ซูเจินจูที่คุยกับฮูหยินรองจนหมดแรงเดินกลับมาที่เรือนก็เห็นว่าสี่เสวี่ยเตรียมข้าวของไว้เรียบร้อยแล้ว และยังไม่ลืมที่จะเตรียมเบาะรองนั่งอย่างดีไว้ให้นางถึงสี่ใบ
“คุณหนูของที่ต้องเตรียมจากที่เรือนนี้ บ่าวเตรียมครบแล้วเจ้าค่ะ แต่ที่บ้านของคุณหนูไม่มีทั้งเครื่องเรือนแล้วครื่องครัว คุณหนูจะอยู่ลำบากเกินไปหรือไม่เจ้าคะ”
“พรุ่งนี้ระหว่างทางก็แวะร้านค้าในตำบลเสียหน่อย ซื้อเครื่องนอนสองชุด ตะเกียงสี่ชุด เครื่องครัวก็ตามที่เจ้าเห็นสมควร ข้าวสาร ธัญพืชอีกเล็กน้อย แล้วก็แวะร้านยาเสียหน่อย ซื้อพวกยาทากันแมลง บ้านติดเขาเช่นนั้นไม่รู้ว่ามีแมลงเยอะหรือไม่ อ่อ เจ้าเอากริชเงินของข้าติดตัวไว้ ไว้คราวหน้าข้าจะซื้อมีดสั้นให้ พกง่ายและน้ำหนักเบากว่ากริชเงินเล่มนี้มากนัก”
“ได้เจ้าค่ะคุณหนู บ่าวเตรียมน้ำไว้แล้ว คุณหนูรีบอาบน้ำเถอะเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้า”
สี่เสวี่ยปรนนิบัติซูเจินจูอาบน้ำ สระผม ส่งซูเจินจูเข้านอนเสร็จแล้ว ก็กลับมานับเงินในหีบอีกรอบ ก่อนจะเข้านอนอย่างมีความสุข
เช้าวันต่อมาซูเจินจูและสี่เสวี่ยออกจากบ้านตั้งแต่ต้นยามเฉิน วันนี้ซูเจินจูนอนบนเบาะรองนั่งอย่างดีที่ซ้อนไว้สองชั้น ก่อนออกจากเมืองซูเจินจูแวะซื้อขนมร้านเสี่ยวซือกวงสองกล่อง รถม้าเคลื่อนตัวออกจากอำเภอเหอ ผ่านตำบลจี๋หลง ไปถึงตำบลจางหนานก็หยุดพักเพื่อให้พวกนางลงไปซื้อของใช้
ที่นอน หมอน ผ้าห่ม อย่างละสองชุด ตะเกียงสี่อัน ถ้วย ชาม ตะเกียบ หม้อ ไห ถ่าน ของใช้เล็กๆน้อยๆ ข้าวสารอย่างดีสี่จิน แป้งสาลีห้าจิน น้ำตาลทรายกับเกลืออย่างละหนึ่งจิน เครื่องปรุงรสขวดเล็กๆสองสามขวด มันหมูหนึ่งจิน เนื้อแดงสองจิน ถูกลำเลียงขึ้นเกวียนเทียมวัวที่จ้างมาใหม่ ของใช้ต่างๆก็เป็นเพียงของธรรมดา ของกินก็ซื้อสำหรับแค่สามวัน ทั้งหมดราคาสามตำลึง
“เราซื้อของมากมาย เหตุใดราคาเพียงสามตำลึงเล่า”
“สามตำลึงสำหรับชาวบ้านก็ถือว่าแพงแล้วเจ้าค่ะ ที่นอนผ้าห่มก็เป็นเพียงผ้าฝ้ายเท่านั้น ไม่ใช่ผ้าไหมเหมือนของที่เรือนคุณหนู”
“มิน่า เจ้าถึงปวดใจนักเวลาข้ากินขนมของร้านเสี่ยวซือกวง”
“ขนมกล่องนึงของคุณหนูซื้อผ้าห่มยัดไส้นุ่นได้เกือบสามผืนเชียวเจ้าค่ะ”
“เสียดายที่ข้ากินได้เพียงขนม กินผ้าห่มแทนไม่ได้ ไม่เช่นนั้นผ้าห่มผืนใหญ่เพียงนี้ คงพอกินไปได้หลายวัน”
“มาคราวนี้ บ่าวจะวาดผ้าให้คุณหนูหลายๆผืนเลยนะเจ้าคะ บ่าวกลัวว่าหากคุณหนูกินผ้าห่มแทนขนมแล้ว หลงจู๊ร้านเสี่ยวซือกวงคงต้องหลั่งน้ำตาเพราะคิดถึงคุณหนูแน่ๆ”
ซูเจินจูและสี่เสวี่ยหยอกล้อกันไปตลอดทางจนมาถึงหมูบ้านซาน ก่อนจะนำขนมร้านเสี่ยวซือกวงไปฝากหัวหน้าหมู่บ้านและรับกุญแจบ้านคืน หลังจากย้ายข้าวของเข้าบ้านและนัดแนะกับรถม้าให้ม้ารับสามวันให้หลัง ซูเจินจูก็เริ่มวาดลายผ้าทันที
ผ้าพับแรกที่ซูเจินจูวาดคือดอกเหมย โดยใช้ผ้าไหมสีชมพูอ่อน ลำต้นใช้สีดำผสมกับอิ๋นกุ้ยละตันกุ๋ยเล็กน้อยทำให้เกิดสีน้ำตาลเข้ม ดอกเหมยใช้สีแดงจากตันกุย และสีชมพูจากตันกุยผสมอิ๋นกุย
ผ้าพับที่สองวาดดอกบัว ใช้ผ้าไหมสีม่วง ก้านใช้สีเขียวจากใบเสียนหลันผสมอิ๋นกุ้ย ดอกใช้สีเหลืองของจินกุ้ย
ผับพับที่สามวาดดอกท้อ ใช้ผ้าไหมสีขาว ดอกท้อใช้สีแดงจากตันกุยผสมสีเหลืองจากจินกุ้ย ได้สีส้มเข้มไปจนถึงส้มอ่อน
สี่เสวี่ยวาดลายดอกเหมยหนึ่งพับ
ผ้าทั้งสี่พับถูกตากอยู่บนโต๊ะที่ลานหินอย่างเรียบร้อย
ความเร็วในการวาดลายผ้าของซูเจินจูอยู่ที่วันละหนึ่งพับ
สี่เสวี่ยที่เสียเวลาหนึ่งวันในการเตรียมสี เก็บของ อีกทั้งต้องแบ่งเวลาส่วนนึงปรนิบัติซูเจินจูและหุงหาอาหารก็วาดลายได้ช้าลงสามวันได้เพียงหนึ่งพับเท่านั้น
เมื่อครบกำหนดสามวันซูเจินจูและสี่เสวี่ยก็กลับเข้าตัวอำเภอทันที
ซูเจินจูนำผ้าสี่พับเข้าไปที่ร้านผ้าซูเตี้ยน
“คุณหนูกลับมาแล้ว” ทันทีที่หลงจู๊เห็นซูเจินจูก็รีบเดินออกมาต้อนรับ เด็กผู้หญิงตัวเล็กเท่านี้ต้องออกไปทำการค้านอกเมือง หากคุณหนูสี่เป็นผู้ชายร้านผ้าซูเตี้ยนก็คงต้องยกให้คุณหนูสี่ดูแลเป็นแน่
“ข้ากลับมาแล้ว ท่านลุงฝูตามข้าไปที่ห้องทำงานเถอะ ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย”
หลงจู๊หันไปสั่งเด็กในร้านให้ออกไปซื้อขนมกล่องสองตำลึงร้านเสี่ยวซือกวงให้คุณหนูสี่ และสั่งให้เด็กในร้านอีกคนชงชาตามเข้าไปในห้องทำงาน
“คุณหนูกลับมาเหนื่อยๆ บ่าวให้เด็กออกไปซื้อขนมโปรดของคุณหนูมาให้แล้ว อีกสักครู่คงยกเข้ามา เดินทางครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“ท่านลุงฝูตามใจข้านัก การเดินทางครั้งนี้ถือว่าร้านผ้าซูเตี้ยนของเราได้กำไร ท่านลุงดูผ้าพับพวกนี้เถอะเจ้าค่ะ”
ทันทีที่หลงจู๊ฝูคลี่ผ้าพับออกมาดูก็ต้องแปลกใจ ลายผ้าที่ใช้การวาดดูอ่อนช้อย บอบบางกว่าการปักผ้ามาก ทั้งการไล่เฉดสีที่ดูเหมือนดอกไม้จริงๆติดอยู่บนผ้า ยิ่งดูเป็นดอกไม้จริงๆมากขึ้นเมื่อได้กลิ่นหอมของมวลบุพชาติจากบนผ้า ยิ่งทำให้คิดไปว่ามีดอกไม้อยู่ในผ้านี้จริงๆ
“ผ้าพวกนี้ เรียกว่าผ้าไหมหอมหมื่นลี้เจ้าค่ะ กลิ่นนี้จะติดอยู่กับผ้านานหนึ่งถึงสองปี อีกทั้งเมื่อสวมใส่ กลิ่นหอมเหล่านี้ก็จะติดบนผิว หากใส่บ่อยๆ ร่างกายก็จะมีกลิ่นหอมเหล่านี้ติดอยู่ทั่วร่างเจ้าค่ะ”
“วิเศษ วิเศษเหลือเกิน ผ้าชนิดนี้ทำมาจากอะไรกัน ทำไมถึงได้วิเศษถึงเพียงนี้ คุณหนูได้มาจากที่ไหน ราคาเท่าไหร่ บ่าวว่าเราควรไปกว้านซื้อทั้งหมดแล้วชิงตัดหน้าร้านอื่นส่งเข้าไปขายในเมืองหลวงนะขอรับ เรื่องนี้ช้าไม่ได้ คนขายผ้าอยู่ที่ไหน คุณหนูพาข้าไปดูเถอะขอรับ” หลงจู๊พลิกผ้าไปๆมาๆ สูดกลิ่นหอมบนผ้าแล้วยิ่งชอบใจ
“ท่านลุงใจเย็นๆแล้วฟังข้าก่อนเจ้าค่ะ ผ้าพวกนี้ก็คือผ้าไหมมีตำหนิที่เราส่งไปขาย พวกเขารับซื้อผ้าของเรา ทำลายผ้า และส่งกลับมาขายให้เรา แต่มีข้อตกลงว่า เขาจะรับซื้อผ้าไหมมีตำหนิ ในราคาสามตำลึง และส่งผ้าพวกนี้กลับมาขายให้ร้านของเราเพียงร้านเดียวในราคาเจ็ดสิบห้าตำลึงเจ้าค่ะ”
ซูเจินจูยกชาขึ้นจิบก่อนจะพูดต่อว่า
“ข้าลองคิดดูแล้ว หากเราไม่ขายผ้าพับมีตำหนิเราจะขาดทุนสิบตำลึง ในขณะเดียวกันเราก็ซื้อผ้าหอมหมื่นลี้ในราคาเจ็ดสิบห้าตำลึงเพื่อขายพับละหนึ่งร้อยตำลึง ร้านของเราก็จะได้กำไรยี่สิบห้าตำลึงเลยนะเจ้าค่ะ”
“กำไรยี่สิบห้าตำลึงเป็นจำนวนเงินที่เยอะมาก แต่ข้ากังวลว่าผ้าพับละหนึ่งร้อยตำลึงจะแพงเกินไปจนทำให้ขายยาก”
“เช่นนั้น ท่านลุงนำผ้าสี่พับนี้ไปขายดูก่อน หากขายไม่ได้ข้าจะนำมันกลับไปคืน หากขายได้ข้าก็กลับไปตกลงทำการค้ากับพวกเขา”
“ได้ขอรับ” หลงจู๊รับผ้าไปอย่างอารมณ์ดี นำของมาขายก่อนโดยที่ยังไม่ต้องจ่ายเงิน ไม่ว่าใครก็ต้องอารมณ์ดีทั้งนั้น และยิ่งอารมณ์ดีขึ้นไปอีกเมื่อนำมาวางขายไม่ถึงหนึ่งเค่อผ้าพับละหนึ่งร้อยตำลึงที่เขากังวลทั้งสี่พับก็ถูกขายออกไปจนหมด
ขณะเดียวกัน สี่เสวี่ยก็ตรงไปที่ตลาดค้าทาส ซูเจินจูให้นางมาซื้อทาสชายที่เป็นวรยุทธ์สองคนเพื่อไปเฝ้าบ้านที่ชนบท นางกลัวว่าจะมีใครเข้ามายุ่มย่ามในบ้านขณะที่นางไม่อยู่ เรือนที่ทำไว้ฝั่งหนึ่งถูกทำเป็นห้องเล็กสามห้อง เป็นห้องของสี่เสวี่ยหนึ่งห้อง แต่โดยปกติพวกนางก็ไม่ได้อยู่ในเรือนดังนั้นทาสชายสองคนให้อยู่ในห้องที่เหลือชั่วคราวก่อนได้ แต่ราคาทาสชายที่เป็นวรยุทธ์แพงเกินกว่าที่สี่เสวี่ยจะจ่ายเงินได้ นางจึงกลับมาด้วยความผิดหวัง
“ทำไมเจ้าถึงกลับมาที่นี่ล่ะ ข้าบอกให้เจ้าซื้อทาส ซื้อของ แล้วก็อยู่ค้างที่บ้านชนบท พรุ่งนี้ค่อยกลับไม่ใช่หรือ”
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเหลือเงินยี่สิบเก้าตำลึงเจ้าค่ะ ทาสชายที่เป็นวรยุทธ์หนึ่งคนราคาสามสิบตำลึง จะซื้อมาครึ่งตัวก่อนก็เกรงว่าเขาจะไม่ขาย เลยกลับมาก่อน ไม่ทันได้ซื้อเจ้าค่ะ”
“ไอหย๋า แพงถึงเพียงนั้น”
“แพงถึงเพียงนั้นเลยเจ้าค่ะ แล้วก็ยังมีเด็กผู้หญิงห้าตำลึง เด็กผู้ชายเจ็ดตำลึง ผู้หญิงสิบห้าตำลึง ผู้ชายยี่สิบตำลึง ผู้ที่มีวรยุทธ์ราคาสูงที่สุดสามสิบตำลึงเจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ก็ไปดูที่ร้านผ้าก่อนเถอะว่าผ้าขายได้หรือไม่ หากขายได้ค่อยนำเงินไปซื้อทาส”
“หากขายไม่ได้ละเจ้าคะ”
“ขายบ้านทิ้งแล้วหอบเงินหนี”
“คุณหนู ล้อ บ่าวเล่นอีกแล้วเจ้าค่ะ บ่าวไม่คุยกับคุณหนูแล้ว บ่าวไปเตรียมน้ำให้นะเจ้าคะ”
“อืม เจ้าไปเตรียมน้ำเถอะ ข้าเย็บถุงหอมใบนี้เสร็จแล้วค่อยไปอาบน้ำ” การเย็บถุงหอมของซูเจินจูคือการนำถุงผ้าปักใบเล็กที่สี่เสวี่ยทำไว้ มาใส่ดอกอิ๋นกุ้ยแล้วเย็บปิดบนปากถุงด้วยตัวเอง การเย็บปากถุงไม่ยากเกินความสามารถของซูเจินจู นางใช้วิธีเย็บแบบเดียวกับการเย็บแผลที่นางเคยเรียนมาเมื่อชาติที่แล้ว เมื่อเห็นว่าตนเองสามารถเย็บปิดปากถุงได้อย่างสวยงามและเป็นระเบียบก็พึงพอใจในตัวเองเป็นอย่างมาก
เช้าวันรุ่งขึ้น ยามเฉิน อิงชุ่ยมาแจ้งแก่นางว่า หลินเฮงฮวนมาหา ซูเจินจูถามสี่เสวี่ยด้วยความกังวลว่าในจดหมายที่หลินเฮงฉวนส่งมาเมื่อวันก่อนได้ระบุวันเวลานัดหรือไม่ เมื่อสี่เสวี่ยยืนยันว่าไม่มีวันเวลานัดเขียนไว้ นางจึงไปพบหลินเฮงฉวนที่ในสวน
“คารวะคุณชายหลิน” หลินเฮงฉวนเงยหน้าขึ้นมองซูเจินจูที่วันนี้ใส่ชุดผ้าไหมสีเหลืองอ่อนกุ๊นคอและข้อมือด้วยผ้าไหมสีเดียวกันปักลายดอกหลันฮวาสีม่วงเข้ากันได้ดีกับแถบคาดเอวสีเหลืองเข้มปักลายผีเสื้อ ผิวของซูเจินจูขาวเนียนดั่งไข่มุก รูปร่างเล็กบอบบาง ใบหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลา คิ้วเรียวสวย ดวงตากลมโต จมูกโด่งสวยชัดปลายเชิดรั้นรับริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพู ยามเงยหน้ารับแสงแดดยามเช้าเช่นนี้ช่างเหมือนเทพธิดาตัวน้อยที่ลงมาหยอกล้อกับเหล่ามนุษย์เบื้องล่าง
“เจินจูเอ๋อร์ เหตุใดจึงออกมาช้านัก เจ้าปล่อยให้คุณชายหลินรอรอบแล้วรอบเล่า เหตุใดจึงทำตัวไร้ระเบียบเช่นนี้” ซูหนี่ย์ที่นั่งอยู่กับหลินเฮงฉวนเอ่ยปากตำหนิซูเจินจูด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ขออภัยคุณชายหลินเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งสั่งงานสี่เสวี่ยเสร็จ ไม่รู้ว่าท่านพี่กับคุณชายหลินรอ ข้าเสียมารยาทเสียแล้ว”
“ช่างเถอะ ข้าเองก็ไม่ได้บอกล่วงหน้า นั่งรอเพียงไม่นาน ไม่นับว่าเป็นอะไร” แม้ปากจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ในใจหลินเฮงฉวนอยากจะจับซูเจินจูกลับไปสั่งสอนนัก เหตุใดจึงได้ทำเป็นไม่สนใจเขาถึงเพียงนี้ นี่ต้องเป็นอุบายถอยเพื่อรุกของนางแน่ๆ หากไม่ติดว่าพรุ่งนี้ต้องไปเมืองหลวง เขาคงไม่มีทางยอมให้อุบายนี้ของนางสำเร็จได้!
“พวกท่านให้บ่าวไปตามข้า มีอะไรหรือเจ้าคะ” ซูเจินจูเบื่อที่จะต้องเสแสร้งพูดจาสามส่วนเช่นนี้ นางอยากจะถามตั้งแต่ประโยคแรกที่มาถึงแล้วว่าเรียกนางมาทำไม นางไม่เข้าใจเหตุใดวาจาสามส่วนพูดอ้อมเจ็ดส่วนพวกนี้ถึงได้เป็นที่นิยมนัก“ข้าเพียงมาบอกเจ้าว่า พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปสอบก่งเซิ่น” เรื่องพวกนี้ต้องให้เขาเตือนด้วยหรือ นางที่จะเป็นเป็นสตรีของเขา เหตุใดจึงไม่ปักรองเท้าให้เขาเล่า ไม่ใช่ว่าเป็นที่รู้กันอยู่แล้วหรือว่ายามบุรุษไปสอบเคอจวี่ ต้องให้รองเท้าเป็นความหมายว่าให้เดินทางปลอดภัย หากการเย็บปักของนางไม่ดี อย่างน้อยเพียงผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนเพื่อเป็นความหมายว่านางรอเขากลับมาก็ควรต้องมีใช่หรือไม่ หรือนางต้องการใช้โอกาสนี้สนิทสนมกับไฉตงชุน จึงได้ทำเช่นนี้“อ่อ เช่นนั้นข้าขออวยพรให้ท่านเดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ” เอ้า ก็แค่ไปสอบ จะต้องมาบอกด้วยหรือ“เจินจูเอ๋อร์ เจ้าเสียมารยามใส่คุณชายหลินอีกแล้ว ดูน้องสาวคนนี้ของหนี่ย์เอ๋อร์สิเจ้าคะ จะเข้าไปเป็นสตรีของคุณชายอยู่แล้วยังขาดการ
หลังจากขึ้นรถม้ามา สี่เสวี่ยก็อดที่จะพูดพึมพำใส่ซูเจินจูได้ไม่“เข็มเงินร้านข้างนอกชุดละหกตำลึงเท่านั้นนะเจ้าคะคุณหนู”“ข้ารู้ แต่คุณภาพต่างกันมากนัก เข็มเงินของท่านอาฮุ่ยซิ่วทั้งตรง กลม และแหลมในขนาดที่สมส่วน ขนาดเข็มแต่ละเล่มก็มีความสั้นยาวสูงต่ำตามที่ข้าต้องการ หากไปซื้อร้านด้านนอก วันนึงก็ต้องกลับมาสั่งทำอยู่ดี เมื่อถึงวันนั้นต้นแบบก็ไม่มี ไม่รู้จะได้เข็มเงินที่ถูกใจเช่นนี้หรือไม่”“แต่ว่า คุณหนูใช้เงินจนจะหมดอีกแล้วนะเจ้าคะ เหลือเพียงหนึ่งร้อยสิบเอ็ดตำลึงเท่านั้น อีกทั้งกลับไปคราวนี้ยังต้องจ้างช่างเฉินมาทำสร้างห้องบ่าวไพร่ จะให้บ่าวไพร่มาอยู่ร่วมเรือนไม่ได้นะเจ้าคะ”“ข้ารู้แล้ว อย่างไรเสียช่วงนี้พวกเราก็ไม่ได้อยู่ สร้างก่อนสองห้อง สามวันก็คงเสร็จ”รถม้าพุ่งออกจากอำเภอเหอ แวะซื้อข้าวของจำเป็นที่ตำบลจางหนาน จ้างเกวียนเทียมวัวอีกหนึ่งคันเพื่อบรรทุกข้าวของ ก่อนมุ่งหน้าเข
เมื่อถึงบ้านชนบท ซูเจินจูเข้าไปทำลายผ้าทันที สี่เสวี่ยจัดการบอกกล่าวกฎระเบียบในบ้านให้ซินซียงทาสที่ซื้อมาใหม่ฟัง เมื่อเห็นว่าหลิวหยางและจางหมิ่นออกไปอยู่ที่เรือนชั้นนอกแล้ว ก็ให้ซินเซียงเข้าไปพักอยู่ห้องเดิมของทั้งสองคนก่อน ตรวจดูความเรียบร้อยในบ้านและในครัวแล้วเห็นว่าข้าวและธัชพืชเหลือเล็กน้อย จึงให้หลิวหยางเตรียมรถม้าและพาซินเซียงไปตลาดในตำบล สี่เสวี่ยซื้อชุดเครื่องนอนใหม่และผ้าฝ้ายสำหรับตัดชุดหนึ่งพับให้ซินเซียง ข้าวสาร ธัญพืช ผักดอง เกลือ น้ำตาล เพียงพอที่จะใช้ไปถึงสองเดือน สี่เสวี่ยจ่ายเงินสามตำลึงอย่างเจ็บปวดและยัดของทุกอย่างเข้าไปในรถม้า วันนี้คุณหนูไม่ได้มาด้วย นางไม่จำเป็นต้องจ้างเกวียนเทียมวัวเพิ่มเมื่อกลับมาถึงบ้าน แต่ละคนก็ต่างทำหน้าที่ของตนเอง สี่เสวี่ยไปวาดลายผ้าที่ลานหิน ซินเซียงเก็บข้าวของและเข้าครัวทำกับข้าว หลิวหยางตรวจตราบริเวณหน้าบ้านไม่ให้คนงานเข้ามาวุ่นวายที่เรือนชั้นใน จางหมิ่นตรวจตราบริเวณหลังบ้าน ดูแลสวนดอกหอมหมื่นลี้และดูแลซูเจินจูบริเวณลานหิน
คราแรกสี่เสวี่ยไม่ต้องการให้คุณหนูเลือกทาสที่ดูน่ากลัวผู้นี้ แต่คัดค้านความต้องการของคุณหนูไม่ได้ เมื่อฟังพ่อค้าทาสแล้วก็เบาใจขึ้นหลังจากจ่ายเงินสามสิบตำลึง สี่เสวี่ยไปซื้อรังผึ้งจากร้านชำบ้านไฉและพาเยว่ชิงออกเดินทางไปที่หมู่บ้านชนบททันทีซูเจินจูพาเฟยหลันมาที่ร้านผ้าซูเตี้ยน ให้นางเลือกชุดผ้าฝ้ายสำเร็จรูปสองชุดก็จะตรงไปที่โรงหลอมเหล็กอู่จินจาง“เจ้าเข้าไปเลือกอาวุธสักชิ้นเถอะ”“….”“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นวรยุทธ์ เข้าไปเลือกเถอะ”“คุณหนู เหตุใด...” นางแปลกใจ เฉพาะแผลเป็นบนใบหน้าก็ทำให้คนทั่วทั้งแคว้นรังเกียจนาง ผู้ที่ต้องการซื้อตัวนางล้วนเป็นบุรุษวัยกำดัด หากเป็นสตรีก็สตรีที่ชื่นชอบการเหยียบย่ำผู้อื่น แต่หากรู้ว่านางเป็นวรยุทธ์ก็จะยิ่งทรมานนางมากขึ้น ด้วยรู้นางไม่สามารถตอบโต้ได้ ก่อนหน้านี้นางถูกคุณหนูจวนแม่ทัพผิงซื้อตัวไป
“เด็กใหม่?”“ไม่ใช่ ... เด็กคนนี้คือคุณหนูเฟิงซือจู ลูกสาวของ คุณซือฉือกับคุณฟางเหนียง”“อ่อเด็กคนนั้น มีชื่อในใบสั่งตายแต่รอดชีวิตมาได้ เด็กกำพร้าวัยสองปีรึ เอามาไว้ที่ข้าเถอะ ข้าจะเลี้ยงให้เป็นนักฆ่าที่เก่งที่สุด”“มาอยู่แค่ชั่วคราวเท่านั้น ฝากเจ้าเลี้ยงไว้ที่นี่ก่อน ผู้สังหารต้องการฆ่าล้างครอบครัว หลังจากจัดการคนพวกนั้นได้ ค่อยส่งคุณหนูให้นายท่านเฟิงหม่าจู”“ถ้าฝากเลี้ยงแค่ชั่วคราวก็หาคนอื่นเถอะ”“เจ้า!!!”…....“คุณปู่ .. ทางนู้นมีทุ่งหญ้า แล้วก็มีดอกไม้เต็มไปหมด ภูเขาก็กว้างมากเลยค่ะ หลานชอบ” เด็กสาวตัวน้อยวิ่งมาด้วยรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจผู้มองพองโตเหมือนฤดูใบไม้ผลิ บรรยากาศรอบตัวอบอวลด้วยความสดใส มีชีวิตชีวา“ถ้าเจ้าชอบ เจ้าก็อยู่ที่นี่เถอะ ...” น้ำเสียงเจือความลำบากใจของเฟิงหม่าจูเอ่ยขึ้น พลันทำให้ผู้ติดตามก้มหน้ามองพื้นด้วยความสงสารเด็กน้อยที่ต้องตัดขาดจากโลกภายนอกด้วยวัยเพียง 4 ปี“นายท่าย ท่านหมอเหวิงและท่านหมอหยางมาถึงแล้วครับ”“นายท่าน ครูฝึกเซียวมาถึงแล้วครับ”“นายท่าน พ่อบ้าน แม่นม คนรับใช้ และผู้ดูแลทั้งหมด หนึ่งร้อยแปดชีวิตเข้าประจำที่คฤหาสน์ของตระกูลเฟิงเรียบร้อยแล้วคร
โอ้ย.. เจ็บหัว เจ็บหน้าผาก ทำไมเจ็บที่หน้าผากล่ะ??? อ่า จำได้ว่าตอนที่ขับเครื่องบินชมวิวอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย ระหว่างข้ามน้ำตกไนแองการ่าฉันถูกตีที่ท้ายทอย ผู้ชายคนนั้น อดีตนายตำรวจใหญ่บิดาของจางเหว่ยซ่อนตัวอยู่บนเครื่องบิน กลับมาล้างแค้นสินะ หึหึ สุดท้ายก็ต้องตายด้วยน้ำมือฉันอยู่ดี สิบกว่าปีก็ยังคงรอคอยเพื่อแก้แค้นฉัน ทำอะไรฉันตอนอยู่ในประเทศจีนไม่ได้ก็ลอบติดตามมาทำร้ายฉันถึงแคนนาดา ยอมแลกชีวิตเพื่อแก้แค้นให้ลูกสาวเพียงคนเดียวที่ถูกฉันเฉือนเนื้อเถือกระดูกคนนั้น..ฮ่าๆ ฉันรอดชีวิต ตกมาจากความสูงขนาดนั้น ตกลงมากลางมหาสมุทร นี่ฉันรอดมาได้ยังไงนะ หรือว่าลอยมาติดเกาะ?ขณะที่เฟิงซือจูลืมตาลำแสงสีส้มยามเย็นลอดผ่านขอบหน้าต่างเข้ามา ยังไม่ทันสังเกตสถานที่นี้ให้ชัด ความเจ็บปวดรุนแรงที่ศรีษะก็ถาโถมเข้ามา เมื่อทนความเจ็บปวดไม่ไหวก็สลบไปอีกครั้งจวบจนเช้าอีกวัน เมื่อเฟิงซือจูลืมตาขึ้นก็ต้องประหลาดใจกับสถานที่ตรงหน้า ที่นี่ที่ไหน ไม่ใช่โรงพยาบาลเหรอ นั่น นั่น! โต๊ะเครื่องแป้งแบบโบราณ? ชุดโต๊ะไม้แดงกลางห้อง? ตู้เสื้อผ้าแบบเตี้ยสองบานพับ? เชิงเทียนรูปทรงแปลกๆนั่น? … นี่มันเฟอร์นิเจอร์จีนโบราณเหรอ แม่เจ
คำพูดทั้งหมดของหลินเฮงฉวนนั้นถูกส่งต่ออย่างครบถ้วน แต่คนฟังนั้นไม่ใช่ซูเจินจู แต่เป็นนายท่านซูเป่า“มันขู่ข้า มันขู่จะเอาร้านผ้ามาเปิดแข่งกับข้า เจ็บใจนักเพราะนังลูกอัปรีย์ ทำให้พวกมันขึ้นมาเหยียบบนหัวข้าแล้ว” เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความโกรธทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ“ท่านพี่ อย่าโกรธขนาดนี้เลยเจ้าค่ะ รักษาสุขภาพด้วย เจ้าเองก็เหมือนกันหนี่ย์เอ๋อร์ เรื่องพวกนี้บอกพ่อเจ้าได้เหรอ จะให้พ่อเจ้าโกรธตายรึยังไง” ฮูหยินซูเข้าไปปลอบสามีด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆ แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยเห็นนายท่านซูโกรธขนาดนี้“เจ้าสิตาย ปากเจ้าใหญ่แค่ไหนถึงกล้ามาแช่งข้า เพราะหนี่ย์เอ๋อรู้ความถึงได้บอกข้า ไม่บอกแล้วข้าจะรู้เหรอว่าไอ้จวนนายอำเภอมันตั้งใจจะเหยียบหัวข้า ทำการค้ามาตั้งกี่ปี จ่ายให้พวกมันไปตั้งเท่าไหร่ หนังเสือยังไม่ทันส่งเข้าเมืองหลวงก็ต้องส่งเข้าจวนนายอำเภอก่อนมันยังกล้าขู่ข้าขนาดนี้ อัปรีย์ ไอ้พวกอัปรีย์!! ไป ไปตามอาจูมา ข้าต้องถามนางให้รู้เรื่อง” ทำการค้ามาหลายปีจะมายอมขาดทุนแบบนี้ไม่ได้ กว่าจะเลี้ยงซูเจินจูมาหมดเงินไปตั้งเท่าไหร่ แต่งงานมีหน้ามีตาไม่ได้ ก็ต้องแต่งได้เส้นสาย แต่งเงินแต่งทองไม่ได้ก็ต้
ซูเจินจูออกจากบ้านตระกูลซูมาพร้อมสี่เสวี่ยตรงเข้าไปที่ “ร้านผ้าซูเตี้ยน”“คุณหนูสี่มาแล้ว” หลงจู๊ออกมาตอนรับซูเจินจูอย่างคุ้นเคย น้ำเสียงเจือความห่วงใย หลงจู๊ผู้นี้ทำงานอยู่ที่ร้านผ้าซูเตี้ยนมาตั้งแต่เริ่มเปิดร้านใหม่ๆ ได้รับความไว้ใจจากนายท่านผู้เฒ่าซูมาก ยิ่งเห็นซูเจินจูมาตั้งแต่เกิดจนโต ได้ยินข่าวเสียหายที่เพิ่งเกิดขึ้นแล้วยิ่งเป็นห่วงคุณหนูผู้นี้จากใจจริง“ทำให้ท่านลุงฝูเป็นห่วงแล้ว”“คุณหนูรีบเข้าไปข้างในก่อนเถอะขอรับ” หลงจู๊พยายามพูดให้ซูเจินจูเข้าไปด้านในให้ได้ ด้วยเห็นสายตาจากหลายๆคนมองมาที่ซูเจินจูอย่างอยากรู้อยากเห็น เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนนายอำเภอได้ถูกเล่าลือออกไปอย่างกว้างขวาง แต่ซูเจินจูกลับเพียงยืนนิ่งๆอยู่ตรงนั้นสักพัก หลังทักทายกันอีกสองสามประโยค ซูเจินจูจึงขอตัวเข้าไปดูเอกสารที่ห้องทำงานบนชั้นสองร้านผ้าซูเตี้ยนเป็นร้านผ้าที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของอำเภอเหอ ขายผ้าพับและเสื้อคลุมขนสัตว์ผ้าพ
คราแรกสี่เสวี่ยไม่ต้องการให้คุณหนูเลือกทาสที่ดูน่ากลัวผู้นี้ แต่คัดค้านความต้องการของคุณหนูไม่ได้ เมื่อฟังพ่อค้าทาสแล้วก็เบาใจขึ้นหลังจากจ่ายเงินสามสิบตำลึง สี่เสวี่ยไปซื้อรังผึ้งจากร้านชำบ้านไฉและพาเยว่ชิงออกเดินทางไปที่หมู่บ้านชนบททันทีซูเจินจูพาเฟยหลันมาที่ร้านผ้าซูเตี้ยน ให้นางเลือกชุดผ้าฝ้ายสำเร็จรูปสองชุดก็จะตรงไปที่โรงหลอมเหล็กอู่จินจาง“เจ้าเข้าไปเลือกอาวุธสักชิ้นเถอะ”“….”“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นวรยุทธ์ เข้าไปเลือกเถอะ”“คุณหนู เหตุใด...” นางแปลกใจ เฉพาะแผลเป็นบนใบหน้าก็ทำให้คนทั่วทั้งแคว้นรังเกียจนาง ผู้ที่ต้องการซื้อตัวนางล้วนเป็นบุรุษวัยกำดัด หากเป็นสตรีก็สตรีที่ชื่นชอบการเหยียบย่ำผู้อื่น แต่หากรู้ว่านางเป็นวรยุทธ์ก็จะยิ่งทรมานนางมากขึ้น ด้วยรู้นางไม่สามารถตอบโต้ได้ ก่อนหน้านี้นางถูกคุณหนูจวนแม่ทัพผิงซื้อตัวไป
เมื่อถึงบ้านชนบท ซูเจินจูเข้าไปทำลายผ้าทันที สี่เสวี่ยจัดการบอกกล่าวกฎระเบียบในบ้านให้ซินซียงทาสที่ซื้อมาใหม่ฟัง เมื่อเห็นว่าหลิวหยางและจางหมิ่นออกไปอยู่ที่เรือนชั้นนอกแล้ว ก็ให้ซินเซียงเข้าไปพักอยู่ห้องเดิมของทั้งสองคนก่อน ตรวจดูความเรียบร้อยในบ้านและในครัวแล้วเห็นว่าข้าวและธัชพืชเหลือเล็กน้อย จึงให้หลิวหยางเตรียมรถม้าและพาซินเซียงไปตลาดในตำบล สี่เสวี่ยซื้อชุดเครื่องนอนใหม่และผ้าฝ้ายสำหรับตัดชุดหนึ่งพับให้ซินเซียง ข้าวสาร ธัญพืช ผักดอง เกลือ น้ำตาล เพียงพอที่จะใช้ไปถึงสองเดือน สี่เสวี่ยจ่ายเงินสามตำลึงอย่างเจ็บปวดและยัดของทุกอย่างเข้าไปในรถม้า วันนี้คุณหนูไม่ได้มาด้วย นางไม่จำเป็นต้องจ้างเกวียนเทียมวัวเพิ่มเมื่อกลับมาถึงบ้าน แต่ละคนก็ต่างทำหน้าที่ของตนเอง สี่เสวี่ยไปวาดลายผ้าที่ลานหิน ซินเซียงเก็บข้าวของและเข้าครัวทำกับข้าว หลิวหยางตรวจตราบริเวณหน้าบ้านไม่ให้คนงานเข้ามาวุ่นวายที่เรือนชั้นใน จางหมิ่นตรวจตราบริเวณหลังบ้าน ดูแลสวนดอกหอมหมื่นลี้และดูแลซูเจินจูบริเวณลานหิน
หลังจากขึ้นรถม้ามา สี่เสวี่ยก็อดที่จะพูดพึมพำใส่ซูเจินจูได้ไม่“เข็มเงินร้านข้างนอกชุดละหกตำลึงเท่านั้นนะเจ้าคะคุณหนู”“ข้ารู้ แต่คุณภาพต่างกันมากนัก เข็มเงินของท่านอาฮุ่ยซิ่วทั้งตรง กลม และแหลมในขนาดที่สมส่วน ขนาดเข็มแต่ละเล่มก็มีความสั้นยาวสูงต่ำตามที่ข้าต้องการ หากไปซื้อร้านด้านนอก วันนึงก็ต้องกลับมาสั่งทำอยู่ดี เมื่อถึงวันนั้นต้นแบบก็ไม่มี ไม่รู้จะได้เข็มเงินที่ถูกใจเช่นนี้หรือไม่”“แต่ว่า คุณหนูใช้เงินจนจะหมดอีกแล้วนะเจ้าคะ เหลือเพียงหนึ่งร้อยสิบเอ็ดตำลึงเท่านั้น อีกทั้งกลับไปคราวนี้ยังต้องจ้างช่างเฉินมาทำสร้างห้องบ่าวไพร่ จะให้บ่าวไพร่มาอยู่ร่วมเรือนไม่ได้นะเจ้าคะ”“ข้ารู้แล้ว อย่างไรเสียช่วงนี้พวกเราก็ไม่ได้อยู่ สร้างก่อนสองห้อง สามวันก็คงเสร็จ”รถม้าพุ่งออกจากอำเภอเหอ แวะซื้อข้าวของจำเป็นที่ตำบลจางหนาน จ้างเกวียนเทียมวัวอีกหนึ่งคันเพื่อบรรทุกข้าวของ ก่อนมุ่งหน้าเข
“พวกท่านให้บ่าวไปตามข้า มีอะไรหรือเจ้าคะ” ซูเจินจูเบื่อที่จะต้องเสแสร้งพูดจาสามส่วนเช่นนี้ นางอยากจะถามตั้งแต่ประโยคแรกที่มาถึงแล้วว่าเรียกนางมาทำไม นางไม่เข้าใจเหตุใดวาจาสามส่วนพูดอ้อมเจ็ดส่วนพวกนี้ถึงได้เป็นที่นิยมนัก“ข้าเพียงมาบอกเจ้าว่า พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปสอบก่งเซิ่น” เรื่องพวกนี้ต้องให้เขาเตือนด้วยหรือ นางที่จะเป็นเป็นสตรีของเขา เหตุใดจึงไม่ปักรองเท้าให้เขาเล่า ไม่ใช่ว่าเป็นที่รู้กันอยู่แล้วหรือว่ายามบุรุษไปสอบเคอจวี่ ต้องให้รองเท้าเป็นความหมายว่าให้เดินทางปลอดภัย หากการเย็บปักของนางไม่ดี อย่างน้อยเพียงผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนเพื่อเป็นความหมายว่านางรอเขากลับมาก็ควรต้องมีใช่หรือไม่ หรือนางต้องการใช้โอกาสนี้สนิทสนมกับไฉตงชุน จึงได้ทำเช่นนี้“อ่อ เช่นนั้นข้าขออวยพรให้ท่านเดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ” เอ้า ก็แค่ไปสอบ จะต้องมาบอกด้วยหรือ“เจินจูเอ๋อร์ เจ้าเสียมารยามใส่คุณชายหลินอีกแล้ว ดูน้องสาวคนนี้ของหนี่ย์เอ๋อร์สิเจ้าคะ จะเข้าไปเป็นสตรีของคุณชายอยู่แล้วยังขาดการ
ซูเจินจูที่คุยกับฮูหยินรองจนหมดแรงเดินกลับมาที่เรือนก็เห็นว่าสี่เสวี่ยเตรียมข้าวของไว้เรียบร้อยแล้ว และยังไม่ลืมที่จะเตรียมเบาะรองนั่งอย่างดีไว้ให้นางถึงสี่ใบ“คุณหนูของที่ต้องเตรียมจากที่เรือนนี้ บ่าวเตรียมครบแล้วเจ้าค่ะ แต่ที่บ้านของคุณหนูไม่มีทั้งเครื่องเรือนแล้วครื่องครัว คุณหนูจะอยู่ลำบากเกินไปหรือไม่เจ้าคะ”“พรุ่งนี้ระหว่างทางก็แวะร้านค้าในตำบลเสียหน่อย ซื้อเครื่องนอนสองชุด ตะเกียงสี่ชุด เครื่องครัวก็ตามที่เจ้าเห็นสมควร ข้าวสาร ธัญพืชอีกเล็กน้อย แล้วก็แวะ
เมื่อไปถึงหมู่บ้านจั๋วมู่ ซูเจินจูพาหัวหน้าหมู่บ้านจั๋วมู่กับชาวบ้านอีกสามคนขึ้นไปดูต้นไม้ที่นางต้องการ“กลิ่นดอกไม้ที่เราได้กลิ่นกันมาจากต้นไม้พวกนี้หรือ” หลังจากที่มาถึงที่ กลิ่นหอมอบอวนทำให้ชาวบ้านแปลกใจ ใจนึงก็คิดว่าหากเป็นกลิ่นดอกไม้พวกนี้แล้วนางขุดไป ต่อไปจะไม่มีคนมาชมดอกไม้ที่หมู่บ้านอีกเป็นแน่“ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะท่านลุง กลิ่นพวกนี้เป็นกลิ่นจากดอกเหมยด้านล่างรวมกับกลิ่นความชื้นของป่าที่สมบูรณ์แห่งนี้เจ้าค่ะ แต่หากว่ามีคนขึ้นมาบนนี้บ่อยๆ ต้นไม้และเถาวัลย์ถูกเหยียบย่ำก็จะทำให้กลิ่นของดอกเหมยลอยออกไป ไม่ติดค้างอยู่ที่ที่เจ้าค่ะ ท่านลุงลองดมกลิ่นหญ้าพวกนี้สิเจ้าคะ หญ้าพวกนี้ก็มีกลิ่นเช่นเดียวกัน” ซุเจินจูไม่สามารถพูดความจริง หากนางบอกความจริงคนพวกนี้ไม่มีทางให้นางขุดต้นไม้พวกนี้แน่ นางทำได้พียงหาข้ออ้างที่แม้แต่นางก็ยังรู้สึกไม่น่าเชื่อ ก็ได้แต่ภาวนาในใจว่า หวังว่าท่านลุงทั้งหลายจะเชื่อข้านะเจ้าคะ“เป็นอย่างที่เจ้าว่า เห็นทีว่าไม่ว่าอะไรที่อยู่ตรงนี้
“คุณชายหลินกลับไปแล้วหรือเจ้าคะ” สี่เสวี่ยที่เห็นซูเจินจูเดินเข้าเรือนมาก็รีบออกมาหาทันที“กลับไปแล้ว สี่เสวี่ยเจ้าไปเอาเงินข้าออกมานับเร็ว ดูสิว่าข้าเหลือเงินเท่าไหร่”“นับเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ วันนี้คุณหนูซื้อที่ดินสองร้อยตำลึง ให้ลุงหวังสิบตำลึง มัดจำค่าปลูกบ้านสามร้อยตำลึง ค่ารถม้าสามร้อยอีแปะ ซาลาเปายี่สิบลูกแปดสิบอีแปะ ขนมร้านเสี่ยวซือกวงสองตำลึง บะหมี่ของคุณหนูสองชามของบ่าวหนึ่งชาม สิบห้าอีแปะ คุณหนูจะเหลือเงิน สามร้อยเก้าสิบห้าตำลึงกับหกร้อยสิบห้าอีแปะเจ้าค่ะ บ่าวแบ่งเงินที่ต้องจ่ายช่างเฉินออกมาอีก สองร้อยเจ็ดสิบห้าตำลึง คุณหนูจะเหลือเงินหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงกับหกร้อยสิบห้าอีแปะเจ้าค่ะ”“สี่เสวี่ย ต่อไปข้าคงต้องพึ่งพาฝีมือวาดรูปของเจ้า ให้เลี้ยงดูข้าเสียแล้ว” นางฟังที่สี่เสวี่ยเจื้อยแจ้วจัดการบัญชีให้นางดูเหมือนผู้จัดการตัวน้อย ทุกครั้งที่เงินในหีบนี้ลดลง สีหน้าของสี่เสวี่ยดูเจ็บปวดมากกว่านางที่เป็นเจ้าของเงินเสียอีก“หากคุณห
เมื่อถึงวันนัด อิงเถากลับมารายงานซูหนี่ย์ว่าซูเจินจูออกจากบ้านไปตั้งแต่ยามเฉิน ไม่มีใครรู้ว่าไปที่ใด ซูหนี่ย์ก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่ออกไปพบคุณชายหลินเพียงลำพังด้านซูเจินจูที่ออกจากบ้านมานั้น นางออกจากอำเภอเหอ ผ่านตำบลจี๋หลง และตำบลจ้างหนาน จนถึงหมู่บ้านซานหมู่บ้านซานเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่มีคนอาศัยอยู่เพียงห้าสิบหลังคาเรือน พื้นดินแห้งแล้งทำให้ปลูกพืชผักได้น้อยกว่าหมู่บ้านอื่น จึงไม่ค่อยมีคนนอกหมู่บ้านเข้ามาวุ่นวาย เป็นตัวเลือกที่ดีของนางซูเจินจูเข้าไปพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้าน แจ้งความต้องการว่าต้องการซื้อที่ดิน หลังการสอบถามจนแน่ใจว่าพวกนางจะไม่เป็นอันตรายต่อคนในหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านก็พาพวกนางมาวัดที่ดินที่ว่างอยู่ท้ายหมู่บ้าน ที่ดินตรงนี้ด้านหน้าติดถนน รถม้าเข้าออกสะดวกด้านหลังลากยาวไปจนติดภูเขา ถัดไปอีกสิบจั้งก็เป็นลำธาร ติดตรงที่พื้นที่ตรงนี้กว้างถึงห้าสิบหมู่ ในตอนแรกซูเจินจูค่อนข้างลำบากใจถ้าหากต้องซื้อที่กว้างขนาดนี้ นางกลัวว่าเงินที่นางมีอยู่จะไม่พอ แต่
“เอ่อ.. เป็นตระกูลไฉ มาขอหมั้นคุณหนูสี่ให้นายน้อยไฉตงชุนเจ้าค่ะ” อิงชุ่ยพูดเสียงเบาด้วยรู้ว่าคุณหนูใหญ่เกลียดคุณหนูสี่ และยังไม่สามารถวางอุบายรังแกนางได้สำเร็จสักครั้ง“เจ้าว่าอะไรนะ ขอหมั้นนังจิ้งจอกนั่น!! นังแพศยา เตียงคุณชายหลินรออยู่ข้างหน้ายังกล้าให้ท่าบุรุษอื่นเชียวรึ” เหอๆ นังตัวดี คราวนี้เจ้าไม่รอดแน่ หากคุณชายหลินรู้ เจ้าไม่มีทางชูคออยู่บนเตียงได้แน่ และถ้าหากนายน้อยไฉรู้ว่าเจ้ามีค่าเพียงสาวใช้อุ่นเตียงก็อย่าหวังเลยว่าเจ้าจะเป็นแต่งเข้าไปเป็นฮูหยินฮูหยินซูก็ไม่ทำให้ลูกสาวสุดที่รักอย่างซูหนี่ย์ต้องผิดหวัง คนเราหากหวังดีปฏิเสธแม่สื่ออ้อมๆก็ยังพอรักษาหน้า แต่คนอย่างฮูหยินซู มีช่องให้ทำลายซูเจินจูมีหรือจะไม่ทำ เล่าวีรกรรมซูเจินจูที่เข้าไปให้ท่าคุณชายหลินถึงในจวนนายอำเภอ ออกอุบายให้คุณชายหลินทำลายชื่อเสียงตน ร้องขอขึ้นเป็นฮูหยินตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อนทั้งที่พิ่งจะอายุสิบสามปี เพราะความอิจฉาที่คุณชายหลินมีใจให้ซูหนี่ย์ คุณชายหลินทั้งสงสารทั้งรู้สึกผิดจึงเขียนสัญญาจะรับนางเข้าจวนไ