เมื่อไปถึงหมู่บ้านจั๋วมู่ ซูเจินจูพาหัวหน้าหมู่บ้านจั๋วมู่กับชาวบ้านอีกสามคนขึ้นไปดูต้นไม้ที่นางต้องการ
“กลิ่นดอกไม้ที่เราได้กลิ่นกันมาจากต้นไม้พวกนี้หรือ” หลังจากที่มาถึงที่ กลิ่นหอมอบอวนทำให้ชาวบ้านแปลกใจ ใจนึงก็คิดว่าหากเป็นกลิ่นดอกไม้พวกนี้แล้วนางขุดไป ต่อไปจะไม่มีคนมาชมดอกไม้ที่หมู่บ้านอีกเป็นแน่
“ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะท่านลุง กลิ่นพวกนี้เป็นกลิ่นจากดอกเหมยด้านล่างรวมกับกลิ่นความชื้นของป่าที่สมบูรณ์แห่งนี้เจ้าค่ะ แต่หากว่ามีคนขึ้นมาบนนี้บ่อยๆ ต้นไม้และเถาวัลย์ถูกเหยียบย่ำก็จะทำให้กลิ่นของดอกเหมยลอยออกไป ไม่ติดค้างอยู่ที่ที่เจ้าค่ะ ท่านลุงลองดมกลิ่นหญ้าพวกนี้สิเจ้าคะ หญ้าพวกนี้ก็มีกลิ่นเช่นเดียวกัน” ซุเจินจูไม่สามารถพูดความจริง หากนางบอกความจริงคนพวกนี้ไม่มีทางให้นางขุดต้นไม้พวกนี้แน่ นางทำได้พียงหาข้ออ้างที่แม้แต่นางก็ยังรู้สึกไม่น่าเชื่อ ก็ได้แต่ภาวนาในใจว่า หวังว่าท่านลุงทั้งหลายจะเชื่อข้านะเจ้าคะ
“เป็นอย่างที่เจ้าว่า เห็นทีว่าไม่ว่าอะไรที่อยู่ตรงนี้ก็คงเป็นกลิ่นแบบนี้จริงๆ” เมื่อทุกคนดมหญ้า ดมใบไม้ในละแวกนั้นแล้วก็พบว่าทุกอย่างมีกลิ่นหอมจริงๆ จึงเชื่อตามที่ซูเจินจูบอกและยังกลับไปกำชับคนในหมู่บ้านไม่ให้เข้ามาที่นี่จนทำให้กลิ่นดอกไม้หายไป
ซูเจินจูต้องการตันกุ้ย จินกุ้ย และอิ๋นกุ้ย ต้นสูงสองถึงสามเมตร อย่างละสิบต้น นางให้ค่าแรงการขนย้ายต้นละหนึ่งตำลึง ชาวบ้านต่างตกใจกับเงินจำนวนมากจึงตกลงจะย้ายทั้งสามสิบต้นให้เสร็จภายในเจ็ดวัน
ซูเจินจูฝากกุญแจบ้านและเงินค่าต้นไม้สามสิบตำลึงไว้กับลุงหวังผู้ที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านซาน เขาแปลกใจที่บ้านสร้างเสร็จแล้วแต่ซูเจินจูก็ยังไม่ย้ายเข้ามาอยู่ เมื่อคิดดูแล้วเห็นว่าไม่ได้มีอะไรเสียหายต่อคนในหมู่บ้านเขาก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียง เพียงถือกุญแจไว้คอยเปิดให้คนส่งต้นไม้เท่านั้น
เช้าวันต่อมาขณะที่นางกำลังจะออกไปที่ร้าน ก็พบบ่าวรับใช้ของจวนนายอำเภอนำของมาให้ เป็นปิ่นทองลายดอกเหมย พร้อมจดหมายจากหลินเฮงฉวนมีข้อความว่า “มีเพียงจอกสุราไม่หรรษา ดวงเทียนอาลัยยังอำลา รินหลั่งน้ำตาให้เราจนรุ่งราง” ซูเจินจูอ่านซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ คราแรกนึกว่าหลินเฮงฉวนนัดตนไปดื่มสุรา แต่พลิกจดหมายไปๆมาๆหลายรอบก็ไม่เห็นมีเวลานัด ดูแล้วดูอีกแต่ก็ยังไม่เข้าใจ จึงให้สี่เสวี่ยนำไปเก็บไว้ในหีบ
(แต่เดิมกวีบทนี้เป็นของตู้มู้ เขียนไว้ว่า “รักมากเปรียบเสมือนดั่งไร้รัก มีเพียงจอกสุราไม่หรรษา ดวงเทียนอาลัยยังอำลา รินหลั่งน้ำตาให้เราจนรุ่งราง” กวีบทนี้ เขียนบรรยายถึงความรักของหนุ่มสาว ที่มีต่อกันอย่างท่วมท้น เมื่อถึงเวลาต้องลาจาก ทั้งที่ความรักล้นแน่นอก แม้มีจอกสุราอยู่เบื้องหน้า ก็ไม่อาจช่วยให้ยิ้มแย้มออก หลี่เฮงฉวนจงใจละทิ้งประโยคแรกด้วยกลัวว่าจะสื่อความในมากเกินไป อีกใจนึงก็คิดว่าซูเจินจูจะต้องมาพบตนเพื่อขอบคุณเรื่องปิ่นทองและถกกวีด้วยกัน จึงจงใจเขียนเช่นนั้น
ซูเจินจูเข้ามาที่ร้าน สั่งให้หลงจู๊นำผ้าไหมที่มีตำหนิมาให้นางสิบพับ นางต้องการนำไปให้ลูกค้าดูว่าจะรับซื้อผ้ามีตำหนิเหล่านี้หรือไม่ หลงจู๊จึงเลือกพับที่มีตำหนิน้อยที่สุดมาให้นาง
“ผ้าไหมพวกนี้นายท่านซื้อมาด้วยราคาสิบตำลึงขายหน้าร้านราคาสิบห้าตำลึง หากคุณหนูขายราคาสิบตำลึงได้ เราก็จะไม่ขาดทุนขอรับ”
“ท่านลุงฝูเจ้าคะ ราคาสิบตำลึงคือราคาผ้าไหมที่ไม่มีตำหนินะเจ้าคะ หากต้องจ่ายเงินสิบตำลึง ไม่สู้ไปซื้อผ้าที่ไม่มีตำหนิไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ”
“แต่ราคาสิบตำลึงเป็นราคาที่ต้องทำสัญญาการค้านะขอรับ ต่อให้ไปซื้อถึงหน้าโรงทอผ้า อย่างไรก็ต้องซื้อสิบห้าตำลึง”
“แต่หากไม่ขายพวกเขา เท่ากับเราขาดทุนสิบตำลึงนะเจ้าคะ หากขายราคาถูกลงหน่อย ก็เท่ากับเราขาดทุนน้อยลง”
“อย่างไรเสีย คุณหนูลองแจ้งราคาสิบตำลึงก่อนเถอะขอรับ หากผู้ซื้อจะต่อรองข้าคิดว่าแปดตำลึงก็เป็นราคาที่น่าสนใจ”
“ได้ ถ้าเช่นนั้นข้าจะนำผ้าพวกนี้ไปให้พวกเขาดูก่อน แต่เท่าที่ข้าเห็นผ้าเหล่านี้ล้วนมีตำหนิน้อย หากเราทำการขายจำนวนมาก ก็ต้องมีผ้าที่มีตำหนิมากปะปนไปด้วย เรื่องนี้จะมีปัญหาหรือไม่”
“คุณหนูหมายถึง พวกเขาต้องการซื้อเยอะหรือขอรับ” เมื่อได้ยินว่าจะสามารถขายผ้ามีตำหนิพวกนั้นได้จำนวนมาก หลงจู๊ก็สนใจมากขึ้นทันที
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่ข้าคิดว่าหากขายให้พวกเขาได้ ข้าก็อยากทำสัญญาขายระยะยาว ต่อไปเมื่อผ้ามีตำหนิก็จะไม่ทำให้ขาดทุนจนเกินไป”
“เป็นเช่นนั้น หากสามารถขายผ้าที่มีตำหนิมากด้วยได้ ก็สามารถลดราคาได้อีกเล็กน้อย”
“เอาเถอะ ท่านลุงฝู ไว้ข้าจะลองเจรจากับพวกเขาก่อน หากตกลงกันไม่ได้ข้าจะกลับมาปรึกษาท่านอีกครั้งเจ้าค่ะ”
เมื่อเกริ่นเรื่องการซื้อผ้าจบซูเจินจูก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ตอนนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วเหลือก็เพียงแต่ลงมือทำผ้าออกมาแล้วนำกลับมาขายในร้านผ้าซูเตี้ยนเท่านั้น
เย็นวันนั้นซูเจินจูและสี่เสวี่ยแวะไปซื้อรังผึ้งที่ร้านชำบ้านไฉพอใกล้ถึงหน้าร้าน กลับเจอคนที่ไม่น่าจะเจอมากที่สุดอย่างซูเม่ย ซูเม่ยยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของร้านชำบ้านไฉ นางจิตใจจดจ่อไปภายในร้านจนไม่เห็นซูเจินจูด้วยซ้ำ ซูเจินจูเองก็ลังเลที่จะเข้าไปในร้านตอนนี้ นางไม่สามารถให้ใครรู้ได้ว่านางกำลังจะทำอะไร ไม่เช่นนั้นรายได้ทั้งหมดต้องกลายเปนของตระกูลซู เพียงครู่เดียวซูเจินจูก็เห็นเหลียนฮัวสาวใช้คนสนิทของซูเม่ยก็เดินออกมาจากในร้าน ทั้งสองพูดคุยกันสองสามคำซูเม่ยก็เดินออกไปด้วยสีหน้าผิดหวัง เห็นว่าซูเม่ยเดินออกไปไกลแล้ว ซูเจินจูจึงเดินเข้ามาซื้อรังผึ้ง
“คุณหนูแซ่ซู ท่านกลับไปเถอะ นายน้อยไฉไม่ว่างพบท่านจริงๆ ท่านมาทุกวันแบบนี้ข้าเองก็ลำบากใจ”
“เพ้ย เจ้าผายลมหรือ ปากเจ้าเหม็นยิ่งนัก กล้าดียังไงมาดูหมิ่นคูณหนูของข้า ใครมาพบนายน้อยของเจ้ากัน คุณหนูของข้าจะมาซื้อรังผึ้ง”
“ขออภัยขอรับ ขออภัยแม่นาง ขออภัยคุณหนู เป็นข้าปากพร่อยไม่ดูให้ดีว่าท่านเป็นใคร หากต้องการซื้อรังผึ้งตามข้าน้อยมาทางนี้เลยขอรับ”
“ไม่ต้อง รังผึ้งของเจ้าข้าเคยเห็นแล้ว ข้าซื้อรังขนาดใหญ่สิบอัน เจ้าไปหยิบให้ข้าเถอะ” ซูเจินจูพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย เห็นท่าทีเด็กในร้านกับท่าทีของซูเม่ยเมื่อครู่ นางก็พอเดาอะไรได้บางอย่าง เรื่องนี้นางไม่อยากยุ่ง ดูท่าต้องให้สี่เสวี่ยไปดูที่ร้านอื่นเสียแล้วว่าที่ใดมีรังผึ้งขายอีกบ้าง
“ได้ขอรับ คุณหนูรอที่นี่สักครู่”
แต่ดูท่าสวรรค์คงเกลียดนาง คนที่นำรังผึ้งออกมากลับเป็นไฉตงชุน
ไฉตงชุนเป็นชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา กริยามารยาทไม่สุภาพเท่าเหล่าขุนนางแต่ก็ไม่ได้กระโชกโฮกฮาก บุคลิกดูเหมือนเจ้าสัวตัวน้อย ใครเห็นก็ต้องให้ความเคารพอยู่หลายส่วน
“คุณหนูสี่ซู ข้าได้ยินว่าเจ้ามาซื้อรังผึ้ง จึงนำออกมาให้ ข้ายังนึกว่าเจ้าไม่ต้องการรังผึ้งพวกนี้เสียแล้ว” ไฉตงชุนรวบรวมความกล้าที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อเอ่ยทักซูเจินจู นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้คุยกับนาง หลังจากที่เขาให้แม่สื่อไปสู่ขอ นางก็ไม่ได้มาซื้อของที่ร้านเขาอีก ทำให้เขาร้อนใจแอบไปเจอหน้านางที่ร้านผ้าซูเตี้ยนครั้งหนึ่ง แต่ก็ถูกบ่าวที่แม่ของเขาส่งไปจับกลับมา พ่อและแม่ของเขาก็ไม่พอใจที่นางมีสัญญาติดพันกับลูกชายนายอำเภอ อย่างไรซะพวกเขาก็เป็นพ่อค้า ไม่สามารถมีเรื่องกับขุนนางได้ เรื่องนี้ทำให้เขากินไม่ได้ นอนไม่หลับ จะตัดใจจากนางก็ทำไม่ไหว จะไปพูดคุยกับจวนนายอำเภอเรื่องของนางยิ่งเป็นไปไม่ได้
“รังผึ้งที่ร้านของท่านเป็นของดี ข้ายังต้องการอยู่เรื่อยๆเจ้าค่ะ” ใบหน้าเฉยชายกยิ้มเพียงมุมปากของซูเจินจูก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาใจสั่นจนทำอะไรไม่ถูก
“เป็นเช่นนั้น ในเมื่อเจ้าต้องการข้าก็จะรับซื้อจากพวกชาวบ้านไว้เรื่อยๆ” ไฉตงชุนหน้าแดงไปจนถึงหู ตอนนี้เขานึกด่าตัวเองที่อายุขนาดนี้กลับไม่เคยใกล้ชิดสตรีจนทำให้ประหม่าต่อหน้าสตรีที่เค้าหลงรัก
“ขอบคุณนายน้อยไฉเจ้าค่ะ”
สี่เสวี่ยจ่ายเงินสี่ตำลึงสำหรับค่ารังผึ้งแก่หลงจู๊ในร้าน ก่อนจะพาซูเจินจูออกจากร้านมา
..
“เจ้าเรียกข้าว่าพี่ตงชุนได้หรือไม่...” ไฉตงชุนพึมพำกับตนเองเบาๆ หลังจากที่ซูเจินจูออกจากร้านไป สายตาทอดยาวออกไปตามทางที่นางเดินออกไปจนลับตา..
ซูเจินจูแจ้งฮูหยินซูว่าตนจะออกไปทำการค้าที่ตำบลเป็นเวลาสามวัน ฮูหยินซูไม่ได้ว่าอะไรและไม่ได้ให้เงินค่าเดินทางและค่าโรงเตี๊ยมแก่นางด้วย หลังจากออกจากห้องของฮูหยินซูก็เข้ามาลาฮูหยินรองมี่ซิ่น
“ท่านแม่ ข้าต้องออกไปทำการค้าที่ตำบลเจ้าค่ะ ข้าไปสามวัน ท่านดูแลตัวเองด้วย” เอาเถอะ อย่างไรก็เป็นแม่ของเจ้าของร่าง ทำดีกับนางเสียหน่อยนางจะได้ไม่สร้างเรื่องรำคาญใจ แล้วก็ถือว่าเป็นค่าตอบแทนร่างกายนี้ด้วย
“เหตุใดเจ้าต้องไปด้วยตนเอง เจ้าเป็นเพียงสตรีที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่นคนหนึ่งเท่านั้น ข้าว่าเจ้าอยู่บ้านเย็บปักถักร้อยรอคุณชายหลินมารับเข้าจวนเถอะ” มี่ซิ่นไม่เห็นด้วย หากระหว่างเกิดพลาดท่าเสียทีพวกอันธพาล ความฝันที่อยากมีลูกเขยเป็นขุนนางของนางคงจบสิ้น
“หากคุณชายหลินไม่มารับล่ะเจ้าคะ ไม่สู้ข้าออกไปเรียนรู้การค้า ต่อไปภายหน้ายังมีการค้าไว้เลี้ยงตัวเอง”
“ภายภาคหน้าของสตรีจะได้ดีก็ต่อเมื่อเจ้ารู้จักวิธีปรนิบัติเอาใจบุรุษ ข้าเห็นว่าคุณชายหลินมาหาเจ้าหลายครั้งแล้ว เป็นเจ้าที่แง่งอนไม่ยอมออกไปพบ” พอนึกถึงเรื่องนี้มี่ซิ่นก็ไม่พอใจทันที ทุกครั้งที่คุณชายหลินมา กลับมีเพียงคุณหนูใหญ่ออกไปต้องรับ ลูกสาวของนางกลับโง่งมหลีกเลี่ยงคุณชายหลินอยู่เสมอ
“ข้าไม่ได้แง่งอน เพียงแต่ไม่มีเรื่องให้พูดคุย อีกทั้งการค้าในมือข้าก็มากนัก จึงไม่สะดวกใช้เวลาคุยเล่นกับคุยชายหลินเจ้าค่ะ”
“เจ้าอย่าทำเช่นนี้อีก ข้ารู้ว่าสิ่งมากมายในมือเจ้าคือขนม ไม่ใช่การค้า ต่อไปหากคุณชายหลินมาหาเจ้า เจ้าก็ต้องออกมาพบ หากเขาต้องการอะไรเจ้าก็ต้องตามใจ ต่อให้เขาต้องการขึ้นเตียงกับเจ้า เจ้าก็ต้องพาเขาไปที่เรือนแล้วปรนิบัติอย่างดี ขึ้นชื่อว่าบุรุษ เจ้ายั่วยวนเสียหน่อยอย่างไรเขาก็ไม่มีทางปฏิเสธ หลังจากที่เจ้าเป็นเมียเขาแล้วก็มาบอกข้า ข้าจะเป็นคนพาเจ้าไปส่งที่จวนนายอำเภอด้วยตัวเอง เรื่องนี้เจ้าอย่าได้ชักช้า ไม่เช่นนั้นคุณหนูใหญ่คงขึ้นไปอยู่บนเตียงก่อนเจ้าเป็นแน่”
“ท่านแม่ อันที่จริงเรื่องนี้สิ่งที่ท่านพ่อต้องการที่สุดก็คือเส้นสายการค้า ดังนั้นบนเตียงของคุณชายหลินจะเป็นพี่ใหญ่หรือเป็นข้า ก็ไม่ได้ต่างกันเลยนะเจ้าคะ ข้าเองก็เห็นความรักที่พีใหญ่มีให้คุณชายหลิน ไม่สู้สนับสนุนให้พี่ใหญ่สมหวังจะดีกว่าบังคับข้าเข้าไปนะเจ้าคะ”
“เจ้ามันโง่ยิ่งนัก ผู้ชายดีๆกลับหยิบยื่นให้แก่ผู้อื่น สัญญาสาวใช้อุ่นเตียงของเจ้าอยู่กับข้า ไม่ว่าใครก็อย่าหวังจะทำลายสัญญาฉบับนี้เลย ข้าอยากจะจับเจ้าส่งไปที่เตียงคุณชายหลินนัก ยิ่งพูดก็ยิ่งชังพ่อเจ้า แทนที่จะรวบรัดกลับไปทำสัญญาสองปี คอยดูเถอะกว่าจะครบสองปี ลูกเขยของข้าก็คงตกไปเป็นลูกเขยของคนอื่นก่อนแล้ว”
ยิ่งคุยกับมี่ซิ่น ยิ่งทำให้ซูเจินจูเปิดโลก ให้ตายเถอะ ผู้หญิงคนนี้ในหัวมีแต่เรื่องแปลกๆ ความคิดเรื่องพวกนี้กว้างไกลเพียงไหนกันถึงได้พูดเรื่องยั่วยวนผู้ชายกับลูกสาววัยสิบสามปีอย่างไม่กระดากอายสักนิด
ซูเจินจูที่คุยกับฮูหยินรองจนหมดแรงเดินกลับมาที่เรือนก็เห็นว่าสี่เสวี่ยเตรียมข้าวของไว้เรียบร้อยแล้ว และยังไม่ลืมที่จะเตรียมเบาะรองนั่งอย่างดีไว้ให้นางถึงสี่ใบ“คุณหนูของที่ต้องเตรียมจากที่เรือนนี้ บ่าวเตรียมครบแล้วเจ้าค่ะ แต่ที่บ้านของคุณหนูไม่มีทั้งเครื่องเรือนแล้วครื่องครัว คุณหนูจะอยู่ลำบากเกินไปหรือไม่เจ้าคะ”“พรุ่งนี้ระหว่างทางก็แวะร้านค้าในตำบลเสียหน่อย ซื้อเครื่องนอนสองชุด ตะเกียงสี่ชุด เครื่องครัวก็ตามที่เจ้าเห็นสมควร ข้าวสาร ธัญพืชอีกเล็กน้อย แล้วก็แวะ
“พวกท่านให้บ่าวไปตามข้า มีอะไรหรือเจ้าคะ” ซูเจินจูเบื่อที่จะต้องเสแสร้งพูดจาสามส่วนเช่นนี้ นางอยากจะถามตั้งแต่ประโยคแรกที่มาถึงแล้วว่าเรียกนางมาทำไม นางไม่เข้าใจเหตุใดวาจาสามส่วนพูดอ้อมเจ็ดส่วนพวกนี้ถึงได้เป็นที่นิยมนัก“ข้าเพียงมาบอกเจ้าว่า พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปสอบก่งเซิ่น” เรื่องพวกนี้ต้องให้เขาเตือนด้วยหรือ นางที่จะเป็นเป็นสตรีของเขา เหตุใดจึงไม่ปักรองเท้าให้เขาเล่า ไม่ใช่ว่าเป็นที่รู้กันอยู่แล้วหรือว่ายามบุรุษไปสอบเคอจวี่ ต้องให้รองเท้าเป็นความหมายว่าให้เดินทางปลอดภัย หากการเย็บปักของนางไม่ดี อย่างน้อยเพียงผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนเพื่อเป็นความหมายว่านางรอเขากลับมาก็ควรต้องมีใช่หรือไม่ หรือนางต้องการใช้โอกาสนี้สนิทสนมกับไฉตงชุน จึงได้ทำเช่นนี้“อ่อ เช่นนั้นข้าขออวยพรให้ท่านเดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ” เอ้า ก็แค่ไปสอบ จะต้องมาบอกด้วยหรือ“เจินจูเอ๋อร์ เจ้าเสียมารยามใส่คุณชายหลินอีกแล้ว ดูน้องสาวคนนี้ของหนี่ย์เอ๋อร์สิเจ้าคะ จะเข้าไปเป็นสตรีของคุณชายอยู่แล้วยังขาดการ
หลังจากขึ้นรถม้ามา สี่เสวี่ยก็อดที่จะพูดพึมพำใส่ซูเจินจูได้ไม่“เข็มเงินร้านข้างนอกชุดละหกตำลึงเท่านั้นนะเจ้าคะคุณหนู”“ข้ารู้ แต่คุณภาพต่างกันมากนัก เข็มเงินของท่านอาฮุ่ยซิ่วทั้งตรง กลม และแหลมในขนาดที่สมส่วน ขนาดเข็มแต่ละเล่มก็มีความสั้นยาวสูงต่ำตามที่ข้าต้องการ หากไปซื้อร้านด้านนอก วันนึงก็ต้องกลับมาสั่งทำอยู่ดี เมื่อถึงวันนั้นต้นแบบก็ไม่มี ไม่รู้จะได้เข็มเงินที่ถูกใจเช่นนี้หรือไม่”“แต่ว่า คุณหนูใช้เงินจนจะหมดอีกแล้วนะเจ้าคะ เหลือเพียงหนึ่งร้อยสิบเอ็ดตำลึงเท่านั้น อีกทั้งกลับไปคราวนี้ยังต้องจ้างช่างเฉินมาทำสร้างห้องบ่าวไพร่ จะให้บ่าวไพร่มาอยู่ร่วมเรือนไม่ได้นะเจ้าคะ”“ข้ารู้แล้ว อย่างไรเสียช่วงนี้พวกเราก็ไม่ได้อยู่ สร้างก่อนสองห้อง สามวันก็คงเสร็จ”รถม้าพุ่งออกจากอำเภอเหอ แวะซื้อข้าวของจำเป็นที่ตำบลจางหนาน จ้างเกวียนเทียมวัวอีกหนึ่งคันเพื่อบรรทุกข้าวของ ก่อนมุ่งหน้าเข
เมื่อถึงบ้านชนบท ซูเจินจูเข้าไปทำลายผ้าทันที สี่เสวี่ยจัดการบอกกล่าวกฎระเบียบในบ้านให้ซินซียงทาสที่ซื้อมาใหม่ฟัง เมื่อเห็นว่าหลิวหยางและจางหมิ่นออกไปอยู่ที่เรือนชั้นนอกแล้ว ก็ให้ซินเซียงเข้าไปพักอยู่ห้องเดิมของทั้งสองคนก่อน ตรวจดูความเรียบร้อยในบ้านและในครัวแล้วเห็นว่าข้าวและธัชพืชเหลือเล็กน้อย จึงให้หลิวหยางเตรียมรถม้าและพาซินเซียงไปตลาดในตำบล สี่เสวี่ยซื้อชุดเครื่องนอนใหม่และผ้าฝ้ายสำหรับตัดชุดหนึ่งพับให้ซินเซียง ข้าวสาร ธัญพืช ผักดอง เกลือ น้ำตาล เพียงพอที่จะใช้ไปถึงสองเดือน สี่เสวี่ยจ่ายเงินสามตำลึงอย่างเจ็บปวดและยัดของทุกอย่างเข้าไปในรถม้า วันนี้คุณหนูไม่ได้มาด้วย นางไม่จำเป็นต้องจ้างเกวียนเทียมวัวเพิ่มเมื่อกลับมาถึงบ้าน แต่ละคนก็ต่างทำหน้าที่ของตนเอง สี่เสวี่ยไปวาดลายผ้าที่ลานหิน ซินเซียงเก็บข้าวของและเข้าครัวทำกับข้าว หลิวหยางตรวจตราบริเวณหน้าบ้านไม่ให้คนงานเข้ามาวุ่นวายที่เรือนชั้นใน จางหมิ่นตรวจตราบริเวณหลังบ้าน ดูแลสวนดอกหอมหมื่นลี้และดูแลซูเจินจูบริเวณลานหิน
คราแรกสี่เสวี่ยไม่ต้องการให้คุณหนูเลือกทาสที่ดูน่ากลัวผู้นี้ แต่คัดค้านความต้องการของคุณหนูไม่ได้ เมื่อฟังพ่อค้าทาสแล้วก็เบาใจขึ้นหลังจากจ่ายเงินสามสิบตำลึง สี่เสวี่ยไปซื้อรังผึ้งจากร้านชำบ้านไฉและพาเยว่ชิงออกเดินทางไปที่หมู่บ้านชนบททันทีซูเจินจูพาเฟยหลันมาที่ร้านผ้าซูเตี้ยน ให้นางเลือกชุดผ้าฝ้ายสำเร็จรูปสองชุดก็จะตรงไปที่โรงหลอมเหล็กอู่จินจาง“เจ้าเข้าไปเลือกอาวุธสักชิ้นเถอะ”“….”“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นวรยุทธ์ เข้าไปเลือกเถอะ”“คุณหนู เหตุใด...” นางแปลกใจ เฉพาะแผลเป็นบนใบหน้าก็ทำให้คนทั่วทั้งแคว้นรังเกียจนาง ผู้ที่ต้องการซื้อตัวนางล้วนเป็นบุรุษวัยกำดัด หากเป็นสตรีก็สตรีที่ชื่นชอบการเหยียบย่ำผู้อื่น แต่หากรู้ว่านางเป็นวรยุทธ์ก็จะยิ่งทรมานนางมากขึ้น ด้วยรู้นางไม่สามารถตอบโต้ได้ ก่อนหน้านี้นางถูกคุณหนูจวนแม่ทัพผิงซื้อตัวไป
วันต่อมาซูเจินจูมาที่โถงยาเจี้ยนคังอีกครั้ง เมื่อวานนางลืมซื้อสมุนไพรแก้พิษแมงมุมและยาห้ามเลือด นางต้องการกลับเข้าไปจับแมงมุมตัวโตเต็มวัยมาลองสกัดพิษสักสองตัว ดังนั้นนางต้องปรุงยาแก้พิษพวกมันเสียก่อนโดยปกติตำรับยารักษาแผลกับห้ามเลือดจะเป็นคนละตำรับกัน แต่ซูเจินจูใช้ความรู้ดั้งเดิมปรับสูตรยาเป็นฟื้นฟูเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังลดอักเสบฆ่าเชื้อและห้ามเลือดเข้าด้วยกัน สมุนไพรสำคัญของยาตัวนี้คืออ้ายเยี่ยที่มีคุณสมบัติขับกระจายความเย็นระงับปวด อบอุ่นเส้นลมปราณเพื่อห้ามเลือด หวงฉีที่มีคุณสมบัติทำให้ชี่ไหลเวียน ระงับปวด ช่วยรักษาบาดแผลและสร้างเนื้อเยื่อ ป๋าเซีย เป็นยาฆ่าเชื้อตามธรรมชาติและเป็นตัวยาเสริมของยาแก้พิษทั่วไป เมื่อสมุนไพรหลักสามตัวรวมกับสมุนไพรเสริมอีกสามสิบชนิดก็จะได้ยาใส่แผลคุณภาพดีเลยที่เดียวส่วนสมุนไพรแก้พิษนั้นกลับมีไม่ครบ ขาดส่วนประกอบสำคัญอย่างรากหญ้าขน แต่รากหญ้าขนไม่ใช่ของหายากอะไร นางสามารถเก็บได้ตามภูเขานอกเมืองหลังจากซื้อสมุนไพรที่ต้องการแล้วนางแ
“ช่วยด้วย นายหญิง ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ” สตรีผู้หนึ่งวิ่งมาที่เฟยหลัน ร้องตะโกนขอให้ช่วยอย่างสุดเสียง เมื่อนางวิ่งมาจนถึงรถม้าก็คุกเข่าลงที่หน้าเฟยหลันทันที“นายหญิงช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ”เฟยหลันสังเกตว่ามีชายฉกรรจ์วิ่งตรงมาทางนี้อีกเกือบสิบคน นางไม่อยากให้คุณหนูที่อ่อนโยนอย่างซูเจินจูต้องรับรู้เหตุการณ์ตรงหน้าจึงชักกระบี่อ่อนออกมาขวางสตรีผู้นั้นไว้“แม่นาง เจ้านายของข้าต้องรีบเดินทาง ขอแม่นางอย่าขวางทาง”“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ หากข้าถูกจับไปข้าต้องตายแน่ๆ”“พวกเจ้า ส่งตัวนังแพศยานั่นมา ไม่ใช่นั้นอย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจ” เหล่าชายฉกรรจ์ที่วิ่งตามมาถึงก็ตะโกนใส่เฟยหลันทันที“พวกมันเรียกเจ้าแล้ว เจ้าไปเถอะ อย่าทำให้คุณหนูของข้าต้องแปดเปื้อน” การแกะมือของสตรีผู้นั้นออกจากร่างกายสำหรับเฟยหลันที่เป็นวรยุทธ์ไม่ใช่เรื่องยากนัก แต่สตรีผู้นั้นก็เห็นขบวนร
ซูเจินจูที่สั่งงานเสร็จเรียบร้อยก็เข้าไปปรุงยาในห้อง เพียงไม่นานยาทั้งสองชนิดก็เสร็จเรียบร้อย ซูเจินจูสะพายตะกร้า พร้อมผ้าและเชือกสำหรับปิดด้านบนตะกร้าขึ้นไปยังถ้ำแมงมุมทันทีซูเจินจูเดินลัดเลาะขึ้นมาทางลัด นางจำได้ว่าหากมาจากอีกฝั่งก็จะเข้าไปในถ้ำได้เช่นกันแถมระยะทางก็ใกล้กว่า นางกระโดดขึ้นต้นไม้ตรวจสอบร่องรอยของทิศทางกระโดดจากต้นหนึ่งไปยังต้นหนึ่งอย่างมั่นคงเพียงนานก็มาถึงหน้าถ้ำแต่เมื่อซูเจินจูกระโดดลงมาจากต้นไม้สิ่งที่รอรับเท้าทั้งสองข้างของนางอยู่กลับไม่ใช่พื้นดิน“โอ้ย” ซูเจินจูที่รั้งตัวเองไว้ไม่อยู่ก็ล้มลงไปหัวกระแทกพื้นดินเข้าอย่างจัง ความคิดชั่ววูบที่ผุดขึ้นมาคือการกระทบกระเทือนที่หัวจะทำให้วิญญาณนางหลุดออกจากร่าง ทำให้นางรีบจับเนื้อจับตัวของตัวเอง ลมหายใจหนักหน่วงประหนึ่งว่าโล่งใจที่ไม่ได้กลายเป็นวิญญาณเร่รอนถูกผ่อนออกมา เมื่อตั้งสติได้ก็หันมามองที่ต้นเหตุ“เพ้ยยยย ศพคนนี่หว่า ไฉนมีคนมานอนตายหน้าถ้ำ บรื้ออ” นางใช้เท้าเขี่ยศพที่
“เฟยอวี่ การเข้าเมืองหลวงต้องใช้ป้ายผ่านเข้าเมืองด้วยหรือ”“จริงๆแล้วไม่ต้องใช้เจ้าค่ะคุณหนู แต่ชาวบ้านทั่วไปหากต้องการผ่านเข้าเมืองหลวงจะต้องเสียอีแปะเป็นค่าผ่านทางให้กับทหารเฝ้าประตู เสียเยอะหรือเสียน้อยแล้วแต่ว่าผู้เฝ้าประตูเป็นใคร ส่วนป้ายผ่านเข้าเมืองเป็นเพียงชื่อเรียกเท่านั้นเจ้าค่ะ ในความเป็นจริงแล้วป้ายพวกนี้มีขึ้นเพื่อให้คนมีเส้นสายสามารถผ่านเข้าออกเมืองโดยไม่ต้องเสียอีแปะ ไม่ต้องต่อแถว ไม่ต้องตรวจค้นสัมภาระอย่างละเอียดและได้รับความเคารพจากทหารเฝ้าประตู รวมถึงป้องกันไม่ให้พวกทหารสร้างปัญหากับพวกคนรวยและขุนนางด้วยเจ้าค่ะ”“อ่อ แค่ยื่นป้ายออกไปก็ไม่มีใครกล้ายุ่งด้วยแล้วสินะ ช่างดีจริงๆ”“นายน้อยหงคงเหลือเส้นสายอยู่ไม่น้อยถึงขนาดใจกว้างทำป้ายให้คุณหนูได้ง่ายๆ”“เขาเห็นข้าเป็นโอกาสที่จะช่วยร้านผ้าฟู่หงเทียนกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้งต่างหาก เจ้าไปเตรียมตัวเถอะ ออกไปสืบข่าวดูสักหน่อยก็ได้ ไปเมืองหลวงครั้งนี้ข้าจะพาเจ้า สี่เสวี่ย หลิวหยาง จางหมิ่น เฟยหรง เฟยเมี่ยว และเฟยหลันไปด้วย บอกเพ่ยเพ่ยกับเยว่ชิงเสียแต่เนิ่นๆให้นางได้เตรียมตัวจัดการงานและดูแลเรื่องต่างๆทั้งหมดที่นี่ตอนที่พวกเรา
“พ่อหนุ่มเจิ้งผู้นี้ดูมีลับลมคมในเหลือเกินนะเจ้าคะ จะว่าไปพ่อหนุ่มเจิ้งเองก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องของตน แม่แต่แซ่ก็ไม่บอก ชื่อเจิ้งก็ไม่รู้ว่าใช่ชื่อจริงหรือไม่”“นั่นสิเจ้าคะคุณหนู คุณหนูเองก็แปลกนัก แค่พ่อหนุ่มเจิ้งบอกจะมาด้วยก็ปล่อยให้มา บอกจะไปก็ไม่ถามไถ่สิ่งใดสักคำ”“ช่างเขาเถอะ เพียงแค่ไม่มีพิษภัยกับพวกเราก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆรู้มากไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี”“เจ้าค่ะคุณหนู”ซูเจินจูพาเจียงไป๋ไปยังห้องที่เจียงชิงนอนอยู่และให้ซินเซียงยกที่นอนอีกหนึ่งอันมาวางข้างเตียงเพื่อให้พี่น้องได้นอนห้องด้วยกัน“เจ้านอนห้องเดียวกันไปก่อน ช่วงนี้ก็คอยดูแลนาง ข้างๆห้องเจ้าคือห้องของชิงหยุน มีอะไรก็ไปหานางได้ สี่เสวี่ยเจ้าไปบอกให้ซินเซียงหาอะไรให้เด็กนี่กินเสียหน่อยเถอะ”“เจ้าค่ะคุณหนู”เจียงไป๋มองคนทั้งหมดทยอยออกจากห้องไปก่อนจะหันกลับมานั่งข้างเตียงของเจียงชิง“พี่สาว ท่านรีบตื่นขึ้นมานะ…”... เช้าวันต่อมาซูเจินจูเดินทางเข้าร้านหว่างลี่เซียงพร้อมเฟยหลันตั้งแต่ยามเฉิน กิจการของร้านหว่านลี่เซียงเป็นไปด้วยดี คนที่ดูเหมือนจะทะเลาะกับผู้อื่นได้ง่ายๆอย่างเพ่ยเพ่ยกลับทำงานได้อย่างสงบเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นก
“มองอะไร พวกเจ้ามองอะไร ไอ้พวกไม่รู้เรื่องรู้ราว เด็กมันมีวาสนาได้ช่วยเหลือสกุล เลี้ยงมันต่อไปก็ไม่ใช่ว่ามันจะหาเงินให้ข้าได้ถึงยี่สิบตำลึงเสียเมื่อไหร่ ต้องมากินข้าวบ้านข้านอนบ้านข้าไม่สู้ไปกินบ้านอื่นนอนบ้านอื่นแล้วยังได้เงินรึ แล้วเงินที่มันถืออยู่ไม่ใช่ว่าขโมยของข้าไม่หรือไงเด็กอย่างพวกมันจะเอาปัญญาหาเงินมากมายขนาดนี้ได้ที่ไหน เอาเงินข้าคืนมานะไอ้พวกเด็กตัวเหม็น”“ท่านย่านี่เป็นเงินที่พี่สาวหามาได้ ไม่ได้ขโมยเงินของท่าน”“นั่นมันเงินโชคดีที่แม่หนูเจินจูแจกไม่ใช่หรือ บ้านข้าก็ได้มาสองพวง ไหมถักแบบนั้นรูปทรงแบบนั้น ข้าจำไม่ผิดหรอก” ชาวบ้านที่มุงดูอยู่พูดขึ้น“ใช่ ข้าเองก็จำได้ นั่นมันพวงเงินที่แม่หนูเจินจูแจกเมื่อวันเกิด” หัวหน้าหมู่บ้านหวังสำทับขึ้น ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างเคยได้รับพวงเงินโชคนี้ทุกคนล้วนเป็นพยายานให้เด็กน้อยว่าเขาไม่ได้ขโมยเงินของแม่เฒ่าเจียง“เหอะ เอาเข้าบ้านข้าก็ต้องเป็นของข้านั่นแหละ อาไป๋ เข้าบ้าน เหม่ยเหมย เสี่ยวเจี๋ยลากนังเด็กชิงเข้าบ้าน”“แม่เฒ่าเจียง รอเดี๋ยวก่อนเถอะ ข้าขอเจรจาเรื่องเด็กสองคนนี้สักประโยคหนึ่งได้หรือไม่” ซูเจินจูพูดยังไม่ทันจบ เฟยหลันก็เอาตัว
การค้าของร้านหว่านลี่เซียงเต็มไปด้วยความราบลื่น ที่ควรขายได้ขาย ที่ควรสงบก็สงบ กว่าลูกค้าคนสุดท้ายจะออกจากร้านก็เป็นยามโหย่ว หลังจากปิดร้าน เหล่าคนงานที่หมดแรงมานั่งรวมกันอยู่ที่กลางร้าน ซูเจินจูลากเก้าอี้มานั่งก่อนจะขอบคุณทุกคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการเปิดร้านวันแรกจนทุกอย่างผ่านไปด้วยดี วันนี้ถุงหอมขายได้หกร้อยหกใบ เป็นเงินหนึ่งหมื่นสองพันหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง การขายได้จำนวนมากตั้งแต่วันแรกนับเป็นเรื่องดีแต่ซูเจินจูกังวลว่าหากขายดีเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆคงไม่สามารถผลิตมาขายได้ทันสี่เสวี่ยรับหน้าที่สอนเยว่ชิงวาดลายผ้าและผสมสีผ้าไหมหอมหมื่นลี้ เมื่อเชี่ยวชาญแล้วเยว่ชิงจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลผ้าไหมหอมหมื่นลี้พวกนี้แทนสี่เสวี่ย อีกทั้งสี่เสวี่ยยังต้องคุมคนงานเย็บปัก และติดป้ายรับสมัครหญิงสาวที่เชี่ยวชาญงานเย็บปักมาปักถุงหอมหมื่นลี้ที่ร้านหว่านลี่เซี่ยงด้วยเฟยหรงและเฟยเมี่ยวที่เพิ่งได้ข่าวพรรคพวกอีกหนึ่งคนด้วยเห็นว่าพรรคพวกที่เจอนั้นถูกซื้อตัวไปด้วยชายชราที่อยู่กับหลานชายหนึ่งคนบนกระท่อมบนเขา นางไม่ได้ลำบากหรือโดนทำร้ายจึงพักการติดต่อแล้วหันมาช่วยซูเจินจูดูแลร้านหว่านลี่เซียงไปก่อน“เอาล
“องค์ชายหก ท่านช่างเป็นดาวนำโชคของพวกข้านัก” ชายหนุ่มอีกคนในกลุ่มที่ถูกเรียกว่าคุณชายเซียวพูดขึ้นขณะที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ยาวที่ปูทับด้วยเบาะรองนั่งขนกระต่าย เบาะรองนี้ซูเจินจูสั่งให้ซินเซียงทำขึ้นจากขนกระต่ายสีอื่นๆเย็บติดสวมทับเบาะด้านในที่ตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายยัดใส่ด้วยนุ่นที่ซื้อไปจากตำบลอีกที ที่สี่มุมผูกด้วยพู่หลากสีที่ทำขึ้นด้วยพู่ไหมจากเผ่าเจี๋ยที่ซูเจินจูได้รับมาจากนายท่านซูเมื่อครั้งออกไปทำการค้าต่างแคว้น“นั่นสิเพคะ หากไม่มีพระองค์พวกหม่อมชั้นคงต้องต่อแถวยาวหลายลี้ ตากแดดตากลมอยู่ด้านนอกเสียแล้ว” ผิงเหม่ยเหรินพูดขึ้นขณะพยักเพยิดไปท่างลี่รุ่ยเซียงสหายรักแต่ยังไม่ทันที่ลี่รุ่ยเซียงจะได้พูดอะไร องค์ชายหกก็หันกลับไปพูดคุยกับหญิงสาวอีกคนที่นิ่งเงียบมาตลอด“จิวอิง เหตุใดเจ้าจึงเงียบนัก คนงานนั่นก็บอกแล้วว่าเป็นถุงหอมหมื่นลี้ ไม่ใช่ผ้าไหมหอมหมื่นลี้เสียหน่อย หรือเจ้ากลัวว่าพวกข้าติดใจผ้าไหมหอมหมื่นลี้จนลืมผ้าไหมหยกของเจ้า”“หามิได้เพคะ ขอเพียงองค์ชายหกทรงพอพระทัย หม่อมฉันจะกล้าไม่พอใจได้เช่นไร”“คุณหนูเจ้าคะ มีกลุ่มคุณหนูคุณชายดูว่าจะมาจากเมืองหลวง อ้างตัวว่าเป็นองค์ชายหก ตอนนี้บ่
เช้าวันต่อมา หลิวหยางรับหน้าที่ขับรถม้าคันใหม่พาซูเจินจู สี่เสวี่ย เฟยหลัน และเฟยอวี่เข้าพบฮูหยินนายตำบลที่จวนนายตำบลเป่ย เมื่อมาถึงหน้าจวนนายตำบลหลิวหยางลงไปแจ้งกับคนเฝ้าประตูว่าคุณหนูของตนแซ่ซูชื่อเจินจูนำผ้าไหมหอมหมื่นลี้มาขอเข้าพบฮูหยิน พร้อมให้เงินหนึ่งตำลึงแก่คนเฝ้าประตู เงินหนึ่งตำลึงเร่งฝีเท้าคนให้ไวได้ดังม้า ไม่ถึงสองเค่อคนเฝ้าประตูก็ออกมาเปิดประตูให้ให้รถม้าเข้าไปซูเจินจูสวมชุดผ้าไหมหยกสีขาวปักลายนกกระยาง ลายปักละเอียดเพียงดูผ่านๆก็ยังสามารถรู้ได้ว่าเป็นงานปักชั้นสูง ผมรวบขึ้นอย่างประณีตปักด้วยปิ่นหยกขาวเนื้อดีหนึ่งคู่ที่ดูเข้ากันได้ดีกับกำไลหยกขาวที่ข้อมือ ผิวขาวราวหยก ขนตาเป็นแพหนาสีดำ ปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อยิ่งทำให้ซูเจินจูงดงามจนคนที่ได้เห็นไม่สามารถละสายตาไปได้สี่เสวี่ย เฟยหลัน เฟยอวี่ ผู้ติดตามทั้งสามคนสวมชุดผ้าไหมเฉกเช่นคุณหนูจากจวนใดจวนหนึ่ง เฟยหลันที่รอยแผลเป็นบนใบหน้าหายดีแล้วยิ่งดูงดงามและลึกลับเมื่อสวมชุดผ้าไหมสีน้ำเงิน ปักด้วยปิ่นเงินลายดอกหลันฮวาเดินคู่มากับเฟยอวี่ในชุดผ้าไหมสีเดียวกันรวมผมขึ้นอย่างเป็นระเบียบปักด้วยปิ่นเงินลายเมฆา สี่เสวี่ยที่ตามรับใช้ใกล้ชิ
ซูเจินจูฝั่งร้านผ้าซูเตี้ยนได้สั่งให้คนงานไปซื้อผ้าไหมหอมหมื่นลี้ของร้านผ้าเฉินอี้เตี้ยนมาหนึ่งพับ เมื่อสำรวจดูแล้วพบว่ากลิ่นของผ้าไม่ใช่กลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้แต่เป็นกลิ่นของดอกเหมย อีกทั้งลายผ้าไม่คมชัดคงเป็นการวาดลายลงไปโดยตรง การใช้สีอ่อนเช่นนี้จะทำให้ลายผ้ามีสีซีดได้ง่าย อีกทั้งกลิ่นดอกเหมยไม่สามารถเกาะติดผ้าได้ดีเท่ากลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้ เวลาผ่านไปสักพักกลิ่นก็คงจางหายไปเอง ดังนั้นผ้าไหมพวกนี้ไม่สามารถนับเป็นคู่แข่งอย่างแท้จริงได้หลงจู๊ฝูที่ออกไปสืบข่าวด้วยตนเองกลับมาพบนายท่านซูละซูเจินจูด้วยสีหน้าสบายใจ“เห็นทีว่าคุณหนูจะพูดถูกทุกอย่างเลยขอรับ ผู้ที่ซื้อผ้าไหมหอมหมื่นลี้จากร้านเฉินอี้เตี้ยนไปกลับมาโวยวายที่ร้านเหตุเพราะเพียงนำผ้าไปซักเท่านั้น กลิ่นที่ควรมีก็ไม่มีอีกต่อไป เห็นทีว่าร้านผ้าเฉินอี้เตี้ยนจะเสียชื่อเสียครั้งใหญ่เป็นแน่”“เช่นนั้นข้าค่อยสบายใจหน่อย เอาล่ะ เมื่อหมดเรื่องแล้วเห็นทีว่าถึงเวลาไปเอาผ้าเสียที เจ้าล่ะ อาจู จะไปเอาผ้าหอมไหมหมื่นลี้อีกเมื่อใด”“ข้าให้เฟยหลันไปเอาผ้าแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ก็คงนำผ้ากลับมาแล้ว เห็นทีว่างานปักงานแรกคงเป็นการตีตราร้านลงบนผ้าเสียแล้วน
“คุณหนู บ่าวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” เฟยหลันมองเฟยหมิงที่อยู่บนเตียงแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก ลมหายใจของนางดีขึ้นมากแล้ว คุณหนูรักษานางได้จริงๆซูเจินจูรับเข็มเงินและโถบดยาไปก่อนจะสั่งให้เสี่ยวเหลียนนำเข็มเงินไปต้มในน้ำร้อนและให้เฟยหลันกรีดผ้าที่ขาของเฟยหมิงออก“กระดูกขาของนางแตก หากนางทนอยู่เฉยๆ ไม่ขยับขาสักสามเดือนขาของนางก็จะกลับมาใช้ได้เหมือนเดิม”“นางยังจะกลับมาเดินได้อีกหรือเจ้าคะ”“ต้องนอนนิ่งๆอยู่แบบนี้ไปก่อนสามเดือน หากขยับเขยื้อนก่อนหน้านั้นก็อาจจะเดินไม่ได้”“คุณหนูเหมือนหมอเทวดาเลยเจ้าค่ะ”“เจ้าจะร้องไห้ทำไม ไอหย๋า ข้าแพ้น้ำตาของพวกเจ้านัก หยุดร้องเถอะข้าจะให้เสี่ยวเหลียนไปซื้อขนมให้เจ้ากิน”“คุณหนู บ่าวแค่ดีใจมากไปเจ้าค่ะ แต่เดิมบ่าวแค่ต้องการฝังศพนางให้ดีเสียหน่อย ใครจะรู้ว่าคุณหนูดึงวิญญาณนางกลับมาจากนรกได้”“เพ้ย เจ้านี่ ตายแล้วไม่ให้นางขึ้นสวรรค์แต่กลับให้นางไปลงนรก เอาล่ะๆ เจ้าไปบดยากองนั้นเถอะ เดี๋ยวข้าฝังเข็มเสร็จแล้วต้องพอกยาให้นาง”“ทั้งหมดเลยหรือเจ้าคะ มัน เยอะมากเลยนะเจ้าคะ”“ทั้งหมดนั่นแหละพอกทั้งขาแล้วเอาผ้ามาพันเข้ากับไม้แผ่นเสียหน่อย กระดูกจะได้ไม่เคลื่อนที่มากนัก”
หลังหลินเฮงฉวนกลับไปซูเจินจูเข้ามาที่ร้านผ้าซูเตี้ยนพร้อมกับนายท่านซู สินค้าที่นำกลับมาถูกจดไว้ในรายการอย่างลวกๆ ซูเจินจูจำเป็นต้องทำมันใหม่เพื่อให้เป็นระเบียบมากขึ้น นายท่านซูนำผ้าจากเผ่าเจี๋ย ชนเผ่าเร่ร่อนดำเดินชีวิตด้วยการเดินทางไปเรื่อยๆกลับมาไม่น้อย ผ้าจากเผ่าเจี๋ยเป็นผ้าหนังสัตว์ที่ถูกตัดเย็บด้วยวิธีการแปลกใหม่ หนังสัตว์ที่ไม่หนาฝีเข็มที่เย็บจนหนังแนบชิดติดกันจนลมไม่สามารถเข้าได้เป็นชุดคลุมอย่างดีสำหรับฤดูหนาว แต่ผ้าจากเผ่าเจี๋ยทั้งหมดเป็นเพียงของบรรณาการที่ส่งเข้าไปยังจวนขุนนางเท่านั้นทำให้ซูเจินจูรู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถทำกำไรจากของดีเช่นนี้ได้ วันนี้เป็นครั้งแรกที่นายท่านซูมีโอกาสดูงานประมูลผ้าไหมหอมหมื่นลี้ลายโบตั๋น ผ้าไหมสามพับทำกำไรได้มากถึงสี่พันสี่ร้อยตำลึง จริงอย่างที่หลงจู๊ฝูพูด ร้านผ้าซูเตี้ยนควรจัดงานกราบไหว้เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งได้แล้วผ้ามีตำหนิห้าสิบพับถูกขนย้ายออกมาเพื่อเตรียมไว้ให้ซูเจินจู อีกทั้งนายท่านซูยังมอบเงินให้ซูเจินจูห้าร้อยตำลึง“ข้าเพิ่งรู้ว่าฮูหยินไม่เคยให้เงินเจ้าเลยยามออกมาทำการค้า ต่อไปหากข้าไม่อยู่เจ้านำเงินของที่ร้านออกไปเป็นค่าเดินทางได้เล