แม้สิ่งที่คนงานพูดกันจะไม่จริง แต่ที่เขาแอบสูดดมความหอมจากเรือนร่างนั้นทุกครั้งที่มีโอกาส นั่นเขาก็ปฏิเสธความคิดหื่นของตัวเองไม่ได้เลย
“ว่าไง สรุปเอ็งคิดอะไรกับหนูหน่อยหรือเปล่า”
สายตารู้ทันของเพื่อนกับพี่ชายเพื่อน ทำให้ไวทย์ทนไม่ไหวต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เออ… ยอมรับก็ได้ ก็คิดอยู่”
“ก็แค่เนี้ย! เป็นไรไปวะ ก็แค่ยอมรับว่าอยากกินหญ้าอ่อน ถ้าเอ็งจะคิดก็ไม่ผิดหรอกว่ะ เอ็กซ์ เซ็กซ์ อึ๋มขนาดนั้น เป็นข้า ข้าก็…”
“หยุดเลยนะไอ้ปัถย์ เอ็งห้ามคิด”
“พี่ปูรณ์ดูมันสิ มันห้ามผมคิด แต่มันก็คิดเอง พี่ปูรณ์คิดมั้ย”
ทั้งไวทย์และปัถย์จ้องหน้าปูรณ์ต้องการคำตอบ “คิดว่ะ”
“พี่ปูรณ์!”
ปัถย์ทุบโต๊ะขำกับท่าทางหน้าเฉยของปูรณ์ แต่ไวทย์นั้นโอดครวญราวคนชอกช้ำ ก่อนจะเข้าสู่โหมดกลุ้มใจตามเดิม
ดวงตากลัดกลุ้มมองแก้วบรรจุน้ำสีอำพันในมือ เพราะใครล่ะจะไม่คิด ขนาดว่าปัถย์กับพี่ปูรณ์ยังคิดเลย แล้วเขาต้องอยู่ใกล้หล่อนทุกวันจะทนได้ยังไง
“ข้ากลัวตบะแตกว่ะ”
“หือ… ขนาดนั้นเชียวเหรอไวทย์”
“ครับพี่ปูรณ์ ผมควรทำยังไงครับ แกว่าไงว่ะปัถย์”
น้ำเสียงคือกลุ้มใจเต็มที่ เพราะนี่อาจเรียกว่าเสียฟอร์มก็ได้ จู่ๆ เขาก็มาตกม้าตาย หวั่นไหวกับเด็กในปกครอง
“ง่ายๆ เอ็งก็แค่ส่งหนูหน่อยกลับไป นอกเสียจากว่าเอ็งอยากเก็บหนูหน่อยไว้ใกล้ตัว ว่าไงล่ะ ถ้าเอ็งทนไม่ได้เอ็งก็ต้องทำ เพราะรู้ใช่มั้ยว่าถ้าพลาดไปนั่นคือเข้าแผนพี่วิวเลย”
“แผนอะไรวะ”
ไวทย์มองเพื่อนกับพี่ชายของเพื่อนสลับกัน สองคนสบสายตากันเหมือนรู้อะไรบางอย่างที่เขาไม่รู้ และปูรณ์ก็เป็นคนเฉลย
“ก็แผนให้นายตบะแตกปล้ำยายหนูหน่อยน่ะสิ”
“เฮ้ยพี่! ไม่จริงหรอก ผมเป็นน้องแท้ๆ ของพี่วิวนะ พี่วิวจะทำแบบนั้นทำไม จู่ๆ ก็ส่งลูกสามีมาเป็นเหยื่อผม ยังไงผมก็ไม่เชื่อ พี่วิวไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่”
ไวทย์ครุ่นคิด นึกถึงใบหน้าที่แสนจะอ่อนโยนของพี่สาวทุกครั้งที่เจอกัน วิเวียนจะพูดถึงลูกติดของสามีอยู่เสมอ เด็กหญิงที่ตอนนั้นวัยเพียง 10 ปี แต่ก็มีเค้าว่าจะสวยขึ้นตอนโต
วิเวียนดูแลหนูหน่อยทุกอย่างทั้งเสื้อผ้าหน้าผม โรงเรียนประจำ โรงเรียนกวดวิชา ทุกสิ่งที่เด็กในช่วงวัยนั้นจะต้องมี วิเวียนก็ดูแลไม่ขัดคล่อง ไม่อย่างนั้นหนูหน่อยคงจะไม่รักดีจนถึงขนาดสอบเข้าเรียนต่อคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ได้หรอก แล้วเจ้าตัวก็แสนจะร่าเริงสุดๆ จึงเป็นไปไม่ได้ที่วิเวียนจะมีปมกับหนูหน่อยจนอยากให้เขาทำลาย เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่วิเวียนจะส่งหนูหน่อยมาเพื่อให้เขาตบะแตก ให้เขาทนไม่ไหวจนต้องครอบครองเรือนร่างสวยงามนั้น เพราะนั่นเท่ากับฆ่าหนูหน่อยทั้งเป็น
และอีกสิ่งที่ยืนยันว่าไม่มีทางที่วิเวียนจะทำเช่นนั้นก็คือ พี่โน้ตพ่อของหนูหน่อยเองก็สนับสนุนที่จะให้หนูหน่อยมาอยู่กับเขา ซ้ำยังคอยสอบถามเขาตลอดว่าหนูหน่อยทำอะไรให้เขาไม่พอใจบ้างหรือเปล่า เชื่อฟังคำสั่งเขาดีไหม หรือหนูหน่อยสร้างความลำบากใจอะไรให้เขาบ้าง
ทั้งหมดนั้นเขาจับใจความได้ว่าเป็นการเกรงใจ ไม่มีการเสแสร้งแกล้งทำเด็ดขาด ดังนั้นไอ้เรื่องที่ว่าวิเวียนจะส่งหนูหน่อยมาเพื่อบำเรอกามเขาจึงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะพี่โน้ตคงไม่มีทางไว้ใจแน่
“เป็นไปไม่ได้หรอกครับพี่ พี่วิวรักหนูหน่อยมากเกินกว่าจะทำลายได้ และพี่โน้ตก็ทั้งรักทั้งไว้ใจให้พี่วิวดูแลลูกสาวยังกับอะไรดี ไม่มีทางที่พี่วิวจะคิดร้ายกับหนูหน่อยหรอก”
แค่เขาพูดเสียงหัวเราะสอดประสานของสองคนพี่น้องก็ดังขึ้น ซ้ำยังมองหน้ากันไปมาและหัวเราะร่วนขึ้นอีก
“ขำอะไรว่ะปัถย์ พี่ปูรณ์ขำอะไรผมเนี่ย”
ไวทย์ตาขวาง ยิ่งกลุ้มใจ ดันมาเจอสองหน่อฟาร์มปศุสัตว์หยอกเย้าเข้าอีก ไม่รู้รึไงว่าเขากลุ้ม
“โอเคๆ พอๆ ปัถย์ อย่าไปล้อไวทย์มันมาก ดูหน้ามันสิ นี่ถ้ามันตะบันหน้าเอ็ง พี่ไม่ช่วยนะโว้ย!”
“ได้ไง พี่อ่ะต้องโดนพร้อมกับผม”
พูดแล้วปัถย์ก็ขำอีกจนปูรณ์ต้องห้าม ก่อนจะเฉลยคำตอบที่ทำให้ไวทย์ร้องเสียงหลง
“ทั้งคู่อยากได้เอ็งเป็นเขย”
“เฮ้ย! เป็นไปไม่ได้หรอกพี่”
“เป็นไปได้และก็เป็นไปแล้ว ทั้งพี่สาวและพี่เขยเอ็ง ตั้งใจจับเอ็งทำลูกเขยว่ะ”
“ผมไม่เชื่อพี่หรอก นี่มันเรื่องบ้าไปแล้ว พี่วิวผมยังพอเข้าใจ แต่พี่โน้ตนี่… ผมไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด จะมีพ่อที่ไหน ส่งลูกสาวมาเข้า…”
“ปากหมา”
ปัถย์ตอบโดยเร็วยิ่งทำให้ไวทย์หน้ามุ่ย “เออว่ะ ข้ามันปากหมา แต่ถึงเป็นหมาก็หมาป่านะโว้ย! แล้วพ่อที่ไหนวะจะส่งลูกสาวมาให้ข้าเคี้ยว”
“มีสิวะ ก็หมาอย่างเอ็งมันธรรมดาซะที่ไหน ทายาทโรงแรมห้าดาวประจำจังหวัดเชียวนะโว้ย! ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตก็เหมือนกันเปี๊ยบ สัตวแพทย์หนุ่มรูปหล่อผู้กินอุดมการณ์แทนอาหาร คนดีศรีชาวบ้าน คนดีของหมูหมากาไก่วัวควายแพะแกะม้า ยกเว้นขัดใจแม่เท่านั้น”
“ไอ้บ้า! ข้าไม่เชื่อเอ็งหรอก พี่โน้ตเขาก็รวยมากนะโว้ย! ไหนจะธุรกิจนำเข้า ไหนจะเฟรนไชส์ร้านอาหารอีกเป็นร้อยสาขา แค่ธุรกิจพวกนี้ยายหนูหน่อยก็เหมือนขี้ให้แมลงวันมาตอมอยู่แล้ว และหนูหน่อยก็ไม่ได้ขี้ริ้ว…”
คำพูดคล้ายจะถูกดูดกลืนเข้าไปในลำคอเพราะไม่มีสักจุดที่ขี้ริ้ว ไม่ว่าจะเป็นคางมนที่น่าใช้นิ้วเชยขึ้นเพื่อรับจูบดูดดื่ม ปากอวบอิ่มที่ขยันทำปากเจ่อๆ เรียกร้องให้เขาบดความรุมร้อนลงไปหา จมูกโด่งน้อยๆ แต่พองาม จนเขาอยากจะคีบที่ปลายและขยี้เบาๆ อย่างมันเขี้ยว โดยเฉพาะดวงตากลมโตเต็มไปด้วยแววบ้องแบ๊ว และผิวละเอียดขาวอมชมพูน่าดมน่าลูบไล้ เพราะหล่อนได้ยีนจากทางแม่ซึ่งเป็นสาวญี่ปุ่นมาเต็มๆ ทั้งหมดนั้นเร้าอารมณ์เขาชะมัด และทุกครั้งที่หางตาเหลือบมองเส้นผมดำยาวที่หล่อนรวบไว้เป็นหางม้าปัดป่ายไปตามเรือนร่างขณะก้าวเดิน จำเพาะที่ปลายเส้นผมนั้นละอยู่บริเวณบั้นเอว นั่นยิ่งทำให้จินตนาการของเขาเพริศแพร้ว คิดไปถึงยามหางม้านั้นถูกปลดออก ปล่อยปลายผมละกับสะโพก หรือเวลาที่เส้นผมนั้นกระจายเต็มปลอกหมอน เต็มที่นอน อืม... จะเซ็กซี่ได้แค่ไหน ทั้งหมดเป็นสิ่งกระตุ้นให้เขาอยากรู้อยากลองว่าภายใต้ความบ้องแบ๊วนั้น หากหล่อนมาอยู่ใต้ร่างของเขา แววตานั้นจะมองเขาเช่นไร จะเปลี่ยนไปเป็นวาบหวามได้แค่ไหน โดยเฉพาะความอวบอิ่ม อืม… หล่อนเป็นสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นขนานแท้ เพราะส่วนนูนนั้นเด่นเกินหน้าเกินตา
แสงไฟวับแวมจากร้านคาราโอเกะตรงหน้าทำให้ ‘นายสัตวแพทย์ไวทย์ เวทยางค์กูร’ ตีไฟเลี้ยวเพื่อเตรียมจอด นี่คือสถานที่นัดพบของเขากับบรรดาก๊วนเพื่อนหนุ่มใหญ่ไร้เมียเคียงคู่ และเป็นที่ปลดปล่อยความต้องการในยามค่ำคืนกับสาวๆ ที่เขาพอใจหล่อนและหล่อนก็พอใจเขา ทุกอย่างแฟร์ หล่อนได้เงินส่วนเขาได้เสียววินวินกันทั้งคู่ แต่ในค่ำคืนนี้เขากลับมีเรื่องทุกข์จนไม่อยากแลกความเสียวกับใคร ที่มาก็เพราะอยากมาปรับทุกข์ และคนที่เขาจะเล่าปัญหาให้ฟังเพื่อขอความช่วยเหลือหรือคำแนะนำที่ดีก็น่าจะอยู่ในนั้น เพราะเลยเวลานัดมาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว 2 คนนั่นคงรออยู่ และก็เป็นจริงเมื่อรถยนต์ที่จอดอยู่ด้านหน้าคือรถของ ‘ปัถย์’ เจ้าของฟาร์มม้าที่ใหญ่ที่สุดในตำบล และถัดไปข้างหน้าก็เป็นรถของ ‘ปูรณ์’ เจ้าของฟาร์มวัวนมที่ใหญ่สุดในอำเภอ ปัถย์กับปูรณ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ส่วนเขาเป็นเพื่อนของปัถย์ เลยได้สนิทสนมกับปูรณ์ และเขาก็เป็นสัตวแพทย์ประจำฟาร์มของทั้งคู่ด้วย แค่ก้าวเข้าสู่ร้าน ‘เจ๊แหม่ม คาราโอเกะ’ เจ้าของร้านสุดสวยก็เดินยิ้มออกมาต้อนรับทันที “มาทางนี้เลยค่ะคุณหมอ คุณปัถย์กั
ไวทย์ตวัดสายตาเครียดๆ มองปูรณ์ หนุ่มใหญ่หน้าหล่อคมเข้มและรวยเป็นอันดับ 1 ของอำเภอ เขาลืมไปว่าในห้องคาราโอเกะนี้ คนด้านนอกมองไม่เห็นคนด้านใน แต่คนด้านในมองเห็นคนด้านนอกตลอด และ 2 พี่น้องคงเห็นเขาก้อร่อก้อติกกับเจ๊แหม่มหมดแล้ว ปูรณ์ส่งรอยยิ้มเย้าก่อนจะหันไปถามญาติผู้น้อง “หรือว่าเราจะไปกินหญ้าอ่อนของนายไวทย์ดี ว่าไงปัถย์” ปัถย์หัวเราะร่วน ตามองเพื่อนจับสังเกต “พี่ปูรณ์ถามเจ้าของหญ้าอ่อนก่อนนะ ดูหน้าไอ้หมอมันซิ หน้าแบบนี้มันหวงก้างชัดๆ แหม… ทำมาเป็นกลุ้มที่พี่สาวเอาหญ้าอ่อนมาฝากไว้ ที่แท้เอ็งก็กังวลใจว่าจะกินแบบไหนมากกว่ามั้ง จะเล็มนิดเล็มหน่อย ชิมวันละน้อย เซาะวันละนิด หรือจะกินทีเดียวแบบถอนรากถอนโคนไปเลย” “พูดมากน่า ข้ายิ่งกลุ้มๆ อยู่” ไวทย์ทำหน้าเซ็งกระแทกตัวพิงพนักโซฟา คว้าแก้วเปล่าใส่น้ำแข็งแล้วก็เติมเหล้าลงไปก่อนจะกระดกเข้าคอเร็วๆ นั่นคืออาการของคนใช้น้ำเมาดับทุกข์ชัดๆ แต่ที่เขาเป็นอยู่มันทุกข์จริงไหม ทุกข์เพราะสิ่งที่เป็น หรือว่าทุกข์จากการไม่ยอมรับความจริง “เอ็งจะมากลุ้มทำไมวะ หนูหน่อยเธอก็น่ารักดี และถ้ามันจ
เด็กสาวอวบอัด ผิวขาวอมชมพู เอียงใบหน้าไร้เดียงสามองเขาด้วยความสงสัยใคร่รู้ตลอดเวลา ทว่าความไร้เดียงสาของหล่อนกลับกลายเป็นแรงยั่วเย้าให้เขาเพิ่มความใคร่ในตัวหล่อนเพิ่มขึ้นๆ ทุกวีรกรรมที่หล่อนทำหากมองแบบโลกสวยวิ่งอยู่กลางทุ่งหญ้าสะวันนาหรือทุ่งลาเวนเดอร์ ก็ต้องมองว่านั่นคือความไร้เดียงสาของเด็กสาวที่กำลังก้าวผ่านจากวัยสาวน้อยไปเป็นสาวรุ่นเต็มตัว ทว่าหากมองแบบสายหื่นจัดหนักก็มองว่านั่นน่ะอ่อยชัดๆ แล้วใครจะไปทนได้ เขาคนนึงแหละที่ทนไม่ได้ แล้วจากนี้ไปอีก 2 เดือน กว่ามหาวิทยาลัยจะเปิดภาคเรียน เขาจะทนอยู่กับหล่อนแบบมีระยะห่างตลอด 24 ชั่วโมงได้ยังไง เขามีเลือดมีเนื้อ แข็งไปทุกส่วน ไม่ใช่พระอิฐพระปูน รวมทั้งหล่อนก็ไม่ใช่ภาพวาดหรือรูปปั้น แต่หล่อนสาวสวยเต่งตึงไปทั้งร่าง แม้พยายามห้ามใจว่านั่นคือลูกสาวของพี่เขย แต่เขาจะทนได้สักกี่น้ำล่ะ… ใช่… สักกี่น้ำ น้ำเดียวก็ยังไม่ได้ปลดปล่อย “เอาไงล่ะไอ้เสือ นี่เครียดจนอยู่ไม่ติดบ้านเลยรึไง เป็นเอามากนะเนี่ย” ไวทย์เหลือบมองปัถย์ที่เย้าเขาไม่เลิก ก่อนจะสาดเหล้าเข้าปากหมดแก้วจ