“สวัสดีค่ะน้าปัถย์ ลุงปูรณ์”
เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กสาวหน้าแฉล้มเปล่งทักทายทันทีที่เห็นหน้ากันชัดๆ ทว่าคนถูกเรียกไม่ได้ยินดีสักนิด ปูรณ์เม้มปากหน้านิ่ง ส่วนปัถย์เปลี่ยนเป็นขรึมตามพี่ชาย คิดโกรธคนที่ทำให้หนูหน่อยเรียกพวกเขาแบบนี้
“ทำ… ทำไมอาไวทย์เมาแบบนี้ล่ะคะ”
“ครายเมา… ม่ายเมาสักนิด แค่สนุกนิดหน่อย เอิ้ก! จริงมั้ยปัถย์ พี่ปูรณ์”
คนปฏิเสธความเมาหันถามคนด้านข้างทั้งสอง ก่อนจะหันมองเจ้าของหน้าจิ้มลิ้มที่ยืนอยู่ด้านหน้า รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดวาบบนใบหน้า สายตาไล่มองต่ำลงต่ำลงเรื่อยๆ จากใบหน้าสู่ปลายคาง สู่ทรวงอก และไปถึงหน้าท้อง จนหนูหน่อยสะท้านเฮือก ฝ่ามือกระชับสาบเสื้อคลุมชุดนอนเข้าหากันอัตโนมัติ ทั้งหมดนั้นปูรณ์กับปัถย์เห็น
“อย่าเพิ่งถามเลย หนูหน่อยนำไปที่ห้องของนายไวทย์เถอะ ฉันกับนายปัถย์จะพาไปส่งถึงห้อง ไม่งั้นหนูหน่อยพาไปไม่ไหวแน่”
“ค่ะ ลุงปูรณ์กับน้าปัถย์ ตามหนูหน่อยมาทางนี้นะคะ”
หนูหน่อยหันหลังเดินนำไป จึงไม่ทันเห็นใบหน้าตึงๆ ของสุดหล่อสองพี่น้อง ต่างฝ่ายต่างคิดไปคนละอย่าง ปัถย์คิดหาทางแก้เผ็ดคนที่สอนให้หนูหน่อยเรียกเขาเบบนี้ ส่วนปูรณ์นั้นคิดไปถึงคอร์สนวดหน้าที่เขาหลวมตัวซื้อช่วยญาติไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เห็นทีคงได้ใช้บริการสักที
.
.
ห้องนอนขนาดใหญ่อยู่ทางปีกซ้ายของตัวบ้านคือวิมานของไวทย์ ห้องที่ไวทย์สั่งห้ามขาด ห้ามหนูหน่อยมาเฉียดใกล้เพราะเขากับหล่อนแบ่งพื้นที่กันชัดเจนแล้ว หนูหน่อยใช้พื้นที่ทางด้านปีกขวาทั้งหมด ส่วนเขาก็ใช้พื้นที่ทางด้านปีกซ้ายทั้งหมดเช่นเดียวกัน มีแค่ห้องนั่งเล่นและห้องครัวเท่านั้นที่ใช้ร่วมกันได้ นอกนั้นห้ามยุ่ง! แต่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดูราวหมอไวทย์สุดหล่อจะใช้แค่พื้นที่ในห้องนอนตัวเองเท่านั้น เขาไม่เฉียดไปใช้อะไรร่วมกับหล่อนสักนิด แต่ตอนนี้หนูหน่อยได้มีโอกาสเข้ามาในห้องนี้เป็นครั้งแรก
ดวงตาสวยหวานมองสิ่งรอบด้านแบบตื่นๆ เพราะนอกจากพ่อ นี่คือห้องนอนของผู้ชายคนแรกที่หล่อนได้เห็นและยังเป็นห้องนอนของผู้ชายที่หล่อนแอบชอบมาตั้งแต่อายุ 10 ปี หล่อนเฝ้าฝันถึงวันที่จะได้ใกล้ชิดกับเขา จนตอนนี้หล่อนได้มีโอกาส แต่เขากลับทำเหมือนหล่อนเป็นตัวปัญหา ทุกสิ่งทุกอย่างดูราวจะกันหล่อนออกห่างจากเขาทุกทาง ทั้งที่พ่อกับอาวิวสั่งนักหนาให้เขาคอยดูแลหล่อนให้ดี แต่เขาล่ะ...
ตั้งแต่หล่อนมาอยู่ที่นี่ หล่อนไม่เคยเห็นเขากลับบ้านก่อนตะวันตกดินเลย เขาคอยจะหลบหน้าหล่อนทุกทาง มีเพียงช่วงเวลาทำงานเท่านั้นที่เขาให้หล่อนเข้าใกล้เพราะเขาต้องคอยสอนงาน ซึ่งหล่อนก็เข้าใจดีว่านั่นคือหน้าที่ หากว่าหล่อนไม่ได้รู้สึกอะไรพิเศษกับเขา ประโยชน์ก็คงจะตกอยู่กับหล่อน เพราะนายสัตวแพทย์ไวทย์สอนงานหล่อนได้เป็นอย่างดี เขาให้หล่อนทำไปพร้อมๆ กับสอน นั่นทำให้หล่อนเรียนรู้งานได้ดีและพอจะมองออกว่าชีวิตนักศึกษาต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง หล่อนจะต้องเผชิญกับอะไร และตกช่วงเย็นเขาก็ให้หล่อนมีอิสระในการใช้พื้นที่ใช้สอยในบ้านหลังนี้ได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ก้าวก่ายกันและกัน
แต่เพราะหล่อนอยากให้เขาก้าวก่าย สิ่งที่เกิดขึ้นแม้จะเป็นประโยชน์ แต่หล่อนกลับไม่ต้องการ เพราะหล่อนรู้ดีว่าเป้าหมายของการมาอยู่ที่นี่คืออะไร การศึกษางานจริงก่อนเริ่มเรียนคือผลพลอยได้ แต่สิ่งที่หล่อนตั้งใจมาทำก็คือได้ใกล้ชิดกับเขา ซึ่งตรงนี้พ่อกับอาวิวก็รับทราบแล้วด้วย
‘พ่อไม่ห้ามหนูหน่อยเหรอคะ ที่คิดแบบนี้’
‘ไม่… เพราะพ่อรู้จักลูกสาวตัวเองดี ถ้าหนูหน่อยคิดจะทำแบบนั้น พ่อก็ไม่ห้าม แม้มันจะแปลกๆ ไปหน่อยก็ตาม’
แน่ล่ะแปลกแน่เพราะหล่อนบอกพ่อว่า อยากค้นพบหัวใจตัวเองก่อนที่จะเริ่มเรียนในระดับชั้นอุดมศึกษาเพราะหมอไวทย์คือคนจุดประกายความฝันให้หล่อนอยากเป็นสัตวแพทย์ หล่อนเห็นเขาเป็นฮีโร่ในดวงใจตั้งแต่เมื่อ 8 ปีก่อน
ในเวลานั้นพ่อของหล่อนแต่งงานกับพี่สาวของหมอไวทย์
ณ เวลานั้นเขายังเป็นสัตวแพทย์มือใหม่ แต่เขากลับสร้างความประทับใจให้กับหล่อน ด้วยการช่วยปฐมพยาบาลลูกนกตกจากบนต้นไม้ เขาขับรถพาหล่อนและเจ้านกน้อยไปส่งถึงคลินิกรักษาสัตว์ในเมือง
หล่อนมองเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่สื่อสารกับคุณหมอในคลินิก ภาษาหมอที่สื่อสารกันบอกเล่าอาการของเจ้านกน้อยทำให้หล่อนทึ่ง แต่ไม่ใช่เพราะภาษาอังกฤษพวกนั้นหรอก ที่หล่อนทึ่งก็คือ น้ำเสียงอ่อนโยนและนิ้วมือที่ลูบสัมผัสเจ้านกน้อยอย่างทะนุถนอมต่างหาก เวลานั้นหล่อนอยากเป็นนก
ความรักที่หล่อนฟูมฟักในหัวใจโดยมี ‘วิเวียน’ แม่เลี้ยงของหล่อนและเป็นพี่สาวของหมอไวทย์รับรู้ แต่อาวิวก็บอกว่าถ้าหล่อนอยากสานต่อความฝันกับหมอไวทย์หล่อนต้องตั้งใจเรียน
ในตอนนั้นความที่หล่อนยังเด็ก หล่อนจึงคิดว่าอาวิวสนับสนุน แต่เมื่อโตขึ้นหล่อนถึงได้รู้ว่านั่นคือกุศโลบายของผู้ใหญ่ที่อยากให้หล่อนหันไปตั้งใจเรียนมากกว่าอย่างอื่น ซึ่งหล่อนก็ทำได้สำเร็จ และตอนนี้หล่อนขอทำตามความฝันของตัวเองสักที
‘แล้วอาวิวล่ะคะ หนูหน่อยทำให้อาวิวผิดหวังหรือเปล่า’
‘อาไม่เคยผิดหวังกับสิ่งที่หนูหน่อยทำนะลูก แต่หนูต้องเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเอง แม้อาไวทย์จะเป็นน้องชาย แต่หนูหน่อยเป็นลูก อาห่วงหนูมากกว่า หนูหน่อยต้องสัญญากับอา ว่าหนูหน่อยจะไม่พาตัวเองไปเสี่ยงเด็ดขาด ถ้าสถานการณ์ไม่ดี หนูต้องถอย ห้ามรุกก่อนเด็ดขาด หนูหน่อยเข้าใจที่อาพูดมั้ย เพราะชีวิตคู่มันต้องเริ่มต้นจากความรักนะลูก ไม่ใช่เซ็กซ์’
‘หนูหน่อยจะจำไว้ให้ดีค่ะ’
หล่อนโชคดีที่พ่อแต่งงานกับอาวิว เพราะอาวิวเป็นแม่เลี้ยงที่ดีที่สุดในโลก แล้วเรื่องที่หล่อนจะมาอยู่กับหมอไวทย์ พ่อหล่อนดูราวจะไม่ทุกข์ร้อน มีแต่อาวิวที่สอนหล่อนสารพัด สอนให้หล่อนหวงเนื้อหวงตัว อย่ายอมให้ไวทย์ใกล้ชิดจนเกินงาม แต่อาวิวจะรู้บ้างไหมว่าหล่อนไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดเขาสักครั้ง แต่ยิ่งเขาหมางเมิน หล่อนกลับอยากใกล้เขาให้มากที่สุด “หนูหน่อย ดูแลไวทย์ด้วยล่ะกัน” หนูหน่อยสะดุ้งเล็กน้อยตื่นจากภวังค์ ก่อนจะยิ้มหวานให้กับลุงและน้าของเพื่อน เพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินจนไม่ทันมองว่าหมอไวทย์นอนที่เตียงกว้างเรียบร้อยแล้ว และสภาพของคนเมาก็ดูราวจะสิ้นฤทธิ์ “หนูหน่อยเช็ดตัวเป็นมั้ย” คำถามของปูรณ์ ทำให้ปัถย์และหนูหน่อยหันมองเขา ก่อนที่ปัถย์จะทำหน้าเฉยๆ นั่นคือหนูหน่อยจะต้องเป็นคนตอบคำถาม “ปะ… เป็นค่ะ” “อย่างนั้น อืม… เช็ดแค่หน้าพอนะ ให้มันสดชื่นหน่อยก็พอ ไม่ต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามันล่ะ ให้มันนอนเหนียวตัวแบบนี้แหละ ดันดื่มไม่คิด ต่อไปมันจะได้จำ ไม่ระบายอารมณ์กับเหล้าอีก” “เออ… อาไวทย์มีเรื่องกลุ้มเหรอคะ” “
หนูหน่อยแตะฝ่ามือที่ประตูตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน สูดลมหายใจเข้าลึกรวบรวมความกล้า หล่อนกำลังก้าวล้ำความเป็นส่วนตัวของเขาอีกก้าว ห้องแต่งตัวของชายโสดไม่เหมือนอย่างที่หล่อนเคยคิดเอาไว้สักนิด เพราะคุณหมอไวทย์ค่อนข้างจะเรียบร้อยหรือนั่นอาจเพราะมีแม่บ้านมาคอยจัดเตรียมเสื้อผ้าเอาไว้ให้ก็เป็นไปได้ เสื้อผ้าถึงได้ถูกจัดเรียงเป็นระเบียบไม่รกและล้นออกมาด้านนอกตู้ ตู้แรกเป็นเสื้อยืดสีขาวที่หล่อนเห็นเขาใส่เป็นเสื้อตัวในทุกวัน ด้านล่างเป็นกางเกงชั้นในและกางเกงบ๊อกเซอร์ซึ่งถูกพับเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ผิวแก้มร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงประโยชน์ใช้สอยของกางเกงเหล่านี้ จริงอยู่ว่าเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ ก็สวมกางเกงในกันทั้งนั้น แต่หล่อนไม่เคยอยู่ใกล้ชิดกางเกงในของผู้ชายคนไหนมาก่อนเลยนี่นา เห็นใกล้ๆ จำนวนเป็นโหลแบบนี้ หล่อนจะไม่อายได้อย่างไร แต่ต้องสะกดใจ หล่อนต้องการเพียงผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กที่จะซับน้ำได้เท่านั้น มือเปิดช่องลิ้นชักเหนือชั้นกางเกงใน เป็นไปได้ว่าช่องนี้อาจเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนุ่มขนาดเล็กเอาไว้เพราะว่าโซนนี้เป็นโซนชุดชั้นใน ทว่าเพียงลิ้นชัก
“อาไวทย์!” หนูหน่อยชักข้อมือออกแต่อาไวทย์ก็ยื้อไว้แน่นไม่ยอมปล่อย นั่นทำให้คำเตือนของอาวิวแวบเข้ามาในหัว หล่อนกำลังจะพลาด แต่หล่อนไม่ยอมแน่ “อาไวทย์ นี่หนูหน่อยนะคะ มองหน้าค่ะ มองหน้า!” หนูหน่อยเสียงดัง ชี้หน้าตัวเองให้ไวทย์มองหน้าหล่อนให้ชัดๆ “รู้น่า… ว่าหนูหน่อย นมโตขนาดนี้ใครจะไปลืมได้ เห็นใกล้ๆ แบบนี้ก็ยิ่งโต โตโต๊โต… โอ้โห… อยากจับจัง จะนุ่ม แน่น สู้มือขนาดไหน อูย... ถ้าได้ดูด ซี้ด... คงจะมันส์ลิ้น โอ้ว! บักแตงโม!” “อาไวทย์!” หนูหน่อยกอดอกตัวเองทันที เพราะอาไวทย์ของหล่อนน่าจะเมาได้ที่ ไม่งั้นคงไม่พูดทะลึ่ง ใช้น้ำเสียงกระเส่า ดวงตาหื่นกระหาย พร้อมแลบลิ้นออกมาเลียปากอย่างนั้นแน่ “อาไวทย์เมาแล้วก็นอนเถอะค่ะ หนูจะกลับห้องแล้ว” “ไม่ให้กลับ จะกลับได้ยังไง ยังยั่วไม่ขึ้นเลย” “อาไวทย์! พูดบ้าอะไร ใครไปทำแบบนั้นกัน อาไวทย์! ปล่อยหนู ว้าย!” หนูหน่อยร้องลั่นเมื่อข้อมือเล็กถูกกระชากเข้าใกล้จนร่างเต่งตึงไปทุกสัดส่วนถลาขึ้นไปเกยอยู่บนอกของเขา ความอวบนูนของหล่อนเสี
“อาไวทย์… อื้อ… อย่า…” แค่เขาละปากออก หล่อนก็รีบประท้วง เพราะฝ่ามือของไวทย์กำลังเคลื่อนสู่เป้าหมายใหม่ หนูหน่อยดิ้นรน หล่อนเหมือนคนจมน้ำ เหมือนคนเป็นไข้ ต้องได้รับการรักษา หนาวร้อนสลับกัน จนต้องบดเบียดร่างกายเสียดสีเขา แต่สำนึกก็รู้ว่าสิ่งนี้จะไปต่อไม่ได้เด็ดขาด หล่อนต้องหยุดเขา เดี๋ยวนี้! “อาไวทย์... อย่า... อย่าค่ะ...” “อย่าไม่ไหว หนูหน่อยหอมเหลือเกิน หอม… อืม… หอม... หอมไปทุกที่... อืม...” “อ่ะ! อาไวทย์ไม่นะคะ” หล่อนสะดุ้งเพราะจมูกโด่งสูดดมเนื้อกายหล่อนไปทุกที่ ก่อนจะครางฮือ “ อื้อ… อย่าขยำ อื้อ… อาไวทย์…” หนูหน่อยสะท้าน เบิกตากว้างมองเพดานห้อง ความตั้งใจของหล่อนพังทลาย กำปั้นที่จะทุบกลับกลายเป็นผ่อนคลายและขยุ้มเนื้อผ้าบริเวณหัวไหล่เขา หล่อนใกล้ไร้สติเพราะฝ่ามือใหญ่กอบกุมเต้าอวบทั้งสองข้าง บีบและคลึงเคล้นอย่างที่หล่อนไม่เคยทำกับตัวเองมาก่อน แต่เขากำลังทำ ฝ่ามือของผู้ชายที่หล่อนรักเขาเหลือเกินกำลังแตะต้องหล่อน เขาบีบเคล้นหยอกเย้าทำราวกับว่าเต้าอวบของหล่อนเป็นซาลาเปาให้ขยำขยี้
“อ่ะ! อาไวทย์ไม่นะคะ ไม่นะ… อา… อื้อ…” หนูหน่อยแอ่นอกขึ้นสูง แผ่นหลังลอยขึ้นจากที่นอนจนเขาแทรกฝ่ามือเข้ามาได้ ปากที่อ้าออกจะร้องประท้วงถูกทาบปิดด้วยความอ่อนหวาน หวานจนหล่อนสะท้าน แม้จะรับรู้ทุกขณะที่ฝ่ามือของเขาลากลงต่ำ แต่นั่นคือความเสียวที่หล่อนไม่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไร “อื้อ…” ความอัดอั้นมากมายทว่าหล่อนกลับผ่านเสียงในลำคอได้เพียงเท่านั้น เพราะลิ้นร้อนอ่อนหวานที่แตะสัมผัสอยู่ไม่ปล่อยให้หล่อนได้พูดอะไรเลย หรือถ้าปากหล่อนว่างหล่อนก็คงจะครวญครางทุกสิ่งที่ใจคิดออกมา เพราะตอนนี้หล่อนเสียวเหลือเกิน เสียวจนไม่รู้ว่าความเสียวอย่างมากมายนี้จะไปสิ้นสุดลงที่จุดไหน สมองรับรู้เพียงสะท้านไปทั้งกาย จนหล่อนอยากกรีดร้อง อยากพ่นคำพูดแปลกๆ ตามใจนึกออกไป ทั้งที่หล่อนไม่เคยมีคำเหล่านั้นอยู่ในหัว ‘อาไวทย์ขา… ซี้ด… หนูหน่อยเสียว…’ สมองมึงงงมีแต่คำนี้วิ่งวนไปมา หล่อนอยากร่ำร้องคำนี้ อยากบอกเขาให้รู้ อยากบอกเขาว่าจูบที่ปาก สัมผัสที่เต้าอวบ แต่ส่งผลถึงเวิ้งน้ำกว้างไกลในร่างกายของหล่อน ที่จุดนั้นของหล่อนตอดรัดบีบแน่น ราวรอบางสิ่งบางอย่า
“อื้อ… อาไวทย์! อื้อ… ไม่… ไม่นะ… อื้อ… เสียว… โอว… หนูเสียว…” ฝ่ามืออุ่นจัดเคลื่อนไปบนสะโพกลูบไล้ความรุ่มร้อนส่งน้ำหนักลงไป นั่นกลับยิ่งทำให้หนูหน่อยสั่นไปทั้งร่าง เพราะฝ่ามือและปลายนิ้วเข้าใกล้จุดที่หล่อนต้องการได้รับการเติมเต็ม “อาไวทย์… อื้อ… อาไวทย์…” หล่อนทำได้เพียงร่ำร้องเรียกชื่อเขา หัวใจหวิวโหวงเพราะคาดเดาได้ว่าเขากำลังจะทำอะไร ในเมื่อปลายลิ้นนั้นกระทำกับยอดอกของหล่อนมาแล้ว ต่อจากนี้ก็คงจะเป็นจุดนั้น ทว่าหล่อนกลับสะท้านไปทั้งร่างเมื่อปลายลิ้นร้อนจ้วงแทงลงไปในร่องสะดือพร้อมตวัดเลียไล้รัวเร็ว “อ๊ายยยยย...” หนูหน่อยกรีดร้องดิ้นพล่านเพราะความเสียดเสียวเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นจนหล่อนไม่รู้แล้วว่าจะมีสิ่งใดเสียวกว่านี้อีก แต่ ณ จุดนั้นก็ร่ำร้องอยากให้เขาไปหา สะโพกของหล่อนแอ่นเข้าหามือเขาอย่างไม่รู้ตัว ณ จุดนั้นราวเรามีเข็มนับสิบนับร้อยเล่มกระหน่ำใส่ กดย้ำย้ำให้หล่อนทั้งแสบทั้งคันจนต้องบดเบียดต้นขาเข้าหากันเพื่อบรรเทาอาการ ปากก็ร่ำร้องถึงความเสียดเสียวที่เขากระหน่ำใส่ร่างกายหล่อนไม่หยุด “ซี้ด... อื้อ... อา
ช่องทางด้านในเป็นความอัศจรรย์ครั้งแรกสำหรับหล่อน ไม่เคยรู้เลยว่ามันจะตอดรัดบีบรัดตัวตนได้มากขนาดนี้ ไม่รู้เลยว่ายามที่ปลายลิ้นของเขาแตะสัมผัส จะสร้างความเสียดเสียวจนหล่อนครวญครางเป็นความน่าละอายได้ไม่หยุด และไม่รู้เลยว่า ‘ลิ้น’ จะให้ความรู้สึกได้ดีขนาดนี้ แต่ตอนนี้หล่อนรู้ทุกสิ่งแล้ว “อา… อาไวทย์ขา… ซี้ด… หนูหน่อยเสียว… อื้อ… อาไวทย์ขา… หนูหน่อยเสียว… ซี้ด… อ้า… อาไวทย์ทำอะไรหนูหน่อยเนี่ย โอย… เสียว… อื้อ…” เสียงร่ำร้องแว่วหวานดุจคนท่วมท้นในอารมณ์สร้างรอยยิ้มบนใบหน้าให้กับไวทย์ ยิ่งหล่อนร่ำร้องมากเท่าไร นั่นก็ยิ่งเพิ่มความเสียดเสียวให้เขามากเท่านั้น ฝ่ามือช้อนใต้สะโพกยกบั้นท้ายให้ลอยสูง ปลดปล่อยดอกไม้งามเบ่งบานได้อย่างเต็มที่ และทันทีที่ดอกไม้ค่อยๆ แย้มบาน ไวทย์ก็ต้องตะลึง เพราะหนูหน่อยงดงามเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้จริงๆ ดอกไม้แสนงามดูบอบบาง น่ารัก น่าทะนุถนอม น่าสัมผัส จับจูบลูบคลำ ลงลิ้นเลียไล้และกระแทกกระทั้นด้วยความหนักหน่วงลงไปพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะยอดเกสรสีชมพูสดที่ถูกเคลือบไว้ด้วยความหยาดเยิ้ม เขาอดไม่ได้จะคิดไปถึงเม็ดทั
“อาไวทย์… อาไวทย์ขา… อื้อ… เสียว… หนูหน่อยเสียว… อาไวทย์ขา… อื้อ… อาไวทย์…” เสียงครางกระเส่าอ่อนแรงน่าสงสารทำให้ไวทย์ขยับกายขึ้นคร่อม เขาลูบเรือนผมที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อทั้งที่อากาศยามค่ำคืนไม่ได้ร้อนเลยสักนิด เปลือกตาสวยหลับพริ้ม ใบหน้าส่ายไปมา ริมฝีปากอ้าค้างผ่อนลมหายใจ และทรวงอกอวบก็สะท้านขึ้นลงอย่างเหนื่อยอ่อน “อาไวทย์ขา…” “ขา…” เสียงทุ้มที่ตอบกลับทำให้สติของหนูหน่อยกลับคืน หล่อนเปิดเปลือกตาอย่างเร็วก่อนจะเบิกกว้างเมื่อเห็นใบหน้าของเขาลอยอยู่ตรงหน้า “ไง… เห็นผีเหรอ แต่ฉันเห็น… หมี... ตัวสีชมพู” “อาไวทย์… ปะ… ปล่อยหนูนะ!” แรงที่มีทั้งหมดแม้จะน้อยนิดแต่หนูหน่อยก็พยายามจะผลักเขาออก แต่คนที่หัวเราะในลำคอทั้งที่คร่อมร่างหล่อนเอาไว้กลับไม่สะเทือนเลย นั่นทำให้แรงสะอื้นฮึกฮักเริ่มก่อตัวขึ้นในอก หล่อนจะทำอะไรได้ในเวลานี้ เขา… แตะต้องหล่อนหมดแล้ว ไม่มีจุดใดไปไม่ถึง “ได้โปรด… ปล่อยหนูเถอะ อย่าทำกับหนูแบบนี้” “แบบนี้น่ะแบบไหน” “ก็… อาไวทย์!” หนูหน่อยปากคอสั่น เ
คุณปูรณ์พาหล่อนก้าวเดินเข้ากระโจม ด้านในนั้นมีเตียงนอนสีขาวสะอาดตาถูกจัดเตรียมไว้ไม่ต่างจากที่หล่อนเคยเห็นตอนส่งตัวน้ำว้าเข้าหอ หมอนสองใบวางเคียงกัน บนเตียงมีกลีบกุหลาบสีชมพูตกแต่งเป็นรูปหัวใจจนทั่วทั้งห้องมีแต่กลิ่นกุหลาบ เจ้าบ่าวหล่อที่สุด ค่อยๆ วางหล่อนบนที่นอนก่อนที่เขาจะทาบทับลงมา และทำท่าจะ... “คุณปูรณ์คะ... แขกยังอยู่เลยนะคะ” หล่อนเอียงหน้าหลบจมูกโด่งที่ซุกไซ้ซอกคอ “อยู่แล้วยังไง เจ้าบ่าวพาเจ้าสาวเข้าหอ ใครๆ เขาก็รู้ว่าจะทำอะไรกัน” จมูกโด่งซุกไซ้ข้างแก้ม ใบหู ไรผม ต้นคอ พร้อมริมฝีปากพูดแนบชิดจนหล่อนเริ่มหายใจติดขัด คุณปูรณ์กำลังปลุกอารมณ์หล่อน และหล่อนก็ร้อนง่ายเหลือเกิน “วันนี้เอื้อมเป็นของฉันจริงๆ แล้วนะ และฉันก็เป็นของเอื้อม เป็นของเอื้อมคนเดียวตลอดไป เข้าหอกันนะทูนหัว ไม่เช้าไม่ออก” ปูรณ์ยิ้มกับเจ้าของใบหน้าสวยที่ส่งรอยยิ้มแสนหวานมาให้ เพราะแปลว่าหล่อนยินยอม ริมฝีปากอุ่นจัดทาบลงบนกลีบปากบอบบางก่อนจะละเลียดปลายลิ้นเข้าชอนชิมความหวาน จากนั้นก็ไม่มีพื้นที่ใดทั่วทั้งร่างกายของเอื้อมดาวที่ร
สายตาร้อนแรงราวกับเป็นเอื้อมดาวคนละคนมองตรงไปยังกายแกร่งที่เดินไปนั่งพิงแผ่นหลังหน้าก้อนฟางอัดแน่นจนเป็นโซฟาตัวยาวบุเบาะนวมนุ่ม ดวงตาคมเข้มจ้องมองมาที่หล่อน มือก็สาวความแข็งแกร่งรอคอย เอื้อมดาวรู้หน้าที่ดี หล่อนคลานเข้าหา ลีลาไม่ต่างจากนางแมวยั่วสวาท ตาก็จองมองสิ่งนั้น สิ่งที่จะเติมเต็มความร้อนรุ่มรุนแรงของหล่อนให้บรรเทา สิ่งที่จะสอดแทรกสู่ร่างกายและทำให้หล่อนไม่ทรมาน แต่เมื่อมือน้อยๆ ไขว่คว้าได้ คุณปูรณ์กลับรั้งร่างหล่อนขึ้นมาจูบ “คุณปูรณ์ขา... ซี้ด... ขอหนูนะคะ หนูอยากได้ ซี้ด... ขอหนู... คุณปูรณ์ขา...” “อืม... ใจเย็นๆ นะเอื้อมจ๋า... ฉันยังเล็มหญ้าอ่อนไม่อิ่มเลย” เอื้อมดาวมองเขาฉงน เขาจะกินหล่อนต่อ... ยังไง และเขาก็บอกวิธีการกิน แต่หล่อนไม่กล้า แม้จะอยากจนกอหญ้าเต้นระริกคันยิบ “มาเถอะเอื้อมจ๋า... เอามาให้ฉันกิน” “มัน... เอ่อ... จะดีเหรอคะ หนู...” “เอื้อมรู้ว่ามันจะดี มาเถอะ ฉันหิว...” คำว่า ‘หิว’ มาพร้อมกับคุณปูรณ์แหงนศีรษะพาดไว้ที่เบาะนุ่ม ปลายลิ้นที่แลบออกมาส่ายร่อนอยู่เหนือริมฝีปาก
สิ่งแรกที่เห็นคือเขายิ้มกว้าง ดวงตาคมเข้มมีแววสนุกเหล่ตาไปข้างซ้ายข้างขวาคล้ายจะให้หล่อนมองตาม และสิ่งที่เห็นก็ทำให้หล่อนตื่นตะลึง มือป้องปิดริมฝีปากที่พร้อมจะเปล่งเสียงร้องไห้โฮ เพราะทั่วบริเวณคือสถานที่จัดงานแต่งงานขนาดย่อมท่ามกลางบรรยากาศของโรงนา มีเวทีขนาดเล็กอยู่สุดทางเดิน มีภาพของหล่อนกับเขาในหลากอิริยาบถประดับไปทั่ว “อยู่ที่นี่ด้วยกันนะเอื้อม อ้อมกอดนี้และหัวใจดวงนี้เป็นของเอื้อมจริงๆ” “คุณปูรณ์ล้อหนูเล่นหรือเปล่าคะ หรือหนูฝัน” เอื้อมดาวขยับยุกยิกเหมือนจะหยิกตัวเอง ทำให้ปูรณ์ยิ่งขำ เขากอดรัดร่างหอมกรุ่นแน่นขึ้น จดจมูกที่หน้าผากและเรือนผมนุ่ม อยากกอดรัดหล่อนแบบนี้ทั้งวันทั้งคืน ไม่อยากให้เอื้อมดาวห่างหายไปไหน ช่วงเวลาเกือบ 1 เดือนที่มีร่างเล็กๆ นี้นอนแนบข้าง ไม่เคยมีค่ำคืนใดที่ว่างเว้น เรียกได้ว่าแค่ขอให้มีโอกาส เขาก็พร้อมจะพาเอื้อมดาวโลดแล่น และเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่หล่อนขอไปหาฟ้ารุ่งที่ร้าน เขาก็แทบจะขาดใจ แล้วเดือนหน้าหล่อนต้องไปเรียน เขาไม่ต้องตามไปเฝ้ากันเลยเหรอ เวลานี้เขารู้แล้วว่าความรักมันมีอานุภาพร้า
แม่เปิดปากเล่าเรื่องราวที่ทำให้พ่อลาออกจากงานที่ฟาร์มแล้วมาเปิดร้านวัสดุการเกษตร เพียงเพราะเพื่อนนินทาว่าพ่อเลี้ยงแม่เหมือนเมียเก็บ วันวันอยู่แต่ไร่แต่ฟาร์ม เพราะว่าแม่อายุห่างจากพ่อมาก แม่จึงร่ำร้องให้พ่อตามใจ เพราะอยากประกาศให้เพื่อนฝูงรู้กันให้ทั่วว่าแม่เป็นเมียของพ่อ เป็นเจ้าของร้านค้า โดยที่แม่ไม่คำนึงถึงความไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน “พ่อรักแม่มากเลยนะคะ” “ใช่ พ่อรักแม่มาก แต่แม่เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เอง” “คะ...” “เพราะเอื้อมไงละ เอื้อมทำให้แม่เห็นว่าพ่อรักแม่มากแค่ไหน” เอื้อมดาวพยักหน้ารับทั้งน้ำตา “ตอนนั้นแม่เพิ่งสิบแปด ยังเด็กมาก มีลูกก็ไม่อยากจะเลี้ยงด้วยซ้ำ อยากแต่งตัวสวยๆ อยากให้คนมองอย่างชื่นชม แต่เอื้อมไม่เหมือนแม่นะ เอื้อมเป็นผู้ใหญ่กว่าแม่มาก เอื้อมเข้มแข็งและแม่มั่นใจว่าเอื้อมจะทำได้ดีกว่าแม่ ที่สำคัญคุณปูรณ์เขาไม่ได้เห็นเอื้อมเป็นเมียเก็บ เชื่อแม่” .. เอื้อมดาวกลับเข้ามาที่ฟาร์มช่วงบ่าย แต่ยังไม่ทันได้เข้าบ้านพัก คนงานก็มาบอกว่าคุณปูรณ์ให้หล่อนไปพบที่โรงนาหลังเก่าที่กำลังปรับปรุงไว้ส
แกร๊ก... ฟ้ารุ่งผินมองคนที่เปิดประตูห้องเข้ามา ก่อนจะหันไปสนใจเครื่องประทินผิวหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หล่อนต้องรีบแต่งหน้าให้เสร็จเร็วไว เพราะใกล้เวลาเปิดร้านเต็มที ทว่าคนที่เดินเข้ามาแล้วไม่พูดอะไรก็ทำให้ฟ้ารุ่งหงุดหงิด “แกจะพูดอะไรก็พูดมา ฉันไม่มีเวลามานั่งฟังแกทั้งวันหรอกนะ” คำพูดห้วนจากน้ำเสียงหวานๆ ของแม่ทำให้เอื้อมดาวเม้มริมฝีปากแน่น ขอบตาร้อนผ่าว คงไม่มีวันที่จะพูดจาดีๆ กันอีกแล้ว แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมาเกือบเดือน จนแน่ใจว่าไอ้เสี่ยโบ้จะไม่มาวุ่นวายกับแม่กับหล่อนอีก คุณปูรณ์จึงอนุญาตให้แม่กลับมาดูแลร้านได้ และคุณปูรณ์ก็ยืนยันว่าเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์กับแม่ เขาแค่ยั่วหล่อนเล่น แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนกับแม่ก็ยังเหมือนคนแปลกหน้ากันอยู่ดี หรืออาจเรียกได้ว่าตั้งแต่วันนั้นก็แทบเป็นคนไม่รู้จัก เพราะแม่ไม่เคยพูดกับหล่อนอีกเลย แต่หล่อนล่ะ หล่อนจะทนอยู่ในสภาพแบบนี้ได้เหรอ อยู่แบบไม่มีแม่ แม้แม่จะไม่เห็นว่าหล่อนเป็นลูก แต่แม่ก็เป็นแม่ของหล่อนเสมอ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ “แม่ยังโกรธหนูอยู่เหรอคะ” ฟ้ารุ่งชะงักมือท
เอื้อมดาวล่องลอยไปกับความปรารถนาเพราะทุกจุดสัมผัสบนร่างกายถูกจู่โจมพร้อมๆ กัน จนหล่อนทนไม่ไหว เป็นฝ่ายยิ่งบดเบียดเสียดสีดอกไม้งามที่ฉ่ำเยิ้มไปด้วยหยาดน้ำหวานกับความแข็งแกร่งของเขา จนในที่สุด ทุกอย่างก็ถูกสอดใส่ ทั้งๆ ที่หล่อนและเขายังสวมใส่เสื้อผ้าครบ นั่นทำให้เอื้อมดาวได้อีกประสบการณ์ความเสียวที่เพียงแหวกช่องทาง ทุกอย่างก็สอดใส่เข้าหากันได้ “อ่ะ...” หล่อนชะงักร่าง เพราะสิ่งที่หล่อนนั่งทับให้สอดแทรกเข้าสู่ร่างกาย ใหญ่จนหล่อนไม่กล้าทิ้งตัวนั่งลงไปตรงๆ “เจ็บเหรอ” “ไม่ค่ะ หนู... หนูแค่ตกใจ... เอ่อ... คุณปูรณ์ใหญ่” หล่อนตอบแต่เขากลับหัวเราะ “คุณปูรณ์หัวเราะอะไรคะ” “ก็หัวเราะคนพูดตรง” “เอ่อ... ไม่ดีเหรอคะ หนู... ไม่ควรพูดเหรอคะ” “ไม่ใช่ไม่ควร ควรมากเลยละ เพราะยิ่งพูด... ฉันก็ยิ่งแข็ง” “ว้าย! คุณปูรณ์...” เอื้อมดาวผวาเพราะสิ่งที่แข็งเด้งสวนขึ้นมาพร้อมกับฝ่ามือแกร่งที่ขยับโขยกสะโพกของหล่อนเร็วรี่ จนเสียงร้องตกใจกลายเป็นเสียงครวญครางไม่ขาดปาก จากนั้นเสียงของเขาเสียงของหล่อนก็สอดประสาน เ
ดวงตาคมเข้มกร้าวขึ้นทันทีที่ไอ้เสี่ยโบ้พูดจบ ทว่าแววตาก็ต้องอ่อนลงเมื่อฝ่ามือนุ่มนิ่มของใครบางคนเอื้อมมากระชับที่ต้นแขน “หือ...” เขาทำเสียงน้อยๆ ในลำคอ เชิงถามว่าหล่อนต้องการอะไร “เขาหมายความว่าอะไรคะ” น้ำเสียงกระซิบแผ่วเบาทำให้ปูรณ์ต้องกระชับฝ่ามือนุ่ม บีบเบาๆ ให้คลายความกังวล “ไม่มีอะไร เอื้อมออกไปข้างนอกก่อนนะ ทางนี้ฉันจัดการเอง” เขาตอบเสียงนุ่มแผ่วเบา ก่อนจะเรียกเป้ยที่ยืนอยู่ไม่ไกลให้มาพาเอื้อมดาวออกไปก่อน “จะรีบไปไหนล่ะครับดอกเบี้ย ยังไม่ได้เก็บสักดอก” ทว่าคำพูดของไอ้เสี่ยโบ้กลับทำให้เอื้อมดาวชะงักหันมองตื่นตะลึง ก่อนจะได้ยินเสียงแม่กรีดร้องคร่ำครวญ แต่หล่อนก็ได้สติเมื่อฝ่ามืออบอุ่นบีบกระชับ ม่านน้ำตาที่ก่อเกิดทำให้เห็นทุกสิ่งรางเลือนแต่กลับเห็นแววอ่อนโยนจากดวงตาคมเข้มชัด “ออกไปก่อนนะเอื้อม เชื่อฉัน” “แต่แม่...” “ไม่มีแต่อะไรทั้งสิ้น ทางนี้ฉันจัดการเอง” เอื้อมดาวพยักหน้าทั้งที่สั่นสะอื้น แต่แค่หล่อนลุกขึ้น เหล่าบอดี้การ์ดของไอ้เสี่ยโบ้ก็เข้ามาล้อมจน
สิ่งที่ปูรณ์ให้นทีไปทำก็คือ ให้ทนายเข้ามาดูแลเรื่องการโอนโฉนดที่ดินและบ้านหลังนี้ให้เป็นชื่อของเขา เพราะตอนที่ฟ้ารุ่งมาอ้างว่าจะนำเงินไปปรับปรุงร้าน เขาให้ทนายทำเป็นสัญญาขายฝากเอาไว้ แล้วหล่อนไม่สนใจสิ่งใดมากกว่าได้เงินครบตามที่ต้องการหรือเปล่า ดังนั้นการลงชื่อในเอกสารทุกแผ่น จึงไม่ใช่สิ่งที่ฟ้ารุ่งจะสนใจ แน่นอนว่าเอกสารเหล่านั้นมีใบมอบอำนาจให้ทนายดำเนินการแทนฟ้ารุ่งได้ทุกอย่าง ซึ่งเขาไม่เคยอยากให้เป็นแบบนี้ แต่ต้องกันเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นป่านนี้บ้านพร้อมที่ดินผืนนี้คงกลายเป็นของไอ้เสี่ยโบ้ไปแล้ว ตอนนั้นเขาถือว่าทำเพราะต้องการรักษาทรัพย์สินของพิภพไว้ให้ลูกสาว ส่วนเป้ยนั้นเขาให้ไปส่งข่าวให้ไอ้เสี่ยโบ้รู้ว่าเขาแต่งตั้งผู้จัดการคนใหม่เข้ามาบริหารงานที่ร้านนวดแทนฟ้ารุ่ง เพราะเขาซื้อกิจการต่อจากฟ้ารุ่งแล้ว ดังนั้นฟ้ารุ่งไม่มีสิทธิ์จะเอาบ้านและที่ดินผืนนี้ไปใช้หนี้เสี่ยโบ้อีก และคำสั่งของเขา ส่งผลให้ร้านนวดของฟ้ารุ่งมีแขกมาเยี่ยมเยือนในทันที “ผมได้ข่าวว่าคุณปูรณ์มาเทคโอเวอร์ร้านนวดของฟ้ารุ่ง” ปูรณ์มองผู้ชายวัย 30 กว่า แต่งกายด้วย
เอื้อมดาวมองสำรวจใบหน้าของคนหล่อ ค่อยๆ แตะนิ้วมือที่แนวคิ้วเข้ม เปลือกตาของเขาที่หลับพริ้ม สันจมูกโด่ง และลงมาถึงริมฝีปาก ทุกสิ่งจริงจนหล่อนต้องหลับตาส่ายหน้า ขอให้เมื่อหล่อนลืมตาอีกครั้งนี่จะไม่เป็นเพียงความฝัน ทั้งหมดที่หล่อนเห็นและจับต้องได้อยู่ขณะนี้คือความจริง “อุ้ย!” สิ่งที่ยืนยันได้ไม่ใช่ตาหล่อนที่เห็น แต่เป็นริมฝีปากร้อนผ่าวอ้าอมปลายนิ้วของหล่อนเอาไว้ และเมื่อหล่อนลืมตามอง คุณปูรณ์ก็ตอกย้ำความจริงด้วยการรั้งศีรษะหล่อนเข้าหาและมอบความรุมร้อนแนบริมฝีปากของหล่อน จูบเร่าร้อนแต่หวานที่สุดละเลียดไล้อยู่บนกลีบปากหวาน จนหล่อนมึนงงสับสนจนต้องโอบท่อนแขนรอบลำคอของเขา คุณปูรณ์ทำให้หล่อนล่องลอยราวกำลังไต่ขึ้นสวรรค์ ร่างกายของหล่อนบางเบา มีแต่แสงสีขาวรายล้อม ความสุขกำลังก่อตัว ความทุกข์ที่หล่อนคิดว่ามากมายพลันสลายไปไม่หลงเหลือ อา... ร่างกายหล่อนเบาหวิว ก่อนจะนอนราบบนที่นอนนุ่ม โดยมีเขาทาบทับ “คุณปูรณ์...” “หืม... ว่าไง” ชื่อของเขาเปล่งออกจากปาก หล่อนเห็นเขาฟอนเฟ้นเต้าอวบอัด ที่หล่อนไม่รู้ตัวเลยว่าเสื้อผ้าหลุ