“คุณป้อม ผมว่า... ไม่ควรปล่อยเธอไปแบบนี้ ผมจะไปรับปริมกลับบ้านนะครับ” เสียงเข้มขรึมกึ่งอ้อนวอนของเลขานุการประจำบ้าน ‘ธนทรัพย์สกุล’ บอกว่าเขาอยากบึ่งรถไปรับคุณหนูมากแค่ไหน
นัยน์ตาสีนิลสนิทรับวงหน้าหล่อเหลาเย็นยะเยือกสบมองไปยังดวงตาคู่สวยใต้อายไลเนอร์คมกริบที่เลื่อนจากเอกสารกองพะเนิน มือเล็กวางปากกาแท็บเล็ตในมือ ทิ้งแผ่นหลังลงบนโซฟามีพนักพิงของผู้บริหารพร้อมสีหน้าครุ่นคิด “อืม... เดี๋ยวนะ... แบร์นาร์ด คุณจะไปรับมันทำไม?” “ทำไมจะไปรับไม่ได้ล่ะ? ผมว่าสวย ๆ แบบหนูปริมป่านนี้อาจถูกผู้ชายหลอกไปทำไม่ดีไม่ร้ายแล้วก็ได้ อย่าบอกนะว่าคุณป้อมไม่ห่วงลูกสาวเลย?” ใบหน้าสดสวยของสาววัยสี่สิบห้าปีแลดูอ่อนกว่าวัยประสาคนมีเงินนิ่งเฉย ก็เพราะว่าห่วง... หวง รักมากเกินไป ลูกของเธอถึงได้กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจแบบนี้! กระเป๋าแบรนด์ใบละเจ็ดแสนเธอก็ถอยให้ลูกได้ แบล็คการ์ดไม่จำกัดวงเงิน เธอให้ลูกเอาไปช้อปปิ้งได้วันเป็นล้าน! ลูกสาวสุดที่รักอยากได้รถยนต์ขับไปเรียน ไว้รับส่งเพื่อนที่กำลังจะตั้งตัวทำธุรกิจ เธอก็ถอยบีเอ็มดับบลิวตัวล่าสุดรุ่นท็อปให้ ‘คุณแม่ขา น้องปริมอยากได้จังเลยค่ะ’ ทั้งน้ำเสียงและสายตาเว้าวอน กอดรัดแม่อย่างออดอ้อน นัชชาคงจะได้ทุกอย่างที่ต้องการ คิดเท่านั้น ริมฝีปากบางเฉียบเคลือบลิปสติกสีแดงสดเม้มเข้าหากันแน่นด้วยอารมณ์กร้าวโกรธ “คุณไปทำงานของคุณ... ปล่อยมันไป” แบร์นาร์ดถอนหายใจออกมา “ผมไม่เข้าใจ... เธอก็ไม่ได้ทำเรื่องร้ายแรงอะไร แค่ปกป้องตัวเธอเอง เพราะว่าถูกบังคับ” “บังคับ? อะไรนะ ฉันเนี่ยนะเคยบังคับอะไรมัน มันอยากได้อะไรฉันก็ให้ แล้วนี่... บอร์ดผู้บริหาร หุ้นส่วนเขานินทากันว่าฉันปกครองลูกสาวตัวเองไม่ได้ เพราะมันไปยืนกรี๊ดกลางห้องประชุมฉัน มันเป็นบ้าเหรอ?” คนแม่หัวเราะออกมาราวกับว่าเป็นเรื่องตลกขบขัน ไม่ใช่เรื่องตลกของเลขาฯ หนุ่มชาวฝรั่งเศส เพราะเขาไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ตัวเขาเองก็อยู่กับนัชชามานานไม่ต่างจากคนในครอบครัว “หนูปริมเธอถูกกดดัน... ผมเห็นกับตาว่านายนนท์แต๊ะอั๋งเธอตั้งหลายครั้ง เป็นใคร ๆ ก็ไม่ชอบ ผมยังไม่ชอบเลยคุณป้อม” “มันก็เลยต้องกรี๊ด? ไม่ใช่แล้วนะ แบร์นาร์ด ฉันว่าคุณกำลังเข้าใจอะไรผิดมาก ๆ ฉันกำลังพูดถึงสิ่งที่ไม่ควรทำ ไม่ใช่เรื่องของตานนท์” ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้เรื่องของนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง หุ้นส่วนบริษัทที่เธออยากได้มาเป็นลูกเขยว่ามีพฤติกรรมอย่างไร เขาชอบพอลูกสาวของเธอมาก และชอบมานานเสียด้วย ในเมื่ออุตส่าห์ส่งลูกสาวไปเรียนการบริหารการตลาด ทายาทคนเดียวของบ้าน ‘ธนทรัพย์สกุล’ ยังไม่ได้เรื่องอะไรสักอย่าง! มันจึงไม่มีตัวเลือกเยอะแยะมากมาย เธอต้องการคนมาสานต่อกิจการ ทุกคนในบ้านกลับเข้าข้างคุณหนูเหมือนที่เคยทำ เรียกได้ว่านับตั้งแต่วินาทีที่นัชชาลืมตาดูโลก หล่อนเป็นเด็กที่ถูก ‘สปอยล์’ มาตลอด “ผมเปล่าเข้าใจผิดครับ ที่ลูกสาวคุณชอบกรี๊ดใส่หน้าคนอื่นเวลาโมโห คุณคิดว่าเป็นเพราะอะไรล่ะ จำได้ไหม?” คำถากถางไม่ต่างจากตบหน้าฉาดใหญ่! เจ้าของร่างบางในสูททำงานราคาแพงเช่นผู้ดีลุกพรวดจากเก้าอี้ เพื่อที่จะจัดการกับเลขาฯ ปากดี ซึ่งเธอไม่เคยใจร้ายไล่ออกได้สักครั้ง ทว่าพอจะอ้าปากส่งเสียง แบร์นาร์ดยกปลายนิ้วขึ้นชี้อย่างท้าทาย ยังละความสนิทสนมลงด้วยการเรียกชื่ออย่างเต็มยศ “นี่ไงครับ? คุณนิตยากรี๊ดใส่หน้าลูก ใส่อารมณ์กับลูก เด็ก ๆ เหมือนกระจกครับ มันเป็นกลไกการป้องกันตัววิธีหนึ่งที่สะท้อนออกมาจากการเลียนแบบพฤติกรรม ลูกโตมาแบบไหน ก็เพราะแม่เป็นแบบนั้นครับ ขนาดว่าผมเป็นแบบนี้ บางทีคงเป็นเพราะว่าเราอยู่กันมานานใช่ไหม? คราวนี้คุณจะทำอะไรผมล่ะ” ปลายเสียงในเชิงข่มขู่ต่อว่า ดวงหน้าแดงก่ำเพราะความโกรธสะบัดไปอีกทาง สองมือกอดอก เชิดหน้าเยี่ยงนางพญา ขณะเดียวกัน ใบหน้าสะสวยเต็มไปด้วยความเศร้าหมองขุ่นเคืองใจ เธอไม่อยากจะสนใจลูกคนนี้อีกต่อไปแล้ว! “นังลูกไม่รักดี มันจะนอนข้างถนน จะไปทำงานไซด์ไลน์ จะไปไหนก็เรื่องของมัน” “คุณป้อมทำไมทำอารมณ์เสียอย่างนั้น? ผมไม่มีทางปล่อยให้ปริมไปทำเรื่องไม่ดีแน่” ว่าในทันที เลขานุการหนุ่มต้องพยายามสงบสติอารมณ์ลงเช่นกัน เพราะไม่คิดว่าบางคนจะพูดคำ ๆ นี้ออกมาได้ ถึงแบร์นาร์ดจะเป็นลูกน้องและอายุน้อยกว่าห้าปี ทุกวันนี้เขาไม่ได้ทำหน้าที่แค่ดูแลจัดการงานของบริษัท เรื่องไปรับส่งจัดการธุระปัญหาจุกจิกยิบย่อย เขาดูแลทั้งสองคนเป็นอย่างดีตั้งแต่สามีของนิตยาหย่าขาดกันไปด้วยเหตุผลส่วนตัวในเรื่องธุรกิจ บริษัทปลากระป๋องตรา ‘คุณแม่มือหนึ่ง’ มีตัวเลขมูลค่าการส่งออกสินค้าไปทั่วโลกหลักหลายพันล้านบาท มีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ยังมีโรงงานผลิตกระจายอยู่ทั่วประเทศ แม้แต่ในร้านสะดวกซื้อเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ปลากระป๋องรสชาติไทย ๆ ยี่ห้อนี้นับว่าขายดีมากที่สุด เลขานุการหนุ่มใหญ่ร่วมหัวจมท้ายกับนิตยามาตั้งแต่เป็นบริษัทเล็ก ๆ ในทีแรกจนตอนนี้อายุย่างเข้าสี่สิบเอ็ดปี ที่ต้องมาขอร้องบอกเจ้าตัวในวันนี้ เพราะเขาคงต้องตามนัชชาไปเหมือนที่ผ่าน ๆ มา ได้แต่หวังว่าอีกคนจะไม่ส่งใครไปขวาง “ตอนนี้ปริมอยู่กับคุณพุทรา ผมจะไปรับตอนเธอโทรมานะครับ” ได้ยินเท่านั้น คุณแม่ที่ยังโกรธลูกสาวไม่เลิกจึงหันมารั้งเขาไว้ให้ต้องอยู่ในห้องนี้ก่อน “ก็แน่ล่ะ... มันจะมีปัญญาไปไหนได้? แล้วไม่มีอะไรทำหรือไง? คุณควรจะไปทำงานของคุณมากกว่าไปสนใจนังตัวแสบนะ” “เอกสารงานประชุมเรียบร้อยแล้วครับ โรงงานที่สมุทรปราการ คุณผู้จัดการส่งรายการอะไหล่เครื่องจักรทุกอย่าง แจ้งว่าไม่มีปัญหาอะไร” “ไม่มีอะไรแล้วก็กลับบ้านไปสิ... จะไปรับมันทำไม?” ในคำถากถางเหมือนว่าจะไม่ยอมแน่ วงหน้าหล่อเหลาเหยียดริมฝีปากอย่างไม่สมอารมณ์ “ผมถือว่ามาบอกครั้งหนึ่งก่อนแล้วกันครับว่าผมจะไปรับลูกปริมกลับบ้าน” เขาหมายความแบบนั้น เพราะนัชชาก็คิดกับเขาแบบนั้น เลขาฯ ฝรั่งเศสอย่างเขาที่พูดถึงสี่ภาษาจะไปทำงานสบาย ๆ กว่าอยู่กับแม่ม่ายสาวลูกติดก็ยังได้ แบร์นาร์ดกลับเสียสละเวลาส่วนตัวทุ่มเทไปกับผู้หญิงสองคนอย่างไม่รู้ว่าทุกวันนี้มีคำว่าตัวเองหลงเหลืออยู่บ้างหรือเปล่า เขาก็ต้องเข้าข้างเด็กน้อยที่อุ้มเลี้ยงมาเหมือนเป็นลูกสาวด้วยอีกคน และกับผู้หญิงที่เขารัก... บางครั้งก็เป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง “ผมได้ยินว่าสองสาวเขาทำร้านขายเสื้อผ้าด้วยกัน จดทะเบียนเป็นนิติฯ บุคคล ร้านใหญ่ ดังในหมู่สาว ๆ ปริมมีเงินเก็บเยอะแยะเลยนะครับจากธุรกิจนี้ เธอไม่ได้แย่ขนาดนั้นไม่ต้องมาทำปลากระป๋องกับคุณแม่ ถ้าไม่ใช้เงินเปลืองมาก คงอยู่ได้สบาย ๆ” คนได้ยินละความกร้าวโกรธลง หน้าเคร่งเครียดมองอีกคนว่าทำไมเขาถึงไม่บอกเรื่องนี้กับเธอ... มันจะมีสักกี่เหตุผลกัน? คิดแล้วก็แสร้งถามกลับอย่างนิ่ง ๆ “ก็เรียนการตลาดนี่นะ คุณมาบอกอะไรตอนนี้ล่ะ?” “ที่ผมไม่พูด เพราะคุณไม่เคยฟังไงครับ” เขายิ้ม เป็นยิ้มเย็นยะเยือกที่สุดเท่าที่รู้จักกันมา แบร์นาร์ดไม่สามารถก้าวก่ายในบางเรื่องได้ แต่ถ้าหากว่ามีโอกาสที่จะพูดแล้วละก็ เขาต้องปกป้องนัชชา... “ปริมกำลังเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตของเธอ ถ้าคุณไม่รีบเอาเธอมายุ่งกับบริษัท ผมเชื่อว่าเธออยู่ของเธอได้ เดี๋ยวนี้เธอไม่ได้ใช้เงินฟุ้งเฟ้อมาก ผลการเรียนก็ดี เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจขายเสื้อผ้ากับเพื่อน คุณพุทราซื้อคอนโดฯ เป็นชื่อของตัวเอง เป็นเด็กปีสี่กันเองนะครับ” ทั่วทั้งวงหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความชื่นชมประหนึ่งว่าเป็นลูกสาวของตัวเอง ก่อนจะวกกลับเรื่องเดิม “ผมไม่ไว้ใจนายนนท์... คุณป้อมจะยกลูกสาวให้เขาจริง ๆ?” “ฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น ไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ... ฉันไม่อยากเห็นหน้ามัน ถ้ามันไม่ยอมหมั้นกับนายนนท์ให้ฉัน” ความดื้อรั้นของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวฉายชัดออกมาทางสีหน้าและแววตา มันอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมสาวสวยรวยมากอย่างเธอไม่แต่งงานครั้งที่สอง ขณะที่เจ้าของร่างสูงก้าวเข้าไปใกล้ ๆ “คุณจะเป็นแบบนี้ใช่ไหม? คุณป้อม” “...” “ผมขอลาพักร้อนสักพักแล้วกัน... ผมจะหาเลขาฯ เก่ง ๆ มาทำงานแทน รับรองว่าผมไม่เอาเด็กไม่เป็นงานมาให้กวนใจคุณ” ในน้ำเสียงเย็นชา ใบหน้าสดสวยของสาวใหญ่นิ่งเฉย หากแต่แฝงความน้อยเนื้อต่ำใจไว้ในดวงตาคู่สวยเอ่อคลอ กระทั่งวินาทีที่เขาจ้องมองมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ก่อนจะหมุนกายจากไป ทิ้งเธอไว้ในห้องลำพัง เสียงประตูที่ปิดลงเบา ๆ พาเจ้าของร่างบางในห้องโล่งกว้างได้แต่ยืนกัดฟันแน่น ตัวสั่นเทาเพราะความโกรธ ข้าวของบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ทั้งปาก สมุด ที่วางทับกระดาษลอยไปกระแทกเข้ากับประตูตามแรงโทสะ “ไอ้เลขาฯ บ้า! ไอ้ผู้ชายเฮ็งซวย เข้าข้างกันดีนัก อยากไปไหนก็ไป จะลาพักร้อนแม่งครึ่งปี ก็เรื่องของมึง!” เสียงตวาดกร้าวตามไล่หลังไป กว่าที่เธอจะสงบสติอารมณ์ได้ ต้องใช้เวลาพักใหญ่กับการนั่งนิ่ง ๆ บนโซฟา นิตยาได้แต่หวังว่าตัวเธอคงไม่กลับไปเป็นแม่ค้าปากตลาดเหมือนในสมัยที่ยังเป็นขายปลาในตลาดสด เมื่อทุกวันนี้เธอผ่านจุด ๆ นั้นมานานมากเสียจนจำไม่ได้ด้วยซ้ำแล้วว่าความจนคืออะไร และถึงจะโกรธลูกสาวสักแค่ไหน เป็นไปไม่ได้เลยที่คนเป็นแม่จะไม่คิดว่านัชชากลายเป็นเด็กนิสัยเสียเพราะเติบโตมากับแม่ซึ่งเป็นคนโมโหร้าย ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้อย่างเธอ!ในรุ่งเช้าเวลาเจ็ดโมงกว่า นัยน์สีฟ้าครามเข้มเบิกโพล่งสะดุ้งตื่นจากนิทรา พลันผลักผ้านวมหนาที่คลุมห่มตัวอยู่อย่างงุนงง เมื่อคืนที่หลับไปทั้งชุดทำงานเขาไม่ได้หยิบจับอะไรสักอย่าง ผ้าห่มลายตุ๊กตาน่ารักจะเป็นฝีมือใครหากไม่ใช่เมียเจ้าของบ้าน! ร่างสูงในเชิ้ตสีดำยับยู่ยี่หยัดกายลุกขึ้นนั่ง พอดีกับที่โทรศัพท์สั่นดังจากข้างหมอน สายจากปรเมษฐ์โทรมาถามสารทุกข์สุกดิบของลูกเมีย และงานเฝ้าของเขาว่าเรียบร้อยดีไหม พร้อมส่งข่าวมาว่ากำลังจะกลับในวันพรุ่งนี้ทำให้ตื่นเต็มตาได้ไม่ยาก ทว่าพอวางสายจากเจ้านายหนุ่ม อลันมีความคิดบางอย่างเมื่อเหลือบมองตามบันไดทางขึ้นไปชั้นสองของบ้านสไตล์โมเดิร์นโทนสีเทาอบอุ่น ทำไมบ้านเงียบ? พุทราก็ไม่มาเรียกเขาสักคำ เพราะนิสัยของปรายลดาเป็นคนช่างห่วง ยังดูแลทุกคนรอบตัวเป็นอย่างดี เขาไม่ลังเลที่จะถือวิสาสะบุกห้องนอนตามหน้าที่ ก้าวขายาว ๆ เหยียบย่องขึ้นบันไดไป ชั้นสองมีสามห้องนอน ห้องโถงกลาง และห้องนอนสำหรับเล่นสนุกซุกซนของเจ้านาย ซึ่งคนเป็นเลขาฯ มานานถึงสิบปีต้องรู้ความลับเรื่องรสนิยมทางเพศของปรเมษฐ์เป็นอย่างดี ถึงเจ้าตัวจะเลิกราจากคู่ขาประหลาด ๆ ไปเพราะความรักในตัวลูกเลี้ยง
“ฉันหนาว... ขอ... ผ้าห่ม..” อ้อนวอนทั้งน้ำเสียงและแววตา ก่อนที่สติของเธอจะค่อย ๆ รางเลือน อลันถึงจะขี้หงุดหงิด ยังเป็นคนคิดเร็วทำเร็วอยู่สักหน่อย เขาคงไม่ปล่อยให้เธอต้องหนาวตายซะก่อน มือหนาสากลากชุดกระโปรงนอนออกจากเรือนกายแน่งน้อยออกอย่างระวัง เนื้อตัวของเธอส่งกลิ่นหอมอ่อนราวดอกไม้แรกแย้มบาน ก็คงจะใช่... นี่มันเด็กสาว! ยัยเด็กบ้านี่อายุห่างจากเขาตั้งสิบปี คิดพลางกลืนน้ำลายลงคออย่างหื่นกระหาย เมื่อทุกปลายนิ้วสัมผัสผิวนุ่มเนียนดุจแพรไหม ความขาวจัดจ้านเสียจนเห็นเส้นเลือดฝาดสะกดดวงตาของเขาไว้ ตัวของเธอร้อนแต่ดูเหมือนว่าตัวเขาจะร้อนยิ่งกว่า ม่านตาสีฟ้าครามจะเบิกกว้างตื่นตะลึงอีกครั้ง เมื่อเสื้อเปียกในมือหล่นแหมะจากมือหนาลงบนที่นอน ปรากฏสองเต้าเต่งตึง ยอดอกเต่งตึงประดับสีชมพูหวานติดตรึงเข้าไปในหัวสมอง ทั้งที่รสนิยมของอลันต้องสาวผิวแทนเท่านั้น! แต่เธอสวย! อืม.. ยัยเด็กแสบนี่สวยทั้งตัวจริง ๆ หน้าอกหน้าใจใหญ่ขนาดนี้ก็คงจะบีบได้พอดีมือ ไม่! จับไม่ได้เด็ดขาด... ความคิดหยุดลงพลางถอนหายใจหนัก นานแล้วที่ห่างหายไปจากเรื่องอย่างว่าเพราะมัวทำแต่งาน แต่เขาก็หนักแน่นมากพอหักห้ามใจ ท้ายทอยที่ช้
สถาปนิกหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบสองปีกลับมาถึงกรุงเทพฯ ในช่วงเย็นพร้อมเพื่อนร่วมงานสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน เนื่องมาจากว่าปิ่นแก้วจำเป็นต้องหอบงานโปรเจคใหญ่จากฟิลิปปินส์กลับมาทำต่อ มันเป็นงานที่จะต้องทำร่วมกันเป็นทีม ซึ่งเจ้าของบ้านก็ให้เกียรติภรรยา ไม่พาผู้หญิงเข้าห้องทำงานส่วนตัว แต่ใช้สถานที่ในห้องรับแขกโปร่งโล่ง เปิดกระจกไว้ทุกบาน สำหรับวางกระดานแบบงานอันใหญ่ นัชชาสนิทสนมกับบ้านนี้มาตั้งแต่ยังเรียนอยู่อนุบาล ก็ไม่แปลกที่เธอจะต้องรู้จักทั้งพ่อเลี้ยง และอดีตผู้หญิงของพ่อเลี้ยง อย่างหนึ่งที่เธอไม่เข้าใจว่าพวกเขาเลิกกันไปนานแล้ว ยังต้องติดต่อกันด้วยความเป็นเพื่อนร่วมงาน ทำไมปรเมษฐ์ถึงไม่หาทางปลีกตัวจากผู้หญิงร้ายกาจอย่าง ‘ปิ่นแก้ว’ แม้ปิ่นแก้วจะเคยเป็นเพื่อนคนสนิทในกลุ่มของปรเมษฐ์ จบสถาปนิกมาด้วยกัน อยู่ในสายงานเดียวกันคือสายวิชาการออกแบบอุตสาหกรรม ผู้หญิงคนนี้ต่อหน้ายิ้มแย้มได้อย่างไร้เดียงสา แต่จ้องจะแทงข้างหลังปรายลดาอยู่เสมอ ด้วยความอิจฉาอยากได้ความรักของเขาที่มีให้แค่ลูกเลี้ยงมาโดยตลอด ผีเห็นผี... มองตากันก็รู้ว่าอีกคนมีนิสัยยังไง ใต้ร่มไม้ของม้านั่งหินในสวนหย่อมหน้าบ้าน ดวงตาของเพื
“m-a-n-n-e-r แปลว่า มา-ระ-ยาด นะคะคุณฝรั่ง อยู่เมืองไทยมาก็นาน ฟังภาษาไทยเข้าใจไหม? คำว่ามารยาทน่ะ” เสียงหวานสะกดทีละคำทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ขนาดรอเรือยังออกเสียงควบกล้ำชัดเจน ฝรั่งที่อยู่เมืองไทยมาสิบปี! แม่ของเขาก็เป็นคนไทยถึงเขาจะถือสัญชาติอเมริกัน ไม่ต่างจากโดนตอกหน้ายับเยิน ชายหนุ่มได้แต่ยืนโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง กระทั่งหญิงสาวอีกคนวิ่งตามมา “พี่ซื้อขนม น้ำมาฝากเรากับพ่อเลี้ยง มากินกับพี่ก่อนสิ พุทรา กินก่อนค่อยไป เดี๋ยวพี่จะกลับแล้วนะ” บนวงหน้าสดสวยของสาววัยสี่สิบที่ดูไม่แก่กว่าวัยฉาบด้วยรอยยิ้มที่คงไม่ต่างจากยาพิษ นัชชาเลิกคิ้วขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย ปรายลดาชะงักครู่มองหน้ากันครั้งหนึ่ง แล้วก็ถูกเร่งเร้า “ไปเร็ว... ไปกินขนมกับพี่นะ” “ค่ะ พี่ปิ่น กินก่อนก็ได้ค่อยไป แก..” มือที่ยังจับกันไว้กระตุกเบา ๆ อีกคนก็กระตุกยิ้มมุมปาก ด้วยความคิดตรงกันว่าหากเข้าบ้านไปตอนนี้ ปรเมษฐ์คงเลิกรากับการทำงาน แล้วมาพาคนท้องไปโรงพยาบาลแทน เป็นเรื่องปรกติของผู้ใหญ่ในบ้านหลังนี้ แต่ละคนชอบที่จะซื้ออาหารมารับประทานร่วมกัน แม้แต่ปิ่นแก้วเองกับคนบ้านนู้นก็มากันอยู่บ่อย ๆ มีพักหลังมานี้ที่สถานะของเจ้าต
เนื่องมาจากผู้ป่วยไม่รู้ว่าได้รับสารพิษตัวใดแน่ประกอบกับมีไข้สูง แพทย์จึงทำการล้างท้องเพื่อกำจัดสารแปลกปลอมออกจากร่างกาย ให้น้ำเกลือ และทำการตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยสาเหตุเพิ่มเติมในเบื้องต้น ชายร่างกำยำในชุดสีเขียวของคนไข้ตอนนี้หมดสภาพอยู่บนเตียงผู้ป่วย ใบหน้าหล่อเหลาราวกระดาษขาวซีดกว่ากางเกงยีนที่ใส่มาในทีแรก ทั่วทั้งไรผมสีน้ำตาลเข้มเปียกชุ่มเหงื่อเพราะอุณหภูมิร้อนรุ่ม บางครั้งก็มีอาการหนาวสั่น “ญาติคนไข้ใช่ไหมคะ?” พยาบาลสาวถาม ก่อนหันไปมองฝรั่งหล่อล่ำกล้ามโต ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกตั้งแต่เข็นเตียงผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลมาท่ามกลางสายตาวิบวับของเหล่าสาวน้อยใหญ่ ถ้าไม่มองนี่สิแปลก! “ค่ะ ใช่ค่ะ...” / “ไม่ใช่ครับ” เอ่ยพร้อมกัน พยาบาลสาวหน้าตาดีถึงกับงุนงง ทว่าไม่ทันจะได้ซักต่อ “คุณอลัน คุณมีญาติที่ไหนเล่า ก็ต้องยัยปริมเนี่ยล่ะตอนนี้ เลิกทะเลาะกันก่อนนะคะ... ยัยปริม แกอยู่ดูคุณอลันเลยนะ” ปลายเสียงต่อว่าเพื่อนในฝั่งตรงข้ามกัน ตัวต้นเหตุของเรื่องวุ่น ๆ ทั้งหมดคงรู้ตัวเป็นอย่างดี ในเหตุว่ามีเรื่องฉุกเฉินจำเป็นอะไร ต้องมีญาติคนไข้ลงนามยินยอมให้แพทย์ทำการรักษา สำหรับชาวต่างชาติที่ไม่ได้เ
พอปรเมษฐ์แวะเอากระเป๋าเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้จำเป็นสำหรับผู้หญิงมาให้ เขาก็ขอตัวกลับไปดูแลภรรยา ปล่อยให้เป็นธุระของคนที่รับปากว่าจะรับผิดชอบอยู่ดูแลผู้ป่วย นัชชาไม่เคยจะต้องนอนเฝ้าไข้ใครมาก่อน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ หยิบชุดอยู่บ้านสบาย ๆ เสื้อยืดกางเกงขาสั้น ในกระเป๋ามาสวมค่อยย้อนกลับไปดูสายน้ำเกลือก่อนเป็นอย่างแรก “น้ำ... หิวน้ำ” เสียงแหบพร่าเรียกคนข้างกาย ในความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงแม้ว่าเขาจะนอนเฉย ๆ หญิงสาวก็เดินไปรินน้ำอุ่นใส่แก้ว เธอต้องวางมันลงบนโต๊ะข้างหัวเตียงก่อน เพื่อปรับเบาะให้เอนขึ้นเล็กน้อยด้วยการกดปุ่มเล็ก ๆ ตรงขอบเตียง “ดีขึ้นไหม... คุณหิวหรือเปล่า? กินยาก่อนค่อยนอนนะ...” พูดพลางหยิบแก้วมาประคองป้อนให้ถึงปากคนที่ขยับคอขึ้นจิบน้ำ ใบหน้าหล่อเหลาขาวซีดราวกระดาษ ผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงพิงราบอยู่บนหมอน ปรือตามองคนเฝ้าอย่างไม่ได้รู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณ แต่มันเป็นหน้าที่ของเธอในตอนนี้ “ไม่หิว...” “ไม่หิวก็ต้องกิน ไม่งั้นจะหายได้ไงเล่า ตัวออกจะโตขนาดนี้ อย่าทำใจเสาะน่ะ กินยาเช็ดตัวแล้วค่อยนอนนะคะ” น้ำเสียงกึ่งสั่ง เธอเห็นอยู่ว่าเขาเป็นคนอารมณ์ร้อน! เอาแต่ใจตั
กลิ่นหอมอ่อนโชยผ่านโสตประสาทของคนป่วย ดวงตาของเขาเหมือนปะติดอยู่บนใบหน้าสะสวย ประดับความหวานไว้บนขนตาเป็นแพงอนงามเหนือนัยน์ตาสว่างใส “อืม... ก็เข้ากับหน้าตาดี ปากไม่ดีหน่อยพอให้อภัย” เอ่ยปากชมอย่างจริงใจ หญิงสาวตั้งใจทำงานแต่หัวเราะออกมาเบา ๆ “สวยแล้วยังใจดีใช่มะ?” “มั่นใจเหลือเกินนะครับ” “แน่นอน คนมันเกิดมาสวยนี่นะ” ตอบเร็ว ๆ ทุกครั้งที่ผ้าในมือเริ่มร้อนเธอก็จะชุบน้ำแล้วบิดมันใหม่ ทุกแรงเช็ดทั่วทั้งใบหน้า ลำคอ ไม่แรงไปแต่ก็ไม่เบาเสียจนไม่มีประโยชน์กับการเช็ดตัวเพื่อช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกายตามกลไกธรรมชาติ มันไม่มีประโยชน์เลยต่างหาก! กับฝรั่งหื่นที่พกพาความร้อนระอุมาเต็มเรือนกายคงรู้สึกว่ามันร้อนขึ้นเรื่อย ๆ กับความช่างเอาอกเอาใจของสาวไทยคนแรก หากไม่นับงานวันไนต์สแตนด์ ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปในรุ่งเช้า หน้าอกเต่งตึงเด้งตามแรงขยับบางครั้งหากเข้ามาใกล้ ๆ มันก็ทิ่มหน้ากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเช้าพอเธอหายเข้าห้องน้ำไป เขาก็ได้แต่มองตามจนถึงกระทั่งตอนนี้ กลิ่นหอมอ่อนของแชมพูของคนที่เพิ่งอาบน้ำสระผม มือนุ่มนิ่มที่ไม่เคยได้ลองจับดูสักครั้งลากผ้าอุ่นเย็นไปมาบนใบหน้าไล่ไปถ
‘ผู้หญิงของเจ้านายคุณน่ะ ระวังตัวไว้ดี ๆ ก็แล้วกัน ฉันโทรมาเตือนครั้งสุดท้าย’ คำขู่ของหญิงสาวผู้เต็มไปด้วยความริษยาอาฆาตแค้นเมื่อหลายวันก่อนทำให้เขาไม่สบายใจ อลันได้สืบสาวเรื่องราวบางอย่างมาว่ามีอะไรแปลก ๆ เกี่ยวกับปิ่นแก้ว เขารายงานเจ้านายไปก่อนหน้านี้ นอกจากเรื่องที่เธอไปหาปองกานต์ ยังไปยุ่งวุ่นวายกับพวกกู้หนี้นอกระบบ บ่อน ซึ่งเขาได้ฝากให้ลูกพี่ลูกน้องแอบตามไป สัญชาตญาณเลขาฯ ไฟแรงเขาคงอยากลุกขึ้นมาสะสางปัญหาเรื่องผู้หญิงของเจ้านายให้เรียบร้อย คนที่หยุดปลายเท้าลงข้างเตียงดันทักขึ้นเสียก่อน “คุณอลัน... กินข้าวต้ม กินยาให้ครบ ไม่ไหวก็ไม่ต้องลุก เดี๋ยวฉันจะกลับแล้วนะ” ในน้ำเสียงกึ่งสั่ง ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาวราวกระดาษมองกลับไปยังร่างบางในชุดเสื้อยืด กางเกงขาสั้นงานแบรนด์สมฐานะคุณหนู สี่วันสามคืนอยู่กินกันฉันผัวเมีย! นัชชาถึงปากร้ายไปสักหน่อยเธอกลับดูแลเขาเป็นอย่างดี ตั้งแต่นอนเฝ้าไข้ยันขับรถยนต์พาเขากลับมาส่งถึงคอนโดฯ วันนี้ก็ยังเตรียมข้าวต้มอร่อย ๆ ไว้ให้เรียบร้อยโดยที่เขาไม่ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรเลยสักอย่าง เป็นธรรมดาที่ฝรั่งไร้ญาติจะเกิดความรู้สึกเศร้าเสียดาย อยากให้เธออยู่ชวนทะเลา