ซูเจินจูที่คุยกับฮูหยินรองจนหมดแรงเดินกลับมาที่เรือนก็เห็นว่าสี่เสวี่ยเตรียมข้าวของไว้เรียบร้อยแล้ว และยังไม่ลืมที่จะเตรียมเบาะรองนั่งอย่างดีไว้ให้นางถึงสี่ใบ
“คุณหนูของที่ต้องเตรียมจากที่เรือนนี้ บ่าวเตรียมครบแล้วเจ้าค่ะ แต่ที่บ้านของคุณหนูไม่มีทั้งเครื่องเรือนแล้วครื่องครัว คุณหนูจะอยู่ลำบากเกินไปหรือไม่เจ้าคะ”
“พรุ่งนี้ระหว่างทางก็แวะร้านค้าในตำบลเสียหน่อย ซื้อเครื่องนอนสองชุด ตะเกียงสี่ชุด เครื่องครัวก็ตามที่เจ้าเห็นสมควร ข้าวสาร ธัญพืชอีกเล็กน้อย แล้วก็แวะร้านยาเสียหน่อย ซื้อพวกยาทากันแมลง บ้านติดเขาเช่นนั้นไม่รู้ว่ามีแมลงเยอะหรือไม่ อ่อ เจ้าเอากริชเงินของข้าติดตัวไว้ ไว้คราวหน้าข้าจะซื้อมีดสั้นให้ พกง่ายและน้ำหนักเบากว่ากริชเงินเล่มนี้มากนัก”
“ได้เจ้าค่ะคุณหนู บ่าวเตรียมน้ำไว้แล้ว คุณหนูรีบอาบน้ำเถอะเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้า”
สี่เสวี่ยปรนนิบัติซูเจินจูอาบน้ำ สระผม ส่งซูเจินจูเข้านอนเสร็จแล้ว ก็กลับมานับเงินในหีบอีกรอบ ก่อนจะเข้านอนอย่างมีความสุข
เช้าวันต่อมาซูเจินจูและสี่เสวี่ยออกจากบ้านตั้งแต่ต้นยามเฉิน วันนี้ซูเจินจูนอนบนเบาะรองนั่งอย่างดีที่ซ้อนไว้สองชั้น ก่อนออกจากเมืองซูเจินจูแวะซื้อขนมร้านเสี่ยวซือกวงสองกล่อง รถม้าเคลื่อนตัวออกจากอำเภอเหอ ผ่านตำบลจี๋หลง ไปถึงตำบลจางหนานก็หยุดพักเพื่อให้พวกนางลงไปซื้อของใช้
ที่นอน หมอน ผ้าห่ม อย่างละสองชุด ตะเกียงสี่อัน ถ้วย ชาม ตะเกียบ หม้อ ไห ถ่าน ของใช้เล็กๆน้อยๆ ข้าวสารอย่างดีสี่จิน แป้งสาลีห้าจิน น้ำตาลทรายกับเกลืออย่างละหนึ่งจิน เครื่องปรุงรสขวดเล็กๆสองสามขวด มันหมูหนึ่งจิน เนื้อแดงสองจิน ถูกลำเลียงขึ้นเกวียนเทียมวัวที่จ้างมาใหม่ ของใช้ต่างๆก็เป็นเพียงของธรรมดา ของกินก็ซื้อสำหรับแค่สามวัน ทั้งหมดราคาสามตำลึง
“เราซื้อของมากมาย เหตุใดราคาเพียงสามตำลึงเล่า”
“สามตำลึงสำหรับชาวบ้านก็ถือว่าแพงแล้วเจ้าค่ะ ที่นอนผ้าห่มก็เป็นเพียงผ้าฝ้ายเท่านั้น ไม่ใช่ผ้าไหมเหมือนของที่เรือนคุณหนู”
“มิน่า เจ้าถึงปวดใจนักเวลาข้ากินขนมของร้านเสี่ยวซือกวง”
“ขนมกล่องนึงของคุณหนูซื้อผ้าห่มยัดไส้นุ่นได้เกือบสามผืนเชียวเจ้าค่ะ”
“เสียดายที่ข้ากินได้เพียงขนม กินผ้าห่มแทนไม่ได้ ไม่เช่นนั้นผ้าห่มผืนใหญ่เพียงนี้ คงพอกินไปได้หลายวัน”
“มาคราวนี้ บ่าวจะวาดผ้าให้คุณหนูหลายๆผืนเลยนะเจ้าคะ บ่าวกลัวว่าหากคุณหนูกินผ้าห่มแทนขนมแล้ว หลงจู๊ร้านเสี่ยวซือกวงคงต้องหลั่งน้ำตาเพราะคิดถึงคุณหนูแน่ๆ”
ซูเจินจูและสี่เสวี่ยหยอกล้อกันไปตลอดทางจนมาถึงหมูบ้านซาน ก่อนจะนำขนมร้านเสี่ยวซือกวงไปฝากหัวหน้าหมู่บ้านและรับกุญแจบ้านคืน หลังจากย้ายข้าวของเข้าบ้านและนัดแนะกับรถม้าให้ม้ารับสามวันให้หลัง ซูเจินจูก็เริ่มวาดลายผ้าทันที
ผ้าพับแรกที่ซูเจินจูวาดคือดอกเหมย โดยใช้ผ้าไหมสีชมพูอ่อน ลำต้นใช้สีดำผสมกับอิ๋นกุ้ยละตันกุ๋ยเล็กน้อยทำให้เกิดสีน้ำตาลเข้ม ดอกเหมยใช้สีแดงจากตันกุย และสีชมพูจากตันกุยผสมอิ๋นกุย
ผ้าพับที่สองวาดดอกบัว ใช้ผ้าไหมสีม่วง ก้านใช้สีเขียวจากใบเสียนหลันผสมอิ๋นกุ้ย ดอกใช้สีเหลืองของจินกุ้ย
ผับพับที่สามวาดดอกท้อ ใช้ผ้าไหมสีขาว ดอกท้อใช้สีแดงจากตันกุยผสมสีเหลืองจากจินกุ้ย ได้สีส้มเข้มไปจนถึงส้มอ่อน
สี่เสวี่ยวาดลายดอกเหมยหนึ่งพับ
ผ้าทั้งสี่พับถูกตากอยู่บนโต๊ะที่ลานหินอย่างเรียบร้อย
ความเร็วในการวาดลายผ้าของซูเจินจูอยู่ที่วันละหนึ่งพับ
สี่เสวี่ยที่เสียเวลาหนึ่งวันในการเตรียมสี เก็บของ อีกทั้งต้องแบ่งเวลาส่วนนึงปรนิบัติซูเจินจูและหุงหาอาหารก็วาดลายได้ช้าลงสามวันได้เพียงหนึ่งพับเท่านั้น
เมื่อครบกำหนดสามวันซูเจินจูและสี่เสวี่ยก็กลับเข้าตัวอำเภอทันที
ซูเจินจูนำผ้าสี่พับเข้าไปที่ร้านผ้าซูเตี้ยน
“คุณหนูกลับมาแล้ว” ทันทีที่หลงจู๊เห็นซูเจินจูก็รีบเดินออกมาต้อนรับ เด็กผู้หญิงตัวเล็กเท่านี้ต้องออกไปทำการค้านอกเมือง หากคุณหนูสี่เป็นผู้ชายร้านผ้าซูเตี้ยนก็คงต้องยกให้คุณหนูสี่ดูแลเป็นแน่
“ข้ากลับมาแล้ว ท่านลุงฝูตามข้าไปที่ห้องทำงานเถอะ ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย”
หลงจู๊หันไปสั่งเด็กในร้านให้ออกไปซื้อขนมกล่องสองตำลึงร้านเสี่ยวซือกวงให้คุณหนูสี่ และสั่งให้เด็กในร้านอีกคนชงชาตามเข้าไปในห้องทำงาน
“คุณหนูกลับมาเหนื่อยๆ บ่าวให้เด็กออกไปซื้อขนมโปรดของคุณหนูมาให้แล้ว อีกสักครู่คงยกเข้ามา เดินทางครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“ท่านลุงฝูตามใจข้านัก การเดินทางครั้งนี้ถือว่าร้านผ้าซูเตี้ยนของเราได้กำไร ท่านลุงดูผ้าพับพวกนี้เถอะเจ้าค่ะ”
ทันทีที่หลงจู๊ฝูคลี่ผ้าพับออกมาดูก็ต้องแปลกใจ ลายผ้าที่ใช้การวาดดูอ่อนช้อย บอบบางกว่าการปักผ้ามาก ทั้งการไล่เฉดสีที่ดูเหมือนดอกไม้จริงๆติดอยู่บนผ้า ยิ่งดูเป็นดอกไม้จริงๆมากขึ้นเมื่อได้กลิ่นหอมของมวลบุพชาติจากบนผ้า ยิ่งทำให้คิดไปว่ามีดอกไม้อยู่ในผ้านี้จริงๆ
“ผ้าพวกนี้ เรียกว่าผ้าไหมหอมหมื่นลี้เจ้าค่ะ กลิ่นนี้จะติดอยู่กับผ้านานหนึ่งถึงสองปี อีกทั้งเมื่อสวมใส่ กลิ่นหอมเหล่านี้ก็จะติดบนผิว หากใส่บ่อยๆ ร่างกายก็จะมีกลิ่นหอมเหล่านี้ติดอยู่ทั่วร่างเจ้าค่ะ”
“วิเศษ วิเศษเหลือเกิน ผ้าชนิดนี้ทำมาจากอะไรกัน ทำไมถึงได้วิเศษถึงเพียงนี้ คุณหนูได้มาจากที่ไหน ราคาเท่าไหร่ บ่าวว่าเราควรไปกว้านซื้อทั้งหมดแล้วชิงตัดหน้าร้านอื่นส่งเข้าไปขายในเมืองหลวงนะขอรับ เรื่องนี้ช้าไม่ได้ คนขายผ้าอยู่ที่ไหน คุณหนูพาข้าไปดูเถอะขอรับ” หลงจู๊พลิกผ้าไปๆมาๆ สูดกลิ่นหอมบนผ้าแล้วยิ่งชอบใจ
“ท่านลุงใจเย็นๆแล้วฟังข้าก่อนเจ้าค่ะ ผ้าพวกนี้ก็คือผ้าไหมมีตำหนิที่เราส่งไปขาย พวกเขารับซื้อผ้าของเรา ทำลายผ้า และส่งกลับมาขายให้เรา แต่มีข้อตกลงว่า เขาจะรับซื้อผ้าไหมมีตำหนิ ในราคาสามตำลึง และส่งผ้าพวกนี้กลับมาขายให้ร้านของเราเพียงร้านเดียวในราคาเจ็ดสิบห้าตำลึงเจ้าค่ะ”
ซูเจินจูยกชาขึ้นจิบก่อนจะพูดต่อว่า
“ข้าลองคิดดูแล้ว หากเราไม่ขายผ้าพับมีตำหนิเราจะขาดทุนสิบตำลึง ในขณะเดียวกันเราก็ซื้อผ้าหอมหมื่นลี้ในราคาเจ็ดสิบห้าตำลึงเพื่อขายพับละหนึ่งร้อยตำลึง ร้านของเราก็จะได้กำไรยี่สิบห้าตำลึงเลยนะเจ้าค่ะ”
“กำไรยี่สิบห้าตำลึงเป็นจำนวนเงินที่เยอะมาก แต่ข้ากังวลว่าผ้าพับละหนึ่งร้อยตำลึงจะแพงเกินไปจนทำให้ขายยาก”
“เช่นนั้น ท่านลุงนำผ้าสี่พับนี้ไปขายดูก่อน หากขายไม่ได้ข้าจะนำมันกลับไปคืน หากขายได้ข้าก็กลับไปตกลงทำการค้ากับพวกเขา”
“ได้ขอรับ” หลงจู๊รับผ้าไปอย่างอารมณ์ดี นำของมาขายก่อนโดยที่ยังไม่ต้องจ่ายเงิน ไม่ว่าใครก็ต้องอารมณ์ดีทั้งนั้น และยิ่งอารมณ์ดีขึ้นไปอีกเมื่อนำมาวางขายไม่ถึงหนึ่งเค่อผ้าพับละหนึ่งร้อยตำลึงที่เขากังวลทั้งสี่พับก็ถูกขายออกไปจนหมด
ขณะเดียวกัน สี่เสวี่ยก็ตรงไปที่ตลาดค้าทาส ซูเจินจูให้นางมาซื้อทาสชายที่เป็นวรยุทธ์สองคนเพื่อไปเฝ้าบ้านที่ชนบท นางกลัวว่าจะมีใครเข้ามายุ่มย่ามในบ้านขณะที่นางไม่อยู่ เรือนที่ทำไว้ฝั่งหนึ่งถูกทำเป็นห้องเล็กสามห้อง เป็นห้องของสี่เสวี่ยหนึ่งห้อง แต่โดยปกติพวกนางก็ไม่ได้อยู่ในเรือนดังนั้นทาสชายสองคนให้อยู่ในห้องที่เหลือชั่วคราวก่อนได้ แต่ราคาทาสชายที่เป็นวรยุทธ์แพงเกินกว่าที่สี่เสวี่ยจะจ่ายเงินได้ นางจึงกลับมาด้วยความผิดหวัง
“ทำไมเจ้าถึงกลับมาที่นี่ล่ะ ข้าบอกให้เจ้าซื้อทาส ซื้อของ แล้วก็อยู่ค้างที่บ้านชนบท พรุ่งนี้ค่อยกลับไม่ใช่หรือ”
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเหลือเงินยี่สิบเก้าตำลึงเจ้าค่ะ ทาสชายที่เป็นวรยุทธ์หนึ่งคนราคาสามสิบตำลึง จะซื้อมาครึ่งตัวก่อนก็เกรงว่าเขาจะไม่ขาย เลยกลับมาก่อน ไม่ทันได้ซื้อเจ้าค่ะ”
“ไอหย๋า แพงถึงเพียงนั้น”
“แพงถึงเพียงนั้นเลยเจ้าค่ะ แล้วก็ยังมีเด็กผู้หญิงห้าตำลึง เด็กผู้ชายเจ็ดตำลึง ผู้หญิงสิบห้าตำลึง ผู้ชายยี่สิบตำลึง ผู้ที่มีวรยุทธ์ราคาสูงที่สุดสามสิบตำลึงเจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ก็ไปดูที่ร้านผ้าก่อนเถอะว่าผ้าขายได้หรือไม่ หากขายได้ค่อยนำเงินไปซื้อทาส”
“หากขายไม่ได้ละเจ้าคะ”
“ขายบ้านทิ้งแล้วหอบเงินหนี”
“คุณหนู ล้อ บ่าวเล่นอีกแล้วเจ้าค่ะ บ่าวไม่คุยกับคุณหนูแล้ว บ่าวไปเตรียมน้ำให้นะเจ้าคะ”
“อืม เจ้าไปเตรียมน้ำเถอะ ข้าเย็บถุงหอมใบนี้เสร็จแล้วค่อยไปอาบน้ำ” การเย็บถุงหอมของซูเจินจูคือการนำถุงผ้าปักใบเล็กที่สี่เสวี่ยทำไว้ มาใส่ดอกอิ๋นกุ้ยแล้วเย็บปิดบนปากถุงด้วยตัวเอง การเย็บปากถุงไม่ยากเกินความสามารถของซูเจินจู นางใช้วิธีเย็บแบบเดียวกับการเย็บแผลที่นางเคยเรียนมาเมื่อชาติที่แล้ว เมื่อเห็นว่าตนเองสามารถเย็บปิดปากถุงได้อย่างสวยงามและเป็นระเบียบก็พึงพอใจในตัวเองเป็นอย่างมาก
เช้าวันรุ่งขึ้น ยามเฉิน อิงชุ่ยมาแจ้งแก่นางว่า หลินเฮงฮวนมาหา ซูเจินจูถามสี่เสวี่ยด้วยความกังวลว่าในจดหมายที่หลินเฮงฉวนส่งมาเมื่อวันก่อนได้ระบุวันเวลานัดหรือไม่ เมื่อสี่เสวี่ยยืนยันว่าไม่มีวันเวลานัดเขียนไว้ นางจึงไปพบหลินเฮงฉวนที่ในสวน
“คารวะคุณชายหลิน” หลินเฮงฉวนเงยหน้าขึ้นมองซูเจินจูที่วันนี้ใส่ชุดผ้าไหมสีเหลืองอ่อนกุ๊นคอและข้อมือด้วยผ้าไหมสีเดียวกันปักลายดอกหลันฮวาสีม่วงเข้ากันได้ดีกับแถบคาดเอวสีเหลืองเข้มปักลายผีเสื้อ ผิวของซูเจินจูขาวเนียนดั่งไข่มุก รูปร่างเล็กบอบบาง ใบหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลา คิ้วเรียวสวย ดวงตากลมโต จมูกโด่งสวยชัดปลายเชิดรั้นรับริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพู ยามเงยหน้ารับแสงแดดยามเช้าเช่นนี้ช่างเหมือนเทพธิดาตัวน้อยที่ลงมาหยอกล้อกับเหล่ามนุษย์เบื้องล่าง
“เจินจูเอ๋อร์ เหตุใดจึงออกมาช้านัก เจ้าปล่อยให้คุณชายหลินรอรอบแล้วรอบเล่า เหตุใดจึงทำตัวไร้ระเบียบเช่นนี้” ซูหนี่ย์ที่นั่งอยู่กับหลินเฮงฉวนเอ่ยปากตำหนิซูเจินจูด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ขออภัยคุณชายหลินเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งสั่งงานสี่เสวี่ยเสร็จ ไม่รู้ว่าท่านพี่กับคุณชายหลินรอ ข้าเสียมารยาทเสียแล้ว”
“ช่างเถอะ ข้าเองก็ไม่ได้บอกล่วงหน้า นั่งรอเพียงไม่นาน ไม่นับว่าเป็นอะไร” แม้ปากจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ในใจหลินเฮงฉวนอยากจะจับซูเจินจูกลับไปสั่งสอนนัก เหตุใดจึงได้ทำเป็นไม่สนใจเขาถึงเพียงนี้ นี่ต้องเป็นอุบายถอยเพื่อรุกของนางแน่ๆ หากไม่ติดว่าพรุ่งนี้ต้องไปเมืองหลวง เขาคงไม่มีทางยอมให้อุบายนี้ของนางสำเร็จได้!
“พวกท่านให้บ่าวไปตามข้า มีอะไรหรือเจ้าคะ” ซูเจินจูเบื่อที่จะต้องเสแสร้งพูดจาสามส่วนเช่นนี้ นางอยากจะถามตั้งแต่ประโยคแรกที่มาถึงแล้วว่าเรียกนางมาทำไม นางไม่เข้าใจเหตุใดวาจาสามส่วนพูดอ้อมเจ็ดส่วนพวกนี้ถึงได้เป็นที่นิยมนัก“ข้าเพียงมาบอกเจ้าว่า พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปสอบก่งเซิ่น” เรื่องพวกนี้ต้องให้เขาเตือนด้วยหรือ นางที่จะเป็นเป็นสตรีของเขา เหตุใดจึงไม่ปักรองเท้าให้เขาเล่า ไม่ใช่ว่าเป็นที่รู้กันอยู่แล้วหรือว่ายามบุรุษไปสอบเคอจวี่ ต้องให้รองเท้าเป็นความหมายว่าให้เดินทางปลอดภัย หากการเย็บปักของนางไม่ดี อย่างน้อยเพียงผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนเพื่อเป็นความหมายว่านางรอเขากลับมาก็ควรต้องมีใช่หรือไม่ หรือนางต้องการใช้โอกาสนี้สนิทสนมกับไฉตงชุน จึงได้ทำเช่นนี้“อ่อ เช่นนั้นข้าขออวยพรให้ท่านเดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ” เอ้า ก็แค่ไปสอบ จะต้องมาบอกด้วยหรือ“เจินจูเอ๋อร์ เจ้าเสียมารยามใส่คุณชายหลินอีกแล้ว ดูน้องสาวคนนี้ของหนี่ย์เอ๋อร์สิเจ้าคะ จะเข้าไปเป็นสตรีของคุณชายอยู่แล้วยังขาดการ
หลังจากขึ้นรถม้ามา สี่เสวี่ยก็อดที่จะพูดพึมพำใส่ซูเจินจูได้ไม่“เข็มเงินร้านข้างนอกชุดละหกตำลึงเท่านั้นนะเจ้าคะคุณหนู”“ข้ารู้ แต่คุณภาพต่างกันมากนัก เข็มเงินของท่านอาฮุ่ยซิ่วทั้งตรง กลม และแหลมในขนาดที่สมส่วน ขนาดเข็มแต่ละเล่มก็มีความสั้นยาวสูงต่ำตามที่ข้าต้องการ หากไปซื้อร้านด้านนอก วันนึงก็ต้องกลับมาสั่งทำอยู่ดี เมื่อถึงวันนั้นต้นแบบก็ไม่มี ไม่รู้จะได้เข็มเงินที่ถูกใจเช่นนี้หรือไม่”“แต่ว่า คุณหนูใช้เงินจนจะหมดอีกแล้วนะเจ้าคะ เหลือเพียงหนึ่งร้อยสิบเอ็ดตำลึงเท่านั้น อีกทั้งกลับไปคราวนี้ยังต้องจ้างช่างเฉินมาทำสร้างห้องบ่าวไพร่ จะให้บ่าวไพร่มาอยู่ร่วมเรือนไม่ได้นะเจ้าคะ”“ข้ารู้แล้ว อย่างไรเสียช่วงนี้พวกเราก็ไม่ได้อยู่ สร้างก่อนสองห้อง สามวันก็คงเสร็จ”รถม้าพุ่งออกจากอำเภอเหอ แวะซื้อข้าวของจำเป็นที่ตำบลจางหนาน จ้างเกวียนเทียมวัวอีกหนึ่งคันเพื่อบรรทุกข้าวของ ก่อนมุ่งหน้าเข
เมื่อถึงบ้านชนบท ซูเจินจูเข้าไปทำลายผ้าทันที สี่เสวี่ยจัดการบอกกล่าวกฎระเบียบในบ้านให้ซินซียงทาสที่ซื้อมาใหม่ฟัง เมื่อเห็นว่าหลิวหยางและจางหมิ่นออกไปอยู่ที่เรือนชั้นนอกแล้ว ก็ให้ซินเซียงเข้าไปพักอยู่ห้องเดิมของทั้งสองคนก่อน ตรวจดูความเรียบร้อยในบ้านและในครัวแล้วเห็นว่าข้าวและธัชพืชเหลือเล็กน้อย จึงให้หลิวหยางเตรียมรถม้าและพาซินเซียงไปตลาดในตำบล สี่เสวี่ยซื้อชุดเครื่องนอนใหม่และผ้าฝ้ายสำหรับตัดชุดหนึ่งพับให้ซินเซียง ข้าวสาร ธัญพืช ผักดอง เกลือ น้ำตาล เพียงพอที่จะใช้ไปถึงสองเดือน สี่เสวี่ยจ่ายเงินสามตำลึงอย่างเจ็บปวดและยัดของทุกอย่างเข้าไปในรถม้า วันนี้คุณหนูไม่ได้มาด้วย นางไม่จำเป็นต้องจ้างเกวียนเทียมวัวเพิ่มเมื่อกลับมาถึงบ้าน แต่ละคนก็ต่างทำหน้าที่ของตนเอง สี่เสวี่ยไปวาดลายผ้าที่ลานหิน ซินเซียงเก็บข้าวของและเข้าครัวทำกับข้าว หลิวหยางตรวจตราบริเวณหน้าบ้านไม่ให้คนงานเข้ามาวุ่นวายที่เรือนชั้นใน จางหมิ่นตรวจตราบริเวณหลังบ้าน ดูแลสวนดอกหอมหมื่นลี้และดูแลซูเจินจูบริเวณลานหิน
คราแรกสี่เสวี่ยไม่ต้องการให้คุณหนูเลือกทาสที่ดูน่ากลัวผู้นี้ แต่คัดค้านความต้องการของคุณหนูไม่ได้ เมื่อฟังพ่อค้าทาสแล้วก็เบาใจขึ้นหลังจากจ่ายเงินสามสิบตำลึง สี่เสวี่ยไปซื้อรังผึ้งจากร้านชำบ้านไฉและพาเยว่ชิงออกเดินทางไปที่หมู่บ้านชนบททันทีซูเจินจูพาเฟยหลันมาที่ร้านผ้าซูเตี้ยน ให้นางเลือกชุดผ้าฝ้ายสำเร็จรูปสองชุดก็จะตรงไปที่โรงหลอมเหล็กอู่จินจาง“เจ้าเข้าไปเลือกอาวุธสักชิ้นเถอะ”“….”“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นวรยุทธ์ เข้าไปเลือกเถอะ”“คุณหนู เหตุใด...” นางแปลกใจ เฉพาะแผลเป็นบนใบหน้าก็ทำให้คนทั่วทั้งแคว้นรังเกียจนาง ผู้ที่ต้องการซื้อตัวนางล้วนเป็นบุรุษวัยกำดัด หากเป็นสตรีก็สตรีที่ชื่นชอบการเหยียบย่ำผู้อื่น แต่หากรู้ว่านางเป็นวรยุทธ์ก็จะยิ่งทรมานนางมากขึ้น ด้วยรู้นางไม่สามารถตอบโต้ได้ ก่อนหน้านี้นางถูกคุณหนูจวนแม่ทัพผิงซื้อตัวไป
วันต่อมาซูเจินจูมาที่โถงยาเจี้ยนคังอีกครั้ง เมื่อวานนางลืมซื้อสมุนไพรแก้พิษแมงมุมและยาห้ามเลือด นางต้องการกลับเข้าไปจับแมงมุมตัวโตเต็มวัยมาลองสกัดพิษสักสองตัว ดังนั้นนางต้องปรุงยาแก้พิษพวกมันเสียก่อนโดยปกติตำรับยารักษาแผลกับห้ามเลือดจะเป็นคนละตำรับกัน แต่ซูเจินจูใช้ความรู้ดั้งเดิมปรับสูตรยาเป็นฟื้นฟูเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังลดอักเสบฆ่าเชื้อและห้ามเลือดเข้าด้วยกัน สมุนไพรสำคัญของยาตัวนี้คืออ้ายเยี่ยที่มีคุณสมบัติขับกระจายความเย็นระงับปวด อบอุ่นเส้นลมปราณเพื่อห้ามเลือด หวงฉีที่มีคุณสมบัติทำให้ชี่ไหลเวียน ระงับปวด ช่วยรักษาบาดแผลและสร้างเนื้อเยื่อ ป๋าเซีย เป็นยาฆ่าเชื้อตามธรรมชาติและเป็นตัวยาเสริมของยาแก้พิษทั่วไป เมื่อสมุนไพรหลักสามตัวรวมกับสมุนไพรเสริมอีกสามสิบชนิดก็จะได้ยาใส่แผลคุณภาพดีเลยที่เดียวส่วนสมุนไพรแก้พิษนั้นกลับมีไม่ครบ ขาดส่วนประกอบสำคัญอย่างรากหญ้าขน แต่รากหญ้าขนไม่ใช่ของหายากอะไร นางสามารถเก็บได้ตามภูเขานอกเมืองหลังจากซื้อสมุนไพรที่ต้องการแล้วนางแ
“ช่วยด้วย นายหญิง ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ” สตรีผู้หนึ่งวิ่งมาที่เฟยหลัน ร้องตะโกนขอให้ช่วยอย่างสุดเสียง เมื่อนางวิ่งมาจนถึงรถม้าก็คุกเข่าลงที่หน้าเฟยหลันทันที“นายหญิงช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ”เฟยหลันสังเกตว่ามีชายฉกรรจ์วิ่งตรงมาทางนี้อีกเกือบสิบคน นางไม่อยากให้คุณหนูที่อ่อนโยนอย่างซูเจินจูต้องรับรู้เหตุการณ์ตรงหน้าจึงชักกระบี่อ่อนออกมาขวางสตรีผู้นั้นไว้“แม่นาง เจ้านายของข้าต้องรีบเดินทาง ขอแม่นางอย่าขวางทาง”“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ หากข้าถูกจับไปข้าต้องตายแน่ๆ”“พวกเจ้า ส่งตัวนังแพศยานั่นมา ไม่ใช่นั้นอย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจ” เหล่าชายฉกรรจ์ที่วิ่งตามมาถึงก็ตะโกนใส่เฟยหลันทันที“พวกมันเรียกเจ้าแล้ว เจ้าไปเถอะ อย่าทำให้คุณหนูของข้าต้องแปดเปื้อน” การแกะมือของสตรีผู้นั้นออกจากร่างกายสำหรับเฟยหลันที่เป็นวรยุทธ์ไม่ใช่เรื่องยากนัก แต่สตรีผู้นั้นก็เห็นขบวนร
ซูเจินจูที่สั่งงานเสร็จเรียบร้อยก็เข้าไปปรุงยาในห้อง เพียงไม่นานยาทั้งสองชนิดก็เสร็จเรียบร้อย ซูเจินจูสะพายตะกร้า พร้อมผ้าและเชือกสำหรับปิดด้านบนตะกร้าขึ้นไปยังถ้ำแมงมุมทันทีซูเจินจูเดินลัดเลาะขึ้นมาทางลัด นางจำได้ว่าหากมาจากอีกฝั่งก็จะเข้าไปในถ้ำได้เช่นกันแถมระยะทางก็ใกล้กว่า นางกระโดดขึ้นต้นไม้ตรวจสอบร่องรอยของทิศทางกระโดดจากต้นหนึ่งไปยังต้นหนึ่งอย่างมั่นคงเพียงนานก็มาถึงหน้าถ้ำแต่เมื่อซูเจินจูกระโดดลงมาจากต้นไม้สิ่งที่รอรับเท้าทั้งสองข้างของนางอยู่กลับไม่ใช่พื้นดิน“โอ้ย” ซูเจินจูที่รั้งตัวเองไว้ไม่อยู่ก็ล้มลงไปหัวกระแทกพื้นดินเข้าอย่างจัง ความคิดชั่ววูบที่ผุดขึ้นมาคือการกระทบกระเทือนที่หัวจะทำให้วิญญาณนางหลุดออกจากร่าง ทำให้นางรีบจับเนื้อจับตัวของตัวเอง ลมหายใจหนักหน่วงประหนึ่งว่าโล่งใจที่ไม่ได้กลายเป็นวิญญาณเร่รอนถูกผ่อนออกมา เมื่อตั้งสติได้ก็หันมามองที่ต้นเหตุ“เพ้ยยยย ศพคนนี่หว่า ไฉนมีคนมานอนตายหน้าถ้ำ บรื้ออ” นางใช้เท้าเขี่ยศพที่
ขณะเดียวกันหน้าถ้ำแมงมุมก็มีชายชุดดำคนหนึ่งคุกเข่าอยู่หน้าชายหนุ่มที่ซูเจินจูช่วยชีวิตไว้“คารวะท่านรองแม่ทัพ”“เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”“ตอนนี้ท่านแม่ทัพเดินทางถึงเมืองหลวงแล้ว อาการก็พ้นขีดอันตราย ท่านจะเดินทางเข้าเมืองหลวงเลยหรือไม่ขอรับ”“ยังไม่ไป ในกองทัพมีสายลับ ข้าศึกรู้กลศึกของเราทั้งหมด หากหาตัวสายลับไม่เจอ ออกศึกคราวหน้าข้ากับท่านพี่คงต้องตายในสนามรบ ... เจ้าไปส่งข่าวให้ท่านพี่ข้าเก็บข่าวเรื่องข้าไว้เป็นความลับ ให้แจ้งกองทัพไปว่าหาข้าไม่พบ เป็นหรือตายไม่แน่ชัด ประกาศคัดเลือกรองแม่ทัพคนใหม่ ข้าเชื่อว่าผู้บงการเบื้องหลังต้องแย่งชิงตำแหน่งของข้าแน่”“ถ้าเช่นนั้น ท่านไปอยู่ที่หมู่บ้านเฟิงโจวก่อนดีหรือไม่ขอรับ ที่นั่นมีบ้านลับกองทัพฝั่งใต้ สะดวกต่อการติดต่อ”“ไม่ หากรู้ว่าข้าหายไปพวกมันต้องส่งคนออกตามหาแน่ เมืองฝั่งใต้ ตะวันตกฉียงใต้ และตะวังออกเฉียงใต้ล้วนอันตราย ฝั่งตะวั
“พ่อหนุ่มเจิ้งผู้นี้ดูมีลับลมคมในเหลือเกินนะเจ้าคะ จะว่าไปพ่อหนุ่มเจิ้งเองก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องของตน แม่แต่แซ่ก็ไม่บอก ชื่อเจิ้งก็ไม่รู้ว่าใช่ชื่อจริงหรือไม่”“นั่นสิเจ้าคะคุณหนู คุณหนูเองก็แปลกนัก แค่พ่อหนุ่มเจิ้งบอกจะมาด้วยก็ปล่อยให้มา บอกจะไปก็ไม่ถามไถ่สิ่งใดสักคำ”“ช่างเขาเถอะ เพียงแค่ไม่มีพิษภัยกับพวกเราก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆรู้มากไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี”“เจ้าค่ะคุณหนู”ซูเจินจูพาเจียงไป๋ไปยังห้องที่เจียงชิงนอนอยู่และให้ซินเซียงยกที่นอนอีกหนึ่งอันมาวางข้างเตียงเพื่อให้พี่น้องได้นอนห้องด้วยกัน“เจ้านอนห้องเดียวกันไปก่อน ช่วงนี้ก็คอยดูแลนาง ข้างๆห้องเจ้าคือห้องของชิงหยุน มีอะไรก็ไปหานางได้ สี่เสวี่ยเจ้าไปบอกให้ซินเซียงหาอะไรให้เด็กนี่กินเสียหน่อยเถอะ”“เจ้าค่ะคุณหนู”เจียงไป๋มองคนทั้งหมดทยอยออกจากห้องไปก่อนจะหันกลับมานั่งข้างเตียงของเจียงชิง“พี่สาว ท่านรีบตื่นขึ้นมานะ…”... เช้าวันต่อมาซูเจินจูเดินทางเข้าร้านหว่างลี่เซียงพร้อมเฟยหลันตั้งแต่ยามเฉิน กิจการของร้านหว่านลี่เซียงเป็นไปด้วยดี คนที่ดูเหมือนจะทะเลาะกับผู้อื่นได้ง่ายๆอย่างเพ่ยเพ่ยกลับทำงานได้อย่างสงบเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นก
“มองอะไร พวกเจ้ามองอะไร ไอ้พวกไม่รู้เรื่องรู้ราว เด็กมันมีวาสนาได้ช่วยเหลือสกุล เลี้ยงมันต่อไปก็ไม่ใช่ว่ามันจะหาเงินให้ข้าได้ถึงยี่สิบตำลึงเสียเมื่อไหร่ ต้องมากินข้าวบ้านข้านอนบ้านข้าไม่สู้ไปกินบ้านอื่นนอนบ้านอื่นแล้วยังได้เงินรึ แล้วเงินที่มันถืออยู่ไม่ใช่ว่าขโมยของข้าไม่หรือไงเด็กอย่างพวกมันจะเอาปัญญาหาเงินมากมายขนาดนี้ได้ที่ไหน เอาเงินข้าคืนมานะไอ้พวกเด็กตัวเหม็น”“ท่านย่านี่เป็นเงินที่พี่สาวหามาได้ ไม่ได้ขโมยเงินของท่าน”“นั่นมันเงินโชคดีที่แม่หนูเจินจูแจกไม่ใช่หรือ บ้านข้าก็ได้มาสองพวง ไหมถักแบบนั้นรูปทรงแบบนั้น ข้าจำไม่ผิดหรอก” ชาวบ้านที่มุงดูอยู่พูดขึ้น“ใช่ ข้าเองก็จำได้ นั่นมันพวงเงินที่แม่หนูเจินจูแจกเมื่อวันเกิด” หัวหน้าหมู่บ้านหวังสำทับขึ้น ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างเคยได้รับพวงเงินโชคนี้ทุกคนล้วนเป็นพยายานให้เด็กน้อยว่าเขาไม่ได้ขโมยเงินของแม่เฒ่าเจียง“เหอะ เอาเข้าบ้านข้าก็ต้องเป็นของข้านั่นแหละ อาไป๋ เข้าบ้าน เหม่ยเหมย เสี่ยวเจี๋ยลากนังเด็กชิงเข้าบ้าน”“แม่เฒ่าเจียง รอเดี๋ยวก่อนเถอะ ข้าขอเจรจาเรื่องเด็กสองคนนี้สักประโยคหนึ่งได้หรือไม่” ซูเจินจูพูดยังไม่ทันจบ เฟยหลันก็เอาตัว
การค้าของร้านหว่านลี่เซียงเต็มไปด้วยความราบลื่น ที่ควรขายได้ขาย ที่ควรสงบก็สงบ กว่าลูกค้าคนสุดท้ายจะออกจากร้านก็เป็นยามโหย่ว หลังจากปิดร้าน เหล่าคนงานที่หมดแรงมานั่งรวมกันอยู่ที่กลางร้าน ซูเจินจูลากเก้าอี้มานั่งก่อนจะขอบคุณทุกคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการเปิดร้านวันแรกจนทุกอย่างผ่านไปด้วยดี วันนี้ถุงหอมขายได้หกร้อยหกใบ เป็นเงินหนึ่งหมื่นสองพันหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง การขายได้จำนวนมากตั้งแต่วันแรกนับเป็นเรื่องดีแต่ซูเจินจูกังวลว่าหากขายดีเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆคงไม่สามารถผลิตมาขายได้ทันสี่เสวี่ยรับหน้าที่สอนเยว่ชิงวาดลายผ้าและผสมสีผ้าไหมหอมหมื่นลี้ เมื่อเชี่ยวชาญแล้วเยว่ชิงจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลผ้าไหมหอมหมื่นลี้พวกนี้แทนสี่เสวี่ย อีกทั้งสี่เสวี่ยยังต้องคุมคนงานเย็บปัก และติดป้ายรับสมัครหญิงสาวที่เชี่ยวชาญงานเย็บปักมาปักถุงหอมหมื่นลี้ที่ร้านหว่านลี่เซี่ยงด้วยเฟยหรงและเฟยเมี่ยวที่เพิ่งได้ข่าวพรรคพวกอีกหนึ่งคนด้วยเห็นว่าพรรคพวกที่เจอนั้นถูกซื้อตัวไปด้วยชายชราที่อยู่กับหลานชายหนึ่งคนบนกระท่อมบนเขา นางไม่ได้ลำบากหรือโดนทำร้ายจึงพักการติดต่อแล้วหันมาช่วยซูเจินจูดูแลร้านหว่านลี่เซียงไปก่อน“เอาล
“องค์ชายหก ท่านช่างเป็นดาวนำโชคของพวกข้านัก” ชายหนุ่มอีกคนในกลุ่มที่ถูกเรียกว่าคุณชายเซียวพูดขึ้นขณะที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ยาวที่ปูทับด้วยเบาะรองนั่งขนกระต่าย เบาะรองนี้ซูเจินจูสั่งให้ซินเซียงทำขึ้นจากขนกระต่ายสีอื่นๆเย็บติดสวมทับเบาะด้านในที่ตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายยัดใส่ด้วยนุ่นที่ซื้อไปจากตำบลอีกที ที่สี่มุมผูกด้วยพู่หลากสีที่ทำขึ้นด้วยพู่ไหมจากเผ่าเจี๋ยที่ซูเจินจูได้รับมาจากนายท่านซูเมื่อครั้งออกไปทำการค้าต่างแคว้น“นั่นสิเพคะ หากไม่มีพระองค์พวกหม่อมชั้นคงต้องต่อแถวยาวหลายลี้ ตากแดดตากลมอยู่ด้านนอกเสียแล้ว” ผิงเหม่ยเหรินพูดขึ้นขณะพยักเพยิดไปท่างลี่รุ่ยเซียงสหายรักแต่ยังไม่ทันที่ลี่รุ่ยเซียงจะได้พูดอะไร องค์ชายหกก็หันกลับไปพูดคุยกับหญิงสาวอีกคนที่นิ่งเงียบมาตลอด“จิวอิง เหตุใดเจ้าจึงเงียบนัก คนงานนั่นก็บอกแล้วว่าเป็นถุงหอมหมื่นลี้ ไม่ใช่ผ้าไหมหอมหมื่นลี้เสียหน่อย หรือเจ้ากลัวว่าพวกข้าติดใจผ้าไหมหอมหมื่นลี้จนลืมผ้าไหมหยกของเจ้า”“หามิได้เพคะ ขอเพียงองค์ชายหกทรงพอพระทัย หม่อมฉันจะกล้าไม่พอใจได้เช่นไร”“คุณหนูเจ้าคะ มีกลุ่มคุณหนูคุณชายดูว่าจะมาจากเมืองหลวง อ้างตัวว่าเป็นองค์ชายหก ตอนนี้บ่
เช้าวันต่อมา หลิวหยางรับหน้าที่ขับรถม้าคันใหม่พาซูเจินจู สี่เสวี่ย เฟยหลัน และเฟยอวี่เข้าพบฮูหยินนายตำบลที่จวนนายตำบลเป่ย เมื่อมาถึงหน้าจวนนายตำบลหลิวหยางลงไปแจ้งกับคนเฝ้าประตูว่าคุณหนูของตนแซ่ซูชื่อเจินจูนำผ้าไหมหอมหมื่นลี้มาขอเข้าพบฮูหยิน พร้อมให้เงินหนึ่งตำลึงแก่คนเฝ้าประตู เงินหนึ่งตำลึงเร่งฝีเท้าคนให้ไวได้ดังม้า ไม่ถึงสองเค่อคนเฝ้าประตูก็ออกมาเปิดประตูให้ให้รถม้าเข้าไปซูเจินจูสวมชุดผ้าไหมหยกสีขาวปักลายนกกระยาง ลายปักละเอียดเพียงดูผ่านๆก็ยังสามารถรู้ได้ว่าเป็นงานปักชั้นสูง ผมรวบขึ้นอย่างประณีตปักด้วยปิ่นหยกขาวเนื้อดีหนึ่งคู่ที่ดูเข้ากันได้ดีกับกำไลหยกขาวที่ข้อมือ ผิวขาวราวหยก ขนตาเป็นแพหนาสีดำ ปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อยิ่งทำให้ซูเจินจูงดงามจนคนที่ได้เห็นไม่สามารถละสายตาไปได้สี่เสวี่ย เฟยหลัน เฟยอวี่ ผู้ติดตามทั้งสามคนสวมชุดผ้าไหมเฉกเช่นคุณหนูจากจวนใดจวนหนึ่ง เฟยหลันที่รอยแผลเป็นบนใบหน้าหายดีแล้วยิ่งดูงดงามและลึกลับเมื่อสวมชุดผ้าไหมสีน้ำเงิน ปักด้วยปิ่นเงินลายดอกหลันฮวาเดินคู่มากับเฟยอวี่ในชุดผ้าไหมสีเดียวกันรวมผมขึ้นอย่างเป็นระเบียบปักด้วยปิ่นเงินลายเมฆา สี่เสวี่ยที่ตามรับใช้ใกล้ชิ
ซูเจินจูฝั่งร้านผ้าซูเตี้ยนได้สั่งให้คนงานไปซื้อผ้าไหมหอมหมื่นลี้ของร้านผ้าเฉินอี้เตี้ยนมาหนึ่งพับ เมื่อสำรวจดูแล้วพบว่ากลิ่นของผ้าไม่ใช่กลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้แต่เป็นกลิ่นของดอกเหมย อีกทั้งลายผ้าไม่คมชัดคงเป็นการวาดลายลงไปโดยตรง การใช้สีอ่อนเช่นนี้จะทำให้ลายผ้ามีสีซีดได้ง่าย อีกทั้งกลิ่นดอกเหมยไม่สามารถเกาะติดผ้าได้ดีเท่ากลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้ เวลาผ่านไปสักพักกลิ่นก็คงจางหายไปเอง ดังนั้นผ้าไหมพวกนี้ไม่สามารถนับเป็นคู่แข่งอย่างแท้จริงได้หลงจู๊ฝูที่ออกไปสืบข่าวด้วยตนเองกลับมาพบนายท่านซูละซูเจินจูด้วยสีหน้าสบายใจ“เห็นทีว่าคุณหนูจะพูดถูกทุกอย่างเลยขอรับ ผู้ที่ซื้อผ้าไหมหอมหมื่นลี้จากร้านเฉินอี้เตี้ยนไปกลับมาโวยวายที่ร้านเหตุเพราะเพียงนำผ้าไปซักเท่านั้น กลิ่นที่ควรมีก็ไม่มีอีกต่อไป เห็นทีว่าร้านผ้าเฉินอี้เตี้ยนจะเสียชื่อเสียครั้งใหญ่เป็นแน่”“เช่นนั้นข้าค่อยสบายใจหน่อย เอาล่ะ เมื่อหมดเรื่องแล้วเห็นทีว่าถึงเวลาไปเอาผ้าเสียที เจ้าล่ะ อาจู จะไปเอาผ้าหอมไหมหมื่นลี้อีกเมื่อใด”“ข้าให้เฟยหลันไปเอาผ้าแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ก็คงนำผ้ากลับมาแล้ว เห็นทีว่างานปักงานแรกคงเป็นการตีตราร้านลงบนผ้าเสียแล้วน
“คุณหนู บ่าวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” เฟยหลันมองเฟยหมิงที่อยู่บนเตียงแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก ลมหายใจของนางดีขึ้นมากแล้ว คุณหนูรักษานางได้จริงๆซูเจินจูรับเข็มเงินและโถบดยาไปก่อนจะสั่งให้เสี่ยวเหลียนนำเข็มเงินไปต้มในน้ำร้อนและให้เฟยหลันกรีดผ้าที่ขาของเฟยหมิงออก“กระดูกขาของนางแตก หากนางทนอยู่เฉยๆ ไม่ขยับขาสักสามเดือนขาของนางก็จะกลับมาใช้ได้เหมือนเดิม”“นางยังจะกลับมาเดินได้อีกหรือเจ้าคะ”“ต้องนอนนิ่งๆอยู่แบบนี้ไปก่อนสามเดือน หากขยับเขยื้อนก่อนหน้านั้นก็อาจจะเดินไม่ได้”“คุณหนูเหมือนหมอเทวดาเลยเจ้าค่ะ”“เจ้าจะร้องไห้ทำไม ไอหย๋า ข้าแพ้น้ำตาของพวกเจ้านัก หยุดร้องเถอะข้าจะให้เสี่ยวเหลียนไปซื้อขนมให้เจ้ากิน”“คุณหนู บ่าวแค่ดีใจมากไปเจ้าค่ะ แต่เดิมบ่าวแค่ต้องการฝังศพนางให้ดีเสียหน่อย ใครจะรู้ว่าคุณหนูดึงวิญญาณนางกลับมาจากนรกได้”“เพ้ย เจ้านี่ ตายแล้วไม่ให้นางขึ้นสวรรค์แต่กลับให้นางไปลงนรก เอาล่ะๆ เจ้าไปบดยากองนั้นเถอะ เดี๋ยวข้าฝังเข็มเสร็จแล้วต้องพอกยาให้นาง”“ทั้งหมดเลยหรือเจ้าคะ มัน เยอะมากเลยนะเจ้าคะ”“ทั้งหมดนั่นแหละพอกทั้งขาแล้วเอาผ้ามาพันเข้ากับไม้แผ่นเสียหน่อย กระดูกจะได้ไม่เคลื่อนที่มากนัก”
หลังหลินเฮงฉวนกลับไปซูเจินจูเข้ามาที่ร้านผ้าซูเตี้ยนพร้อมกับนายท่านซู สินค้าที่นำกลับมาถูกจดไว้ในรายการอย่างลวกๆ ซูเจินจูจำเป็นต้องทำมันใหม่เพื่อให้เป็นระเบียบมากขึ้น นายท่านซูนำผ้าจากเผ่าเจี๋ย ชนเผ่าเร่ร่อนดำเดินชีวิตด้วยการเดินทางไปเรื่อยๆกลับมาไม่น้อย ผ้าจากเผ่าเจี๋ยเป็นผ้าหนังสัตว์ที่ถูกตัดเย็บด้วยวิธีการแปลกใหม่ หนังสัตว์ที่ไม่หนาฝีเข็มที่เย็บจนหนังแนบชิดติดกันจนลมไม่สามารถเข้าได้เป็นชุดคลุมอย่างดีสำหรับฤดูหนาว แต่ผ้าจากเผ่าเจี๋ยทั้งหมดเป็นเพียงของบรรณาการที่ส่งเข้าไปยังจวนขุนนางเท่านั้นทำให้ซูเจินจูรู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถทำกำไรจากของดีเช่นนี้ได้ วันนี้เป็นครั้งแรกที่นายท่านซูมีโอกาสดูงานประมูลผ้าไหมหอมหมื่นลี้ลายโบตั๋น ผ้าไหมสามพับทำกำไรได้มากถึงสี่พันสี่ร้อยตำลึง จริงอย่างที่หลงจู๊ฝูพูด ร้านผ้าซูเตี้ยนควรจัดงานกราบไหว้เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งได้แล้วผ้ามีตำหนิห้าสิบพับถูกขนย้ายออกมาเพื่อเตรียมไว้ให้ซูเจินจู อีกทั้งนายท่านซูยังมอบเงินให้ซูเจินจูห้าร้อยตำลึง“ข้าเพิ่งรู้ว่าฮูหยินไม่เคยให้เงินเจ้าเลยยามออกมาทำการค้า ต่อไปหากข้าไม่อยู่เจ้านำเงินของที่ร้านออกไปเป็นค่าเดินทางได้เล
ซูหนี่ย์ที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่ยกยิ้มเหยียดหยาม ดี ให้คนของท่านพ่อตีนางให้ตาย นังบ่าวชั่วที่ติดตามนังจิ้งจอกนั่นไม่สมควรมีชีวิตอยู่เป็นหนามตำตานาง ให้ตายเถอะ ยิ่งเห็นก็ยิ่งเกลียด ทำไมตอนที่พวกนางออกไปทำการค้าถึงไม่เจอโจรป่าเสียบ้างนะเฟยหลันและคนของนายท่านซูถือไม้พลองยืนอยู่กลางลานหน้าห้องโถง ขอเพียงส่งสัญญาณคนทั้งคู่ก็พร้อมแสดงฝีมือทันที แต่เฟยหลันที่อยู่บนลานหันกลับมามองซูเจินจูแล้วส่ายหน้าช้าๆ“ท่านพ่อ ให้คนของท่านเข้าไปอีกคนหนึ่งเถอะเจ้าค่ะ”นายท่านซูหนัยมามองซูเจินจูเล็กน้อยก่อนจะกวักมือเรียกผู้คุ้มกันอีกคนขึ้นไปกลางลาน เอาเถอะ อย่างไรเสียซูเจินจูก็มีผู้ติดตามคนเดียว หากนางแพ้ก็แค่หาคนคุ้มกันให้ซูเจินจูเพิ่ม หากนางชนะเขาก็จะสบายใจมากขึ้น“ลงมือ!!!”เฟยหลันตวัดไม้พลองลงไปอย่างเต็มแรง ผู้ที่เข้ามารับไม้แรกถึงกับถอยร่นลงไปหลายก้าว มือที่จับไม้พลองไว้สั่นจนแทบทำไม้พลองหลุดมือ เฟยหลันกระโดดตามเข้าไปฟาดไม้พลองลงที่ข้อมือก่อนจะตวัดไม้พลองอีกด้านไปเกี่ยวไม้พลองของผู้คุ้มกันคนที่สองลง ลูกเตะที่เตะลงไปที่ศรีษะอย่างแม่นยำทำให้ผู้คุ้มกันคนที่สองล้มลงไปนอนกับพื้นที่ที ไม้พลอยที่มือของเฟยหลันถ