“พวกท่านให้บ่าวไปตามข้า มีอะไรหรือเจ้าคะ” ซูเจินจูเบื่อที่จะต้องเสแสร้งพูดจาสามส่วนเช่นนี้ นางอยากจะถามตั้งแต่ประโยคแรกที่มาถึงแล้วว่าเรียกนางมาทำไม นางไม่เข้าใจเหตุใดวาจาสามส่วนพูดอ้อมเจ็ดส่วนพวกนี้ถึงได้เป็นที่นิยมนัก
“ข้าเพียงมาบอกเจ้าว่า พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปสอบก่งเซิ่น” เรื่องพวกนี้ต้องให้เขาเตือนด้วยหรือ นางที่จะเป็นเป็นสตรีของเขา เหตุใดจึงไม่ปักรองเท้าให้เขาเล่า ไม่ใช่ว่าเป็นที่รู้กันอยู่แล้วหรือว่ายามบุรุษไปสอบเคอจวี่ ต้องให้รองเท้าเป็นความหมายว่าให้เดินทางปลอดภัย หากการเย็บปักของนางไม่ดี อย่างน้อยเพียงผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนเพื่อเป็นความหมายว่านางรอเขากลับมาก็ควรต้องมีใช่หรือไม่ หรือนางต้องการใช้โอกาสนี้สนิทสนมกับไฉตงชุน จึงได้ทำเช่นนี้
“อ่อ เช่นนั้นข้าขออวยพรให้ท่านเดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ” เอ้า ก็แค่ไปสอบ จะต้องมาบอกด้วยหรือ
“เจินจูเอ๋อร์ เจ้าเสียมารยามใส่คุณชายหลินอีกแล้ว ดูน้องสาวคนนี้ของหนี่ย์เอ๋อร์สิเจ้าคะ จะเข้าไปเป็นสตรีของคุณชายอยู่แล้วยังขาดการอบรมถึงเพียงนี้ ต่อไปคงได้ทำคุณชายขายหน้าเป็นแน่” ซูหนี่ย์ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากแสร้งขำเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า
“หนี่ย์เอ๋อรู้ว่าไม่สมควร แต่เพราะเห็นว่าเจินจูเอ๋อร์ยุ่งกับงานที่ร้านผ้า หนี่ย์เอ๋อจึงปักผ้าเช็ดหน้ากับรองเท้าไว้ให้คุณชาย คุณชายอย่ารังเกียจฝีมือของหนี่ย์เอ๋อร์เลยนะคะเจ้าคะ” อิงเถาวางห่อรองเท้าไว้ข้างหลินเฮงฉวน ซูหนี่ย์รับผ้าเช็ดหน้าจากอิงเถาแล้วยื่นให้หลินเฮงฉวนอย่างเขินอาย
ซูหนี่ย์สืมมาแล้วว่าซูเจินจูไม่ได้ปักผ้าหรือดูจะทำอะไรที่เป็นของขวัญให้หลินเฮงฉวนได้ จึงเจตนายื่นของแทนใจต่อหน้านาง หนึ่งคือให้นางอับอาย สองคือให้คุณชายหลินเห็นว่าตนเองจิตใจดีและละเอียดรอบคอบกว่า
“ลำบากคุณหนูซูหนี่ย์แล้ว” หลินเฮงฉวนยังอดเหลือบตามมองซูเจินจูที่นั่งนิ่งไม่ขยับไม่ได้
“คุณชายอย่าได้กดดันน้องสาวของหนี่เอ๋อร์เลยเจ้าค่ะ นางเพิ่งกลับมาจากทำการค้า เอะ ว่าแต่ เจินจูเอ๋อร์ เจ้าไปค้างอ้างแรมข้างนอกถึงสามวัน ด้านนอกเมืองนั้นไม่มีของสิ่งใดที่เจ้าซื้อกลับมามอบให้คุณชายหลินเลยหรือ กับข้าที่เป็นพี่ของเจ้าไม่มีสิ่งใดกลับมาข้าก็ว่าอะไรเจ้าไม่ได้ แต่คุณชายหลินไม่เหมือนกัน ต่อไปข้าคงต้องอบรมเจ้าให้มากขึ้นเสียแล้ว”
“ขออภัยพี่ใหญ่ ขออภัยคุณชายหลินเจ้าค่ะ ข้าออกไปทำการค้า ไม่มีเวลาได้เดินเที่ยว อีกทั้งตัวข้าก็จนนัก จะมีเงินที่ไหนซื้อของดีมาให้พวกท่านละเจ้าคะ” ไอหย๋า ซูหนี่ย์ เจ้าคอยแต่ว่าข้าเป็นนังจิ้งจอก เจ้าคงไม่ได้ส่งกระจกมานานมาแล้วสินะถึงได้ไม่เห็นหูจิ้งจอกโผล่อยู่บนหัวเจ้า คิดจะปล้นเงินข้าไปให้คนอื่น เจ้าตื่นเสียเถอะ
ซูหนี่ย์ได้ยินที่ซูเจินจูพูดว่าตนเองจน ก็รู้สึกว่าตนอยู่เหนือกว่าอีกฝ่ายมาก หากซูหนี่ย์รู้สิ่งที่ซูเจินจูคิดนางคงหัวเราะเสียงดังๆออกมา เงินเพียงน้อยนิดของซูเจินจูไม่ได้อยู่ในสายตานาง นางเพียงต้องการทำลายหน้าตาและศักดิ์ศรีของซูเจินจูต่อหน้าคุณชายหลินเท่านั้น
หลินเฮงฉวนที่ได้ยินซูเจินจูบอกว่าตนเองจนก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ตระกูลพ่อค้าลำเอียงเรื่องการอบรมยังลำเอียงเรื่องเงินด้วยหรือ เขาได้ยินว่าสิ่งที่ไม่เคยขาดแคลนสำหรับพ่อค้าก็คือเงิน เห็นที่ว่าคงไม่ใช่ทุกตระกูลเสียแล้ว แล้วอะไรคือให้สตรีของเขาออกไปทำการค้าถึงสามวัน การออกหน้าทำการค้าเช่นนี้ควรเป็นกิจธุระของบุรุษใช่หรือไม่ เหตุใดตระกูลซูจึงทำเรื่องผิดธรรมเนียมเช่นนี้
ซูเจินจูเห็นว่าหลินเฮงฉวนไม่มีท่าทีจะลุกออกไปหากไม่ได้รับอะไรสักอย่างจากนางก็ว้าวุ่นใจอยู่ไม่น้อย วันนี้นางต้องรีบเข้าไปดูว่าผ้าของนางสามารถขายได้หรือไม่ อีกทั้งยังต้องไปซื้อทาสส่งกลับไปเฝ้าบ้านชนบทของนาง นางไม่มีเวลามาจิบชาเป็นเพื่อนเขานานกว่านี้อีกแล้ว
“ถ้าหากคุณชายไม่รังเกียจ ถุงหอมนี้ข้าเพิ่งทำเสร็จเมื่อคืน ขอมอบเป็นคำขออภัยจากข้า หวังว่าคุณชายจะไม่ถือโทษความไม่รู้ความของข้านะเจ้าคะ” ซูเจินจูปลดถุงหอมจากเอวมอบให้หลินเฮงฉวนอย่างเจ็บปวด สี่เสวี่ยใช้เวลาปักลายพวกนี้ถึงครึ่งเดือนเชียว น่าเสียดายนัก
หลินเฮงฉวนรับถุงหอมไว้ในมือ กลิ่นหอมจางนี้ๆเขาได้กลิ่นตั้งแต่ซูเจินจูเดินมา เมื่อนำขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นถุงผ้าไหมหยกสีงาช้างปักลายเป็ดหัวเขียวคู่หนึ่ง ยืนคลอเคลียกันริมตลิ่ง ฝีเข็มละเอียดละออเป็นงานฝีมือที่มีความปราณีต หากหาซื้อก็คงไม่มีร้านไหนขายงานปักชั้นดีแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นงานที่นางปักเอง หากจำไม่ผิดนางมีชุดไหมหยกสีงาช้าง ถุงผ้านี้คงทำมาจากผ้าที่ใช้ตัดชุดของนางเป็นแน่ ทำให้เขาพอใจในของชิ้นนี้เป็นอย่างมาก
ซูหนี่ย์ที่เห็นซูเจินจูปลดถุงหอมมอบให้คุณชายหลินก็บิดผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างแรง ‘นังจิ้งจอก นังแพศยา ทำไมเจ้าไปจมน้ำตายไปซะ รอดมาเป็นมารหัวใจข้าทำไม’
เมื่อซูเจินจูเห็นว่าหลินเฮงฉวนดูผ่อนคลายลง ก็พูดคุยด้วยอีกสองประโยคก่อนจะขอตัวออกมาทันที
หลินเฮงฉวนที่เห็นว่าซูเจินจูออกไปแล้วก็ตั้งใจจะขอตัวกลับ แต่ซูหนี่ย์กลับสั่งให้บ่าวตั้งโต๊ะอาหารและเชิญหลินเฮงฉวนรับมื้อเช้าด้วยกัน กว่าหลินเฮงฉวนจะขอตัวมาจากซูหนี่ย์ได้ก็เป็นเวลายามจื่อ
ในขณะเดียวกัน ซูเจินจูก็นับเงินอย่างสบายใจ ผ้าพับละเจ็ดสิบห้าตำลึง สี่พับก็สามร้อยตำลึง หักค่าผ้าสิบพับสามสิบตำลึง ก็ยังเหลือเงินสองร้อยเจ็ดสิบตำลึง แล้วยังใบสั่งจองอีกสิบหกพับ เส้นทางเศรษฐีช่างมีความสุขนัก
“สี่เสวี่ย นี่เงินของเจ้าสิบตำลึง”
“เงินอะไรกันเจ้าคะ คุณหนู บ่าวมีเงินมากมายถึงเพียงนั้นเมื่อไหร่กัน”
“เป็นเงินของเจ้าแล้ว ข้าไม่ได้ให้เงินเดือนเจ้ามาสามเดือน รวมกันเดือนนี้ ต่อไปข้าจะให้เงินเดือนเจ้าเดือนละสามตำลึง”
“ข้าจะรับเงินคุณหนูได้ยังไงกันละเจ้าคะ คุณหนูให้บ่าวเดือนละห้าร้อยอีแปะเท่าเดิมเถอะเจ้าค่ะ หรือไม่ต้องให้บ่าวเลยก็ได้ คุณหนูต้องใช้เงินเยอะ ต้องเก็บเงินเอาไว้มาก ภายภาคหน้าคุณหนูจะได้ไม่ลำบาก” สี่เสวี่ยซาบซึ้งจนตาเริ่มแดง คุณหนูดีกับนางเกินไป ต่อให้ไม่ให้เงินนาง แต่คุณหนูก็ไม่เคยปล่อยให้นางต้องอดอยาก เสื้อผ้าแพรพรรณบางชุดสวยงามยิ่งกว่าคุณหนูบางคนเสียอีก อีกทั้งคุณหนูยังเคยให้ปิ่นเงินกับนางอีกด้วย หากนางยังกล้ารับเงินจากคุณหนูอีก คงไม่มีหน้าไปพบบรรพบรุษแล้ว
“เจ้ารับไปเถอะ เก็บเงินเอาไว้มากๆ ข้ารู้ว่าเจ้าดีกับข้ามาก ดังนั้นอย่าปฏิเสธเงินที่ข้าให้เจ้าเลย ถือว่าเป็นความปารถนาดีจากข้าคุณหนูผู้นี้”
“บ่าวขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ”
หลังจากหลงจู๊นำมาผ้ามาให้ซูเจินจูยี่สิบพับ นางและสี่เสวี่ยก็ออกจากร้านผ้าและตรงไปที่ตลาดค้าทาส พ่อค้าทาสนำทาสชายที่เป็นวรยุทธ์ออกมาให้นางเลือกยี่สิบกว่าคน ซูเจินจูเลือกคนที่ดูสุภาพที่สุดมาสองคน จ่ายเงินหกสิบตำลึง เปลี่ยนชื่อให้ใหม่ว่า หลิวหยาง และ จางหมิ่น
หลิวหยางและจางหมิ่นเป็นชายฉกรรจ์วัยประมาณยี่สิบกลางๆ กริยาดูสุขุมเหมือนดั่งบัณฑิต ร่างกายกำยำแข็งแรง ครั้งแรกที่เห็นว่าผู้ที่มาซื้อตนเป็นเพียงเด็กหญิง ความสับสนไม่แน่ใจก็ปรากฏขึ้นในแววตา ต้องรู้ว่าเด็กสาววัยนี้นิยมซื้อสาวใช้หน้าตาดีเพื่อเตรียมออกเรือนพร้อมตนเสียมากกว่าสนใจชายหนุ่มอย่างพวกเขา
“บ่าวคารวะคุณหนูขอรับ”
“อืม ข้าเลือกพวกเจ้าสองคน เพราะเห็นว่าพวกเจ้าทั้งสองดูสุภาพ อยู่กับข้าไม่ได้มีกฏระเบียบมากมาย สิ่งที่เจ้าต้องจำให้ขึ้นใจคือ ซื่อสัตย์ ภักดี มีวินัย และห้ามนำเรื่องของข้าไปพูดกับผู้ใด หน้าที่ของพวกเจ้ามีสองอย่างหนึ่งคือดูแลข้ากับสี่เสวี่ย สองคือดูแลของทุกอย่างที่อยู่ในบ้าน เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจขอรับ”
“ดี พวกเจ้าขับรถม้าเป็นหรือไม่”
“ขับเป็นขอรับ” หลิวหยางและจางหมิ่นเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“ดี เช่นนั้นไปซื้อรถม้ากันก่อน”
หลังจากซื้อรถม้าธรรมดาในราคาห้าสิบตำลึง พวกซูเจินจูมาที่ร้านอาวุธ ซูเจินจูเดินดูอาวุธที่วางเรียงรายอยู่ก็สังเกตุว่าอาวุธในร้านนี้ไม่ใช่ของที่มีไว้ใช้งานจริง อาจเป็นเพราะในเมืองไม่สามารถพกอาวุธได้ อาวุธที่ขายอยู่จึงเหมาะกับการถือไปถือมาอวดกันของคุณชายในเมืองเสียมากกว่า พวกซูเจินจูจึงมาที่โรงหลอมเหล็กอู่จินชาง
“ท่านอา วันนี้ข้ามาซื้ออาวุธ มีที่ตีเสร็จแล้วหรือไม่เจ้าคะ”
“แม่หนูนี่เอง เจ้าอยากได้อะไรล่ะ หากเป็นกริชเงิน เจ้าคงต้องผิดหวังกลับไปเสียแล้ว”
“ดาบกับมีดสั้นเจ้าค่ะ”
“ถ้าเป็นดาบกับมีดสั้นก็ต้องมีให้เจ้าแน่นอน ตามข้ามาดูทางนี้เถอะ”
ซูเจินจูให้คนทั้งหมดตามเข้าไปด้วยเมื่อเห็นว่าข้างในมีอาวุธเรียงรายอยู่มากมายก็ ให้หลิวหยาง กับ จางหมิ่นเลือกอาวุธที่จับถนัดมือด้วยตนเอง และสอนสี่เสวี่ยเลือกมีดสั้น ซูเจินจูเองก็เลือกมีดสั้นของตนเองมาหนึ่งอันด้วย
“ท่านอา เมื่อสักครู่ข้าเห็นว่าบนโต๊ะด้านนอกมีเข็มเงินหนึ่งชุดหรือเจ้าคะ”
“ใช่แล้วแม่หนู เป็นของท่านหมอหลี่สั่งทำเอาไว้ เป็นของคุณภาพดีกว่าที่ขายในร้านข้างนอก อย่างที่เจ้ารู้ ฝีมือข้าดีนัก”
“ใช่เจ้าค่ะ ฝีมือท่านดียิ่งนัก ข้าเองก็อยากได้เข็มเงินสักชุด ไม่ทราบว่าท่านอายังสามารถทำตามแบบข้างนอกนั้นให้ข้าอีกสักชุดได้หรือไม่เจ้าคะ”
“โอ้ว เจ้าเองก็เรียนวิชาการรักษาหรือ” ฮุ่ยซิ่วทำหน้าประหลาดใจ พินิจพิจารณาซูเจินจูอยู่ครู่นึง เขาถูกชะตากับแม่หนูคนนี้ แต่ก็ไม่สามารถล่วงเกินแนะนำให้เลิกเรียนการรักษาได้ แต่หมอเป็นอาชีพที่สตรีไม่สามารถเรียนได้ หรือต่อให้เรียนก็ไม่มีใครยินดีให้สตรีตรวจรักษา
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ทำไว้เพื่อมอบให้ผู้อื่นเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็ได้ อีกสามวันเจ้าค่อยมารับของ ข้าจะทำให้เจ้าอย่างดีเลยทีเดียว”
หลังจากที่ทุกคนเลือกอาวุธเสร็จ ซูเจินจูก็จ่ายเงินค่าดาบเล่มละสิบตำลึง สองเล่ม มีดสั้นเล่มละแปดตำลึง สองเล่ม และเงินมัดจำเข็มเงินชุดละสามสิบตำลึง
หลังจากขึ้นรถม้ามา สี่เสวี่ยก็อดที่จะพูดพึมพำใส่ซูเจินจูได้ไม่“เข็มเงินร้านข้างนอกชุดละหกตำลึงเท่านั้นนะเจ้าคะคุณหนู”“ข้ารู้ แต่คุณภาพต่างกันมากนัก เข็มเงินของท่านอาฮุ่ยซิ่วทั้งตรง กลม และแหลมในขนาดที่สมส่วน ขนาดเข็มแต่ละเล่มก็มีความสั้นยาวสูงต่ำตามที่ข้าต้องการ หากไปซื้อร้านด้านนอก วันนึงก็ต้องกลับมาสั่งทำอยู่ดี เมื่อถึงวันนั้นต้นแบบก็ไม่มี ไม่รู้จะได้เข็มเงินที่ถูกใจเช่นนี้หรือไม่”“แต่ว่า คุณหนูใช้เงินจนจะหมดอีกแล้วนะเจ้าคะ เหลือเพียงหนึ่งร้อยสิบเอ็ดตำลึงเท่านั้น อีกทั้งกลับไปคราวนี้ยังต้องจ้างช่างเฉินมาทำสร้างห้องบ่าวไพร่ จะให้บ่าวไพร่มาอยู่ร่วมเรือนไม่ได้นะเจ้าคะ”“ข้ารู้แล้ว อย่างไรเสียช่วงนี้พวกเราก็ไม่ได้อยู่ สร้างก่อนสองห้อง สามวันก็คงเสร็จ”รถม้าพุ่งออกจากอำเภอเหอ แวะซื้อข้าวของจำเป็นที่ตำบลจางหนาน จ้างเกวียนเทียมวัวอีกหนึ่งคันเพื่อบรรทุกข้าวของ ก่อนมุ่งหน้าเข
เมื่อถึงบ้านชนบท ซูเจินจูเข้าไปทำลายผ้าทันที สี่เสวี่ยจัดการบอกกล่าวกฎระเบียบในบ้านให้ซินซียงทาสที่ซื้อมาใหม่ฟัง เมื่อเห็นว่าหลิวหยางและจางหมิ่นออกไปอยู่ที่เรือนชั้นนอกแล้ว ก็ให้ซินเซียงเข้าไปพักอยู่ห้องเดิมของทั้งสองคนก่อน ตรวจดูความเรียบร้อยในบ้านและในครัวแล้วเห็นว่าข้าวและธัชพืชเหลือเล็กน้อย จึงให้หลิวหยางเตรียมรถม้าและพาซินเซียงไปตลาดในตำบล สี่เสวี่ยซื้อชุดเครื่องนอนใหม่และผ้าฝ้ายสำหรับตัดชุดหนึ่งพับให้ซินเซียง ข้าวสาร ธัญพืช ผักดอง เกลือ น้ำตาล เพียงพอที่จะใช้ไปถึงสองเดือน สี่เสวี่ยจ่ายเงินสามตำลึงอย่างเจ็บปวดและยัดของทุกอย่างเข้าไปในรถม้า วันนี้คุณหนูไม่ได้มาด้วย นางไม่จำเป็นต้องจ้างเกวียนเทียมวัวเพิ่มเมื่อกลับมาถึงบ้าน แต่ละคนก็ต่างทำหน้าที่ของตนเอง สี่เสวี่ยไปวาดลายผ้าที่ลานหิน ซินเซียงเก็บข้าวของและเข้าครัวทำกับข้าว หลิวหยางตรวจตราบริเวณหน้าบ้านไม่ให้คนงานเข้ามาวุ่นวายที่เรือนชั้นใน จางหมิ่นตรวจตราบริเวณหลังบ้าน ดูแลสวนดอกหอมหมื่นลี้และดูแลซูเจินจูบริเวณลานหิน
คราแรกสี่เสวี่ยไม่ต้องการให้คุณหนูเลือกทาสที่ดูน่ากลัวผู้นี้ แต่คัดค้านความต้องการของคุณหนูไม่ได้ เมื่อฟังพ่อค้าทาสแล้วก็เบาใจขึ้นหลังจากจ่ายเงินสามสิบตำลึง สี่เสวี่ยไปซื้อรังผึ้งจากร้านชำบ้านไฉและพาเยว่ชิงออกเดินทางไปที่หมู่บ้านชนบททันทีซูเจินจูพาเฟยหลันมาที่ร้านผ้าซูเตี้ยน ให้นางเลือกชุดผ้าฝ้ายสำเร็จรูปสองชุดก็จะตรงไปที่โรงหลอมเหล็กอู่จินจาง“เจ้าเข้าไปเลือกอาวุธสักชิ้นเถอะ”“….”“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นวรยุทธ์ เข้าไปเลือกเถอะ”“คุณหนู เหตุใด...” นางแปลกใจ เฉพาะแผลเป็นบนใบหน้าก็ทำให้คนทั่วทั้งแคว้นรังเกียจนาง ผู้ที่ต้องการซื้อตัวนางล้วนเป็นบุรุษวัยกำดัด หากเป็นสตรีก็สตรีที่ชื่นชอบการเหยียบย่ำผู้อื่น แต่หากรู้ว่านางเป็นวรยุทธ์ก็จะยิ่งทรมานนางมากขึ้น ด้วยรู้นางไม่สามารถตอบโต้ได้ ก่อนหน้านี้นางถูกคุณหนูจวนแม่ทัพผิงซื้อตัวไป
วันต่อมาซูเจินจูมาที่โถงยาเจี้ยนคังอีกครั้ง เมื่อวานนางลืมซื้อสมุนไพรแก้พิษแมงมุมและยาห้ามเลือด นางต้องการกลับเข้าไปจับแมงมุมตัวโตเต็มวัยมาลองสกัดพิษสักสองตัว ดังนั้นนางต้องปรุงยาแก้พิษพวกมันเสียก่อนโดยปกติตำรับยารักษาแผลกับห้ามเลือดจะเป็นคนละตำรับกัน แต่ซูเจินจูใช้ความรู้ดั้งเดิมปรับสูตรยาเป็นฟื้นฟูเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังลดอักเสบฆ่าเชื้อและห้ามเลือดเข้าด้วยกัน สมุนไพรสำคัญของยาตัวนี้คืออ้ายเยี่ยที่มีคุณสมบัติขับกระจายความเย็นระงับปวด อบอุ่นเส้นลมปราณเพื่อห้ามเลือด หวงฉีที่มีคุณสมบัติทำให้ชี่ไหลเวียน ระงับปวด ช่วยรักษาบาดแผลและสร้างเนื้อเยื่อ ป๋าเซีย เป็นยาฆ่าเชื้อตามธรรมชาติและเป็นตัวยาเสริมของยาแก้พิษทั่วไป เมื่อสมุนไพรหลักสามตัวรวมกับสมุนไพรเสริมอีกสามสิบชนิดก็จะได้ยาใส่แผลคุณภาพดีเลยที่เดียวส่วนสมุนไพรแก้พิษนั้นกลับมีไม่ครบ ขาดส่วนประกอบสำคัญอย่างรากหญ้าขน แต่รากหญ้าขนไม่ใช่ของหายากอะไร นางสามารถเก็บได้ตามภูเขานอกเมืองหลังจากซื้อสมุนไพรที่ต้องการแล้วนางแ
“ช่วยด้วย นายหญิง ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ” สตรีผู้หนึ่งวิ่งมาที่เฟยหลัน ร้องตะโกนขอให้ช่วยอย่างสุดเสียง เมื่อนางวิ่งมาจนถึงรถม้าก็คุกเข่าลงที่หน้าเฟยหลันทันที“นายหญิงช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ”เฟยหลันสังเกตว่ามีชายฉกรรจ์วิ่งตรงมาทางนี้อีกเกือบสิบคน นางไม่อยากให้คุณหนูที่อ่อนโยนอย่างซูเจินจูต้องรับรู้เหตุการณ์ตรงหน้าจึงชักกระบี่อ่อนออกมาขวางสตรีผู้นั้นไว้“แม่นาง เจ้านายของข้าต้องรีบเดินทาง ขอแม่นางอย่าขวางทาง”“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ หากข้าถูกจับไปข้าต้องตายแน่ๆ”“พวกเจ้า ส่งตัวนังแพศยานั่นมา ไม่ใช่นั้นอย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจ” เหล่าชายฉกรรจ์ที่วิ่งตามมาถึงก็ตะโกนใส่เฟยหลันทันที“พวกมันเรียกเจ้าแล้ว เจ้าไปเถอะ อย่าทำให้คุณหนูของข้าต้องแปดเปื้อน” การแกะมือของสตรีผู้นั้นออกจากร่างกายสำหรับเฟยหลันที่เป็นวรยุทธ์ไม่ใช่เรื่องยากนัก แต่สตรีผู้นั้นก็เห็นขบวนร
ซูเจินจูที่สั่งงานเสร็จเรียบร้อยก็เข้าไปปรุงยาในห้อง เพียงไม่นานยาทั้งสองชนิดก็เสร็จเรียบร้อย ซูเจินจูสะพายตะกร้า พร้อมผ้าและเชือกสำหรับปิดด้านบนตะกร้าขึ้นไปยังถ้ำแมงมุมทันทีซูเจินจูเดินลัดเลาะขึ้นมาทางลัด นางจำได้ว่าหากมาจากอีกฝั่งก็จะเข้าไปในถ้ำได้เช่นกันแถมระยะทางก็ใกล้กว่า นางกระโดดขึ้นต้นไม้ตรวจสอบร่องรอยของทิศทางกระโดดจากต้นหนึ่งไปยังต้นหนึ่งอย่างมั่นคงเพียงนานก็มาถึงหน้าถ้ำแต่เมื่อซูเจินจูกระโดดลงมาจากต้นไม้สิ่งที่รอรับเท้าทั้งสองข้างของนางอยู่กลับไม่ใช่พื้นดิน“โอ้ย” ซูเจินจูที่รั้งตัวเองไว้ไม่อยู่ก็ล้มลงไปหัวกระแทกพื้นดินเข้าอย่างจัง ความคิดชั่ววูบที่ผุดขึ้นมาคือการกระทบกระเทือนที่หัวจะทำให้วิญญาณนางหลุดออกจากร่าง ทำให้นางรีบจับเนื้อจับตัวของตัวเอง ลมหายใจหนักหน่วงประหนึ่งว่าโล่งใจที่ไม่ได้กลายเป็นวิญญาณเร่รอนถูกผ่อนออกมา เมื่อตั้งสติได้ก็หันมามองที่ต้นเหตุ“เพ้ยยยย ศพคนนี่หว่า ไฉนมีคนมานอนตายหน้าถ้ำ บรื้ออ” นางใช้เท้าเขี่ยศพที่
ขณะเดียวกันหน้าถ้ำแมงมุมก็มีชายชุดดำคนหนึ่งคุกเข่าอยู่หน้าชายหนุ่มที่ซูเจินจูช่วยชีวิตไว้“คารวะท่านรองแม่ทัพ”“เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”“ตอนนี้ท่านแม่ทัพเดินทางถึงเมืองหลวงแล้ว อาการก็พ้นขีดอันตราย ท่านจะเดินทางเข้าเมืองหลวงเลยหรือไม่ขอรับ”“ยังไม่ไป ในกองทัพมีสายลับ ข้าศึกรู้กลศึกของเราทั้งหมด หากหาตัวสายลับไม่เจอ ออกศึกคราวหน้าข้ากับท่านพี่คงต้องตายในสนามรบ ... เจ้าไปส่งข่าวให้ท่านพี่ข้าเก็บข่าวเรื่องข้าไว้เป็นความลับ ให้แจ้งกองทัพไปว่าหาข้าไม่พบ เป็นหรือตายไม่แน่ชัด ประกาศคัดเลือกรองแม่ทัพคนใหม่ ข้าเชื่อว่าผู้บงการเบื้องหลังต้องแย่งชิงตำแหน่งของข้าแน่”“ถ้าเช่นนั้น ท่านไปอยู่ที่หมู่บ้านเฟิงโจวก่อนดีหรือไม่ขอรับ ที่นั่นมีบ้านลับกองทัพฝั่งใต้ สะดวกต่อการติดต่อ”“ไม่ หากรู้ว่าข้าหายไปพวกมันต้องส่งคนออกตามหาแน่ เมืองฝั่งใต้ ตะวันตกฉียงใต้ และตะวังออกเฉียงใต้ล้วนอันตราย ฝั่งตะวั
หน้าถ้ำแมงมุมชายหนุ่มชุดดำที่เห็นหยางหย่งเจิ้งเดินเข้ามาก็โค้งตัวคารวะ“คารวะท่านรองแม่ทัพ”“เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”“ท่านแม่ทัพดำเนินการตามแผนของท่านแล้วขอรับ แต่ก้านลู่ถูกลอบสังหารเมื่อคืนนี้ ยังไม่พบตัวคนร้ายขอรับ”“เล่ามา”“เมื่อคืนก้านลู่ไปที่หอห่าวซีเถียนตามปกติแต่เช้านี้กลับไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย ทางการตรวจศพแล้วไม่พบความผิดปกติใดๆ แต่ข้าให้คนของเราเข้าไปแอบตรวจสอบอีกครั้งพบว่าเขาถูกวางยาพิษ เป็นพิษที่แปลกนักถูกพิษแต่ศพกลับเป็นปกติดูเหมือนนอนหลับตายไปเฉยๆ พิษหายากเช่นนี้คนธรรมดาไม่มีทางครอบครองได้ ข้าจึงคิดว่าเขาถูกฆ่าปิดปากขอรับ”“เข้าไปหาหลักฐานในที่พักแล้วส่งคนของเราเฝ้าเอาไว้ด้วย คนที่ลอบสังหารต้องกลับมาหาหลักฐานแน่นอน หากพวกมันมาก็ให้คนของเราสะกดรอยตามไป”“ทราบแล้วขอรับ”ในขณะเดียวกันเฟยหลันก็มารายงานเรื่องที่ซูเจินจูสั่งให้ทำ“จัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ บ่าวอยู่รอจนเห็นว่าไม่มีใครสงสัยจึงค่อยกลับมาเจ้าค่ะ”“ดีมาก ระหว่างนี้เจ้าลองหาข่าวพวกพ้องของเจ้าเถอะ ข้ายินดีซื้อตัวพวกเขาไว้”“ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ” เฟยหลันรู้สึกยินดีมากหากพี่น้องของตนสามารถมารับใช้คุณหนูได้ นางยังจำความ
“พ่อหนุ่มเจิ้งผู้นี้ดูมีลับลมคมในเหลือเกินนะเจ้าคะ จะว่าไปพ่อหนุ่มเจิ้งเองก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องของตน แม่แต่แซ่ก็ไม่บอก ชื่อเจิ้งก็ไม่รู้ว่าใช่ชื่อจริงหรือไม่”“นั่นสิเจ้าคะคุณหนู คุณหนูเองก็แปลกนัก แค่พ่อหนุ่มเจิ้งบอกจะมาด้วยก็ปล่อยให้มา บอกจะไปก็ไม่ถามไถ่สิ่งใดสักคำ”“ช่างเขาเถอะ เพียงแค่ไม่มีพิษภัยกับพวกเราก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆรู้มากไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี”“เจ้าค่ะคุณหนู”ซูเจินจูพาเจียงไป๋ไปยังห้องที่เจียงชิงนอนอยู่และให้ซินเซียงยกที่นอนอีกหนึ่งอันมาวางข้างเตียงเพื่อให้พี่น้องได้นอนห้องด้วยกัน“เจ้านอนห้องเดียวกันไปก่อน ช่วงนี้ก็คอยดูแลนาง ข้างๆห้องเจ้าคือห้องของชิงหยุน มีอะไรก็ไปหานางได้ สี่เสวี่ยเจ้าไปบอกให้ซินเซียงหาอะไรให้เด็กนี่กินเสียหน่อยเถอะ”“เจ้าค่ะคุณหนู”เจียงไป๋มองคนทั้งหมดทยอยออกจากห้องไปก่อนจะหันกลับมานั่งข้างเตียงของเจียงชิง“พี่สาว ท่านรีบตื่นขึ้นมานะ…”... เช้าวันต่อมาซูเจินจูเดินทางเข้าร้านหว่างลี่เซียงพร้อมเฟยหลันตั้งแต่ยามเฉิน กิจการของร้านหว่านลี่เซียงเป็นไปด้วยดี คนที่ดูเหมือนจะทะเลาะกับผู้อื่นได้ง่ายๆอย่างเพ่ยเพ่ยกลับทำงานได้อย่างสงบเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นก
“มองอะไร พวกเจ้ามองอะไร ไอ้พวกไม่รู้เรื่องรู้ราว เด็กมันมีวาสนาได้ช่วยเหลือสกุล เลี้ยงมันต่อไปก็ไม่ใช่ว่ามันจะหาเงินให้ข้าได้ถึงยี่สิบตำลึงเสียเมื่อไหร่ ต้องมากินข้าวบ้านข้านอนบ้านข้าไม่สู้ไปกินบ้านอื่นนอนบ้านอื่นแล้วยังได้เงินรึ แล้วเงินที่มันถืออยู่ไม่ใช่ว่าขโมยของข้าไม่หรือไงเด็กอย่างพวกมันจะเอาปัญญาหาเงินมากมายขนาดนี้ได้ที่ไหน เอาเงินข้าคืนมานะไอ้พวกเด็กตัวเหม็น”“ท่านย่านี่เป็นเงินที่พี่สาวหามาได้ ไม่ได้ขโมยเงินของท่าน”“นั่นมันเงินโชคดีที่แม่หนูเจินจูแจกไม่ใช่หรือ บ้านข้าก็ได้มาสองพวง ไหมถักแบบนั้นรูปทรงแบบนั้น ข้าจำไม่ผิดหรอก” ชาวบ้านที่มุงดูอยู่พูดขึ้น“ใช่ ข้าเองก็จำได้ นั่นมันพวงเงินที่แม่หนูเจินจูแจกเมื่อวันเกิด” หัวหน้าหมู่บ้านหวังสำทับขึ้น ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างเคยได้รับพวงเงินโชคนี้ทุกคนล้วนเป็นพยายานให้เด็กน้อยว่าเขาไม่ได้ขโมยเงินของแม่เฒ่าเจียง“เหอะ เอาเข้าบ้านข้าก็ต้องเป็นของข้านั่นแหละ อาไป๋ เข้าบ้าน เหม่ยเหมย เสี่ยวเจี๋ยลากนังเด็กชิงเข้าบ้าน”“แม่เฒ่าเจียง รอเดี๋ยวก่อนเถอะ ข้าขอเจรจาเรื่องเด็กสองคนนี้สักประโยคหนึ่งได้หรือไม่” ซูเจินจูพูดยังไม่ทันจบ เฟยหลันก็เอาตัว
การค้าของร้านหว่านลี่เซียงเต็มไปด้วยความราบลื่น ที่ควรขายได้ขาย ที่ควรสงบก็สงบ กว่าลูกค้าคนสุดท้ายจะออกจากร้านก็เป็นยามโหย่ว หลังจากปิดร้าน เหล่าคนงานที่หมดแรงมานั่งรวมกันอยู่ที่กลางร้าน ซูเจินจูลากเก้าอี้มานั่งก่อนจะขอบคุณทุกคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการเปิดร้านวันแรกจนทุกอย่างผ่านไปด้วยดี วันนี้ถุงหอมขายได้หกร้อยหกใบ เป็นเงินหนึ่งหมื่นสองพันหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง การขายได้จำนวนมากตั้งแต่วันแรกนับเป็นเรื่องดีแต่ซูเจินจูกังวลว่าหากขายดีเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆคงไม่สามารถผลิตมาขายได้ทันสี่เสวี่ยรับหน้าที่สอนเยว่ชิงวาดลายผ้าและผสมสีผ้าไหมหอมหมื่นลี้ เมื่อเชี่ยวชาญแล้วเยว่ชิงจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลผ้าไหมหอมหมื่นลี้พวกนี้แทนสี่เสวี่ย อีกทั้งสี่เสวี่ยยังต้องคุมคนงานเย็บปัก และติดป้ายรับสมัครหญิงสาวที่เชี่ยวชาญงานเย็บปักมาปักถุงหอมหมื่นลี้ที่ร้านหว่านลี่เซี่ยงด้วยเฟยหรงและเฟยเมี่ยวที่เพิ่งได้ข่าวพรรคพวกอีกหนึ่งคนด้วยเห็นว่าพรรคพวกที่เจอนั้นถูกซื้อตัวไปด้วยชายชราที่อยู่กับหลานชายหนึ่งคนบนกระท่อมบนเขา นางไม่ได้ลำบากหรือโดนทำร้ายจึงพักการติดต่อแล้วหันมาช่วยซูเจินจูดูแลร้านหว่านลี่เซียงไปก่อน“เอาล
“องค์ชายหก ท่านช่างเป็นดาวนำโชคของพวกข้านัก” ชายหนุ่มอีกคนในกลุ่มที่ถูกเรียกว่าคุณชายเซียวพูดขึ้นขณะที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ยาวที่ปูทับด้วยเบาะรองนั่งขนกระต่าย เบาะรองนี้ซูเจินจูสั่งให้ซินเซียงทำขึ้นจากขนกระต่ายสีอื่นๆเย็บติดสวมทับเบาะด้านในที่ตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายยัดใส่ด้วยนุ่นที่ซื้อไปจากตำบลอีกที ที่สี่มุมผูกด้วยพู่หลากสีที่ทำขึ้นด้วยพู่ไหมจากเผ่าเจี๋ยที่ซูเจินจูได้รับมาจากนายท่านซูเมื่อครั้งออกไปทำการค้าต่างแคว้น“นั่นสิเพคะ หากไม่มีพระองค์พวกหม่อมชั้นคงต้องต่อแถวยาวหลายลี้ ตากแดดตากลมอยู่ด้านนอกเสียแล้ว” ผิงเหม่ยเหรินพูดขึ้นขณะพยักเพยิดไปท่างลี่รุ่ยเซียงสหายรักแต่ยังไม่ทันที่ลี่รุ่ยเซียงจะได้พูดอะไร องค์ชายหกก็หันกลับไปพูดคุยกับหญิงสาวอีกคนที่นิ่งเงียบมาตลอด“จิวอิง เหตุใดเจ้าจึงเงียบนัก คนงานนั่นก็บอกแล้วว่าเป็นถุงหอมหมื่นลี้ ไม่ใช่ผ้าไหมหอมหมื่นลี้เสียหน่อย หรือเจ้ากลัวว่าพวกข้าติดใจผ้าไหมหอมหมื่นลี้จนลืมผ้าไหมหยกของเจ้า”“หามิได้เพคะ ขอเพียงองค์ชายหกทรงพอพระทัย หม่อมฉันจะกล้าไม่พอใจได้เช่นไร”“คุณหนูเจ้าคะ มีกลุ่มคุณหนูคุณชายดูว่าจะมาจากเมืองหลวง อ้างตัวว่าเป็นองค์ชายหก ตอนนี้บ่
เช้าวันต่อมา หลิวหยางรับหน้าที่ขับรถม้าคันใหม่พาซูเจินจู สี่เสวี่ย เฟยหลัน และเฟยอวี่เข้าพบฮูหยินนายตำบลที่จวนนายตำบลเป่ย เมื่อมาถึงหน้าจวนนายตำบลหลิวหยางลงไปแจ้งกับคนเฝ้าประตูว่าคุณหนูของตนแซ่ซูชื่อเจินจูนำผ้าไหมหอมหมื่นลี้มาขอเข้าพบฮูหยิน พร้อมให้เงินหนึ่งตำลึงแก่คนเฝ้าประตู เงินหนึ่งตำลึงเร่งฝีเท้าคนให้ไวได้ดังม้า ไม่ถึงสองเค่อคนเฝ้าประตูก็ออกมาเปิดประตูให้ให้รถม้าเข้าไปซูเจินจูสวมชุดผ้าไหมหยกสีขาวปักลายนกกระยาง ลายปักละเอียดเพียงดูผ่านๆก็ยังสามารถรู้ได้ว่าเป็นงานปักชั้นสูง ผมรวบขึ้นอย่างประณีตปักด้วยปิ่นหยกขาวเนื้อดีหนึ่งคู่ที่ดูเข้ากันได้ดีกับกำไลหยกขาวที่ข้อมือ ผิวขาวราวหยก ขนตาเป็นแพหนาสีดำ ปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อยิ่งทำให้ซูเจินจูงดงามจนคนที่ได้เห็นไม่สามารถละสายตาไปได้สี่เสวี่ย เฟยหลัน เฟยอวี่ ผู้ติดตามทั้งสามคนสวมชุดผ้าไหมเฉกเช่นคุณหนูจากจวนใดจวนหนึ่ง เฟยหลันที่รอยแผลเป็นบนใบหน้าหายดีแล้วยิ่งดูงดงามและลึกลับเมื่อสวมชุดผ้าไหมสีน้ำเงิน ปักด้วยปิ่นเงินลายดอกหลันฮวาเดินคู่มากับเฟยอวี่ในชุดผ้าไหมสีเดียวกันรวมผมขึ้นอย่างเป็นระเบียบปักด้วยปิ่นเงินลายเมฆา สี่เสวี่ยที่ตามรับใช้ใกล้ชิ
ซูเจินจูฝั่งร้านผ้าซูเตี้ยนได้สั่งให้คนงานไปซื้อผ้าไหมหอมหมื่นลี้ของร้านผ้าเฉินอี้เตี้ยนมาหนึ่งพับ เมื่อสำรวจดูแล้วพบว่ากลิ่นของผ้าไม่ใช่กลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้แต่เป็นกลิ่นของดอกเหมย อีกทั้งลายผ้าไม่คมชัดคงเป็นการวาดลายลงไปโดยตรง การใช้สีอ่อนเช่นนี้จะทำให้ลายผ้ามีสีซีดได้ง่าย อีกทั้งกลิ่นดอกเหมยไม่สามารถเกาะติดผ้าได้ดีเท่ากลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้ เวลาผ่านไปสักพักกลิ่นก็คงจางหายไปเอง ดังนั้นผ้าไหมพวกนี้ไม่สามารถนับเป็นคู่แข่งอย่างแท้จริงได้หลงจู๊ฝูที่ออกไปสืบข่าวด้วยตนเองกลับมาพบนายท่านซูละซูเจินจูด้วยสีหน้าสบายใจ“เห็นทีว่าคุณหนูจะพูดถูกทุกอย่างเลยขอรับ ผู้ที่ซื้อผ้าไหมหอมหมื่นลี้จากร้านเฉินอี้เตี้ยนไปกลับมาโวยวายที่ร้านเหตุเพราะเพียงนำผ้าไปซักเท่านั้น กลิ่นที่ควรมีก็ไม่มีอีกต่อไป เห็นทีว่าร้านผ้าเฉินอี้เตี้ยนจะเสียชื่อเสียครั้งใหญ่เป็นแน่”“เช่นนั้นข้าค่อยสบายใจหน่อย เอาล่ะ เมื่อหมดเรื่องแล้วเห็นทีว่าถึงเวลาไปเอาผ้าเสียที เจ้าล่ะ อาจู จะไปเอาผ้าหอมไหมหมื่นลี้อีกเมื่อใด”“ข้าให้เฟยหลันไปเอาผ้าแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ก็คงนำผ้ากลับมาแล้ว เห็นทีว่างานปักงานแรกคงเป็นการตีตราร้านลงบนผ้าเสียแล้วน
“คุณหนู บ่าวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” เฟยหลันมองเฟยหมิงที่อยู่บนเตียงแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก ลมหายใจของนางดีขึ้นมากแล้ว คุณหนูรักษานางได้จริงๆซูเจินจูรับเข็มเงินและโถบดยาไปก่อนจะสั่งให้เสี่ยวเหลียนนำเข็มเงินไปต้มในน้ำร้อนและให้เฟยหลันกรีดผ้าที่ขาของเฟยหมิงออก“กระดูกขาของนางแตก หากนางทนอยู่เฉยๆ ไม่ขยับขาสักสามเดือนขาของนางก็จะกลับมาใช้ได้เหมือนเดิม”“นางยังจะกลับมาเดินได้อีกหรือเจ้าคะ”“ต้องนอนนิ่งๆอยู่แบบนี้ไปก่อนสามเดือน หากขยับเขยื้อนก่อนหน้านั้นก็อาจจะเดินไม่ได้”“คุณหนูเหมือนหมอเทวดาเลยเจ้าค่ะ”“เจ้าจะร้องไห้ทำไม ไอหย๋า ข้าแพ้น้ำตาของพวกเจ้านัก หยุดร้องเถอะข้าจะให้เสี่ยวเหลียนไปซื้อขนมให้เจ้ากิน”“คุณหนู บ่าวแค่ดีใจมากไปเจ้าค่ะ แต่เดิมบ่าวแค่ต้องการฝังศพนางให้ดีเสียหน่อย ใครจะรู้ว่าคุณหนูดึงวิญญาณนางกลับมาจากนรกได้”“เพ้ย เจ้านี่ ตายแล้วไม่ให้นางขึ้นสวรรค์แต่กลับให้นางไปลงนรก เอาล่ะๆ เจ้าไปบดยากองนั้นเถอะ เดี๋ยวข้าฝังเข็มเสร็จแล้วต้องพอกยาให้นาง”“ทั้งหมดเลยหรือเจ้าคะ มัน เยอะมากเลยนะเจ้าคะ”“ทั้งหมดนั่นแหละพอกทั้งขาแล้วเอาผ้ามาพันเข้ากับไม้แผ่นเสียหน่อย กระดูกจะได้ไม่เคลื่อนที่มากนัก”
หลังหลินเฮงฉวนกลับไปซูเจินจูเข้ามาที่ร้านผ้าซูเตี้ยนพร้อมกับนายท่านซู สินค้าที่นำกลับมาถูกจดไว้ในรายการอย่างลวกๆ ซูเจินจูจำเป็นต้องทำมันใหม่เพื่อให้เป็นระเบียบมากขึ้น นายท่านซูนำผ้าจากเผ่าเจี๋ย ชนเผ่าเร่ร่อนดำเดินชีวิตด้วยการเดินทางไปเรื่อยๆกลับมาไม่น้อย ผ้าจากเผ่าเจี๋ยเป็นผ้าหนังสัตว์ที่ถูกตัดเย็บด้วยวิธีการแปลกใหม่ หนังสัตว์ที่ไม่หนาฝีเข็มที่เย็บจนหนังแนบชิดติดกันจนลมไม่สามารถเข้าได้เป็นชุดคลุมอย่างดีสำหรับฤดูหนาว แต่ผ้าจากเผ่าเจี๋ยทั้งหมดเป็นเพียงของบรรณาการที่ส่งเข้าไปยังจวนขุนนางเท่านั้นทำให้ซูเจินจูรู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถทำกำไรจากของดีเช่นนี้ได้ วันนี้เป็นครั้งแรกที่นายท่านซูมีโอกาสดูงานประมูลผ้าไหมหอมหมื่นลี้ลายโบตั๋น ผ้าไหมสามพับทำกำไรได้มากถึงสี่พันสี่ร้อยตำลึง จริงอย่างที่หลงจู๊ฝูพูด ร้านผ้าซูเตี้ยนควรจัดงานกราบไหว้เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งได้แล้วผ้ามีตำหนิห้าสิบพับถูกขนย้ายออกมาเพื่อเตรียมไว้ให้ซูเจินจู อีกทั้งนายท่านซูยังมอบเงินให้ซูเจินจูห้าร้อยตำลึง“ข้าเพิ่งรู้ว่าฮูหยินไม่เคยให้เงินเจ้าเลยยามออกมาทำการค้า ต่อไปหากข้าไม่อยู่เจ้านำเงินของที่ร้านออกไปเป็นค่าเดินทางได้เล
ซูหนี่ย์ที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่ยกยิ้มเหยียดหยาม ดี ให้คนของท่านพ่อตีนางให้ตาย นังบ่าวชั่วที่ติดตามนังจิ้งจอกนั่นไม่สมควรมีชีวิตอยู่เป็นหนามตำตานาง ให้ตายเถอะ ยิ่งเห็นก็ยิ่งเกลียด ทำไมตอนที่พวกนางออกไปทำการค้าถึงไม่เจอโจรป่าเสียบ้างนะเฟยหลันและคนของนายท่านซูถือไม้พลองยืนอยู่กลางลานหน้าห้องโถง ขอเพียงส่งสัญญาณคนทั้งคู่ก็พร้อมแสดงฝีมือทันที แต่เฟยหลันที่อยู่บนลานหันกลับมามองซูเจินจูแล้วส่ายหน้าช้าๆ“ท่านพ่อ ให้คนของท่านเข้าไปอีกคนหนึ่งเถอะเจ้าค่ะ”นายท่านซูหนัยมามองซูเจินจูเล็กน้อยก่อนจะกวักมือเรียกผู้คุ้มกันอีกคนขึ้นไปกลางลาน เอาเถอะ อย่างไรเสียซูเจินจูก็มีผู้ติดตามคนเดียว หากนางแพ้ก็แค่หาคนคุ้มกันให้ซูเจินจูเพิ่ม หากนางชนะเขาก็จะสบายใจมากขึ้น“ลงมือ!!!”เฟยหลันตวัดไม้พลองลงไปอย่างเต็มแรง ผู้ที่เข้ามารับไม้แรกถึงกับถอยร่นลงไปหลายก้าว มือที่จับไม้พลองไว้สั่นจนแทบทำไม้พลองหลุดมือ เฟยหลันกระโดดตามเข้าไปฟาดไม้พลองลงที่ข้อมือก่อนจะตวัดไม้พลองอีกด้านไปเกี่ยวไม้พลองของผู้คุ้มกันคนที่สองลง ลูกเตะที่เตะลงไปที่ศรีษะอย่างแม่นยำทำให้ผู้คุ้มกันคนที่สองล้มลงไปนอนกับพื้นที่ที ไม้พลอยที่มือของเฟยหลันถ