หญิงสาวในชุดนักศึกษากระโปรงพลีทจีบรอบสั้นประเข่ายืนรอเพื่อนรักมาได้สักพัก
ใต้กันสาดหน้าบ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่าซึ่งมันไม่ได้ช่วยบดบังเม็ดฝนที่โหมกระหน่ำได้สักเท่าไร ผมสีน้ำตาลช็อกโกแลตตามเทรนแฟชั่นลู่สนิทลงไปบนเรือนกายผุดผ่อง ขณะยกสองมือขึ้นกอดกุมเสื้อสีขาวที่เห็นขอบเส้นบราเซียอยู่บาง ๆ หวังให้มันได้คลายหนาวลงแต่ก็ไม่เลย... บางทีความเหน็บหนาวอาจมาจากก้นบึ้งของหัวใจเธอที่ไม่ว่าทำอะไรก็ไม่ถูกใจแม่ แม่บอกว่าเธอเอาแต่ใจมากเกินไป ดื้อรั้น ปากร้าย ใช้เงินฟุ่มเฟือย ไม่รู้จักคำว่าอดทนอะไรในชีวิตสักอย่าง... ใบหน้าสดสวยสลดเศร้ามองพื้นขรุขระ เม็ดฝนที่กระแทกลงอย่างหนัก เสียงลมคำรามกรรโชกพัดผ่านโสตประสาทอย่างน่ากลัว เหมือนว่าจะมีพายุลูกใหญ่ในค่ำคืนนี้ นัชชาได้แต่หวังว่าเจ้าของบ้านจะไม่ปล่อยให้เธอต้องยืนตากฝนนาน ไม่นานนัก รถยนต์ยุโรปหรูสีดำสนิทจอดลงหน้าบ้านหลังใหญ่โต พร้อมกับการปรากฏตัวของเพื่อนรัก ปรายลดาเปิดประตูรถยนต์ออกมาพร้อมร่มคันใหญ่หนึ่งคัน ปล่อยให้คนขับรถไปจอดรถเสียก่อน เข้ามาหาเธอในทันที “ยัยปริม มายืนเป็นลูกหมาตกน้ำอะไรตรงนี้เนี่ย... ไม่ได้เอารถมาเหรอแก?” นัชชาหลุบตาลงต่ำ เบะปากเป็นเด็กเล็ก ๆ “แม่ยึดรถ... บัตรเครดิต ยึดทุกอย่างเลย ฉันนั่งแท็กซี่มาหาแก มีตังติดตัวไม่กี่บาทเนี่ย” “อ้าว... ทำไมเป็นงั้นอ่ะ?” คนถามมีสีหน้าแปลกใจแต่ดูแล้วว่าไม่น่าจะใช่เวลาคุย ตบบ่าเพื่อนเบา ๆ “ไป เข้าบ้านก่อน กินข้าวมาหรือยัง? แกน่ะ” “ยัง... ไม่มีข้าวสักเม็ดตกถึงท้องฉันเลย ไส้จะขาด แม่ใจร้ายมาก” คนตอบยกมือขึ้นกุมท้อง เดินตัวงอตามเพื่อนที่กอดกุมไหล่ของเธอเอาไว้ในร่มคันเดียวกัน นักศึกษาสาวทั้งสองคนรีบวิ่งฝ่าฝนใต้ร่มสีดำคันโต ผ่านสวนสงบร่มรื่นรายล้อมรอบตัวบ้านโทนสีเทาอบอุ่น ไปถึงประตูกระจกบานเลื่อน ก่อนที่ปรายลดาจะหุบร่มลงเก็บ ความเป็นห่วงปรากฏผ่านสีหน้าและแววตาชัดเจน “แล้วพี่ธามอ่ะ... ไม่มาส่งแกเหรอ?” นัชชาถอนหายใจหนัก ตอบเสียงอ่อน “ไม่อ่ะ... ทะเลาะกัน” และเธอคงไม่อยากเล่าวีรกรรมที่สร้างไว้ทั้งกับแม่บังเกิดเกล้าและกับแฟนหนุ่ม ปรายลดาหยิบกุญแจขึ้นไขประตู เพื่อนสาวก็ขมวดคิ้วมุ่นมองรถยนต์ติดฟิล์มมืดดำถอยหลังเข้าลานจอดรถกว้างขวางที่สามารถจอดรถได้ถึงสี่คัน สมเป็นการออกแบบของสถาปนิกหนุ่มเจ้าของบ้านหลังนี้ “ไหนแกบอกฉันว่าพ่อเลี้ยงไปฟิลิปปินส์ ใครขับรถอ่ะนั่น?” “คุณอลัน...” ได้ยินเท่านั้น สีหน้าตื่นตระหนกของนัชชาหยุดดวงตาคมปลาบของร่างสูงในเชิ้ตสีดำสนิท หลังจากที่เขาลงจากรถยนต์ และเมื่อเขามาหยุดยืนข้าง ๆ เธอในสภาพเปียกปอนฝน ก็หลุบตาหลบหน้าหนี ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “สวัสดีค่ะ...” “สวัสดีครับ” ตอบรับคำทักทาย ชายหนุ่มยังรับไหว้ในแบบไทย ๆ ก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย เดินตามสองหญิงสาวเข้าบ้านไปใคร ๆต่างก็ว่านัชชาเป็นลูกผู้ดีตีนแดงที่มีนิสัยก้าวร้าว เอาแต่ใจตัวเอง รวมไปถึงอลันซึ่งไม่เคยชอบขี้หน้าเธอเลย
เหตุการณ์ทั้งหมดมันเริ่มต้นเมื่อนานมาแล้ว เมื่อเด็กสาววัยสิบเอ็ดขวบ แต่งตัวแก่แดดเกินวัย ทาปากแดงเป็นผู้ใหญ่ เปรยคำหนึ่งขึ้นมาลอย ๆ ว่า ‘เด็กเส้น’ ตั้งแต่วันแรกที่เขาเริ่มทำงานให้ปรเมษฐ์ มันเป็นเรื่องจริงด้วยว่าหนุ่มวัยยี่สิบปีกำลังฝึกงานไป เรียนไป ทางด้านสายงานบริหารฯ ใบปริญญาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในรัฐแคลิฟอร์เนียร์ คงยุ่งรัดตัวและไม่มีประสบการณ์มากพอ ไม่อาจเป็นเลขาฯ ให้เจ้าของรีสอร์ตระดับห้าดาว สถาปนิกหนุ่มคนดังได้ หากไม่ใช่เพราะบารมีของคุณปู่ฝากฝังให้ช่วยงานคนรู้จักกัน เด็กน้อยที่มีกิริยามารยาทดี มีกาลเทศะรู้ว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด “โตขึ้นเยอะนะเรา มาหาคุณพุด มีแผนจะพากันไปไหนล่ะ?” เสียงเข้มทัก อลันทำตัวเหมือนเป็นบ้านตัวเอง เพราะมาบ้านเจ้านายอยู่บ่อย ๆ ปรายลดาเอาผ้าเช็ดตัว ผ้านวมมาให้เพื่อนคลายหนาว ร่างสั่นเทาจึงรับผ้าขนหนูสีชมพูผืนโตมาเช็ดผมเป็นอย่างแรก โดยไม่ได้สนใจคำถามของเขาเลยสักนิด นัชชาเพิ่งตั้งสติได้ว่าไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่จะต้องหวาดกลัวฝรั่งยักษ์อีกต่อไป ชายหนุ่มหย่อนก้นนั่งลงข้าง ๆ กัน นัยน์ตาสีฟ้าครามเข้มลอบมองใบหน้างามหมดจดดูไม่อยู่ในอารมณ์สดชื่นแจ่มใส “พูดไม่ได้ยินเหรอ?” ในน้ำเสียงเหมือนจะเอาเรื่อง มือเล็กหยุดขยี้ผมเปียกหมาด ตวัดหางตามองอย่างไม่พอใจ “ยังไม่ไปอีก? ผู้หญิงเขาจะอยู่กัน” “ผมจะนอนนี่... เผื่อมีคนชักชวนคุณพุดไปทำเรื่องไม่ดี” “ประสาทป่ะ ฝนตกขนาดนี้จะไปไหน? อยู่บ้านนอนสิ ทีวีมี เน็ตมี ไม่ได้เป็นเด็กห้าขวบ ไปปีนต้นไม้เล่น” ปรายลดาหัวเราะพอนึกถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้วในสมัยที่นัชชาอยากสอยมะม่วงข้างบ้านมาให้เธอกับพ่อเลี้ยงรับประทาน “ระวังเหอะ คุณอลันจะจับแกตีก้น” “ผมคงไม่กล้า เดี๋ยวจะมีคนร้องไห้ไปฟ้องแม่ ให้มาเอาเรื่องผมอีก” อีกคนก็จำได้ว่าเขาเคยสาดอารมณ์เกรี้ยวกราดใส่เด็กตัวเล็ก ๆ ยิ่งเสียกว่าเธอเผาบ้านทั้งหลัง เรียวปากบางที่เม้มเข้าหากันแน่นเพราะความโกรธ ทว่าไม่ทันจะได้เถียง สายโทรศัพท์จากแม่ทำให้นัชชาต้องสะบัดหน้างอนขึ้นห้องไปคุยธุระส่วนตัวลำพัง แผ่นหลังบางลับตาไปพร้อมความสงสัยของเขาที่แค่มองตาม แต่ก็ไม่ได้ถามเรื่องอะไรเกี่ยวกับเธอเลย เป็นปรายลดาที่ถาม “คุณอลันหิวไหมคะ.. ให้พุดโทรสั่งอะไรให้ทานไหม?” “ไม่เป็นไร ผมอยากได้อะไร เดี๋ยวไปซื้อเอง พุดอยู่กับเพื่อนตามสบายเลยครับ” เขาตอบเท่านั้น เพราะรู้ว่าหมอนผ้าห่มสำหรับแขกอย่างเขาเก็บไว้ตรงไหน คงไม่ต้องให้หญิงสาวมาเป็นธุระ ทันใดนั้นเอง “พุด...” เสียงเล็กเรียกแผ่วเบา ทั้งสองคนหยุดสนทนากัน มองขวับตามเจ้าของร่างบางที่ยืนหลบอยู่ตรงหัวบันได ใต้แสงสีนวลสลัวของโคมไฟระย้า ดวงหน้าแดงก่ำเปรอะเปื้อนหยดน้ำตาบอกว่านัชชาคงทะเลาะกับแม่ ในสภาพเปียกชุ่มมีผ้าขนหนูพาดไว้บนไหล่ทำให้เจ้าตัวยิ่งดูน่าสงสารเข้าไปใหญ่ ปรายลดาก้าวไว ๆ ไปกอดประคองเพื่อน เพื่อพาขึ้นห้องนอนไปด้วยกัน อลันมองตามหญิงสาวทั้งสองคนอย่างนึกห่วง ก่อนจะล้มตัวลงนอนไปด้วยความเหนื่อยล้า ไม่รู้ตัวว่าหลับไปตอนไหนทั้งที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ กินข้าวหรือทำอะไรสักอย่างหลังจากที่อาบน้ำแต่งตัว หยิบเดรสนอนลายหวานมาใส่ นัชชาล้มตัวลงนอนบนเตียงนอนของเพื่อนทั้งน้ำตา เธอมองไปรอบ ๆ ห้องนอนกว้างขวางตอนนี้ไม่ได้เป็นสีชมพูอีกต่อไป แต่เป็นสีเดียวกันกับที่เธอชอบคือสีเทา สีขาว และสีดำ
ไฟสีเหลืองนวลสลัวจากโคมไฟข้างหัวเตียงทำให้เปลือกตาช้ำเปียกปอนต้องกะพริบอยู่ตลอด พอคนที่ทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ ยกผ้าห่มขึ้นคลุมให้ การกระทำแสนอ่อนโยนของเพื่อนทำให้นัชชารู้สึกผิด... “ฉันขอโทษนะพุด... ขอบใจแกด้วย” “ขอโทษอะไรล่ะ?” คนถามเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ก่อนจะซุกมือเข้าใต้หมอนทำเหมือนกันกับอีกคนที่หลุบตาลงต่ำ อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ก่อนจะยอมเอ่ย “หลาย ๆ เรื่อง... บางทีฉัน เอ่อ... อิจฉาแกน่ะ” ปรายลดายิ้ม ความเป็นเพื่อนทำให้เข้าใจหัวอกกันเป็นอย่างดี “ฉันรู้... แต่ฉันไม่โกรธแกหรอก แกน่าสงสารจะตาย...” “เอ้า... ไมพูดงั้นอ่ะ ฉันเนี่ยนะน่าสงสารอะไร” คนฟังหน้าตะลึงและก็ได้คำตอบให้หายคาใจ “แกน่ะเหมือนเด็กมีปัญหา เพราะโดนสปอยล์เยอะไป แต่จริง ๆ แล้วแกเป็นคนดี ฉันแน่ใจได้เลย ปริม...” พูดด้วยแววตาประกายมาดมั่นแต่สีหน้านั้นก็เจือแววไม่พอใจในอีกครู่ “เรื่องที่แกชอบทำอะไรลับหลัง อย่างพยายามจะแย่งพี่ธามไปจากฉัน ที่แกโทรไปฟ้องพี่เปา คิดว่าฉันไม่รู้หรือไง? อืม... แต่ถ้าแกไม่ทำแบบนั้น พี่เปาแกไม่กลับมาหาฉันหรอก ฉันต้องขอบใจแกมากกว่า” คำขอบคุณอย่างไม่จริงใจ คนทำความผิดรู้สึกเหมือนว่าตัวของเธอลีบเล็กลงจนเท่ามด มือเล็กดึงผ้าห่มซุกตัวเพราะความหนาว โดยได้รับความช่วยเหลือ “หนาวไหม? เดี๋ยวฉันไปเบาแอร์ให้นะ กินยาไว้ก่อนดีมะ แกยืนตากฝนตั้งนาน” คนพูดหยัดกายลุกขึ้นจัดแจงผ้านวมหนาให้เข้าที่ เดินไปหยิบยามาวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง ยังเอาผ้านวมลายตุ๊กตาน่ารักมาให้ด้วยอีกผืน ด้วยความหวังดีของเพื่อนรักตอนนี้ นัชชารู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างจากดักแด้นอนขดอยู่ในรังไหม ทว่ามันก็ช่วยให้คลายหนาวลงบ้าง ขณะที่มีเรื่องต้องคิด... “พุด... แกว่าฉันเอาแต่ใจมากไปไหม?” ปรายลดาถอนหายใจพลางส่ายหน้าไปมา “นี่ไม่รู้ตัวจริง ๆ เหรอ? แกน่ะ โคตรเอาแต่ใจ แต่ว่ามันก็เป็นแกป่ะ จะไปคิดอะไรมาก แม่แกโกรธแกไม่นานหรอก แม่ป้อมรักแกจะตาย” เพราะความเป็นเพื่อนสนิทกันคงเป็นไปได้ยากที่จะหลับในเวลานี้ หากใครมีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็ปรึกษากันและกันมาเสมอ พอคนหนึ่งซุกตัวลงนอนตาม กลายเป็นว่าอีกคนยังชวนคุยไม่เลิก “ฉันหวังว่าแม่จะหายโกรธอย่างที่แกว่า แต่แม่ฉันไม่เคยโกรธฉันมาก่อนเลยนะ นี่แหละประเด็น” “ตกลงไปทำเรื่องอะไรไว้?” “ฉัน... กรี๊ดในห้องประชุมแม่เพราะแม่จะให้ฉันหมั้น... กับไอ้นักธุรกิจบ้าคนหนึ่ง ฉันไม่ชอบขี้หน้ามัน” เสียงหวานแฝงความกร้าวโกรธ กระทั่งใบหน้าสดสวยบึ้งตึงหนักผ่านแสงสลัว หญิงสาวอีกคนก็คงจะต้องตกใจ “เฮ้ย! แกถึงขั้นกรี๊ด คนเยอะไหมนั่น ทำไมทำอะไรไม่คิดเลย?” หากว่าใครจำเสียงหวีดร้องลั่นชนิดคอแทบแตกของนัชชาได้ว่าไม่ต่างจากนางร้ายในละครหลังข่าวดี ๆ คงต้องส่ายหน้าเอือมระอาไปตาม ๆ กัน รวมถึงปรายลดาซึ่งเคยไปเที่ยวบ้านเพื่อน เคยเห็นนัชชาแผลงฤทธิ์เหมือนคนบ้าอยู่ หญิงสาวหักมุมปากลงเป็นเด็กน้อยทำความผิด และกำลังจะร้องไห้อีกรอบ ทว่าเธอกลับพลิกตัวไปอีกฝั่ง นอนหันก้นให้ “นอนดีกว่า” ถึงบอกไปว่าจะ ‘นอน’ สุดท้ายแล้วนัชชาก็ยังไม่หยุดปากพูดไปเรื่อยจนดึกดื่น เรื่องทั้งเรื่องมีแต่เรื่องของแม่ผู้แสนดี ตามใจเธอไปเสียทุกอย่าง กว่าจะผล็อยหลับไป“คุณป้อม ผมว่า... ไม่ควรปล่อยเธอไปแบบนี้ ผมจะไปรับปริมกลับบ้านนะครับ” เสียงเข้มขรึมกึ่งอ้อนวอนของเลขานุการประจำบ้าน ‘ธนทรัพย์สกุล’ บอกว่าเขาอยากบึ่งรถไปรับคุณหนูมากแค่ไหน นัยน์ตาสีนิลสนิทรับวงหน้าหล่อเหลาเย็นยะเยือกสบมองไปยังดวงตาคู่สวยใต้อายไลเนอร์คมกริบที่เลื่อนจากเอกสารกองพะเนิน มือเล็กวางปากกาแท็บเล็ตในมือ ทิ้งแผ่นหลังลงบนโซฟามีพนักพิงของผู้บริหารพร้อมสีหน้าครุ่นคิด “อืม... เดี๋ยวนะ... แบร์นาร์ด คุณจะไปรับมันทำไม?” “ทำไมจะไปรับไม่ได้ล่ะ? ผมว่าสวย ๆ แบบหนูปริมป่านนี้อาจถูกผู้ชายหลอกไปทำไม่ดีไม่ร้ายแล้วก็ได้ อย่าบอกนะว่าคุณป้อมไม่ห่วงลูกสาวเลย?” ใบหน้าสดสวยของสาววัยสี่สิบห้าปีแลดูอ่อนกว่าวัยประสาคนมีเงินนิ่งเฉย ก็เพราะว่าห่วง... หวง รักมากเกินไป ลูกของเธอถึงได้กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจแบบนี้! กระเป๋าแบรนด์ใบละเจ็ดแสนเธอก็ถอยให้ลูกได้ แบล็คการ์ดไม่จำกัดวงเงิน เธอให้ลูกเอาไปช้อปปิ้งได้วันเป็นล้าน! ลูกสาวสุดที่รักอยากได้รถยนต์ขับไปเรียน ไว้รับส่งเพื่อนที่กำลังจะตั้งตัวทำธุรกิจ เธอก็ถอยบีเอ็มดับบลิวตัวล่าสุดรุ่นท็อปให้ ‘คุณแม่ขา น้องปริมอยากได้จังเลยค่ะ’ ทั้งน้ำเสียงและสายตาเว้าว
ในรุ่งเช้าเวลาเจ็ดโมงกว่า นัยน์สีฟ้าครามเข้มเบิกโพล่งสะดุ้งตื่นจากนิทรา พลันผลักผ้านวมหนาที่คลุมห่มตัวอยู่อย่างงุนงง เมื่อคืนที่หลับไปทั้งชุดทำงานเขาไม่ได้หยิบจับอะไรสักอย่าง ผ้าห่มลายตุ๊กตาน่ารักจะเป็นฝีมือใครหากไม่ใช่เมียเจ้าของบ้าน! ร่างสูงในเชิ้ตสีดำยับยู่ยี่หยัดกายลุกขึ้นนั่ง พอดีกับที่โทรศัพท์สั่นดังจากข้างหมอน สายจากปรเมษฐ์โทรมาถามสารทุกข์สุกดิบของลูกเมีย และงานเฝ้าของเขาว่าเรียบร้อยดีไหม พร้อมส่งข่าวมาว่ากำลังจะกลับในวันพรุ่งนี้ทำให้ตื่นเต็มตาได้ไม่ยาก ทว่าพอวางสายจากเจ้านายหนุ่ม อลันมีความคิดบางอย่างเมื่อเหลือบมองตามบันไดทางขึ้นไปชั้นสองของบ้านสไตล์โมเดิร์นโทนสีเทาอบอุ่น ทำไมบ้านเงียบ? พุทราก็ไม่มาเรียกเขาสักคำ เพราะนิสัยของปรายลดาเป็นคนช่างห่วง ยังดูแลทุกคนรอบตัวเป็นอย่างดี เขาไม่ลังเลที่จะถือวิสาสะบุกห้องนอนตามหน้าที่ ก้าวขายาว ๆ เหยียบย่องขึ้นบันไดไป ชั้นสองมีสามห้องนอน ห้องโถงกลาง และห้องนอนสำหรับเล่นสนุกซุกซนของเจ้านาย ซึ่งคนเป็นเลขาฯ มานานถึงสิบปีต้องรู้ความลับเรื่องรสนิยมทางเพศของปรเมษฐ์เป็นอย่างดี ถึงเจ้าตัวจะเลิกราจากคู่ขาประหลาด ๆ ไปเพราะความรักในตัวลูกเลี้ยง
“ฉันหนาว... ขอ... ผ้าห่ม..” อ้อนวอนทั้งน้ำเสียงและแววตา ก่อนที่สติของเธอจะค่อย ๆ รางเลือน อลันถึงจะขี้หงุดหงิด ยังเป็นคนคิดเร็วทำเร็วอยู่สักหน่อย เขาคงไม่ปล่อยให้เธอต้องหนาวตายซะก่อน มือหนาสากลากชุดกระโปรงนอนออกจากเรือนกายแน่งน้อยออกอย่างระวัง เนื้อตัวของเธอส่งกลิ่นหอมอ่อนราวดอกไม้แรกแย้มบาน ก็คงจะใช่... นี่มันเด็กสาว! ยัยเด็กบ้านี่อายุห่างจากเขาตั้งสิบปี คิดพลางกลืนน้ำลายลงคออย่างหื่นกระหาย เมื่อทุกปลายนิ้วสัมผัสผิวนุ่มเนียนดุจแพรไหม ความขาวจัดจ้านเสียจนเห็นเส้นเลือดฝาดสะกดดวงตาของเขาไว้ ตัวของเธอร้อนแต่ดูเหมือนว่าตัวเขาจะร้อนยิ่งกว่า ม่านตาสีฟ้าครามจะเบิกกว้างตื่นตะลึงอีกครั้ง เมื่อเสื้อเปียกในมือหล่นแหมะจากมือหนาลงบนที่นอน ปรากฏสองเต้าเต่งตึง ยอดอกเต่งตึงประดับสีชมพูหวานติดตรึงเข้าไปในหัวสมอง ทั้งที่รสนิยมของอลันต้องสาวผิวแทนเท่านั้น! แต่เธอสวย! อืม.. ยัยเด็กแสบนี่สวยทั้งตัวจริง ๆ หน้าอกหน้าใจใหญ่ขนาดนี้ก็คงจะบีบได้พอดีมือ ไม่! จับไม่ได้เด็ดขาด... ความคิดหยุดลงพลางถอนหายใจหนัก นานแล้วที่ห่างหายไปจากเรื่องอย่างว่าเพราะมัวทำแต่งาน แต่เขาก็หนักแน่นมากพอหักห้ามใจ ท้ายทอยที่ช้
สถาปนิกหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบสองปีกลับมาถึงกรุงเทพฯ ในช่วงเย็นพร้อมเพื่อนร่วมงานสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน เนื่องมาจากว่าปิ่นแก้วจำเป็นต้องหอบงานโปรเจคใหญ่จากฟิลิปปินส์กลับมาทำต่อ มันเป็นงานที่จะต้องทำร่วมกันเป็นทีม ซึ่งเจ้าของบ้านก็ให้เกียรติภรรยา ไม่พาผู้หญิงเข้าห้องทำงานส่วนตัว แต่ใช้สถานที่ในห้องรับแขกโปร่งโล่ง เปิดกระจกไว้ทุกบาน สำหรับวางกระดานแบบงานอันใหญ่ นัชชาสนิทสนมกับบ้านนี้มาตั้งแต่ยังเรียนอยู่อนุบาล ก็ไม่แปลกที่เธอจะต้องรู้จักทั้งพ่อเลี้ยง และอดีตผู้หญิงของพ่อเลี้ยง อย่างหนึ่งที่เธอไม่เข้าใจว่าพวกเขาเลิกกันไปนานแล้ว ยังต้องติดต่อกันด้วยความเป็นเพื่อนร่วมงาน ทำไมปรเมษฐ์ถึงไม่หาทางปลีกตัวจากผู้หญิงร้ายกาจอย่าง ‘ปิ่นแก้ว’ แม้ปิ่นแก้วจะเคยเป็นเพื่อนคนสนิทในกลุ่มของปรเมษฐ์ จบสถาปนิกมาด้วยกัน อยู่ในสายงานเดียวกันคือสายวิชาการออกแบบอุตสาหกรรม ผู้หญิงคนนี้ต่อหน้ายิ้มแย้มได้อย่างไร้เดียงสา แต่จ้องจะแทงข้างหลังปรายลดาอยู่เสมอ ด้วยความอิจฉาอยากได้ความรักของเขาที่มีให้แค่ลูกเลี้ยงมาโดยตลอด ผีเห็นผี... มองตากันก็รู้ว่าอีกคนมีนิสัยยังไง ใต้ร่มไม้ของม้านั่งหินในสวนหย่อมหน้าบ้าน ดวงตาของเพื
“m-a-n-n-e-r แปลว่า มา-ระ-ยาด นะคะคุณฝรั่ง อยู่เมืองไทยมาก็นาน ฟังภาษาไทยเข้าใจไหม? คำว่ามารยาทน่ะ” เสียงหวานสะกดทีละคำทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ขนาดรอเรือยังออกเสียงควบกล้ำชัดเจน ฝรั่งที่อยู่เมืองไทยมาสิบปี! แม่ของเขาก็เป็นคนไทยถึงเขาจะถือสัญชาติอเมริกัน ไม่ต่างจากโดนตอกหน้ายับเยิน ชายหนุ่มได้แต่ยืนโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง กระทั่งหญิงสาวอีกคนวิ่งตามมา “พี่ซื้อขนม น้ำมาฝากเรากับพ่อเลี้ยง มากินกับพี่ก่อนสิ พุทรา กินก่อนค่อยไป เดี๋ยวพี่จะกลับแล้วนะ” บนวงหน้าสดสวยของสาววัยสี่สิบที่ดูไม่แก่กว่าวัยฉาบด้วยรอยยิ้มที่คงไม่ต่างจากยาพิษ นัชชาเลิกคิ้วขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย ปรายลดาชะงักครู่มองหน้ากันครั้งหนึ่ง แล้วก็ถูกเร่งเร้า “ไปเร็ว... ไปกินขนมกับพี่นะ” “ค่ะ พี่ปิ่น กินก่อนก็ได้ค่อยไป แก..” มือที่ยังจับกันไว้กระตุกเบา ๆ อีกคนก็กระตุกยิ้มมุมปาก ด้วยความคิดตรงกันว่าหากเข้าบ้านไปตอนนี้ ปรเมษฐ์คงเลิกรากับการทำงาน แล้วมาพาคนท้องไปโรงพยาบาลแทน เป็นเรื่องปรกติของผู้ใหญ่ในบ้านหลังนี้ แต่ละคนชอบที่จะซื้ออาหารมารับประทานร่วมกัน แม้แต่ปิ่นแก้วเองกับคนบ้านนู้นก็มากันอยู่บ่อย ๆ มีพักหลังมานี้ที่สถานะของเจ้าต
เนื่องมาจากผู้ป่วยไม่รู้ว่าได้รับสารพิษตัวใดแน่ประกอบกับมีไข้สูง แพทย์จึงทำการล้างท้องเพื่อกำจัดสารแปลกปลอมออกจากร่างกาย ให้น้ำเกลือ และทำการตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยสาเหตุเพิ่มเติมในเบื้องต้น ชายร่างกำยำในชุดสีเขียวของคนไข้ตอนนี้หมดสภาพอยู่บนเตียงผู้ป่วย ใบหน้าหล่อเหลาราวกระดาษขาวซีดกว่ากางเกงยีนที่ใส่มาในทีแรก ทั่วทั้งไรผมสีน้ำตาลเข้มเปียกชุ่มเหงื่อเพราะอุณหภูมิร้อนรุ่ม บางครั้งก็มีอาการหนาวสั่น “ญาติคนไข้ใช่ไหมคะ?” พยาบาลสาวถาม ก่อนหันไปมองฝรั่งหล่อล่ำกล้ามโต ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกตั้งแต่เข็นเตียงผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลมาท่ามกลางสายตาวิบวับของเหล่าสาวน้อยใหญ่ ถ้าไม่มองนี่สิแปลก! “ค่ะ ใช่ค่ะ...” / “ไม่ใช่ครับ” เอ่ยพร้อมกัน พยาบาลสาวหน้าตาดีถึงกับงุนงง ทว่าไม่ทันจะได้ซักต่อ “คุณอลัน คุณมีญาติที่ไหนเล่า ก็ต้องยัยปริมเนี่ยล่ะตอนนี้ เลิกทะเลาะกันก่อนนะคะ... ยัยปริม แกอยู่ดูคุณอลันเลยนะ” ปลายเสียงต่อว่าเพื่อนในฝั่งตรงข้ามกัน ตัวต้นเหตุของเรื่องวุ่น ๆ ทั้งหมดคงรู้ตัวเป็นอย่างดี ในเหตุว่ามีเรื่องฉุกเฉินจำเป็นอะไร ต้องมีญาติคนไข้ลงนามยินยอมให้แพทย์ทำการรักษา สำหรับชาวต่างชาติที่ไม่ได้เ
พอปรเมษฐ์แวะเอากระเป๋าเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้จำเป็นสำหรับผู้หญิงมาให้ เขาก็ขอตัวกลับไปดูแลภรรยา ปล่อยให้เป็นธุระของคนที่รับปากว่าจะรับผิดชอบอยู่ดูแลผู้ป่วย นัชชาไม่เคยจะต้องนอนเฝ้าไข้ใครมาก่อน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ หยิบชุดอยู่บ้านสบาย ๆ เสื้อยืดกางเกงขาสั้น ในกระเป๋ามาสวมค่อยย้อนกลับไปดูสายน้ำเกลือก่อนเป็นอย่างแรก “น้ำ... หิวน้ำ” เสียงแหบพร่าเรียกคนข้างกาย ในความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงแม้ว่าเขาจะนอนเฉย ๆ หญิงสาวก็เดินไปรินน้ำอุ่นใส่แก้ว เธอต้องวางมันลงบนโต๊ะข้างหัวเตียงก่อน เพื่อปรับเบาะให้เอนขึ้นเล็กน้อยด้วยการกดปุ่มเล็ก ๆ ตรงขอบเตียง “ดีขึ้นไหม... คุณหิวหรือเปล่า? กินยาก่อนค่อยนอนนะ...” พูดพลางหยิบแก้วมาประคองป้อนให้ถึงปากคนที่ขยับคอขึ้นจิบน้ำ ใบหน้าหล่อเหลาขาวซีดราวกระดาษ ผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงพิงราบอยู่บนหมอน ปรือตามองคนเฝ้าอย่างไม่ได้รู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณ แต่มันเป็นหน้าที่ของเธอในตอนนี้ “ไม่หิว...” “ไม่หิวก็ต้องกิน ไม่งั้นจะหายได้ไงเล่า ตัวออกจะโตขนาดนี้ อย่าทำใจเสาะน่ะ กินยาเช็ดตัวแล้วค่อยนอนนะคะ” น้ำเสียงกึ่งสั่ง เธอเห็นอยู่ว่าเขาเป็นคนอารมณ์ร้อน! เอาแต่ใจตั
กลิ่นหอมอ่อนโชยผ่านโสตประสาทของคนป่วย ดวงตาของเขาเหมือนปะติดอยู่บนใบหน้าสะสวย ประดับความหวานไว้บนขนตาเป็นแพงอนงามเหนือนัยน์ตาสว่างใส “อืม... ก็เข้ากับหน้าตาดี ปากไม่ดีหน่อยพอให้อภัย” เอ่ยปากชมอย่างจริงใจ หญิงสาวตั้งใจทำงานแต่หัวเราะออกมาเบา ๆ “สวยแล้วยังใจดีใช่มะ?” “มั่นใจเหลือเกินนะครับ” “แน่นอน คนมันเกิดมาสวยนี่นะ” ตอบเร็ว ๆ ทุกครั้งที่ผ้าในมือเริ่มร้อนเธอก็จะชุบน้ำแล้วบิดมันใหม่ ทุกแรงเช็ดทั่วทั้งใบหน้า ลำคอ ไม่แรงไปแต่ก็ไม่เบาเสียจนไม่มีประโยชน์กับการเช็ดตัวเพื่อช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกายตามกลไกธรรมชาติ มันไม่มีประโยชน์เลยต่างหาก! กับฝรั่งหื่นที่พกพาความร้อนระอุมาเต็มเรือนกายคงรู้สึกว่ามันร้อนขึ้นเรื่อย ๆ กับความช่างเอาอกเอาใจของสาวไทยคนแรก หากไม่นับงานวันไนต์สแตนด์ ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปในรุ่งเช้า หน้าอกเต่งตึงเด้งตามแรงขยับบางครั้งหากเข้ามาใกล้ ๆ มันก็ทิ่มหน้ากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเช้าพอเธอหายเข้าห้องน้ำไป เขาก็ได้แต่มองตามจนถึงกระทั่งตอนนี้ กลิ่นหอมอ่อนของแชมพูของคนที่เพิ่งอาบน้ำสระผม มือนุ่มนิ่มที่ไม่เคยได้ลองจับดูสักครั้งลากผ้าอุ่นเย็นไปมาบนใบหน้าไล่ไปถ