แสงไฟวับแวมจากร้านคาราโอเกะตรงหน้าทำให้ ‘นายสัตวแพทย์ไวทย์ เวทยางค์กูร’ ตีไฟเลี้ยวเพื่อเตรียมจอด นี่คือสถานที่นัดพบของเขากับบรรดาก๊วนเพื่อนหนุ่มใหญ่ไร้เมียเคียงคู่ และเป็นที่ปลดปล่อยความต้องการในยามค่ำคืนกับสาวๆ ที่เขาพอใจหล่อนและหล่อนก็พอใจเขา ทุกอย่างแฟร์ หล่อนได้เงินส่วนเขาได้เสียววินวินกันทั้งคู่
แต่ในค่ำคืนนี้เขากลับมีเรื่องทุกข์จนไม่อยากแลกความเสียวกับใคร ที่มาก็เพราะอยากมาปรับทุกข์ และคนที่เขาจะเล่าปัญหาให้ฟังเพื่อขอความช่วยเหลือหรือคำแนะนำที่ดีก็น่าจะอยู่ในนั้น เพราะเลยเวลานัดมาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว 2 คนนั่นคงรออยู่ และก็เป็นจริงเมื่อรถยนต์ที่จอดอยู่ด้านหน้าคือรถของ ‘ปัถย์’ เจ้าของฟาร์มม้าที่ใหญ่ที่สุดในตำบล และถัดไปข้างหน้าก็เป็นรถของ ‘ปูรณ์’ เจ้าของฟาร์มวัวนมที่ใหญ่สุดในอำเภอ
ปัถย์กับปูรณ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ส่วนเขาเป็นเพื่อนของปัถย์ เลยได้สนิทสนมกับปูรณ์ และเขาก็เป็นสัตวแพทย์ประจำฟาร์มของทั้งคู่ด้วย
แค่ก้าวเข้าสู่ร้าน ‘เจ๊แหม่ม คาราโอเกะ’ เจ้าของร้านสุดสวยก็เดินยิ้มออกมาต้อนรับทันที
“มาทางนี้เลยค่ะคุณหมอ คุณปัถย์กับคุณปูรณ์รออยู่นานแล้วนะคะ มาช้าแบบนี้ของดีจะโดนแย่งชิงไปก่อน แหม่มไม่รู้ด้วยนะ”
“จริงเหรอครับ แต่ผมว่ายังไงของดีๆ ก็เหลือถึงผมอยู่แล้วล่ะ คุณแหม่มว่าอย่างนั้นไหม”
ไวทย์แตะฝ่ามือลงบนสะโพกของเจ๊แหม่ม เจ้าของร้านที่พ่วงดีกรีแม่ม่ายกระดังงาทรงเครื่อง น่ากินน่าหยอกอย่าบอกใคร แต่เจ๊แหม่มกลับไม่ยอมไปกับแขกง่ายๆ นอกจากหล่อนพอใจเท่านั้น ส่วนเด็กที่ร้าน ถ้าจะกินกับแขกก็ต้องไปกินกันข้างนอก ที่ร้านของเจ๊แหม่มเป็นแค่สถานที่พบปะเท่านั้น ถูกใจก็ไปต่อกันเองไม่เกี่ยวกับหล่อน
“โถ... คุณหมออย่ามาแซวคนแก่เลยค่ะ เดี๋ยวถ้าแหม่มเล่นด้วย คุณหมอจะหนาวนะคะ”
“หนาวไม่กลัวครับ ผมกลัวว่าจะร้อนน่ะสิ ร้อนๆ ผมชอบนะ ยิ่งร้อนมากก็ยิ่งชอบมาก และชอบที่สุดก็คือร้อนแรง”
“มัวแต่แซวอยู่นั่นแหละ ไปเถอะค่ะ ป่านนี้คุณปัถย์กับคุณปูรณ์เมาแล้วมั้ง สั่งของเข้าไปตั้งเยอะ”
เจ๊แหม่มทำเป็นเอียงอายพร้อมดุนหลังไวทย์ให้เดินตรงไปยังห้องคาราโอเกะห้องใหญ่มุมในสุดซึ่งเป็นห้องประจำของเขากับก๊วนเพื่อนซึ่งจะมาใช้บริการทุกค่ำคืนวันศุกร์ แต่เขายังอดเกาะแกะเจ๊แหม่มไม่ได้ มือไม้ไม่อยู่สุขจึงโอบเอวเจ๊แหม่มไปพลางๆ เพราะเจ๊แหม่มตรงสเปคเขาพอดิบพอดี
เขาชอบสาวสูงวัยรู้งาน ไอ้ประเภทเด็กอ่อนอ้อนโลก เขาไม่ชอบเลยจริงๆ แต่โบราณว่าไว้ไม่ผิดเลย ‘เกลียดยังไงมักได้อย่างนั้น’ แต่… เขายังไม่ได้หล่อนสักครั้งเลยนะ และไม่คิดอยากจะได้ด้วย แม้ว่าหล่อนจะอ่อยสุดๆ ก็ตาม
“ปล่อยได้แล้วค่ะคุณหมอ ถึงแล้วไม่ต้องกลัวหลงแล้วค่ะ”
“หลงทางผมไม่กลัวหรอกครับ กลัวแต่จะหลงรักนะสิ”
“แหม... เวลาไปทำคลอดวัวปากหวานแบบนี้หรือเปล่าคะ”
“แบบนี้ไม่ได้หรอกครับ”
“ทำไมล่ะคะ”
“ก็กลัวแม่วัวจะหลงรักผมน่ะสิ”
“ว้าย! คุณหมอ พูดจาน่าตีนักเชียว”
เจ๊แหม่มทำทีเป็นตีฝ่ามือบนแผงอกของไวทย์ ซึ่งไวทย์ก็ไวสมชื่อคว้าฝ่ามือนั้นบีบเบาๆ ก่อนจะนำมาวางทาบบนหน้าอกของตัวเองในตำแหน่งเหนือหัวใจ ดวงตาคมเข้มหวานฉ่ำจ้องแม่ม่ายสาวสวยตรงหน้า สายตาสยบใจหญิงส่งออกไป หวังแค่เจ๊แหม่มจะใจอ่อนกับเขาสักที
“จะรอวันที่คุณแหม่มใจอ่อนนะครับ”
“แหม่มก็จะรอวันที่คุณหมอหัวใจว่างด้วยค่ะ”
“ตอนนี้ก็ว่างอยู่นะครับ”
“เชื่อก็ออกลูกเป็นวัวแล้วล่ะค่ะ”
“ก็ดีสิครับผมจะได้ทำคลอดให้”
“ว้าย! คุณหมออ่ะ แหม่มไม่พูดด้วยแล้ว ดีแต่หยอดคนแก่ไปวันวัน ระวังเถอะ ประเดี๋ยวได้กินหญ้าอ่อนๆ ขึ้นมาก็ลืมหญ้าแก่ที่นี่”
“ไม่…”
“อะอะ… อย่าบอกนะคะว่าไม่ชอบหญ้าอ่อน แหม่มฟังแบบนี้มาบ่อยครั้งจนเบื่อแล้วค่ะ แรกๆ ก็บอกแบบนี้ทุกคน พอได้กินครั้งเดียว ที่นี้ติดใจจนกินไม่เหลือ”
“ขนาดนั้นเชียวเหรอครับ”
“ใช่สิคะ ไม่เชื่อคุณหมอก็ลองดู หรือจะพนันกับแหม่มล่ะ”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าของพนันน่าสนใจแค่ไหน”
“เอาเป็นอะไรดีนะ ตัวแหม่มดีไหมคะ ถ้าคุณหมอได้เคี้ยวหญ้าอ่อนแล้วไม่ติดใจ เชิญมารับหญ้าแก่ไปเคี้ยวได้เลย”
“ผมรับคำท้า”
“กลัวจัง”
เจ๊แหม่มหยอดคำโปรยเสน่ห์ ยิ้มเพียงนิดก่อนจะดุนหลังไวทย์เข้าไปในห้องคาราโอเกะ แต่เขาก็ยังไม่วายจะคว้ามือเจ๊แหม่มเอาไว้
“สัญญาต้องเป็นสัญญานะครับคุณแหม่ม”
“แน่นอนสิคะคุณหมอ แหม… ได้ผัวเป็นสัตวแพทย์ก็โก้ใช่หยอก ยังไงแหม่มจะรอคุณหมอมาทำให้ท้องก็แล้วกันนะคะ”
ไวทย์หยอกเย้ากับเจ๊แหม่มพอหอมปากหอมคอ ก่อนจะปล่อยให้เจ๊แหม่มไปบริการลูกค้าคนอื่นต่อ และทันทีที่เขาเปิดประตูห้องเข้าไปก็พบกับสายตาหยอกเย้า 2 คู่มองตรงมา
“อะอะ… เจ๊แหม่มน่ะของผม ห้ามพี่ปูรณ์แย่งผมเด็ดขาด เอ็งด้วยไอ้ปัถย์ห้ามแย่งข้าเด็ดขาด”
ไวทย์พูดดักคอเพราะสายตาของสองหนุ่มใหญ่ที่มองเจ๊แหม่ม ไม่ต่างจากเขาเลย ก็เพราะรสนิยมเดียวกันถึงได้คบกันเป็นเพื่อนยาวนาน และก็อยู่มาจน 30 ปลายๆ ก็ยังไม่มีใครคิดจะมีเมียเป็นตัวเป็นตน เพราะถือคติว่า ‘ลูกต้องได้แม่ที่ดีที่สุด’
แต่ที่ไหนล่ะ ที่ว่าดีที่สุด ที่นี่ ที่โน่น หรือว่าที่บ้านของเขา คิดแล้วก็ถอนใจ ทรุดตัวลงนั่งในตำแหน่งที่ว่างอยู่ แต่ก็ต้องมาสะดุดเพราะเสียงทุ้มหยอกเย้า
“แหม… ทำเป็นหวงก้าง ไหนว่าที่บ้านมีหญ้าอ่อนไง จะมาสนอะไรก็หญ้าแก่แถวนี้”
ไวทย์ตวัดสายตาเครียดๆ มองปูรณ์ หนุ่มใหญ่หน้าหล่อคมเข้มและรวยเป็นอันดับ 1 ของอำเภอ เขาลืมไปว่าในห้องคาราโอเกะนี้ คนด้านนอกมองไม่เห็นคนด้านใน แต่คนด้านในมองเห็นคนด้านนอกตลอด และ 2 พี่น้องคงเห็นเขาก้อร่อก้อติกกับเจ๊แหม่มหมดแล้ว ปูรณ์ส่งรอยยิ้มเย้าก่อนจะหันไปถามญาติผู้น้อง “หรือว่าเราจะไปกินหญ้าอ่อนของนายไวทย์ดี ว่าไงปัถย์” ปัถย์หัวเราะร่วน ตามองเพื่อนจับสังเกต “พี่ปูรณ์ถามเจ้าของหญ้าอ่อนก่อนนะ ดูหน้าไอ้หมอมันซิ หน้าแบบนี้มันหวงก้างชัดๆ แหม… ทำมาเป็นกลุ้มที่พี่สาวเอาหญ้าอ่อนมาฝากไว้ ที่แท้เอ็งก็กังวลใจว่าจะกินแบบไหนมากกว่ามั้ง จะเล็มนิดเล็มหน่อย ชิมวันละน้อย เซาะวันละนิด หรือจะกินทีเดียวแบบถอนรากถอนโคนไปเลย” “พูดมากน่า ข้ายิ่งกลุ้มๆ อยู่” ไวทย์ทำหน้าเซ็งกระแทกตัวพิงพนักโซฟา คว้าแก้วเปล่าใส่น้ำแข็งแล้วก็เติมเหล้าลงไปก่อนจะกระดกเข้าคอเร็วๆ นั่นคืออาการของคนใช้น้ำเมาดับทุกข์ชัดๆ แต่ที่เขาเป็นอยู่มันทุกข์จริงไหม ทุกข์เพราะสิ่งที่เป็น หรือว่าทุกข์จากการไม่ยอมรับความจริง “เอ็งจะมากลุ้มทำไมวะ หนูหน่อยเธอก็น่ารักดี และถ้ามันจ
เด็กสาวอวบอัด ผิวขาวอมชมพู เอียงใบหน้าไร้เดียงสามองเขาด้วยความสงสัยใคร่รู้ตลอดเวลา ทว่าความไร้เดียงสาของหล่อนกลับกลายเป็นแรงยั่วเย้าให้เขาเพิ่มความใคร่ในตัวหล่อนเพิ่มขึ้นๆ ทุกวีรกรรมที่หล่อนทำหากมองแบบโลกสวยวิ่งอยู่กลางทุ่งหญ้าสะวันนาหรือทุ่งลาเวนเดอร์ ก็ต้องมองว่านั่นคือความไร้เดียงสาของเด็กสาวที่กำลังก้าวผ่านจากวัยสาวน้อยไปเป็นสาวรุ่นเต็มตัว ทว่าหากมองแบบสายหื่นจัดหนักก็มองว่านั่นน่ะอ่อยชัดๆ แล้วใครจะไปทนได้ เขาคนนึงแหละที่ทนไม่ได้ แล้วจากนี้ไปอีก 2 เดือน กว่ามหาวิทยาลัยจะเปิดภาคเรียน เขาจะทนอยู่กับหล่อนแบบมีระยะห่างตลอด 24 ชั่วโมงได้ยังไง เขามีเลือดมีเนื้อ แข็งไปทุกส่วน ไม่ใช่พระอิฐพระปูน รวมทั้งหล่อนก็ไม่ใช่ภาพวาดหรือรูปปั้น แต่หล่อนสาวสวยเต่งตึงไปทั้งร่าง แม้พยายามห้ามใจว่านั่นคือลูกสาวของพี่เขย แต่เขาจะทนได้สักกี่น้ำล่ะ… ใช่… สักกี่น้ำ น้ำเดียวก็ยังไม่ได้ปลดปล่อย “เอาไงล่ะไอ้เสือ นี่เครียดจนอยู่ไม่ติดบ้านเลยรึไง เป็นเอามากนะเนี่ย” ไวทย์เหลือบมองปัถย์ที่เย้าเขาไม่เลิก ก่อนจะสาดเหล้าเข้าปากหมดแก้วจ
แม้สิ่งที่คนงานพูดกันจะไม่จริง แต่ที่เขาแอบสูดดมความหอมจากเรือนร่างนั้นทุกครั้งที่มีโอกาส นั่นเขาก็ปฏิเสธความคิดหื่นของตัวเองไม่ได้เลย “ว่าไง สรุปเอ็งคิดอะไรกับหนูหน่อยหรือเปล่า” สายตารู้ทันของเพื่อนกับพี่ชายเพื่อน ทำให้ไวทย์ทนไม่ไหวต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เออ… ยอมรับก็ได้ ก็คิดอยู่” “ก็แค่เนี้ย! เป็นไรไปวะ ก็แค่ยอมรับว่าอยากกินหญ้าอ่อน ถ้าเอ็งจะคิดก็ไม่ผิดหรอกว่ะ เอ็กซ์ เซ็กซ์ อึ๋มขนาดนั้น เป็นข้า ข้าก็…” “หยุดเลยนะไอ้ปัถย์ เอ็งห้ามคิด” “พี่ปูรณ์ดูมันสิ มันห้ามผมคิด แต่มันก็คิดเอง พี่ปูรณ์คิดมั้ย” ทั้งไวทย์และปัถย์จ้องหน้าปูรณ์ต้องการคำตอบ “คิดว่ะ” “พี่ปูรณ์!” ปัถย์ทุบโต๊ะขำกับท่าทางหน้าเฉยของปูรณ์ แต่ไวทย์นั้นโอดครวญราวคนชอกช้ำ ก่อนจะเข้าสู่โหมดกลุ้มใจตามเดิม ดวงตากลัดกลุ้มมองแก้วบรรจุน้ำสีอำพันในมือ เพราะใครล่ะจะไม่คิด ขนาดว่าปัถย์กับพี่ปูรณ์ยังคิดเลย แล้วเขาต้องอยู่ใกล้หล่อนทุกวันจะทนได้ยังไง “ข้ากลัวตบะแตกว่ะ” “หือ… ขนาดนั้นเชียวเหร
คำพูดคล้ายจะถูกดูดกลืนเข้าไปในลำคอเพราะไม่มีสักจุดที่ขี้ริ้ว ไม่ว่าจะเป็นคางมนที่น่าใช้นิ้วเชยขึ้นเพื่อรับจูบดูดดื่ม ปากอวบอิ่มที่ขยันทำปากเจ่อๆ เรียกร้องให้เขาบดความรุมร้อนลงไปหา จมูกโด่งน้อยๆ แต่พองาม จนเขาอยากจะคีบที่ปลายและขยี้เบาๆ อย่างมันเขี้ยว โดยเฉพาะดวงตากลมโตเต็มไปด้วยแววบ้องแบ๊ว และผิวละเอียดขาวอมชมพูน่าดมน่าลูบไล้ เพราะหล่อนได้ยีนจากทางแม่ซึ่งเป็นสาวญี่ปุ่นมาเต็มๆ ทั้งหมดนั้นเร้าอารมณ์เขาชะมัด และทุกครั้งที่หางตาเหลือบมองเส้นผมดำยาวที่หล่อนรวบไว้เป็นหางม้าปัดป่ายไปตามเรือนร่างขณะก้าวเดิน จำเพาะที่ปลายเส้นผมนั้นละอยู่บริเวณบั้นเอว นั่นยิ่งทำให้จินตนาการของเขาเพริศแพร้ว คิดไปถึงยามหางม้านั้นถูกปลดออก ปล่อยปลายผมละกับสะโพก หรือเวลาที่เส้นผมนั้นกระจายเต็มปลอกหมอน เต็มที่นอน อืม... จะเซ็กซี่ได้แค่ไหน ทั้งหมดเป็นสิ่งกระตุ้นให้เขาอยากรู้อยากลองว่าภายใต้ความบ้องแบ๊วนั้น หากหล่อนมาอยู่ใต้ร่างของเขา แววตานั้นจะมองเขาเช่นไร จะเปลี่ยนไปเป็นวาบหวามได้แค่ไหน โดยเฉพาะความอวบอิ่ม อืม… หล่อนเป็นสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นขนานแท้ เพราะส่วนนูนนั้นเด่นเกินหน้าเกินตา