หลังจากขึ้นรถม้ามา สี่เสวี่ยก็อดที่จะพูดพึมพำใส่ซูเจินจูได้ไม่
“เข็มเงินร้านข้างนอกชุดละหกตำลึงเท่านั้นนะเจ้าคะคุณหนู”
“ข้ารู้ แต่คุณภาพต่างกันมากนัก เข็มเงินของท่านอาฮุ่ยซิ่วทั้งตรง กลม และแหลมในขนาดที่สมส่วน ขนาดเข็มแต่ละเล่มก็มีความสั้นยาวสูงต่ำตามที่ข้าต้องการ หากไปซื้อร้านด้านนอก วันนึงก็ต้องกลับมาสั่งทำอยู่ดี เมื่อถึงวันนั้นต้นแบบก็ไม่มี ไม่รู้จะได้เข็มเงินที่ถูกใจเช่นนี้หรือไม่”
“แต่ว่า คุณหนูใช้เงินจนจะหมดอีกแล้วนะเจ้าคะ เหลือเพียงหนึ่งร้อยสิบเอ็ดตำลึงเท่านั้น อีกทั้งกลับไปคราวนี้ยังต้องจ้างช่างเฉินมาทำสร้างห้องบ่าวไพร่ จะให้บ่าวไพร่มาอยู่ร่วมเรือนไม่ได้นะเจ้าคะ”
“ข้ารู้แล้ว อย่างไรเสียช่วงนี้พวกเราก็ไม่ได้อยู่ สร้างก่อนสองห้อง สามวันก็คงเสร็จ”
รถม้าพุ่งออกจากอำเภอเหอ แวะซื้อข้าวของจำเป็นที่ตำบลจางหนาน จ้างเกวียนเทียมวัวอีกหนึ่งคันเพื่อบรรทุกข้าวของ ก่อนมุ่งหน้าเข้าหมู่บ้านซาน
เมื่อมาถึงที่บ้านก็ให้สี่เสวี่ยบอกกล่าว ดูแล และจัดการเรื่องในบ้าน ส่วงซูเจินจูเดินไปหาหัวหน้าหมู่บ้านหวังที่เรือน
“ท่านลุงหวัง อยู่บ้านหรือไม่เจ้าคะ”
“แม่หนูเจินจูหรือ อยู่ๆ ข้าอยู่บ้าน เจ้าขนของย้ายเข้าบ้านหรือ มาๆเข้ามาข้างในก่อน”
“ข้ายังไม่ย้ายมาเจ้าค่ะ แต่พาคนมาอยู่ที่เรือนก่อน วันนี้ข้ามารบกวนลุงหวังแจ้งข่าวช่างเฉินให้หน่อยเจ้าค่ะ ข้าต้องการสร้างเรือนเพิ่ม”
“ได้ๆ พรุ่งนี้ข้าจะให้เขาเข้ามาหาเจ้า”
“ข้าต้องกลับเข้าเมืองวันนี้ ไม่สามารถอยู่รอช่างเฉินได้เจ้าค่ะ ข้าเพียงฝากลุงหวังแจ้งช่างเฉินว่า ข้าต้องการสร้างห้องบ่าวไพร่ที่เรือนชั้นนอกฝั่งขวา สิบห้าห้องเจ้าค่ะ เมื่อคราวก่อนข้าได้คุยกับช่างเฉินไว้แล้ว หากติดขัดตรงไหนให้คุยกับคนของข้าที่อยู่ที่เรือนได้เลยเจ้าค่ะ”
“เป็นเรื่องง่าย ข้าจะแจ้งเขาให้”
“นี่เป็นตั๋วเงินแปดสิบตำลึง ข้าฝากท่านให้ช่างเฉินด้วยเจ้าค่ะ”
“แม่หนู เฮ้อ ข้าน่ะอยากจะเตือนเจ้าไว้ การฝากเงินจำนวนมากถึงเพียงนี้ไว้กับผู้อื่นไม่ใช่เรื่องที่ควรทำเลย ต่อไปเรื่องเงินเรื่องทองเจ้าละเอียดมากกว่านี้หน่อยเถอะ”
“ข้าทราบเจ้าค่ะ แต่ลุงหวังดีกับข้ามาก เป็นธุระจัดการเรื่องราวให้ข้ามากมายนัก หากไม่มีท่านข้าคงซื้อที่ดินดีๆแบบนี้ไม่ได้ ไหนจะออกหน้าพาข้าไปซื้อต้นไม้ เงินทองอะไรก็ปฏิเสธข้าเสียหมด หากข้ายังคิดเล็กคิดน้อยไม่ไว้ใจท่านแม้แต่เงินจำนวนเท่านี้ ข้าคงต้องละอายใจไม่กล้าสู้หน้าใครแล้วเจ้าค่ะ”
“ฮ่าๆ แม่หนู เจ้าช่างปากหวานกับคนแก่อย่างข้า เอาเถอะๆ ข้าจะจัดการให้ ไม่ต้องเป็นห่วง”
หลังจากกลับมาจากบ้านหัวหน้าหมูบ้านหวัง สี่เสวี่ยก็มารายงานว่านางให้หลิวหยางและจางหมิ่นนอนห้องเดียวกันไปก่อน และบอกสิ่งที่ต้องทำ ต้องดูแลสิ่งใดบ้าง อาหารต่างๆอยู่ที่ใดอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะเรื่องอาหารที่นางย้ำหนักหนาว่าคุณหนูไม่เคยหวงอาหาร นางต้องการให้ทุกคนกินให้อิ่ม อยู่กับนางไม่อนุญาตให้มีผู้ใดอดอยาก
ซูเจินจูให้หลิวหยางเตรียมม้าเพื่อกลับเข้าอำเภอ และกำชับกับทั้งสองว่า พรุ่งนี้ช่างเฉินจะมาสร้างห้องฝั่งเรือนชั้นนอก ให้กำชับช่างเฉินสร้างห้องของพวกเขาสองคนให้เสร็จภายในสามวันและอีกสามวันนางจะกลับเข้ามา
เมื่อกลับมาถึงบ้านในอำเภอเหอ ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย และเสียงร่ำไห้ออกมาเป็นระยะๆ ซูเจินจูคาดว่าฮูหยินใหญ่มีเรื่องกับอนุลั่วเยี่ยน จึงเดินเลี่ยงโถงหน้าเดิมอ้อมสวนมาเข้าเรือนของตน แต่เมื่อเข้าเรือนมากลับเจอมารดาของนางนั่งจิบชากินขนมอยู่ในห้อง
“คารวะท่านแม่ มาที่เรือนข้ามีอันใดหรือเจ้าคะ”
“มารยาทเจ้าชักจะต่ำทรามลงทุกที ไม่เคยมีผู้ใดสอนเจ้าหรือว่าคำถามมากมายให้เก็บไว้ในใจ หากข้ามีธุระคุยกันไปสักพักข้าจะเกริ่นให้เจ้าถามเอง”
“ท่านแม่ เหตุใดต้องทำให้ยุ่งยากถึงเพียงนั้น อย่างไร เราสองคนก็เป็นบุตรีกับมารดา หากท่านมีธุระ ไม่สู้รีบพูดออกมา ข้าเป็นสิ่งที่ข้าช่วยได้ ไหนเลยจะไม่ช่วยละเจ้าคะ”
“เงินในหีบเจ้าไปไหนหมด”
“เงินของข้า ไม่ได้เก็บไว้ในหีบแล้วเจ้าค่ะ”
“แล้วเงินเจ้าเอาไปเก็บไว้ที่ใด”
“ข้าเก็บไว้อย่างดีเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้แล้วว่าเจ้าเก็บไว้อย่างดี แต่ข้าถามเจ้าว่าเก็บไว้ที่ใด”
“ท่านแม่ต้องการเงินหรือเจ้าคะ”
“อาจู เจ้าเสียมารยาทถามข้าเช่นนี้ได้อย่างไร”
“ท่านแม่ ข้าเพียงถามเท่านั้นเจ้าค่ะ หากท่านต้องการเงิน ต่อไปนี้เงินเดือนสิบตำลึงของข้า ข้าจะยกให้ท่าน”
“เอาตามเจ้าว่าเถอะ อืม ข้าเห็นว่าในหีบมีปิ่นทองกับจดหมาย เป็นของคุณชายหลินหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ คุณชายหลินให้ข้ามาก่อนออกเดินทางไปเมืองหลวง”
“เช่นนั้นเจ้าก็เก็บไว้ให้ดี ต่อไปเมื่อเขามาที่บ้านเจ้าก็ปักปิ่นให้เขาดู เห็นทีว่าคุณชายหลินคงหลงเสน่ห์เจ้าเข้าแล้ว อีกหน่อยเวลาเจ้าต้องการใช้เงินก็ไปขอคุณชายหลิน เอาใจสักนิดสักหน่อย จะสิบตำลึงยี่สิบตำลึงก็คงได้มาง่ายๆ”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
“รีบยั่วยวนคุณชายหลินให้ตกเป็นของเจ้าให้ได้ ต่อไปจะร้อยตำลึงสองร้อยตำลึงหากเจ้าอยากได้คุณชายหลินก็ต้องนำมาให้เจ้า คุณชายหลินอนาคตไกลนักต่อไปเจ้าจะได้ไม่ต้องตกระกำลำบาก”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้าพักผ่อนเถอะ ต่อไปก็ไม่ต้องไปรับเงินแล้ว ข้าจะไปรับเงินแทนเจ้าเอง”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
มี่ซิ่นที่เห็นว่าซูเจินจูช่างว่านอนสอนง่ายอีกทั้งเงินเดือนสิบตำลึงยังยกให้นางก็คร้านจะดุด่าให้มากความเดินออกจากเรือนของซูเจินจูไปอย่างอารมณ์ดี
“คุณหนู เหตุใดรับคำง่ายๆเช่นนั้นละเจ้าคะ”
“เพราะข้าเป็นลูกกตัญญูยังไงเล่า แค่คำตอบรับง่ายๆก็ทำให้ท่านแม่มีความสุขได้ แล้วยังออกจากห้องข้าไปง่ายๆไม่ซักไซ้เรื่องเงินอีกด้วย”
“แต่รับคำแล้ว ไม่ทำได้หรือเจ้าคะ”
“ได้สิ การที่ข้ารับคำหมายความว่าข้าได้รับรู้สิ่งที่นางต้องการบอกข้าแล้ว ส่วนจะทำหรือไม่ นางไม่รู้หรอก”
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูจะให้บ่าวทำบัญชีของวันนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ”
“เอาไว้ก่อน ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าไปเตรียมน้ำเถอะ”
วันถัดมา สี่เสวี่ยวิ่งเข้ามาหาซูเจินจูพูดจาติดๆขัดๆ หน้าซีดจนซูเจินจูตกใจ กว่าจะปลอบให้สงบได้ก็ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งเค่อ
“เกิดอะไรขึ้น ค่อยๆเล่าเถอะ ร้อนรนถึงเพียงนี้ข้าฟังไม่รู้เรื่อง”
“พี่เหลียนฮัว บ่าวของคุณหนูรองถูกคนของฮูหยินตีจนตายแล้วเจ้าค่ะ ศพถูกโยนทิ้งไว้ที่สุสานไร้ญาตินอกเมือง ส่วนคุณหนูรองถูกฮูหยินสั่งกักบริเวณเจ้าค่ะ”
“ไอหย๋า ตีจนตายเลยรึ ไหนๆ เจ้าเล่าต่อสิ”
“เมื่อวานคุณหนูรองกับพี่เหลียนฮัวไปหานายน้อยไฉที่ร้านชำเจ้าค่ะ แต่คนงานบอกว่านายน้อยไฉไม่อยู่ คุณหนูรองไม่เชื่อ แต่นายน้อยไฉไม่อยู่จริงๆจึงคร้านจะห้ามนาง ปล่อยให้นางเข้าไปนั่งรอนายน้อยไฉด้านในห้อง อันที่จริงแค่นั่งรอเฉยๆก็ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ แต่พี่เหลียนฮัวไม่รู้ว่าไปซื้อธูปราคะปลุกกำหนัดจากที่ใด นำไปจุดไว้ในห้องทำงานของนายน้อยไฉเพราะคิดว่านายน้อยไฉคงแอบอยู่ในห้อง แต่ห้องทำงานของนายน้อยไฉก็เล็กไปหน่อย ช่องประตู รูหน้าต่างก็มิได้แน่นหนา กลิ่นธูปจึงโชยออกมาที่ลานขนข้าวด้านหลัง เอ่อ แล้วก็ บังเอิญว่า นายท่านไฉถังเทียนบิดาของนายน้อยไฉตงชุนก็ทำงานอยู่ลานขนข้าวพอดีเจ้าค่ะ”
“ไอหย๋า ไอหย๋า ไอหย๋า อย่างนี้พี่รองข้าก็จะมีข่าวดีใช่หรือไม่ ใช่หรือไม่เจ้ารีบเล่าต่อสิ”
“คุณหนู บ่าวยังเล่าไม่จบ อย่าเพิ่งขัดบ่าวสิเจ้าคะ!! คือว่า เรื่องมันไม่ได้ง่ายถึงเพียงนั้นเจ้าค่ะ”
“อ๋อ เพราะเหลียนฮัวอยู่ในห้องด้วยสินะ”
“ถูกกึ่งนึงเจ้าค่ะ แต่ว่าเรื่องทั้งหมดไม่ได้เกิดในห้อง คุณหนูรองกับพี่เหลียนฮัวได้ยินเสียงคนมาจากลานขนข้าว จึงเดินออกมาดู คิดว่าเป็นนายน้อยไฉกำลังหนี แต่กลับ เจอ เอ่อ เจอนายท่านไฉ เอ่อ อยู่กับคนงานอีกสองคนเจ้าค่ะ”
“ไอหย๋า!!!!!!”
“น่าอับอายเหลือเกินเจ้าค่ะ บ่าวได้ยินว่า เอ่อ ทำเรื่องบัดสีกันกลางลานขนข้าว นายท่านไฉโกรธมาก ยังแต่งตัวไม่ทันเรียบร้อยก็ทิ้งคุณหนูรองกับพี่เหลียนฮัวที่เสื้อผ้าฉีกขาดจนหมดไว้ที่ลานขนข้าวกับคนงานเจ้าค่ะ”
“เพ้ย ถึงจะโกรธแค่ไหนก็ไม่ควรทิ้งพี่รองข้าไว้เช่นนั้น”
“ใช่ไหมล่ะเจ้าคะ สุดท้ายคุณหนูรองกับพี่เหลียนฮัวก็ต้องใส่เสื้อผ้าของคนงานกลับมาเจ้าค่ะ บ่าวได้ยินคนเฝ้าประตูเล่าว่า เสื้อผ้าที่ใส่กลับมาทั้งสกปรก ทั้งเหม็น แถมยังมีรอยช้ำสีแดงสีม่วงเต็มตัวด้วยเจ้าค่ะ ตอนเข้ามาคุณหนูรองทั้งหลบทั้งเลี่ยงเจอบ่าวคนไหนก็ขู่บ่าวคนนั้นว่าห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกใคร แต่ตอนเย็นฮูหยินไฉก็มาเป็นแม่สื่อสู่ขอคุณหนูรองให้คนงาน เรื่องเลยรู้ถึงหูฮูหยินเจ้าค่ะ
“ไอหย๋า สู่ขอพี่รองข้าไปให้คนงาน ฮูหยินไฉช่างหน้าใหญ่เสียจริง”
“หน้าใหญ่จริงๆด้วยเจ้าค่ะ อย่างไรซะคุณหนูรองก็ยังเป็นถึงคุณหนูตระกูลซู การค้าของตระกูลซูก็กว้างขวางกว่าบ้านไฉมาก ทำแบบนี้ตั้งใจฉีกหน้าตระกูลซูของคุณหนูชัดๆ”
“มิน่า เมื่อวานท่านแม่ข้าจึงดูเหมือนคนเพิ่งดูงิ้วจบ ที่แท้มีงิ้วโรงใหญ่นี่เอง เจ้าเองก็ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้มาก หากเจ้าสนใจมากไปคนจะโยงไปถึงเรื่องที่ไฉตงชุนเคยส่งแม่สื่อมาสู่ขอข้า ข้าไม่อยากเป็นนักแสดงงิ้ว”
“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”
...
เมื่อครบกำหนดสามวัน ซูเจินจูเข้าไปบอกฮูหยินว่าตนจะไปทำการค้าต่างเมือง แต่ฮูหยินซูปิดประตูไม่รับแขก จึงเพียงบอกสาวใช้เข้าไปบอกให้
ซูเจินจูเข้าไปรับเข็มเงินที่โรงเหล็กอู่จินชาง และไปที่ตลาดค้าทาสอีกครั้ง ครั้งนี้ซูเจินจูซื้อทาสหญิงรับใช้ที่ทำกับข้าวได้หนึ่งคน เมื่อรับคน จ่ายเงินเรียบร้อยก็เช่ารถม้าเพื่อตรงไปยังหมู่บ้านซานทันที
..
“หมดแล้ว คราวนี้หมดจริงๆแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”
“อะไรหมด เจ้าบ่นอะไรนะ ตั้งแต่ขึ้นรถมาเจ้ายังบ่นไม่หยุดเลย”
“ก็เงินหมดแล้วไงเจ้าค่ะ คุณหนู เหลือเงินเพียงสิบสี่ตำลึงเองนะเจ้าคะ”
“ข้าให้เจ้านำปิ่นทองดอกเหมยไปขาย เจ้าทำอิดออดไม่ยอมไปจนข้าหมดตัวแล้ว” ซูเจินจูพูดไปขำไป ที่เห็นหน้าสี่เสวี่ยทำหน้าเจ็บปวด
“โถ่คุณหนู ของที่คุณชายหลินให้มา ขายไม่ได้นะเจ้าคะ”
“เอาล่ะๆ เจ้าไม่ต้องทำหน้าเช่นนั้นแล้ว คราวนี้เจ้าวาดผ้าให้ข้าสักสามพับข้าก็จะมีเงินแล้วไม่ใช่หรือ”
เมื่อถึงบ้านชนบท ซูเจินจูเข้าไปทำลายผ้าทันที สี่เสวี่ยจัดการบอกกล่าวกฎระเบียบในบ้านให้ซินซียงทาสที่ซื้อมาใหม่ฟัง เมื่อเห็นว่าหลิวหยางและจางหมิ่นออกไปอยู่ที่เรือนชั้นนอกแล้ว ก็ให้ซินเซียงเข้าไปพักอยู่ห้องเดิมของทั้งสองคนก่อน ตรวจดูความเรียบร้อยในบ้านและในครัวแล้วเห็นว่าข้าวและธัชพืชเหลือเล็กน้อย จึงให้หลิวหยางเตรียมรถม้าและพาซินเซียงไปตลาดในตำบล สี่เสวี่ยซื้อชุดเครื่องนอนใหม่และผ้าฝ้ายสำหรับตัดชุดหนึ่งพับให้ซินเซียง ข้าวสาร ธัญพืช ผักดอง เกลือ น้ำตาล เพียงพอที่จะใช้ไปถึงสองเดือน สี่เสวี่ยจ่ายเงินสามตำลึงอย่างเจ็บปวดและยัดของทุกอย่างเข้าไปในรถม้า วันนี้คุณหนูไม่ได้มาด้วย นางไม่จำเป็นต้องจ้างเกวียนเทียมวัวเพิ่มเมื่อกลับมาถึงบ้าน แต่ละคนก็ต่างทำหน้าที่ของตนเอง สี่เสวี่ยไปวาดลายผ้าที่ลานหิน ซินเซียงเก็บข้าวของและเข้าครัวทำกับข้าว หลิวหยางตรวจตราบริเวณหน้าบ้านไม่ให้คนงานเข้ามาวุ่นวายที่เรือนชั้นใน จางหมิ่นตรวจตราบริเวณหลังบ้าน ดูแลสวนดอกหอมหมื่นลี้และดูแลซูเจินจูบริเวณลานหิน
คราแรกสี่เสวี่ยไม่ต้องการให้คุณหนูเลือกทาสที่ดูน่ากลัวผู้นี้ แต่คัดค้านความต้องการของคุณหนูไม่ได้ เมื่อฟังพ่อค้าทาสแล้วก็เบาใจขึ้นหลังจากจ่ายเงินสามสิบตำลึง สี่เสวี่ยไปซื้อรังผึ้งจากร้านชำบ้านไฉและพาเยว่ชิงออกเดินทางไปที่หมู่บ้านชนบททันทีซูเจินจูพาเฟยหลันมาที่ร้านผ้าซูเตี้ยน ให้นางเลือกชุดผ้าฝ้ายสำเร็จรูปสองชุดก็จะตรงไปที่โรงหลอมเหล็กอู่จินจาง“เจ้าเข้าไปเลือกอาวุธสักชิ้นเถอะ”“….”“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นวรยุทธ์ เข้าไปเลือกเถอะ”“คุณหนู เหตุใด...” นางแปลกใจ เฉพาะแผลเป็นบนใบหน้าก็ทำให้คนทั่วทั้งแคว้นรังเกียจนาง ผู้ที่ต้องการซื้อตัวนางล้วนเป็นบุรุษวัยกำดัด หากเป็นสตรีก็สตรีที่ชื่นชอบการเหยียบย่ำผู้อื่น แต่หากรู้ว่านางเป็นวรยุทธ์ก็จะยิ่งทรมานนางมากขึ้น ด้วยรู้นางไม่สามารถตอบโต้ได้ ก่อนหน้านี้นางถูกคุณหนูจวนแม่ทัพผิงซื้อตัวไป
วันต่อมาซูเจินจูมาที่โถงยาเจี้ยนคังอีกครั้ง เมื่อวานนางลืมซื้อสมุนไพรแก้พิษแมงมุมและยาห้ามเลือด นางต้องการกลับเข้าไปจับแมงมุมตัวโตเต็มวัยมาลองสกัดพิษสักสองตัว ดังนั้นนางต้องปรุงยาแก้พิษพวกมันเสียก่อนโดยปกติตำรับยารักษาแผลกับห้ามเลือดจะเป็นคนละตำรับกัน แต่ซูเจินจูใช้ความรู้ดั้งเดิมปรับสูตรยาเป็นฟื้นฟูเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังลดอักเสบฆ่าเชื้อและห้ามเลือดเข้าด้วยกัน สมุนไพรสำคัญของยาตัวนี้คืออ้ายเยี่ยที่มีคุณสมบัติขับกระจายความเย็นระงับปวด อบอุ่นเส้นลมปราณเพื่อห้ามเลือด หวงฉีที่มีคุณสมบัติทำให้ชี่ไหลเวียน ระงับปวด ช่วยรักษาบาดแผลและสร้างเนื้อเยื่อ ป๋าเซีย เป็นยาฆ่าเชื้อตามธรรมชาติและเป็นตัวยาเสริมของยาแก้พิษทั่วไป เมื่อสมุนไพรหลักสามตัวรวมกับสมุนไพรเสริมอีกสามสิบชนิดก็จะได้ยาใส่แผลคุณภาพดีเลยที่เดียวส่วนสมุนไพรแก้พิษนั้นกลับมีไม่ครบ ขาดส่วนประกอบสำคัญอย่างรากหญ้าขน แต่รากหญ้าขนไม่ใช่ของหายากอะไร นางสามารถเก็บได้ตามภูเขานอกเมืองหลังจากซื้อสมุนไพรที่ต้องการแล้วนางแ
“ช่วยด้วย นายหญิง ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ” สตรีผู้หนึ่งวิ่งมาที่เฟยหลัน ร้องตะโกนขอให้ช่วยอย่างสุดเสียง เมื่อนางวิ่งมาจนถึงรถม้าก็คุกเข่าลงที่หน้าเฟยหลันทันที“นายหญิงช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ”เฟยหลันสังเกตว่ามีชายฉกรรจ์วิ่งตรงมาทางนี้อีกเกือบสิบคน นางไม่อยากให้คุณหนูที่อ่อนโยนอย่างซูเจินจูต้องรับรู้เหตุการณ์ตรงหน้าจึงชักกระบี่อ่อนออกมาขวางสตรีผู้นั้นไว้“แม่นาง เจ้านายของข้าต้องรีบเดินทาง ขอแม่นางอย่าขวางทาง”“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ หากข้าถูกจับไปข้าต้องตายแน่ๆ”“พวกเจ้า ส่งตัวนังแพศยานั่นมา ไม่ใช่นั้นอย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจ” เหล่าชายฉกรรจ์ที่วิ่งตามมาถึงก็ตะโกนใส่เฟยหลันทันที“พวกมันเรียกเจ้าแล้ว เจ้าไปเถอะ อย่าทำให้คุณหนูของข้าต้องแปดเปื้อน” การแกะมือของสตรีผู้นั้นออกจากร่างกายสำหรับเฟยหลันที่เป็นวรยุทธ์ไม่ใช่เรื่องยากนัก แต่สตรีผู้นั้นก็เห็นขบวนร
ซูเจินจูที่สั่งงานเสร็จเรียบร้อยก็เข้าไปปรุงยาในห้อง เพียงไม่นานยาทั้งสองชนิดก็เสร็จเรียบร้อย ซูเจินจูสะพายตะกร้า พร้อมผ้าและเชือกสำหรับปิดด้านบนตะกร้าขึ้นไปยังถ้ำแมงมุมทันทีซูเจินจูเดินลัดเลาะขึ้นมาทางลัด นางจำได้ว่าหากมาจากอีกฝั่งก็จะเข้าไปในถ้ำได้เช่นกันแถมระยะทางก็ใกล้กว่า นางกระโดดขึ้นต้นไม้ตรวจสอบร่องรอยของทิศทางกระโดดจากต้นหนึ่งไปยังต้นหนึ่งอย่างมั่นคงเพียงนานก็มาถึงหน้าถ้ำแต่เมื่อซูเจินจูกระโดดลงมาจากต้นไม้สิ่งที่รอรับเท้าทั้งสองข้างของนางอยู่กลับไม่ใช่พื้นดิน“โอ้ย” ซูเจินจูที่รั้งตัวเองไว้ไม่อยู่ก็ล้มลงไปหัวกระแทกพื้นดินเข้าอย่างจัง ความคิดชั่ววูบที่ผุดขึ้นมาคือการกระทบกระเทือนที่หัวจะทำให้วิญญาณนางหลุดออกจากร่าง ทำให้นางรีบจับเนื้อจับตัวของตัวเอง ลมหายใจหนักหน่วงประหนึ่งว่าโล่งใจที่ไม่ได้กลายเป็นวิญญาณเร่รอนถูกผ่อนออกมา เมื่อตั้งสติได้ก็หันมามองที่ต้นเหตุ“เพ้ยยยย ศพคนนี่หว่า ไฉนมีคนมานอนตายหน้าถ้ำ บรื้ออ” นางใช้เท้าเขี่ยศพที่
ขณะเดียวกันหน้าถ้ำแมงมุมก็มีชายชุดดำคนหนึ่งคุกเข่าอยู่หน้าชายหนุ่มที่ซูเจินจูช่วยชีวิตไว้“คารวะท่านรองแม่ทัพ”“เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”“ตอนนี้ท่านแม่ทัพเดินทางถึงเมืองหลวงแล้ว อาการก็พ้นขีดอันตราย ท่านจะเดินทางเข้าเมืองหลวงเลยหรือไม่ขอรับ”“ยังไม่ไป ในกองทัพมีสายลับ ข้าศึกรู้กลศึกของเราทั้งหมด หากหาตัวสายลับไม่เจอ ออกศึกคราวหน้าข้ากับท่านพี่คงต้องตายในสนามรบ ... เจ้าไปส่งข่าวให้ท่านพี่ข้าเก็บข่าวเรื่องข้าไว้เป็นความลับ ให้แจ้งกองทัพไปว่าหาข้าไม่พบ เป็นหรือตายไม่แน่ชัด ประกาศคัดเลือกรองแม่ทัพคนใหม่ ข้าเชื่อว่าผู้บงการเบื้องหลังต้องแย่งชิงตำแหน่งของข้าแน่”“ถ้าเช่นนั้น ท่านไปอยู่ที่หมู่บ้านเฟิงโจวก่อนดีหรือไม่ขอรับ ที่นั่นมีบ้านลับกองทัพฝั่งใต้ สะดวกต่อการติดต่อ”“ไม่ หากรู้ว่าข้าหายไปพวกมันต้องส่งคนออกตามหาแน่ เมืองฝั่งใต้ ตะวันตกฉียงใต้ และตะวังออกเฉียงใต้ล้วนอันตราย ฝั่งตะวั
หน้าถ้ำแมงมุมชายหนุ่มชุดดำที่เห็นหยางหย่งเจิ้งเดินเข้ามาก็โค้งตัวคารวะ“คารวะท่านรองแม่ทัพ”“เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”“ท่านแม่ทัพดำเนินการตามแผนของท่านแล้วขอรับ แต่ก้านลู่ถูกลอบสังหารเมื่อคืนนี้ ยังไม่พบตัวคนร้ายขอรับ”“เล่ามา”“เมื่อคืนก้านลู่ไปที่หอห่าวซีเถียนตามปกติแต่เช้านี้กลับไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย ทางการตรวจศพแล้วไม่พบความผิดปกติใดๆ แต่ข้าให้คนของเราเข้าไปแอบตรวจสอบอีกครั้งพบว่าเขาถูกวางยาพิษ เป็นพิษที่แปลกนักถูกพิษแต่ศพกลับเป็นปกติดูเหมือนนอนหลับตายไปเฉยๆ พิษหายากเช่นนี้คนธรรมดาไม่มีทางครอบครองได้ ข้าจึงคิดว่าเขาถูกฆ่าปิดปากขอรับ”“เข้าไปหาหลักฐานในที่พักแล้วส่งคนของเราเฝ้าเอาไว้ด้วย คนที่ลอบสังหารต้องกลับมาหาหลักฐานแน่นอน หากพวกมันมาก็ให้คนของเราสะกดรอยตามไป”“ทราบแล้วขอรับ”ในขณะเดียวกันเฟยหลันก็มารายงานเรื่องที่ซูเจินจูสั่งให้ทำ“จัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ บ่าวอยู่รอจนเห็นว่าไม่มีใครสงสัยจึงค่อยกลับมาเจ้าค่ะ”“ดีมาก ระหว่างนี้เจ้าลองหาข่าวพวกพ้องของเจ้าเถอะ ข้ายินดีซื้อตัวพวกเขาไว้”“ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ” เฟยหลันรู้สึกยินดีมากหากพี่น้องของตนสามารถมารับใช้คุณหนูได้ นางยังจำความ
เมื่อวันส่งสินสอดมาถึง ชาวบ้านต่างมุงดูกันด้วยความอิจฉา ขบวนสินสอดยาวสามลี้ เต็มไปด้วยตำลึงเงิน ตำลึงทอง เครื่องประดับ ของล้ำค่าแปลกตาอีกมากมาย ครอบครัวซูที่สวมชุดแดงใบหน้ายิ้มแย้มเปิดประตูยืนตรวจรายการสินสอด ขานรายการของมีค่าแต่ละครั้ง ชาวบ้านแทบตาถลนออกมา รายการสินสอดล้วนเป็นไปด้วยของมีค่าที่มีเงินก็ใช่ว่าจะหาซื้อได้ทั้งนั้น“ข้าอิจฉาเจ้านัก น้องรอง ว่าที่สามีเจ้าช่างร่ำรวยยกขบวนสินสอดมายาวถึงสามลี้ เจ้าแต่งงานใหญ่โตถึงเพียงนี้ ถึงคราข้าต้องแต่ง มิขายหน้าเจ้าแย่หรือ”“พี่ใหญ่เหตุใดเย้าข้าเช่นนี้ ท่านก็รู้ว่างานแต่งนี้ข้าไม่ได้เต็มใจ”“น้องรอง เหตุใดพูดเช่นนั้น งานแต่งแต่ไหนแต่ไรพ่อแม่เป็นคนจัดการ ไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจหรือไม่ วาจาท่านพ่อก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะไม่ฟังได้”“ข้ารู้ แต่ข้า...”“เม่ยเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าสามีของเจ้าไปทำการค้าต่างแคว้นบ่อยๆหรือ นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะไม่ค่อยได้เจอกับเขาใช่หรือไม่”“ท่านพ่อบอกเช่นนั้นเจ้าค่ะ”“แล้วเจ้าจะเศร้าไปไย ท่านพ่อเพียงไปทำงานค้าต่างอำเภอเดือนหนึ่งพวกเรายังเจอท่านไม่กี่วัน นี่ไปทำการค้าต่างแคว้นปีหนึ่งเจ้าจะเจอหน้าเขาได้สักกี่หน เจ้าอย่าได้เส
“พ่อหนุ่มเจิ้งผู้นี้ดูมีลับลมคมในเหลือเกินนะเจ้าคะ จะว่าไปพ่อหนุ่มเจิ้งเองก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องของตน แม่แต่แซ่ก็ไม่บอก ชื่อเจิ้งก็ไม่รู้ว่าใช่ชื่อจริงหรือไม่”“นั่นสิเจ้าคะคุณหนู คุณหนูเองก็แปลกนัก แค่พ่อหนุ่มเจิ้งบอกจะมาด้วยก็ปล่อยให้มา บอกจะไปก็ไม่ถามไถ่สิ่งใดสักคำ”“ช่างเขาเถอะ เพียงแค่ไม่มีพิษภัยกับพวกเราก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆรู้มากไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี”“เจ้าค่ะคุณหนู”ซูเจินจูพาเจียงไป๋ไปยังห้องที่เจียงชิงนอนอยู่และให้ซินเซียงยกที่นอนอีกหนึ่งอันมาวางข้างเตียงเพื่อให้พี่น้องได้นอนห้องด้วยกัน“เจ้านอนห้องเดียวกันไปก่อน ช่วงนี้ก็คอยดูแลนาง ข้างๆห้องเจ้าคือห้องของชิงหยุน มีอะไรก็ไปหานางได้ สี่เสวี่ยเจ้าไปบอกให้ซินเซียงหาอะไรให้เด็กนี่กินเสียหน่อยเถอะ”“เจ้าค่ะคุณหนู”เจียงไป๋มองคนทั้งหมดทยอยออกจากห้องไปก่อนจะหันกลับมานั่งข้างเตียงของเจียงชิง“พี่สาว ท่านรีบตื่นขึ้นมานะ…”... เช้าวันต่อมาซูเจินจูเดินทางเข้าร้านหว่างลี่เซียงพร้อมเฟยหลันตั้งแต่ยามเฉิน กิจการของร้านหว่านลี่เซียงเป็นไปด้วยดี คนที่ดูเหมือนจะทะเลาะกับผู้อื่นได้ง่ายๆอย่างเพ่ยเพ่ยกลับทำงานได้อย่างสงบเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นก
“มองอะไร พวกเจ้ามองอะไร ไอ้พวกไม่รู้เรื่องรู้ราว เด็กมันมีวาสนาได้ช่วยเหลือสกุล เลี้ยงมันต่อไปก็ไม่ใช่ว่ามันจะหาเงินให้ข้าได้ถึงยี่สิบตำลึงเสียเมื่อไหร่ ต้องมากินข้าวบ้านข้านอนบ้านข้าไม่สู้ไปกินบ้านอื่นนอนบ้านอื่นแล้วยังได้เงินรึ แล้วเงินที่มันถืออยู่ไม่ใช่ว่าขโมยของข้าไม่หรือไงเด็กอย่างพวกมันจะเอาปัญญาหาเงินมากมายขนาดนี้ได้ที่ไหน เอาเงินข้าคืนมานะไอ้พวกเด็กตัวเหม็น”“ท่านย่านี่เป็นเงินที่พี่สาวหามาได้ ไม่ได้ขโมยเงินของท่าน”“นั่นมันเงินโชคดีที่แม่หนูเจินจูแจกไม่ใช่หรือ บ้านข้าก็ได้มาสองพวง ไหมถักแบบนั้นรูปทรงแบบนั้น ข้าจำไม่ผิดหรอก” ชาวบ้านที่มุงดูอยู่พูดขึ้น“ใช่ ข้าเองก็จำได้ นั่นมันพวงเงินที่แม่หนูเจินจูแจกเมื่อวันเกิด” หัวหน้าหมู่บ้านหวังสำทับขึ้น ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างเคยได้รับพวงเงินโชคนี้ทุกคนล้วนเป็นพยายานให้เด็กน้อยว่าเขาไม่ได้ขโมยเงินของแม่เฒ่าเจียง“เหอะ เอาเข้าบ้านข้าก็ต้องเป็นของข้านั่นแหละ อาไป๋ เข้าบ้าน เหม่ยเหมย เสี่ยวเจี๋ยลากนังเด็กชิงเข้าบ้าน”“แม่เฒ่าเจียง รอเดี๋ยวก่อนเถอะ ข้าขอเจรจาเรื่องเด็กสองคนนี้สักประโยคหนึ่งได้หรือไม่” ซูเจินจูพูดยังไม่ทันจบ เฟยหลันก็เอาตัว
การค้าของร้านหว่านลี่เซียงเต็มไปด้วยความราบลื่น ที่ควรขายได้ขาย ที่ควรสงบก็สงบ กว่าลูกค้าคนสุดท้ายจะออกจากร้านก็เป็นยามโหย่ว หลังจากปิดร้าน เหล่าคนงานที่หมดแรงมานั่งรวมกันอยู่ที่กลางร้าน ซูเจินจูลากเก้าอี้มานั่งก่อนจะขอบคุณทุกคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการเปิดร้านวันแรกจนทุกอย่างผ่านไปด้วยดี วันนี้ถุงหอมขายได้หกร้อยหกใบ เป็นเงินหนึ่งหมื่นสองพันหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง การขายได้จำนวนมากตั้งแต่วันแรกนับเป็นเรื่องดีแต่ซูเจินจูกังวลว่าหากขายดีเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆคงไม่สามารถผลิตมาขายได้ทันสี่เสวี่ยรับหน้าที่สอนเยว่ชิงวาดลายผ้าและผสมสีผ้าไหมหอมหมื่นลี้ เมื่อเชี่ยวชาญแล้วเยว่ชิงจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลผ้าไหมหอมหมื่นลี้พวกนี้แทนสี่เสวี่ย อีกทั้งสี่เสวี่ยยังต้องคุมคนงานเย็บปัก และติดป้ายรับสมัครหญิงสาวที่เชี่ยวชาญงานเย็บปักมาปักถุงหอมหมื่นลี้ที่ร้านหว่านลี่เซี่ยงด้วยเฟยหรงและเฟยเมี่ยวที่เพิ่งได้ข่าวพรรคพวกอีกหนึ่งคนด้วยเห็นว่าพรรคพวกที่เจอนั้นถูกซื้อตัวไปด้วยชายชราที่อยู่กับหลานชายหนึ่งคนบนกระท่อมบนเขา นางไม่ได้ลำบากหรือโดนทำร้ายจึงพักการติดต่อแล้วหันมาช่วยซูเจินจูดูแลร้านหว่านลี่เซียงไปก่อน“เอาล
“องค์ชายหก ท่านช่างเป็นดาวนำโชคของพวกข้านัก” ชายหนุ่มอีกคนในกลุ่มที่ถูกเรียกว่าคุณชายเซียวพูดขึ้นขณะที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ยาวที่ปูทับด้วยเบาะรองนั่งขนกระต่าย เบาะรองนี้ซูเจินจูสั่งให้ซินเซียงทำขึ้นจากขนกระต่ายสีอื่นๆเย็บติดสวมทับเบาะด้านในที่ตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายยัดใส่ด้วยนุ่นที่ซื้อไปจากตำบลอีกที ที่สี่มุมผูกด้วยพู่หลากสีที่ทำขึ้นด้วยพู่ไหมจากเผ่าเจี๋ยที่ซูเจินจูได้รับมาจากนายท่านซูเมื่อครั้งออกไปทำการค้าต่างแคว้น“นั่นสิเพคะ หากไม่มีพระองค์พวกหม่อมชั้นคงต้องต่อแถวยาวหลายลี้ ตากแดดตากลมอยู่ด้านนอกเสียแล้ว” ผิงเหม่ยเหรินพูดขึ้นขณะพยักเพยิดไปท่างลี่รุ่ยเซียงสหายรักแต่ยังไม่ทันที่ลี่รุ่ยเซียงจะได้พูดอะไร องค์ชายหกก็หันกลับไปพูดคุยกับหญิงสาวอีกคนที่นิ่งเงียบมาตลอด“จิวอิง เหตุใดเจ้าจึงเงียบนัก คนงานนั่นก็บอกแล้วว่าเป็นถุงหอมหมื่นลี้ ไม่ใช่ผ้าไหมหอมหมื่นลี้เสียหน่อย หรือเจ้ากลัวว่าพวกข้าติดใจผ้าไหมหอมหมื่นลี้จนลืมผ้าไหมหยกของเจ้า”“หามิได้เพคะ ขอเพียงองค์ชายหกทรงพอพระทัย หม่อมฉันจะกล้าไม่พอใจได้เช่นไร”“คุณหนูเจ้าคะ มีกลุ่มคุณหนูคุณชายดูว่าจะมาจากเมืองหลวง อ้างตัวว่าเป็นองค์ชายหก ตอนนี้บ่
เช้าวันต่อมา หลิวหยางรับหน้าที่ขับรถม้าคันใหม่พาซูเจินจู สี่เสวี่ย เฟยหลัน และเฟยอวี่เข้าพบฮูหยินนายตำบลที่จวนนายตำบลเป่ย เมื่อมาถึงหน้าจวนนายตำบลหลิวหยางลงไปแจ้งกับคนเฝ้าประตูว่าคุณหนูของตนแซ่ซูชื่อเจินจูนำผ้าไหมหอมหมื่นลี้มาขอเข้าพบฮูหยิน พร้อมให้เงินหนึ่งตำลึงแก่คนเฝ้าประตู เงินหนึ่งตำลึงเร่งฝีเท้าคนให้ไวได้ดังม้า ไม่ถึงสองเค่อคนเฝ้าประตูก็ออกมาเปิดประตูให้ให้รถม้าเข้าไปซูเจินจูสวมชุดผ้าไหมหยกสีขาวปักลายนกกระยาง ลายปักละเอียดเพียงดูผ่านๆก็ยังสามารถรู้ได้ว่าเป็นงานปักชั้นสูง ผมรวบขึ้นอย่างประณีตปักด้วยปิ่นหยกขาวเนื้อดีหนึ่งคู่ที่ดูเข้ากันได้ดีกับกำไลหยกขาวที่ข้อมือ ผิวขาวราวหยก ขนตาเป็นแพหนาสีดำ ปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อยิ่งทำให้ซูเจินจูงดงามจนคนที่ได้เห็นไม่สามารถละสายตาไปได้สี่เสวี่ย เฟยหลัน เฟยอวี่ ผู้ติดตามทั้งสามคนสวมชุดผ้าไหมเฉกเช่นคุณหนูจากจวนใดจวนหนึ่ง เฟยหลันที่รอยแผลเป็นบนใบหน้าหายดีแล้วยิ่งดูงดงามและลึกลับเมื่อสวมชุดผ้าไหมสีน้ำเงิน ปักด้วยปิ่นเงินลายดอกหลันฮวาเดินคู่มากับเฟยอวี่ในชุดผ้าไหมสีเดียวกันรวมผมขึ้นอย่างเป็นระเบียบปักด้วยปิ่นเงินลายเมฆา สี่เสวี่ยที่ตามรับใช้ใกล้ชิ
ซูเจินจูฝั่งร้านผ้าซูเตี้ยนได้สั่งให้คนงานไปซื้อผ้าไหมหอมหมื่นลี้ของร้านผ้าเฉินอี้เตี้ยนมาหนึ่งพับ เมื่อสำรวจดูแล้วพบว่ากลิ่นของผ้าไม่ใช่กลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้แต่เป็นกลิ่นของดอกเหมย อีกทั้งลายผ้าไม่คมชัดคงเป็นการวาดลายลงไปโดยตรง การใช้สีอ่อนเช่นนี้จะทำให้ลายผ้ามีสีซีดได้ง่าย อีกทั้งกลิ่นดอกเหมยไม่สามารถเกาะติดผ้าได้ดีเท่ากลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้ เวลาผ่านไปสักพักกลิ่นก็คงจางหายไปเอง ดังนั้นผ้าไหมพวกนี้ไม่สามารถนับเป็นคู่แข่งอย่างแท้จริงได้หลงจู๊ฝูที่ออกไปสืบข่าวด้วยตนเองกลับมาพบนายท่านซูละซูเจินจูด้วยสีหน้าสบายใจ“เห็นทีว่าคุณหนูจะพูดถูกทุกอย่างเลยขอรับ ผู้ที่ซื้อผ้าไหมหอมหมื่นลี้จากร้านเฉินอี้เตี้ยนไปกลับมาโวยวายที่ร้านเหตุเพราะเพียงนำผ้าไปซักเท่านั้น กลิ่นที่ควรมีก็ไม่มีอีกต่อไป เห็นทีว่าร้านผ้าเฉินอี้เตี้ยนจะเสียชื่อเสียครั้งใหญ่เป็นแน่”“เช่นนั้นข้าค่อยสบายใจหน่อย เอาล่ะ เมื่อหมดเรื่องแล้วเห็นทีว่าถึงเวลาไปเอาผ้าเสียที เจ้าล่ะ อาจู จะไปเอาผ้าหอมไหมหมื่นลี้อีกเมื่อใด”“ข้าให้เฟยหลันไปเอาผ้าแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ก็คงนำผ้ากลับมาแล้ว เห็นทีว่างานปักงานแรกคงเป็นการตีตราร้านลงบนผ้าเสียแล้วน
“คุณหนู บ่าวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” เฟยหลันมองเฟยหมิงที่อยู่บนเตียงแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก ลมหายใจของนางดีขึ้นมากแล้ว คุณหนูรักษานางได้จริงๆซูเจินจูรับเข็มเงินและโถบดยาไปก่อนจะสั่งให้เสี่ยวเหลียนนำเข็มเงินไปต้มในน้ำร้อนและให้เฟยหลันกรีดผ้าที่ขาของเฟยหมิงออก“กระดูกขาของนางแตก หากนางทนอยู่เฉยๆ ไม่ขยับขาสักสามเดือนขาของนางก็จะกลับมาใช้ได้เหมือนเดิม”“นางยังจะกลับมาเดินได้อีกหรือเจ้าคะ”“ต้องนอนนิ่งๆอยู่แบบนี้ไปก่อนสามเดือน หากขยับเขยื้อนก่อนหน้านั้นก็อาจจะเดินไม่ได้”“คุณหนูเหมือนหมอเทวดาเลยเจ้าค่ะ”“เจ้าจะร้องไห้ทำไม ไอหย๋า ข้าแพ้น้ำตาของพวกเจ้านัก หยุดร้องเถอะข้าจะให้เสี่ยวเหลียนไปซื้อขนมให้เจ้ากิน”“คุณหนู บ่าวแค่ดีใจมากไปเจ้าค่ะ แต่เดิมบ่าวแค่ต้องการฝังศพนางให้ดีเสียหน่อย ใครจะรู้ว่าคุณหนูดึงวิญญาณนางกลับมาจากนรกได้”“เพ้ย เจ้านี่ ตายแล้วไม่ให้นางขึ้นสวรรค์แต่กลับให้นางไปลงนรก เอาล่ะๆ เจ้าไปบดยากองนั้นเถอะ เดี๋ยวข้าฝังเข็มเสร็จแล้วต้องพอกยาให้นาง”“ทั้งหมดเลยหรือเจ้าคะ มัน เยอะมากเลยนะเจ้าคะ”“ทั้งหมดนั่นแหละพอกทั้งขาแล้วเอาผ้ามาพันเข้ากับไม้แผ่นเสียหน่อย กระดูกจะได้ไม่เคลื่อนที่มากนัก”
หลังหลินเฮงฉวนกลับไปซูเจินจูเข้ามาที่ร้านผ้าซูเตี้ยนพร้อมกับนายท่านซู สินค้าที่นำกลับมาถูกจดไว้ในรายการอย่างลวกๆ ซูเจินจูจำเป็นต้องทำมันใหม่เพื่อให้เป็นระเบียบมากขึ้น นายท่านซูนำผ้าจากเผ่าเจี๋ย ชนเผ่าเร่ร่อนดำเดินชีวิตด้วยการเดินทางไปเรื่อยๆกลับมาไม่น้อย ผ้าจากเผ่าเจี๋ยเป็นผ้าหนังสัตว์ที่ถูกตัดเย็บด้วยวิธีการแปลกใหม่ หนังสัตว์ที่ไม่หนาฝีเข็มที่เย็บจนหนังแนบชิดติดกันจนลมไม่สามารถเข้าได้เป็นชุดคลุมอย่างดีสำหรับฤดูหนาว แต่ผ้าจากเผ่าเจี๋ยทั้งหมดเป็นเพียงของบรรณาการที่ส่งเข้าไปยังจวนขุนนางเท่านั้นทำให้ซูเจินจูรู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถทำกำไรจากของดีเช่นนี้ได้ วันนี้เป็นครั้งแรกที่นายท่านซูมีโอกาสดูงานประมูลผ้าไหมหอมหมื่นลี้ลายโบตั๋น ผ้าไหมสามพับทำกำไรได้มากถึงสี่พันสี่ร้อยตำลึง จริงอย่างที่หลงจู๊ฝูพูด ร้านผ้าซูเตี้ยนควรจัดงานกราบไหว้เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งได้แล้วผ้ามีตำหนิห้าสิบพับถูกขนย้ายออกมาเพื่อเตรียมไว้ให้ซูเจินจู อีกทั้งนายท่านซูยังมอบเงินให้ซูเจินจูห้าร้อยตำลึง“ข้าเพิ่งรู้ว่าฮูหยินไม่เคยให้เงินเจ้าเลยยามออกมาทำการค้า ต่อไปหากข้าไม่อยู่เจ้านำเงินของที่ร้านออกไปเป็นค่าเดินทางได้เล
ซูหนี่ย์ที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่ยกยิ้มเหยียดหยาม ดี ให้คนของท่านพ่อตีนางให้ตาย นังบ่าวชั่วที่ติดตามนังจิ้งจอกนั่นไม่สมควรมีชีวิตอยู่เป็นหนามตำตานาง ให้ตายเถอะ ยิ่งเห็นก็ยิ่งเกลียด ทำไมตอนที่พวกนางออกไปทำการค้าถึงไม่เจอโจรป่าเสียบ้างนะเฟยหลันและคนของนายท่านซูถือไม้พลองยืนอยู่กลางลานหน้าห้องโถง ขอเพียงส่งสัญญาณคนทั้งคู่ก็พร้อมแสดงฝีมือทันที แต่เฟยหลันที่อยู่บนลานหันกลับมามองซูเจินจูแล้วส่ายหน้าช้าๆ“ท่านพ่อ ให้คนของท่านเข้าไปอีกคนหนึ่งเถอะเจ้าค่ะ”นายท่านซูหนัยมามองซูเจินจูเล็กน้อยก่อนจะกวักมือเรียกผู้คุ้มกันอีกคนขึ้นไปกลางลาน เอาเถอะ อย่างไรเสียซูเจินจูก็มีผู้ติดตามคนเดียว หากนางแพ้ก็แค่หาคนคุ้มกันให้ซูเจินจูเพิ่ม หากนางชนะเขาก็จะสบายใจมากขึ้น“ลงมือ!!!”เฟยหลันตวัดไม้พลองลงไปอย่างเต็มแรง ผู้ที่เข้ามารับไม้แรกถึงกับถอยร่นลงไปหลายก้าว มือที่จับไม้พลองไว้สั่นจนแทบทำไม้พลองหลุดมือ เฟยหลันกระโดดตามเข้าไปฟาดไม้พลองลงที่ข้อมือก่อนจะตวัดไม้พลองอีกด้านไปเกี่ยวไม้พลองของผู้คุ้มกันคนที่สองลง ลูกเตะที่เตะลงไปที่ศรีษะอย่างแม่นยำทำให้ผู้คุ้มกันคนที่สองล้มลงไปนอนกับพื้นที่ที ไม้พลอยที่มือของเฟยหลันถ