ซูเจินจูออกจากบ้านตระกูลซูมาพร้อมสี่เสวี่ยตรงเข้าไปที่ “ร้านผ้าซูเตี้ยน”
“คุณหนูสี่มาแล้ว” หลงจู๊ออกมาตอนรับซูเจินจูอย่างคุ้นเคย น้ำเสียงเจือความห่วงใย หลงจู๊ผู้นี้ทำงานอยู่ที่ร้านผ้าซูเตี้ยนมาตั้งแต่เริ่มเปิดร้านใหม่ๆ ได้รับความไว้ใจจากนายท่านผู้เฒ่าซูมาก ยิ่งเห็นซูเจินจูมาตั้งแต่เกิดจนโต ได้ยินข่าวเสียหายที่เพิ่งเกิดขึ้นแล้วยิ่งเป็นห่วงคุณหนูผู้นี้จากใจจริง
“ทำให้ท่านลุงฝูเป็นห่วงแล้ว”
“คุณหนูรีบเข้าไปข้างในก่อนเถอะขอรับ” หลงจู๊พยายามพูดให้ซูเจินจูเข้าไปด้านในให้ได้ ด้วยเห็นสายตาจากหลายๆคนมองมาที่ซูเจินจูอย่างอยากรู้อยากเห็น เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนนายอำเภอได้ถูกเล่าลือออกไปอย่างกว้างขวาง แต่ซูเจินจูกลับเพียงยืนนิ่งๆอยู่ตรงนั้นสักพัก หลังทักทายกันอีกสองสามประโยค ซูเจินจูจึงขอตัวเข้าไปดูเอกสารที่ห้องทำงานบนชั้นสอง
ร้านผ้าซูเตี้ยนเป็นร้านผ้าที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของอำเภอเหอ ขายผ้าพับและเสื้อคลุมขนสัตว์
ผ้าพับหนึ่งพับยาวห้าฉื่อ เพียงพอสำหรับตัดชุดผู้ใหญ่ได้หนึ่งชุด ผ้าฝ้ายหยาบหนึ่งพับราคาสามร้อยอีแปะ ผ้าฝ้ายละเอียดพับละห้าร้อยอีแปะ ผ้าต่วนพับละหนึ่งตำลึง ผ้าไหมพับล่ะสิบห้าตำลึง ผ้าไหมชั้นดีจากอำเภอกุ้ยพับละสามสิบตำลึง ผ้าไหมหยกที่ทอโดยโรงงานของคุณหนูจิวอิงพับละห้าสิบตำลึง ผ้าแต่ละพับร้านผ้าซูเตี้ยนจะได้กำไรสามส่วน
เสื้อคลุมขนสัตว์ของร้านผ้าซูเตี้ยนเป็นของขึ้นชื่อของอำเภอเหอ ในทุกๆวันร้านผ้าซูเตี้ยนจะรับซื้อขนกระต่าย หนังกวาง ขนหมาป่า ขนจิ้งจอก หนังหมีและหนังเสือ จากชาวบ้านและนายพราน มีบางครั้งที่เหลาอาหารนำหนังสัตว์มาขายให้บ้าง
ร้านผ้าซูเตี้ยนรับซื้อขนกระต่ายที่สมบูรณ์ตัวละสามร้อยอีแปะ ผ้าพันคอขนกระต่ายหนึ่งผืนใช้กระต่ายหกตัว ขายได้ผืนละสิบสองตำลึง เสื้อคลุมขนกระต่ายหนึ่งตัวใช้กระต่ายยี่สิบตัวขายได้ตัวละสามสิบตำลึง ในหนึ่งปีผลิตผ้าพันคอได้หนึ่งร้อยผืน ผลิตเสื้อคลุมได้หกสิบตัว ทำเงินได้ปีละ สามพันตำลึง
ขนหมาป่าหนึ่งตัวสิบแปดตำลึง ใช้หมาป่าสองถึงสามตัวเผื่อผลิตเสื้อคลุมหนึ่งตัว สามารถขายได้ถึงตัวละหนึ่งร้อยตำลึง เสียดายที่หมาป่าไม่ได้จับได้ง่ายเหมือนกระต่าย แต่ละปีสามารถทำเสื้อคลุมออกมาขายได้เพียง ห้าถึงหกตัวเท่านั้น
ขนจิ้งจอกหนึ่งตัวยี่สิบตำลึง หากเป็นจิ้งจอกแดงจะได้ราคาถึงยี่สิบห้าตำลึง ต้องใช้จิ้งจอกสี่ถึงห้าตัวกว่าจะได้เสื้อคลุมหนึ่งชุด แต่ละปีผลิตได้เพียงสองถึงสามตัว แต่ราคาก็ได้มากถึงตัวละสองร้อยตำลึง
หนังกวาง หนังหมีและหนังเสือ นิยมใช้ตกแต่งห้องและให้เป็นของกำนันแก่ขุนนาง รับซื้อหนังกวางห้าสิบตำลึง หนังหมีห้าร้อยตำลึงและหนังเสือแปดร้อยตำลึง เมื่อนำเข้าไปขายในเมืองหลวง หนังกวางจะมีราคาถึงหนึ่งร้อยตำลึง หนังหมีและหนังเสือจะมีราคาหนึ่งพันถึงสามพันตำลึง
ในแต่ละปีรายได้จากร้านผ้าซูเตี้ยนมากถึงสามหมื่นตำลึงแม้ต้องหักทุนออกหลายส่วนแต่ก็ถือว่าเป็นเศรษฐีเมื่อเทียบกับชาวบ้านที่มีรายได้เพียงเดือนละสองตำลึง
หลังจากทำความเข้าใจอย่างละเอียดแล้วความสนใจของซูเจินจูพุ่งไปที่ผ้าพับมีตำหนิ ในแต่ละปีจะมีผ้าพับที่มีตำหนิจากการขนส่งหรือสะเพร่าของคนงานทั้งเลอะและฉีกขาดหลายร้อยพับ ในช่วงแรกหลงจู๊เสียดายผ้ามีตำหนิจึงมาผ้าออกมาขายในราคาถูก แต่กลับกลายเป็นว่าเหล่าคนมีเงินหายหน้าหายตาไม่มาซื้อผ้าที่ร้านเพราะไม่พอใจที่ผ้าที่ตนเคยซื้อถูกนำมาขายในราคาถูกแม้จะเป็นผ้ามีตำหนิก็ตาม กว่าหกเดือนที่เหล่าคนรวยในอำเภอไม่ย่างกรายเข้ามาในร้านผ้าซูเตี้ยนจนนายท่านซูต้องไปติดต่อขอซื้อผ้าไหมหยกของคุณหนูจิวอิงมาขายที่ร้าน จึงทำให้ข้ามวิกฤตนั้นมาได้
ซูเจินจูคิดอยากจะพิมพ์ลายบนผ้าแต่ติดตรงอุปกรณ์ต่างๆของที่นี่ หากพิมพ์ลายลงบนรอยเปื้อนบนผ้าได้ ผ้าก็จะไม่ต้องทิ้งและยังขายได้ราคาแพงกว่าเดิมด้วย แต่วิธีการทำลายบนผ้าสมัยนี้มีเพียงการปักผ้าเท่านั้น
“สี่เสวี่ย ข้าอยากขึ้นไปบนเขา” อยู่ๆอยากขึ้นเขา นางคงไม่ว่าข้าบ้าหรอกใช่ไหม
“หากคุณหนูอยากขึ้นเขา คุณหนูต้องออกจากอำเภอ ผ่านตำบล ไปยังหมู่บ้านตามเชิงเขาเจ้าค่ะ บ่าวเคยได้ยินพี่อิงเถากับพี่อิงชุ่ยสาวใช้ของคุณหนูใหญ่เล่าให้ฟังว่าพวกนางติดตามคุณหนูใหญ่ไปสวนดอกเหมยหมู่บ้านจั๋วมู่เขตตำบลไป๋ซีด้วยนะเจ้าคะ คุณหนูให้บ่าวเตรียมของเลยไหมเจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้อยากชมดอกไม้ ข้าอยากเข้าไปหารังผึ้ง แต่เดี๋ยวข้าต้องเตรียมยาไล่ผึ้งก่อนถึงจะเข้าไป” เพ้ย เจ้าเด็กนี่พูดง่ายดีจริงๆ
“รังผึ้งหรือเจ้าคะ ถึงเป็นรังผึ้งสีขาวๆ ตามร้านชำก็มีขายนะเจ้าคะ เมื่อปีก่อนมีหมอจากอำเภอฉงมารับซื้อรังผึ้งเจ้าค่ะ บอกให้ชาวบ้านรวบรวมไว้ท่านหมอจะเดินทางไปอำเภอฉวน ขากลับจะแวะมารับซื้อรังผึ้งที่อำเภอเหอของเรา ชาวบ้านเข้าไปเก็บรังผึ้งมาขาย ตามร้านชำก็รับซื้อจากชาวบ้านไว้มาก แต่รอแล้วรอเล่าท่านหมอก็ไม่กลับมา ร้านชำบ้านไฉก็รับซื้อไว้เยอะนะเจ้าคะ ก่อนหลับบ้านคุณหนูแวะซื้อก็ได้เจ้าค่ะ ตอนไปเขาจะได้ไปชมดอกเหมยได้” ในใจของสี่เสวี่ยอยากจะไปชมดอกเหมยซะตอนนี้ ใครใช้ให้คุณหนูใหญ่ออกไปเที่ยวเล่นแล้วให้คุณหนูสี่ของนางต้องทำงานทุกวันแบบนี้เล่า คุณหนูสี่ของนางควรได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง
“เอาตามที่เจ้าว่าแล้วกัน” อืม ออกไปดูหน่อยก็ดี เวรกรรมอะไรของข้านะ ต้องมาอยู่ที่แปลกๆแบบนี้ ไม่รู้ว่าย้อนเวลากลับมาหรือหลุดมาอยู่ที่โลกคู่ขนานกันแน่ ที่ที่อยู่ตอนนี้ยังเป็นเพียงแคว้น แต่ละแคว้นยังมีสงครามแย่งชิงดินแดน ระบอบการปกครองก็ยังไม่ซับซ้อน แต่การเรียนการสอบนั้นกลับยุ่งยาก นับถือความกตัญญูอย่างไม่ลืมหูลืมตา อาหารการกินก็ลำบาก หากตอนนี้เป็นช่วงเปลี่ยนระบอบการปกครองนับถือท่านผู้นำ ก็คงทำความเข้าใจกับสถานการณ์ได้ดีกว่านี้ อย่างน้อยช่วงเปลี่ยนระบอบการปกครองก็ให้ความสำคัญกับผู้หญิงมากกว่าตอนนี้มากนัก
.
..
…
“คุณหนูท่านนี้ ต้องการอะไรแจ้งข้าได้เลยขอรับ”
“ข้ารู้มาว่าที่ร้านเจ้ามีรังผึ้งขาย ยังมีอยู่หรือไม่”
“มีขอรับ คุณหนูเชิญตามข้ามาด้านนี้ขอรับ”
ร้านชำบ้านไฉเป็นร้านขายข้าวสาร แป้งสาลี น้ำตาล เกลือ เมล็ดพืชผัก เครื่องปรุง เครื่องเทศ ของทะเลแห้ง เนื้อแห้ง ผักดอง และของกินของใช้เล็กๆน้อยๆต่างๆ กิจการไม่ใหญ่โต แต่ไม่เคยเงียบเหงา ด้วยเพราะตระกูลไฉเป็นตระกูลเก่าแก่เปิดร้านชำบ้านไฉมาหลายชั่วอายุคน ทำการค้าไม่เคยเอาเปรียบอีกทั้งรับซื้อของก็ไม่เคยกดราคาจึงทำให้ชาวบ้านแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย
“นี่เป็นรังผึ้งของทางร้านขอรับ เป็นรังผึ้งสมบูรณ์ ขนาดเล็กเท่าสองฝ่ามือ ห้าสิบอีแปะ ขนาดกลาง ใหญ่ขึ้นมาเท่าตัวราคาหนึ่งร้อยห้าสิบอีแปะ ขนาดใหญ่ ใหญ่ขึ้นมาจากขนาดกลางหนึ่งเท่าตัวสี่ร้อยอีแปะขอรับ”
รังผึ้งของร้านชำบ้านไฉเป็นรังผึ้งสีขาว มีบางส่วนเป็นสีน้ำตาลแต่ไม่มากนัก เหมาะสำหรับนำไปทำไขผึ้ง หนึ่งในวัตถุดิบสำคัญของการทำลายผ้า เมื่อเห็นว่าเป็นของที่ตนเองต้องการซูเจินจูก็เก็บรอยยิ้มไว้ไม่อยู่
“ขนาดเล็ก หนึ่งอัน”
รอยยิ้มสดใสของซูเจินจู ท่าทีผ่อนคลายคุยเล่นกับสี่เสวี่ยระหว่างรอเด็กในร้านห่อรังผึ้งอยู่ในสายตาของนายน้อยไฉ ไฉตงซุนตลอดเวลา ช่างเป็นรอยยิ้มที่สดใสแต่ก็เต็มไปด้วยความเรียบง่ายชวนให้เข้าใกล้ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้รู้สึกประหม่า เขินอาย จนไม่สามารถเข้าไปใกล้ไปกว่านี้ได้อีกแล้ว เมื่อซูเจินจูเดินออกจากร้านไป หัวใจของไฉตงซุนก็เหมือนหลุดลอยตามนางไปอย่างฝืนตัวเองไม่ได้
หลังออกจากร้านชำตระกูลไฉ ซูเจินจูก็ตรงไปยังโรงหลอมเหล็กอู่จินชาง
“ท่านอา ข้าต้องการสั่งทำของสักชิ้นหนึ่ง สั่งทำที่ไหนหรือเจ้าคะ” ซูเจินจูแจ้งความประสงค์ของตนกับชายวัยกลางคนที่กำลังนั่งอยู่หน้าร้าน
“สั่งกับข้านี่แหละแม่หนู เจ้าอยากได้อะไรล่ะ”
“นี่เจ้าค่ะ” ซุเจินจูหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งใหม่ นี่เป็นสิ่งที่นางวาดไว้ตอนอยู่ที่ร้านผ้าซูเตี้ยน
“ของสิ่งนี้ข้าต้องการให้ทำจากเหล็กทั้งอันเจ้าค่ะ ยาวประมาณแปดชุ่น ปลายด้านหนึ่งเป็นหัวแหลมมีรูกลวง ตัวด้ามเหมือนปล้องไผ่ด้านในกลวง ปลายอีกด้านเป็นทรงคล้ายถ้วยชา ท่านลุงลองจินตนาการว่าข้าใส่น้ำแข็งตรงส่วนที่เหมือนถ้วยชานี้นะเจ้าคะ เมื่อน้ำแข็งละลาย น้ำจะสามารถไหลออกจากส่วนถ้วยชาผ่านแกนกลายจนถึงปลายอีกด้านและไหลออกตามรูตรงปลายนี้ รูกลวงตรงปลานี้ข้าอยากได้ขนาดเท่าจุดพู่กันเล็กนี้เจ้าค่ะ”
“รูปทรงดูแปลกไปหน่อย แต่ข้าคิดว่าข้าทำให้เจ้าได้ แม่หนูน้อย”
“อ่อ ที่สำคัญคือ ข้าต้องสามารถถือมันด้วยมือข้างเดียวได้ด้วยนะเจ้าคะ”
“ได้ ได้ ฝีมือการตีเหล็กของข้า ตีเหล็กบางทำสิ่งนี้ให้เจ้าได้แน่นอน”
“ข้ามารับของได้วันไหนหรือเจ้าคะ”
“สิบวัน ข้าคิดราคาเจ้าห้าตำลึง อีกสิบวันเจ้ามารับของได้”
.
..
“ห้าตำลึงเลยนะเจ้าคะคุณหนู เกือบเท่าเงินที่นายท่านให้คุณหนูทั้งเดียวเชียวนะเจ้าคะ แล้วยังกริชเล่มนี้อีก” เมื่อถึงบ้านสี่เสวี่ยก็อดที่จะบ่นคุณหูของนางไม่ได้ วันนี้คุณหนูใช้เงินไปเยอะมากจริงๆ กริชเงินจากโรงหลอมเหล็กอู่จินชางเล่มนั้นราคาตั้งสี่สิบตำลึง!!
“เจ้าอย่าเพิ่งพูดมาก มาช่วยข้านับเงินก่อน” เจ้าเด็กนี่ทำไมขี้บ่นนักนะ เพิ่งจะอายุสิบสามเท่าข้าไม่ใช่หรือไง ไฉนบ่นเป็นยายแก่แบบนี้ ซูเจินจูนำหีบเงินและกล่องเครื่องประดับออกมานับดูว่าตอนนี้นางมีสมบัติติดตัวอยู่เท่าไหร่
ตระกูลซูเริ่มให้เงินรายเดือนเหล่าทายาทเมื่ออายุครบแปดปี แต่ละเดือนคุณหนูและ นายน้อยบ้านใหญ่จะได้คนละยี่สิบตำลึง ฮูหยินรองมี่ซิ่นและซูเจินจูได้คนละสิบตำลึง ซูเจินจูคนเดิมใช้จ่ายอย่างประหยัดด้วยรู้ว่าเมื่อออกเรือน บ้านใหญ่ไม่มีทางให้สินเดิมแก่นาง จึงพยายามเก็บเงินสะสมไว้เป็นหน้าตาของตนเองอีกทั้งยังเป็นหน้าตาให้แก่บุรุษที่ตนแต่งให้ แต่บางครั้งมี่ซิ่น มารดาของนางก็แอบเข้ามาหยิบเงินของนางไป ยังดีที่ตั้งแต่ซื้อตัวสี่เสวี่ยมา นางก็เป็นหูเป็นตา คอยหลบคอยเลี่ยงมี่ซิ่นอยู่เสมอ หากไม่ได้สี่เสวี่ยเอาเงินหีบนี้ไปซ่อนตอนที่นางสลบไป ตื่นมาก็คงไม่มีหีบเงินตรงหน้านี้แล้ว..
เดือนละสิบตำลึง ปีนึงจะได้หนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง หกปีก็จะมีเจ็ดร้อยยี่สิบตำลึง ในหีบนี้เหลือเงินห้าร้อยตำลึง หักจากที่นางสั่งทำอุปกรณ์ทำผ้าห้าตำลึง ซื้อกริชเงินสี่สิบตำลึง เจินจูคนเก่านับได้ว่าประหยัดจริงๆอืม... ปิ่นเงินแปดอัน ปิ่นทองหกอัน ปิ่นหยกสี่อัน ชุดเครื่องประดับเงินสองชุด ชุดเครื่องประดับทองสองชุด ต่างหูหยกหนึ่งคู่ ต่างหูปะการังแดงหนึ่งคู่เอ๊ะ!! เสื้อคลุมขนจิ้งจอกแดง“ปิ่นเงินหนึ่งอัน ปิ่นหยกหนึ่งอัน ต่างหูหยกหนึ่งคู่ เอาไว้เท่านี้พอ ที่เหลือเจ้าเอาไปขายซะ” ยิ่งคิดก็ยิ่งเข้าท่า ของพวกนี้มีไว้นางก็ไม่ได้ใช้ ไม่สู้เปลี่ยนเป็นเงินเตรียมไว้ดีกว่า“ไม่ได้นะเจ้าคะคุณหนู!!!! ของพวกนี้ต้องเก็บไว้เป็นสินเดิม หากคุณหนูแต่งงานออกไปแล้วไม่มีสินเดิมจะถูกครอบครัวฝ่ายชายรังแกเอานะเจ้าคะ” สี่เสวี่ยตกใจกับท่าที่ของคุณหนูของนาง ตั้งแต่ชนเสาคราวนั้นคุณหนูของนางก็ดูเปลี่ยนไป ถึงแม้ว่าจะยังใจดีกับนาง แต่ท่าทางเฉยเมยตลอดเวลานั้นก็ราวกับเป็
เช้าวันต่อมา ขณะที่ซูเจินจูกำลังจะออกไปร้านผ้า อิงชุ่ยก็ได้มาขวางหน้านางไว้“คุณหนูใหญ่ให้บ่าวมาเชิญคุณหนูสี่ไปชมดอกเหมยที่หมู่บ้านจั๋วมู่ด้วยกันเจ้าค่ะ” อิงชุ่ยพูดจาอ่อนหวานมีความเคารพต่อซูเจินจู เมื่อเช้าอิงเถาได้ออกไปจ้างอันธพาลไว้แล้ว นางต้องพาคุณหนูสี่ไปด้วยกันให้สำเร็จ“ข้าไม่ไป” ซูเจินจูไม่ได้สนใจอิงชุ่ย นางเดินออกไปทันที อิงชุ่ยที่ไม่คิดว่าจะถูกปฏิเสธยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอ้าปากพะงาบๆเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาทุกๆสองวันซูหนี่ย์จะต้องให้อิงชุ่ยมาชวนนางออกไปข้างนอก ทุกครั้งซูเจินจูจะปฏิเสธกลับไป แต่ครั้งนี้ เป็นฮูหยินรองที่มาชวนนางออกไปเดินตลาด ซูเจินจูเพียงให้เงินนางไปสิบตำลึง และด้วยเห็นแก่เงินสิบตำลึง ฮูหยินรองมี่ซิ่นจึงไม่ได้รบเร้าเจินจูต่อและออกไปอย่างสบายใจ“ท่านน้า เจินจูเออร์ละเจ้าคะ ข้าสั่งบ่าวไพร่ให้ไปจองเหลาอาหารตือฟ่างกว่างไว้แล้ว จะได้ให้เจิ
“เอ่อ.. เป็นตระกูลไฉ มาขอหมั้นคุณหนูสี่ให้นายน้อยไฉตงชุนเจ้าค่ะ” อิงชุ่ยพูดเสียงเบาด้วยรู้ว่าคุณหนูใหญ่เกลียดคุณหนูสี่ และยังไม่สามารถวางอุบายรังแกนางได้สำเร็จสักครั้ง“เจ้าว่าอะไรนะ ขอหมั้นนังจิ้งจอกนั่น!! นังแพศยา เตียงคุณชายหลินรออยู่ข้างหน้ายังกล้าให้ท่าบุรุษอื่นเชียวรึ” เหอๆ นังตัวดี คราวนี้เจ้าไม่รอดแน่ หากคุณชายหลินรู้ เจ้าไม่มีทางชูคออยู่บนเตียงได้แน่ และถ้าหากนายน้อยไฉรู้ว่าเจ้ามีค่าเพียงสาวใช้อุ่นเตียงก็อย่าหวังเลยว่าเจ้าจะเป็นแต่งเข้าไปเป็นฮูหยินฮูหยินซูก็ไม่ทำให้ลูกสาวสุดที่รักอย่างซูหนี่ย์ต้องผิดหวัง คนเราหากหวังดีปฏิเสธแม่สื่ออ้อมๆก็ยังพอรักษาหน้า แต่คนอย่างฮูหยินซู มีช่องให้ทำลายซูเจินจูมีหรือจะไม่ทำ เล่าวีรกรรมซูเจินจูที่เข้าไปให้ท่าคุณชายหลินถึงในจวนนายอำเภอ ออกอุบายให้คุณชายหลินทำลายชื่อเสียงตน ร้องขอขึ้นเป็นฮูหยินตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อนทั้งที่พิ่งจะอายุสิบสามปี เพราะความอิจฉาที่คุณชายหลินมีใจให้ซูหนี่ย์ คุณชายหลินทั้งสงสารทั้งรู้สึกผิดจึงเขียนสัญญาจะรับนางเข้าจวนไ
เมื่อถึงวันนัด อิงเถากลับมารายงานซูหนี่ย์ว่าซูเจินจูออกจากบ้านไปตั้งแต่ยามเฉิน ไม่มีใครรู้ว่าไปที่ใด ซูหนี่ย์ก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่ออกไปพบคุณชายหลินเพียงลำพังด้านซูเจินจูที่ออกจากบ้านมานั้น นางออกจากอำเภอเหอ ผ่านตำบลจี๋หลง และตำบลจ้างหนาน จนถึงหมู่บ้านซานหมู่บ้านซานเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่มีคนอาศัยอยู่เพียงห้าสิบหลังคาเรือน พื้นดินแห้งแล้งทำให้ปลูกพืชผักได้น้อยกว่าหมู่บ้านอื่น จึงไม่ค่อยมีคนนอกหมู่บ้านเข้ามาวุ่นวาย เป็นตัวเลือกที่ดีของนางซูเจินจูเข้าไปพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้าน แจ้งความต้องการว่าต้องการซื้อที่ดิน หลังการสอบถามจนแน่ใจว่าพวกนางจะไม่เป็นอันตรายต่อคนในหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านก็พาพวกนางมาวัดที่ดินที่ว่างอยู่ท้ายหมู่บ้าน ที่ดินตรงนี้ด้านหน้าติดถนน รถม้าเข้าออกสะดวกด้านหลังลากยาวไปจนติดภูเขา ถัดไปอีกสิบจั้งก็เป็นลำธาร ติดตรงที่พื้นที่ตรงนี้กว้างถึงห้าสิบหมู่ ในตอนแรกซูเจินจูค่อนข้างลำบากใจถ้าหากต้องซื้อที่กว้างขนาดนี้ นางกลัวว่าเงินที่นางมีอยู่จะไม่พอ แต่
“คุณชายหลินกลับไปแล้วหรือเจ้าคะ” สี่เสวี่ยที่เห็นซูเจินจูเดินเข้าเรือนมาก็รีบออกมาหาทันที“กลับไปแล้ว สี่เสวี่ยเจ้าไปเอาเงินข้าออกมานับเร็ว ดูสิว่าข้าเหลือเงินเท่าไหร่”“นับเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ วันนี้คุณหนูซื้อที่ดินสองร้อยตำลึง ให้ลุงหวังสิบตำลึง มัดจำค่าปลูกบ้านสามร้อยตำลึง ค่ารถม้าสามร้อยอีแปะ ซาลาเปายี่สิบลูกแปดสิบอีแปะ ขนมร้านเสี่ยวซือกวงสองตำลึง บะหมี่ของคุณหนูสองชามของบ่าวหนึ่งชาม สิบห้าอีแปะ คุณหนูจะเหลือเงิน สามร้อยเก้าสิบห้าตำลึงกับหกร้อยสิบห้าอีแปะเจ้าค่ะ บ่าวแบ่งเงินที่ต้องจ่ายช่างเฉินออกมาอีก สองร้อยเจ็ดสิบห้าตำลึง คุณหนูจะเหลือเงินหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงกับหกร้อยสิบห้าอีแปะเจ้าค่ะ”“สี่เสวี่ย ต่อไปข้าคงต้องพึ่งพาฝีมือวาดรูปของเจ้า ให้เลี้ยงดูข้าเสียแล้ว” นางฟังที่สี่เสวี่ยเจื้อยแจ้วจัดการบัญชีให้นางดูเหมือนผู้จัดการตัวน้อย ทุกครั้งที่เงินในหีบนี้ลดลง สีหน้าของสี่เสวี่ยดูเจ็บปวดมากกว่านางที่เป็นเจ้าของเงินเสียอีก“หากคุณห
เมื่อไปถึงหมู่บ้านจั๋วมู่ ซูเจินจูพาหัวหน้าหมู่บ้านจั๋วมู่กับชาวบ้านอีกสามคนขึ้นไปดูต้นไม้ที่นางต้องการ“กลิ่นดอกไม้ที่เราได้กลิ่นกันมาจากต้นไม้พวกนี้หรือ” หลังจากที่มาถึงที่ กลิ่นหอมอบอวนทำให้ชาวบ้านแปลกใจ ใจนึงก็คิดว่าหากเป็นกลิ่นดอกไม้พวกนี้แล้วนางขุดไป ต่อไปจะไม่มีคนมาชมดอกไม้ที่หมู่บ้านอีกเป็นแน่“ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะท่านลุง กลิ่นพวกนี้เป็นกลิ่นจากดอกเหมยด้านล่างรวมกับกลิ่นความชื้นของป่าที่สมบูรณ์แห่งนี้เจ้าค่ะ แต่หากว่ามีคนขึ้นมาบนนี้บ่อยๆ ต้นไม้และเถาวัลย์ถูกเหยียบย่ำก็จะทำให้กลิ่นของดอกเหมยลอยออกไป ไม่ติดค้างอยู่ที่ที่เจ้าค่ะ ท่านลุงลองดมกลิ่นหญ้าพวกนี้สิเจ้าคะ หญ้าพวกนี้ก็มีกลิ่นเช่นเดียวกัน” ซุเจินจูไม่สามารถพูดความจริง หากนางบอกความจริงคนพวกนี้ไม่มีทางให้นางขุดต้นไม้พวกนี้แน่ นางทำได้พียงหาข้ออ้างที่แม้แต่นางก็ยังรู้สึกไม่น่าเชื่อ ก็ได้แต่ภาวนาในใจว่า หวังว่าท่านลุงทั้งหลายจะเชื่อข้านะเจ้าคะ“เป็นอย่างที่เจ้าว่า เห็นทีว่าไม่ว่าอะไรที่อยู่ตรงนี้
ซูเจินจูที่คุยกับฮูหยินรองจนหมดแรงเดินกลับมาที่เรือนก็เห็นว่าสี่เสวี่ยเตรียมข้าวของไว้เรียบร้อยแล้ว และยังไม่ลืมที่จะเตรียมเบาะรองนั่งอย่างดีไว้ให้นางถึงสี่ใบ“คุณหนูของที่ต้องเตรียมจากที่เรือนนี้ บ่าวเตรียมครบแล้วเจ้าค่ะ แต่ที่บ้านของคุณหนูไม่มีทั้งเครื่องเรือนแล้วครื่องครัว คุณหนูจะอยู่ลำบากเกินไปหรือไม่เจ้าคะ”“พรุ่งนี้ระหว่างทางก็แวะร้านค้าในตำบลเสียหน่อย ซื้อเครื่องนอนสองชุด ตะเกียงสี่ชุด เครื่องครัวก็ตามที่เจ้าเห็นสมควร ข้าวสาร ธัญพืชอีกเล็กน้อย แล้วก็แวะ
“พวกท่านให้บ่าวไปตามข้า มีอะไรหรือเจ้าคะ” ซูเจินจูเบื่อที่จะต้องเสแสร้งพูดจาสามส่วนเช่นนี้ นางอยากจะถามตั้งแต่ประโยคแรกที่มาถึงแล้วว่าเรียกนางมาทำไม นางไม่เข้าใจเหตุใดวาจาสามส่วนพูดอ้อมเจ็ดส่วนพวกนี้ถึงได้เป็นที่นิยมนัก“ข้าเพียงมาบอกเจ้าว่า พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปสอบก่งเซิ่น” เรื่องพวกนี้ต้องให้เขาเตือนด้วยหรือ นางที่จะเป็นเป็นสตรีของเขา เหตุใดจึงไม่ปักรองเท้าให้เขาเล่า ไม่ใช่ว่าเป็นที่รู้กันอยู่แล้วหรือว่ายามบุรุษไปสอบเคอจวี่ ต้องให้รองเท้าเป็นความหมายว่าให้เดินทางปลอดภัย หากการเย็บปักของนางไม่ดี อย่างน้อยเพียงผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนเพื่อเป็นความหมายว่านางรอเขากลับมาก็ควรต้องมีใช่หรือไม่ หรือนางต้องการใช้โอกาสนี้สนิทสนมกับไฉตงชุน จึงได้ทำเช่นนี้“อ่อ เช่นนั้นข้าขออวยพรให้ท่านเดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ” เอ้า ก็แค่ไปสอบ จะต้องมาบอกด้วยหรือ“เจินจูเอ๋อร์ เจ้าเสียมารยามใส่คุณชายหลินอีกแล้ว ดูน้องสาวคนนี้ของหนี่ย์เอ๋อร์สิเจ้าคะ จะเข้าไปเป็นสตรีของคุณชายอยู่แล้วยังขาดการ
หลังจากขึ้นรถม้ามา สี่เสวี่ยก็อดที่จะพูดพึมพำใส่ซูเจินจูได้ไม่“เข็มเงินร้านข้างนอกชุดละหกตำลึงเท่านั้นนะเจ้าคะคุณหนู”“ข้ารู้ แต่คุณภาพต่างกันมากนัก เข็มเงินของท่านอาฮุ่ยซิ่วทั้งตรง กลม และแหลมในขนาดที่สมส่วน ขนาดเข็มแต่ละเล่มก็มีความสั้นยาวสูงต่ำตามที่ข้าต้องการ หากไปซื้อร้านด้านนอก วันนึงก็ต้องกลับมาสั่งทำอยู่ดี เมื่อถึงวันนั้นต้นแบบก็ไม่มี ไม่รู้จะได้เข็มเงินที่ถูกใจเช่นนี้หรือไม่”“แต่ว่า คุณหนูใช้เงินจนจะหมดอีกแล้วนะเจ้าคะ เหลือเพียงหนึ่งร้อยสิบเอ็ดตำลึงเท่านั้น อีกทั้งกลับไปคราวนี้ยังต้องจ้างช่างเฉินมาทำสร้างห้องบ่าวไพร่ จะให้บ่าวไพร่มาอยู่ร่วมเรือนไม่ได้นะเจ้าคะ”“ข้ารู้แล้ว อย่างไรเสียช่วงนี้พวกเราก็ไม่ได้อยู่ สร้างก่อนสองห้อง สามวันก็คงเสร็จ”รถม้าพุ่งออกจากอำเภอเหอ แวะซื้อข้าวของจำเป็นที่ตำบลจางหนาน จ้างเกวียนเทียมวัวอีกหนึ่งคันเพื่อบรรทุกข้าวของ ก่อนมุ่งหน้าเข
“พวกท่านให้บ่าวไปตามข้า มีอะไรหรือเจ้าคะ” ซูเจินจูเบื่อที่จะต้องเสแสร้งพูดจาสามส่วนเช่นนี้ นางอยากจะถามตั้งแต่ประโยคแรกที่มาถึงแล้วว่าเรียกนางมาทำไม นางไม่เข้าใจเหตุใดวาจาสามส่วนพูดอ้อมเจ็ดส่วนพวกนี้ถึงได้เป็นที่นิยมนัก“ข้าเพียงมาบอกเจ้าว่า พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปสอบก่งเซิ่น” เรื่องพวกนี้ต้องให้เขาเตือนด้วยหรือ นางที่จะเป็นเป็นสตรีของเขา เหตุใดจึงไม่ปักรองเท้าให้เขาเล่า ไม่ใช่ว่าเป็นที่รู้กันอยู่แล้วหรือว่ายามบุรุษไปสอบเคอจวี่ ต้องให้รองเท้าเป็นความหมายว่าให้เดินทางปลอดภัย หากการเย็บปักของนางไม่ดี อย่างน้อยเพียงผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนเพื่อเป็นความหมายว่านางรอเขากลับมาก็ควรต้องมีใช่หรือไม่ หรือนางต้องการใช้โอกาสนี้สนิทสนมกับไฉตงชุน จึงได้ทำเช่นนี้“อ่อ เช่นนั้นข้าขออวยพรให้ท่านเดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ” เอ้า ก็แค่ไปสอบ จะต้องมาบอกด้วยหรือ“เจินจูเอ๋อร์ เจ้าเสียมารยามใส่คุณชายหลินอีกแล้ว ดูน้องสาวคนนี้ของหนี่ย์เอ๋อร์สิเจ้าคะ จะเข้าไปเป็นสตรีของคุณชายอยู่แล้วยังขาดการ
ซูเจินจูที่คุยกับฮูหยินรองจนหมดแรงเดินกลับมาที่เรือนก็เห็นว่าสี่เสวี่ยเตรียมข้าวของไว้เรียบร้อยแล้ว และยังไม่ลืมที่จะเตรียมเบาะรองนั่งอย่างดีไว้ให้นางถึงสี่ใบ“คุณหนูของที่ต้องเตรียมจากที่เรือนนี้ บ่าวเตรียมครบแล้วเจ้าค่ะ แต่ที่บ้านของคุณหนูไม่มีทั้งเครื่องเรือนแล้วครื่องครัว คุณหนูจะอยู่ลำบากเกินไปหรือไม่เจ้าคะ”“พรุ่งนี้ระหว่างทางก็แวะร้านค้าในตำบลเสียหน่อย ซื้อเครื่องนอนสองชุด ตะเกียงสี่ชุด เครื่องครัวก็ตามที่เจ้าเห็นสมควร ข้าวสาร ธัญพืชอีกเล็กน้อย แล้วก็แวะ
เมื่อไปถึงหมู่บ้านจั๋วมู่ ซูเจินจูพาหัวหน้าหมู่บ้านจั๋วมู่กับชาวบ้านอีกสามคนขึ้นไปดูต้นไม้ที่นางต้องการ“กลิ่นดอกไม้ที่เราได้กลิ่นกันมาจากต้นไม้พวกนี้หรือ” หลังจากที่มาถึงที่ กลิ่นหอมอบอวนทำให้ชาวบ้านแปลกใจ ใจนึงก็คิดว่าหากเป็นกลิ่นดอกไม้พวกนี้แล้วนางขุดไป ต่อไปจะไม่มีคนมาชมดอกไม้ที่หมู่บ้านอีกเป็นแน่“ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะท่านลุง กลิ่นพวกนี้เป็นกลิ่นจากดอกเหมยด้านล่างรวมกับกลิ่นความชื้นของป่าที่สมบูรณ์แห่งนี้เจ้าค่ะ แต่หากว่ามีคนขึ้นมาบนนี้บ่อยๆ ต้นไม้และเถาวัลย์ถูกเหยียบย่ำก็จะทำให้กลิ่นของดอกเหมยลอยออกไป ไม่ติดค้างอยู่ที่ที่เจ้าค่ะ ท่านลุงลองดมกลิ่นหญ้าพวกนี้สิเจ้าคะ หญ้าพวกนี้ก็มีกลิ่นเช่นเดียวกัน” ซุเจินจูไม่สามารถพูดความจริง หากนางบอกความจริงคนพวกนี้ไม่มีทางให้นางขุดต้นไม้พวกนี้แน่ นางทำได้พียงหาข้ออ้างที่แม้แต่นางก็ยังรู้สึกไม่น่าเชื่อ ก็ได้แต่ภาวนาในใจว่า หวังว่าท่านลุงทั้งหลายจะเชื่อข้านะเจ้าคะ“เป็นอย่างที่เจ้าว่า เห็นทีว่าไม่ว่าอะไรที่อยู่ตรงนี้
“คุณชายหลินกลับไปแล้วหรือเจ้าคะ” สี่เสวี่ยที่เห็นซูเจินจูเดินเข้าเรือนมาก็รีบออกมาหาทันที“กลับไปแล้ว สี่เสวี่ยเจ้าไปเอาเงินข้าออกมานับเร็ว ดูสิว่าข้าเหลือเงินเท่าไหร่”“นับเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ วันนี้คุณหนูซื้อที่ดินสองร้อยตำลึง ให้ลุงหวังสิบตำลึง มัดจำค่าปลูกบ้านสามร้อยตำลึง ค่ารถม้าสามร้อยอีแปะ ซาลาเปายี่สิบลูกแปดสิบอีแปะ ขนมร้านเสี่ยวซือกวงสองตำลึง บะหมี่ของคุณหนูสองชามของบ่าวหนึ่งชาม สิบห้าอีแปะ คุณหนูจะเหลือเงิน สามร้อยเก้าสิบห้าตำลึงกับหกร้อยสิบห้าอีแปะเจ้าค่ะ บ่าวแบ่งเงินที่ต้องจ่ายช่างเฉินออกมาอีก สองร้อยเจ็ดสิบห้าตำลึง คุณหนูจะเหลือเงินหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงกับหกร้อยสิบห้าอีแปะเจ้าค่ะ”“สี่เสวี่ย ต่อไปข้าคงต้องพึ่งพาฝีมือวาดรูปของเจ้า ให้เลี้ยงดูข้าเสียแล้ว” นางฟังที่สี่เสวี่ยเจื้อยแจ้วจัดการบัญชีให้นางดูเหมือนผู้จัดการตัวน้อย ทุกครั้งที่เงินในหีบนี้ลดลง สีหน้าของสี่เสวี่ยดูเจ็บปวดมากกว่านางที่เป็นเจ้าของเงินเสียอีก“หากคุณห
เมื่อถึงวันนัด อิงเถากลับมารายงานซูหนี่ย์ว่าซูเจินจูออกจากบ้านไปตั้งแต่ยามเฉิน ไม่มีใครรู้ว่าไปที่ใด ซูหนี่ย์ก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่ออกไปพบคุณชายหลินเพียงลำพังด้านซูเจินจูที่ออกจากบ้านมานั้น นางออกจากอำเภอเหอ ผ่านตำบลจี๋หลง และตำบลจ้างหนาน จนถึงหมู่บ้านซานหมู่บ้านซานเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่มีคนอาศัยอยู่เพียงห้าสิบหลังคาเรือน พื้นดินแห้งแล้งทำให้ปลูกพืชผักได้น้อยกว่าหมู่บ้านอื่น จึงไม่ค่อยมีคนนอกหมู่บ้านเข้ามาวุ่นวาย เป็นตัวเลือกที่ดีของนางซูเจินจูเข้าไปพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้าน แจ้งความต้องการว่าต้องการซื้อที่ดิน หลังการสอบถามจนแน่ใจว่าพวกนางจะไม่เป็นอันตรายต่อคนในหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านก็พาพวกนางมาวัดที่ดินที่ว่างอยู่ท้ายหมู่บ้าน ที่ดินตรงนี้ด้านหน้าติดถนน รถม้าเข้าออกสะดวกด้านหลังลากยาวไปจนติดภูเขา ถัดไปอีกสิบจั้งก็เป็นลำธาร ติดตรงที่พื้นที่ตรงนี้กว้างถึงห้าสิบหมู่ ในตอนแรกซูเจินจูค่อนข้างลำบากใจถ้าหากต้องซื้อที่กว้างขนาดนี้ นางกลัวว่าเงินที่นางมีอยู่จะไม่พอ แต่
“เอ่อ.. เป็นตระกูลไฉ มาขอหมั้นคุณหนูสี่ให้นายน้อยไฉตงชุนเจ้าค่ะ” อิงชุ่ยพูดเสียงเบาด้วยรู้ว่าคุณหนูใหญ่เกลียดคุณหนูสี่ และยังไม่สามารถวางอุบายรังแกนางได้สำเร็จสักครั้ง“เจ้าว่าอะไรนะ ขอหมั้นนังจิ้งจอกนั่น!! นังแพศยา เตียงคุณชายหลินรออยู่ข้างหน้ายังกล้าให้ท่าบุรุษอื่นเชียวรึ” เหอๆ นังตัวดี คราวนี้เจ้าไม่รอดแน่ หากคุณชายหลินรู้ เจ้าไม่มีทางชูคออยู่บนเตียงได้แน่ และถ้าหากนายน้อยไฉรู้ว่าเจ้ามีค่าเพียงสาวใช้อุ่นเตียงก็อย่าหวังเลยว่าเจ้าจะเป็นแต่งเข้าไปเป็นฮูหยินฮูหยินซูก็ไม่ทำให้ลูกสาวสุดที่รักอย่างซูหนี่ย์ต้องผิดหวัง คนเราหากหวังดีปฏิเสธแม่สื่ออ้อมๆก็ยังพอรักษาหน้า แต่คนอย่างฮูหยินซู มีช่องให้ทำลายซูเจินจูมีหรือจะไม่ทำ เล่าวีรกรรมซูเจินจูที่เข้าไปให้ท่าคุณชายหลินถึงในจวนนายอำเภอ ออกอุบายให้คุณชายหลินทำลายชื่อเสียงตน ร้องขอขึ้นเป็นฮูหยินตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อนทั้งที่พิ่งจะอายุสิบสามปี เพราะความอิจฉาที่คุณชายหลินมีใจให้ซูหนี่ย์ คุณชายหลินทั้งสงสารทั้งรู้สึกผิดจึงเขียนสัญญาจะรับนางเข้าจวนไ
เช้าวันต่อมา ขณะที่ซูเจินจูกำลังจะออกไปร้านผ้า อิงชุ่ยก็ได้มาขวางหน้านางไว้“คุณหนูใหญ่ให้บ่าวมาเชิญคุณหนูสี่ไปชมดอกเหมยที่หมู่บ้านจั๋วมู่ด้วยกันเจ้าค่ะ” อิงชุ่ยพูดจาอ่อนหวานมีความเคารพต่อซูเจินจู เมื่อเช้าอิงเถาได้ออกไปจ้างอันธพาลไว้แล้ว นางต้องพาคุณหนูสี่ไปด้วยกันให้สำเร็จ“ข้าไม่ไป” ซูเจินจูไม่ได้สนใจอิงชุ่ย นางเดินออกไปทันที อิงชุ่ยที่ไม่คิดว่าจะถูกปฏิเสธยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอ้าปากพะงาบๆเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาทุกๆสองวันซูหนี่ย์จะต้องให้อิงชุ่ยมาชวนนางออกไปข้างนอก ทุกครั้งซูเจินจูจะปฏิเสธกลับไป แต่ครั้งนี้ เป็นฮูหยินรองที่มาชวนนางออกไปเดินตลาด ซูเจินจูเพียงให้เงินนางไปสิบตำลึง และด้วยเห็นแก่เงินสิบตำลึง ฮูหยินรองมี่ซิ่นจึงไม่ได้รบเร้าเจินจูต่อและออกไปอย่างสบายใจ“ท่านน้า เจินจูเออร์ละเจ้าคะ ข้าสั่งบ่าวไพร่ให้ไปจองเหลาอาหารตือฟ่างกว่างไว้แล้ว จะได้ให้เจิ
เดือนละสิบตำลึง ปีนึงจะได้หนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง หกปีก็จะมีเจ็ดร้อยยี่สิบตำลึง ในหีบนี้เหลือเงินห้าร้อยตำลึง หักจากที่นางสั่งทำอุปกรณ์ทำผ้าห้าตำลึง ซื้อกริชเงินสี่สิบตำลึง เจินจูคนเก่านับได้ว่าประหยัดจริงๆอืม... ปิ่นเงินแปดอัน ปิ่นทองหกอัน ปิ่นหยกสี่อัน ชุดเครื่องประดับเงินสองชุด ชุดเครื่องประดับทองสองชุด ต่างหูหยกหนึ่งคู่ ต่างหูปะการังแดงหนึ่งคู่เอ๊ะ!! เสื้อคลุมขนจิ้งจอกแดง“ปิ่นเงินหนึ่งอัน ปิ่นหยกหนึ่งอัน ต่างหูหยกหนึ่งคู่ เอาไว้เท่านี้พอ ที่เหลือเจ้าเอาไปขายซะ” ยิ่งคิดก็ยิ่งเข้าท่า ของพวกนี้มีไว้นางก็ไม่ได้ใช้ ไม่สู้เปลี่ยนเป็นเงินเตรียมไว้ดีกว่า“ไม่ได้นะเจ้าคะคุณหนู!!!! ของพวกนี้ต้องเก็บไว้เป็นสินเดิม หากคุณหนูแต่งงานออกไปแล้วไม่มีสินเดิมจะถูกครอบครัวฝ่ายชายรังแกเอานะเจ้าคะ” สี่เสวี่ยตกใจกับท่าที่ของคุณหนูของนาง ตั้งแต่ชนเสาคราวนั้นคุณหนูของนางก็ดูเปลี่ยนไป ถึงแม้ว่าจะยังใจดีกับนาง แต่ท่าทางเฉยเมยตลอดเวลานั้นก็ราวกับเป็