โรงเตี๊ยมเซียนอี้ ณ ห้องหนังสือส่วนตัวของโม่ฟางเล่อ
“ฮา ๆ ๆ ข้านึกว่าพวกเจ้าจะลุกไม่ขึ้นเสียอีก ศึกเมื่อคืนหนักมากหรือเจี๋ย พวกเจ้าถึงได้ตื่นเอาป่านนี้”
โม่หยวนฟางพูดไป ดวงตาก็จับจ้องใบหน้าแดงก่ำของฟางเล่อและถงเหยียนเจี๋ย ด้วยใบหน้าซับสีเลือดของทั้งคู่ทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ หลังจากปรับความเข้าใจกับเมี่ยวจ้านเรื่องความเข้าใจผิดเมื่อคืนที่ผ่านมา ก่อนที่เขาและหญิงสาวจะเข้ามารวมตัวกันกับน้องสาวและสหายรักภายในห้องนี้ ชายหนุ่มขบขันกับท่าทางของทั้งคู่ที่เอาแต่ก้มหน้ามองถ้วยชา
“เจ้าคิดถึงไหนกัน หยวนฟาง”
ถงเหยียนเจี๋ยเองก็ไม่คิดว่าเขาและภรรยาจะตื่นสายถึงเพียงนี้จนเป็นที่ล้อเลียนของคนรอบข้าง นี่ยังเหลืออีกสองคนซึ่งยังมิกลับจากไปทำภารกิจยังค่ายทหาร เขาไม่อยากจะคิดเลยว่า หากพี่ใหญ่ของสกุลโม่กลับมาคงมิแคล้วต้องมีคำพูดล้อเลียน ไม่ต่างจากคนที่กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามในตอนนี้อย่างแน่นอน ทว่า…
“น้องรัก…พวกเจ้ากำลังนินทาพี่ชายผู้นี้อยู่รึ หืม!”
‘เสียงมาก่อนตัวเสียอีก’
ฟางเล่อบ่นอยู่ในใจ นางมิเคยพบญาติผู้พี่มาก่อน ดีที่โม่หยวนฟางได้บอกนางก่อนแล้วเมื่อครู่ ว่านางนั้นยังมีพี่ชายอีกคนซึ่งโม่ไป๋หลานตัวจริงนั้นอาจพบเจอโม่คังผู้นี้บ่อยอยู่มิน้อย แต่นางที่มาอาศัยร่างอยู่นี้ยังมิคุ้นเคยกับพี่ชายอีกคน
‘คงมิค่อยต่างกันกระมังพี่น้องสกุลโม่ เพราะนับวันข้าเองก็จะเหมือนพวกเขาไปทุกที หึ ๆ’
“พูดถึงผี…ผีก็มา ฮา ๆ” โม่หยวนฟางเอ่ยขึ้นลอย ๆ
แอ๊ดด!
เสียงเปิดประตูเข้ามายังด้านในของโม่คังทำให้สองสามีภรรยาลอบมองหน้ากัน ใบหน้าที่แดงอยู่ก่อนแล้วยิ่งเพิ่มสีเข้มขึ้นไปอีกเท่าตัว เมี่ยวจ้านเองก็มิกล้าขำขันกับท่าทีของสองสามีภรรยา ด้วยตนเองก็มีความเก้อเขินมิต่างกันเท่าใดนักในตอนนี้
ก็เมื่อวันก่อน นางยังไร้คนรัก แต่หลังจากเมื่อคืนที่ผ่านมา กลับกลายเป็นว่านางคบหาอยู่กับชายหนุ่ม ผู้เอาแต่หัวเราะอยู่ในตอนนี้
หยวนฟางเองใช่มิรู้สึกอันใดเลย เขาแค่ใช้ความเฮฮากลบเกลื่อน ความเขินอายของตนเองเท่านั้น ด้วยเขารู้นิสัยของโม่คังดีว่าชอบการเย้าแหย่มากเพียงใด หากไม่หาสิ่งใดมากลบเกลื่อนเอาไว้ คนที่จะโดนกลั่นแกล้งย่อมหนีไม่พ้นตัวเขาก่อนใครอื่นแน่นอน
‘ข้าจะไม่ยอมตกเป็นตัวตลกของท่านพี่เป็นอันขาด’
ปึก ๆ
มือหนาของโม่คังตบหนัก ๆ ลงบนบ่าของน้องเขยคนปัจจุบันด้วยอารมณ์ดีเกินจะบรรยาย ตามจริง เขามาถึงเจียงไห่ตั้งแต่ก่อนพลบค่ำแล้วเมื่อวาน แต่ที่ไม่ยอมเข้ามาพบน้อง ๆ นั้น เพียงต้องการดูความเป็นไปของพวกเขาว่าจะจัดการเรื่องต่าง ๆ กันเช่นไร และแน่นอน เขาเห็นทุกอย่าง
นับตั้งแต่เรื่องของฟางเล่อ และที่สองสาวพากันไปเล่นสนุกมา กระทั่งจนตามสาว ๆ ไปยังหอร้อยราตรี เขาแอบดูว่าเกิดสิ่งใดบ้างกับน้องชายและน้องเขย แล้วรีบกลับมารอหยวนฟางที่เซียนอี้จนเกิดเรื่องระหว่างเขากับหรู่อี้ ตัวเขาเป็นพี่คนโต จำต้องมั่นใจว่าน้อง ๆ ปลอดภัยดีทุกคนหรือไม่
โม่คังก้มลงพูดบางอย่างกับน้องเขยหมาด ๆ
“ท่านพี่ ข้าจะพยายามขอรับ มินานเกินรออย่างแน่นอนขอรับ” ผู้เป็นน้องเขยยิ้มรับ พร้อมใบหน้าที่ดูจะสดใสกว่าที่เคย
“ฮา ๆ ๆ ดีมาก เจี๋ย”
ฟางเล่อหันไปมองหน้าสามีด้วยความสงสัย แต่สามีของนางเอาแต่ยิ้มกว้าง ไม่พูดสิ่งใดออกสักคำ ในที่สุดฟางเล่อจึงมิคิดจะรอฟังสิ่งที่สงสัยอยู่อีก หญิงสาวจึงลุกขึ้นยืนโดยมีเมี่ยวจ้านขยับกายลุกพร้อม ๆ กัน ทั้งคู่ได้ถอยห่างจากเก้าอี้เพียงเล็กน้อย ก่อนจะย่อกายเพื่อทำความเคารพพี่ใหญ่ของสกุลโม่
“ฟางเล่อถวายบังคมเพคะ เสด็จพี่”
“เมี่ยวจ้าน ถวายบังคมเพคะ องค์ชายโม่คัง”
หญิงสาวทั้งสองมีความอ่อนน้อมกว่าที่เขาคิดไว้ในใจเสียอีก ด้วยเมื่อคืนที่ผ่านมา สิ่งที่เขาเห็นนั้น มันขัดกันเหลือเกินกับขณะนี้
“อืม! งดงามทั้งคู่ สมกับเกิดในสกุลสูงส่ง ฟางเล่อน้องรัก นับจากนี้จงจำเอาไว้ให้ดีว่ายังมีพี่ชายผู้นี้อยู่ข้างเจ้าเสมอ ต่อแต่นี้จงใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุดเข้าใจหรือไม่ ส่วนท่านองค์หญิงเมี่ยวจ้าน สมแล้วที่มีสายเลือดพยัคฆ์ของสกุลหลิวไหลเวียนอยู่ทั่วกาย งดงาม เข็มแข็ง เด็ดเดี่ยวยิ่งนัก จากนี้ ข้าขอฝากน้องชายให้เจ้าดูแลเขาด้วยก็แล้วกัน แม้สมองเขามิค่อยปกติ แต่เขาก็เป็นคนดีมากรู้หรือไม่ และเรียกข้าเช่นคนอื่น ๆ ว่าพี่คังเถอะ ฮา ๆ”
“แค่ก ๆ” หยวนฟางถึงกับสำลักน้ำชา ด้วยไม่คิดว่าอยู่ ๆ พี่ชายจะกล่าวเช่นนั้นกับหญิงสาว ก่อนจะมองตาขวางไปทางคนที่นั่งลงแล้วยกชาจิบอย่างอารมณ์ดี หญิงสาวทั้งสองกลับไปนั่งประจำที่เพื่อปรึกษาหารือกันต่อในเรื่องสำคัญ
“ท่านพี่! แล้วท่านอาจารย์ไปไหนหรือเจ้าคะ”
เมื่อเห็นเพียงพี่ชาย แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้เป็นอาจารย์ ฟางเล่อก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ไปรับคนยังหุบเขาเหมยแดงอย่างไรล่ะ มา ๆ เข้าเรื่องกันดีกว่า อีกไม่วันข้างหน้า พวกเจ้าคงต้องเหน็ดเหนื่อยมิน้อยแน่ หลังจากหารือกันเสร็จแล้ว เรามากินข้าวร่วมกันสักมื้อ แต่…ห้ามลืมว่าข้าเป็นใคร”
โม่คังยังมิวายกำชับทุกคน เรื่องตัวตนของเขา โดยเฉพาะกับหญิงสาวอีกคนที่เขาจะให้นางรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงไม่ได้เป็นอันขาด
“เยว่คัง”
ทุกคนตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียง เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วห้อง ใช่ว่าพวกเขาไม่สงสารหรู่อี้ที่กำลังถูกหลอกลวง แต่เพราะโม่คังมิได้คิดร้ายต่อหญิงสาว พวกเขาจึงนิ่งเฉยแสร้งมองข้ามเรื่องนี้ไป หรู่อี้เป็นคนที่คู่ควรแล้วที่จะได้รับความรักจากพี่ชายใหญ่แห่งสกุลโม่
ฟางเล่อเองก็ตกใจไม่น้อยกับความลับที่รู้จากปากของพี่ชาย แม้จะเล่ามาอย่างรวบรัด แต่ก็ละเอียดมากพอจะบอกถึงหลากหลายเหตุผลที่โมคังผู้นี้ต้องกระทำ โดยเฉพาะกับคนสนิทของนาง อย่างเช้าวันนี้ก็เช่นกัน ที่อยู่ ๆ หรู่อี้ต้องออกจากโรงเตี๊ยมเพื่อไปหาของจับกุ้งแม่น้ำที่ลำธารนอกเมืองพร้อมผู้ติดตามชายหญิงฝีมือดี มันจะเป็นคำสั่งของใครไปไม่ได้ นอกจากพี่ใหญ่ของสกุลโม่
เพราะหากหรู้อี้ยังอยู่ในโรงเตี๊ยมในเวลารวมตัวกันเช่นนี้ อาจมีคนพลั้งเผลอเอ่ยเรื่องของโม่คังยังมิตายให้หญิงสาวขี้สงสัยอย่างหรู่อี้รู้เอาได้
“พี่ทำเพื่อนาง พวกเจ้าก็อย่าได้ทำสีหน้าเหมือนกับข้าเป็นผู้ร้ายนักเลย”
สีหน้าและน้ำเสียงที่อ่อนโยนปนเศร้าสร้อยของโม่คังทำให้หญิงสาวทั้งสองในห้องเห็นใจ ยกเว้นก็แต่หยวนฟางและเหยียนเจี๋ยเท่านั้นที่แอบเบะปากให้พี่ใหญ่มีหรือโม่คังจะมองไม่เห็น
‘ยัง ๆ มีอีกมากที่ข้าจะกลั่นแกล้งเจ้าสองคน กล้าทำเช่นนี้กับพี่ชาย ช่างน่าตายนัก’ โม่คังแอบยิ้มอยู่ในใจ
ทั้งห้าคนพูดจาหารือเรื่องที่ต้องจัดการ และแบ่งหน้าที่กันอย่าลงตัว ครั้งนี้พวกเขาต้องตัดมือเท้าของศัตรูให้กลายเป็นกองทัพพิการไร้สามารถให้ได้จึงจะนับว่าลดทอนกำลังของอีกฝ่ายลงได้อย่างแท้จริง มิใช่ว่าเก่งกาจแล้ว พวกเขาจะประมาทศัตรูจนกลายเป็นฝ่ายตนพลาดพลั้งเสียเอง ทุกย่างก้าวนับจากนี้ต้องระวังให้มาก
ครั้งที่ฟางเล่อพาเมี่ยวจ้านไปกลั่นแกล้งและทดสอบฝีมือของพ่อลูกสกุลหยางนั้น บอกได้เป็นอย่างดีว่าพ่อลูกสกุลหยางไม่ได้แสดงฝีมือเต็มที่นัก หากเอาจริงขึ้นมาคงหนักมือน้องของเขาอยู่มิน้อยหยางซานหลางแม้จะดูมิฉลาดในหลาย ๆ เรื่อง แต่ฝีมือของเขานั้นไม่เป็นรองผู้ใดเช่นกัน เพียงแต่ความมุทะลุและจิตใจคับแคบของหยางซานหลางเท่านั้นที่เป็นจุดด้อยในตำแหน่งแม่ทัพ เรื่องฝีมือการรบถือว่ายอดเยี่ยม เช่นเดียวกันกับผู้เป็นพ่อ หยางซานชินที่นับว่าเป็นยอดขุนพลน่าเสียดายที่สองพ่อลูกกลับหลงมัวเมาในอำนาจและสตรีจนมองข้ามความถูกผิดที่ได้กระทำลงไป พวกเขาจำต้องรอบคอบให้มากในทุก ๆ การเคลื่อนไหว มิเช่นนั้นจะกลายเป็นหมากในกระดานโดยถูกคนพวกนั้นคุมเกมแทนที่จะเป็นฝ่ายเขา การทำศึก ก้าวพลาดเพียงครั้งจะเปลี่ยนฝ่ายผู้กุมชัยในสนามรบทันทีห้องอาหาร…โรงเตี๊ยมชั้นล่างร่างสูงของเจิ้งถงนั่งดื่มสุราด้วยใบหน้านิ่งเรียบ เขาคอยจับสังเกตถึงสิ่งผิดปกติของคนในร้าน โดยเฉพาะบรรดาเสี่ยวเอ้อร์และคนดูแลโรงเตี๊ยม อีกทั้งเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาได้ออกติดตามหาร่องรอยผู้คุ้มกัน และศิษย์พรรคโลกันต์ กว่าจะกลับไปยังค่ายทหาร เรื่องมากมายก็เกิดขึ้นก่อนแล้ว
กว่าที่ตัวนางจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ต้องแลกด้วยหลายสิ่งเหลือเกิน แม้แต่การฆ่าคน นางก็ต้องทำเพื่อรักษาความลับที่จะนำภัยมาสู่นางเอง จะให้การเสียสละความสุขส่วนตนของนางสูญไปเปล่า ๆ มิได้ นางใช้ทุกวิถีทางเพื่อทำให้เป็นที่โปรดปรานจนอยู่เหนือสนมทุกนาง เป็นรองเพียงฮองเฮาเท่านั้นยิ่งเวลานี้ ฮ่องเต้มิทรงไยดีในตัวฮองเฮา หรือสนมนางในอื่นใด มีเพียงนางที่ทรงเรียกหาให้ร่วมดื่มกินเป็นเพื่อนคุยอยู่สม่ำเสมอ ทุกอย่างที่นางต้องการก็มิเคยขัด จะมีก็แต่เพียงตำแหน่งสูงสุดในวังหลังเท่านั้นที่นางยังไม่ได้ครอบครองเมื่อก่อน นางอาจต้องการตำแหน่งนั้น แต่ตอนนี้ มันไม่จำเป็นที่จะยื้อแย่ง เพราะไม่ช้า มันจะเป็นของนางอยู่ดีเรียวปากอวบอิ่มยกยิ้มหยัน เมื่อนึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับศัตรูของนางและคนรัก‘หมดยุคของสกุลโม่แล้ว หยางและหลิวจะรวมเป็นหนึ่ง’“พ่อมิคิดว่า...มันจะไม่ง่ายอย่างที่เราคาดการณ์เอาไว้น่ะสิ! หากเป็นเช่นที่คนผู้นั้นบอกมา ไอ้เด็กนั่นมันยังไม่ตาย รวมทั้งจิ่วอิงและเงา แต่มันก็อาจจะเป็นข่าวลวงเพื่อให้เราไขว่เขวได้เช่นกัน ทางที่ดีนับจากนี้ไป เราจะวางใจอะไรไม่ได้ทั้งนั้น แม้แต่พันธมิตรของเราเองก็ตามที”สมกับ
เจ็ดวันต่อมา ถนนมุ่งสู่ด่านชายแดน ชีเป่ย-จิ้งหนานรถม้ากำลังเร่งความเร็วสุดฝีเท้าเหมือนกำลังหนีอะไรสักอย่างอยู่ และใช่ มันคือการหนีจากกลุ่มคนที่ห้อม้าตามมาติด ๆ โดยทหารของกองทัพเจียงไห่นำโดยแม่ทัพหนุ่ม หยางซานหลางเนื่องจากชายหนุ่มได้รับข่าวจากสายรายงาน ว่าหลิวเจินเจินพร้อมหลักฐานสำคัญกำลังจะข้ามชายแดนในวันนี้ เขาจึงได้รับคำสั่งจากผู้เป็นพ่อให้ออกติดตามช่วงชิงหลักฐานกลับมาให้ได้ พร้อมกำชับให้จัดการกับมารดาเลี้ยง อย่าให้เกิดปัญหาตามมาในภายภาคหน้าด้วยใจที่รักในมารดาผู้เลี้ยงดู เขาจึงได้ขออาสารับหน้าที่นี้ด้วยตนเอง แทนที่จะเป็นคนของบิดาหรือเจิ้งถง หยางซานหลางมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ แม้ความเป็นไปได้จะน้อยนิดก็ตาม เขาจะไม่มีวันทำร้ายมารดาอย่างหลิวเจินเจินเป็นอันขาด ‘ถึงข้าจะชั่วช้าเพียงใด แต่จะไม่ลงมือต่อผู้ที่กลั่นเลือดในอกให้ข้าดื่มเป็นอันขาด’หยางซานหลางควบม้าจนสุดฝีเท้า เมื่อมองเห็นรถม้าอยู่ไม่ไกลนัก หลังจากฝุ่นดินจางลงบ้างแล้ว “ยะ!” ทุกคนต่างกระตุ้นม้า ไล่กวดคนที่กำลังหนีให้ทัน เพราะรถม้านั่น…ข้ามชายแดนไปได้ ทุกอย่างจะไม่ง่ายอย่างที่คิดแน่นอน“ข้าหวังว่าท่านแม่ทัพจะรู้จักหน้าที่”
“ท่านแม่! ได้โปรดออกมาตกลงกับลูกจะดีกว่านะขอรับ” หยางซานหลางยังคงเรียกหลิวเจินเจินว่าแม่ ทั้งที่ใจนั้นสับสนอยู่มิน้อย ไม่ใช่มารดาผู้นี้ไม่ดี แต่เป็นตัวเขาที่ไม่คู่ควรจะเรียกสตรีแสนดีว่าแม่คนสนิทของหยางซานซิน พยายามที่จะคาดเดาความคิดของชายหนุ่ม หากแผนการต้องพังลงเพราะความใจอ่อนของหยางซานหลาง เขาก็คงต้องกำจัดเสียให้สิ้นซาก ไม่เว้นแม้แต่ชายหนุ่มผู้เป็นแม่ทัพ ตามคำสั่งของนายใหญ่ซึ่งจะปล่อยให้ทุกอย่างเสียหายไม่ได้ แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยก็ตามที เขาได้รับคำสั่งจากนายใหญ่มาโดยตรง ดังนั้น หยางซานซินก็ไม่มีสิทธิ์คัดค้านหากเขาจะลงมือกำจัดบุตรชายของแม่ทัพใหญ่สกุลหยาง“หยางซานหลาง…เสียแรงที่ข้าอบรมสั่งสอนเจ้ามาแต่เยาว์วัย ไยถึงมิเอาสิ่งเหล่านั้นเข้าไปในสมองของเจ้าสักนิด เหตุใดเจ้าไม่รู้จักแยกแยะว่าสิ่งใดถูกผิดกันเล่า” หลิวเจินเจินยังคงนั่งอยู่ภายในรถม้าทำเพียงส่งเสียงตอบโต้ชายหนุ่มออกมาเท่านั้นหยางซานหลางได้แต่กัดฟันด้วยความเจ็บแปลบในหัวใจ ไยเขามิรู้ถูกผิด แต่เขาก็ไม่อยากอยู่ใต้อำนาจผู้ใดด้วยเช่นกันจึงเลือกที่จะอยู่ข้างบิดาซึ่งคอยบอกเขาเสมอว่า แผ่นดินชีเป่ยถูกสกุลโม่แย่งชิงไป แม้วันนี้ เขา
หมิงจงเป่ายืนส่งยิ้มซึ่งเขาคิดว่าหวานที่สุดให้แก่หญิงสาว เจอกันครั้งนี้ นางช่างอัปลักษณ์ยิ่งนักจีกวานฮวาเพิ่งรู้สึกได้ว่าผ้าที่นางคลุมปิดบังใบหน้าได้ไปอยู่ในมือของอีกฝ่ายเสียแล้ว‘เป็นไปไม่ได้ อะไรจะเร็วปานนั้น’ หญิงสาวรีบพุ่งตรงเข้าใส่ชายตรงหน้าในทันใดส่วนทหารติดตามได้พากันเข้าล้อมรอบรถม้า ทุกคนต่างกระชับอาวุธเอาไว้แน่น เตรียมพร้อมรับมือกับคนด้านใน ไม่มีใครมิรู้จักหลิวเจินเจิน ฝีมือนางร้ายกาจสมกับเป็นบุตรสาวแม่ทัพ แม้วัยของอดีตฮูหยินสกุลหยางจะล่วงเลยมามากแล้วก็ตามที พวกเขามั่นใจว่านางยังคงมีเขี้ยวเล็บแหลมคมเช่นเดิมมิเปลี่ยนไปแน่นอนกระบี่หลายเล่มแทงจากรอบทิศทางเข้าไปภายในรถม้า ปัง! ชิ้นส่วนของตัวรถแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยพลังอันสูงส่ง สิ่งที่ปรากฏต่อสายตานั้น มิใช่หลิวเจินเจินแต่เพียงผู้เดียว กลับมีหญิงสาวอีกคนยืนเคียงข้างนางอยู่ด้วยทุกอย่างตกอยู่ภายใต้สายตาของหยางซานหลาง ร่างบางในชุดสีขาวคุ้นตาทำให้ชายหนุ่มเสียสมาธิไปบ้างเมี่ยวจ้านถอยกลับไปยืนเคียงข้างมารดาและหญิงสาวอีกคน แค้นนี้มิใช่ของนางแต่ผู้เดียว หากจะลงมือจริง ๆ นางต้องการชีวิตหยางซานชินมากกว่าผู้ใดฟางเล่อค่อย ๆ หมุนกายเพื
“จะ…เจ้ายังคิดว่าตัวเองเหนือกว่าข้าอยู่อีกหรือ ซานหลางเลือกข้า เจินเจิน ไม่ใช่เจ้า เช่นนั้นแล้ว เขาจะตามมาฆ่าเจ้าเพื่อข้าทำไม”ทุกถ้อยคำของหลิวเมิ่งชีนั้นเหมือนมีดที่หมายกรีดกลางใจของอีกฝ่าย แต่หลิวเจินเจินกลับนิ่งเฉยต่อคำเหล่านั้น เพราะนางรู้ดีแก่ใจว่าบุตรชายเลือกใคร‘เขาคือลูกชายข้าเมิ่งชี ต่อให้เขาลงมือกับข้า ใจของซานหลางก็มีแต่ข้าที่เป็นมารดาของเขา ข้าเชื่อเช่นนั้น’“แล้วเราจะได้รู้กัน ท่านพี่”หลิวเมิ่งชีกำอาวุธเอาไว้แน่น ฝีมือนางมิเป็นรองหลิวเจินเจินแม้แต่น้อย และวันนี้ นางจะพิสูจน์ให้ทุกคนประจักษ์แก่สายตา ว่านางคือสตรีที่เพียบพร้อมทั้งอำนาจ หน้าตา และฝีมือ มิใช่หลิวเจินเจินที่มีแต่ผู้คนยกย่องสรรเสริญว่าสตรีเหนือสตรี เป็นรองเพียงฮองเฮาของแคว้น สิ่งใดที่คนอย่างหลิวเมิ่งชีต้องการ มิมีคำว่าไม่ได้“ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่กับลูกสาวของเจ้าเองน้องพี่”“มั่นใจขนาดนั้นเลยหรือพี่สาวข้า ว่าบุตรสาวข้าตายแล้ว บ่าวที่ภักดีของข้าก็มากมาย มีหรือพวกเขาจะปล่อยให้ลูกข้าตาย”หลิวเจินเจินหันใบหน้าไปด้านข้างเล็กน้อย ก่อนจะปรายตาไปยังหญิงสาวอีกคนที่กำลังสะบัดแส้ไปมาอย่างดุดัน ต่อกรอยู่ในวงล้อมของเหล่าทหารกบ
“เจ้าไม่มีวันได้ครอบครองใจของซานชิน ใจของเขาเป็นของข้าแต่ผู้เดียว เจินเจิน” ทุกคำพูดที่หลุดออกมาจากปากนั้น เลือดสีแดงฉานทะลักออกมาพร้อม ๆ กันเสมอ“ใจที่สกปรกเช่นนั้น ข้าไม่ต้องการเอามาแปดเปื้อนหัวใจของข้าแม้แต่น้อย บอกเขาเก็บมันไว้ให้ดี เพราะข้าจะควักมันออกมา เหยียบให้จมลงไปในแผ่นดินให้หมดสิ้น”ทุกคำพูดของหลิวเจินเจิน มันดูเลือดเย็นไร้ซึ่งความอาลัย ในตัวของหยางซานซินนัก ไม่เว้นแม้แต่แววตาที่ไร้ความรู้สึกของนาง“เจ้ามัน…เป็นได้แค่...ดอกไม้ไร้ค่า เจินเจิน…อึก!”ดวงตาของหลิงเมิ่งชี มองเลยไปยังชายหนุ่มซึ่งอยู่ห่างจากนางไปพอสมควร หยางซานหลางยังไม่ทันเห็นว่าตอนนี้ นางกำลังจะสิ้นใจในมิช้า สักคำที่นางอยากได้ยินจากปากของชายหนุ่มคือ‘เรียกข้าว่าแม่…ได้หรือไม่ซานหลาง’ นางทำได้แต่เพียงคิดเท่านั้นหลิวเจินเจิน แม้จะสงสารญาติผู้พี่จับใจ แต่ไม่คิดใจอ่อนให้คนที่ขึ้นชื่อว่าศัตรูได้“ข้าหรือท่านกันแน่…พี่ข้า!”เรียวปากบางเหยียดยิ้มหยัน ก่อนจะใช้ฝ่ามือกระแทกเข้ายังด้ามกระบี่ ร่างบางของหลิวเมิ่งชีถอยหลังไปตามแรงนั้นโดยมิอาจขัดขืนอันใดได้ปึก! หลังของสนมงามกระแทกกับต้นไม้ โดยมีกระบี่ของหลิวเจินเจินแทงทะล
ดังนั้น เมื่อมีโอกาสถ่ายทอดวิชาแก่ศิษย์รักไม่ว่าจะมากน้อย เขาจะไม่ยอมให้สูญเสียโอกาสเป็นอันขาด ส่วนเจิ้งถงจะฉวยเรียนรู้ไปด้วยหรือไม่นั้น เขามิคิดสนใจ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่อาจฝึกฝนไปทั้ง ๆ ที่ต่อสู้กับเขาได้อยู่แล้วเป็นอย่างที่หมิงจงเป่าคิดไม่มีผิด เมื่อฟางเล่อใช้สายตาที่ว่องไว ดูการเคลื่อนไหวของผู้เป็นอาจารย์ โดยร่างกายของนางนั้นขยับก้าวตามเสมือนการร่ายรำตามผู้นำการเต้นที่มีการแปรขบวนท่าอยู่อย่างต่อเนื่อง ครั้งแรก นางไม่ได้สนใจอะไรนอกจากจดจ่อกับการต่อสู้ แต่พอมีผู้มาใหม่ซึ่งทำให้อาจารย์ของนางหัวเราะเสียงดัง จากนั้นทุกการเคลื่อนไหว ตกอยู่ภายใต้สายตาของนาง และใช้ทุกกระบวนท่าที่จดจำได้มาตั้งรับและรุกคู่ต่อสู้ มันทำให้นางดูเหมือนจะได้เปรียบจีกวานฮวาขึ้นมาบ้างแล้วหากเป็นในโลกที่นางจากมา นับว่าสายตาของนางคืออัจฉริยะที่ว่องไวจนนางเองยังไม่อยากจะเชื่อ ความจำนั้นยิ่งเป็นเลิศกว่าแต่ก่อนมากนัก นางจำทุกถ้อยคำของท่านอาจารย์ได้ดี มิมีลืมเลือน‘เล่อเล่อรู้ไหมนอกจากฝ่ามือโลกันต์แล้ว เพราะอะไรคนถึงอยากครอบครองไข่มุก จำไว้ให้ดีว่าไข่มุกโลกันต์ทำให้เจ้ามีสายตาที่ดี สมองที่ดี มันคือสมบัติที่ล้ำค่ากว่าสิ
ค่ายทหารเจียงไห่ราชครูหลิวเดินวนไปมาอยู่ภายในกระโจมบัญชาการด้วยความร้อนใจอย่างที่สุด การหายตัวไปของหยางซานซิน เขาเองก็สงสัยมากพออยู่แล้ว ซ้ำเวลานี้ บุตรสาวก็ยังไร้วี่แววว่าจะกลับมา เขาจะทำอย่างไรดี“ท่านราชครู ท่านเสนาบดีและท่านแม่ทัพใหญ่กลับมาแล้วขอรับ”ฟึบ!ยังมิทันได้ก้าวออกไปด้านนอก ร่างสูงของเสนาบดีหนุ่มก็ก้าวเข้ามาพร้อมห่อผ้าสีดำขนาดใหญ่ ตามมาด้วยหยางซานซินที่มีรองแม่ทัพซ้ายคอยพยุงเอาไว้“เป่าชุน เจ้าจัดการให้เรียบร้อยตามที่ข้าบอก ห้ามให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด”“ขอรับท่านเสนาบดี ข้าจะรีบจัดการในทันที”“อะไรกัน มันเรื่องอะไรกัน ท่านเสนาบดี ท่านแม่ทัพใหญ่ เกิดอะไรขึ้น ละ…แล้วนี่...มันคือสิ่งใด”ราชครูหลิวถามคนทั้งคู่ด้วยน้ำเสียงร้อนรนยิ่งนัก ก่อนจะชี้นิ้ว มายังสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของเสนาบดีหนุ่มชูถงเดินไปยังด้านในโดยมีหยางซานซินเดินนำไปก่อน พร้อมทั้งกวาดสิ่งของทั้งหมดออกจากโต๊ะตัวใหญ่ของหยางซานหลาง ก่อนที่ชูถงจะวางห่อผ้าลงอย่างเบามือ“ท่านราชครู ข้าขอให้ท่านทำใจสักหน่อย อีกเรื่องก็คืออย่าได้แพร่งพรายถึงสิ่งที่อยู่ในห่อผ้านั่นออกไปให้ผู้ใดรับรู้อีกเป็นอันขาด มิใช่ข้าที
โม่คังสะบัดแส้รุนแรงขึ้น เพราะเวลานี้ พวกเขาถูกต้อนให้เข้าป่ามากขึ้นทุกที โม่คังลอบมองไปยังน้องชายและองค์หญิงแห่งจิ้งหนาน ซึ่งทั้งสองเองก็กำลังตึงมืออยู่มากไม่น้อยเคล้ง!ทวนสวรรค์ปะทะเข้ากับหอกเงินของเป่าชุน ความรุนแรงในการฟาดฟันของอาวุธทั้งสองทำให้ด้ามหอกและด้ามของทวนสวรรค์ต่างสะบัดสั่นไหวประหนึ่งอสรพิษเลื้อยหยางซานซินถอยกายเอนหลังพิงยังโคนต้นไม้ใหญ่ เวลานี้ เขาบาดเจ็บและหากเขามิรีบขับพิษออกจากร่างกาย อาจถึงขั้นสาหัสจนถึงชีวิตได้ มีดสั้นของเขาอาบยาพิษเอาไว้ มิคิดว่าจะเป็นเขาที่ถูกพิษร้ายเสียเอง หยางซานซินได้ล้วงเอายาแก้พิษออกมากิน ก่อนจะรวบรวมพลังวัตร เพื่อขับพิษร่วมไปด้วย หากรอเพียงออกฤทธิ์อาจทำให้อาการบาดเจ็บยืดเยื้อออกไปอีกเมี่ยวจ้านเองได้หันหลังให้กับคนรักและพี่ชายของเขาเหมือนกับว่าตอนนี้พวกเขาสามคนกำลังตกอยู่กลางวงล้อมของศัตรู ศึกนี้ดูจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว เมื่ออยู่ ๆ ก็มีตัวช่วยของหยางซานซินโผล่มากโดยมิทันคาดคิดตูม!อยู่ ๆ ก็เกิดเสียงดังขึ้น พร้อมกลุ่มควันมากมาย เป่าชุนและชูถงพร้อมทหารทั้งหมดรีบเหินกายถอยออกจากกลุ่มควันอย่างรวดเร็ว พวกเขารู้ดีว่าหากขืนยังอยู่จะเป็นพวกเขาเองที
“ชีวิตท่านคิดจะฆ่าลูก ๆ ของตัวเองให้สิ้นสกุลเลยหรืออย่างไร หยางซานซิน ในอดีตเมื่อข้ายังเยาว์วัย ท่านอาจว่องไวประดุจอินทรี แต่เมื่อข้าเติบใหญ่ ตัวท่านก็เริ่มแก่ชรา ไยมิรู้จักไปจำศีลในวัดวาอาราม จะมามัวถือดาบล้างสกุลตนเองและผู้อื่นเล่นอยู่ทำไมกัน”มือแกร่งของโม่คังกำลำคอหนาของแม่ทัพหยางเอาไว้แน่น มือข้างที่ถืออาวุธอยู่ก็มิอาจขยับได้ เพราะถูกแส้ทองของบุตรสาว พันธนาการเอาไว้เช่นกันหยางซานซินใช้มือข้างที่ยังว่างและไร้ซึ่งอาวุธพยายามแกะมือของชายสวมหน้ากากออกจากลำคอแกร่งของตนเอง“จะ…เจ้า แค่ก ๆ หมายความว่าอย่างไร เจ้าคือใคร”โม่คังคลายมือออกเล็กน้อยพอให้อีกฝ่ายส่งเสียงที่แหบแห้งออกมาได้ ดวงตาของทั้งคู่จ้องประสานกัน หนึ่งค้นหาความจริง อีกหนึ่งเย้ยหยันผู้ที่กำลังดิ้นรนเพื่อให้รอดชีวิต การที่เขาสอดมือเข้าช่วยเมี่ยวจ้านนั้น มิใช่กลัวว่านางจะรับมือหยางซานซินมิได้ แต่เขาเกรงว่านางจะสังหารหยางซานซินเสียมากกว่า“คิดให้ดี ว่าท่านเคยทำแบบนี้กับใครบ้าง อืม ๆ ข้าจะใบ้ให้นิดหน่อย เผื่อจะเตือนความจำของท่านแม่ทัพใหญ่ได้บ้าง เริ่มจากตรงไหนดีล่ะ”“ท่านพี่จะเสียเวลากับคนเช่นนี้ทำไมกันขอรับ ข้าจะบอกใบ้แทนท่าน
หยางซานซินยืดกายขึ้นตรง ก่อนจะมองเลยไปยังด้านหลังของบุตรสาว แม่ทัพใหญ่เกิดความรู้สึกผิดหวังปนขุ่นเคืองที่อยู่ ๆ บุตรสาวก็โผล่เข้ามาขัดขวางความสำเร็จของเขาเสียก่อน‘ในเมื่อเจ้าพยายามเสนอตัวเป็นลูกของข้า วันนี้ ข้าจะดูซิว่า เจ้าจะทำอย่างไรให้ข้ายอมรับเจ้าได้ บุตรสาวข้า’“หลีกทางพ่อเสีย…หรือเจ้าจะช่วยพ่อกำจัดศัตรูของครอบครัวเราก็จะเป็นการดีมิน้อย ลูกรัก”เมี่ยวจ้าวเอี้ยวตัวไปด้านหลังเล็กน้อย แค่เพียงให้มองเห็นชายหนุ่มทั้งสองซึ่งยืนนิ่งอยู่ด้านหลังของนาง มุมปากของหญิงสาวคลี่ออกเล็กน้อย ก่อนจะขยิบตาข้างที่อยู่ฝั่งกับบุรุษทั้งคู่ เมี่ยวจ้านจึงหันกลับมาเผชิญหน้ากับบิดาผู้ให้กำเนิด แต่มิเคยต้องการนางเลย“เรื่องของพวกท่าน ข้ามิขอยุ่งเกี่ยว ข้าเพียงนำคำมารดามาแจ้งแก่ท่าน…บิดาข้า”หยางซานซินเหยียดริมฝีปากออกเล็กน้อย “หึ ๆ” พร้อมเสียงหัวเราะในลำคอเขารู้อยู่แล้วว่าคนอย่างบุตรสาวนั้นเป็นคนหัวแข็งเช่นมารดาของนาง การจะชักจูงให้มาอยู่ฝ่ายตนนั่นคงมิใช่เรื่องง่าย ซึ่งดูได้จากคำตอบของนางที่ดูจะเป็นกลางยิ่งนัก เหมือนกับนางไม่เลือกฝ่ายใด‘ฉลาดนักนะ ลูกสาวข้า’ หยางซานซินรู้สึกชื่นชมในความเฉลียวฉลาดของบุตรส
เสียงอาวุธกระทบกันเป็นระยะ ฝีมือของคนชุดดำในความคิดของชายหนุ่มนั้นนับว่าสูงส่งทีเดียว แต่เหมือนกับว่าอีกฝ่ายพยายามออมมือให้แก่เขา ซึ่งตัวเขาเองก็กำลังทำเช่นเดียวกัน‘หากข้าให้โอกาสเขาแล้ว นับว่าเป็นเสมือนดาบสองคมสินะ!’“พี่ชาย…ข้ามิออมมือแล้วนะ แต่มีบางเรื่องที่ตัวข้าอยากเตือนสติท่านสักหน่อย หากท่านมิรอดจากคมกระบี่ข้า ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าคนข้างหลังของท่านจะรอดชีวิตเช่นกัน มิเคยมีสัจจะในหมู่คนพาล ไยมิทบทวนให้ดี ทุกอย่างเกี่ยวกับท่าน ข้าเพียงคาดเดา พี่ชาย”ไร้การตอบรับจากคนชุดดำ การต่อสู้ยังคงดุเดือดขึ้นตามลำดับ แต่ดูอย่างไร คนชุดดำก็ยังมิจริงจังกับการต่อสู้นี้สักที‘คิดจะจบชีวิตในคมดาบศัตรู แทนการสังหารศัตรูเช่นนั้นหรือ เพราะอะไรกัน…’ถงเหยียนเจี๋ยถึงกับงุนงงในการกระทำของคู่ต่อสู้ เขามิรู้ว่าจะคาดเดาไปในทิศทางใดได้อีกแล้ว ทำเพียงหาทางหยุดอีกฝ่ายลงให้ได้โดยมิให้ถึงชีวิต หากเป็นเช่นที่เขาคิด บางทีการต่อรองกับคนผู้นี้อาจส่งผลดีต่อพวกเขาก็เป็นได้ทางด้านโม่คังเหมือนกับว่าเวลาเล่นสนุกของเขาได้หมดลงแล้ว เมื่ออยู่ ๆ ผู้เป็นน้องชายได้ถูกไล่ต้อนให้ออกห่างจากเขาจนเริ่มจะมองไม่เห็นแล้ว ไหมทอ
“ท่านยังเร็วมิพอ แม่ทัพหยาง…ความชราของท่านมันคืออุปสรรคสินะ!”ชายหนุ่มพูดทั้งยังส่งเสียงหัวเราะในลำคอโดยจงใจให้อีกฝ่ายได้ยินด้วย เพียงแค่ผ้าซึ่งคลุมปลายทวนหลุดออก เผยให้เห็นถึงรูปลักษณ์ของตัวทวนที่มีลวดลายเฉพาะ โดยตัวเนื้อเหล็กกล้าเชื่อกับด้ามทวนนั้น ฝังไว้ด้วยอัญมณีล้ำค่าซึ่งมีเพียงคนเดียวที่ใช้ทวนนี้ได้‘ทวนสวรรค์’ทหารติดตามถึงกับดวงตาเบิกโพลงเมื่อมองเห็นทวนของชายหนุ่ม ความสับสนได้เกิดขึ้นภายในใจกันมิน้อย ว่าคนตรงหน้าคือตัวจริงหรือปลอมกันแน่ แต่ทั้งหมดก็ไร้โอกาสที่จะมองให้ชัดเจนกว่าเดิม เพราะจำต้องรับมือกับชายสวมหน้ากากซึ่งแม้จะไร้อาวุธแต่กลับรวดเร็วยิ่งนัก ซ้ำยังใช้เพียงมือเปล่ารับมือกับพวกเขาได้อย่างง่ายดายหยางซานซินแม้จะต่อสู้อยู่กับโม่หยวนฟาง แต่ทุกครั้งที่การประมือของเขากับชายหนุ่มนั้นได้มีโอกาสหันไปยังด้านของคนสวมหน้ากาก เขาจะเห็นบางอย่างที่คุ้นเคย เสมือนเขาเคยพบเจอคนที่ใช้วิชาเช่นนี้มาก่อนหน้าแล้วเมื่อครั้งในอดีต“เสียเวลามากเกินไปแล้ว เด็กน้อย ถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว”หยางซานซินปลดปล่อยพลังออกมาจนเกิดเสียงระเบิดอย่างรุนแรงรอบกายเขาและโม่หยวนฟาง ทางด้านอ๋องหนุ่มเองได้ตั้งรับอ
“หึ ๆ” เสียงหัวเราะในลำคอดังลอดผ่านให้ได้ยินแม้จะเพียงบางเบาในความคิดของชายหนุ่ม แต่ด้วยความเงียบของถนนเปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ มันช่างก้องกังวานยิ่งนักทำให้คนฟังขุ่นเคืองใจเป็นเท่าทวีคูณ แต่ด้วยฐานะและภาพลักษณ์อันทรงเกียรติจำต้องนิ่งเอาไว้ให้มากที่สุด“ท่านช่างเรื่องมากเสียจริง หยางซานซิน กับแค่การลงจากหลังม้า และไปตรวจสอบสิ่งของที่ข้านำมาคืน ท่านจะโยกโย้ให้เสียเวลามากไปทำไมกัน หรือจะต้องให้ข้าเดินไปอุ้มท่านลงมา เช่นนั้นรึ!”เมื่อเอ่ยจบ ชายหนุ่มได้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับคณะของหยางซานซินเพียงแค่แวบแรกที่ใบหน้าหล่อเหลาหันมา ทุกคนบนหลังม้าถึงกับดวงตาเบิกโพลง ด้วยความตกใจ‘ท่านอ๋องน้อยโม่หยวนฟาง’ “เป็นไปไม่ได้ เจ้าเป็นผู้ใดกัน ไยกล้าปลอมแปลงเป็นท่านอ๋องน้อย เจ้าโจรชั่ว ต้องการอะไรกันแน่ หากมิบอกความจริงแก่ข้ามาก็อย่าหวังจะรอดพ้นน้ำมือข้าในวันนี้ได้!”หยางซานซินเอ่ยปากหยั่งเชิงศัตรู เขามั่นใจว่าคนตรงหน้านี้คือตัวจริง แต่หากเขาลงมือต่ออ๋องน้อยจนถึงตายขึ้นมา มันก็ยังพอมีข้ออ้างที่สมเหตุสมผลอยู่มากพอ ในเมื่อทุกคนยืนยันว่าท่านอ๋องน้อยพำนักอยู่ที่ซานซี แล้วจะมาปรากฏตัวที่ชาย
โม่หยวนฟางลากเสียงยาวในตอนท้าย แต่ไม่ได้เอ่ยว่าเป็นเรื่องใด ก่อนจะแสร้งรินสุราแล้วยกขึ้นดื่มพร้อมใบหน้าดูสุขล้น จนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามรู้สึกอยากลงมือต่อผู้เป็นน้องชายซึ่งกำลังล้อเลียนเขาอยู่นั่นเอง“การจะเป็นราชบุตรเขยต่างแคว้นนั้นมิง่ายอย่างที่ใจคิด คู่แข่งย่อมมีมากไม่ใช่น้อย หรือเจ้าว่าอย่างไร หยวนฟาง”“แค่ก ๆ ท่านพี่…ทะ…ท่าน ฮึ่ย!”“หึ ๆ”โม่คังหัวเราะอยู่ในลำคอ การเย้าแหย่ของสองพี่น้องจำต้องยุติลง เมื่อมีเสียง กุบ! กับ! ของม้าที่ห้อมาอย่างเต็มกำลังหลายตัวตรงมาตามถนนที่ทั้งคู่กำลังนั่งร่ำสุรากันอยู่โม่คังเอื้อมมือไปยังหน้ากากสีเงินซึ่งวางไว้อีกด้านบนโต๊ะสุราขึ้นสวมปิดบังใบหน้า เขายังต้องเป็นเยว่คังอีกนาน ต่อให้หยางซานซินรู้ว่าเขาคือผู้ใด แต่ก็มิอาจได้เห็นหน้าตาของเขาอย่างแน่นอน“อย่าหนักมือนักนะ หยวนฟาง อย่างไร หยางซานซินก็เป็นสะพานชั้นดีของพวกเรา แต่ถ้าคิดว่าเขาอันตรายเกินก็ทำลายสะพานนั้นทิ้งเสีย”“ทราบแล้วท่านพี่ ท่านเองก็อย่าได้เมาสุราจนลืมปกป้องข้าด้วยเช่นกัน”“ฮา ๆ” สองพี่น้องส่งเสียงหัวเราะชอบใจเหมือนอันตรายที่กำลังจะมาถึงตัวนั้นมิได้สร้างความหวาดหวั่นแก่ทั้งคู่เลยสักนิดฮี้
ราชครูหลิว เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมอีกฝ่ายอยู่ในที ก่อนจะยกน้ำชาที่แม่ทัพหยางเป็นผู้รินให้ โดยไม่ได้หันไปสนใจว่าหยางซานซินจะพอใจเขาหรือไม่“ข้ามิได้ตั้งใจตำหนิท่านพ่อนะขอรับ เพียงแต่ข้ากำลังร้อนใจ เกรงว่าเมิ่งชีจะเกิดอันตราย นางมิคุ้นเคยกับชีวิตนอกวังเช่นนี้ ข้าแค่…”หยางซานซินจำต้องเงียบเสียงลง เมื่อราชครูหลิวได้ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าให้หยุดเอ่ยสิ่งใดอีก“แล้วเจ้าคิดว่า ข้ามิห่วงนางรึอย่างไรหยางซานซิน ข้าเป็นบิดาของนาง ข้าย่อมต้องคำนึงความปลอดภัยของบุตรสาวก่อนสิ่งอื่นใดอยู่แล้ว”ราชครูหลิวหันไปเผชิญหน้ากับเขยลับ ๆ ของตน ด้วยใบหน้าเรียบตึง แสดงชัดถึงความขุ่นเคืองอยู่ในที หยางซานซินทำได้เพียงกำหมัดแน่นอยู่บนต้นขาแกร่ง ก่อนจะก้มหน้าเล็กน้อยฟังคำพูดของบิดาคนรักต่อเงียบ ๆ“แต่เจ้าก็น่าจะรู้นะ หยางซานซิน ว่าเวลานี้ มันเหมาะหรือไม่ที่เราจะตื่นตูมต่อหน้าคนอย่างชูถง ในเมื่อเมิ่งชีบอกว่าจะไปชมตลาดเจียงไห่ หากข้าสั่งห้ามนางมิให้ไป เจ้าคนแซ่ชูก็ต้องตั้งคำถาม ว่าทำไม…นางถึงจะไปไม่ได้ หากบอกว่าที่นี่อันตราย เจ้าว่าคนอย่างชูถงรึจะรามือ คิดให้กว้างเสียบ้าง อย่าเอาความรู้สึกมาอยู่เหนือความเป็นจริ