ไวทย์ตวัดสายตาเครียดๆ มองปูรณ์ หนุ่มใหญ่หน้าหล่อคมเข้มและรวยเป็นอันดับ 1 ของอำเภอ เขาลืมไปว่าในห้องคาราโอเกะนี้ คนด้านนอกมองไม่เห็นคนด้านใน แต่คนด้านในมองเห็นคนด้านนอกตลอด และ 2 พี่น้องคงเห็นเขาก้อร่อก้อติกกับเจ๊แหม่มหมดแล้ว
ปูรณ์ส่งรอยยิ้มเย้าก่อนจะหันไปถามญาติผู้น้อง “หรือว่าเราจะไปกินหญ้าอ่อนของนายไวทย์ดี ว่าไงปัถย์”
ปัถย์หัวเราะร่วน ตามองเพื่อนจับสังเกต “พี่ปูรณ์ถามเจ้าของหญ้าอ่อนก่อนนะ ดูหน้าไอ้หมอมันซิ หน้าแบบนี้มันหวงก้างชัดๆ แหม… ทำมาเป็นกลุ้มที่พี่สาวเอาหญ้าอ่อนมาฝากไว้ ที่แท้เอ็งก็กังวลใจว่าจะกินแบบไหนมากกว่ามั้ง จะเล็มนิดเล็มหน่อย ชิมวันละน้อย เซาะวันละนิด หรือจะกินทีเดียวแบบถอนรากถอนโคนไปเลย”
“พูดมากน่า ข้ายิ่งกลุ้มๆ อยู่”
ไวทย์ทำหน้าเซ็งกระแทกตัวพิงพนักโซฟา คว้าแก้วเปล่าใส่น้ำแข็งแล้วก็เติมเหล้าลงไปก่อนจะกระดกเข้าคอเร็วๆ นั่นคืออาการของคนใช้น้ำเมาดับทุกข์ชัดๆ แต่ที่เขาเป็นอยู่มันทุกข์จริงไหม ทุกข์เพราะสิ่งที่เป็น หรือว่าทุกข์จากการไม่ยอมรับความจริง
“เอ็งจะมากลุ้มทำไมวะ หนูหน่อยเธอก็น่ารักดี และถ้ามันจะเป็นอย่างที่พี่วิวอยากให้เป็น ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่หว่า เอ็งก็ไม่ได้มีผู้หญิงที่ไหนซุกซ่อนอยู่ เมียเป็นตัวเป็นตนก็ไม่มี เมียเก็บเมียเล็กเมียน้อยก็ไม่มี ก็มีแต่ที่นี่ เสียวเสร็จแล้วก็แยกทาง แล้วเอ็งจะกลัวอะไรวะ เป็นหมอวัวได้เมียเป็นว่าที่หมอวัวเหมือนกันก็ดีอยู่แล้ว ประเภทผัวหาบเมียคอน ทำงานส่งเสริมกันจะได้เฮงๆ รวยๆ และเอ็งก็จะได้มีโมเมนต์หวานๆ ในฟาร์มม้า ฟาร์มหมู คอกวัว อูย… บนกองฟางนี่ ข้าอยากสุดๆ”
ไวทย์มองเพื่อนที่ทำท่ากอดตัวเองสั่นสะท้านยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะกดเลือกเพลงบนจอมอนิเตอร์ไปด้วย ไม่สนใจว่าเขาจะโกรธมากแค่ไหน ก็แหงล่ะ เขาไม่เคยโกรธปัถย์ได้สักครั้ง เพราะคำหยอกเย้าของเพื่อนนั้นคือรู้ใจ
เขากับปัถย์เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนมัธยมจนแยกย้ายกันเมื่อเรียนมหาวิทยาลัย เขาสอบติดสัตวแพทย์ ส่วนปัถย์สอบติดบริหาร แต่ไปๆ มาๆ เขากลับโคจรมาพบกับปัถย์อีกครั้ง เมื่อปัถย์เป็นทายาทของฟาร์มปศุสัตว์ที่เขาดูแลอยู่ รวมทั้งฟาร์มวัวของปูรณ์ด้วย
ความสนิทสนมนั้นไม่แค่แต่ปัถย์กับปูรณ์ แต่เขาสนิทสนมไปถึงพ่อแม่ของทั้งสองคนด้วย เพราะพ่อแม่ของปัถย์รู้จักกับพ่อแม่เขามานานหลายปี แต่ท่านกลับเห็นแย้งกับสิ่งที่พ่อแม่เขาคิด พวกท่านตามใจไม่ว่าลูกจะเลือกเรียนอะไร ผิดกับพ่อแม่ของเขา ท่านไม่พอใจที่เขาเลือกเรียนสัตวแพทย์ ท่านอยากให้เขาเรียนหมอรักษาคนมากกว่า เพราะเรียนหนักพอกัน จบมาทำงานพ่อแม่ก็มีหน้ามีตา แต่เขาไม่ชอบ เขาอยากเป็นหมอรักษาสัตว์ เขาชอบอยู่กับสัตว์ สัตว์ไม่พูดมากให้น่ารำคาญ แล้วก็ไม่นินทาว่าร้ายใครด้วย
แต่ก็นั่นแหละจะมีพ่อแม่ที่ไหนที่จะยินดีเมื่อลูกไม่ยอมสานต่อกิจการโรงแรม 5 ดาวของครอบครัว ซึ่งตรงนี้พ่อกับแม่ของปัถย์ก็ทราบเรื่อง เพราะท่านปรับทุกข์ให้กันฟังเสมอ
แต่พ่อแม่ของปัถย์กลับคิดต่าง ท่านมักเอ่ยชมเขาเสมอว่าเป็นคนหนุ่มไฟแรงมีอุดมการณ์แน่วแน่ ทั้งที่ต้องขัดใจพ่อแม่ เพราะอาชีพที่เขาเลือก เมื่อจบออกมาก็อาจหางานยากเพราะเป็นงานที่กินอุดมการณ์ เงินเดือนไม่ได้สูง เพราะเหตุนี้ท่านจึงรักและเอ็นดูเขาไม่ต่างจากลูกชาย ดังนั้นเมื่อเรียนจบท่านจึงเสนอให้เขามาเป็นสัตวแพทย์ประจำฟาร์มของครอบครัวทันที รวมทั้งยังแนะนำเขาให้กับฟาร์มของปูรณ์อีกด้วย
แต่เขาก็ทำสิ่งขัดใจพ่อแม่มากขึ้นไปอีก เพราะนอกจากจะเป็นสัตวแพทย์ประจำฟาร์มของปูรณ์กับปัถย์แล้วนั้น เขายังอุทิศตัวให้กับสัตว์ป่าน้อยใหญ่ เพราะอำเภอที่เขาอยู่ยังถือว่ามีป่าไม้ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่าจึงมีมาก เมื่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้แจ้งเข้ามาว่ามีสัตว์ป่าบาดเจ็บ หากเขาสะดวกหรืออยู่ใกล้ก็จะรีบไปโดยด่วน เรื่องลำบากไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหนเขาก็ไม่เคยท้อเพราะถือว่านั่นคือสิ่งที่เขาเลือกทางเดินเอง แต่ตอนนี้เรื่องที่สร้างความหนักใจสุดๆ กลับเป็นเรื่องของครอบครัว
เพราะจู่ๆ ‘วิเวียน’ พี่สาวของเขาก็พาลูกติดของสามีมาฝากให้ฝึกงาน โดยบอกว่า ‘หนูหน่อย’ เด็กสาววัย 18 ปีนั้นกำลังจะเข้าเรียนต่อในคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ ทั้งวิเวียนและ ‘พี่โน้ต’ สามีจึงอยากให้ลูกได้เรียนรู้งานจริงๆ ก่อนจะเริ่มเรียน ก็เลยส่งให้มาอยู่กับเขา หวังว่าการทำงานจริงจะทำให้ลูกสาวมีความเข้าใจเนื้อหาที่เรียนมากขึ้น และอาจตอบตัวเองได้ว่าชอบหรือไม่ชอบการเป็นหมอรักษาสัตว์กันแน่ เพราะหากไม่ชอบจะได้เปลี่ยนใจทัน เขาจึงจำใจรับหนูหน่อยมาอยู่ด้วยเพราะเลี่ยงคำขอร้องของวิเวียนไม่ได้
สุดท้ายจึงต้องมานั่งกลุ้มใจอยู่แบบนี้ เพราะหนูหน่อยไม่ใช่เด็กสาวขี้ริ้วหรือเป็นเด็กวัยกำลังโต แต่หนูหน่อยโตเกินตัวโตมากๆ ทั้งโตและมโหฬาร จนเขาแทบจะอดใจไม่ได้หลายต่อหลายครั้ง ทั้งยังต้องอยู่ใกล้ชิดกับหนูหน่อยทั้งวันทั้งคืน แค่สัปดาห์ที่ผ่านมา สติสตังเขาก็ปั่นป่วนไปหมด จะหลับจะตื่นก็เห็นแต่ริมฝีปากเผยอน้อยๆ เต้าล้นทรวง ความอวบอัด เอิ่ม… น่ากิน น่าลงลิ้นเลียไล้ไปทุกสัดส่วน
เด็กสาวอวบอัด ผิวขาวอมชมพู เอียงใบหน้าไร้เดียงสามองเขาด้วยความสงสัยใคร่รู้ตลอดเวลา ทว่าความไร้เดียงสาของหล่อนกลับกลายเป็นแรงยั่วเย้าให้เขาเพิ่มความใคร่ในตัวหล่อนเพิ่มขึ้นๆ ทุกวีรกรรมที่หล่อนทำหากมองแบบโลกสวยวิ่งอยู่กลางทุ่งหญ้าสะวันนาหรือทุ่งลาเวนเดอร์ ก็ต้องมองว่านั่นคือความไร้เดียงสาของเด็กสาวที่กำลังก้าวผ่านจากวัยสาวน้อยไปเป็นสาวรุ่นเต็มตัว ทว่าหากมองแบบสายหื่นจัดหนักก็มองว่านั่นน่ะอ่อยชัดๆ แล้วใครจะไปทนได้ เขาคนนึงแหละที่ทนไม่ได้ แล้วจากนี้ไปอีก 2 เดือน กว่ามหาวิทยาลัยจะเปิดภาคเรียน เขาจะทนอยู่กับหล่อนแบบมีระยะห่างตลอด 24 ชั่วโมงได้ยังไง เขามีเลือดมีเนื้อ แข็งไปทุกส่วน ไม่ใช่พระอิฐพระปูน รวมทั้งหล่อนก็ไม่ใช่ภาพวาดหรือรูปปั้น แต่หล่อนสาวสวยเต่งตึงไปทั้งร่าง แม้พยายามห้ามใจว่านั่นคือลูกสาวของพี่เขย แต่เขาจะทนได้สักกี่น้ำล่ะ… ใช่… สักกี่น้ำ น้ำเดียวก็ยังไม่ได้ปลดปล่อย “เอาไงล่ะไอ้เสือ นี่เครียดจนอยู่ไม่ติดบ้านเลยรึไง เป็นเอามากนะเนี่ย” ไวทย์เหลือบมองปัถย์ที่เย้าเขาไม่เลิก ก่อนจะสาดเหล้าเข้าปากหมดแก้วจ
แม้สิ่งที่คนงานพูดกันจะไม่จริง แต่ที่เขาแอบสูดดมความหอมจากเรือนร่างนั้นทุกครั้งที่มีโอกาส นั่นเขาก็ปฏิเสธความคิดหื่นของตัวเองไม่ได้เลย “ว่าไง สรุปเอ็งคิดอะไรกับหนูหน่อยหรือเปล่า” สายตารู้ทันของเพื่อนกับพี่ชายเพื่อน ทำให้ไวทย์ทนไม่ไหวต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เออ… ยอมรับก็ได้ ก็คิดอยู่” “ก็แค่เนี้ย! เป็นไรไปวะ ก็แค่ยอมรับว่าอยากกินหญ้าอ่อน ถ้าเอ็งจะคิดก็ไม่ผิดหรอกว่ะ เอ็กซ์ เซ็กซ์ อึ๋มขนาดนั้น เป็นข้า ข้าก็…” “หยุดเลยนะไอ้ปัถย์ เอ็งห้ามคิด” “พี่ปูรณ์ดูมันสิ มันห้ามผมคิด แต่มันก็คิดเอง พี่ปูรณ์คิดมั้ย” ทั้งไวทย์และปัถย์จ้องหน้าปูรณ์ต้องการคำตอบ “คิดว่ะ” “พี่ปูรณ์!” ปัถย์ทุบโต๊ะขำกับท่าทางหน้าเฉยของปูรณ์ แต่ไวทย์นั้นโอดครวญราวคนชอกช้ำ ก่อนจะเข้าสู่โหมดกลุ้มใจตามเดิม ดวงตากลัดกลุ้มมองแก้วบรรจุน้ำสีอำพันในมือ เพราะใครล่ะจะไม่คิด ขนาดว่าปัถย์กับพี่ปูรณ์ยังคิดเลย แล้วเขาต้องอยู่ใกล้หล่อนทุกวันจะทนได้ยังไง “ข้ากลัวตบะแตกว่ะ” “หือ… ขนาดนั้นเชียวเหร
คำพูดคล้ายจะถูกดูดกลืนเข้าไปในลำคอเพราะไม่มีสักจุดที่ขี้ริ้ว ไม่ว่าจะเป็นคางมนที่น่าใช้นิ้วเชยขึ้นเพื่อรับจูบดูดดื่ม ปากอวบอิ่มที่ขยันทำปากเจ่อๆ เรียกร้องให้เขาบดความรุมร้อนลงไปหา จมูกโด่งน้อยๆ แต่พองาม จนเขาอยากจะคีบที่ปลายและขยี้เบาๆ อย่างมันเขี้ยว โดยเฉพาะดวงตากลมโตเต็มไปด้วยแววบ้องแบ๊ว และผิวละเอียดขาวอมชมพูน่าดมน่าลูบไล้ เพราะหล่อนได้ยีนจากทางแม่ซึ่งเป็นสาวญี่ปุ่นมาเต็มๆ ทั้งหมดนั้นเร้าอารมณ์เขาชะมัด และทุกครั้งที่หางตาเหลือบมองเส้นผมดำยาวที่หล่อนรวบไว้เป็นหางม้าปัดป่ายไปตามเรือนร่างขณะก้าวเดิน จำเพาะที่ปลายเส้นผมนั้นละอยู่บริเวณบั้นเอว นั่นยิ่งทำให้จินตนาการของเขาเพริศแพร้ว คิดไปถึงยามหางม้านั้นถูกปลดออก ปล่อยปลายผมละกับสะโพก หรือเวลาที่เส้นผมนั้นกระจายเต็มปลอกหมอน เต็มที่นอน อืม... จะเซ็กซี่ได้แค่ไหน ทั้งหมดเป็นสิ่งกระตุ้นให้เขาอยากรู้อยากลองว่าภายใต้ความบ้องแบ๊วนั้น หากหล่อนมาอยู่ใต้ร่างของเขา แววตานั้นจะมองเขาเช่นไร จะเปลี่ยนไปเป็นวาบหวามได้แค่ไหน โดยเฉพาะความอวบอิ่ม อืม… หล่อนเป็นสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นขนานแท้ เพราะส่วนนูนนั้นเด่นเกินหน้าเกินตา
“สวัสดีค่ะน้าปัถย์ ลุงปูรณ์” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กสาวหน้าแฉล้มเปล่งทักทายทันทีที่เห็นหน้ากันชัดๆ ทว่าคนถูกเรียกไม่ได้ยินดีสักนิด ปูรณ์เม้มปากหน้านิ่ง ส่วนปัถย์เปลี่ยนเป็นขรึมตามพี่ชาย คิดโกรธคนที่ทำให้หนูหน่อยเรียกพวกเขาแบบนี้ “ทำ… ทำไมอาไวทย์เมาแบบนี้ล่ะคะ” “ครายเมา… ม่ายเมาสักนิด แค่สนุกนิดหน่อย เอิ้ก! จริงมั้ยปัถย์ พี่ปูรณ์” คนปฏิเสธความเมาหันถามคนด้านข้างทั้งสอง ก่อนจะหันมองเจ้าของหน้าจิ้มลิ้มที่ยืนอยู่ด้านหน้า รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดวาบบนใบหน้า สายตาไล่มองต่ำลงต่ำลงเรื่อยๆ จากใบหน้าสู่ปลายคาง สู่ทรวงอก และไปถึงหน้าท้อง จนหนูหน่อยสะท้านเฮือก ฝ่ามือกระชับสาบเสื้อคลุมชุดนอนเข้าหากันอัตโนมัติ ทั้งหมดนั้นปูรณ์กับปัถย์เห็น “อย่าเพิ่งถามเลย หนูหน่อยนำไปที่ห้องของนายไวทย์เถอะ ฉันกับนายปัถย์จะพาไปส่งถึงห้อง ไม่งั้นหนูหน่อยพาไปไม่ไหวแน่” “ค่ะ ลุงปูรณ์กับน้าปัถย์ ตามหนูหน่อยมาทางนี้นะคะ” หนูหน่อยหันหลังเดินนำไป จึงไม่ทันเห็นใบหน้าตึงๆ ของสุดหล่อสองพี่น้อง ต่างฝ่ายต่างคิดไปคนละอย่าง ปัถย์คิดหาทางแก้เ
หล่อนโชคดีที่พ่อแต่งงานกับอาวิว เพราะอาวิวเป็นแม่เลี้ยงที่ดีที่สุดในโลก แล้วเรื่องที่หล่อนจะมาอยู่กับหมอไวทย์ พ่อหล่อนดูราวจะไม่ทุกข์ร้อน มีแต่อาวิวที่สอนหล่อนสารพัด สอนให้หล่อนหวงเนื้อหวงตัว อย่ายอมให้ไวทย์ใกล้ชิดจนเกินงาม แต่อาวิวจะรู้บ้างไหมว่าหล่อนไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดเขาสักครั้ง แต่ยิ่งเขาหมางเมิน หล่อนกลับอยากใกล้เขาให้มากที่สุด “หนูหน่อย ดูแลไวทย์ด้วยล่ะกัน” หนูหน่อยสะดุ้งเล็กน้อยตื่นจากภวังค์ ก่อนจะยิ้มหวานให้กับลุงและน้าของเพื่อน เพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินจนไม่ทันมองว่าหมอไวทย์นอนที่เตียงกว้างเรียบร้อยแล้ว และสภาพของคนเมาก็ดูราวจะสิ้นฤทธิ์ “หนูหน่อยเช็ดตัวเป็นมั้ย” คำถามของปูรณ์ ทำให้ปัถย์และหนูหน่อยหันมองเขา ก่อนที่ปัถย์จะทำหน้าเฉยๆ นั่นคือหนูหน่อยจะต้องเป็นคนตอบคำถาม “ปะ… เป็นค่ะ” “อย่างนั้น อืม… เช็ดแค่หน้าพอนะ ให้มันสดชื่นหน่อยก็พอ ไม่ต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามันล่ะ ให้มันนอนเหนียวตัวแบบนี้แหละ ดันดื่มไม่คิด ต่อไปมันจะได้จำ ไม่ระบายอารมณ์กับเหล้าอีก” “เออ… อาไวทย์มีเรื่องกลุ้มเหรอคะ” “
หนูหน่อยแตะฝ่ามือที่ประตูตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน สูดลมหายใจเข้าลึกรวบรวมความกล้า หล่อนกำลังก้าวล้ำความเป็นส่วนตัวของเขาอีกก้าว ห้องแต่งตัวของชายโสดไม่เหมือนอย่างที่หล่อนเคยคิดเอาไว้สักนิด เพราะคุณหมอไวทย์ค่อนข้างจะเรียบร้อยหรือนั่นอาจเพราะมีแม่บ้านมาคอยจัดเตรียมเสื้อผ้าเอาไว้ให้ก็เป็นไปได้ เสื้อผ้าถึงได้ถูกจัดเรียงเป็นระเบียบไม่รกและล้นออกมาด้านนอกตู้ ตู้แรกเป็นเสื้อยืดสีขาวที่หล่อนเห็นเขาใส่เป็นเสื้อตัวในทุกวัน ด้านล่างเป็นกางเกงชั้นในและกางเกงบ๊อกเซอร์ซึ่งถูกพับเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ผิวแก้มร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงประโยชน์ใช้สอยของกางเกงเหล่านี้ จริงอยู่ว่าเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ ก็สวมกางเกงในกันทั้งนั้น แต่หล่อนไม่เคยอยู่ใกล้ชิดกางเกงในของผู้ชายคนไหนมาก่อนเลยนี่นา เห็นใกล้ๆ จำนวนเป็นโหลแบบนี้ หล่อนจะไม่อายได้อย่างไร แต่ต้องสะกดใจ หล่อนต้องการเพียงผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กที่จะซับน้ำได้เท่านั้น มือเปิดช่องลิ้นชักเหนือชั้นกางเกงใน เป็นไปได้ว่าช่องนี้อาจเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนุ่มขนาดเล็กเอาไว้เพราะว่าโซนนี้เป็นโซนชุดชั้นใน ทว่าเพียงลิ้นชัก
“อาไวทย์!” หนูหน่อยชักข้อมือออกแต่อาไวทย์ก็ยื้อไว้แน่นไม่ยอมปล่อย นั่นทำให้คำเตือนของอาวิวแวบเข้ามาในหัว หล่อนกำลังจะพลาด แต่หล่อนไม่ยอมแน่ “อาไวทย์ นี่หนูหน่อยนะคะ มองหน้าค่ะ มองหน้า!” หนูหน่อยเสียงดัง ชี้หน้าตัวเองให้ไวทย์มองหน้าหล่อนให้ชัดๆ “รู้น่า… ว่าหนูหน่อย นมโตขนาดนี้ใครจะไปลืมได้ เห็นใกล้ๆ แบบนี้ก็ยิ่งโต โตโต๊โต… โอ้โห… อยากจับจัง จะนุ่ม แน่น สู้มือขนาดไหน อูย... ถ้าได้ดูด ซี้ด... คงจะมันส์ลิ้น โอ้ว! บักแตงโม!” “อาไวทย์!” หนูหน่อยกอดอกตัวเองทันที เพราะอาไวทย์ของหล่อนน่าจะเมาได้ที่ ไม่งั้นคงไม่พูดทะลึ่ง ใช้น้ำเสียงกระเส่า ดวงตาหื่นกระหาย พร้อมแลบลิ้นออกมาเลียปากอย่างนั้นแน่ “อาไวทย์เมาแล้วก็นอนเถอะค่ะ หนูจะกลับห้องแล้ว” “ไม่ให้กลับ จะกลับได้ยังไง ยังยั่วไม่ขึ้นเลย” “อาไวทย์! พูดบ้าอะไร ใครไปทำแบบนั้นกัน อาไวทย์! ปล่อยหนู ว้าย!” หนูหน่อยร้องลั่นเมื่อข้อมือเล็กถูกกระชากเข้าใกล้จนร่างเต่งตึงไปทุกสัดส่วนถลาขึ้นไปเกยอยู่บนอกของเขา ความอวบนูนของหล่อนเสี
“อาไวทย์… อื้อ… อย่า…” แค่เขาละปากออก หล่อนก็รีบประท้วง เพราะฝ่ามือของไวทย์กำลังเคลื่อนสู่เป้าหมายใหม่ หนูหน่อยดิ้นรน หล่อนเหมือนคนจมน้ำ เหมือนคนเป็นไข้ ต้องได้รับการรักษา หนาวร้อนสลับกัน จนต้องบดเบียดร่างกายเสียดสีเขา แต่สำนึกก็รู้ว่าสิ่งนี้จะไปต่อไม่ได้เด็ดขาด หล่อนต้องหยุดเขา เดี๋ยวนี้! “อาไวทย์... อย่า... อย่าค่ะ...” “อย่าไม่ไหว หนูหน่อยหอมเหลือเกิน หอม… อืม… หอม... หอมไปทุกที่... อืม...” “อ่ะ! อาไวทย์ไม่นะคะ” หล่อนสะดุ้งเพราะจมูกโด่งสูดดมเนื้อกายหล่อนไปทุกที่ ก่อนจะครางฮือ “ อื้อ… อย่าขยำ อื้อ… อาไวทย์…” หนูหน่อยสะท้าน เบิกตากว้างมองเพดานห้อง ความตั้งใจของหล่อนพังทลาย กำปั้นที่จะทุบกลับกลายเป็นผ่อนคลายและขยุ้มเนื้อผ้าบริเวณหัวไหล่เขา หล่อนใกล้ไร้สติเพราะฝ่ามือใหญ่กอบกุมเต้าอวบทั้งสองข้าง บีบและคลึงเคล้นอย่างที่หล่อนไม่เคยทำกับตัวเองมาก่อน แต่เขากำลังทำ ฝ่ามือของผู้ชายที่หล่อนรักเขาเหลือเกินกำลังแตะต้องหล่อน เขาบีบเคล้นหยอกเย้าทำราวกับว่าเต้าอวบของหล่อนเป็นซาลาเปาให้ขยำขยี้
“หนูหน่อยมานี่สิ เห็นมั้ย นี่หัว นี่ตัว ลูกม้าอายุครรภ์สองเดือนเขาก็จะมีการสร้างกระดูกแล้วนะ เห็นโครงกระดูกมั้ย ตรงนี้หัวใจ เห็นมั้ย หัวใจเขาเต้น โอเค... หัวใจเต้นสมบูรณ์เลย มีอะไรจะถามมั้ย สงสัย…” เขาหันหน้ามองหล่อน ใกล้จนจมูกแทบชนแก้มจนหล่อนต้องขยับออก เพราะนอกจากหล่อนกับเขา ที่นี่ก็ยังมีคนงานของฟาร์มยืนอยู่ด้วย และสายตาของพวกเขาก็เหมือนจะล้อเลียนหล่อนอยู่ในที แต่เมื่อหล่อนขยับออก คิ้วเข้มก็เลิกขึ้นสูงเป็นเชิงถามว่าหล่อนสงสัยอะไรไหม วินาทีนี้หล่อนอยากตีเขาสักป้าบ อาไวทย์ทำสีหน้าขี้ยั่วแบบนั้นเป็นตั้งแต่เมื่อไรกัน เมื่อวานตอนเช้ายังหน้าบึ้งใส่หล่อนอยู่แท้ๆ แต่เช้านี้ทั้งสายตา คำพูด กิริยาที่แสดงออกทั้งหมด นี่อาไวทย์ยั่วหล่อนเข้าแล้วใช่ไหม เขาเอาคืนหล่อนงั้นสิ “สรุปไม่สงสัยใช่มั้ย” อาไวทย์ชักมือออกจากก้นของแม่ม้า วางเครื่องตรวจลงในถาดรองเพื่อทำความสะอาด ปลดคลิปที่เสื้อเพื่อดึงถุงมือยาวออก หล่อนจึงต้องขยับเข้าไปช่วย “แล้วทำไมเราต้องทำอัลตร้าซาวด์แม่ม้าด้วยล่ะคะ” หล่อนถาม แน่นอนว่าเขายิ้มกรุ้มกริ่ม ส่วนห
“อาไวทย์พอค่ะ หยุดก่อน ซี้ด… พอ… หยุด… อื้อ… หนูหน่อยไม่ไหว ซี้ด… อื้อ… ไม่ไหว… อาไวทย์… อื้อ…” หนูหน่อยครวญครางในทุกจังหวะที่ดอกไม้บอบบางถูกรุกล้ำ ร่างของหล่อนเบาราวล่องลอยได้ หล่อนทั้งสุข เสียว อัดอั้นจนอยากจะกรีดร้องซ้ำๆ เพราะอาไวทย์ไม่ยอมหยุดเล่นลิ้น เสียงหล่อนร่ำร้องให้เขาหยุดไม่ต่างจากแรงกระตุ้นให้เขาไปต่อ และเมื่อความอัดอั้นทั้งหมดพังทลาย เสียงกรีดร้องแว่วหวานก็ดังขึ้นอีกครา ความซ่านเสียวพวยพุ่งกระจายไปทั้งร่าง ก่อนจะพุ่งตรงสู่กึ่งกลางกายตรงตำแหน่งของดอกไม้ที่ปลายลิ้นยังคงหยอกเย้ารัวเร็ว “อาไวทย์พอค่ะ ซี้ด… พอ… หนูหน่อยไม่ไหว ซี้ด… อื้อ… ไม่ไหว… อาไวทย์… อื้อ…” อีกครั้งที่หล่อนสั่งให้เขาหยุด แต่เขาหยุดไม่ได้ เขายังอยากกินหล่อนให้อิ่ม ไวทย์ยิ้มทั้งที่ริมฝีปากแนบชิดติดดอกไม้งาม เขาเข้าใจอาการที่หนูหน่อยเป็น หล่อนเสียวสุดกู่ แต่เขายังไม่อยากหยุด ยังมีอีกความเสียวที่เขาอยากให้หนูหน่อยสัมผัส ลิ้นร้อนแข็งแกร่งลากลงตามรอยแยกของกลีบดอก ก่อนจะเกร็งปลายลิ้นให้แข็ง สอดแทรกควงสว่านควานหาความหวานที่เอ่อออกมาจนชุ่ม และเพียงลิ้นร้อน
“อา… อาไวทย์ขา… ซี้ด… หนูหน่อยเสียวค่ะ อื้อ…” “ยังมีอีกหลายเสียว เสียวสนุก เสียวสุดยอด อาจะพาหนูหน่อยไปทุกที่ เริ่มล่ะนะ” “อื้อ…” หล่อนสะท้านเพราะริมฝีปากนั้นอ้าอมปลายยอดของหล่อนไว้ ดูดเบาๆ สลับกับอีกข้างที่ถูกปลายนิ้วแตะสัมผัสแผ่วๆ แตะๆ ติดๆ ห่างๆ ให้ความรับรู้ไม่ต่างจากอีกข้างที่ถูกริมฝีปากดูดดุน ก่อนที่ใบหน้าหล่อจะคลุกเคล้าลงที่เต้าอวบทั้งสองข้างสลับกันไปมา ลากเคราสากเสียดสีจนหล่อนห่อไหล่ อาไวทย์เอื้อมมือปรับระดับน้ำจากฝักบัวให้เบาสุด หยาดน้ำที่ตกกระทบร่างกายเขากับหล่อนจึงเป็นเพียงละอองน้ำบางเบาพอให้ชุ่มฉ่ำกาย หากแต่เร่งเร้าความเร่าร้อนให้เพิ่มมากขึ้น ริมฝีปากของอาไวทย์ลากลงต่ำ จูบเบาๆ บนหน้าท้องจนหล่อนเกร็งไปทั้งร่าง มือจับราวเหล็กแน่น ผ่อนปรนลมหายใจออก หล่อนกำลังจะขาดใจเมื่อริมฝีปากของเขาพรมจูบไปทั่ว “อ้า… อาไวทย์ขา… อื้อ… อาไวทย์! อื้อ… เสียว… หนูหน่อยเสียว… อื้อ…” “หนูหน่อยหอม” “อื้อ… อาไวทย์!” ความเสียวจู่โจมหล่อนจนทนไม่ไหว ผ่อนลมหายใจยาว เมื่อริมฝีปากของเขาก
“อา… อาไวทย์ อาไวทย์พูดอะไรคะ” “อาไวทย์บอกว่า… อาไวทย์รักหนูหน่อย” “จะเป็นไปได้ยังไงคะ อาไวทย์เกลียดหนูหน่อยจะตาย อาไวทย์ไม่อยากให้หนูเข้าใกล้ อาไวทย์ไม่เต็มใจให้หนูมาอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ และอาไวทย์ก็…” คำพูดราวจะกลืนหายไปกับสายน้ำที่ตกกระทบใบหน้า เพราะดวงตาคู่คมที่มองมาคือหวานสุด ฝ่ามือของเขาประคองใบหน้าหล่อน จนความร้อนพลุ่งพล่าน นี่หล่อนกำลังฝันซ้อนฝันหรือเปล่า ความสุขที่ได้รับจากเขาเมื่อคืน และคำสารภาพรักในเวลานี้ จะเป็นไปได้ยังไงที่ ‘นายสัตวแพทย์ไวทย์’ จะมารักเด็กอายุ 18 ย่าง 19 อย่างหล่อน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ อาไวทย์ไม่เคยแสดงออกว่าชอบพอหล่อนด้วยซ้ำ คงมีเพียงครั้งแรกที่ได้พบกันเท่านั้น ครั้งที่ลูกนกตกจากรัง แค่นั้นที่ดวงตาอ่อนโยนปลอบประโลม นอกนั้นก็เป็นอย่างทุกวัน หล่อนคงฝันไปและหล่อนควรตื่นได้แล้ว หนูหน่อยหลับตา มือขวาเคลื่อนมาที่ต้นแขนซ้าย หนีบเนื้อเพียงนิดและหยิกอย่างแรง “โอ๊ย!!” เจ็บ! หล่อนเจ็บจนดวงตาเบิกกว้าง และก็ได้เห็นรอยยิ้มล้อเลียนของคนตรงหน้า “หนูหน่อยไม่ได้ฝันไปหรอก นี่อาไวทย์
หนูหน่อยสะดุ้งหันมองเขาก่อนจะหลุบสายตาลงต่ำ เพราะน้ำตาจะร่วงและไม่กล้ามอง ก็ร่างแข็งแกร่งนั้นมีเพียงผ้าเช็ดตัวพันท่อนล่างอย่างหมิ่นเหม่ ส่วนท่อนบนมีหยาดน้ำพร่างพราว เขายังไม่ได้เช็ดตัว “บอกให้ไปอาบน้ำ” น้ำเสียงห้วนทำให้หนูหน่อยต้องช้อนตามอง เขาหมายความว่าอะไร ก็หล่อนกำลังจะไปอาบน้ำ “บอกให้ไปอาบน้ำ ได้ยินมั้ย” สายตาที่สื่อมาคือห้องน้ำของเขา หนูหน่อยส่ายหน้าดิก เขาเห็นหล่อนเป็นอะไร คิดว่าหล่อนไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไง หล่อนรีบเดินตรงไปที่ประตู จะไม่ฟังคำสั่งเขา ทว่าฝ่ามือแข็งที่คว้าท่อนแขนทำให้หล่อนต้องหยุดเดิน “ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง ฉันบอกให้ไปอาบน้ำ” “ไม่!” “ไม่อะไร ฉันสั่งและเธอต้องทำตาม” “ไม่! หนูหน่อยไม่ทำตาม ไม่ทำ!” หล่อนเสียงดัง ริมฝีปากสั่นระริก น้ำตาพรั่งพรู เขาทำร้ายหัวใจหล่อนมากเกินไป ‘รัก… รัก… หนูหน่อยรัก… รักอาไวทย์…’ แว่วเสียงหล่อนสารภาพว่า ‘รัก’ เขาดังซ้ำเข้ามาในความคิด เขารู้แล้วว่าหล่อนรักเขา เขาจึงทำกับหล่อนแบบนี้ใช่ไหม หล่
เสียงไก่ขันดังแว่วมาคือสัญญาณว่าหล่อนควรจะตื่นได้สักที แต่วันนี้หล่อนเหนื่อยจนไม่อยากตื่น หล่อนอยากนอนอยู่บนที่นอนนุ่มแบบนี้ แต่หากขืนหล่อนตื่นช้าและเข้าไปในฟาร์มสาย มีหวังอาไวทย์คงหน้าบูดใส่หล่อนทั้งวันแน่ หนูหน่อยนิ่วหน้า พ่นลมหายใจออกจากปากเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ทว่าห้องนอนของหล่อนมีบางสิ่งผิดปกติ แม้เตียงจะเหมือน ผ้าห่มเหมือน โต๊ะ ตู้เสื้อผ้าเหมือนกัน แต่… ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่ห้องนอนของหล่อน โดยเฉพาะเสียงน้ำจากฝักบัวที่ดังต่อเนื่อง ใครอาบ… ในเมื่อหล่อนยังนอนอยู่ที่นี่ ดวงตาสวยหวานเบิกกว้าง สติสตังพร่าเลือนกลับคืนมา รับรู้สัมผัสจากผ้าห่มนวมแนบกับเรือนร่างคือหล่อนไม่ได้ใส่อะไรเลย แต่นั่นไม่ชัดเท่าหล่อนเปิดออกดู แม้สำนึกจากร่างกายจะบอกว่าหล่อนไม่ได้บุบสลาย แต่สัมผัสครั้งแรกที่ถูกสอดแทรก… มือป้องปากกันเสียงอุทานจะหลุดรอด เมื่อเห็นจ้ำแดงกระจายมากมายบนเนินอก ทุกสิ่งที่เขาทำกับหล่อนวิ่งวนฉายอยู่ในหัวเป็นฉากๆ ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะมาจากหล่อนเต็มใจหรือถูกเขาล่อลวงหัวใจให้ถลำลึก ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเกิดมากเกิดน้อย ไม่ว่าเขาจะสัมผัสหล่อนม
“อาไวทย์… อาไวทย์ขา… อื้อ… เสียว… หนูหน่อยเสียว… อาไวทย์ขา… อื้อ… อาไวทย์…” เสียงครางกระเส่าอ่อนแรงน่าสงสารทำให้ไวทย์ขยับกายขึ้นคร่อม เขาลูบเรือนผมที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อทั้งที่อากาศยามค่ำคืนไม่ได้ร้อนเลยสักนิด เปลือกตาสวยหลับพริ้ม ใบหน้าส่ายไปมา ริมฝีปากอ้าค้างผ่อนลมหายใจ และทรวงอกอวบก็สะท้านขึ้นลงอย่างเหนื่อยอ่อน “อาไวทย์ขา…” “ขา…” เสียงทุ้มที่ตอบกลับทำให้สติของหนูหน่อยกลับคืน หล่อนเปิดเปลือกตาอย่างเร็วก่อนจะเบิกกว้างเมื่อเห็นใบหน้าของเขาลอยอยู่ตรงหน้า “ไง… เห็นผีเหรอ แต่ฉันเห็น… หมี... ตัวสีชมพู” “อาไวทย์… ปะ… ปล่อยหนูนะ!” แรงที่มีทั้งหมดแม้จะน้อยนิดแต่หนูหน่อยก็พยายามจะผลักเขาออก แต่คนที่หัวเราะในลำคอทั้งที่คร่อมร่างหล่อนเอาไว้กลับไม่สะเทือนเลย นั่นทำให้แรงสะอื้นฮึกฮักเริ่มก่อตัวขึ้นในอก หล่อนจะทำอะไรได้ในเวลานี้ เขา… แตะต้องหล่อนหมดแล้ว ไม่มีจุดใดไปไม่ถึง “ได้โปรด… ปล่อยหนูเถอะ อย่าทำกับหนูแบบนี้” “แบบนี้น่ะแบบไหน” “ก็… อาไวทย์!” หนูหน่อยปากคอสั่น เ
ช่องทางด้านในเป็นความอัศจรรย์ครั้งแรกสำหรับหล่อน ไม่เคยรู้เลยว่ามันจะตอดรัดบีบรัดตัวตนได้มากขนาดนี้ ไม่รู้เลยว่ายามที่ปลายลิ้นของเขาแตะสัมผัส จะสร้างความเสียดเสียวจนหล่อนครวญครางเป็นความน่าละอายได้ไม่หยุด และไม่รู้เลยว่า ‘ลิ้น’ จะให้ความรู้สึกได้ดีขนาดนี้ แต่ตอนนี้หล่อนรู้ทุกสิ่งแล้ว “อา… อาไวทย์ขา… ซี้ด… หนูหน่อยเสียว… อื้อ… อาไวทย์ขา… หนูหน่อยเสียว… ซี้ด… อ้า… อาไวทย์ทำอะไรหนูหน่อยเนี่ย โอย… เสียว… อื้อ…” เสียงร่ำร้องแว่วหวานดุจคนท่วมท้นในอารมณ์สร้างรอยยิ้มบนใบหน้าให้กับไวทย์ ยิ่งหล่อนร่ำร้องมากเท่าไร นั่นก็ยิ่งเพิ่มความเสียดเสียวให้เขามากเท่านั้น ฝ่ามือช้อนใต้สะโพกยกบั้นท้ายให้ลอยสูง ปลดปล่อยดอกไม้งามเบ่งบานได้อย่างเต็มที่ และทันทีที่ดอกไม้ค่อยๆ แย้มบาน ไวทย์ก็ต้องตะลึง เพราะหนูหน่อยงดงามเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้จริงๆ ดอกไม้แสนงามดูบอบบาง น่ารัก น่าทะนุถนอม น่าสัมผัส จับจูบลูบคลำ ลงลิ้นเลียไล้และกระแทกกระทั้นด้วยความหนักหน่วงลงไปพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะยอดเกสรสีชมพูสดที่ถูกเคลือบไว้ด้วยความหยาดเยิ้ม เขาอดไม่ได้จะคิดไปถึงเม็ดทั
“อื้อ… อาไวทย์! อื้อ… ไม่… ไม่นะ… อื้อ… เสียว… โอว… หนูเสียว…” ฝ่ามืออุ่นจัดเคลื่อนไปบนสะโพกลูบไล้ความรุ่มร้อนส่งน้ำหนักลงไป นั่นกลับยิ่งทำให้หนูหน่อยสั่นไปทั้งร่าง เพราะฝ่ามือและปลายนิ้วเข้าใกล้จุดที่หล่อนต้องการได้รับการเติมเต็ม “อาไวทย์… อื้อ… อาไวทย์…” หล่อนทำได้เพียงร่ำร้องเรียกชื่อเขา หัวใจหวิวโหวงเพราะคาดเดาได้ว่าเขากำลังจะทำอะไร ในเมื่อปลายลิ้นนั้นกระทำกับยอดอกของหล่อนมาแล้ว ต่อจากนี้ก็คงจะเป็นจุดนั้น ทว่าหล่อนกลับสะท้านไปทั้งร่างเมื่อปลายลิ้นร้อนจ้วงแทงลงไปในร่องสะดือพร้อมตวัดเลียไล้รัวเร็ว “อ๊ายยยยย...” หนูหน่อยกรีดร้องดิ้นพล่านเพราะความเสียดเสียวเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นจนหล่อนไม่รู้แล้วว่าจะมีสิ่งใดเสียวกว่านี้อีก แต่ ณ จุดนั้นก็ร่ำร้องอยากให้เขาไปหา สะโพกของหล่อนแอ่นเข้าหามือเขาอย่างไม่รู้ตัว ณ จุดนั้นราวเรามีเข็มนับสิบนับร้อยเล่มกระหน่ำใส่ กดย้ำย้ำให้หล่อนทั้งแสบทั้งคันจนต้องบดเบียดต้นขาเข้าหากันเพื่อบรรเทาอาการ ปากก็ร่ำร้องถึงความเสียดเสียวที่เขากระหน่ำใส่ร่างกายหล่อนไม่หยุด “ซี้ด... อื้อ... อา