แสงไฟวับแวมจากร้านคาราโอเกะตรงหน้าทำให้ ‘นายสัตวแพทย์ไวทย์ เวทยางค์กูร’ ตีไฟเลี้ยวเพื่อเตรียมจอด นี่คือสถานที่นัดพบของเขากับบรรดาก๊วนเพื่อนหนุ่มใหญ่ไร้เมียเคียงคู่ และเป็นที่ปลดปล่อยความต้องการในยามค่ำคืนกับสาวๆ ที่เขาพอใจหล่อนและหล่อนก็พอใจเขา ทุกอย่างแฟร์ หล่อนได้เงินส่วนเขาได้เสียววินวินกันทั้งคู่
แต่ในค่ำคืนนี้เขากลับมีเรื่องทุกข์จนไม่อยากแลกความเสียวกับใคร ที่มาก็เพราะอยากมาปรับทุกข์ และคนที่เขาจะเล่าปัญหาให้ฟังเพื่อขอความช่วยเหลือหรือคำแนะนำที่ดีก็น่าจะอยู่ในนั้น เพราะเลยเวลานัดมาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว 2 คนนั่นคงรออยู่ และก็เป็นจริงเมื่อรถยนต์ที่จอดอยู่ด้านหน้าคือรถของ ‘ปัถย์’ เจ้าของฟาร์มม้าที่ใหญ่ที่สุดในตำบล และถัดไปข้างหน้าก็เป็นรถของ ‘ปูรณ์’ เจ้าของฟาร์มวัวนมที่ใหญ่สุดในอำเภอ
ปัถย์กับปูรณ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ส่วนเขาเป็นเพื่อนของปัถย์ เลยได้สนิทสนมกับปูรณ์ และเขาก็เป็นสัตวแพทย์ประจำฟาร์มของทั้งคู่ด้วย
แค่ก้าวเข้าสู่ร้าน ‘เจ๊แหม่ม คาราโอเกะ’ เจ้าของร้านสุดสวยก็เดินยิ้มออกมาต้อนรับทันที
“มาทางนี้เลยค่ะคุณหมอ คุณปัถย์กับคุณปูรณ์รออยู่นานแล้วนะคะ มาช้าแบบนี้ของดีจะโดนแย่งชิงไปก่อน แหม่มไม่รู้ด้วยนะ”
“จริงเหรอครับ แต่ผมว่ายังไงของดีๆ ก็เหลือถึงผมอยู่แล้วล่ะ คุณแหม่มว่าอย่างนั้นไหม”
ไวทย์แตะฝ่ามือลงบนสะโพกของเจ๊แหม่ม เจ้าของร้านที่พ่วงดีกรีแม่ม่ายกระดังงาทรงเครื่อง น่ากินน่าหยอกอย่าบอกใคร แต่เจ๊แหม่มกลับไม่ยอมไปกับแขกง่ายๆ นอกจากหล่อนพอใจเท่านั้น ส่วนเด็กที่ร้าน ถ้าจะกินกับแขกก็ต้องไปกินกันข้างนอก ที่ร้านของเจ๊แหม่มเป็นแค่สถานที่พบปะเท่านั้น ถูกใจก็ไปต่อกันเองไม่เกี่ยวกับหล่อน
“โถ... คุณหมออย่ามาแซวคนแก่เลยค่ะ เดี๋ยวถ้าแหม่มเล่นด้วย คุณหมอจะหนาวนะคะ”
“หนาวไม่กลัวครับ ผมกลัวว่าจะร้อนน่ะสิ ร้อนๆ ผมชอบนะ ยิ่งร้อนมากก็ยิ่งชอบมาก และชอบที่สุดก็คือร้อนแรง”
“มัวแต่แซวอยู่นั่นแหละ ไปเถอะค่ะ ป่านนี้คุณปัถย์กับคุณปูรณ์เมาแล้วมั้ง สั่งของเข้าไปตั้งเยอะ”
เจ๊แหม่มทำเป็นเอียงอายพร้อมดุนหลังไวทย์ให้เดินตรงไปยังห้องคาราโอเกะห้องใหญ่มุมในสุดซึ่งเป็นห้องประจำของเขากับก๊วนเพื่อนซึ่งจะมาใช้บริการทุกค่ำคืนวันศุกร์ แต่เขายังอดเกาะแกะเจ๊แหม่มไม่ได้ มือไม้ไม่อยู่สุขจึงโอบเอวเจ๊แหม่มไปพลางๆ เพราะเจ๊แหม่มตรงสเปคเขาพอดิบพอดี
เขาชอบสาวสูงวัยรู้งาน ไอ้ประเภทเด็กอ่อนอ้อนโลก เขาไม่ชอบเลยจริงๆ แต่โบราณว่าไว้ไม่ผิดเลย ‘เกลียดยังไงมักได้อย่างนั้น’ แต่… เขายังไม่ได้หล่อนสักครั้งเลยนะ และไม่คิดอยากจะได้ด้วย แม้ว่าหล่อนจะอ่อยสุดๆ ก็ตาม
“ปล่อยได้แล้วค่ะคุณหมอ ถึงแล้วไม่ต้องกลัวหลงแล้วค่ะ”
“หลงทางผมไม่กลัวหรอกครับ กลัวแต่จะหลงรักนะสิ”
“แหม... เวลาไปทำคลอดวัวปากหวานแบบนี้หรือเปล่าคะ”
“แบบนี้ไม่ได้หรอกครับ”
“ทำไมล่ะคะ”
“ก็กลัวแม่วัวจะหลงรักผมน่ะสิ”
“ว้าย! คุณหมอ พูดจาน่าตีนักเชียว”
เจ๊แหม่มทำทีเป็นตีฝ่ามือบนแผงอกของไวทย์ ซึ่งไวทย์ก็ไวสมชื่อคว้าฝ่ามือนั้นบีบเบาๆ ก่อนจะนำมาวางทาบบนหน้าอกของตัวเองในตำแหน่งเหนือหัวใจ ดวงตาคมเข้มหวานฉ่ำจ้องแม่ม่ายสาวสวยตรงหน้า สายตาสยบใจหญิงส่งออกไป หวังแค่เจ๊แหม่มจะใจอ่อนกับเขาสักที
“จะรอวันที่คุณแหม่มใจอ่อนนะครับ”
“แหม่มก็จะรอวันที่คุณหมอหัวใจว่างด้วยค่ะ”
“ตอนนี้ก็ว่างอยู่นะครับ”
“เชื่อก็ออกลูกเป็นวัวแล้วล่ะค่ะ”
“ก็ดีสิครับผมจะได้ทำคลอดให้”
“ว้าย! คุณหมออ่ะ แหม่มไม่พูดด้วยแล้ว ดีแต่หยอดคนแก่ไปวันวัน ระวังเถอะ ประเดี๋ยวได้กินหญ้าอ่อนๆ ขึ้นมาก็ลืมหญ้าแก่ที่นี่”
“ไม่…”
“อะอะ… อย่าบอกนะคะว่าไม่ชอบหญ้าอ่อน แหม่มฟังแบบนี้มาบ่อยครั้งจนเบื่อแล้วค่ะ แรกๆ ก็บอกแบบนี้ทุกคน พอได้กินครั้งเดียว ที่นี้ติดใจจนกินไม่เหลือ”
“ขนาดนั้นเชียวเหรอครับ”
“ใช่สิคะ ไม่เชื่อคุณหมอก็ลองดู หรือจะพนันกับแหม่มล่ะ”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าของพนันน่าสนใจแค่ไหน”
“เอาเป็นอะไรดีนะ ตัวแหม่มดีไหมคะ ถ้าคุณหมอได้เคี้ยวหญ้าอ่อนแล้วไม่ติดใจ เชิญมารับหญ้าแก่ไปเคี้ยวได้เลย”
“ผมรับคำท้า”
“กลัวจัง”
เจ๊แหม่มหยอดคำโปรยเสน่ห์ ยิ้มเพียงนิดก่อนจะดุนหลังไวทย์เข้าไปในห้องคาราโอเกะ แต่เขาก็ยังไม่วายจะคว้ามือเจ๊แหม่มเอาไว้
“สัญญาต้องเป็นสัญญานะครับคุณแหม่ม”
“แน่นอนสิคะคุณหมอ แหม… ได้ผัวเป็นสัตวแพทย์ก็โก้ใช่หยอก ยังไงแหม่มจะรอคุณหมอมาทำให้ท้องก็แล้วกันนะคะ”
ไวทย์หยอกเย้ากับเจ๊แหม่มพอหอมปากหอมคอ ก่อนจะปล่อยให้เจ๊แหม่มไปบริการลูกค้าคนอื่นต่อ และทันทีที่เขาเปิดประตูห้องเข้าไปก็พบกับสายตาหยอกเย้า 2 คู่มองตรงมา
“อะอะ… เจ๊แหม่มน่ะของผม ห้ามพี่ปูรณ์แย่งผมเด็ดขาด เอ็งด้วยไอ้ปัถย์ห้ามแย่งข้าเด็ดขาด”
ไวทย์พูดดักคอเพราะสายตาของสองหนุ่มใหญ่ที่มองเจ๊แหม่ม ไม่ต่างจากเขาเลย ก็เพราะรสนิยมเดียวกันถึงได้คบกันเป็นเพื่อนยาวนาน และก็อยู่มาจน 30 ปลายๆ ก็ยังไม่มีใครคิดจะมีเมียเป็นตัวเป็นตน เพราะถือคติว่า ‘ลูกต้องได้แม่ที่ดีที่สุด’
แต่ที่ไหนล่ะ ที่ว่าดีที่สุด ที่นี่ ที่โน่น หรือว่าที่บ้านของเขา คิดแล้วก็ถอนใจ ทรุดตัวลงนั่งในตำแหน่งที่ว่างอยู่ แต่ก็ต้องมาสะดุดเพราะเสียงทุ้มหยอกเย้า
“แหม… ทำเป็นหวงก้าง ไหนว่าที่บ้านมีหญ้าอ่อนไง จะมาสนอะไรก็หญ้าแก่แถวนี้”
ไวทย์ตวัดสายตาเครียดๆ มองปูรณ์ หนุ่มใหญ่หน้าหล่อคมเข้มและรวยเป็นอันดับ 1 ของอำเภอ เขาลืมไปว่าในห้องคาราโอเกะนี้ คนด้านนอกมองไม่เห็นคนด้านใน แต่คนด้านในมองเห็นคนด้านนอกตลอด และ 2 พี่น้องคงเห็นเขาก้อร่อก้อติกกับเจ๊แหม่มหมดแล้ว ปูรณ์ส่งรอยยิ้มเย้าก่อนจะหันไปถามญาติผู้น้อง “หรือว่าเราจะไปกินหญ้าอ่อนของนายไวทย์ดี ว่าไงปัถย์” ปัถย์หัวเราะร่วน ตามองเพื่อนจับสังเกต “พี่ปูรณ์ถามเจ้าของหญ้าอ่อนก่อนนะ ดูหน้าไอ้หมอมันซิ หน้าแบบนี้มันหวงก้างชัดๆ แหม… ทำมาเป็นกลุ้มที่พี่สาวเอาหญ้าอ่อนมาฝากไว้ ที่แท้เอ็งก็กังวลใจว่าจะกินแบบไหนมากกว่ามั้ง จะเล็มนิดเล็มหน่อย ชิมวันละน้อย เซาะวันละนิด หรือจะกินทีเดียวแบบถอนรากถอนโคนไปเลย” “พูดมากน่า ข้ายิ่งกลุ้มๆ อยู่” ไวทย์ทำหน้าเซ็งกระแทกตัวพิงพนักโซฟา คว้าแก้วเปล่าใส่น้ำแข็งแล้วก็เติมเหล้าลงไปก่อนจะกระดกเข้าคอเร็วๆ นั่นคืออาการของคนใช้น้ำเมาดับทุกข์ชัดๆ แต่ที่เขาเป็นอยู่มันทุกข์จริงไหม ทุกข์เพราะสิ่งที่เป็น หรือว่าทุกข์จากการไม่ยอมรับความจริง “เอ็งจะมากลุ้มทำไมวะ หนูหน่อยเธอก็น่ารักดี และถ้ามันจ
เด็กสาวอวบอัด ผิวขาวอมชมพู เอียงใบหน้าไร้เดียงสามองเขาด้วยความสงสัยใคร่รู้ตลอดเวลา ทว่าความไร้เดียงสาของหล่อนกลับกลายเป็นแรงยั่วเย้าให้เขาเพิ่มความใคร่ในตัวหล่อนเพิ่มขึ้นๆ ทุกวีรกรรมที่หล่อนทำหากมองแบบโลกสวยวิ่งอยู่กลางทุ่งหญ้าสะวันนาหรือทุ่งลาเวนเดอร์ ก็ต้องมองว่านั่นคือความไร้เดียงสาของเด็กสาวที่กำลังก้าวผ่านจากวัยสาวน้อยไปเป็นสาวรุ่นเต็มตัว ทว่าหากมองแบบสายหื่นจัดหนักก็มองว่านั่นน่ะอ่อยชัดๆ แล้วใครจะไปทนได้ เขาคนนึงแหละที่ทนไม่ได้ แล้วจากนี้ไปอีก 2 เดือน กว่ามหาวิทยาลัยจะเปิดภาคเรียน เขาจะทนอยู่กับหล่อนแบบมีระยะห่างตลอด 24 ชั่วโมงได้ยังไง เขามีเลือดมีเนื้อ แข็งไปทุกส่วน ไม่ใช่พระอิฐพระปูน รวมทั้งหล่อนก็ไม่ใช่ภาพวาดหรือรูปปั้น แต่หล่อนสาวสวยเต่งตึงไปทั้งร่าง แม้พยายามห้ามใจว่านั่นคือลูกสาวของพี่เขย แต่เขาจะทนได้สักกี่น้ำล่ะ… ใช่… สักกี่น้ำ น้ำเดียวก็ยังไม่ได้ปลดปล่อย “เอาไงล่ะไอ้เสือ นี่เครียดจนอยู่ไม่ติดบ้านเลยรึไง เป็นเอามากนะเนี่ย” ไวทย์เหลือบมองปัถย์ที่เย้าเขาไม่เลิก ก่อนจะสาดเหล้าเข้าปากหมดแก้วจ
แม้สิ่งที่คนงานพูดกันจะไม่จริง แต่ที่เขาแอบสูดดมความหอมจากเรือนร่างนั้นทุกครั้งที่มีโอกาส นั่นเขาก็ปฏิเสธความคิดหื่นของตัวเองไม่ได้เลย “ว่าไง สรุปเอ็งคิดอะไรกับหนูหน่อยหรือเปล่า” สายตารู้ทันของเพื่อนกับพี่ชายเพื่อน ทำให้ไวทย์ทนไม่ไหวต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เออ… ยอมรับก็ได้ ก็คิดอยู่” “ก็แค่เนี้ย! เป็นไรไปวะ ก็แค่ยอมรับว่าอยากกินหญ้าอ่อน ถ้าเอ็งจะคิดก็ไม่ผิดหรอกว่ะ เอ็กซ์ เซ็กซ์ อึ๋มขนาดนั้น เป็นข้า ข้าก็…” “หยุดเลยนะไอ้ปัถย์ เอ็งห้ามคิด” “พี่ปูรณ์ดูมันสิ มันห้ามผมคิด แต่มันก็คิดเอง พี่ปูรณ์คิดมั้ย” ทั้งไวทย์และปัถย์จ้องหน้าปูรณ์ต้องการคำตอบ “คิดว่ะ” “พี่ปูรณ์!” ปัถย์ทุบโต๊ะขำกับท่าทางหน้าเฉยของปูรณ์ แต่ไวทย์นั้นโอดครวญราวคนชอกช้ำ ก่อนจะเข้าสู่โหมดกลุ้มใจตามเดิม ดวงตากลัดกลุ้มมองแก้วบรรจุน้ำสีอำพันในมือ เพราะใครล่ะจะไม่คิด ขนาดว่าปัถย์กับพี่ปูรณ์ยังคิดเลย แล้วเขาต้องอยู่ใกล้หล่อนทุกวันจะทนได้ยังไง “ข้ากลัวตบะแตกว่ะ” “หือ… ขนาดนั้นเชียวเหร
คำพูดคล้ายจะถูกดูดกลืนเข้าไปในลำคอเพราะไม่มีสักจุดที่ขี้ริ้ว ไม่ว่าจะเป็นคางมนที่น่าใช้นิ้วเชยขึ้นเพื่อรับจูบดูดดื่ม ปากอวบอิ่มที่ขยันทำปากเจ่อๆ เรียกร้องให้เขาบดความรุมร้อนลงไปหา จมูกโด่งน้อยๆ แต่พองาม จนเขาอยากจะคีบที่ปลายและขยี้เบาๆ อย่างมันเขี้ยว โดยเฉพาะดวงตากลมโตเต็มไปด้วยแววบ้องแบ๊ว และผิวละเอียดขาวอมชมพูน่าดมน่าลูบไล้ เพราะหล่อนได้ยีนจากทางแม่ซึ่งเป็นสาวญี่ปุ่นมาเต็มๆ ทั้งหมดนั้นเร้าอารมณ์เขาชะมัด และทุกครั้งที่หางตาเหลือบมองเส้นผมดำยาวที่หล่อนรวบไว้เป็นหางม้าปัดป่ายไปตามเรือนร่างขณะก้าวเดิน จำเพาะที่ปลายเส้นผมนั้นละอยู่บริเวณบั้นเอว นั่นยิ่งทำให้จินตนาการของเขาเพริศแพร้ว คิดไปถึงยามหางม้านั้นถูกปลดออก ปล่อยปลายผมละกับสะโพก หรือเวลาที่เส้นผมนั้นกระจายเต็มปลอกหมอน เต็มที่นอน อืม... จะเซ็กซี่ได้แค่ไหน ทั้งหมดเป็นสิ่งกระตุ้นให้เขาอยากรู้อยากลองว่าภายใต้ความบ้องแบ๊วนั้น หากหล่อนมาอยู่ใต้ร่างของเขา แววตานั้นจะมองเขาเช่นไร จะเปลี่ยนไปเป็นวาบหวามได้แค่ไหน โดยเฉพาะความอวบอิ่ม อืม… หล่อนเป็นสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นขนานแท้ เพราะส่วนนูนนั้นเด่นเกินหน้าเกินตา
“สวัสดีค่ะน้าปัถย์ ลุงปูรณ์” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กสาวหน้าแฉล้มเปล่งทักทายทันทีที่เห็นหน้ากันชัดๆ ทว่าคนถูกเรียกไม่ได้ยินดีสักนิด ปูรณ์เม้มปากหน้านิ่ง ส่วนปัถย์เปลี่ยนเป็นขรึมตามพี่ชาย คิดโกรธคนที่ทำให้หนูหน่อยเรียกพวกเขาแบบนี้ “ทำ… ทำไมอาไวทย์เมาแบบนี้ล่ะคะ” “ครายเมา… ม่ายเมาสักนิด แค่สนุกนิดหน่อย เอิ้ก! จริงมั้ยปัถย์ พี่ปูรณ์” คนปฏิเสธความเมาหันถามคนด้านข้างทั้งสอง ก่อนจะหันมองเจ้าของหน้าจิ้มลิ้มที่ยืนอยู่ด้านหน้า รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดวาบบนใบหน้า สายตาไล่มองต่ำลงต่ำลงเรื่อยๆ จากใบหน้าสู่ปลายคาง สู่ทรวงอก และไปถึงหน้าท้อง จนหนูหน่อยสะท้านเฮือก ฝ่ามือกระชับสาบเสื้อคลุมชุดนอนเข้าหากันอัตโนมัติ ทั้งหมดนั้นปูรณ์กับปัถย์เห็น “อย่าเพิ่งถามเลย หนูหน่อยนำไปที่ห้องของนายไวทย์เถอะ ฉันกับนายปัถย์จะพาไปส่งถึงห้อง ไม่งั้นหนูหน่อยพาไปไม่ไหวแน่” “ค่ะ ลุงปูรณ์กับน้าปัถย์ ตามหนูหน่อยมาทางนี้นะคะ” หนูหน่อยหันหลังเดินนำไป จึงไม่ทันเห็นใบหน้าตึงๆ ของสุดหล่อสองพี่น้อง ต่างฝ่ายต่างคิดไปคนละอย่าง ปัถย์คิดหาทางแก้เ
หล่อนโชคดีที่พ่อแต่งงานกับอาวิว เพราะอาวิวเป็นแม่เลี้ยงที่ดีที่สุดในโลก แล้วเรื่องที่หล่อนจะมาอยู่กับหมอไวทย์ พ่อหล่อนดูราวจะไม่ทุกข์ร้อน มีแต่อาวิวที่สอนหล่อนสารพัด สอนให้หล่อนหวงเนื้อหวงตัว อย่ายอมให้ไวทย์ใกล้ชิดจนเกินงาม แต่อาวิวจะรู้บ้างไหมว่าหล่อนไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดเขาสักครั้ง แต่ยิ่งเขาหมางเมิน หล่อนกลับอยากใกล้เขาให้มากที่สุด “หนูหน่อย ดูแลไวทย์ด้วยล่ะกัน” หนูหน่อยสะดุ้งเล็กน้อยตื่นจากภวังค์ ก่อนจะยิ้มหวานให้กับลุงและน้าของเพื่อน เพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินจนไม่ทันมองว่าหมอไวทย์นอนที่เตียงกว้างเรียบร้อยแล้ว และสภาพของคนเมาก็ดูราวจะสิ้นฤทธิ์ “หนูหน่อยเช็ดตัวเป็นมั้ย” คำถามของปูรณ์ ทำให้ปัถย์และหนูหน่อยหันมองเขา ก่อนที่ปัถย์จะทำหน้าเฉยๆ นั่นคือหนูหน่อยจะต้องเป็นคนตอบคำถาม “ปะ… เป็นค่ะ” “อย่างนั้น อืม… เช็ดแค่หน้าพอนะ ให้มันสดชื่นหน่อยก็พอ ไม่ต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามันล่ะ ให้มันนอนเหนียวตัวแบบนี้แหละ ดันดื่มไม่คิด ต่อไปมันจะได้จำ ไม่ระบายอารมณ์กับเหล้าอีก” “เออ… อาไวทย์มีเรื่องกลุ้มเหรอคะ” “
หนูหน่อยแตะฝ่ามือที่ประตูตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน สูดลมหายใจเข้าลึกรวบรวมความกล้า หล่อนกำลังก้าวล้ำความเป็นส่วนตัวของเขาอีกก้าว ห้องแต่งตัวของชายโสดไม่เหมือนอย่างที่หล่อนเคยคิดเอาไว้สักนิด เพราะคุณหมอไวทย์ค่อนข้างจะเรียบร้อยหรือนั่นอาจเพราะมีแม่บ้านมาคอยจัดเตรียมเสื้อผ้าเอาไว้ให้ก็เป็นไปได้ เสื้อผ้าถึงได้ถูกจัดเรียงเป็นระเบียบไม่รกและล้นออกมาด้านนอกตู้ ตู้แรกเป็นเสื้อยืดสีขาวที่หล่อนเห็นเขาใส่เป็นเสื้อตัวในทุกวัน ด้านล่างเป็นกางเกงชั้นในและกางเกงบ๊อกเซอร์ซึ่งถูกพับเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ผิวแก้มร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงประโยชน์ใช้สอยของกางเกงเหล่านี้ จริงอยู่ว่าเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ ก็สวมกางเกงในกันทั้งนั้น แต่หล่อนไม่เคยอยู่ใกล้ชิดกางเกงในของผู้ชายคนไหนมาก่อนเลยนี่นา เห็นใกล้ๆ จำนวนเป็นโหลแบบนี้ หล่อนจะไม่อายได้อย่างไร แต่ต้องสะกดใจ หล่อนต้องการเพียงผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กที่จะซับน้ำได้เท่านั้น มือเปิดช่องลิ้นชักเหนือชั้นกางเกงใน เป็นไปได้ว่าช่องนี้อาจเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนุ่มขนาดเล็กเอาไว้เพราะว่าโซนนี้เป็นโซนชุดชั้นใน ทว่าเพียงลิ้นชัก
“อาไวทย์!” หนูหน่อยชักข้อมือออกแต่อาไวทย์ก็ยื้อไว้แน่นไม่ยอมปล่อย นั่นทำให้คำเตือนของอาวิวแวบเข้ามาในหัว หล่อนกำลังจะพลาด แต่หล่อนไม่ยอมแน่ “อาไวทย์ นี่หนูหน่อยนะคะ มองหน้าค่ะ มองหน้า!” หนูหน่อยเสียงดัง ชี้หน้าตัวเองให้ไวทย์มองหน้าหล่อนให้ชัดๆ “รู้น่า… ว่าหนูหน่อย นมโตขนาดนี้ใครจะไปลืมได้ เห็นใกล้ๆ แบบนี้ก็ยิ่งโต โตโต๊โต… โอ้โห… อยากจับจัง จะนุ่ม แน่น สู้มือขนาดไหน อูย... ถ้าได้ดูด ซี้ด... คงจะมันส์ลิ้น โอ้ว! บักแตงโม!” “อาไวทย์!” หนูหน่อยกอดอกตัวเองทันที เพราะอาไวทย์ของหล่อนน่าจะเมาได้ที่ ไม่งั้นคงไม่พูดทะลึ่ง ใช้น้ำเสียงกระเส่า ดวงตาหื่นกระหาย พร้อมแลบลิ้นออกมาเลียปากอย่างนั้นแน่ “อาไวทย์เมาแล้วก็นอนเถอะค่ะ หนูจะกลับห้องแล้ว” “ไม่ให้กลับ จะกลับได้ยังไง ยังยั่วไม่ขึ้นเลย” “อาไวทย์! พูดบ้าอะไร ใครไปทำแบบนั้นกัน อาไวทย์! ปล่อยหนู ว้าย!” หนูหน่อยร้องลั่นเมื่อข้อมือเล็กถูกกระชากเข้าใกล้จนร่างเต่งตึงไปทุกสัดส่วนถลาขึ้นไปเกยอยู่บนอกของเขา ความอวบนูนของหล่อนเสี
คุณปูรณ์พาหล่อนก้าวเดินเข้ากระโจม ด้านในนั้นมีเตียงนอนสีขาวสะอาดตาถูกจัดเตรียมไว้ไม่ต่างจากที่หล่อนเคยเห็นตอนส่งตัวน้ำว้าเข้าหอ หมอนสองใบวางเคียงกัน บนเตียงมีกลีบกุหลาบสีชมพูตกแต่งเป็นรูปหัวใจจนทั่วทั้งห้องมีแต่กลิ่นกุหลาบ เจ้าบ่าวหล่อที่สุด ค่อยๆ วางหล่อนบนที่นอนก่อนที่เขาจะทาบทับลงมา และทำท่าจะ... “คุณปูรณ์คะ... แขกยังอยู่เลยนะคะ” หล่อนเอียงหน้าหลบจมูกโด่งที่ซุกไซ้ซอกคอ “อยู่แล้วยังไง เจ้าบ่าวพาเจ้าสาวเข้าหอ ใครๆ เขาก็รู้ว่าจะทำอะไรกัน” จมูกโด่งซุกไซ้ข้างแก้ม ใบหู ไรผม ต้นคอ พร้อมริมฝีปากพูดแนบชิดจนหล่อนเริ่มหายใจติดขัด คุณปูรณ์กำลังปลุกอารมณ์หล่อน และหล่อนก็ร้อนง่ายเหลือเกิน “วันนี้เอื้อมเป็นของฉันจริงๆ แล้วนะ และฉันก็เป็นของเอื้อม เป็นของเอื้อมคนเดียวตลอดไป เข้าหอกันนะทูนหัว ไม่เช้าไม่ออก” ปูรณ์ยิ้มกับเจ้าของใบหน้าสวยที่ส่งรอยยิ้มแสนหวานมาให้ เพราะแปลว่าหล่อนยินยอม ริมฝีปากอุ่นจัดทาบลงบนกลีบปากบอบบางก่อนจะละเลียดปลายลิ้นเข้าชอนชิมความหวาน จากนั้นก็ไม่มีพื้นที่ใดทั่วทั้งร่างกายของเอื้อมดาวที่ร
สายตาร้อนแรงราวกับเป็นเอื้อมดาวคนละคนมองตรงไปยังกายแกร่งที่เดินไปนั่งพิงแผ่นหลังหน้าก้อนฟางอัดแน่นจนเป็นโซฟาตัวยาวบุเบาะนวมนุ่ม ดวงตาคมเข้มจ้องมองมาที่หล่อน มือก็สาวความแข็งแกร่งรอคอย เอื้อมดาวรู้หน้าที่ดี หล่อนคลานเข้าหา ลีลาไม่ต่างจากนางแมวยั่วสวาท ตาก็จองมองสิ่งนั้น สิ่งที่จะเติมเต็มความร้อนรุ่มรุนแรงของหล่อนให้บรรเทา สิ่งที่จะสอดแทรกสู่ร่างกายและทำให้หล่อนไม่ทรมาน แต่เมื่อมือน้อยๆ ไขว่คว้าได้ คุณปูรณ์กลับรั้งร่างหล่อนขึ้นมาจูบ “คุณปูรณ์ขา... ซี้ด... ขอหนูนะคะ หนูอยากได้ ซี้ด... ขอหนู... คุณปูรณ์ขา...” “อืม... ใจเย็นๆ นะเอื้อมจ๋า... ฉันยังเล็มหญ้าอ่อนไม่อิ่มเลย” เอื้อมดาวมองเขาฉงน เขาจะกินหล่อนต่อ... ยังไง และเขาก็บอกวิธีการกิน แต่หล่อนไม่กล้า แม้จะอยากจนกอหญ้าเต้นระริกคันยิบ “มาเถอะเอื้อมจ๋า... เอามาให้ฉันกิน” “มัน... เอ่อ... จะดีเหรอคะ หนู...” “เอื้อมรู้ว่ามันจะดี มาเถอะ ฉันหิว...” คำว่า ‘หิว’ มาพร้อมกับคุณปูรณ์แหงนศีรษะพาดไว้ที่เบาะนุ่ม ปลายลิ้นที่แลบออกมาส่ายร่อนอยู่เหนือริมฝีปาก
สิ่งแรกที่เห็นคือเขายิ้มกว้าง ดวงตาคมเข้มมีแววสนุกเหล่ตาไปข้างซ้ายข้างขวาคล้ายจะให้หล่อนมองตาม และสิ่งที่เห็นก็ทำให้หล่อนตื่นตะลึง มือป้องปิดริมฝีปากที่พร้อมจะเปล่งเสียงร้องไห้โฮ เพราะทั่วบริเวณคือสถานที่จัดงานแต่งงานขนาดย่อมท่ามกลางบรรยากาศของโรงนา มีเวทีขนาดเล็กอยู่สุดทางเดิน มีภาพของหล่อนกับเขาในหลากอิริยาบถประดับไปทั่ว “อยู่ที่นี่ด้วยกันนะเอื้อม อ้อมกอดนี้และหัวใจดวงนี้เป็นของเอื้อมจริงๆ” “คุณปูรณ์ล้อหนูเล่นหรือเปล่าคะ หรือหนูฝัน” เอื้อมดาวขยับยุกยิกเหมือนจะหยิกตัวเอง ทำให้ปูรณ์ยิ่งขำ เขากอดรัดร่างหอมกรุ่นแน่นขึ้น จดจมูกที่หน้าผากและเรือนผมนุ่ม อยากกอดรัดหล่อนแบบนี้ทั้งวันทั้งคืน ไม่อยากให้เอื้อมดาวห่างหายไปไหน ช่วงเวลาเกือบ 1 เดือนที่มีร่างเล็กๆ นี้นอนแนบข้าง ไม่เคยมีค่ำคืนใดที่ว่างเว้น เรียกได้ว่าแค่ขอให้มีโอกาส เขาก็พร้อมจะพาเอื้อมดาวโลดแล่น และเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่หล่อนขอไปหาฟ้ารุ่งที่ร้าน เขาก็แทบจะขาดใจ แล้วเดือนหน้าหล่อนต้องไปเรียน เขาไม่ต้องตามไปเฝ้ากันเลยเหรอ เวลานี้เขารู้แล้วว่าความรักมันมีอานุภาพร้า
แม่เปิดปากเล่าเรื่องราวที่ทำให้พ่อลาออกจากงานที่ฟาร์มแล้วมาเปิดร้านวัสดุการเกษตร เพียงเพราะเพื่อนนินทาว่าพ่อเลี้ยงแม่เหมือนเมียเก็บ วันวันอยู่แต่ไร่แต่ฟาร์ม เพราะว่าแม่อายุห่างจากพ่อมาก แม่จึงร่ำร้องให้พ่อตามใจ เพราะอยากประกาศให้เพื่อนฝูงรู้กันให้ทั่วว่าแม่เป็นเมียของพ่อ เป็นเจ้าของร้านค้า โดยที่แม่ไม่คำนึงถึงความไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน “พ่อรักแม่มากเลยนะคะ” “ใช่ พ่อรักแม่มาก แต่แม่เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เอง” “คะ...” “เพราะเอื้อมไงละ เอื้อมทำให้แม่เห็นว่าพ่อรักแม่มากแค่ไหน” เอื้อมดาวพยักหน้ารับทั้งน้ำตา “ตอนนั้นแม่เพิ่งสิบแปด ยังเด็กมาก มีลูกก็ไม่อยากจะเลี้ยงด้วยซ้ำ อยากแต่งตัวสวยๆ อยากให้คนมองอย่างชื่นชม แต่เอื้อมไม่เหมือนแม่นะ เอื้อมเป็นผู้ใหญ่กว่าแม่มาก เอื้อมเข้มแข็งและแม่มั่นใจว่าเอื้อมจะทำได้ดีกว่าแม่ ที่สำคัญคุณปูรณ์เขาไม่ได้เห็นเอื้อมเป็นเมียเก็บ เชื่อแม่” .. เอื้อมดาวกลับเข้ามาที่ฟาร์มช่วงบ่าย แต่ยังไม่ทันได้เข้าบ้านพัก คนงานก็มาบอกว่าคุณปูรณ์ให้หล่อนไปพบที่โรงนาหลังเก่าที่กำลังปรับปรุงไว้ส
แกร๊ก... ฟ้ารุ่งผินมองคนที่เปิดประตูห้องเข้ามา ก่อนจะหันไปสนใจเครื่องประทินผิวหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หล่อนต้องรีบแต่งหน้าให้เสร็จเร็วไว เพราะใกล้เวลาเปิดร้านเต็มที ทว่าคนที่เดินเข้ามาแล้วไม่พูดอะไรก็ทำให้ฟ้ารุ่งหงุดหงิด “แกจะพูดอะไรก็พูดมา ฉันไม่มีเวลามานั่งฟังแกทั้งวันหรอกนะ” คำพูดห้วนจากน้ำเสียงหวานๆ ของแม่ทำให้เอื้อมดาวเม้มริมฝีปากแน่น ขอบตาร้อนผ่าว คงไม่มีวันที่จะพูดจาดีๆ กันอีกแล้ว แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมาเกือบเดือน จนแน่ใจว่าไอ้เสี่ยโบ้จะไม่มาวุ่นวายกับแม่กับหล่อนอีก คุณปูรณ์จึงอนุญาตให้แม่กลับมาดูแลร้านได้ และคุณปูรณ์ก็ยืนยันว่าเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์กับแม่ เขาแค่ยั่วหล่อนเล่น แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนกับแม่ก็ยังเหมือนคนแปลกหน้ากันอยู่ดี หรืออาจเรียกได้ว่าตั้งแต่วันนั้นก็แทบเป็นคนไม่รู้จัก เพราะแม่ไม่เคยพูดกับหล่อนอีกเลย แต่หล่อนล่ะ หล่อนจะทนอยู่ในสภาพแบบนี้ได้เหรอ อยู่แบบไม่มีแม่ แม้แม่จะไม่เห็นว่าหล่อนเป็นลูก แต่แม่ก็เป็นแม่ของหล่อนเสมอ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ “แม่ยังโกรธหนูอยู่เหรอคะ” ฟ้ารุ่งชะงักมือท
เอื้อมดาวล่องลอยไปกับความปรารถนาเพราะทุกจุดสัมผัสบนร่างกายถูกจู่โจมพร้อมๆ กัน จนหล่อนทนไม่ไหว เป็นฝ่ายยิ่งบดเบียดเสียดสีดอกไม้งามที่ฉ่ำเยิ้มไปด้วยหยาดน้ำหวานกับความแข็งแกร่งของเขา จนในที่สุด ทุกอย่างก็ถูกสอดใส่ ทั้งๆ ที่หล่อนและเขายังสวมใส่เสื้อผ้าครบ นั่นทำให้เอื้อมดาวได้อีกประสบการณ์ความเสียวที่เพียงแหวกช่องทาง ทุกอย่างก็สอดใส่เข้าหากันได้ “อ่ะ...” หล่อนชะงักร่าง เพราะสิ่งที่หล่อนนั่งทับให้สอดแทรกเข้าสู่ร่างกาย ใหญ่จนหล่อนไม่กล้าทิ้งตัวนั่งลงไปตรงๆ “เจ็บเหรอ” “ไม่ค่ะ หนู... หนูแค่ตกใจ... เอ่อ... คุณปูรณ์ใหญ่” หล่อนตอบแต่เขากลับหัวเราะ “คุณปูรณ์หัวเราะอะไรคะ” “ก็หัวเราะคนพูดตรง” “เอ่อ... ไม่ดีเหรอคะ หนู... ไม่ควรพูดเหรอคะ” “ไม่ใช่ไม่ควร ควรมากเลยละ เพราะยิ่งพูด... ฉันก็ยิ่งแข็ง” “ว้าย! คุณปูรณ์...” เอื้อมดาวผวาเพราะสิ่งที่แข็งเด้งสวนขึ้นมาพร้อมกับฝ่ามือแกร่งที่ขยับโขยกสะโพกของหล่อนเร็วรี่ จนเสียงร้องตกใจกลายเป็นเสียงครวญครางไม่ขาดปาก จากนั้นเสียงของเขาเสียงของหล่อนก็สอดประสาน เ
ดวงตาคมเข้มกร้าวขึ้นทันทีที่ไอ้เสี่ยโบ้พูดจบ ทว่าแววตาก็ต้องอ่อนลงเมื่อฝ่ามือนุ่มนิ่มของใครบางคนเอื้อมมากระชับที่ต้นแขน “หือ...” เขาทำเสียงน้อยๆ ในลำคอ เชิงถามว่าหล่อนต้องการอะไร “เขาหมายความว่าอะไรคะ” น้ำเสียงกระซิบแผ่วเบาทำให้ปูรณ์ต้องกระชับฝ่ามือนุ่ม บีบเบาๆ ให้คลายความกังวล “ไม่มีอะไร เอื้อมออกไปข้างนอกก่อนนะ ทางนี้ฉันจัดการเอง” เขาตอบเสียงนุ่มแผ่วเบา ก่อนจะเรียกเป้ยที่ยืนอยู่ไม่ไกลให้มาพาเอื้อมดาวออกไปก่อน “จะรีบไปไหนล่ะครับดอกเบี้ย ยังไม่ได้เก็บสักดอก” ทว่าคำพูดของไอ้เสี่ยโบ้กลับทำให้เอื้อมดาวชะงักหันมองตื่นตะลึง ก่อนจะได้ยินเสียงแม่กรีดร้องคร่ำครวญ แต่หล่อนก็ได้สติเมื่อฝ่ามืออบอุ่นบีบกระชับ ม่านน้ำตาที่ก่อเกิดทำให้เห็นทุกสิ่งรางเลือนแต่กลับเห็นแววอ่อนโยนจากดวงตาคมเข้มชัด “ออกไปก่อนนะเอื้อม เชื่อฉัน” “แต่แม่...” “ไม่มีแต่อะไรทั้งสิ้น ทางนี้ฉันจัดการเอง” เอื้อมดาวพยักหน้าทั้งที่สั่นสะอื้น แต่แค่หล่อนลุกขึ้น เหล่าบอดี้การ์ดของไอ้เสี่ยโบ้ก็เข้ามาล้อมจน
สิ่งที่ปูรณ์ให้นทีไปทำก็คือ ให้ทนายเข้ามาดูแลเรื่องการโอนโฉนดที่ดินและบ้านหลังนี้ให้เป็นชื่อของเขา เพราะตอนที่ฟ้ารุ่งมาอ้างว่าจะนำเงินไปปรับปรุงร้าน เขาให้ทนายทำเป็นสัญญาขายฝากเอาไว้ แล้วหล่อนไม่สนใจสิ่งใดมากกว่าได้เงินครบตามที่ต้องการหรือเปล่า ดังนั้นการลงชื่อในเอกสารทุกแผ่น จึงไม่ใช่สิ่งที่ฟ้ารุ่งจะสนใจ แน่นอนว่าเอกสารเหล่านั้นมีใบมอบอำนาจให้ทนายดำเนินการแทนฟ้ารุ่งได้ทุกอย่าง ซึ่งเขาไม่เคยอยากให้เป็นแบบนี้ แต่ต้องกันเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นป่านนี้บ้านพร้อมที่ดินผืนนี้คงกลายเป็นของไอ้เสี่ยโบ้ไปแล้ว ตอนนั้นเขาถือว่าทำเพราะต้องการรักษาทรัพย์สินของพิภพไว้ให้ลูกสาว ส่วนเป้ยนั้นเขาให้ไปส่งข่าวให้ไอ้เสี่ยโบ้รู้ว่าเขาแต่งตั้งผู้จัดการคนใหม่เข้ามาบริหารงานที่ร้านนวดแทนฟ้ารุ่ง เพราะเขาซื้อกิจการต่อจากฟ้ารุ่งแล้ว ดังนั้นฟ้ารุ่งไม่มีสิทธิ์จะเอาบ้านและที่ดินผืนนี้ไปใช้หนี้เสี่ยโบ้อีก และคำสั่งของเขา ส่งผลให้ร้านนวดของฟ้ารุ่งมีแขกมาเยี่ยมเยือนในทันที “ผมได้ข่าวว่าคุณปูรณ์มาเทคโอเวอร์ร้านนวดของฟ้ารุ่ง” ปูรณ์มองผู้ชายวัย 30 กว่า แต่งกายด้วย
เอื้อมดาวมองสำรวจใบหน้าของคนหล่อ ค่อยๆ แตะนิ้วมือที่แนวคิ้วเข้ม เปลือกตาของเขาที่หลับพริ้ม สันจมูกโด่ง และลงมาถึงริมฝีปาก ทุกสิ่งจริงจนหล่อนต้องหลับตาส่ายหน้า ขอให้เมื่อหล่อนลืมตาอีกครั้งนี่จะไม่เป็นเพียงความฝัน ทั้งหมดที่หล่อนเห็นและจับต้องได้อยู่ขณะนี้คือความจริง “อุ้ย!” สิ่งที่ยืนยันได้ไม่ใช่ตาหล่อนที่เห็น แต่เป็นริมฝีปากร้อนผ่าวอ้าอมปลายนิ้วของหล่อนเอาไว้ และเมื่อหล่อนลืมตามอง คุณปูรณ์ก็ตอกย้ำความจริงด้วยการรั้งศีรษะหล่อนเข้าหาและมอบความรุมร้อนแนบริมฝีปากของหล่อน จูบเร่าร้อนแต่หวานที่สุดละเลียดไล้อยู่บนกลีบปากหวาน จนหล่อนมึนงงสับสนจนต้องโอบท่อนแขนรอบลำคอของเขา คุณปูรณ์ทำให้หล่อนล่องลอยราวกำลังไต่ขึ้นสวรรค์ ร่างกายของหล่อนบางเบา มีแต่แสงสีขาวรายล้อม ความสุขกำลังก่อตัว ความทุกข์ที่หล่อนคิดว่ามากมายพลันสลายไปไม่หลงเหลือ อา... ร่างกายหล่อนเบาหวิว ก่อนจะนอนราบบนที่นอนนุ่ม โดยมีเขาทาบทับ “คุณปูรณ์...” “หืม... ว่าไง” ชื่อของเขาเปล่งออกจากปาก หล่อนเห็นเขาฟอนเฟ้นเต้าอวบอัด ที่หล่อนไม่รู้ตัวเลยว่าเสื้อผ้าหลุ