“พวกท่านให้บ่าวไปตามข้า มีอะไรหรือเจ้าคะ” ซูเจินจูเบื่อที่จะต้องเสแสร้งพูดจาสามส่วนเช่นนี้ นางอยากจะถามตั้งแต่ประโยคแรกที่มาถึงแล้วว่าเรียกนางมาทำไม นางไม่เข้าใจเหตุใดวาจาสามส่วนพูดอ้อมเจ็ดส่วนพวกนี้ถึงได้เป็นที่นิยมนัก
“ข้าเพียงมาบอกเจ้าว่า พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปสอบก่งเซิ่น” เรื่องพวกนี้ต้องให้เขาเตือนด้วยหรือ นางที่จะเป็นเป็นสตรีของเขา เหตุใดจึงไม่ปักรองเท้าให้เขาเล่า ไม่ใช่ว่าเป็นที่รู้กันอยู่แล้วหรือว่ายามบุรุษไปสอบเคอจวี่ ต้องให้รองเท้าเป็นความหมายว่าให้เดินทางปลอดภัย หากการเย็บปักของนางไม่ดี อย่างน้อยเพียงผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนเพื่อเป็นความหมายว่านางรอเขากลับมาก็ควรต้องมีใช่หรือไม่ หรือนางต้องการใช้โอกาสนี้สนิทสนมกับไฉตงชุน จึงได้ทำเช่นนี้
“อ่อ เช่นนั้นข้าขออวยพรให้ท่านเดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ” เอ้า ก็แค่ไปสอบ จะต้องมาบอกด้วยหรือ
“เจินจูเอ๋อร์ เจ้าเสียมารยามใส่คุณชายหลินอีกแล้ว ดูน้องสาวคนนี้ของหนี่ย์เอ๋อร์สิเจ้าคะ จะเข้าไปเป็นสตรีของคุณชายอยู่แล้วยังขาดการอบรมถึงเพียงนี้ ต่อไปคงได้ทำคุณชายขายหน้าเป็นแน่” ซูหนี่ย์ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากแสร้งขำเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า
“หนี่ย์เอ๋อรู้ว่าไม่สมควร แต่เพราะเห็นว่าเจินจูเอ๋อร์ยุ่งกับงานที่ร้านผ้า หนี่ย์เอ๋อจึงปักผ้าเช็ดหน้ากับรองเท้าไว้ให้คุณชาย คุณชายอย่ารังเกียจฝีมือของหนี่ย์เอ๋อร์เลยนะคะเจ้าคะ” อิงเถาวางห่อรองเท้าไว้ข้างหลินเฮงฉวน ซูหนี่ย์รับผ้าเช็ดหน้าจากอิงเถาแล้วยื่นให้หลินเฮงฉวนอย่างเขินอาย
ซูหนี่ย์สืมมาแล้วว่าซูเจินจูไม่ได้ปักผ้าหรือดูจะทำอะไรที่เป็นของขวัญให้หลินเฮงฉวนได้ จึงเจตนายื่นของแทนใจต่อหน้านาง หนึ่งคือให้นางอับอาย สองคือให้คุณชายหลินเห็นว่าตนเองจิตใจดีและละเอียดรอบคอบกว่า
“ลำบากคุณหนูซูหนี่ย์แล้ว” หลินเฮงฉวนยังอดเหลือบตามมองซูเจินจูที่นั่งนิ่งไม่ขยับไม่ได้
“คุณชายอย่าได้กดดันน้องสาวของหนี่เอ๋อร์เลยเจ้าค่ะ นางเพิ่งกลับมาจากทำการค้า เอะ ว่าแต่ เจินจูเอ๋อร์ เจ้าไปค้างอ้างแรมข้างนอกถึงสามวัน ด้านนอกเมืองนั้นไม่มีของสิ่งใดที่เจ้าซื้อกลับมามอบให้คุณชายหลินเลยหรือ กับข้าที่เป็นพี่ของเจ้าไม่มีสิ่งใดกลับมาข้าก็ว่าอะไรเจ้าไม่ได้ แต่คุณชายหลินไม่เหมือนกัน ต่อไปข้าคงต้องอบรมเจ้าให้มากขึ้นเสียแล้ว”
“ขออภัยพี่ใหญ่ ขออภัยคุณชายหลินเจ้าค่ะ ข้าออกไปทำการค้า ไม่มีเวลาได้เดินเที่ยว อีกทั้งตัวข้าก็จนนัก จะมีเงินที่ไหนซื้อของดีมาให้พวกท่านละเจ้าคะ” ไอหย๋า ซูหนี่ย์ เจ้าคอยแต่ว่าข้าเป็นนังจิ้งจอก เจ้าคงไม่ได้ส่งกระจกมานานมาแล้วสินะถึงได้ไม่เห็นหูจิ้งจอกโผล่อยู่บนหัวเจ้า คิดจะปล้นเงินข้าไปให้คนอื่น เจ้าตื่นเสียเถอะ
ซูหนี่ย์ได้ยินที่ซูเจินจูพูดว่าตนเองจน ก็รู้สึกว่าตนอยู่เหนือกว่าอีกฝ่ายมาก หากซูหนี่ย์รู้สิ่งที่ซูเจินจูคิดนางคงหัวเราะเสียงดังๆออกมา เงินเพียงน้อยนิดของซูเจินจูไม่ได้อยู่ในสายตานาง นางเพียงต้องการทำลายหน้าตาและศักดิ์ศรีของซูเจินจูต่อหน้าคุณชายหลินเท่านั้น
หลินเฮงฉวนที่ได้ยินซูเจินจูบอกว่าตนเองจนก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ตระกูลพ่อค้าลำเอียงเรื่องการอบรมยังลำเอียงเรื่องเงินด้วยหรือ เขาได้ยินว่าสิ่งที่ไม่เคยขาดแคลนสำหรับพ่อค้าก็คือเงิน เห็นที่ว่าคงไม่ใช่ทุกตระกูลเสียแล้ว แล้วอะไรคือให้สตรีของเขาออกไปทำการค้าถึงสามวัน การออกหน้าทำการค้าเช่นนี้ควรเป็นกิจธุระของบุรุษใช่หรือไม่ เหตุใดตระกูลซูจึงทำเรื่องผิดธรรมเนียมเช่นนี้
ซูเจินจูเห็นว่าหลินเฮงฉวนไม่มีท่าทีจะลุกออกไปหากไม่ได้รับอะไรสักอย่างจากนางก็ว้าวุ่นใจอยู่ไม่น้อย วันนี้นางต้องรีบเข้าไปดูว่าผ้าของนางสามารถขายได้หรือไม่ อีกทั้งยังต้องไปซื้อทาสส่งกลับไปเฝ้าบ้านชนบทของนาง นางไม่มีเวลามาจิบชาเป็นเพื่อนเขานานกว่านี้อีกแล้ว
“ถ้าหากคุณชายไม่รังเกียจ ถุงหอมนี้ข้าเพิ่งทำเสร็จเมื่อคืน ขอมอบเป็นคำขออภัยจากข้า หวังว่าคุณชายจะไม่ถือโทษความไม่รู้ความของข้านะเจ้าคะ” ซูเจินจูปลดถุงหอมจากเอวมอบให้หลินเฮงฉวนอย่างเจ็บปวด สี่เสวี่ยใช้เวลาปักลายพวกนี้ถึงครึ่งเดือนเชียว น่าเสียดายนัก
หลินเฮงฉวนรับถุงหอมไว้ในมือ กลิ่นหอมจางนี้ๆเขาได้กลิ่นตั้งแต่ซูเจินจูเดินมา เมื่อนำขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นถุงผ้าไหมหยกสีงาช้างปักลายเป็ดหัวเขียวคู่หนึ่ง ยืนคลอเคลียกันริมตลิ่ง ฝีเข็มละเอียดละออเป็นงานฝีมือที่มีความปราณีต หากหาซื้อก็คงไม่มีร้านไหนขายงานปักชั้นดีแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นงานที่นางปักเอง หากจำไม่ผิดนางมีชุดไหมหยกสีงาช้าง ถุงผ้านี้คงทำมาจากผ้าที่ใช้ตัดชุดของนางเป็นแน่ ทำให้เขาพอใจในของชิ้นนี้เป็นอย่างมาก
ซูหนี่ย์ที่เห็นซูเจินจูปลดถุงหอมมอบให้คุณชายหลินก็บิดผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างแรง ‘นังจิ้งจอก นังแพศยา ทำไมเจ้าไปจมน้ำตายไปซะ รอดมาเป็นมารหัวใจข้าทำไม’
เมื่อซูเจินจูเห็นว่าหลินเฮงฉวนดูผ่อนคลายลง ก็พูดคุยด้วยอีกสองประโยคก่อนจะขอตัวออกมาทันที
หลินเฮงฉวนที่เห็นว่าซูเจินจูออกไปแล้วก็ตั้งใจจะขอตัวกลับ แต่ซูหนี่ย์กลับสั่งให้บ่าวตั้งโต๊ะอาหารและเชิญหลินเฮงฉวนรับมื้อเช้าด้วยกัน กว่าหลินเฮงฉวนจะขอตัวมาจากซูหนี่ย์ได้ก็เป็นเวลายามจื่อ
ในขณะเดียวกัน ซูเจินจูก็นับเงินอย่างสบายใจ ผ้าพับละเจ็ดสิบห้าตำลึง สี่พับก็สามร้อยตำลึง หักค่าผ้าสิบพับสามสิบตำลึง ก็ยังเหลือเงินสองร้อยเจ็ดสิบตำลึง แล้วยังใบสั่งจองอีกสิบหกพับ เส้นทางเศรษฐีช่างมีความสุขนัก
“สี่เสวี่ย นี่เงินของเจ้าสิบตำลึง”
“เงินอะไรกันเจ้าคะ คุณหนู บ่าวมีเงินมากมายถึงเพียงนั้นเมื่อไหร่กัน”
“เป็นเงินของเจ้าแล้ว ข้าไม่ได้ให้เงินเดือนเจ้ามาสามเดือน รวมกันเดือนนี้ ต่อไปข้าจะให้เงินเดือนเจ้าเดือนละสามตำลึง”
“ข้าจะรับเงินคุณหนูได้ยังไงกันละเจ้าคะ คุณหนูให้บ่าวเดือนละห้าร้อยอีแปะเท่าเดิมเถอะเจ้าค่ะ หรือไม่ต้องให้บ่าวเลยก็ได้ คุณหนูต้องใช้เงินเยอะ ต้องเก็บเงินเอาไว้มาก ภายภาคหน้าคุณหนูจะได้ไม่ลำบาก” สี่เสวี่ยซาบซึ้งจนตาเริ่มแดง คุณหนูดีกับนางเกินไป ต่อให้ไม่ให้เงินนาง แต่คุณหนูก็ไม่เคยปล่อยให้นางต้องอดอยาก เสื้อผ้าแพรพรรณบางชุดสวยงามยิ่งกว่าคุณหนูบางคนเสียอีก อีกทั้งคุณหนูยังเคยให้ปิ่นเงินกับนางอีกด้วย หากนางยังกล้ารับเงินจากคุณหนูอีก คงไม่มีหน้าไปพบบรรพบรุษแล้ว
“เจ้ารับไปเถอะ เก็บเงินเอาไว้มากๆ ข้ารู้ว่าเจ้าดีกับข้ามาก ดังนั้นอย่าปฏิเสธเงินที่ข้าให้เจ้าเลย ถือว่าเป็นความปารถนาดีจากข้าคุณหนูผู้นี้”
“บ่าวขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ”
หลังจากหลงจู๊นำมาผ้ามาให้ซูเจินจูยี่สิบพับ นางและสี่เสวี่ยก็ออกจากร้านผ้าและตรงไปที่ตลาดค้าทาส พ่อค้าทาสนำทาสชายที่เป็นวรยุทธ์ออกมาให้นางเลือกยี่สิบกว่าคน ซูเจินจูเลือกคนที่ดูสุภาพที่สุดมาสองคน จ่ายเงินหกสิบตำลึง เปลี่ยนชื่อให้ใหม่ว่า หลิวหยาง และ จางหมิ่น
หลิวหยางและจางหมิ่นเป็นชายฉกรรจ์วัยประมาณยี่สิบกลางๆ กริยาดูสุขุมเหมือนดั่งบัณฑิต ร่างกายกำยำแข็งแรง ครั้งแรกที่เห็นว่าผู้ที่มาซื้อตนเป็นเพียงเด็กหญิง ความสับสนไม่แน่ใจก็ปรากฏขึ้นในแววตา ต้องรู้ว่าเด็กสาววัยนี้นิยมซื้อสาวใช้หน้าตาดีเพื่อเตรียมออกเรือนพร้อมตนเสียมากกว่าสนใจชายหนุ่มอย่างพวกเขา
“บ่าวคารวะคุณหนูขอรับ”
“อืม ข้าเลือกพวกเจ้าสองคน เพราะเห็นว่าพวกเจ้าทั้งสองดูสุภาพ อยู่กับข้าไม่ได้มีกฏระเบียบมากมาย สิ่งที่เจ้าต้องจำให้ขึ้นใจคือ ซื่อสัตย์ ภักดี มีวินัย และห้ามนำเรื่องของข้าไปพูดกับผู้ใด หน้าที่ของพวกเจ้ามีสองอย่างหนึ่งคือดูแลข้ากับสี่เสวี่ย สองคือดูแลของทุกอย่างที่อยู่ในบ้าน เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจขอรับ”
“ดี พวกเจ้าขับรถม้าเป็นหรือไม่”
“ขับเป็นขอรับ” หลิวหยางและจางหมิ่นเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“ดี เช่นนั้นไปซื้อรถม้ากันก่อน”
หลังจากซื้อรถม้าธรรมดาในราคาห้าสิบตำลึง พวกซูเจินจูมาที่ร้านอาวุธ ซูเจินจูเดินดูอาวุธที่วางเรียงรายอยู่ก็สังเกตุว่าอาวุธในร้านนี้ไม่ใช่ของที่มีไว้ใช้งานจริง อาจเป็นเพราะในเมืองไม่สามารถพกอาวุธได้ อาวุธที่ขายอยู่จึงเหมาะกับการถือไปถือมาอวดกันของคุณชายในเมืองเสียมากกว่า พวกซูเจินจูจึงมาที่โรงหลอมเหล็กอู่จินชาง
“ท่านอา วันนี้ข้ามาซื้ออาวุธ มีที่ตีเสร็จแล้วหรือไม่เจ้าคะ”
“แม่หนูนี่เอง เจ้าอยากได้อะไรล่ะ หากเป็นกริชเงิน เจ้าคงต้องผิดหวังกลับไปเสียแล้ว”
“ดาบกับมีดสั้นเจ้าค่ะ”
“ถ้าเป็นดาบกับมีดสั้นก็ต้องมีให้เจ้าแน่นอน ตามข้ามาดูทางนี้เถอะ”
ซูเจินจูให้คนทั้งหมดตามเข้าไปด้วยเมื่อเห็นว่าข้างในมีอาวุธเรียงรายอยู่มากมายก็ ให้หลิวหยาง กับ จางหมิ่นเลือกอาวุธที่จับถนัดมือด้วยตนเอง และสอนสี่เสวี่ยเลือกมีดสั้น ซูเจินจูเองก็เลือกมีดสั้นของตนเองมาหนึ่งอันด้วย
“ท่านอา เมื่อสักครู่ข้าเห็นว่าบนโต๊ะด้านนอกมีเข็มเงินหนึ่งชุดหรือเจ้าคะ”
“ใช่แล้วแม่หนู เป็นของท่านหมอหลี่สั่งทำเอาไว้ เป็นของคุณภาพดีกว่าที่ขายในร้านข้างนอก อย่างที่เจ้ารู้ ฝีมือข้าดีนัก”
“ใช่เจ้าค่ะ ฝีมือท่านดียิ่งนัก ข้าเองก็อยากได้เข็มเงินสักชุด ไม่ทราบว่าท่านอายังสามารถทำตามแบบข้างนอกนั้นให้ข้าอีกสักชุดได้หรือไม่เจ้าคะ”
“โอ้ว เจ้าเองก็เรียนวิชาการรักษาหรือ” ฮุ่ยซิ่วทำหน้าประหลาดใจ พินิจพิจารณาซูเจินจูอยู่ครู่นึง เขาถูกชะตากับแม่หนูคนนี้ แต่ก็ไม่สามารถล่วงเกินแนะนำให้เลิกเรียนการรักษาได้ แต่หมอเป็นอาชีพที่สตรีไม่สามารถเรียนได้ หรือต่อให้เรียนก็ไม่มีใครยินดีให้สตรีตรวจรักษา
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ทำไว้เพื่อมอบให้ผู้อื่นเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็ได้ อีกสามวันเจ้าค่อยมารับของ ข้าจะทำให้เจ้าอย่างดีเลยทีเดียว”
หลังจากที่ทุกคนเลือกอาวุธเสร็จ ซูเจินจูก็จ่ายเงินค่าดาบเล่มละสิบตำลึง สองเล่ม มีดสั้นเล่มละแปดตำลึง สองเล่ม และเงินมัดจำเข็มเงินชุดละสามสิบตำลึง
หลังจากขึ้นรถม้ามา สี่เสวี่ยก็อดที่จะพูดพึมพำใส่ซูเจินจูได้ไม่“เข็มเงินร้านข้างนอกชุดละหกตำลึงเท่านั้นนะเจ้าคะคุณหนู”“ข้ารู้ แต่คุณภาพต่างกันมากนัก เข็มเงินของท่านอาฮุ่ยซิ่วทั้งตรง กลม และแหลมในขนาดที่สมส่วน ขนาดเข็มแต่ละเล่มก็มีความสั้นยาวสูงต่ำตามที่ข้าต้องการ หากไปซื้อร้านด้านนอก วันนึงก็ต้องกลับมาสั่งทำอยู่ดี เมื่อถึงวันนั้นต้นแบบก็ไม่มี ไม่รู้จะได้เข็มเงินที่ถูกใจเช่นนี้หรือไม่”“แต่ว่า คุณหนูใช้เงินจนจะหมดอีกแล้วนะเจ้าคะ เหลือเพียงหนึ่งร้อยสิบเอ็ดตำลึงเท่านั้น อีกทั้งกลับไปคราวนี้ยังต้องจ้างช่างเฉินมาทำสร้างห้องบ่าวไพร่ จะให้บ่าวไพร่มาอยู่ร่วมเรือนไม่ได้นะเจ้าคะ”“ข้ารู้แล้ว อย่างไรเสียช่วงนี้พวกเราก็ไม่ได้อยู่ สร้างก่อนสองห้อง สามวันก็คงเสร็จ”รถม้าพุ่งออกจากอำเภอเหอ แวะซื้อข้าวของจำเป็นที่ตำบลจางหนาน จ้างเกวียนเทียมวัวอีกหนึ่งคันเพื่อบรรทุกข้าวของ ก่อนมุ่งหน้าเข
เมื่อถึงบ้านชนบท ซูเจินจูเข้าไปทำลายผ้าทันที สี่เสวี่ยจัดการบอกกล่าวกฎระเบียบในบ้านให้ซินซียงทาสที่ซื้อมาใหม่ฟัง เมื่อเห็นว่าหลิวหยางและจางหมิ่นออกไปอยู่ที่เรือนชั้นนอกแล้ว ก็ให้ซินเซียงเข้าไปพักอยู่ห้องเดิมของทั้งสองคนก่อน ตรวจดูความเรียบร้อยในบ้านและในครัวแล้วเห็นว่าข้าวและธัชพืชเหลือเล็กน้อย จึงให้หลิวหยางเตรียมรถม้าและพาซินเซียงไปตลาดในตำบล สี่เสวี่ยซื้อชุดเครื่องนอนใหม่และผ้าฝ้ายสำหรับตัดชุดหนึ่งพับให้ซินเซียง ข้าวสาร ธัญพืช ผักดอง เกลือ น้ำตาล เพียงพอที่จะใช้ไปถึงสองเดือน สี่เสวี่ยจ่ายเงินสามตำลึงอย่างเจ็บปวดและยัดของทุกอย่างเข้าไปในรถม้า วันนี้คุณหนูไม่ได้มาด้วย นางไม่จำเป็นต้องจ้างเกวียนเทียมวัวเพิ่มเมื่อกลับมาถึงบ้าน แต่ละคนก็ต่างทำหน้าที่ของตนเอง สี่เสวี่ยไปวาดลายผ้าที่ลานหิน ซินเซียงเก็บข้าวของและเข้าครัวทำกับข้าว หลิวหยางตรวจตราบริเวณหน้าบ้านไม่ให้คนงานเข้ามาวุ่นวายที่เรือนชั้นใน จางหมิ่นตรวจตราบริเวณหลังบ้าน ดูแลสวนดอกหอมหมื่นลี้และดูแลซูเจินจูบริเวณลานหิน
คราแรกสี่เสวี่ยไม่ต้องการให้คุณหนูเลือกทาสที่ดูน่ากลัวผู้นี้ แต่คัดค้านความต้องการของคุณหนูไม่ได้ เมื่อฟังพ่อค้าทาสแล้วก็เบาใจขึ้นหลังจากจ่ายเงินสามสิบตำลึง สี่เสวี่ยไปซื้อรังผึ้งจากร้านชำบ้านไฉและพาเยว่ชิงออกเดินทางไปที่หมู่บ้านชนบททันทีซูเจินจูพาเฟยหลันมาที่ร้านผ้าซูเตี้ยน ให้นางเลือกชุดผ้าฝ้ายสำเร็จรูปสองชุดก็จะตรงไปที่โรงหลอมเหล็กอู่จินจาง“เจ้าเข้าไปเลือกอาวุธสักชิ้นเถอะ”“….”“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นวรยุทธ์ เข้าไปเลือกเถอะ”“คุณหนู เหตุใด...” นางแปลกใจ เฉพาะแผลเป็นบนใบหน้าก็ทำให้คนทั่วทั้งแคว้นรังเกียจนาง ผู้ที่ต้องการซื้อตัวนางล้วนเป็นบุรุษวัยกำดัด หากเป็นสตรีก็สตรีที่ชื่นชอบการเหยียบย่ำผู้อื่น แต่หากรู้ว่านางเป็นวรยุทธ์ก็จะยิ่งทรมานนางมากขึ้น ด้วยรู้นางไม่สามารถตอบโต้ได้ ก่อนหน้านี้นางถูกคุณหนูจวนแม่ทัพผิงซื้อตัวไป
“เด็กใหม่?”“ไม่ใช่ ... เด็กคนนี้คือคุณหนูเฟิงซือจู ลูกสาวของ คุณซือฉือกับคุณฟางเหนียง”“อ่อเด็กคนนั้น มีชื่อในใบสั่งตายแต่รอดชีวิตมาได้ เด็กกำพร้าวัยสองปีรึ เอามาไว้ที่ข้าเถอะ ข้าจะเลี้ยงให้เป็นนักฆ่าที่เก่งที่สุด”“มาอยู่แค่ชั่วคราวเท่านั้น ฝากเจ้าเลี้ยงไว้ที่นี่ก่อน ผู้สังหารต้องการฆ่าล้างครอบครัว หลังจากจัดการคนพวกนั้นได้ ค่อยส่งคุณหนูให้นายท่านเฟิงหม่าจู”“ถ้าฝากเลี้ยงแค่ชั่วคราวก็หาคนอื่นเถอะ”“เจ้า!!!”…....“คุณปู่ .. ทางนู้นมีทุ่งหญ้า แล้วก็มีดอกไม้เต็มไปหมด ภูเขาก็กว้างมากเลยค่ะ หลานชอบ” เด็กสาวตัวน้อยวิ่งมาด้วยรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจผู้มองพองโตเหมือนฤดูใบไม้ผลิ บรรยากาศรอบตัวอบอวลด้วยความสดใส มีชีวิตชีวา“ถ้าเจ้าชอบ เจ้าก็อยู่ที่นี่เถอะ ...” น้ำเสียงเจือความลำบากใจของเฟิงหม่าจูเอ่ยขึ้น พลันทำให้ผู้ติดตามก้มหน้ามองพื้นด้วยความสงสารเด็กน้อยที่ต้องตัดขาดจากโลกภายนอกด้วยวัยเพียง 4 ปี“นายท่าย ท่านหมอเหวิงและท่านหมอหยางมาถึงแล้วครับ”“นายท่าน ครูฝึกเซียวมาถึงแล้วครับ”“นายท่าน พ่อบ้าน แม่นม คนรับใช้ และผู้ดูแลทั้งหมด หนึ่งร้อยแปดชีวิตเข้าประจำที่คฤหาสน์ของตระกูลเฟิงเรียบร้อยแล้วคร
โอ้ย.. เจ็บหัว เจ็บหน้าผาก ทำไมเจ็บที่หน้าผากล่ะ??? อ่า จำได้ว่าตอนที่ขับเครื่องบินชมวิวอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย ระหว่างข้ามน้ำตกไนแองการ่าฉันถูกตีที่ท้ายทอย ผู้ชายคนนั้น อดีตนายตำรวจใหญ่บิดาของจางเหว่ยซ่อนตัวอยู่บนเครื่องบิน กลับมาล้างแค้นสินะ หึหึ สุดท้ายก็ต้องตายด้วยน้ำมือฉันอยู่ดี สิบกว่าปีก็ยังคงรอคอยเพื่อแก้แค้นฉัน ทำอะไรฉันตอนอยู่ในประเทศจีนไม่ได้ก็ลอบติดตามมาทำร้ายฉันถึงแคนนาดา ยอมแลกชีวิตเพื่อแก้แค้นให้ลูกสาวเพียงคนเดียวที่ถูกฉันเฉือนเนื้อเถือกระดูกคนนั้น..ฮ่าๆ ฉันรอดชีวิต ตกมาจากความสูงขนาดนั้น ตกลงมากลางมหาสมุทร นี่ฉันรอดมาได้ยังไงนะ หรือว่าลอยมาติดเกาะ?ขณะที่เฟิงซือจูลืมตาลำแสงสีส้มยามเย็นลอดผ่านขอบหน้าต่างเข้ามา ยังไม่ทันสังเกตสถานที่นี้ให้ชัด ความเจ็บปวดรุนแรงที่ศรีษะก็ถาโถมเข้ามา เมื่อทนความเจ็บปวดไม่ไหวก็สลบไปอีกครั้งจวบจนเช้าอีกวัน เมื่อเฟิงซือจูลืมตาขึ้นก็ต้องประหลาดใจกับสถานที่ตรงหน้า ที่นี่ที่ไหน ไม่ใช่โรงพยาบาลเหรอ นั่น นั่น! โต๊ะเครื่องแป้งแบบโบราณ? ชุดโต๊ะไม้แดงกลางห้อง? ตู้เสื้อผ้าแบบเตี้ยสองบานพับ? เชิงเทียนรูปทรงแปลกๆนั่น? … นี่มันเฟอร์นิเจอร์จีนโบราณเหรอ แม่เจ
คำพูดทั้งหมดของหลินเฮงฉวนนั้นถูกส่งต่ออย่างครบถ้วน แต่คนฟังนั้นไม่ใช่ซูเจินจู แต่เป็นนายท่านซูเป่า“มันขู่ข้า มันขู่จะเอาร้านผ้ามาเปิดแข่งกับข้า เจ็บใจนักเพราะนังลูกอัปรีย์ ทำให้พวกมันขึ้นมาเหยียบบนหัวข้าแล้ว” เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความโกรธทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ“ท่านพี่ อย่าโกรธขนาดนี้เลยเจ้าค่ะ รักษาสุขภาพด้วย เจ้าเองก็เหมือนกันหนี่ย์เอ๋อร์ เรื่องพวกนี้บอกพ่อเจ้าได้เหรอ จะให้พ่อเจ้าโกรธตายรึยังไง” ฮูหยินซูเข้าไปปลอบสามีด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆ แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยเห็นนายท่านซูโกรธขนาดนี้“เจ้าสิตาย ปากเจ้าใหญ่แค่ไหนถึงกล้ามาแช่งข้า เพราะหนี่ย์เอ๋อรู้ความถึงได้บอกข้า ไม่บอกแล้วข้าจะรู้เหรอว่าไอ้จวนนายอำเภอมันตั้งใจจะเหยียบหัวข้า ทำการค้ามาตั้งกี่ปี จ่ายให้พวกมันไปตั้งเท่าไหร่ หนังเสือยังไม่ทันส่งเข้าเมืองหลวงก็ต้องส่งเข้าจวนนายอำเภอก่อนมันยังกล้าขู่ข้าขนาดนี้ อัปรีย์ ไอ้พวกอัปรีย์!! ไป ไปตามอาจูมา ข้าต้องถามนางให้รู้เรื่อง” ทำการค้ามาหลายปีจะมายอมขาดทุนแบบนี้ไม่ได้ กว่าจะเลี้ยงซูเจินจูมาหมดเงินไปตั้งเท่าไหร่ แต่งงานมีหน้ามีตาไม่ได้ ก็ต้องแต่งได้เส้นสาย แต่งเงินแต่งทองไม่ได้ก็ต้
ซูเจินจูออกจากบ้านตระกูลซูมาพร้อมสี่เสวี่ยตรงเข้าไปที่ “ร้านผ้าซูเตี้ยน”“คุณหนูสี่มาแล้ว” หลงจู๊ออกมาตอนรับซูเจินจูอย่างคุ้นเคย น้ำเสียงเจือความห่วงใย หลงจู๊ผู้นี้ทำงานอยู่ที่ร้านผ้าซูเตี้ยนมาตั้งแต่เริ่มเปิดร้านใหม่ๆ ได้รับความไว้ใจจากนายท่านผู้เฒ่าซูมาก ยิ่งเห็นซูเจินจูมาตั้งแต่เกิดจนโต ได้ยินข่าวเสียหายที่เพิ่งเกิดขึ้นแล้วยิ่งเป็นห่วงคุณหนูผู้นี้จากใจจริง“ทำให้ท่านลุงฝูเป็นห่วงแล้ว”“คุณหนูรีบเข้าไปข้างในก่อนเถอะขอรับ” หลงจู๊พยายามพูดให้ซูเจินจูเข้าไปด้านในให้ได้ ด้วยเห็นสายตาจากหลายๆคนมองมาที่ซูเจินจูอย่างอยากรู้อยากเห็น เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนนายอำเภอได้ถูกเล่าลือออกไปอย่างกว้างขวาง แต่ซูเจินจูกลับเพียงยืนนิ่งๆอยู่ตรงนั้นสักพัก หลังทักทายกันอีกสองสามประโยค ซูเจินจูจึงขอตัวเข้าไปดูเอกสารที่ห้องทำงานบนชั้นสองร้านผ้าซูเตี้ยนเป็นร้านผ้าที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของอำเภอเหอ ขายผ้าพับและเสื้อคลุมขนสัตว์ผ้าพ
เดือนละสิบตำลึง ปีนึงจะได้หนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง หกปีก็จะมีเจ็ดร้อยยี่สิบตำลึง ในหีบนี้เหลือเงินห้าร้อยตำลึง หักจากที่นางสั่งทำอุปกรณ์ทำผ้าห้าตำลึง ซื้อกริชเงินสี่สิบตำลึง เจินจูคนเก่านับได้ว่าประหยัดจริงๆอืม... ปิ่นเงินแปดอัน ปิ่นทองหกอัน ปิ่นหยกสี่อัน ชุดเครื่องประดับเงินสองชุด ชุดเครื่องประดับทองสองชุด ต่างหูหยกหนึ่งคู่ ต่างหูปะการังแดงหนึ่งคู่เอ๊ะ!! เสื้อคลุมขนจิ้งจอกแดง“ปิ่นเงินหนึ่งอัน ปิ่นหยกหนึ่งอัน ต่างหูหยกหนึ่งคู่ เอาไว้เท่านี้พอ ที่เหลือเจ้าเอาไปขายซะ” ยิ่งคิดก็ยิ่งเข้าท่า ของพวกนี้มีไว้นางก็ไม่ได้ใช้ ไม่สู้เปลี่ยนเป็นเงินเตรียมไว้ดีกว่า“ไม่ได้นะเจ้าคะคุณหนู!!!! ของพวกนี้ต้องเก็บไว้เป็นสินเดิม หากคุณหนูแต่งงานออกไปแล้วไม่มีสินเดิมจะถูกครอบครัวฝ่ายชายรังแกเอานะเจ้าคะ” สี่เสวี่ยตกใจกับท่าที่ของคุณหนูของนาง ตั้งแต่ชนเสาคราวนั้นคุณหนูของนางก็ดูเปลี่ยนไป ถึงแม้ว่าจะยังใจดีกับนาง แต่ท่าทางเฉยเมยตลอดเวลานั้นก็ราวกับเป็
คราแรกสี่เสวี่ยไม่ต้องการให้คุณหนูเลือกทาสที่ดูน่ากลัวผู้นี้ แต่คัดค้านความต้องการของคุณหนูไม่ได้ เมื่อฟังพ่อค้าทาสแล้วก็เบาใจขึ้นหลังจากจ่ายเงินสามสิบตำลึง สี่เสวี่ยไปซื้อรังผึ้งจากร้านชำบ้านไฉและพาเยว่ชิงออกเดินทางไปที่หมู่บ้านชนบททันทีซูเจินจูพาเฟยหลันมาที่ร้านผ้าซูเตี้ยน ให้นางเลือกชุดผ้าฝ้ายสำเร็จรูปสองชุดก็จะตรงไปที่โรงหลอมเหล็กอู่จินจาง“เจ้าเข้าไปเลือกอาวุธสักชิ้นเถอะ”“….”“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นวรยุทธ์ เข้าไปเลือกเถอะ”“คุณหนู เหตุใด...” นางแปลกใจ เฉพาะแผลเป็นบนใบหน้าก็ทำให้คนทั่วทั้งแคว้นรังเกียจนาง ผู้ที่ต้องการซื้อตัวนางล้วนเป็นบุรุษวัยกำดัด หากเป็นสตรีก็สตรีที่ชื่นชอบการเหยียบย่ำผู้อื่น แต่หากรู้ว่านางเป็นวรยุทธ์ก็จะยิ่งทรมานนางมากขึ้น ด้วยรู้นางไม่สามารถตอบโต้ได้ ก่อนหน้านี้นางถูกคุณหนูจวนแม่ทัพผิงซื้อตัวไป
เมื่อถึงบ้านชนบท ซูเจินจูเข้าไปทำลายผ้าทันที สี่เสวี่ยจัดการบอกกล่าวกฎระเบียบในบ้านให้ซินซียงทาสที่ซื้อมาใหม่ฟัง เมื่อเห็นว่าหลิวหยางและจางหมิ่นออกไปอยู่ที่เรือนชั้นนอกแล้ว ก็ให้ซินเซียงเข้าไปพักอยู่ห้องเดิมของทั้งสองคนก่อน ตรวจดูความเรียบร้อยในบ้านและในครัวแล้วเห็นว่าข้าวและธัชพืชเหลือเล็กน้อย จึงให้หลิวหยางเตรียมรถม้าและพาซินเซียงไปตลาดในตำบล สี่เสวี่ยซื้อชุดเครื่องนอนใหม่และผ้าฝ้ายสำหรับตัดชุดหนึ่งพับให้ซินเซียง ข้าวสาร ธัญพืช ผักดอง เกลือ น้ำตาล เพียงพอที่จะใช้ไปถึงสองเดือน สี่เสวี่ยจ่ายเงินสามตำลึงอย่างเจ็บปวดและยัดของทุกอย่างเข้าไปในรถม้า วันนี้คุณหนูไม่ได้มาด้วย นางไม่จำเป็นต้องจ้างเกวียนเทียมวัวเพิ่มเมื่อกลับมาถึงบ้าน แต่ละคนก็ต่างทำหน้าที่ของตนเอง สี่เสวี่ยไปวาดลายผ้าที่ลานหิน ซินเซียงเก็บข้าวของและเข้าครัวทำกับข้าว หลิวหยางตรวจตราบริเวณหน้าบ้านไม่ให้คนงานเข้ามาวุ่นวายที่เรือนชั้นใน จางหมิ่นตรวจตราบริเวณหลังบ้าน ดูแลสวนดอกหอมหมื่นลี้และดูแลซูเจินจูบริเวณลานหิน
หลังจากขึ้นรถม้ามา สี่เสวี่ยก็อดที่จะพูดพึมพำใส่ซูเจินจูได้ไม่“เข็มเงินร้านข้างนอกชุดละหกตำลึงเท่านั้นนะเจ้าคะคุณหนู”“ข้ารู้ แต่คุณภาพต่างกันมากนัก เข็มเงินของท่านอาฮุ่ยซิ่วทั้งตรง กลม และแหลมในขนาดที่สมส่วน ขนาดเข็มแต่ละเล่มก็มีความสั้นยาวสูงต่ำตามที่ข้าต้องการ หากไปซื้อร้านด้านนอก วันนึงก็ต้องกลับมาสั่งทำอยู่ดี เมื่อถึงวันนั้นต้นแบบก็ไม่มี ไม่รู้จะได้เข็มเงินที่ถูกใจเช่นนี้หรือไม่”“แต่ว่า คุณหนูใช้เงินจนจะหมดอีกแล้วนะเจ้าคะ เหลือเพียงหนึ่งร้อยสิบเอ็ดตำลึงเท่านั้น อีกทั้งกลับไปคราวนี้ยังต้องจ้างช่างเฉินมาทำสร้างห้องบ่าวไพร่ จะให้บ่าวไพร่มาอยู่ร่วมเรือนไม่ได้นะเจ้าคะ”“ข้ารู้แล้ว อย่างไรเสียช่วงนี้พวกเราก็ไม่ได้อยู่ สร้างก่อนสองห้อง สามวันก็คงเสร็จ”รถม้าพุ่งออกจากอำเภอเหอ แวะซื้อข้าวของจำเป็นที่ตำบลจางหนาน จ้างเกวียนเทียมวัวอีกหนึ่งคันเพื่อบรรทุกข้าวของ ก่อนมุ่งหน้าเข
“พวกท่านให้บ่าวไปตามข้า มีอะไรหรือเจ้าคะ” ซูเจินจูเบื่อที่จะต้องเสแสร้งพูดจาสามส่วนเช่นนี้ นางอยากจะถามตั้งแต่ประโยคแรกที่มาถึงแล้วว่าเรียกนางมาทำไม นางไม่เข้าใจเหตุใดวาจาสามส่วนพูดอ้อมเจ็ดส่วนพวกนี้ถึงได้เป็นที่นิยมนัก“ข้าเพียงมาบอกเจ้าว่า พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปสอบก่งเซิ่น” เรื่องพวกนี้ต้องให้เขาเตือนด้วยหรือ นางที่จะเป็นเป็นสตรีของเขา เหตุใดจึงไม่ปักรองเท้าให้เขาเล่า ไม่ใช่ว่าเป็นที่รู้กันอยู่แล้วหรือว่ายามบุรุษไปสอบเคอจวี่ ต้องให้รองเท้าเป็นความหมายว่าให้เดินทางปลอดภัย หากการเย็บปักของนางไม่ดี อย่างน้อยเพียงผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนเพื่อเป็นความหมายว่านางรอเขากลับมาก็ควรต้องมีใช่หรือไม่ หรือนางต้องการใช้โอกาสนี้สนิทสนมกับไฉตงชุน จึงได้ทำเช่นนี้“อ่อ เช่นนั้นข้าขออวยพรให้ท่านเดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ” เอ้า ก็แค่ไปสอบ จะต้องมาบอกด้วยหรือ“เจินจูเอ๋อร์ เจ้าเสียมารยามใส่คุณชายหลินอีกแล้ว ดูน้องสาวคนนี้ของหนี่ย์เอ๋อร์สิเจ้าคะ จะเข้าไปเป็นสตรีของคุณชายอยู่แล้วยังขาดการ
ซูเจินจูที่คุยกับฮูหยินรองจนหมดแรงเดินกลับมาที่เรือนก็เห็นว่าสี่เสวี่ยเตรียมข้าวของไว้เรียบร้อยแล้ว และยังไม่ลืมที่จะเตรียมเบาะรองนั่งอย่างดีไว้ให้นางถึงสี่ใบ“คุณหนูของที่ต้องเตรียมจากที่เรือนนี้ บ่าวเตรียมครบแล้วเจ้าค่ะ แต่ที่บ้านของคุณหนูไม่มีทั้งเครื่องเรือนแล้วครื่องครัว คุณหนูจะอยู่ลำบากเกินไปหรือไม่เจ้าคะ”“พรุ่งนี้ระหว่างทางก็แวะร้านค้าในตำบลเสียหน่อย ซื้อเครื่องนอนสองชุด ตะเกียงสี่ชุด เครื่องครัวก็ตามที่เจ้าเห็นสมควร ข้าวสาร ธัญพืชอีกเล็กน้อย แล้วก็แวะ
เมื่อไปถึงหมู่บ้านจั๋วมู่ ซูเจินจูพาหัวหน้าหมู่บ้านจั๋วมู่กับชาวบ้านอีกสามคนขึ้นไปดูต้นไม้ที่นางต้องการ“กลิ่นดอกไม้ที่เราได้กลิ่นกันมาจากต้นไม้พวกนี้หรือ” หลังจากที่มาถึงที่ กลิ่นหอมอบอวนทำให้ชาวบ้านแปลกใจ ใจนึงก็คิดว่าหากเป็นกลิ่นดอกไม้พวกนี้แล้วนางขุดไป ต่อไปจะไม่มีคนมาชมดอกไม้ที่หมู่บ้านอีกเป็นแน่“ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะท่านลุง กลิ่นพวกนี้เป็นกลิ่นจากดอกเหมยด้านล่างรวมกับกลิ่นความชื้นของป่าที่สมบูรณ์แห่งนี้เจ้าค่ะ แต่หากว่ามีคนขึ้นมาบนนี้บ่อยๆ ต้นไม้และเถาวัลย์ถูกเหยียบย่ำก็จะทำให้กลิ่นของดอกเหมยลอยออกไป ไม่ติดค้างอยู่ที่ที่เจ้าค่ะ ท่านลุงลองดมกลิ่นหญ้าพวกนี้สิเจ้าคะ หญ้าพวกนี้ก็มีกลิ่นเช่นเดียวกัน” ซุเจินจูไม่สามารถพูดความจริง หากนางบอกความจริงคนพวกนี้ไม่มีทางให้นางขุดต้นไม้พวกนี้แน่ นางทำได้พียงหาข้ออ้างที่แม้แต่นางก็ยังรู้สึกไม่น่าเชื่อ ก็ได้แต่ภาวนาในใจว่า หวังว่าท่านลุงทั้งหลายจะเชื่อข้านะเจ้าคะ“เป็นอย่างที่เจ้าว่า เห็นทีว่าไม่ว่าอะไรที่อยู่ตรงนี้
“คุณชายหลินกลับไปแล้วหรือเจ้าคะ” สี่เสวี่ยที่เห็นซูเจินจูเดินเข้าเรือนมาก็รีบออกมาหาทันที“กลับไปแล้ว สี่เสวี่ยเจ้าไปเอาเงินข้าออกมานับเร็ว ดูสิว่าข้าเหลือเงินเท่าไหร่”“นับเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ วันนี้คุณหนูซื้อที่ดินสองร้อยตำลึง ให้ลุงหวังสิบตำลึง มัดจำค่าปลูกบ้านสามร้อยตำลึง ค่ารถม้าสามร้อยอีแปะ ซาลาเปายี่สิบลูกแปดสิบอีแปะ ขนมร้านเสี่ยวซือกวงสองตำลึง บะหมี่ของคุณหนูสองชามของบ่าวหนึ่งชาม สิบห้าอีแปะ คุณหนูจะเหลือเงิน สามร้อยเก้าสิบห้าตำลึงกับหกร้อยสิบห้าอีแปะเจ้าค่ะ บ่าวแบ่งเงินที่ต้องจ่ายช่างเฉินออกมาอีก สองร้อยเจ็ดสิบห้าตำลึง คุณหนูจะเหลือเงินหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงกับหกร้อยสิบห้าอีแปะเจ้าค่ะ”“สี่เสวี่ย ต่อไปข้าคงต้องพึ่งพาฝีมือวาดรูปของเจ้า ให้เลี้ยงดูข้าเสียแล้ว” นางฟังที่สี่เสวี่ยเจื้อยแจ้วจัดการบัญชีให้นางดูเหมือนผู้จัดการตัวน้อย ทุกครั้งที่เงินในหีบนี้ลดลง สีหน้าของสี่เสวี่ยดูเจ็บปวดมากกว่านางที่เป็นเจ้าของเงินเสียอีก“หากคุณห
เมื่อถึงวันนัด อิงเถากลับมารายงานซูหนี่ย์ว่าซูเจินจูออกจากบ้านไปตั้งแต่ยามเฉิน ไม่มีใครรู้ว่าไปที่ใด ซูหนี่ย์ก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่ออกไปพบคุณชายหลินเพียงลำพังด้านซูเจินจูที่ออกจากบ้านมานั้น นางออกจากอำเภอเหอ ผ่านตำบลจี๋หลง และตำบลจ้างหนาน จนถึงหมู่บ้านซานหมู่บ้านซานเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่มีคนอาศัยอยู่เพียงห้าสิบหลังคาเรือน พื้นดินแห้งแล้งทำให้ปลูกพืชผักได้น้อยกว่าหมู่บ้านอื่น จึงไม่ค่อยมีคนนอกหมู่บ้านเข้ามาวุ่นวาย เป็นตัวเลือกที่ดีของนางซูเจินจูเข้าไปพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้าน แจ้งความต้องการว่าต้องการซื้อที่ดิน หลังการสอบถามจนแน่ใจว่าพวกนางจะไม่เป็นอันตรายต่อคนในหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านก็พาพวกนางมาวัดที่ดินที่ว่างอยู่ท้ายหมู่บ้าน ที่ดินตรงนี้ด้านหน้าติดถนน รถม้าเข้าออกสะดวกด้านหลังลากยาวไปจนติดภูเขา ถัดไปอีกสิบจั้งก็เป็นลำธาร ติดตรงที่พื้นที่ตรงนี้กว้างถึงห้าสิบหมู่ ในตอนแรกซูเจินจูค่อนข้างลำบากใจถ้าหากต้องซื้อที่กว้างขนาดนี้ นางกลัวว่าเงินที่นางมีอยู่จะไม่พอ แต่
“เอ่อ.. เป็นตระกูลไฉ มาขอหมั้นคุณหนูสี่ให้นายน้อยไฉตงชุนเจ้าค่ะ” อิงชุ่ยพูดเสียงเบาด้วยรู้ว่าคุณหนูใหญ่เกลียดคุณหนูสี่ และยังไม่สามารถวางอุบายรังแกนางได้สำเร็จสักครั้ง“เจ้าว่าอะไรนะ ขอหมั้นนังจิ้งจอกนั่น!! นังแพศยา เตียงคุณชายหลินรออยู่ข้างหน้ายังกล้าให้ท่าบุรุษอื่นเชียวรึ” เหอๆ นังตัวดี คราวนี้เจ้าไม่รอดแน่ หากคุณชายหลินรู้ เจ้าไม่มีทางชูคออยู่บนเตียงได้แน่ และถ้าหากนายน้อยไฉรู้ว่าเจ้ามีค่าเพียงสาวใช้อุ่นเตียงก็อย่าหวังเลยว่าเจ้าจะเป็นแต่งเข้าไปเป็นฮูหยินฮูหยินซูก็ไม่ทำให้ลูกสาวสุดที่รักอย่างซูหนี่ย์ต้องผิดหวัง คนเราหากหวังดีปฏิเสธแม่สื่ออ้อมๆก็ยังพอรักษาหน้า แต่คนอย่างฮูหยินซู มีช่องให้ทำลายซูเจินจูมีหรือจะไม่ทำ เล่าวีรกรรมซูเจินจูที่เข้าไปให้ท่าคุณชายหลินถึงในจวนนายอำเภอ ออกอุบายให้คุณชายหลินทำลายชื่อเสียงตน ร้องขอขึ้นเป็นฮูหยินตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อนทั้งที่พิ่งจะอายุสิบสามปี เพราะความอิจฉาที่คุณชายหลินมีใจให้ซูหนี่ย์ คุณชายหลินทั้งสงสารทั้งรู้สึกผิดจึงเขียนสัญญาจะรับนางเข้าจวนไ