ครั้งที่ฟางเล่อพาเมี่ยวจ้านไปกลั่นแกล้งและทดสอบฝีมือของพ่อลูกสกุลหยางนั้น บอกได้เป็นอย่างดีว่าพ่อลูกสกุลหยางไม่ได้แสดงฝีมือเต็มที่นัก หากเอาจริงขึ้นมาคงหนักมือน้องของเขาอยู่มิน้อย
หยางซานหลางแม้จะดูมิฉลาดในหลาย ๆ เรื่อง แต่ฝีมือของเขานั้นไม่เป็นรองผู้ใดเช่นกัน เพียงแต่ความมุทะลุและจิตใจคับแคบของหยางซานหลางเท่านั้นที่เป็นจุดด้อยในตำแหน่งแม่ทัพ เรื่องฝีมือการรบถือว่ายอดเยี่ยม เช่นเดียวกันกับผู้เป็นพ่อ หยางซานชินที่นับว่าเป็นยอดขุนพล
น่าเสียดายที่สองพ่อลูกกลับหลงมัวเมาในอำนาจและสตรีจนมอง
ข้ามความถูกผิดที่ได้กระทำลงไป พวกเขาจำต้องรอบคอบให้มากในทุก ๆ การเคลื่อนไหว มิเช่นนั้นจะกลายเป็นหมากในกระดานโดยถูกคนพวกนั้นคุมเกมแทนที่จะเป็นฝ่ายเขา การทำศึก ก้าวพลาดเพียงครั้งจะเปลี่ยนฝ่ายผู้กุมชัยในสนามรบทันทีห้องอาหาร…โรงเตี๊ยมชั้นล่าง
ร่างสูงของเจิ้งถงนั่งดื่มสุราด้วยใบหน้านิ่งเรียบ เขาคอยจับสังเกตถึงสิ่งผิดปกติของคนในร้าน โดยเฉพาะบรรดาเสี่ยวเอ้อร์และคนดูแลโรงเตี๊ยม อีกทั้งเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาได้ออกติดตามหาร่องรอยผู้คุ้มกัน และศิษย์พรรคโลกันต์ กว่าจะกลับไปยังค่ายทหาร เรื่องมากมายก็เกิดขึ้นก่อนแล้ว ยิ่งเมื่อได้ฟังความจากทหารซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ ความมั่นใจเรื่องการตื่นของพรรคโลกันต์มีเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมหลายสิบเท่า
‘ประมุขโลกันต์จะต้องอยู่ที่เจียงไห่อย่างแน่นอน’
จากที่เขาได้เข้าไปตรวจสอบยังป่าไผ่ เขามั่นใจว่านั่นคือหนึ่งในวิชาของพรรคโลกันต์
‘หงส์สะบัดปีก หากต้องการเอาชีวิตผู้ใด มันง่ายเพียงพลิกฝ่ามือ’
แต่เหมือนกับคนที่ลงมือยังไม่คิดที่จะเอาจริงกับสองพ่อลูกสกุล
หยาง เขารู้ดีว่าแม่ทัพสกุลหยางมิใช่คนด้อยฝีมือ หากต่อสู้เต็มกำลัง ไม่แน่ว่าทั้งคู่อาจเป็นผู้กำชัยแต่เขารู้ดีว่าทำไมหยางซานหลางจึงมิได้ลงมืออย่างจริง เขารู้มานานแล้วว่าชายหนุ่มนั้นปากกับใจมิตรงกัน
‘บุรุษหากมีรักก็มักจะเป็นฝ่ายที่พ่ายเสมอ’
เขาจึงไม่เคยคิดจะรักสิ่งใดในโลก นอกจากตัวเขาเองเท่านั้น เพราะความรู้สึกคือตัววัดว่าเราจะอยู่หรือตาย หากต้องยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบ ความรักก็มิต่างจากคมหอกที่พร้อมจะพุ่งเข้าใส่ตัวเราได้ทุกเมื่อ
“ไปแจ้งเรื่องเจิ้งถงแก่ท่านหมิง”
ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมกระซิบบอกหนึ่งในเสี่ยวเอ้อร์ เพราะเกรงว่าหากเขาหายตัวออกไปจากห้องอาหารก็คงไม่พ้นตกเป็นที่ต้องสงสัยของเจิ้งถงอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้ แม้เจิ้งถงจะทำตัวเหมือนคนกำลังสุนทรีย์กับสุรา แต่แท้จริงชายผู้นั้นกำลังจับสังเกตทุกคน โดยเฉพาะเขาที่เป็นเป้าหมายหลักในฐานะหัวหน้าของผู้ดูแล ด้วยชุดที่สวมนั้นระบุตำแหน่งของเขาภายในโรงเตี๊ยมนั้นเอง
“ขอรับท่านหัวหน้า”
เจิ้งถงคอยจับตาดูคนของทางโรงเตี๊ยมเป็นพิเศษ โดยเฉพาะคนที่ดูแลที่นี่ เพราะมิเคยเกิดเรื่องร้ายแรงเช่นนี้มาก่อนในเจียงไห่ แค่โรงเตี๊ยมแห่งนี้เปิดได้มิทันข้ามวัน ทุกอย่างก็เหมือนจะลุกเป็นไฟ
ภายในคืนเดียวได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดหลายเรื่อง เขาพุ่งเป้ามาที่คนแปลกหน้าในเจียงไห่ นั่นคือคนของโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่แห่งนี้นั่นเอง สกุลโม่เกี่ยวพันอันใดกับพรรคโลกันต์ เรื่องนี้เขาต้องรู้ให้ได้ ใครที่ขัดขวางแผนการของเขาจะต้องถูกกำจัดให้สิ้น
ชั้นบนของโรงเตี๊ยม
“จมูกดียิ่งกว่าสุนัขก็คนอย่างเจิ้งถงนี่ละ”
คราแรก หมิงจงเป่าคิดแยกตัวไปยังหุบเขาเหมยแดง แต่พอนึกขึ้นมาได้ว่าต้องบอกเรื่องสำคัญแก่ศิษย์รักเสียก่อนจึงได้ย้อนกลับมายัง โรงเตี๊ยม แต่เขาไม่ได้เข้าไปร่วมประชุมกับคนอื่น ทำเพียงเข้าไปนั่งจิบชากินขนมรอหนุ่มสาวอยู่อีกห้อง
ผ่านไปสักพักเสี่ยวเอ้อร์ได้มาแจ้งข่าวเรื่องของอดีตศิษย์น้องร่วมสำนัก เขาจำต้องเดินไปตามฟางเล่อมาด้วยกัน เพื่อให้นางได้รู้จักศัตรูหมายเลขหนึ่งของพรรค
การกำจัดเจิ้งถงนั้นง่ายเพียงพลิกฝ่ามือสำหรับคนอย่างหมิงจงเป่า แต่การปรากฏตัวของอีกฝ่ายกลับเป็นช่วงเวลาที่เขามิอาจทำได้อย่างใจคิด เพราะไม่รู้ว่าเวลานี้เจิ้งถงมีผู้ใดหนุนหลัง หรือทำงานอยู่กับใครบ้าง
“ใครหรือเจ้าคะ ท่านอาจารย์ จำเป็นที่ข้าต้องรู้จักเขาด้วยรึเจ้าคะ” ฟางเล่อเอ่ยถามพร้อมมองจากด้านบนชั้นสองลงไป
“จำเป็นอย่างยิ่ง เล่อเล่อ คนทรยศของพรรคเรา และชายผู้นี้เขากำลังตามหาเจ้าเพื่อกำจัด ถึงเจ้าจะเก่งแค่ไหน เล่อเล่อ แต่เวลานี้เราไม่ควรเพิ่มคู่ต่อสู้เขามาอีก และเจ้ายังไม่พร้อมที่จะประมือกับเจิ้งถง”
หมิงจงเป่ากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูจะเคร่งขรึมกว่าที่เคย ฟางเล่อรีบดึงสายตากลับทันที เมื่อคนที่พวกนางเฝ้าดูอยู่เหมือนจะรู้แล้วว่ามีคนจ้องมองตนเอง
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”
ทั้งสองหันหลังให้กับคนที่กำลังมองขึ้นมา ส่วนเจิ้งถงเองได้คอยสังเกตการณ์อยู่นานพอสมควร เมื่อยังไม่อาจเห็นสิ่งผิดปกติใด ๆ เจิ้งถงจึงจากไปพร้อมแววตาที่เก็บซ่อนบางอย่างเอาไว้ภายใน
โรงเตี๊ยมเมืองสุ่ยอิง ก่อนถึงเมืองชายแดนเจียงไห่
ใบหน้าเรียบสนิทของสตรีรูปโฉมงดงาม บนร่างกายบอบบางสวมใส่อาภรณ์เนื้อดี รอบกายห้อมล้อมไปด้วยผู้ติดตามมากฝีมือ การเดินทางไกลทำให้นางเหน็ดเหนื่อยมิน้อย แต่จะให้นั่งใจเย็นอยู่ในวังอีกต่อไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อข่าวที่ได้รับจากชายแดน มันทำให้นางร้อนใจจนมิอาจนิ่งดูดายได้อีก
นางจำต้องให้บิดาเข้าวังเพื่อทูลขออนุญาต พานางออกติดตามมายังชายแดนเจียงไห่ด้วย แม้จะถูกบิดาทัดทานเพียงใด นางก็มิสนใจที่จะฟัง ในเมื่ออีกไม่นาน แผนการทั้งหมดจะจะสำเร็จผลแล้ว นางจะรั้งรออยู่เพื่ออันใดกัน
“เมิ่งชี! พ่อคิดว่าเจ้ากลับเมืองหลวงไปก่อนเพื่อรอฟังข่าวจะมิดีกว่าหรือ” ราชครูหลิวเอ่ยกับบุตรสาวเบา ๆ ให้ได้ยินกันเพียงสองคน ด้วยเกรงคนนอกที่แวะพักยังโรงเตี๊ยมจะรู้ว่าบุตรสาวของตนเองเป็นใครซึ่งมันจะนำความยุ่งยากมาสู่ทุกคน
“พรุ่งนี้ก็จะถึงแล้ว…มิช้าไปหน่อยหรือเจ้าคะ ท่านพ่อ ที่จะให้ข้ากลับไป”
ราชครูหลิวได้แต่ถอนหายใจแรง เขาทัดทานบุตรสาวมาตลอดการเดินทาง แต่มันไม่มีผลสักนิดกับบุตรสาวหัวดื้อคนนี้
ในการออกเดินทางครั้งนี้ของหลิวกุ้ยเฟยมิเป็นทางการจึงจำเป็นต้องปิดบังฐานะของนางเอาไว้ เพื่อมิเป็นการประมาท นั่นก็นับว่าเป็นที่หนักใจของทุกคนมากพอแล้ว หากต่อจากนี้เกิดสิ่งไม่คาดฝันขึ้นอีกระหว่างทาง ย่อมนำพาหายนะอันใหญ่หลวงมาสู่ทุกคน ซึ่งมันไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินทางสัญจรผ่านไปมา และโรงเตี๊ยมคือจุดศูนย์ร่วมของเหล่านักเดินทางเลยก็ว่าได้ ดังนั้น ทุกคำพูดและการแสดงออกจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องระวังให้ดี
หลิวเมิ่งชีเหม่อมองออกไปยังด้านนอกโรงเตี๊ยมคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาซึ่งเรียกได้ว่าความสุขนั้นแทบหาไม่ได้ สุขเพียงอย่างเดียวของนางคือชายผู้องอาจในชุดเกราะผู้นั้น ซึ่งเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของนางให้คงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้
กว่าที่ตัวนางจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ต้องแลกด้วยหลายสิ่งเหลือเกิน แม้แต่การฆ่าคน นางก็ต้องทำเพื่อรักษาความลับที่จะนำภัยมาสู่นางเอง จะให้การเสียสละความสุขส่วนตนของนางสูญไปเปล่า ๆ มิได้ นางใช้ทุกวิถีทางเพื่อทำให้เป็นที่โปรดปรานจนอยู่เหนือสนมทุกนาง เป็นรองเพียงฮองเฮาเท่านั้นยิ่งเวลานี้ ฮ่องเต้มิทรงไยดีในตัวฮองเฮา หรือสนมนางในอื่นใด มีเพียงนางที่ทรงเรียกหาให้ร่วมดื่มกินเป็นเพื่อนคุยอยู่สม่ำเสมอ ทุกอย่างที่นางต้องการก็มิเคยขัด จะมีก็แต่เพียงตำแหน่งสูงสุดในวังหลังเท่านั้นที่นางยังไม่ได้ครอบครองเมื่อก่อน นางอาจต้องการตำแหน่งนั้น แต่ตอนนี้ มันไม่จำเป็นที่จะยื้อแย่ง เพราะไม่ช้า มันจะเป็นของนางอยู่ดีเรียวปากอวบอิ่มยกยิ้มหยัน เมื่อนึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับศัตรูของนางและคนรัก‘หมดยุคของสกุลโม่แล้ว หยางและหลิวจะรวมเป็นหนึ่ง’“พ่อมิคิดว่า...มันจะไม่ง่ายอย่างที่เราคาดการณ์เอาไว้น่ะสิ! หากเป็นเช่นที่คนผู้นั้นบอกมา ไอ้เด็กนั่นมันยังไม่ตาย รวมทั้งจิ่วอิงและเงา แต่มันก็อาจจะเป็นข่าวลวงเพื่อให้เราไขว่เขวได้เช่นกัน ทางที่ดีนับจากนี้ไป เราจะวางใจอะไรไม่ได้ทั้งนั้น แม้แต่พันธมิตรของเราเองก็ตามที”สมกับ
เจ็ดวันต่อมา ถนนมุ่งสู่ด่านชายแดน ชีเป่ย-จิ้งหนานรถม้ากำลังเร่งความเร็วสุดฝีเท้าเหมือนกำลังหนีอะไรสักอย่างอยู่ และใช่ มันคือการหนีจากกลุ่มคนที่ห้อม้าตามมาติด ๆ โดยทหารของกองทัพเจียงไห่นำโดยแม่ทัพหนุ่ม หยางซานหลางเนื่องจากชายหนุ่มได้รับข่าวจากสายรายงาน ว่าหลิวเจินเจินพร้อมหลักฐานสำคัญกำลังจะข้ามชายแดนในวันนี้ เขาจึงได้รับคำสั่งจากผู้เป็นพ่อให้ออกติดตามช่วงชิงหลักฐานกลับมาให้ได้ พร้อมกำชับให้จัดการกับมารดาเลี้ยง อย่าให้เกิดปัญหาตามมาในภายภาคหน้าด้วยใจที่รักในมารดาผู้เลี้ยงดู เขาจึงได้ขออาสารับหน้าที่นี้ด้วยตนเอง แทนที่จะเป็นคนของบิดาหรือเจิ้งถง หยางซานหลางมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ แม้ความเป็นไปได้จะน้อยนิดก็ตาม เขาจะไม่มีวันทำร้ายมารดาอย่างหลิวเจินเจินเป็นอันขาด ‘ถึงข้าจะชั่วช้าเพียงใด แต่จะไม่ลงมือต่อผู้ที่กลั่นเลือดในอกให้ข้าดื่มเป็นอันขาด’หยางซานหลางควบม้าจนสุดฝีเท้า เมื่อมองเห็นรถม้าอยู่ไม่ไกลนัก หลังจากฝุ่นดินจางลงบ้างแล้ว “ยะ!” ทุกคนต่างกระตุ้นม้า ไล่กวดคนที่กำลังหนีให้ทัน เพราะรถม้านั่น…ข้ามชายแดนไปได้ ทุกอย่างจะไม่ง่ายอย่างที่คิดแน่นอน“ข้าหวังว่าท่านแม่ทัพจะรู้จักหน้าที่”
“ท่านแม่! ได้โปรดออกมาตกลงกับลูกจะดีกว่านะขอรับ” หยางซานหลางยังคงเรียกหลิวเจินเจินว่าแม่ ทั้งที่ใจนั้นสับสนอยู่มิน้อย ไม่ใช่มารดาผู้นี้ไม่ดี แต่เป็นตัวเขาที่ไม่คู่ควรจะเรียกสตรีแสนดีว่าแม่คนสนิทของหยางซานซิน พยายามที่จะคาดเดาความคิดของชายหนุ่ม หากแผนการต้องพังลงเพราะความใจอ่อนของหยางซานหลาง เขาก็คงต้องกำจัดเสียให้สิ้นซาก ไม่เว้นแม้แต่ชายหนุ่มผู้เป็นแม่ทัพ ตามคำสั่งของนายใหญ่ซึ่งจะปล่อยให้ทุกอย่างเสียหายไม่ได้ แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยก็ตามที เขาได้รับคำสั่งจากนายใหญ่มาโดยตรง ดังนั้น หยางซานซินก็ไม่มีสิทธิ์คัดค้านหากเขาจะลงมือกำจัดบุตรชายของแม่ทัพใหญ่สกุลหยาง“หยางซานหลาง…เสียแรงที่ข้าอบรมสั่งสอนเจ้ามาแต่เยาว์วัย ไยถึงมิเอาสิ่งเหล่านั้นเข้าไปในสมองของเจ้าสักนิด เหตุใดเจ้าไม่รู้จักแยกแยะว่าสิ่งใดถูกผิดกันเล่า” หลิวเจินเจินยังคงนั่งอยู่ภายในรถม้าทำเพียงส่งเสียงตอบโต้ชายหนุ่มออกมาเท่านั้นหยางซานหลางได้แต่กัดฟันด้วยความเจ็บแปลบในหัวใจ ไยเขามิรู้ถูกผิด แต่เขาก็ไม่อยากอยู่ใต้อำนาจผู้ใดด้วยเช่นกันจึงเลือกที่จะอยู่ข้างบิดาซึ่งคอยบอกเขาเสมอว่า แผ่นดินชีเป่ยถูกสกุลโม่แย่งชิงไป แม้วันนี้ เขา
โรงเตี๊ยมเซียนอี้ ณ ห้องหนังสือส่วนตัวของโม่ฟางเล่อ“ฮา ๆ ๆ ข้านึกว่าพวกเจ้าจะลุกไม่ขึ้นเสียอีก ศึกเมื่อคืนหนักมากหรือเจี๋ย พวกเจ้าถึงได้ตื่นเอาป่านนี้”โม่หยวนฟางพูดไป ดวงตาก็จับจ้องใบหน้าแดงก่ำของฟางเล่อและถงเหยียนเจี๋ย ด้วยใบหน้าซับสีเลือดของทั้งคู่ทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ หลังจากปรับความเข้าใจกับเมี่ยวจ้านเรื่องความเข้าใจผิดเมื่อคืนที่ผ่านมา ก่อนที่เขาและหญิงสาวจะเข้ามารวมตัวกันกับน้องสาวและสหายรักภายในห้องนี้ ชายหนุ่มขบขันกับท่าทางของทั้งคู่ที่เอาแต่ก้มหน้ามองถ้วยชา“เจ้าคิดถึงไหนกัน หยวนฟาง”ถงเหยียนเจี๋ยเองก็ไม่คิดว่าเขาและภรรยาจะตื่นสายถึงเพียงนี้จนเป็นที่ล้อเลียนของคนรอบข้าง นี่ยังเหลืออีกสองคนซึ่งยังมิกลับจากไปทำภารกิจยังค่ายทหาร เขาไม่อยากจะคิดเลยว่า หากพี่ใหญ่ของสกุลโม่กลับมาคงมิแคล้วต้องมีคำพูดล้อเลียน ไม่ต่างจากคนที่กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามในตอนนี้อย่างแน่นอน ทว่า…“น้องรัก…พวกเจ้ากำลังนินทาพี่ชายผู้นี้อยู่รึ หืม!”‘เสียงมาก่อนตัวเสียอีก’ ฟางเล่อบ่นอยู่ในใจ นางมิเคยพบญาติผู้พี่มาก่อน ดีที่โม่หยวนฟางได้บอกนางก่อนแล้วเมื่อครู่ ว่านางนั้นยังมีพี่ชายอีกคนซึ่งโม่ไป๋หลานตัวจริงน
“ท่านแม่! ได้โปรดออกมาตกลงกับลูกจะดีกว่านะขอรับ” หยางซานหลางยังคงเรียกหลิวเจินเจินว่าแม่ ทั้งที่ใจนั้นสับสนอยู่มิน้อย ไม่ใช่มารดาผู้นี้ไม่ดี แต่เป็นตัวเขาที่ไม่คู่ควรจะเรียกสตรีแสนดีว่าแม่คนสนิทของหยางซานซิน พยายามที่จะคาดเดาความคิดของชายหนุ่ม หากแผนการต้องพังลงเพราะความใจอ่อนของหยางซานหลาง เขาก็คงต้องกำจัดเสียให้สิ้นซาก ไม่เว้นแม้แต่ชายหนุ่มผู้เป็นแม่ทัพ ตามคำสั่งของนายใหญ่ซึ่งจะปล่อยให้ทุกอย่างเสียหายไม่ได้ แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยก็ตามที เขาได้รับคำสั่งจากนายใหญ่มาโดยตรง ดังนั้น หยางซานซินก็ไม่มีสิทธิ์คัดค้านหากเขาจะลงมือกำจัดบุตรชายของแม่ทัพใหญ่สกุลหยาง“หยางซานหลาง…เสียแรงที่ข้าอบรมสั่งสอนเจ้ามาแต่เยาว์วัย ไยถึงมิเอาสิ่งเหล่านั้นเข้าไปในสมองของเจ้าสักนิด เหตุใดเจ้าไม่รู้จักแยกแยะว่าสิ่งใดถูกผิดกันเล่า” หลิวเจินเจินยังคงนั่งอยู่ภายในรถม้าทำเพียงส่งเสียงตอบโต้ชายหนุ่มออกมาเท่านั้นหยางซานหลางได้แต่กัดฟันด้วยความเจ็บแปลบในหัวใจ ไยเขามิรู้ถูกผิด แต่เขาก็ไม่อยากอยู่ใต้อำนาจผู้ใดด้วยเช่นกันจึงเลือกที่จะอยู่ข้างบิดาซึ่งคอยบอกเขาเสมอว่า แผ่นดินชีเป่ยถูกสกุลโม่แย่งชิงไป แม้วันนี้ เขา
เจ็ดวันต่อมา ถนนมุ่งสู่ด่านชายแดน ชีเป่ย-จิ้งหนานรถม้ากำลังเร่งความเร็วสุดฝีเท้าเหมือนกำลังหนีอะไรสักอย่างอยู่ และใช่ มันคือการหนีจากกลุ่มคนที่ห้อม้าตามมาติด ๆ โดยทหารของกองทัพเจียงไห่นำโดยแม่ทัพหนุ่ม หยางซานหลางเนื่องจากชายหนุ่มได้รับข่าวจากสายรายงาน ว่าหลิวเจินเจินพร้อมหลักฐานสำคัญกำลังจะข้ามชายแดนในวันนี้ เขาจึงได้รับคำสั่งจากผู้เป็นพ่อให้ออกติดตามช่วงชิงหลักฐานกลับมาให้ได้ พร้อมกำชับให้จัดการกับมารดาเลี้ยง อย่าให้เกิดปัญหาตามมาในภายภาคหน้าด้วยใจที่รักในมารดาผู้เลี้ยงดู เขาจึงได้ขออาสารับหน้าที่นี้ด้วยตนเอง แทนที่จะเป็นคนของบิดาหรือเจิ้งถง หยางซานหลางมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ แม้ความเป็นไปได้จะน้อยนิดก็ตาม เขาจะไม่มีวันทำร้ายมารดาอย่างหลิวเจินเจินเป็นอันขาด ‘ถึงข้าจะชั่วช้าเพียงใด แต่จะไม่ลงมือต่อผู้ที่กลั่นเลือดในอกให้ข้าดื่มเป็นอันขาด’หยางซานหลางควบม้าจนสุดฝีเท้า เมื่อมองเห็นรถม้าอยู่ไม่ไกลนัก หลังจากฝุ่นดินจางลงบ้างแล้ว “ยะ!” ทุกคนต่างกระตุ้นม้า ไล่กวดคนที่กำลังหนีให้ทัน เพราะรถม้านั่น…ข้ามชายแดนไปได้ ทุกอย่างจะไม่ง่ายอย่างที่คิดแน่นอน“ข้าหวังว่าท่านแม่ทัพจะรู้จักหน้าที่”
กว่าที่ตัวนางจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ต้องแลกด้วยหลายสิ่งเหลือเกิน แม้แต่การฆ่าคน นางก็ต้องทำเพื่อรักษาความลับที่จะนำภัยมาสู่นางเอง จะให้การเสียสละความสุขส่วนตนของนางสูญไปเปล่า ๆ มิได้ นางใช้ทุกวิถีทางเพื่อทำให้เป็นที่โปรดปรานจนอยู่เหนือสนมทุกนาง เป็นรองเพียงฮองเฮาเท่านั้นยิ่งเวลานี้ ฮ่องเต้มิทรงไยดีในตัวฮองเฮา หรือสนมนางในอื่นใด มีเพียงนางที่ทรงเรียกหาให้ร่วมดื่มกินเป็นเพื่อนคุยอยู่สม่ำเสมอ ทุกอย่างที่นางต้องการก็มิเคยขัด จะมีก็แต่เพียงตำแหน่งสูงสุดในวังหลังเท่านั้นที่นางยังไม่ได้ครอบครองเมื่อก่อน นางอาจต้องการตำแหน่งนั้น แต่ตอนนี้ มันไม่จำเป็นที่จะยื้อแย่ง เพราะไม่ช้า มันจะเป็นของนางอยู่ดีเรียวปากอวบอิ่มยกยิ้มหยัน เมื่อนึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับศัตรูของนางและคนรัก‘หมดยุคของสกุลโม่แล้ว หยางและหลิวจะรวมเป็นหนึ่ง’“พ่อมิคิดว่า...มันจะไม่ง่ายอย่างที่เราคาดการณ์เอาไว้น่ะสิ! หากเป็นเช่นที่คนผู้นั้นบอกมา ไอ้เด็กนั่นมันยังไม่ตาย รวมทั้งจิ่วอิงและเงา แต่มันก็อาจจะเป็นข่าวลวงเพื่อให้เราไขว่เขวได้เช่นกัน ทางที่ดีนับจากนี้ไป เราจะวางใจอะไรไม่ได้ทั้งนั้น แม้แต่พันธมิตรของเราเองก็ตามที”สมกับ
ครั้งที่ฟางเล่อพาเมี่ยวจ้านไปกลั่นแกล้งและทดสอบฝีมือของพ่อลูกสกุลหยางนั้น บอกได้เป็นอย่างดีว่าพ่อลูกสกุลหยางไม่ได้แสดงฝีมือเต็มที่นัก หากเอาจริงขึ้นมาคงหนักมือน้องของเขาอยู่มิน้อยหยางซานหลางแม้จะดูมิฉลาดในหลาย ๆ เรื่อง แต่ฝีมือของเขานั้นไม่เป็นรองผู้ใดเช่นกัน เพียงแต่ความมุทะลุและจิตใจคับแคบของหยางซานหลางเท่านั้นที่เป็นจุดด้อยในตำแหน่งแม่ทัพ เรื่องฝีมือการรบถือว่ายอดเยี่ยม เช่นเดียวกันกับผู้เป็นพ่อ หยางซานชินที่นับว่าเป็นยอดขุนพลน่าเสียดายที่สองพ่อลูกกลับหลงมัวเมาในอำนาจและสตรีจนมองข้ามความถูกผิดที่ได้กระทำลงไป พวกเขาจำต้องรอบคอบให้มากในทุก ๆ การเคลื่อนไหว มิเช่นนั้นจะกลายเป็นหมากในกระดานโดยถูกคนพวกนั้นคุมเกมแทนที่จะเป็นฝ่ายเขา การทำศึก ก้าวพลาดเพียงครั้งจะเปลี่ยนฝ่ายผู้กุมชัยในสนามรบทันทีห้องอาหาร…โรงเตี๊ยมชั้นล่างร่างสูงของเจิ้งถงนั่งดื่มสุราด้วยใบหน้านิ่งเรียบ เขาคอยจับสังเกตถึงสิ่งผิดปกติของคนในร้าน โดยเฉพาะบรรดาเสี่ยวเอ้อร์และคนดูแลโรงเตี๊ยม อีกทั้งเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาได้ออกติดตามหาร่องรอยผู้คุ้มกัน และศิษย์พรรคโลกันต์ กว่าจะกลับไปยังค่ายทหาร เรื่องมากมายก็เกิดขึ้นก่อนแล้ว
โรงเตี๊ยมเซียนอี้ ณ ห้องหนังสือส่วนตัวของโม่ฟางเล่อ“ฮา ๆ ๆ ข้านึกว่าพวกเจ้าจะลุกไม่ขึ้นเสียอีก ศึกเมื่อคืนหนักมากหรือเจี๋ย พวกเจ้าถึงได้ตื่นเอาป่านนี้”โม่หยวนฟางพูดไป ดวงตาก็จับจ้องใบหน้าแดงก่ำของฟางเล่อและถงเหยียนเจี๋ย ด้วยใบหน้าซับสีเลือดของทั้งคู่ทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ หลังจากปรับความเข้าใจกับเมี่ยวจ้านเรื่องความเข้าใจผิดเมื่อคืนที่ผ่านมา ก่อนที่เขาและหญิงสาวจะเข้ามารวมตัวกันกับน้องสาวและสหายรักภายในห้องนี้ ชายหนุ่มขบขันกับท่าทางของทั้งคู่ที่เอาแต่ก้มหน้ามองถ้วยชา“เจ้าคิดถึงไหนกัน หยวนฟาง”ถงเหยียนเจี๋ยเองก็ไม่คิดว่าเขาและภรรยาจะตื่นสายถึงเพียงนี้จนเป็นที่ล้อเลียนของคนรอบข้าง นี่ยังเหลืออีกสองคนซึ่งยังมิกลับจากไปทำภารกิจยังค่ายทหาร เขาไม่อยากจะคิดเลยว่า หากพี่ใหญ่ของสกุลโม่กลับมาคงมิแคล้วต้องมีคำพูดล้อเลียน ไม่ต่างจากคนที่กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามในตอนนี้อย่างแน่นอน ทว่า…“น้องรัก…พวกเจ้ากำลังนินทาพี่ชายผู้นี้อยู่รึ หืม!”‘เสียงมาก่อนตัวเสียอีก’ ฟางเล่อบ่นอยู่ในใจ นางมิเคยพบญาติผู้พี่มาก่อน ดีที่โม่หยวนฟางได้บอกนางก่อนแล้วเมื่อครู่ ว่านางนั้นยังมีพี่ชายอีกคนซึ่งโม่ไป๋หลานตัวจริงน