกรอยู่ในวงล้อมของเหล่าทหารกบ
“เจ้าไม่มีวันได้ครอบครองใจของซานชิน ใจของเขาเป็นของข้าแต่ผู้เดียว เจินเจิน” ทุกคำพูดที่หลุดออกมาจากปากนั้น เลือดสีแดงฉานทะลักออกมาพร้อม ๆ กันเสมอ“ใจที่สกปรกเช่นนั้น ข้าไม่ต้องการเอามาแปดเปื้อนหัวใจของข้าแม้แต่น้อย บอกเขาเก็บมันไว้ให้ดี เพราะข้าจะควักมันออกมา เหยียบให้จมลงไปในแผ่นดินให้หมดสิ้น”ทุกคำพูดของหลิวเจินเจิน มันดูเลือดเย็นไร้ซึ่งความอาลัย ในตัวของหยางซานซินนัก ไม่เว้นแม้แต่แววตาที่ไร้ความรู้สึกของนาง“เจ้ามัน…เป็นได้แค่...ดอกไม้ไร้ค่า เจินเจิน…อึก!”ดวงตาของหลิงเมิ่งชี มองเลยไปยังชายหนุ่มซึ่งอยู่ห่างจากนางไปพอสมควร หยางซานหลางยังไม่ทันเห็นว่าตอนนี้ นางกำลังจะสิ้นใจในมิช้า สักคำที่นางอยากได้ยินจากปากของชายหนุ่มคือ‘เรียกข้าว่าแม่…ได้หรือไม่ซานหลาง’ นางทำได้แต่เพียงคิดเท่านั้นหลิวเจินเจิน แม้จะสงสารญาติผู้พี่จับใจ แต่ไม่คิดใจอ่อนให้คนที่ขึ้นชื่อว่าศัตรูได้“ข้าหรือท่านกันแน่…พี่ข้า!”เรียวปากบางเหยียดยิ้มหยัน ก่อนจะใช้ฝ่ามือกระแทกเข้ายังด้ามกระบี่ ร่างบางของหลิวเมิ่งชีถอยหลังไปตามแรงนั้นโดยมิอาจขัดขืนอันใดได้ปึก! หลังของสนมงามกระแทกกับต้นไม้ โดยมีกระบี่ของหลิวเจินเจินแทงทะล
ดังนั้น เมื่อมีโอกาสถ่ายทอดวิชาแก่ศิษย์รักไม่ว่าจะมากน้อย เขาจะไม่ยอมให้สูญเสียโอกาสเป็นอันขาด ส่วนเจิ้งถงจะฉวยเรียนรู้ไปด้วยหรือไม่นั้น เขามิคิดสนใจ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่อาจฝึกฝนไปทั้ง ๆ ที่ต่อสู้กับเขาได้อยู่แล้วเป็นอย่างที่หมิงจงเป่าคิดไม่มีผิด เมื่อฟางเล่อใช้สายตาที่ว่องไว ดูการเคลื่อนไหวของผู้เป็นอาจารย์ โดยร่างกายของนางนั้นขยับก้าวตามเสมือนการร่ายรำตามผู้นำการเต้นที่มีการแปรขบวนท่าอยู่อย่างต่อเนื่อง ครั้งแรก นางไม่ได้สนใจอะไรนอกจากจดจ่อกับการต่อสู้ แต่พอมีผู้มาใหม่ซึ่งทำให้อาจารย์ของนางหัวเราะเสียงดัง จากนั้นทุกการเคลื่อนไหว ตกอยู่ภายใต้สายตาของนาง และใช้ทุกกระบวนท่าที่จดจำได้มาตั้งรับและรุกคู่ต่อสู้ มันทำให้นางดูเหมือนจะได้เปรียบจีกวานฮวาขึ้นมาบ้างแล้วหากเป็นในโลกที่นางจากมา นับว่าสายตาของนางคืออัจฉริยะที่ว่องไวจนนางเองยังไม่อยากจะเชื่อ ความจำนั้นยิ่งเป็นเลิศกว่าแต่ก่อนมากนัก นางจำทุกถ้อยคำของท่านอาจารย์ได้ดี มิมีลืมเลือน‘เล่อเล่อรู้ไหมนอกจากฝ่ามือโลกันต์แล้ว เพราะอะไรคนถึงอยากครอบครองไข่มุก จำไว้ให้ดีว่าไข่มุกโลกันต์ทำให้เจ้ามีสายตาที่ดี สมองที่ดี มันคือสมบัติที่ล้ำค่ากว่าสิ
หยางซานหลางเกิดความอิจฉานางอย่างนั้นหรือ ไยเขาถึงกล่าวหาว่านางแย่งชิงทุกอย่างมา ทั้ง ๆ ที่ตัวนางเองนั้นมิเคยได้รับอะไรเลย แม้แต่น้ำนมมารดาสักหยด อ้อมกอดจากบิดาแท้จริงสักครั้งยังไม่เคย แล้วเหตุใดกัน หยางซานหลางจึงมากล่าวหาว่านางแย่งชิงทุกอย่างมาจากเขาเล่าน้ำตาของมารดาทั้งสองต่างไหลออกมาด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน หลิวเมิ่งชีต้องการได้ยินคำเรียกขานว่า ‘แม่’ สักครั้งจากปากของชายหนุ่ม ก่อนที่นางจะไม่มีโอกาสได้ฟังมันอีกชั่วชีวิต ตัวนางคงมิอาจทนต่อบาดแผลนี้ได้นานเท่าใดนัก“เมตตาแม่สักครั้งเถิดลูกรัก เป็นแม่เองใช่หรือไม่ที่ทำร้ายเจ้า”หลิวเมิ่งชีได้แต่รำพึงรำพันกับตนเองเบา ๆ ด้วยหัวใจที่สิ้นหวังเต็มทีแล้ว เสียใจตอนนี้ก็สายเกินกว่าที่จะกลับไปแก้ไขได้แล้ว หากนางปล่อยให้บุตรชายไม่รู้ความจริงเรื่องชาติกำเนิด ทุกอย่างคงมิเลวร้ายเช่นนี้ก็เป็นได้ หากนางยอมปล่อยหลิวเจินเจินไปเสีย ซานหลางคงมิเจ็บปวดถึงเพียงนี้ส่วนหลิวเจินเจินนั้นนึกโทษตนเองที่ไร้ความสามารถในการอบรมบุตรชายให้เป็นคนดีได้ เสมือนนางผู้เป็นแม่นั้นบกพร่องในหน้าที่ยิ่งนัก ไหนจะเวลานี้ พี่น้องต้องมาเข่นฆ่ากันเอง สวรรค์ช่างโหดร้ายกับนางอะไร
“ไม่เลยลูกรัก…แม่ไม่เคยทำเช่นนั้นกับเจ้า” หลิวเมิ่งชีละล่ำละลักแก้ตัวด้วยใบหน้าตื่นตกใจ นางมิเคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าบุตรชายจะพูดออกมาเช่นนี้“ซานหลาง! ลูกรู้แก่ใจว่าแม่เป็นเช่นไร” หลิวเจินเจินไม่มีคำแก้ ตัวเพื่อให้ตนเองดูดีเหนือญาติผู้พี่ แต่ใช้ความเป็นจริงในอดีตที่ผ่านมาเป็นตัววัดค่าของตนเองหยางซานหลางดวงตาแดงก่ำด้วยหัวใจอันแหลกสลาย เขาจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อมารดาที่แท้จริงกำลังมองมาด้วยดวงตาที่แสนรักใคร่เขาผู้เป็นบุตร แต่คนที่อยู่ในอ้อมแขนคือผู้ที่กลั่นเลือดในอกให้เขาดื่มกินมาจนเติบใหญ่ ความสำนึกผิดชอบชั่วดีกำลังฆ่าชายหนุ่มโดยมิรู้ตัวร่างแกร่งสั่นสะท้านจนหลิวเจินเจินรับรู้ได้ มืออุ่นยกขึ้นลูบแขนบุตรชาย พร้อมซบหน้าลงยังท่อนแขนแกร่งที่พาดผ่านช่วงใต้ลำคอตน พร้อมน้ำตาไหลรินออกมา ด้วยความรักของมารดามีต่อบุตรทำให้ใจที่กำลังหมดสิ้นทุกอย่างปวดร้าวจนแทบไร้เรี่ยวแรงจะยืนต่อ“แม่มิโทษเจ้าลูกรัก ลงมือเถิด…แม่ยอมสิ้นใจด้วยมือเจ้า ซานหลาง แต่จะไม่ยอมให้เจ้าสองพี่น้องต้องมาเข่นฆ่ากันต่อหน้าแม่เช่นนี้อีก”ดวงตาคู่งามหลับลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะเอนศีรษะไปพิงช่วงอกแกร่งของชายหนุ่ม หยางซานหลางกัดฟันจนแทบละเ
ทว่าอยู่ ๆ ลูกศรลึกลับก็พุ่งตรงมา โดยเป้าหมายก็คงไม่พ้นหัวใจของนาง แต่เพียงเสี้ยววินาทีนั้น นางกลับล้มลง และเมื่อหันกลับไปด้านหลังเท่านั้น ใจของนางก็แทบแหลกสลาย หยางซานหลางหมุนกายเข้ารับลูกธนูแทนผู้เป็นแม่ พร้อมกับผลักนางออกให้พ้นอันตราย เพราะการต่อสู้มีอยู่รอบด้านย่อมเป็นใครก็ได้ที่ลงมือชายหนุ่มกลับที่เลือกรักษาชีวิตนางเอาไว้ แทนที่เขาจะรักษาชีวิตตนเองเสียมากกว่าทั้งที่มีโอกาสอยู่มากมาย ทั้งรอยยิ้มและดวงตาเปี่ยมรักของบุตรชายส่งมาให้ก่อนร่างสูงจะล้มลง มันช่างดูมีค่ากว่าทองพันชั่งก็มิปาน“ท่านแม่! อึก! ข้าขอโทษที่มิอาจเลือกได้”ใบหน้าที่แนบอยู่กับอกของมารดา เงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาเศร้าสร้อย เลือดไหลทะลักออกมาจากริมฝีปากหนาได้รูป น้ำตาเปรอะเปื้อนไปทั้งใบหน้า ลมหายใจที่มีเสียงดังครืดคราด บอกถึงอาการของผู้เป็นเจ้าของกายได้อย่างชัดเจน หยางซานหลางยิ้มอย่างอ่อนแรงกับชะตากรรมของตนเอง“ซานหลาง! แม่จะช่วยเจ้าเองลูกรัก ทำใจดี ๆ เอาไว้นะ แม่จะไม่ยอมเสียเจ้าไปเป็นอันขาด” หลิวเจินเจินละล่ำละลักบอกบุตรชาย ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พร้อมทั้งพยายามกล้ำกลืนก้อนแข็ง ๆ ที่จุกอยู่ตรงลำคอหลิวเจินเจินใช้มืออั
“อ่า! เช่นนั้นหรอกหรือ ช่างรอบรู้เสียจริง ๆ ข้าไม่เคยบอกว่าตัวข้านี้เป็นใคร เจ้ากลับรู้ดีกว่าตัวข้าเสียอีกว่าผู้ใดคือมารดาของข้า นอกเสียจากว่าเจ้าจะรู้จักครอบครัวข้าเป็นอย่างดี หรือเจ้าก็คือหนึ่งในสกุลหยางกันนะ…รึข้าเดาผิด เช่นนั้นก็คงเป็นคนที่รู้จักข้ามากกว่าพ่อแม่แท้ ๆ ของข้าเองกระมัง”มีแค่เพียงคนสนิทของพระบิดาเท่านั้นที่รู้ความจริงเรื่องชาติกำเนิดแท้จริงของนาง“...” ไม่มีคำตอบจากคนที่กำลังหาจังหวะลงมือต่อหญิงสาวศัตรูที่มีไม่ใช่แค่ภายในแคว้นชีเป่ย แต่ด้วยตำแหน่งของนางนั้น จิ้งหนานก็ย่อมมีคนตามล่านางเช่นกัน มันจะเป็นใคร นางไม่ขอใส่ใจ ตอนนี้ต้องปกป้องคนที่นางรักให้ปลอดภัยเสียก่อนเท่านั้นเป็นพอ“เงียบทำไมกัน ข้ายินดีที่จะพบปะกับผู้มีความรู้มากเลยรู้หรือไม่ ยิ่งคนที่ล่วงรู้ชีวิตผู้อื่นเป็นอย่างดี…ยกเว้นตัวเอง”เมี่ยวจ้านพูดยั่วยุเพื่อให้อีกฝ่ายเผยที่ซ่อน ซึ่งคนผู้นี้ร้ายกาจมิเบาที่สามารถเคลื่อนไหวรอบกายนางได้โดยไร้ร่องรอยให้พบเห็น“วันนี้ ข้าไม่อยากเล่นกับเจ้า เด็กน้อย ข้าให้โอกาสเจ้าหนีได้หนึ่งครั้ง”ฉึก!มีดสั้นคู่กายของเมี่ยวจ้าน ปักอยู่ที่ลำคอของคนพูด“ข้ารอคำนี้มานานแล้ว”เมี่ยวจ
หมิงจงเป่าส่งเพียงเสียงแต่มิปรากฏกายให้อีกฝ่ายเห็น เวลานี้ ทหารติดตามไม่มีแล้วก็จริง แต่เขาวางใจอะไรไม่ได้ เพราะการที่หยางซานหลางต้องตาย นั่นหมายความว่ามีคนอื่นอีกนอกเหนือจากพวกเขาและคนของหยางซานหลางเพราะอยู่ ๆ ลูกธนูจะโผล่มาจากที่ใดได้ ในเมื่อเขาคอยจับตาอยู่ตลอดทั้งรับมือศิษย์น้องและคนของแม่ทัพหนุ่ม เขามั่นใจว่าไม่มีใครที่ยกคันศรอย่างแน่นอน นั่นบ่งบอกได้ว่ามีคนแฝงตัวอยู่เพื่อคอยสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล เขาจะมิยอมวางใจในสิ่งที่มองไม่เห็นเป็นอันขาด อาจมีใครอีกที่คอยฉวยโอกาสกับเรื่องนี้ มิตรแท้ไม่เคยมีในการแย่งชิงอำนาจเจิ้งถงพยายามเป็นอย่างมาก ในการเพ่งสมาธิเพื่อจับทิศทางของเสียงจากคนที่หายตัวไปอย่างรวดเร็ว“ท่านช่างน่าขบขันนึกศิษย์พี่ที่คิดจะทดสอบความสามารถของข้า ข้าเองก็อยากรู้นักว่า ท่านจะใช้อีกกี่กระบวนท่า เพื่อขัดขวางข้ามิให้ช่วงชิงลมหายใจของประมุขพรรคโลกันต์ได้”ขวับ! เจิ้งถงหันไปทางด้านซ้าย เมื่อเขาเห็นเงาร่างของศิษย์พี่ของตนยืนอยู่ และเป็นเช่นนั้น เมื่อหมิงจงเป่าปรากฏกายขึ้น ทั้งยังยืนนิ่งเฉยเหมือนไร้ความรู้สึกกลัวหรือกดดันแม้แต่น้อย มีเพียงรอยยิ้มกว้างเฉกเช่นคนอารมณ์ดีเท่านั้นท
ห้องครัว ณ เซียนอี้เสียงทำอาหารภายในห้องครัวส่วนตัวเล็ดลอดออกมาให้คนที่แอบอยู่ด้านนอกได้ยินกันถ้วนหน้า หมิงจงเป่าได้สั่งให้คนของตนเองมาคอยสอดแนมดูว่า หญิงสาวได้เปลี่ยนแปลงรายการอาหารหรือไม่ เพราะเกรงว่าฟางเล่อจะจับได้ว่าอาหารที่จะขึ้นโต๊ะในคืนนี้มิใช่ฝีมือของนาง“เรียนนายหญิง นายท่านและท่านอ๋องน้อย ผู้ติดตามเยว่คัง พร้อมทั้งคุณหนูเมี่ยวจ้านกลับมาแล้วขอรับ”“งั้นเร็วเข้า พวกเจ้าทยอยนำอาหาร ขึ้นไปจัดเตรียมยังห้องรับรอง ป่านนี้คงพากันหิวแย่ ปลาของข้าได้รึยัง เสร็จแล้วเอามาตรงนี้ ข้าจะปรุง”เมื่อได้ยินว่าพี่ชายและสามี รวมถึงว่าที่พี่สะใภ้กลับมาแล้ว ฟางเล่อเร่งลงมือกับวัตถุดิบตรงหน้า โดยมีเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมช่วยจัดเตรียมข้าวของช่วยอีกแรง มือบางที่ยังเผยให้เห็นรอยฟกช้ำจากการต่อสู้เมื่อกลางวัน แต่หญิงสาวหาได้ใส่ใจไม่ อาหารคือสิ่งจำเป็นในชีวิต ยิ่งในสงคราม หากทหารมิอิ่มท้อง ต่อให้เก่งเทียมฟ้าก็ต้องพ่ายแพ้หากไร้ซึ่งอาหารมาสร้างกำลังให้แก่ตนเองนับตั้งแต่แต่งงาน มีแค่มิกี่ครั้งที่นางลงมือปรุงอาหารให้แก่สามีและครอบครัว วันนี้นับว่าเป็นโอกาสของนางอีกคราที่จะได้แสดงความสามารถด้านนี้ให้ทุกคนไ
“ท่านไม่ควรทำเช่นนี้ เป็นสิ่งที่อันตรายเกินไปแล้วที่วางใจศัตรู เพราะต่อให้ท่านมิลงมือสังหารข้า ท่านจะมั่นใจได้อย่างไรว่าข้าจะไม่ทำร้ายท่าน อย่าได้ทำเช่นนี้อีก อะ…องค์…”ชายหนุ่มกลืนคำพูดทั้งหมดลงไปในลำคอ เมื่อช่วงที่ต่อสู้กันนั้น เขาไม่มีโอกาสเห็นบุรุษตรงหน้าได้ชัดเจนนัก แม้คราแรกที่สบตาหลังจากเขาฟื้นขึ้นมาหลังจากตกเป็นเชลย ในตอนนั้นจะตกใจอยู่มาก แต่ทว่า เขาก็ยังไม่แน่ใจเท่าใดนัก ทว่าเวลานี้ เขาเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นแม้จะเป็นยามค่ำคืนก็ตามที สิ่งสำคัญคือเขามั่นใจแล้วนั่นเองว่าชายหนุ่มคือใคร“ช่างเป็นศิลปะที่งดงามยิ่ง”“อะไร…ท่านหมายถึงสิ่งใดกันพี่ชาย”“ตัวอักษร ‘เยว่’ บนอกของท่านอย่างไรเล่า แม้เห็นเพียงรำไร มันก็ดูงดงามยิ่งใหญ่นัก”ถงเหยียนเจี๋ยยกมือขึ้นลูบกลางแผ่นอกของตนเอง เสื้อที่ภรรยาเลือกให้สวมใส่ในวันนี้ใช่ว่าจะปิดไม่มิด แต่เพราะการต่อสู้กับคนตรงหน้าทำให้มันถูกคมอาวุธจนเปิดออก เผยให้เห็นแผ่นอกของเขา รอยสักนี้ ทุกคนเคยเห็นมาแล้ว และมันมิได้สำคัญอันใดที่จะต้องปกปิด มันดูธรรมดามากสำหรับตัวเขาและสหาย คนตรงหน้ากลับบอกว่ามันงดงาม“ท่านมิใช่คนชีเป่ยรึถึงอ่านคำนี้ออก รอยสักเช่นนี้ ผู้ใดก
“เจ้าจัดการเถอะ หากเมื่อใดคิดว่าเขามิปลอดภัยสำหรับเราก็จงจัดการเสีย”“ท่านพ่อโปรดวางใจ คืนนี้ เราต้องพาเมิ่งชีไปยังฐานใหญ่ให้ได้เสียก่อน”ราชครูหลิวได้แต่เมินหน้าไปอีกทาง เขาไม่พร้อมที่จะเห็นบุตรสาวในตอนนี้ เขาอยากที่จะปลดปล่อยความเจ็บปวดออกมายิ่งนัก แต่จำต้องกล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้ภายในหยางซานซินมิใช่คนที่เขาควรต่อกรในเวลานี้ คนผู้นี้อันตรายเกินกว่าที่เขาคาดการณ์นัก คิดจะเก็บศัตรูไว้ข้างกายเพื่อหลอกใช้คนเช่นชูถง ช่างเป็นความคิดที่โง่เขลานัก แต่เขามิอาจพูดอันใดได้มากกว่านี้เพราะตอนนี้หยางซานซินเสมือนกับมิใช่คนที่เขาเคยรู้จัก หากพูดมากไป ตัวเขาเองก็คงมิพ้นถูกกำจัดเช่นกัน ไร้บุตรสาว ตัวเขาก็เสมือนไร้เขี้ยวเล็บ ด้วยอำนาจในราชสำนักเริ่มเสื่อมถอยตามวัยของเขา“ข้าจะไปเตรียมตัว เจ้าควรให้หมอมาดูแผลสักหน่อยนะ”“ท่านพ่อ กลับไปเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับคืนนี้เถอะขอรับ ทางนี้ ข้าจัดการเอง”ราชครูหลิวลุกขึ้น เดินตรงไปยังหน้ากระโจมด้วยหัวใจอันร้าวราน ทุกย่างก้าวมันช่างหนักอึ้งจนแทบขยับมิได้เลยทีเดียวหยางซานซินมองตามบิดาคนรัก ไปด้วยสายตายากที่จะอ่านออก สิ่งที่เขาต้องทำยังมีอีกมาก จะมามัวเสียเวลากับคนแก
ค่ายทหารเจียงไห่ราชครูหลิวเดินวนไปมาอยู่ภายในกระโจมบัญชาการด้วยความร้อนใจอย่างที่สุด การหายตัวไปของหยางซานซิน เขาเองก็สงสัยมากพออยู่แล้ว ซ้ำเวลานี้ บุตรสาวก็ยังไร้วี่แววว่าจะกลับมา เขาจะทำอย่างไรดี“ท่านราชครู ท่านเสนาบดีและท่านแม่ทัพใหญ่กลับมาแล้วขอรับ”ฟึบ!ยังมิทันได้ก้าวออกไปด้านนอก ร่างสูงของเสนาบดีหนุ่มก็ก้าวเข้ามาพร้อมห่อผ้าสีดำขนาดใหญ่ ตามมาด้วยหยางซานซินที่มีรองแม่ทัพซ้ายคอยพยุงเอาไว้“เป่าชุน เจ้าจัดการให้เรียบร้อยตามที่ข้าบอก ห้ามให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด”“ขอรับท่านเสนาบดี ข้าจะรีบจัดการในทันที”“อะไรกัน มันเรื่องอะไรกัน ท่านเสนาบดี ท่านแม่ทัพใหญ่ เกิดอะไรขึ้น ละ…แล้วนี่...มันคือสิ่งใด”ราชครูหลิวถามคนทั้งคู่ด้วยน้ำเสียงร้อนรนยิ่งนัก ก่อนจะชี้นิ้ว มายังสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของเสนาบดีหนุ่มชูถงเดินไปยังด้านในโดยมีหยางซานซินเดินนำไปก่อน พร้อมทั้งกวาดสิ่งของทั้งหมดออกจากโต๊ะตัวใหญ่ของหยางซานหลาง ก่อนที่ชูถงจะวางห่อผ้าลงอย่างเบามือ“ท่านราชครู ข้าขอให้ท่านทำใจสักหน่อย อีกเรื่องก็คืออย่าได้แพร่งพรายถึงสิ่งที่อยู่ในห่อผ้านั่นออกไปให้ผู้ใดรับรู้อีกเป็นอันขาด มิใช่ข้าที
โม่คังสะบัดแส้รุนแรงขึ้น เพราะเวลานี้ พวกเขาถูกต้อนให้เข้าป่ามากขึ้นทุกที โม่คังลอบมองไปยังน้องชายและองค์หญิงแห่งจิ้งหนาน ซึ่งทั้งสองเองก็กำลังตึงมืออยู่มากไม่น้อยเคล้ง!ทวนสวรรค์ปะทะเข้ากับหอกเงินของเป่าชุน ความรุนแรงในการฟาดฟันของอาวุธทั้งสองทำให้ด้ามหอกและด้ามของทวนสวรรค์ต่างสะบัดสั่นไหวประหนึ่งอสรพิษเลื้อยหยางซานซินถอยกายเอนหลังพิงยังโคนต้นไม้ใหญ่ เวลานี้ เขาบาดเจ็บและหากเขามิรีบขับพิษออกจากร่างกาย อาจถึงขั้นสาหัสจนถึงชีวิตได้ มีดสั้นของเขาอาบยาพิษเอาไว้ มิคิดว่าจะเป็นเขาที่ถูกพิษร้ายเสียเอง หยางซานซินได้ล้วงเอายาแก้พิษออกมากิน ก่อนจะรวบรวมพลังวัตร เพื่อขับพิษร่วมไปด้วย หากรอเพียงออกฤทธิ์อาจทำให้อาการบาดเจ็บยืดเยื้อออกไปอีกเมี่ยวจ้านเองได้หันหลังให้กับคนรักและพี่ชายของเขาเหมือนกับว่าตอนนี้พวกเขาสามคนกำลังตกอยู่กลางวงล้อมของศัตรู ศึกนี้ดูจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว เมื่ออยู่ ๆ ก็มีตัวช่วยของหยางซานซินโผล่มากโดยมิทันคาดคิดตูม!อยู่ ๆ ก็เกิดเสียงดังขึ้น พร้อมกลุ่มควันมากมาย เป่าชุนและชูถงพร้อมทหารทั้งหมดรีบเหินกายถอยออกจากกลุ่มควันอย่างรวดเร็ว พวกเขารู้ดีว่าหากขืนยังอยู่จะเป็นพวกเขาเองที
“ชีวิตท่านคิดจะฆ่าลูก ๆ ของตัวเองให้สิ้นสกุลเลยหรืออย่างไร หยางซานซิน ในอดีตเมื่อข้ายังเยาว์วัย ท่านอาจว่องไวประดุจอินทรี แต่เมื่อข้าเติบใหญ่ ตัวท่านก็เริ่มแก่ชรา ไยมิรู้จักไปจำศีลในวัดวาอาราม จะมามัวถือดาบล้างสกุลตนเองและผู้อื่นเล่นอยู่ทำไมกัน”มือแกร่งของโม่คังกำลำคอหนาของแม่ทัพหยางเอาไว้แน่น มือข้างที่ถืออาวุธอยู่ก็มิอาจขยับได้ เพราะถูกแส้ทองของบุตรสาว พันธนาการเอาไว้เช่นกันหยางซานซินใช้มือข้างที่ยังว่างและไร้ซึ่งอาวุธพยายามแกะมือของชายสวมหน้ากากออกจากลำคอแกร่งของตนเอง“จะ…เจ้า แค่ก ๆ หมายความว่าอย่างไร เจ้าคือใคร”โม่คังคลายมือออกเล็กน้อยพอให้อีกฝ่ายส่งเสียงที่แหบแห้งออกมาได้ ดวงตาของทั้งคู่จ้องประสานกัน หนึ่งค้นหาความจริง อีกหนึ่งเย้ยหยันผู้ที่กำลังดิ้นรนเพื่อให้รอดชีวิต การที่เขาสอดมือเข้าช่วยเมี่ยวจ้านนั้น มิใช่กลัวว่านางจะรับมือหยางซานซินมิได้ แต่เขาเกรงว่านางจะสังหารหยางซานซินเสียมากกว่า“คิดให้ดี ว่าท่านเคยทำแบบนี้กับใครบ้าง อืม ๆ ข้าจะใบ้ให้นิดหน่อย เผื่อจะเตือนความจำของท่านแม่ทัพใหญ่ได้บ้าง เริ่มจากตรงไหนดีล่ะ”“ท่านพี่จะเสียเวลากับคนเช่นนี้ทำไมกันขอรับ ข้าจะบอกใบ้แทนท่าน
หยางซานซินยืดกายขึ้นตรง ก่อนจะมองเลยไปยังด้านหลังของบุตรสาว แม่ทัพใหญ่เกิดความรู้สึกผิดหวังปนขุ่นเคืองที่อยู่ ๆ บุตรสาวก็โผล่เข้ามาขัดขวางความสำเร็จของเขาเสียก่อน‘ในเมื่อเจ้าพยายามเสนอตัวเป็นลูกของข้า วันนี้ ข้าจะดูซิว่า เจ้าจะทำอย่างไรให้ข้ายอมรับเจ้าได้ บุตรสาวข้า’“หลีกทางพ่อเสีย…หรือเจ้าจะช่วยพ่อกำจัดศัตรูของครอบครัวเราก็จะเป็นการดีมิน้อย ลูกรัก”เมี่ยวจ้าวเอี้ยวตัวไปด้านหลังเล็กน้อย แค่เพียงให้มองเห็นชายหนุ่มทั้งสองซึ่งยืนนิ่งอยู่ด้านหลังของนาง มุมปากของหญิงสาวคลี่ออกเล็กน้อย ก่อนจะขยิบตาข้างที่อยู่ฝั่งกับบุรุษทั้งคู่ เมี่ยวจ้านจึงหันกลับมาเผชิญหน้ากับบิดาผู้ให้กำเนิด แต่มิเคยต้องการนางเลย“เรื่องของพวกท่าน ข้ามิขอยุ่งเกี่ยว ข้าเพียงนำคำมารดามาแจ้งแก่ท่าน…บิดาข้า”หยางซานซินเหยียดริมฝีปากออกเล็กน้อย “หึ ๆ” พร้อมเสียงหัวเราะในลำคอเขารู้อยู่แล้วว่าคนอย่างบุตรสาวนั้นเป็นคนหัวแข็งเช่นมารดาของนาง การจะชักจูงให้มาอยู่ฝ่ายตนนั่นคงมิใช่เรื่องง่าย ซึ่งดูได้จากคำตอบของนางที่ดูจะเป็นกลางยิ่งนัก เหมือนกับนางไม่เลือกฝ่ายใด‘ฉลาดนักนะ ลูกสาวข้า’ หยางซานซินรู้สึกชื่นชมในความเฉลียวฉลาดของบุตรส
เสียงอาวุธกระทบกันเป็นระยะ ฝีมือของคนชุดดำในความคิดของชายหนุ่มนั้นนับว่าสูงส่งทีเดียว แต่เหมือนกับว่าอีกฝ่ายพยายามออมมือให้แก่เขา ซึ่งตัวเขาเองก็กำลังทำเช่นเดียวกัน‘หากข้าให้โอกาสเขาแล้ว นับว่าเป็นเสมือนดาบสองคมสินะ!’“พี่ชาย…ข้ามิออมมือแล้วนะ แต่มีบางเรื่องที่ตัวข้าอยากเตือนสติท่านสักหน่อย หากท่านมิรอดจากคมกระบี่ข้า ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าคนข้างหลังของท่านจะรอดชีวิตเช่นกัน มิเคยมีสัจจะในหมู่คนพาล ไยมิทบทวนให้ดี ทุกอย่างเกี่ยวกับท่าน ข้าเพียงคาดเดา พี่ชาย”ไร้การตอบรับจากคนชุดดำ การต่อสู้ยังคงดุเดือดขึ้นตามลำดับ แต่ดูอย่างไร คนชุดดำก็ยังมิจริงจังกับการต่อสู้นี้สักที‘คิดจะจบชีวิตในคมดาบศัตรู แทนการสังหารศัตรูเช่นนั้นหรือ เพราะอะไรกัน…’ถงเหยียนเจี๋ยถึงกับงุนงงในการกระทำของคู่ต่อสู้ เขามิรู้ว่าจะคาดเดาไปในทิศทางใดได้อีกแล้ว ทำเพียงหาทางหยุดอีกฝ่ายลงให้ได้โดยมิให้ถึงชีวิต หากเป็นเช่นที่เขาคิด บางทีการต่อรองกับคนผู้นี้อาจส่งผลดีต่อพวกเขาก็เป็นได้ทางด้านโม่คังเหมือนกับว่าเวลาเล่นสนุกของเขาได้หมดลงแล้ว เมื่ออยู่ ๆ ผู้เป็นน้องชายได้ถูกไล่ต้อนให้ออกห่างจากเขาจนเริ่มจะมองไม่เห็นแล้ว ไหมทอ
“ท่านยังเร็วมิพอ แม่ทัพหยาง…ความชราของท่านมันคืออุปสรรคสินะ!”ชายหนุ่มพูดทั้งยังส่งเสียงหัวเราะในลำคอโดยจงใจให้อีกฝ่ายได้ยินด้วย เพียงแค่ผ้าซึ่งคลุมปลายทวนหลุดออก เผยให้เห็นถึงรูปลักษณ์ของตัวทวนที่มีลวดลายเฉพาะ โดยตัวเนื้อเหล็กกล้าเชื่อกับด้ามทวนนั้น ฝังไว้ด้วยอัญมณีล้ำค่าซึ่งมีเพียงคนเดียวที่ใช้ทวนนี้ได้‘ทวนสวรรค์’ทหารติดตามถึงกับดวงตาเบิกโพลงเมื่อมองเห็นทวนของชายหนุ่ม ความสับสนได้เกิดขึ้นภายในใจกันมิน้อย ว่าคนตรงหน้าคือตัวจริงหรือปลอมกันแน่ แต่ทั้งหมดก็ไร้โอกาสที่จะมองให้ชัดเจนกว่าเดิม เพราะจำต้องรับมือกับชายสวมหน้ากากซึ่งแม้จะไร้อาวุธแต่กลับรวดเร็วยิ่งนัก ซ้ำยังใช้เพียงมือเปล่ารับมือกับพวกเขาได้อย่างง่ายดายหยางซานซินแม้จะต่อสู้อยู่กับโม่หยวนฟาง แต่ทุกครั้งที่การประมือของเขากับชายหนุ่มนั้นได้มีโอกาสหันไปยังด้านของคนสวมหน้ากาก เขาจะเห็นบางอย่างที่คุ้นเคย เสมือนเขาเคยพบเจอคนที่ใช้วิชาเช่นนี้มาก่อนหน้าแล้วเมื่อครั้งในอดีต“เสียเวลามากเกินไปแล้ว เด็กน้อย ถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว”หยางซานซินปลดปล่อยพลังออกมาจนเกิดเสียงระเบิดอย่างรุนแรงรอบกายเขาและโม่หยวนฟาง ทางด้านอ๋องหนุ่มเองได้ตั้งรับอ