เด็กสาวอวบอัด ผิวขาวอมชมพู เอียงใบหน้าไร้เดียงสามองเขาด้วยความสงสัยใคร่รู้ตลอดเวลา ทว่าความไร้เดียงสาของหล่อนกลับกลายเป็นแรงยั่วเย้าให้เขาเพิ่มความใคร่ในตัวหล่อนเพิ่มขึ้นๆ
ทุกวีรกรรมที่หล่อนทำหากมองแบบโลกสวยวิ่งอยู่กลางทุ่งหญ้าสะวันนาหรือทุ่งลาเวนเดอร์ ก็ต้องมองว่านั่นคือความไร้เดียงสาของเด็กสาวที่กำลังก้าวผ่านจากวัยสาวน้อยไปเป็นสาวรุ่นเต็มตัว
ทว่าหากมองแบบสายหื่นจัดหนักก็มองว่านั่นน่ะอ่อยชัดๆ แล้วใครจะไปทนได้ เขาคนนึงแหละที่ทนไม่ได้ แล้วจากนี้ไปอีก 2 เดือน กว่ามหาวิทยาลัยจะเปิดภาคเรียน เขาจะทนอยู่กับหล่อนแบบมีระยะห่างตลอด 24 ชั่วโมงได้ยังไง
เขามีเลือดมีเนื้อ แข็งไปทุกส่วน ไม่ใช่พระอิฐพระปูน รวมทั้งหล่อนก็ไม่ใช่ภาพวาดหรือรูปปั้น แต่หล่อนสาวสวยเต่งตึงไปทั้งร่าง แม้พยายามห้ามใจว่านั่นคือลูกสาวของพี่เขย แต่เขาจะทนได้สักกี่น้ำล่ะ…
ใช่… สักกี่น้ำ น้ำเดียวก็ยังไม่ได้ปลดปล่อย
“เอาไงล่ะไอ้เสือ นี่เครียดจนอยู่ไม่ติดบ้านเลยรึไง เป็นเอามากนะเนี่ย”
ไวทย์เหลือบมองปัถย์ที่เย้าเขาไม่เลิก ก่อนจะสาดเหล้าเข้าปากหมดแก้วจากนั้นก็คว้าขวดมาเติมลงอีก
“เฮ้ยๆ ไม่พูดไม่จา แต่แดกไม่ยั้ง นี่เอ็งมีแผนอะไรเปล่าเนี่ย”
“แผนอะไรวะ”
“อ้าว… ก็แผนทำเป็นเมาแล้วปล้ำสาวไง”
“เฮ้ย! ไอ้บ้าปัถย์ ข้าไม่คิดทำแบบนั้นหรอก”
“อ้อ… เอ็งมันชอบแบบรู้ตัว ไม่ชอบแบบเมาๆ”
“ไอ้ห่าปัถย์ พี่ปูรณ์ช่วยผมด้วย ไอ้บ้าปัถย์มันแกล้งผม”
น้ำเสียงอ่อนใจพูดกับปูรณ์ แต่ที่เห็นคือปูรณ์ส่ายหน้ายักคิ้วให้ปัถย์แบบเห็นด้วยว่าเขาเป็นเอามากจริงๆ นั่นทำให้เขายิ่งท้อ เพราะแม้แต่ปูรณ์ก็ไม่ช่วยเขาคิด
“แม้แต่พี่ปูรณ์ก็เห็นด้วยกับมันเหรอ”
พี่ชายของเพื่อนทำเสียงขำขันเขาในลำคอ นั่นทำให้เขาสาดเหล้าเข้าสู่ลำคออีกแก้ว
“พี่ไม่ได้เห็นด้วยกับเจ้าปัถย์ แต่เอ็งมีอะไรเอ็งก็พูดออกมา ไม่ใช่เรื่องที่เอ็งจะมานั่งเครียดนั่งกลุ้มอยู่แบบนี้ เสียเชิงหนุ่มใหญ่ใจสปอร์ตหมดว่ะ ว่าไง… สรุปว่าเอ็งอยากจะกินเด็กมันหรือเปล่า”
ไวทย์ยังคงหน้าเครียด เหลือบมองพี่ชายเพื่อนนิดเดียวก่อนจะกระดกเหล้าไม่ยั้ง ผิดกับตอนที่ก้อร่อก้อติกเจ๊แหม่มเป็นคนละคน
“นี่เอ็งคิดอยากกินเด็กมันจริงๆ ใช่มั้ย”
“โห… อย่างนี้ยังต้องถามอีกเหรอพี่ปูรณ์ ดูมันสิ กระดกเอาๆ แบบนี้ นี่คงกะเมาแล้วทำอะไรไม่ผิดมั้ง”
ปัถย์ยิ้มส่ายหน้าไม่สนใจสายตาของไวทย์ที่มองมาอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะกดเล่นเพลงที่เลือกเอาไว้พร้อมกับหันไปบอกปูรณ์ “อย่าไปสนใจมันเลยพี่ มันอยากเมาก็ให้มันเมาไป เราร้องเพลงกันดีกว่า เอ้า! เอาไปคนละตัว”
ปัถย์ยืนไมโครโฟนอีกตัวให้ปูรณ์ และวางอีกตัวไว้บนโต๊ะตรงหน้าไวทย์ แต่แค่อินโทรเพลงขึ้นไวทย์ก็หันมามองตาเขียว เพราะนั่นมันเพลง ‘เด็กมันยั่ว’ ของพี่ยอดรัก สลักใจ
แน่นอนว่าบทเพลงนี้หนุ่มเต็มวัยใจกระล่อนอย่างพวกเขาชอบมาก เพราะเป็นเพลงโปรดที่ต้องร้องทุกครั้งเมื่อมาเยือนที่นี่ แต่ตอนนี้ไม่อยากฟังว่ะ ไวทย์เอื้อมมือคว้ารีโมทกดปิดทันที
“เฮ้ย! อะไรวะไวทย์ ข้าจะร้องเพลง”
“ไม่ให้ร้องโว้ย! เพลงอื่นมีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องมาร้องเพลงนี้ด้วย”
“ก็ข้าอยากร้องนี่หว่า ถามอะไรเองก็ไม่พูด ข้าขี้เกียจถาม ข้าก็ร้องเพลงน่ะสิ แล้วทำไมถึงร้องเพลงนี้ไม่ได้วะ เอ็งนั่นแหละตัวชอบเลย ‘เด็กมันยั่วเลยหลวมตัวไปหน่อย’ อะอะอะ… นี่หมายความว่า…”
ปัถย์ที่ทำท่ายักไหล่และร้องเพลงโดยสร้างท่วงทำนองให้ตัวเอง สายตานกรู้นั่นทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนีก่อนจะสาดเหล้าสู่ลำคออีกครั้ง
“ไอ้หมอ เอ็งหันมาเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องมาหลบตาเลย ว่าไง! เฮ้ย… สรุปนี่เอ็งหลงรักเด็กในสังกัดเข้าแล้วเหรอวะ”
ไวทย์หน้ามุ่ยมากกว่าเดิม สาดเหล้าเข้าลำคอไม่ตอบคำถาม
“ไม่ตอบงั้นข้าร้องเพลงต่อ”
“เฮ้ย! ไม่ได้นะ ห้ามร้อง”
ปัถย์กดหยุดเพลง หันมองหน้าเพื่อนเขม็ง “เลือกเอาไวทย์ เอ็งจะเล่าหรือเอ็งจะให้ข้าร้องเพลง นี่พี่ปูรณ์กินกับแกล้มจนจะอิ่มอยู่แล้วเนี่ย ยังไม่ได้ร้องสักเพลง พอเอ็งเข้ามาก็เอาแต่ทำหน้าเง้า ไม่เห็นหน้าระรื่นเหมือนตอนคุยกะเจ๊แหม่มเมื่อกี้เลยว่ะ สรุปว่าเอ็งจะเล่าหรือไม่เล่า ถ้าไม่เล่าข้าไม่รอแล้วนะโว้ย! โตจนหมอ... จะหงอกหมดแล้ว ยังมาทำเล่นตัวเป็นเด็กไปได้ เล่ามา!”
“เออๆ เล่าก็ได้”
“พูดมาให้ไว พูดมาให้หมด ศิราณีมีดุ้นอย่างพี่ จะไขความรักให้เอ็งเอง”
ดวงตาคมปนขุ่นตวัดมองคนพูดเย้าที่นั่งพิงโซฟาพาดแขนไว้กับพนักแบบสบายๆ ท่าทางเหมือนไม่ได้อยากรู้เรื่องของเขาเท่ากับปัถย์ แต่ความสุขุมนั้นต้องแก้ปัญหาให้เขาได้แน่ “ขอบคุณครับพี่ปูรณ์”
“ขอบคุณข้าด้วย ข้าเป็นเพื่อนนะเว้ย! และวันนี้ข้าก็เป็นคนชวนพี่ปูรณ์มาด้วย”
“เออ… ว่ะขอบใจ”
ไวทย์กระดกเหล้าเข้าปากอีกอึกใหญ่ เพื่อเรียกความกล้าของตัวเองออกมา เดิมทีเขาไม่ใช่คนขี้อายแบบนี้หรอก เขากล้าพูดกล้าแสดงออกเสียด้วยซ้ำ แต่สำหรับเรื่องของหนูหน่อยนั่นทำให้เขาไม่กล้า เขากลายเป็นคนหวาดหวั่นกับแรงยั่วเย้าที่หนูหน่อยกระทำทุกวัน แม้จะบอกตัวเองว่านั่นก็เป็นเรื่องปกติที่เด็กสาวจะทำอย่างนั้น แต่พอเอาเข้าจริงเขาก็อดคิดไม่ได้หรอก ก็มันน่าคิดมากมาย
ยิ่งได้ยินคนงานในฟาร์มพูดคุยกันว่าเขา ‘เลี้ยงต้อย’ หนูหน่อยเอาไว้กินเอง หรือไม่เขากับหนูหน่อยคงแอบได้เสียเป็นเมียผัวกันเรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นจะมีพ่อแม่ที่ไหนกล้าส่งลูกที่เป็นสาวเต็มตัวให้มาอยู่กับเขาที่ฟาร์มสองต่อสองแบบนี้
แม้สิ่งที่คนงานพูดกันจะไม่จริง แต่ที่เขาแอบสูดดมความหอมจากเรือนร่างนั้นทุกครั้งที่มีโอกาส นั่นเขาก็ปฏิเสธความคิดหื่นของตัวเองไม่ได้เลย “ว่าไง สรุปเอ็งคิดอะไรกับหนูหน่อยหรือเปล่า” สายตารู้ทันของเพื่อนกับพี่ชายเพื่อน ทำให้ไวทย์ทนไม่ไหวต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เออ… ยอมรับก็ได้ ก็คิดอยู่” “ก็แค่เนี้ย! เป็นไรไปวะ ก็แค่ยอมรับว่าอยากกินหญ้าอ่อน ถ้าเอ็งจะคิดก็ไม่ผิดหรอกว่ะ เอ็กซ์ เซ็กซ์ อึ๋มขนาดนั้น เป็นข้า ข้าก็…” “หยุดเลยนะไอ้ปัถย์ เอ็งห้ามคิด” “พี่ปูรณ์ดูมันสิ มันห้ามผมคิด แต่มันก็คิดเอง พี่ปูรณ์คิดมั้ย” ทั้งไวทย์และปัถย์จ้องหน้าปูรณ์ต้องการคำตอบ “คิดว่ะ” “พี่ปูรณ์!” ปัถย์ทุบโต๊ะขำกับท่าทางหน้าเฉยของปูรณ์ แต่ไวทย์นั้นโอดครวญราวคนชอกช้ำ ก่อนจะเข้าสู่โหมดกลุ้มใจตามเดิม ดวงตากลัดกลุ้มมองแก้วบรรจุน้ำสีอำพันในมือ เพราะใครล่ะจะไม่คิด ขนาดว่าปัถย์กับพี่ปูรณ์ยังคิดเลย แล้วเขาต้องอยู่ใกล้หล่อนทุกวันจะทนได้ยังไง “ข้ากลัวตบะแตกว่ะ” “หือ… ขนาดนั้นเชียวเหร
คำพูดคล้ายจะถูกดูดกลืนเข้าไปในลำคอเพราะไม่มีสักจุดที่ขี้ริ้ว ไม่ว่าจะเป็นคางมนที่น่าใช้นิ้วเชยขึ้นเพื่อรับจูบดูดดื่ม ปากอวบอิ่มที่ขยันทำปากเจ่อๆ เรียกร้องให้เขาบดความรุมร้อนลงไปหา จมูกโด่งน้อยๆ แต่พองาม จนเขาอยากจะคีบที่ปลายและขยี้เบาๆ อย่างมันเขี้ยว โดยเฉพาะดวงตากลมโตเต็มไปด้วยแววบ้องแบ๊ว และผิวละเอียดขาวอมชมพูน่าดมน่าลูบไล้ เพราะหล่อนได้ยีนจากทางแม่ซึ่งเป็นสาวญี่ปุ่นมาเต็มๆ ทั้งหมดนั้นเร้าอารมณ์เขาชะมัด และทุกครั้งที่หางตาเหลือบมองเส้นผมดำยาวที่หล่อนรวบไว้เป็นหางม้าปัดป่ายไปตามเรือนร่างขณะก้าวเดิน จำเพาะที่ปลายเส้นผมนั้นละอยู่บริเวณบั้นเอว นั่นยิ่งทำให้จินตนาการของเขาเพริศแพร้ว คิดไปถึงยามหางม้านั้นถูกปลดออก ปล่อยปลายผมละกับสะโพก หรือเวลาที่เส้นผมนั้นกระจายเต็มปลอกหมอน เต็มที่นอน อืม... จะเซ็กซี่ได้แค่ไหน ทั้งหมดเป็นสิ่งกระตุ้นให้เขาอยากรู้อยากลองว่าภายใต้ความบ้องแบ๊วนั้น หากหล่อนมาอยู่ใต้ร่างของเขา แววตานั้นจะมองเขาเช่นไร จะเปลี่ยนไปเป็นวาบหวามได้แค่ไหน โดยเฉพาะความอวบอิ่ม อืม… หล่อนเป็นสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นขนานแท้ เพราะส่วนนูนนั้นเด่นเกินหน้าเกินตา
แสงไฟวับแวมจากร้านคาราโอเกะตรงหน้าทำให้ ‘นายสัตวแพทย์ไวทย์ เวทยางค์กูร’ ตีไฟเลี้ยวเพื่อเตรียมจอด นี่คือสถานที่นัดพบของเขากับบรรดาก๊วนเพื่อนหนุ่มใหญ่ไร้เมียเคียงคู่ และเป็นที่ปลดปล่อยความต้องการในยามค่ำคืนกับสาวๆ ที่เขาพอใจหล่อนและหล่อนก็พอใจเขา ทุกอย่างแฟร์ หล่อนได้เงินส่วนเขาได้เสียววินวินกันทั้งคู่ แต่ในค่ำคืนนี้เขากลับมีเรื่องทุกข์จนไม่อยากแลกความเสียวกับใคร ที่มาก็เพราะอยากมาปรับทุกข์ และคนที่เขาจะเล่าปัญหาให้ฟังเพื่อขอความช่วยเหลือหรือคำแนะนำที่ดีก็น่าจะอยู่ในนั้น เพราะเลยเวลานัดมาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว 2 คนนั่นคงรออยู่ และก็เป็นจริงเมื่อรถยนต์ที่จอดอยู่ด้านหน้าคือรถของ ‘ปัถย์’ เจ้าของฟาร์มม้าที่ใหญ่ที่สุดในตำบล และถัดไปข้างหน้าก็เป็นรถของ ‘ปูรณ์’ เจ้าของฟาร์มวัวนมที่ใหญ่สุดในอำเภอ ปัถย์กับปูรณ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ส่วนเขาเป็นเพื่อนของปัถย์ เลยได้สนิทสนมกับปูรณ์ และเขาก็เป็นสัตวแพทย์ประจำฟาร์มของทั้งคู่ด้วย แค่ก้าวเข้าสู่ร้าน ‘เจ๊แหม่ม คาราโอเกะ’ เจ้าของร้านสุดสวยก็เดินยิ้มออกมาต้อนรับทันที “มาทางนี้เลยค่ะคุณหมอ คุณปัถย์กั
ไวทย์ตวัดสายตาเครียดๆ มองปูรณ์ หนุ่มใหญ่หน้าหล่อคมเข้มและรวยเป็นอันดับ 1 ของอำเภอ เขาลืมไปว่าในห้องคาราโอเกะนี้ คนด้านนอกมองไม่เห็นคนด้านใน แต่คนด้านในมองเห็นคนด้านนอกตลอด และ 2 พี่น้องคงเห็นเขาก้อร่อก้อติกกับเจ๊แหม่มหมดแล้ว ปูรณ์ส่งรอยยิ้มเย้าก่อนจะหันไปถามญาติผู้น้อง “หรือว่าเราจะไปกินหญ้าอ่อนของนายไวทย์ดี ว่าไงปัถย์” ปัถย์หัวเราะร่วน ตามองเพื่อนจับสังเกต “พี่ปูรณ์ถามเจ้าของหญ้าอ่อนก่อนนะ ดูหน้าไอ้หมอมันซิ หน้าแบบนี้มันหวงก้างชัดๆ แหม… ทำมาเป็นกลุ้มที่พี่สาวเอาหญ้าอ่อนมาฝากไว้ ที่แท้เอ็งก็กังวลใจว่าจะกินแบบไหนมากกว่ามั้ง จะเล็มนิดเล็มหน่อย ชิมวันละน้อย เซาะวันละนิด หรือจะกินทีเดียวแบบถอนรากถอนโคนไปเลย” “พูดมากน่า ข้ายิ่งกลุ้มๆ อยู่” ไวทย์ทำหน้าเซ็งกระแทกตัวพิงพนักโซฟา คว้าแก้วเปล่าใส่น้ำแข็งแล้วก็เติมเหล้าลงไปก่อนจะกระดกเข้าคอเร็วๆ นั่นคืออาการของคนใช้น้ำเมาดับทุกข์ชัดๆ แต่ที่เขาเป็นอยู่มันทุกข์จริงไหม ทุกข์เพราะสิ่งที่เป็น หรือว่าทุกข์จากการไม่ยอมรับความจริง “เอ็งจะมากลุ้มทำไมวะ หนูหน่อยเธอก็น่ารักดี และถ้ามันจ