เมื่อถึงวันนัด อิงเถากลับมารายงานซูหนี่ย์ว่าซูเจินจูออกจากบ้านไปตั้งแต่ยามเฉิน ไม่มีใครรู้ว่าไปที่ใด ซูหนี่ย์ก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่ออกไปพบคุณชายหลินเพียงลำพัง
ด้านซูเจินจูที่ออกจากบ้านมานั้น นางออกจากอำเภอเหอ ผ่านตำบลจี๋หลง และตำบลจ้างหนาน จนถึงหมู่บ้านซาน
หมู่บ้านซานเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่มีคนอาศัยอยู่เพียงห้าสิบหลังคาเรือน พื้นดินแห้งแล้งทำให้ปลูกพืชผักได้น้อยกว่าหมู่บ้านอื่น จึงไม่ค่อยมีคนนอกหมู่บ้านเข้ามาวุ่นวาย เป็นตัวเลือกที่ดีของนาง
ซูเจินจูเข้าไปพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้าน แจ้งความต้องการว่าต้องการซื้อที่ดิน หลังการสอบถามจนแน่ใจว่าพวกนางจะไม่เป็นอันตรายต่อคนในหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านก็พาพวกนางมาวัดที่ดินที่ว่างอยู่ท้ายหมู่บ้าน ที่ดินตรงนี้ด้านหน้าติดถนน รถม้าเข้าออกสะดวกด้านหลังลากยาวไปจนติดภูเขา ถัดไปอีกสิบจั้งก็เป็นลำธาร ติดตรงที่พื้นที่ตรงนี้กว้างถึงห้าสิบหมู่ ในตอนแรกซูเจินจูค่อนข้างลำบากใจถ้าหากต้องซื้อที่กว้างขนาดนี้ นางกลัวว่าเงินที่นางมีอยู่จะไม่พอ แต่เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าที่ตรงนี้หมู่ละสี่ตำลึง นางจึงรวบรัดขอซื้อที่วันนี้ทันที
ซูเจินจูจ่ายเงินสองร้อยตำลึงให้แก่เจ้าหน้าที่อำเภอพร้อมรับโฉนดที่ดินผืนแรกในชีวิตนี้มาส่งให้สี่เสวี่ย และยื่นเงินสิบตำลึงให้กับหัวหน้าหมู่บ้าน
“ขอบคุณนายหญิง” หัวหน้าหมู่บ้านยิ้มกว้างรับเงินสิบตำลึงไว้อย่างเต็มใจ เมื่อครู่ยังเรียกนางว่าแม่หนูอยู่เลย เห็นแก่หน้าเงินสิบตำลึงนางก็กลายเป็นนายหญิงเสียแล้ว
“เรียกข้าเหมือนเดิมเถอะ ต่อไปข้ากับสี่เสวี่ยคงต้องรบกวนหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว”
“ฮ่าๆ ข้าแซ่หวัง เจ้าเรียกข้าว่าลุงหวังเหมือนคนในหมู่บ้านเถอะ ต่อไปมีอะไรก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ” ลุงหวังรู้สึกถูกชะตากับแม่หนูคนนี้เสียเหลือเกิน ดูจากการแต่งตัวก็รู้ว่าต้องเป็นลูกผู้ดีมีเงิน แต่ก็ยังพูดจากับตนอย่างมีมารยาท พลางนึกไปถึงเรื่องเก่า ครั้งนึงตนเคยนำสัตว์ป่าไปขายในตำบล แม้แต่คนใช้ตระกูลผู้ดียังพูดจากับตนแย่กว่านี้เสียอีก
“ขอบคุณท่านลุงหวังเจ้าค่ะ”
ขณะนั่งรถม้ากลับมาส่งลุงหวังที่หมู่บ้าน ซูเจินจูก็ขอให้ลุงหวังหาช่างสร้างบ้านให้ ลุงหวังจึงให้รถม้าขับไปยังหมู่บ้านเติ้งกู่ หมู่บ้านเติ้งกู่มีคนงานที่มีฝีมือสร้างบ้านจำนวนมาก แต่ตอนนี้เข้าสู่ฤดูเพาะปลูกลุงหวังไม่รู้ว่าจะมีคนพร้อมไปทำงานมากน้อยเพียงใด
“คนแซ่เฉิน อยู่บ้านหรือไม่” ลุงหวังสั่งให้รถม้าจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่งที่ดูแข็งแรงกว่าบ้านหลังอื่นๆในหมู่บ้าน ผู้ที่เดินออกมาเปิดประตูคือเด็กหญิงอายุราวแปดขวบ
“ท่านพ่อไปที่นาเจ้าค่ะ”
“โอ้ อาเตี๋ยโตขนาดนี้แล้วหรือ อาฟางพี่สาวเจ้าอยู่หรือไม่ ให้นางไปตามพ่อเจ้ามาหน่อยเถอะ ข้าพาคนมาคุยเรื่องสร้างบ้าน”
“ท่านลุงเชิญเข้าบ้านก่อนเจ้าค่ะ พี่สาวข้าทำกับข้าวอยู่หลังบ้าน ข้าไปตามให้สะดวกกว่าเจ้าค่ะ” อาเตี๋ยตัวน้อยพูดจบก็วิ่งออกไปทันที รอเพียงหนึ่งก้านธูป บุรุษผู้หนึ่งก็อุ้มอาเตี๋ยเข้ามาในบ้าน
“ท่านลุงหวัง” เขาทักทายลุงหวังและปล่อยให้อาเตี๋ยวิ่งเข้าไปหลังบ้าน
“อาชุนมาแล้ว มาๆ นี่คือแม่หนูเจินจู นางซื้อที่ดินในหมู่บ้านข้า กำลังหาช่างไปสร้างบ้าน”
“คุณหนูเจินจู ข้าเฉินชุนเป็นหัวหน้าคนงาน รับสร้างบ้าน ท่านต้องการบ้านแบบไหนบอกข้าได้เลยขอรับ”
“ช่างเฉิน สิ่งแรกที่ข้าต้องการคือการล้อมรั้ว ที่ดินของข้ากว้างห้าสิบหมู่ ท่านใช้เวลานานหรือไม่”
“หากใช้อิฐต้องไปสั่งอิฐที่หมู่บ้านจั๋วมู่ ระยะเวลาขึ้นอยู่กับการส่งอิฐ ราคาอยู่ที่แปดสิบตำลึง หากใช้หินเริ่มงานได้ทันที ใช้เวลาสามวัน ราคาอยู่ที่ยี่สิบห้าตำลึงขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ใช้หินเถอะ ประตูด้านหน้าเว้นไว้ห้าจั้ง หากเจ้าทำประตูหินได้ ก็ทำประตูหินให้ข้าด้วย”
“ทำได้ขอรับ”
“ติดกับประตูหน้า ซ้าย ขวา เว้นที่ว่างไว้ก่อน ในอนาคตข้าต้องการทำห้องบ่าวรับใช้ฝั่งละสิบห้าห้อง ถัดลงมาสิบห้าจั้งทำประตูอีกชั้นนึง ประตูชั้นนี้กว้างสามจั้ง
ถัดจากประตูเข้ามาฝั่งขวา ใช้พื้นที่สิบหมู่ทำลานหิน ครึ่งซ้ายทำหลังคาจาก ครึ่งขวาปล่อยโล่ง
พื้นที่ฝั่งซ้ายสิบหกหมู่ก่อกำแพงอีกชั้นหนึ่ง ทำเป็นเรือนสองชั้น ชั้นนอกทำเพียงห้องโถง ชั้นในฝั่งซ้ายทำห้องสามห้อง ฝั่งขวาทำเป็นห้องยาวหนึ่งห้อง ตรงกลางเป็นห้องนอน ทำห้องเล็กฝั่งซ้ายและขวาด้วย ด้านหลังทำเป็นครัว ทำครัวให้ใหญ่หน่อย เรือนหลังนี้ข้าต้องการให้ใช้อิฐ หากทำตามนี้ท่านคิดราคาเท่าไหร่” ซูเจินจูพูดพลางก็ใช้กิ่งไม้มาวาดแบบคร่าวๆกับพื้นดินไปพลาง
“กำแพงหินประตูหินชั้นนอกข้าคิด สามสิบตำลึง กำแพงหินประตูหินชั้นใน สิบตำลึง ลานหินกับหลังคาครึ่งหนึ่งสามสิบห้าตำลึง บ้านอิฐสองชั้นห้าร้อยตำลึง ทั้งหมดห้าร้อยเจ็ดสิบห้าตำลึงขอรับ พวกข้าสามารถทำให้เสร็จได้ภายในสามสิบวัน”
“ได้ นี่คือตั๋วเงินสามร้อยตำลึง ข้ามัดจำเอาไว้ก่อน เมื่องานเสร็จข้าจะจ่ายส่วนที่เหลือ รบกวนท่านเขียนหนังสือสัญญาให้ข้าไว้เป็นหลักฐานด้วย” เฉินชุนรับตั๋วเงินไว้ด้วยความดีใจ ฤดูหนาวที่ผ่านมาพวกเขาไม่มีงาน ข้าวสาลี ธัญพืชก็กินจนหมด แม้แต่เงินหาซื้อเมล็ดพันธ์เพื่อเพาะปลูกยังแทบไม่มี หากได้งานนี้คนงานแต่ละครอบครัวก็จะได้ค่าแรงกันสามถึงสี่ตำลึง ตัวเขาที่เป็นหัวหน้างานและผู้ช่วยก็ได้เงินหลายสิบตำลึงเลยทีเดียว
หลังจากบอกลาช่างเฉินแล้ว ซูเจินจูก็กลับมาส่งหัวหน้าหมู่บ้านหวังที่หมู่บ้านซาน นางรบกวนหัวหน้าหมู่บ้านให้ช่วยมาดูความคืบหน้าการก่อสร้างให้นางด้วย ครั้งต่อไปที่นางจะมาที่นี่คืออีกครึ่งเดือน หลังจากฝากฝังทุกอย่างเรียบร้อยก็ยัดเงินอีกห้าตำลึงให้หัวหน้าหมู่บ้านหวังแต่คราวนี้เขาไม่รับเงินและบอกว่า แค่ชาวบ้านมีงานทำแม้ว่าจะเป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่นก็ถือว่าช่วยเหลือกันแล้ว
การเดินทางไปยังหมู่บ้านชนบททำให้ซูเจินจูเหนื่อยแทบขาดใจ ความโคลงเคลงของรถม้าทั้งยังต้องนั่งบนพื้นแข็งๆ ซูเจินจูถึงกับสาบานกับตัวเองในใจว่าคราวหน้าจะต้องพกเบาะรองนั่งอย่างดีไปด้วยให้ได้!!
เมื่อกลับมาถึงบ้าน อิงชุ่ยก็มาแจ้งว่าให้นางรีบไปพบคุณชายหลินเฮงฉวนที่มารอนางอยู่สามชั่วยามแล้ว
“คุณชายหลินคุยกับคุณหนูใหญ่อยู่ กำลังอารมณ์ดี คุณหนูสี่รีบเข้าไปตอนนี้เถอะเจ้าค่ะ” น้ำเสียงอิงชุ่ยคล้ายเหยียดหยามนาง เมื่อพูดจบไม่รอให้นางพูดต่อก็เดินจากไปทันที
“อืม” ซูเจินจูสั่งให้สี่เสวี่ยเอาของไปเก็บที่ห้อง ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาคนทั้งสองที่ศาลา
“คารวะคุณชายหลินเจ้าค่ะ” ซูเจินจูเหลือบตามองหลินเฮงฉวนที่นั่งจิบชานิ่งๆ โอ้โหว พ่อหนุ่มน้อย ออกมาจากรูปวาดเหรอ ถึงได้หล่อทุกองศาแบบนี้ ที่เขาว่าหล่อเหลาราวรูปปั้นก็คงปั้นมาจากหน้าพ่อหนุ่มนี่แหง๋ๆ แต่หลินเฮงฉวนยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงหวานๆของซูหนี่ย์ก็ดังขึ้น
“เจินจูเอ๋อร์ วันนี้เจ้าผิดนัดคุณชายหลินเสียแล้ว ข้าให้คนไปตามที่ร้านก็ไม่อยู่ เจ้าไปไหนมากันแน่ถึงต้องหลบๆซ่อนๆเช่นนี้”
“ขออภัยคุณชายหลินเจ้าค่ะ” หลบอะไร ซ่อนอะไร ลืมก็ลืมสิ ถึงไม่ลืมข้าก็ไม่ไปอยู่ดี
“คุณหนูใหญ่ ข้าขอคุยกับคุณหนูสี่ตามลำพังได้หรือไม่”
“ได้เจ้าค่ะ หากคุณชายหลินต้องการอะไรก็ให้บ่าวไปเรียกหนี่ย์เอ๋อร์นะเจ้าคะ” ซูหนี่ย์ที่ได้คุยกับหลินเฮงฉวนมาหลายชั่วยามลุกขึ้นไปโดยไม่อิดออดใดๆ นางรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องไม่พอใจนังจิ้งจอกนั่นมาก หากนางไม่อยู่ด้วย เขาก็จะจัดการนางจิ้งจอกนั่นได้ง่ายขึ้น
“เจ้าไปไหนมา” หลินเฮงฉวนถามขึ้น เขาไม่พอใจมากจริงๆ หากไม่ติดเรื่องที่เขาจะต้องรับนางเข้าไปเป็นสาวใช้อุ่นเตียง การที่นางจะไปมาหาสู่กับใครก็ไม่ใช่เรื่องของเขา แค่เขาอยากได้คำอธิบายจากนางกลับต้องแลกด้วยนั่งกินข้าวกับซูหนี่ย์ ผู้หญิงที่ดูเหมือนจะขี้อายแต่ก็หาเรื่องมาคุยกับเขาไม่หยุดหย่อน ต้องทนนั่งอยู่กับนางอีกสามชั่วยาม พยายามรักษามารยาทจนหน้าชาเพื่อรอสตรีที่พยายามหลบหน้าเขาอยู่ตลอดเวลาอย่างซูเจินจู ควรเป็นเขาที่หลบหน้านางไม่ใช่หรือ หรือนางไม่พอใจที่เขายังไม่รับนางเข้าจวนจนโกรธเขาขนาดนี้
“ข้าไปดูดอกไม้ที่หมู่บ้านจั๋วมู่มาเจ้าค่ะ”
“เหตุใดจึงไม่ไปตามนัด”
“เมื่อเช้าข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย กลัวว่าหากไปตามนัดจะทำให้คุณชายหลินติดไข้หวัดจากข้าเจ้าค่ะ”
“รู้สึกไม่สบาย แต่กลับไปไกลจนถึงหมู่บ้านชนบท เหตุใดไม่พักผ่อนอยู่บ้าน” เห็นชัดๆว่านางโกหก เหตุใดสตรีผู้นี้ถึงได้โกหกหน้าตายนัก
“คุณชายคงยังไม่ทราบ ว่าธรรมชาติสามารถทำให้ข้าสบายใจ และเมื่อข้าสบายใจอาการป่วยไข้ก็ลดลง ดังเช่นผู้คนมากมายที่เมื่อป่วยไข้ก็เลือกที่จะกลับไปรักษาตัวตามป่าตามเขา เพราะธรรมชาติบรรเทาอาการป่วยได้ยังไงล่ะเจ้าคะ” หากเป็นชาติที่แล้วต้องเจอคำถามรุกล้ำเรื่องส่วนตัวพวกนี้ นางคงเดินหนีหรือไม่ก็คงเลิกคบกับคนประเภทนี้ไปแล้ว คนที่ต้องรายงานตัวว่าทำอะไรตอนไหนอย่างไรเห็นทีคงมีแต่นักโทษเท่านั้น
“หากเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วก็ช่างเถอะ ต่อไปก็ให้ฮูหยินซูหาคนมาอบรมเจ้าสักหน่อย เป็นสตรีอย่าออกไปข้างนอกพียงลำพัง”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
“อีกอย่าง ตอนที่เจ้าคุยกับข้า เจ้าต้องรู้ไว้ว่าคำพูดบุรุษเป็นใหญ่ นั่นหมายถึงเจ้าต้องเคารพข้าที่เป็นบุรุษ คำพูดเถียงไปเถียงมาหาสาระไม่ได้ของเจ้า ต่อไปอย่าได้พูดอีก”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อหลินเฮงฉวนเห็นว่าซูเจินจูพูดง่ายก็ยิ้มเล็กน้อย คิ้วที่เคยขมวดจนเป็นปมก็คลายออกอย่างง่ายดาย ชั่วขณะนึงเขารู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งหมดนั้น เป็นเพราะซูเจินจูยังเด็ก เป็นเพียงสตรีที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่น การอบรมสั่งสอนก็ไม่ทั่วถึง อีกทั้งยังเป็นเพียงลูกของฮูหยินรอง พื้นเพของฮูหยินรองก็เป็นเพียงสาวชาวบ้านที่ถูกขายมา จะให้ตระกูลซูอบรมอย่างดีคงเป็นไปไม่ได้ ต่อไปภายหน้าหากได้เขาอบรม ซูเจินจูก็คงมีมารยาทมากขึ้นเอง
“อีกเรื่องนึง ข้าต้องการให้เจ้าเลิกยุ่งกับไฉตงชุน ในภายภาคหน้าเจ้าต้องเป็นสตรีของข้า ข้าขอสั่งห้ามเจ้า ห้ามยุ่งกับบุรุษคนใดทั้งสิ้น”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
หลินเฮงฉวนอดแปลกใจเล็กน้อยไม่ได้ เรื่องอื่นพูดง่ายก็ช่างเถอะ แต่ซูหนี่ย์บอกว่าซูเจินจูกับไฉตงชุนแอบพบกันบ่อยครั้ง ไฉนจึงตกปากรับคำเขาง่ายเช่นนี้
“เจ้าพบเขาบ่อยหรือไม่” หลินเฮงฉวนยกชาขึ้นดื่มพลางแอบสังเกตกริยาของซูเจินจู
“ข้าไม่รู้จักเขาเจ้าค่ะ” ซูเจินจูคร้านจะอธิบายนางจึงยกชาขึ้นจิบเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหลินเฮงฉวนตรงๆ
“คุณชายมีสิ่งใดจะสั่งข้าเพิ่มเติมก็เชิญสั่งมาได้เจ้าค่ะ หากไม่มีสิ่งใดแล้วข้าคงต้องขอตัวไปพักเสียหน่อย วันนี้นั่งอยู่ในรถม้าทั้งวันทำให้ร่างกายของข้าปวดเมื่อยไปหมดเสียแล้ว”
หลินเฮงฉวนถูกสายตาของซูเจินจูจ้องมาตรงๆจนเหมือนตกอยู่ในภวังค์ แม้จมีสตรีมากมายพึงใจเขา แต่ไม่มีสตรีใดเลยที่กล้าจ้องตาเขาตรงๆเช่นนี้ ดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายสดใส มีชีวิตชีวาตัดอารมณ์กับใบหน้าที่ดูเฉยชานั้น กลับเข้ากันได้ดี และยังทำให้ใจเขาสั่นอย่างประหลาด
“ข้าขอตัว” ซูเจินจูที่เห็นหลินเฮงฉวนเงียบไป นางจึงกล่าวลาอีกครั้งและลุกขึ้นมาทันที นางเพิ่งเดินไปได้สองสามก้าวก็ได้ยินหลินเฮงฉวนเรียกไว้
“หากเจ้าต้องการไปชมดอกไม้ก็ให้บ่าวไปบอกข้า คราวหน้าข้าจะพาเจ้าไปเอง” เมื่อพูดจบเขาก็ลุกออกไปทันที โดยไม่ได้บอกลาซูหนี่ย์ที่นั่งรอเขาอยู่ที่ห้องโถง
“คุณชายหลินกลับไปแล้วหรือเจ้าคะ” สี่เสวี่ยที่เห็นซูเจินจูเดินเข้าเรือนมาก็รีบออกมาหาทันที“กลับไปแล้ว สี่เสวี่ยเจ้าไปเอาเงินข้าออกมานับเร็ว ดูสิว่าข้าเหลือเงินเท่าไหร่”“นับเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ วันนี้คุณหนูซื้อที่ดินสองร้อยตำลึง ให้ลุงหวังสิบตำลึง มัดจำค่าปลูกบ้านสามร้อยตำลึง ค่ารถม้าสามร้อยอีแปะ ซาลาเปายี่สิบลูกแปดสิบอีแปะ ขนมร้านเสี่ยวซือกวงสองตำลึง บะหมี่ของคุณหนูสองชามของบ่าวหนึ่งชาม สิบห้าอีแปะ คุณหนูจะเหลือเงิน สามร้อยเก้าสิบห้าตำลึงกับหกร้อยสิบห้าอีแปะเจ้าค่ะ บ่าวแบ่งเงินที่ต้องจ่ายช่างเฉินออกมาอีก สองร้อยเจ็ดสิบห้าตำลึง คุณหนูจะเหลือเงินหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงกับหกร้อยสิบห้าอีแปะเจ้าค่ะ”“สี่เสวี่ย ต่อไปข้าคงต้องพึ่งพาฝีมือวาดรูปของเจ้า ให้เลี้ยงดูข้าเสียแล้ว” นางฟังที่สี่เสวี่ยเจื้อยแจ้วจัดการบัญชีให้นางดูเหมือนผู้จัดการตัวน้อย ทุกครั้งที่เงินในหีบนี้ลดลง สีหน้าของสี่เสวี่ยดูเจ็บปวดมากกว่านางที่เป็นเจ้าของเงินเสียอีก“หากคุณห
เมื่อไปถึงหมู่บ้านจั๋วมู่ ซูเจินจูพาหัวหน้าหมู่บ้านจั๋วมู่กับชาวบ้านอีกสามคนขึ้นไปดูต้นไม้ที่นางต้องการ“กลิ่นดอกไม้ที่เราได้กลิ่นกันมาจากต้นไม้พวกนี้หรือ” หลังจากที่มาถึงที่ กลิ่นหอมอบอวนทำให้ชาวบ้านแปลกใจ ใจนึงก็คิดว่าหากเป็นกลิ่นดอกไม้พวกนี้แล้วนางขุดไป ต่อไปจะไม่มีคนมาชมดอกไม้ที่หมู่บ้านอีกเป็นแน่“ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะท่านลุง กลิ่นพวกนี้เป็นกลิ่นจากดอกเหมยด้านล่างรวมกับกลิ่นความชื้นของป่าที่สมบูรณ์แห่งนี้เจ้าค่ะ แต่หากว่ามีคนขึ้นมาบนนี้บ่อยๆ ต้นไม้และเถาวัลย์ถูกเหยียบย่ำก็จะทำให้กลิ่นของดอกเหมยลอยออกไป ไม่ติดค้างอยู่ที่ที่เจ้าค่ะ ท่านลุงลองดมกลิ่นหญ้าพวกนี้สิเจ้าคะ หญ้าพวกนี้ก็มีกลิ่นเช่นเดียวกัน” ซุเจินจูไม่สามารถพูดความจริง หากนางบอกความจริงคนพวกนี้ไม่มีทางให้นางขุดต้นไม้พวกนี้แน่ นางทำได้พียงหาข้ออ้างที่แม้แต่นางก็ยังรู้สึกไม่น่าเชื่อ ก็ได้แต่ภาวนาในใจว่า หวังว่าท่านลุงทั้งหลายจะเชื่อข้านะเจ้าคะ“เป็นอย่างที่เจ้าว่า เห็นทีว่าไม่ว่าอะไรที่อยู่ตรงนี้
ซูเจินจูที่คุยกับฮูหยินรองจนหมดแรงเดินกลับมาที่เรือนก็เห็นว่าสี่เสวี่ยเตรียมข้าวของไว้เรียบร้อยแล้ว และยังไม่ลืมที่จะเตรียมเบาะรองนั่งอย่างดีไว้ให้นางถึงสี่ใบ“คุณหนูของที่ต้องเตรียมจากที่เรือนนี้ บ่าวเตรียมครบแล้วเจ้าค่ะ แต่ที่บ้านของคุณหนูไม่มีทั้งเครื่องเรือนแล้วครื่องครัว คุณหนูจะอยู่ลำบากเกินไปหรือไม่เจ้าคะ”“พรุ่งนี้ระหว่างทางก็แวะร้านค้าในตำบลเสียหน่อย ซื้อเครื่องนอนสองชุด ตะเกียงสี่ชุด เครื่องครัวก็ตามที่เจ้าเห็นสมควร ข้าวสาร ธัญพืชอีกเล็กน้อย แล้วก็แวะ
“พวกท่านให้บ่าวไปตามข้า มีอะไรหรือเจ้าคะ” ซูเจินจูเบื่อที่จะต้องเสแสร้งพูดจาสามส่วนเช่นนี้ นางอยากจะถามตั้งแต่ประโยคแรกที่มาถึงแล้วว่าเรียกนางมาทำไม นางไม่เข้าใจเหตุใดวาจาสามส่วนพูดอ้อมเจ็ดส่วนพวกนี้ถึงได้เป็นที่นิยมนัก“ข้าเพียงมาบอกเจ้าว่า พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปสอบก่งเซิ่น” เรื่องพวกนี้ต้องให้เขาเตือนด้วยหรือ นางที่จะเป็นเป็นสตรีของเขา เหตุใดจึงไม่ปักรองเท้าให้เขาเล่า ไม่ใช่ว่าเป็นที่รู้กันอยู่แล้วหรือว่ายามบุรุษไปสอบเคอจวี่ ต้องให้รองเท้าเป็นความหมายว่าให้เดินทางปลอดภัย หากการเย็บปักของนางไม่ดี อย่างน้อยเพียงผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนเพื่อเป็นความหมายว่านางรอเขากลับมาก็ควรต้องมีใช่หรือไม่ หรือนางต้องการใช้โอกาสนี้สนิทสนมกับไฉตงชุน จึงได้ทำเช่นนี้“อ่อ เช่นนั้นข้าขออวยพรให้ท่านเดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ” เอ้า ก็แค่ไปสอบ จะต้องมาบอกด้วยหรือ“เจินจูเอ๋อร์ เจ้าเสียมารยามใส่คุณชายหลินอีกแล้ว ดูน้องสาวคนนี้ของหนี่ย์เอ๋อร์สิเจ้าคะ จะเข้าไปเป็นสตรีของคุณชายอยู่แล้วยังขาดการ
หลังจากขึ้นรถม้ามา สี่เสวี่ยก็อดที่จะพูดพึมพำใส่ซูเจินจูได้ไม่“เข็มเงินร้านข้างนอกชุดละหกตำลึงเท่านั้นนะเจ้าคะคุณหนู”“ข้ารู้ แต่คุณภาพต่างกันมากนัก เข็มเงินของท่านอาฮุ่ยซิ่วทั้งตรง กลม และแหลมในขนาดที่สมส่วน ขนาดเข็มแต่ละเล่มก็มีความสั้นยาวสูงต่ำตามที่ข้าต้องการ หากไปซื้อร้านด้านนอก วันนึงก็ต้องกลับมาสั่งทำอยู่ดี เมื่อถึงวันนั้นต้นแบบก็ไม่มี ไม่รู้จะได้เข็มเงินที่ถูกใจเช่นนี้หรือไม่”“แต่ว่า คุณหนูใช้เงินจนจะหมดอีกแล้วนะเจ้าคะ เหลือเพียงหนึ่งร้อยสิบเอ็ดตำลึงเท่านั้น อีกทั้งกลับไปคราวนี้ยังต้องจ้างช่างเฉินมาทำสร้างห้องบ่าวไพร่ จะให้บ่าวไพร่มาอยู่ร่วมเรือนไม่ได้นะเจ้าคะ”“ข้ารู้แล้ว อย่างไรเสียช่วงนี้พวกเราก็ไม่ได้อยู่ สร้างก่อนสองห้อง สามวันก็คงเสร็จ”รถม้าพุ่งออกจากอำเภอเหอ แวะซื้อข้าวของจำเป็นที่ตำบลจางหนาน จ้างเกวียนเทียมวัวอีกหนึ่งคันเพื่อบรรทุกข้าวของ ก่อนมุ่งหน้าเข
เมื่อถึงบ้านชนบท ซูเจินจูเข้าไปทำลายผ้าทันที สี่เสวี่ยจัดการบอกกล่าวกฎระเบียบในบ้านให้ซินซียงทาสที่ซื้อมาใหม่ฟัง เมื่อเห็นว่าหลิวหยางและจางหมิ่นออกไปอยู่ที่เรือนชั้นนอกแล้ว ก็ให้ซินเซียงเข้าไปพักอยู่ห้องเดิมของทั้งสองคนก่อน ตรวจดูความเรียบร้อยในบ้านและในครัวแล้วเห็นว่าข้าวและธัชพืชเหลือเล็กน้อย จึงให้หลิวหยางเตรียมรถม้าและพาซินเซียงไปตลาดในตำบล สี่เสวี่ยซื้อชุดเครื่องนอนใหม่และผ้าฝ้ายสำหรับตัดชุดหนึ่งพับให้ซินเซียง ข้าวสาร ธัญพืช ผักดอง เกลือ น้ำตาล เพียงพอที่จะใช้ไปถึงสองเดือน สี่เสวี่ยจ่ายเงินสามตำลึงอย่างเจ็บปวดและยัดของทุกอย่างเข้าไปในรถม้า วันนี้คุณหนูไม่ได้มาด้วย นางไม่จำเป็นต้องจ้างเกวียนเทียมวัวเพิ่มเมื่อกลับมาถึงบ้าน แต่ละคนก็ต่างทำหน้าที่ของตนเอง สี่เสวี่ยไปวาดลายผ้าที่ลานหิน ซินเซียงเก็บข้าวของและเข้าครัวทำกับข้าว หลิวหยางตรวจตราบริเวณหน้าบ้านไม่ให้คนงานเข้ามาวุ่นวายที่เรือนชั้นใน จางหมิ่นตรวจตราบริเวณหลังบ้าน ดูแลสวนดอกหอมหมื่นลี้และดูแลซูเจินจูบริเวณลานหิน
คราแรกสี่เสวี่ยไม่ต้องการให้คุณหนูเลือกทาสที่ดูน่ากลัวผู้นี้ แต่คัดค้านความต้องการของคุณหนูไม่ได้ เมื่อฟังพ่อค้าทาสแล้วก็เบาใจขึ้นหลังจากจ่ายเงินสามสิบตำลึง สี่เสวี่ยไปซื้อรังผึ้งจากร้านชำบ้านไฉและพาเยว่ชิงออกเดินทางไปที่หมู่บ้านชนบททันทีซูเจินจูพาเฟยหลันมาที่ร้านผ้าซูเตี้ยน ให้นางเลือกชุดผ้าฝ้ายสำเร็จรูปสองชุดก็จะตรงไปที่โรงหลอมเหล็กอู่จินจาง“เจ้าเข้าไปเลือกอาวุธสักชิ้นเถอะ”“….”“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นวรยุทธ์ เข้าไปเลือกเถอะ”“คุณหนู เหตุใด...” นางแปลกใจ เฉพาะแผลเป็นบนใบหน้าก็ทำให้คนทั่วทั้งแคว้นรังเกียจนาง ผู้ที่ต้องการซื้อตัวนางล้วนเป็นบุรุษวัยกำดัด หากเป็นสตรีก็สตรีที่ชื่นชอบการเหยียบย่ำผู้อื่น แต่หากรู้ว่านางเป็นวรยุทธ์ก็จะยิ่งทรมานนางมากขึ้น ด้วยรู้นางไม่สามารถตอบโต้ได้ ก่อนหน้านี้นางถูกคุณหนูจวนแม่ทัพผิงซื้อตัวไป
วันต่อมาซูเจินจูมาที่โถงยาเจี้ยนคังอีกครั้ง เมื่อวานนางลืมซื้อสมุนไพรแก้พิษแมงมุมและยาห้ามเลือด นางต้องการกลับเข้าไปจับแมงมุมตัวโตเต็มวัยมาลองสกัดพิษสักสองตัว ดังนั้นนางต้องปรุงยาแก้พิษพวกมันเสียก่อนโดยปกติตำรับยารักษาแผลกับห้ามเลือดจะเป็นคนละตำรับกัน แต่ซูเจินจูใช้ความรู้ดั้งเดิมปรับสูตรยาเป็นฟื้นฟูเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังลดอักเสบฆ่าเชื้อและห้ามเลือดเข้าด้วยกัน สมุนไพรสำคัญของยาตัวนี้คืออ้ายเยี่ยที่มีคุณสมบัติขับกระจายความเย็นระงับปวด อบอุ่นเส้นลมปราณเพื่อห้ามเลือด หวงฉีที่มีคุณสมบัติทำให้ชี่ไหลเวียน ระงับปวด ช่วยรักษาบาดแผลและสร้างเนื้อเยื่อ ป๋าเซีย เป็นยาฆ่าเชื้อตามธรรมชาติและเป็นตัวยาเสริมของยาแก้พิษทั่วไป เมื่อสมุนไพรหลักสามตัวรวมกับสมุนไพรเสริมอีกสามสิบชนิดก็จะได้ยาใส่แผลคุณภาพดีเลยที่เดียวส่วนสมุนไพรแก้พิษนั้นกลับมีไม่ครบ ขาดส่วนประกอบสำคัญอย่างรากหญ้าขน แต่รากหญ้าขนไม่ใช่ของหายากอะไร นางสามารถเก็บได้ตามภูเขานอกเมืองหลังจากซื้อสมุนไพรที่ต้องการแล้วนางแ
“มองอะไร พวกเจ้ามองอะไร ไอ้พวกไม่รู้เรื่องรู้ราว เด็กมันมีวาสนาได้ช่วยเหลือสกุล เลี้ยงมันต่อไปก็ไม่ใช่ว่ามันจะหาเงินให้ข้าได้ถึงยี่สิบตำลึงเสียเมื่อไหร่ ต้องมากินข้าวบ้านข้านอนบ้านข้าไม่สู้ไปกินบ้านอื่นนอนบ้านอื่นแล้วยังได้เงินรึ แล้วเงินที่มันถืออยู่ไม่ใช่ว่าขโมยของข้าไม่หรือไงเด็กอย่างพวกมันจะเอาปัญญาหาเงินมากมายขนาดนี้ได้ที่ไหน เอาเงินข้าคืนมานะไอ้พวกเด็กตัวเหม็น”“ท่านย่านี่เป็นเงินที่พี่สาวหามาได้ ไม่ได้ขโมยเงินของท่าน”“นั่นมันเงินโชคดีที่แม่หนูเจินจูแจกไม่ใช่หรือ บ้านข้าก็ได้มาสองพวง ไหมถักแบบนั้นรูปทรงแบบนั้น ข้าจำไม่ผิดหรอก” ชาวบ้านที่มุงดูอยู่พูดขึ้น“ใช่ ข้าเองก็จำได้ นั่นมันพวงเงินที่แม่หนูเจินจูแจกเมื่อวันเกิด” หัวหน้าหมู่บ้านหวังสำทับขึ้น ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างเคยได้รับพวงเงินโชคนี้ทุกคนล้วนเป็นพยายานให้เด็กน้อยว่าเขาไม่ได้ขโมยเงินของแม่เฒ่าเจียง“เหอะ เอาเข้าบ้านข้าก็ต้องเป็นของข้านั่นแหละ อาไป๋ เข้าบ้าน เหม่ยเหมย เสี่ยวเจี๋ยลากนังเด็กชิงเข้าบ้าน”“แม่เฒ่าเจียง รอเดี๋ยวก่อนเถอะ ข้าขอเจรจาเรื่องเด็กสองคนนี้สักประโยคหนึ่งได้หรือไม่” ซูเจินจูพูดยังไม่ทันจบ เฟยหลันก็เอาตัว
การค้าของร้านหว่านลี่เซียงเต็มไปด้วยความราบลื่น ที่ควรขายได้ขาย ที่ควรสงบก็สงบ กว่าลูกค้าคนสุดท้ายจะออกจากร้านก็เป็นยามโหย่ว หลังจากปิดร้าน เหล่าคนงานที่หมดแรงมานั่งรวมกันอยู่ที่กลางร้าน ซูเจินจูลากเก้าอี้มานั่งก่อนจะขอบคุณทุกคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการเปิดร้านวันแรกจนทุกอย่างผ่านไปด้วยดี วันนี้ถุงหอมขายได้หกร้อยหกใบ เป็นเงินหนึ่งหมื่นสองพันหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง การขายได้จำนวนมากตั้งแต่วันแรกนับเป็นเรื่องดีแต่ซูเจินจูกังวลว่าหากขายดีเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆคงไม่สามารถผลิตมาขายได้ทันสี่เสวี่ยรับหน้าที่สอนเยว่ชิงวาดลายผ้าและผสมสีผ้าไหมหอมหมื่นลี้ เมื่อเชี่ยวชาญแล้วเยว่ชิงจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลผ้าไหมหอมหมื่นลี้พวกนี้แทนสี่เสวี่ย อีกทั้งสี่เสวี่ยยังต้องคุมคนงานเย็บปัก และติดป้ายรับสมัครหญิงสาวที่เชี่ยวชาญงานเย็บปักมาปักถุงหอมหมื่นลี้ที่ร้านหว่านลี่เซี่ยงด้วยเฟยหรงและเฟยเมี่ยวที่เพิ่งได้ข่าวพรรคพวกอีกหนึ่งคนด้วยเห็นว่าพรรคพวกที่เจอนั้นถูกซื้อตัวไปด้วยชายชราที่อยู่กับหลานชายหนึ่งคนบนกระท่อมบนเขา นางไม่ได้ลำบากหรือโดนทำร้ายจึงพักการติดต่อแล้วหันมาช่วยซูเจินจูดูแลร้านหว่านลี่เซียงไปก่อน“เอาล
“องค์ชายหก ท่านช่างเป็นดาวนำโชคของพวกข้านัก” ชายหนุ่มอีกคนในกลุ่มที่ถูกเรียกว่าคุณชายเซียวพูดขึ้นขณะที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ยาวที่ปูทับด้วยเบาะรองนั่งขนกระต่าย เบาะรองนี้ซูเจินจูสั่งให้ซินเซียงทำขึ้นจากขนกระต่ายสีอื่นๆเย็บติดสวมทับเบาะด้านในที่ตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายยัดใส่ด้วยนุ่นที่ซื้อไปจากตำบลอีกที ที่สี่มุมผูกด้วยพู่หลากสีที่ทำขึ้นด้วยพู่ไหมจากเผ่าเจี๋ยที่ซูเจินจูได้รับมาจากนายท่านซูเมื่อครั้งออกไปทำการค้าต่างแคว้น“นั่นสิเพคะ หากไม่มีพระองค์พวกหม่อมชั้นคงต้องต่อแถวยาวหลายลี้ ตากแดดตากลมอยู่ด้านนอกเสียแล้ว” ผิงเหม่ยเหรินพูดขึ้นขณะพยักเพยิดไปท่างลี่รุ่ยเซียงสหายรักแต่ยังไม่ทันที่ลี่รุ่ยเซียงจะได้พูดอะไร องค์ชายหกก็หันกลับไปพูดคุยกับหญิงสาวอีกคนที่นิ่งเงียบมาตลอด“จิวอิง เหตุใดเจ้าจึงเงียบนัก คนงานนั่นก็บอกแล้วว่าเป็นถุงหอมหมื่นลี้ ไม่ใช่ผ้าไหมหอมหมื่นลี้เสียหน่อย หรือเจ้ากลัวว่าพวกข้าติดใจผ้าไหมหอมหมื่นลี้จนลืมผ้าไหมหยกของเจ้า”“หามิได้เพคะ ขอเพียงองค์ชายหกทรงพอพระทัย หม่อมฉันจะกล้าไม่พอใจได้เช่นไร”“คุณหนูเจ้าคะ มีกลุ่มคุณหนูคุณชายดูว่าจะมาจากเมืองหลวง อ้างตัวว่าเป็นองค์ชายหก ตอนนี้บ่
เช้าวันต่อมา หลิวหยางรับหน้าที่ขับรถม้าคันใหม่พาซูเจินจู สี่เสวี่ย เฟยหลัน และเฟยอวี่เข้าพบฮูหยินนายตำบลที่จวนนายตำบลเป่ย เมื่อมาถึงหน้าจวนนายตำบลหลิวหยางลงไปแจ้งกับคนเฝ้าประตูว่าคุณหนูของตนแซ่ซูชื่อเจินจูนำผ้าไหมหอมหมื่นลี้มาขอเข้าพบฮูหยิน พร้อมให้เงินหนึ่งตำลึงแก่คนเฝ้าประตู เงินหนึ่งตำลึงเร่งฝีเท้าคนให้ไวได้ดังม้า ไม่ถึงสองเค่อคนเฝ้าประตูก็ออกมาเปิดประตูให้ให้รถม้าเข้าไปซูเจินจูสวมชุดผ้าไหมหยกสีขาวปักลายนกกระยาง ลายปักละเอียดเพียงดูผ่านๆก็ยังสามารถรู้ได้ว่าเป็นงานปักชั้นสูง ผมรวบขึ้นอย่างประณีตปักด้วยปิ่นหยกขาวเนื้อดีหนึ่งคู่ที่ดูเข้ากันได้ดีกับกำไลหยกขาวที่ข้อมือ ผิวขาวราวหยก ขนตาเป็นแพหนาสีดำ ปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อยิ่งทำให้ซูเจินจูงดงามจนคนที่ได้เห็นไม่สามารถละสายตาไปได้สี่เสวี่ย เฟยหลัน เฟยอวี่ ผู้ติดตามทั้งสามคนสวมชุดผ้าไหมเฉกเช่นคุณหนูจากจวนใดจวนหนึ่ง เฟยหลันที่รอยแผลเป็นบนใบหน้าหายดีแล้วยิ่งดูงดงามและลึกลับเมื่อสวมชุดผ้าไหมสีน้ำเงิน ปักด้วยปิ่นเงินลายดอกหลันฮวาเดินคู่มากับเฟยอวี่ในชุดผ้าไหมสีเดียวกันรวมผมขึ้นอย่างเป็นระเบียบปักด้วยปิ่นเงินลายเมฆา สี่เสวี่ยที่ตามรับใช้ใกล้ชิ
ซูเจินจูฝั่งร้านผ้าซูเตี้ยนได้สั่งให้คนงานไปซื้อผ้าไหมหอมหมื่นลี้ของร้านผ้าเฉินอี้เตี้ยนมาหนึ่งพับ เมื่อสำรวจดูแล้วพบว่ากลิ่นของผ้าไม่ใช่กลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้แต่เป็นกลิ่นของดอกเหมย อีกทั้งลายผ้าไม่คมชัดคงเป็นการวาดลายลงไปโดยตรง การใช้สีอ่อนเช่นนี้จะทำให้ลายผ้ามีสีซีดได้ง่าย อีกทั้งกลิ่นดอกเหมยไม่สามารถเกาะติดผ้าได้ดีเท่ากลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้ เวลาผ่านไปสักพักกลิ่นก็คงจางหายไปเอง ดังนั้นผ้าไหมพวกนี้ไม่สามารถนับเป็นคู่แข่งอย่างแท้จริงได้หลงจู๊ฝูที่ออกไปสืบข่าวด้วยตนเองกลับมาพบนายท่านซูละซูเจินจูด้วยสีหน้าสบายใจ“เห็นทีว่าคุณหนูจะพูดถูกทุกอย่างเลยขอรับ ผู้ที่ซื้อผ้าไหมหอมหมื่นลี้จากร้านเฉินอี้เตี้ยนไปกลับมาโวยวายที่ร้านเหตุเพราะเพียงนำผ้าไปซักเท่านั้น กลิ่นที่ควรมีก็ไม่มีอีกต่อไป เห็นทีว่าร้านผ้าเฉินอี้เตี้ยนจะเสียชื่อเสียครั้งใหญ่เป็นแน่”“เช่นนั้นข้าค่อยสบายใจหน่อย เอาล่ะ เมื่อหมดเรื่องแล้วเห็นทีว่าถึงเวลาไปเอาผ้าเสียที เจ้าล่ะ อาจู จะไปเอาผ้าหอมไหมหมื่นลี้อีกเมื่อใด”“ข้าให้เฟยหลันไปเอาผ้าแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ก็คงนำผ้ากลับมาแล้ว เห็นทีว่างานปักงานแรกคงเป็นการตีตราร้านลงบนผ้าเสียแล้วน
“คุณหนู บ่าวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” เฟยหลันมองเฟยหมิงที่อยู่บนเตียงแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก ลมหายใจของนางดีขึ้นมากแล้ว คุณหนูรักษานางได้จริงๆซูเจินจูรับเข็มเงินและโถบดยาไปก่อนจะสั่งให้เสี่ยวเหลียนนำเข็มเงินไปต้มในน้ำร้อนและให้เฟยหลันกรีดผ้าที่ขาของเฟยหมิงออก“กระดูกขาของนางแตก หากนางทนอยู่เฉยๆ ไม่ขยับขาสักสามเดือนขาของนางก็จะกลับมาใช้ได้เหมือนเดิม”“นางยังจะกลับมาเดินได้อีกหรือเจ้าคะ”“ต้องนอนนิ่งๆอยู่แบบนี้ไปก่อนสามเดือน หากขยับเขยื้อนก่อนหน้านั้นก็อาจจะเดินไม่ได้”“คุณหนูเหมือนหมอเทวดาเลยเจ้าค่ะ”“เจ้าจะร้องไห้ทำไม ไอหย๋า ข้าแพ้น้ำตาของพวกเจ้านัก หยุดร้องเถอะข้าจะให้เสี่ยวเหลียนไปซื้อขนมให้เจ้ากิน”“คุณหนู บ่าวแค่ดีใจมากไปเจ้าค่ะ แต่เดิมบ่าวแค่ต้องการฝังศพนางให้ดีเสียหน่อย ใครจะรู้ว่าคุณหนูดึงวิญญาณนางกลับมาจากนรกได้”“เพ้ย เจ้านี่ ตายแล้วไม่ให้นางขึ้นสวรรค์แต่กลับให้นางไปลงนรก เอาล่ะๆ เจ้าไปบดยากองนั้นเถอะ เดี๋ยวข้าฝังเข็มเสร็จแล้วต้องพอกยาให้นาง”“ทั้งหมดเลยหรือเจ้าคะ มัน เยอะมากเลยนะเจ้าคะ”“ทั้งหมดนั่นแหละพอกทั้งขาแล้วเอาผ้ามาพันเข้ากับไม้แผ่นเสียหน่อย กระดูกจะได้ไม่เคลื่อนที่มากนัก”
หลังหลินเฮงฉวนกลับไปซูเจินจูเข้ามาที่ร้านผ้าซูเตี้ยนพร้อมกับนายท่านซู สินค้าที่นำกลับมาถูกจดไว้ในรายการอย่างลวกๆ ซูเจินจูจำเป็นต้องทำมันใหม่เพื่อให้เป็นระเบียบมากขึ้น นายท่านซูนำผ้าจากเผ่าเจี๋ย ชนเผ่าเร่ร่อนดำเดินชีวิตด้วยการเดินทางไปเรื่อยๆกลับมาไม่น้อย ผ้าจากเผ่าเจี๋ยเป็นผ้าหนังสัตว์ที่ถูกตัดเย็บด้วยวิธีการแปลกใหม่ หนังสัตว์ที่ไม่หนาฝีเข็มที่เย็บจนหนังแนบชิดติดกันจนลมไม่สามารถเข้าได้เป็นชุดคลุมอย่างดีสำหรับฤดูหนาว แต่ผ้าจากเผ่าเจี๋ยทั้งหมดเป็นเพียงของบรรณาการที่ส่งเข้าไปยังจวนขุนนางเท่านั้นทำให้ซูเจินจูรู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถทำกำไรจากของดีเช่นนี้ได้ วันนี้เป็นครั้งแรกที่นายท่านซูมีโอกาสดูงานประมูลผ้าไหมหอมหมื่นลี้ลายโบตั๋น ผ้าไหมสามพับทำกำไรได้มากถึงสี่พันสี่ร้อยตำลึง จริงอย่างที่หลงจู๊ฝูพูด ร้านผ้าซูเตี้ยนควรจัดงานกราบไหว้เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งได้แล้วผ้ามีตำหนิห้าสิบพับถูกขนย้ายออกมาเพื่อเตรียมไว้ให้ซูเจินจู อีกทั้งนายท่านซูยังมอบเงินให้ซูเจินจูห้าร้อยตำลึง“ข้าเพิ่งรู้ว่าฮูหยินไม่เคยให้เงินเจ้าเลยยามออกมาทำการค้า ต่อไปหากข้าไม่อยู่เจ้านำเงินของที่ร้านออกไปเป็นค่าเดินทางได้เล
ซูหนี่ย์ที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่ยกยิ้มเหยียดหยาม ดี ให้คนของท่านพ่อตีนางให้ตาย นังบ่าวชั่วที่ติดตามนังจิ้งจอกนั่นไม่สมควรมีชีวิตอยู่เป็นหนามตำตานาง ให้ตายเถอะ ยิ่งเห็นก็ยิ่งเกลียด ทำไมตอนที่พวกนางออกไปทำการค้าถึงไม่เจอโจรป่าเสียบ้างนะเฟยหลันและคนของนายท่านซูถือไม้พลองยืนอยู่กลางลานหน้าห้องโถง ขอเพียงส่งสัญญาณคนทั้งคู่ก็พร้อมแสดงฝีมือทันที แต่เฟยหลันที่อยู่บนลานหันกลับมามองซูเจินจูแล้วส่ายหน้าช้าๆ“ท่านพ่อ ให้คนของท่านเข้าไปอีกคนหนึ่งเถอะเจ้าค่ะ”นายท่านซูหนัยมามองซูเจินจูเล็กน้อยก่อนจะกวักมือเรียกผู้คุ้มกันอีกคนขึ้นไปกลางลาน เอาเถอะ อย่างไรเสียซูเจินจูก็มีผู้ติดตามคนเดียว หากนางแพ้ก็แค่หาคนคุ้มกันให้ซูเจินจูเพิ่ม หากนางชนะเขาก็จะสบายใจมากขึ้น“ลงมือ!!!”เฟยหลันตวัดไม้พลองลงไปอย่างเต็มแรง ผู้ที่เข้ามารับไม้แรกถึงกับถอยร่นลงไปหลายก้าว มือที่จับไม้พลองไว้สั่นจนแทบทำไม้พลองหลุดมือ เฟยหลันกระโดดตามเข้าไปฟาดไม้พลองลงที่ข้อมือก่อนจะตวัดไม้พลองอีกด้านไปเกี่ยวไม้พลองของผู้คุ้มกันคนที่สองลง ลูกเตะที่เตะลงไปที่ศรีษะอย่างแม่นยำทำให้ผู้คุ้มกันคนที่สองล้มลงไปนอนกับพื้นที่ที ไม้พลอยที่มือของเฟยหลันถ
เฟยหลันเดินตามซูเจินจูไปที่ศาลาเพื่อย่างไก่ป่าทั้งหกตัวต่อ อย่างไรเสียไก่หกตัวนี้ก็ไม่ได้ผิดอะไรนางทำใจเมินพวกมันไม่ลง น่องไก่สิบสองน่องอยู่ในจานของซูเจินจู ตัวไก่ไร้น่องสองตัวถูกส่งไปยังกระท่อมของหยางหย่งเจิ้งพร้อมบะหมี่ผักหยางหย่งเจิ้งเปิดประตูรับไก่ย่างและบะหมี่ผักที่หลิวหยางนำมาส่งให้ เมื่อเห็นว่าหลิวหยางเดินออกไปไกลแล้วจึงหันหลังกลับเข้ากระท่อมของตน“ท่านรองแม่ทัพ เหตุใดไก่ในหมู่บ้านนี้ถึงไม่มีขาหรือขอรับ”“หวู่เยวี้ยน เจ้าจะไปรู้อะไร เด็กสาวบ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้านนั่นชอบกินน่องไก่ ท่านรองแม่ทัพถึงได้สั่งให้เจ้าไปจับไก่ป่ามาบ่อยๆไงเล่า”“ไอหย๋า ไอ้เจ้าพวกนี้คือไก่ที่ข้าจับมาอย่างนั้นหรือ”“หยุด เจ้าจับมาคนเดียวหรืออย่างไร แล้วเหตุใดจึงมาเพียงพวกเจ้า ทำไมเหวินอี้ไม่มาด้วย” หยางหย่งเจิ้งปรามทั้งสองก่อนจะพูดเรื่อยเปื่อยไปมากกว่านี้“เรียนท่านรองแม่ทัพ เหวินอี้ตามสืบเรื่องยาพิษที่ใช้ปลิดชีวิตก้านลู่อยู่ขอรับ หากรู้ว่าเป็นพิษชนิดใดคงสืบหากบฏได้เร็วขึ้น”“เรื่องรองนายอำเภออู๋ไปถึงไหนแล้ว”“ตอนนี้ถูกจับขังคุกอยู่ที่อำเภออู๋ ปิดปากเงียบ คืนนี้จะเริ่มการทรมานขอรับ”“ดี อย่างไรก็ต้องรู้ให้