“พี่ซาน!” อินทุภาเคาะประตูเรียก
“เข้ามาเลย ไม่ได้ล็อก” ยังไม่ทันจะแตะลูกบิด ซุนจ่งซานก็เปิดประตูออกมาเสียเอง
“โอ้โฮ ทำไรคะนี่!?!” อินทุภาชะโงกหน้ามาดูในห้องจากช่องประตู ซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือที่กางเอาไว้บนโต๊ะ ส่วนข้างๆ ก็มีกระจาดสมุนไพรวางเรียงไว้เป็นแถว
“กำลังทดลองสูตรปรุงยาสมุนไพร ตามตำราโบราณน่ะ คิดค้นโดยท่านหมอซุนผู้นั้น มีทั้งยารักษา และยาพิษ” จงซานดึงแว่นขึ้นไปไว้บนศีรษะ มือก็เลือกหยิบสมุนไพรบางชนิดใส่กล่องเล็ก
“พี่ซานสอนหนูบ้างสิคะ อยากรู้ทั้งหมดเลยพวกยารักษา ยาพิษอะไรพวกนั้นน่ะ” อินทุภายิ้มประจบ
“ทำไมถึงอยากรู้ล่ะ?” จงซานถามยิ้มๆ โดยไม่มองหน้า
“ก็หนูอยากเก่งแบบพี่บ้าง อีกอย่างศึกษาเอาไว้เป็นความรู้ดูแลตัวเองและคนรอบข้างได้ โดยไม่ต้องพึ่งหมอ แล้วก็อยากรู้ว่ามีวิธีการรักษาพิษยังไง? อะไรประมาณนี้ค่ะ” จงซานเหลือบตาขึ้นมอง แล้วอมยิ้ม ก่อนจะหลุบตาทำงานต่อ
“เยอะ! จะจำหมดไหมล่ะ”
“สบายมาก ถึงหนูจะไม่ฉลาดทำอะไรก็ซุ่มซ่าม แต่ความจำหนูเริ่ด! ” อินทุภาตอบแบบหน้าเชิด ยืดอกตบเบาๆ ภูมิใจในนิสัยถาวรของตัวเองสุดๆ ทำให้ซุนจ่งซานหัวเราะเสียงดัง ตาหยีเป็นเส้นเดียว
“มันใช่เรื่องเดียวกันไหมยัยตัวเล็ก!” เขาพูดแล้วเดินไปที่ชั้นหนังสือ “เอ้า..เอาไปคัดลอก” เขาวางหนังสือเจ็ดเล่มตรงหน้าเธอ แล้วจับศีรษะเธอโคลงเบาๆ อย่างเอ็นดู
“เอ่อ..พี่..หนูถามหน่อย ตอนที่พี่ซานเจอกับท่านหมอเมื่อตอนเด็กๆน่ะ พี่สวมแหวนวงนี้หรือเปล่า?” อินทุภา ดึงสร้อยที่ห้อยแหวนไว้ออกมาชูให้ซุนจ่งซานดู
“ใช่ พี่ไปค้นจากกล่องไม้ในห้องย่าเอามาใส่เล่น โดนตีไปหลายทีเลย” เขาหัวเราะ “ไม่เข็ดหรอกนะ เอามาใส่อีก แต่พอดีเกิดป่วยเลยยังใส่ติดนิ้วอยู่ในตอนนั้น จนได้เจอท่านหมอนั่นแหละ เป็นเพราะแหวนรึ?” ซุนจ่งซานเลิกคิ้วมองลอดแว่น รอคำตอบ
“คิดว่าน่าจะใช่ค่ะ” อินทุภาตอบ กำลังจะพูดต่อ เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นพอดี อินทุภาชูโทรศัพท์ เป็นเชิงขอตัวญาติผู้พี่ แล้วเดินออกไปข้างนอก เขาพยักหน้ารับ
“สวัสดีค่ะแม่”
“เฮลโหล! เดอะ มูนไลท์ บิวตี้ เป็นไงบ้างจ๊ะ เจอชายในฝันหรือยัง?” อินทุภาหัวเราะ กับคำทักทายของมารดา
“เหมือนเจอกันแต่ในฝันนะคะ เอาไปเป็นลูกเขยไม่ได้หรอก”
“ว้า! แบบนี้ก็แย่ล่ะสิ! เจอกันในฝัน เลยต้องขึ้นคานในชีวิตจริง โหดร้ายเกินไปแล้วบิวตี้! ข้ออ้างนี้ฟังไม่ขึ้น ไป-เรียน-มา-ใหม่!”
อินทุภาต้องหัวเราะ เพราะถึงบอกไปว่าเจอแล้ว แม่ก็ต้องคาดคั้นหนัก เธอไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเล่ารายละเอียดเรื่องเหลือเชื่อพวกนี้ ให้มารดาเข้าใจได้อย่างไร
“ชิ! อย่ามัวแต่ห่วงตามหาพระเอกให้ลูกสาวเลยค่ะ พระเอกของแม่น่ะ ได้ติดต่อกันบ้างหรือเปล่า!”
“โอ๊ย! เช้าถึงเย็นถึง! สัญญาณดีไม่มีขาดหาย วิดีโอคอลสามเวลาหลังอาหาร มีแถมกู๊ดไนท์คิสส่งเข้านอนให้อีกด้วยนะ”
“เหม็นกลิ่นความรัก!"
คุณอรรพีหัวเราะเสียงดังมาตามสาย ชอบใจที่ถูกลูกสาวประชด
“แม๋จ๋า” อินทุภาเริ่มกังวลนิดๆ
“แน่ะ! ประโยคอันตราย เรื่องใหญ่แน่ๆ! แกไปจับผู้ชายทุ่มหลังหักมาอีกล่ะสิ ตอบ!?!”
“คือหนู.. คือถ้าหนูไม่ได้ติดต่อกับแม่นานๆ แม่ก็อย่ากังวลไปนะจ๊ะ ไม่ว่าหนูจะอยู่ส่วนไหนของโลก หนูก็ยังสบายดี และรักพ่อกับแม่ที่สุดเลยจ้ะ” อินทุภาคอแห้งผาก
หนูจะบอกแม่ยังไงดี..
“เป็นอะไรไปน่ะหนูอิน? พร้อมจะเล่าให้แม่ฟังไหม? พ่อกับแม่สนับสนุนลูกในทุกเรื่องๆ เสมอ จำได้หรือเปล่า?”
“มันไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรอกค่ะแม่ เพียงแต่อาจจะเหนือความคาดหมายไปหน่อย จนเหมือนจะเป็นปาฏิหาริย์ ที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้จริง แต่…”
“เอาเถอะๆ พร้อมเมื่อไหร่ค่อยมาเล่า แม่มั่นใจว่าลูกต้องคิดมาดีแล้วว่า เป็นสิ่งที่สมควรจะถูกเลือกหรือไม่ และถึงแม้จะไม่ถูกต้องสำหรับใคร แต่ถูกใจลูกก็พอแล้วจ้ะ” คุณอรรพีตัดบท เธอพร้อมที่จะเข้าใจและเคารพการตัดสินใจของลูกสาว
“ขอบคุณค่ะแม่ ขอบคุณที่เข้าใจหนู ถ้าได้เจอกันหนูจะเล่าให้ฟังทุกอย่าง สัญญาเลย”
“ก็ดูแลตัวเองให้ดีๆ ใช้สันติในการแก้ปัญหา อย่าใช้กำลังตัดสินเหมือนที่ผ่านมา ว่าที่สามีจะขยาดกันซะหมด!”
ประโยคทิ้งท้ายของมารดาทำให้อินทุภาต้องหัวเราะ ทั้งๆ ที่ในใจยังหนักอึ้ง แม่น่ารักอย่างนี้เสมอ
…………………………...
“โอ๊ะ! มาเร็วจังเพคะ!”
อินทุภาอุทาน เมื่อเห็นร่างคุ้นตานั่งอยู่ใต้ต้นอวี้หลัน
“บ้านอยู่แค่ตรงนี้เอง ก็นั่งเล่นไปเรื่อยๆ เจอกันเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น” เขาตอบเรื่อยๆ ตบพื้นที่ข้างตัวให้นั่ง
“มีอะไรในกระเป๋า? ขนเสื้อผ้าไปด้วยรึ?”
หยางหมิงอวี้ถามขำๆ เมื่อเห็นการแต่งตัวทะมัดทะแมงเหมือนเด็กผู้ชาย ผมยาวดำขลับถูกรวบไว้เป็นมวยผมหลวมๆ บนกลางศีรษะ มีปอยผมลุ่ยละคอ ใบหน้าขาวนวลเนียน ผิวใสราวกับยังเป็นเด็กน้อย จมูกโด่ง รับกับปากอิ่มเต็มแดงระเรื่อ ดูน่ารักน่าเอ็นดูไปทั้งเนื้อทั้งตัว
“ก็พวกข้าวของเครื่องใช้ของผู้หญิงน่ะเพคะ เผื่อว่าที่นั่นไม่มีให้ใช้” อินทุภายิ้มอายๆ
จริงๆ แล้วมันคือสมบัติบ้า!!
หยางหมิงอวี้เอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อย เอียงคอมองหญิงสาว
“ตื่นเต้น หรือรู้สึกกลัวบ้างไหม?”
“ทั้งสองอย่างเพคะ ฝ่าบาทคงจะไม่ทิ้งให้หม่อมฉันเคว้งคว้างในโลกกว้างคนเดียวใช่ไหมเพคะ?”
“สัญญาด้วยเกียรติของทหาร” เขารับคำหนักแน่น ทั้งคำพูดและสายตา
“งั้น!” อินทุภายกมือชูเฉียงๆ ขึ้นฟ้าคล้ายท่าของซูเปอร์แมน แล้วลุกขึ้นยืน ตามองตรงไปข้างหน้า “หม่อมฉันพร้อมที่จะลุยไปกับโลกใหม่แล้วเพคะ!”
หยางหมิงอวี้หัวเราะเสียงดัง กระตุกข้อมือหญิงสาวเข้าหาตัว ทำให้เธอเซถลาเข้ามานั่งซ้อนตัก เขาโอบรัดไว้ทั้งสองแขน สูดลมหายใจเข้าแรงชิดติดแก้มนวลระเรื่อใกล้จมูก
“รีบงั้นรึ?” เขาถามชิดแก้ม แล้วเริ่มไถลไปที่ปากอิ่มเต็ม
“อื้อ! อย่าซีเพคะ! เดี๋ยวจะมองไม่เห็นตอนที่พวกเรากำลังหายตัว” อินทุภาประท้วง พร้อมยันอกเขาไว้ด้วยมือเดียว
“ตื่นเต้นอะไรนักนะ ทำเป็นเด็กไปได้นี่!” เขาทำเสียงดุ แต่สีหน้าพราวไปด้วยรอยยิ้มขัน
“ฝ่าบาทต่างหากที่ทำเหมือนหม่อมฉันเป็นเด็ก! หลอกล้อเป็นว่าเล่น!” อินทุภาประท้วงเสียงงอน ปากเชิด ตวัดสายตาค้อนคนน่าหมั่นไส้ตรงหน้า
“ก็เป่าเปาน่ารักนี่นา ขนาดว่าค้อนปะหลับปะเหลือกอยู่นี่ ก็ยังน่ารัก”
เขาหัวเราะชอบใจ ที่ยั่วให้หล่อนงอนมากกว่าเดิม เพราะท่าทางกระเง้ากระงอดของหญิงสาวน่ารักน่าจูบเป็นอย่างยิ่ง
แล้วหมัดของเป่าเปาผู้น่ารัก ก็ทุบบึ้กเข้าที่อก ทำให้คนที่กำลังหัวเราะ ไอแค่กๆ ไปหลายที
“ตัวก็เล็กนิดเดียวทำไมแรงเยอะนักนะ” เขาทำตาดุ หันหน้าเบือนหนีไปอีกข้าง
อินทุภาหัวเราะคิก ไถลตัวลงจากตัก ถึงคราวที่คนขี้แกล้ง จะงอนเธอขึ้นมาบ้างแล้ว
“เอ๊ะ... นั่น!!”
อินทุภาได้ยินเพียงเท่านั้น ก่อนที่ร่างสูงจะลุกพรวดแล้วออกวิ่งไปข้างหน้า ร่างของเขาค่อยๆ พร่าเลือนและหายไปต่อหน้าต่อตา
เธอนั่งนิ่ง สมองประมวลผลอย่างรวดเร็ว เก็บข้อมูลเอาไว้เพื่อไขปริศนา
หรือว่าบริเวณรอบๆ ต้นอวี้หลันแห่งนี้ เป็นรอยต่อของสองมิติที่ทับซ้อนกัน?ขณะที่กำลังคิดอยู่ ภาพของหยางหมิงอวี้ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขากำลังเดินตรงมาหา พร้อมกับอุ้มแมวสีดำสนิทตัวหนึ่ง ดวงตากลมโตเป็นสีเหลืองนวล แวววาวสะท้อนแสง ดูใหญ่กว่าแมวทั่วไป และที่สะดุดตาที่สุดก็คือกระดิ่งที่ห้อยอยู่ที่คอมัน ซึ่งมีลักษณะสีขาวบริสุทธิ์... ทำให้เธอชะงักไปชั่วครู่
กระดิ่งนั่น!...มันคือหยกนี่!
อินทุภาขยับตัวไปข้างหน้า เอื้อมมือไปแตะที่กระดิ่งทันที ราวกับร่างกายเคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณ
“หยกจริงๆ ด้วยเพคะ! แบบเดียวกันกับที่พวกเรามี” เธอพึมพำ พลางจับกระดิ่งแล้วเขย่าเบาๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ
เสียงกรุ๋งกริ๋งใสดังกังวานก้องไปทั่วบริเวณ เป็นเสียงสะท้อนก้องไปมา และทันใดนั้น แสงระยิบระยับสีขาวนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้น ล่องลอยลงมาจากเบื้องบนราวกับเป็นม่านแสง บรรยากาศในตอนนี้ คล้ายกับตอนที่ได้พบกับหยางหมิงอวี้เป็นครั้งแรก
อินทุภาเงยหน้าขึ้น เห็นดวงตาคมจับจ้องเธออย่างแน่วแน่ หยางหมิงอวี้ค่อยๆ วางแมวดำลงกับพื้น มันนั่งลง มองเขาและเธออยู่ชั่วครู่ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปได้สี่ก้าว แล้วหยุด หันกลับมามองอีกครั้ง ริมฝีปากของมันขยับพึมพำ เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไร้สุ้มเสียงใดๆ
จากนั้น... มันก็เดินหายเข้าไปในต้นอวี้หลัน
หยางหมิงอวี้ เฝ้าจับจ้องทุกเหตุการณ์ตรงหน้า ไม่วางตา ก่อนจะเอื้อมมือคว้ามือของอินทุภามากุมไว้แน่น แล้วพาเธอก้าวตามเขาเข้าไปในต้นอวี้หลันด้วยกัน
…
ตัวอินทุภาเย็นเยียบ มือชาและสั่น หัวใจก็เต้นแรง เหมือนจะหลุดออกมาจากร่าง รอบตัวปกคลุม ไปด้วยแสงกะพริบวิบวับ กระจายอยู่ในอากาศเป็นจำนวนมาก มองไม่เห็นแม้กระทั่งมือตัวเอง เสมือนว่ามีแค่ดวงจิตเท่านั้น ที่กำลังลอยคว้างอยู่ในใจกลางของแกแลคซี่
เธอสะดุ้ง จากภวังค์ความคิด เมื่อรู้สึกว่ามีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ชาวูบมาจากมือข้างที่องค์ชายกุมไว้ สัมผัสได้ถึงแรงบีบเบาๆ แต่หนักแน่น ก่อเกิดกระแสความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งแขน อินทุภารับรู้ด้วยหัวใจ ว่าถูกถ่ายทอดมาจากผู้ใด เหมือนจะปลอบประโลมว่า ไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกที่เวิ้งว้างแห่งนี้
อินทุภาหลับตาแล้วยิ้ม รู้สึกผ่อนคลายสบายไปทั้งร่างกาย ความกลัวทั้งมวลหายไปโดยสิ้นเชิง ตราบเท่าที่ยังมีมืออบอุ่นแข็งแรงจับมือเธอเอาไว้ ก็ไม่มีอะไรอีกแล้วที่เธอจะต้องกลัวในโลกใบนี้!
“เป่าเปา!” เสียงเบาๆ เหมือนลอยมาจากที่ไกลๆ
“เป่าเปา!”
ใกล้ขึ้นแฮะ!
“เยว่อิง!”
อ๊ะ! ใกล้เกินไปแล้ว!
อินทุภาลืมตา
“ฝ่าบาท!!” เขายิ้มกว้างจนตาเล็กเรียว หน้าอยู่ชิดกันแค่คืบ
“ฝันกลางวันถึงใครอยู่งั้นรึ?” ยิ้มยียวนนั้น ทำให้รู้สึกว่าน่าหมันไส้นัก
แล้วอินทุภาก็เบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ตะลึงมองภาพที่อยู่ด้านหลังหยางหมิงอวี้ เธอเดินหลีกตัวเขาออกมามองภาพภูเขาที่สลับซับซ้อน แม่น้ำทอดยาวไกลสุดสายตา ความเขียวครึ้มของต้นไม้ใบหญ้า ที่ทับซ้อนกันเห็นเป็นเงาลดหลั่นตามความใกล้ไกล แล้วก็ท้องฟ้าสีครามกว้างไกลสุดลูกหูลูกตานั่นอีก
อินทุภาหลับตา กางแขน สูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรง ลืมตามองภาพตรงหน้า แล้วหมุนสองแขนช้าๆ ไปรอบตัว ตะโกนพูดไปหัวเราะไป เสียงใสๆ น่าเอ็นดู
“ของจริง! นี่คือของจริง! ไม่ใช่ภาพเขียนบนผืนผ้า วู้วววว!! ฉันมาเยือนเธอแล้ว..ยุคโบราณจ๋าาาา!”
ภาพหญิงสาวหัวเราะเสียงใส กางแขนหมุนไปรอบตัว แล้วก็ชูแขนขึ้นฟ้า กระโดดตัวลอยเด้งขึ้นเด้งลง ทำให้เขาอดใจไม่ไหว อยากเข้าไปร่วมแสดงความยินดีด้วยเหมือนกัน เขารวบตัวมากอดแล้วกดจูบหนักๆ เธอตกใจในตอนแรกแล้วก็หัวเราะจนตาหยี ทำให้เขารู้สึกเป็นสุขยิ่งนัก
“ท่านเยว่! .. ท่านเยว่!” อินทุภาเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียก เห็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดปี โยนตะกร้าสานในมือทิ้ง ฉีกยิ้มกว้างวิ่งตรงมาหาเธอด้วยความดีใจ “ท่านเยว่! .. ท่านเยว่! จริงๆ ด้วย จำข้าได้ไหมขอรับ? ข้าเอง..เสี่ยวเถา!” อินทุภายิ้มแหยๆ หันไปมองหยางหมิงอวี้เพื่อขอความช่วยเหลือ “เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย ทำให้ความทรงจำหายไป คงอีกสักพักกว่าจะกลับมา” หยางหมิงอวี้กล่าวแทนด้วยน้ำเสียงขบขัน “อย่างนี้นี่เอง! อยู่ๆ ท่านเยว่ก็หายตัวไป พวกเราทุกคนคิดถึงท่านมาก โดยเฉพาะฝ่าบาท ตั้งแต่ท่านไม่อยู่ ฝ่าบาทดูหน้าไม่เป็นหน้าเลยขอรับ” “อ้อ! งั้นที่เจ้าเรียกฝ่าบาท! ฝ่าบาท! เพราะเห็นว่าหน้าข้ามันคล้ายกันใช่หรือไม่?” หยางหมิงอวี้แกล้งถาม อินทุภาปล่อยเสียงหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง แล้วกลั้นขำเอาไว้“ธ่อ! กระหม่อมไม่ได้หมายความอย่างนั้นเสียหน่อย!” เสี่ยวเถาทำหน้าเสีย ยิ้มแหยๆ “เสี่ยวเถาเป็นนักเรียนคนแรกของโรงเรียน ที่เจ้าก่อตั้งขึ้นเมื่อสิบปีก่อน” หยางหมิงอวี้อธิบาย “อ้าวเหรอ..งั้นเรามาทำความรู้จักกันใหม่แล้วกันนะ สวัสดีอย่างเป็นทางการนะจ๊ะ..เสี่ยวเถา ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ” อินทุภายิ้ม แล้วยื่นมืออ
เสียงหัวเราะดังก้องในห้อง หยางหมิงอวี้ยืนอยู่หน้าประตู มุมปากเขาเผยรอยยิ้มเล็กน้อย เมื่อนึกถึงภาพสาวน้อยที่ตัวสั่นเทาเมื่อคืน แตกต่างจากตอนนี้ ที่สามารถหัวเราะเสียงใสราวกับไร้ความกังวล เขาชอบที่เธอมีความเป็นตัวของตัวเอง รู้ว่าต้องการอะไรและไม่ต้องการอะไร กล้าพูดกล้าทำ ไม่มีการปิดบังเสแสร้ง ซึ่งแตกต่างจากคนในยุคของเขาเป็นอย่างมาก “อรุณสวัสดิ์เพคะ” อินทุภาทักทายเมื่อเห็นหยางหมิงอวี้ยืนอยู่หน้าประตูห้อง จับกระโปรงถอนสายบัวอย่างนุ่มนวล สาวใช้ยิ้มแล้วรีบถอยออกไป หยางหมิงอวี้เดินเข้าใกล้ พลางยิ้มกับท่าทางขี้เล่นของเธอ “ชุดนี้พอดีไหม? ดูเหมือนจะคับไปหน่อยตรงนี้หรือเปล่า?” เขาใช้ข้อนิ้วไล้เบาๆ ไปตามแนวโค้งละมุนของอกสาว จากเนินเนื้อช่วงบน พาดผ่านยอดอกลงไปฐานล่าง“ฝ่าบาท!!”อินทุภาอุทาน หน้าแดงก่ำ จับมือซุกซนดึงออกไม่ให้เลื่อนต่อตายล่ะ! ทำไมแค่สัมผัสเบาๆ ถึงกับทำให้ขนลุกไปทั้งตัว!!หยางหมิงอวี้ถอนใจ พลิกข้อมือตัวเองจับมือบางจูงออกจากห้อง เขาเกือบลืมตัวอีกแล้วพับผ่าสิ! เวลาอยู่ใกล้กันทีไร นึกอะไรอื่นไม่ออกเลย จะอดทนได้นานแค่ไหนก็ยังไม่รู้!!“เราจะไปไหนกันเพคะ?” เธอถามหลังจากปล่อยให้เขาจ
อินทุภาลืมตาตื่น ไม่แน่ใจว่าตื่นเพราะอะไร ฟ้าก็ยังไม่สว่าง เธอลืมตาแบบสะลึมสะลือ พยายามโฟกัสให้ชัดขึ้น พลันเห็นคนที่หลับอยู่ข้างๆ ก็หน้าร้อนวาบ เพราะนอนหันหน้าเข้าหากันกระชั้นชิดมากเธอตกใจขยับตัวถอยออกห่าง แล้วหันไปมองคนที่ยังหลับอยู่อีกครั้ง ขนตาของเขาตกลงมาทาบผิวแก้ม สั้นแต่ดกหนา เวลาหลับอย่างนี้เครื่องหน้าเขาดูละมุน หน้าอ่อนคล้ายๆ เด็กน้อยหยางหมิงอวี้ขยับนอนหงาย ตัวเลยออกไปนอกผ้าห่ม เพราะตอนที่อินทุภาถอยหลังออกห่าง ผ้าห่มเลยรั้งตามมาด้วย เธอเห็นเขายังหลับอยู่ เลยมองลงไปเรื่อยๆ ตามประสาคนอยากรู้ ซึ่งไม่เคยคุ้นกับสรีระของผู้ชายเสื้อตัวในของเขารัดกระชับตัว ทำให้เห็นลอนกล้ามของอกกว้างและช่วงแขนที่มีกล้ามนูนสวย ถ้าแต่งตัวปกติจะดูสูงเพรียว ไม่เห็นชัดเหมือนตอนนี้อินทุภาคิดว่า เขามีมาดพระเอกอยู่ในตัว ถ้าเขาไปอยู่ในโลกปัจจุบันของเธอ คงเป็นพระเอกซีรี่ย์ได้สบายๆหุ่นพระเอกแท้ๆ ไม่มีผู้ร้ายปนสักนิดเธอมองระเรื่อยไปตามแผงอก เอว และหน้าท้องตึงเรียบ ไหนๆ มองลงมาถึงเพียงนี้แล้ว เธอก็มองเลยลงไปอีกหน่อย จับตานิ่งอยู่เป็นครู่ บอกตัวเองว่า ตอนนี้ดูไม่น่าตกใจเหมือนตอนที่กอดรัดกระชับชิดตอนนั้น ซึ่งนู
“มากันแล้วๆ ขอต้อนรับท่านอ๋องด้วยความยินดีพ่ะย่ะค่ะ”ชายวัยประมาณหกสิบปี มีหนวดเรียวเล็กบนริมฝีปาก ไว้เคราเล็กแหลมที่ปลายคาง แต่งกายภูมิฐาน ยืนรอต้อนรับ มีชายฉกรรจ์ประมาณเจ็ดถึงแปดคน พกดาบไว้ที่เอว ยืนเรียงสองแถวอยู่ด้านหลัง“อิงอิงนี่คือท่านหงส์จิ่ว หัวหน้าหมู่บ้าน เคยเป็นครูสอนหนังสือมาก่อนจะมาอยู่ที่นี่ .. ท่านหงส์ นี่เยว่อิง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องประดับและอัญมณี”“คารวะท่านหงส์” อินทุภากำมือคำนับ น้อมศีรษะให้ความเคารพผู้สูงวัยกว่า“ไม่ต้องเกรงใจๆ .. เชิญเสด็จท่านอ๋อง พวกเราเตรียมงานเลี้ยงเล็กๆ รอต้อนรับด้วยกระหม่อม”หยางหมิงอวี้และอินทุภาเดินตามหัวหน้าหมู่บ้าน ไปยังศาลาทรงกลมขนาดใหญ่ ซึ่งจัดเตรียมไว้อย่างอลังการณ์เพื่อต้อนรับโดยเฉพาะอินทุภากวาดตามองสถานที่ไปโดยรอบ มีโต๊ะเตี้ยและเบาะนั่งกับพื้น เป็นแนวสามชั้นวางเรียงตามระยะของพื้นที่ทรงกลม แต่ละโต๊ะมีสาวงามผิวขาวผ่อง อยู่ในชุดเกาะอกปาดครึ่งเต้า คลุมไหล่ด้วยผ้าซีทรูเนื้อบาง ตัวกระโปรงผ่าข้างจนถึงขาอ่อน บางคนเดินเห็นเรียวขาขาวรำไรอย่างน่าดู บางคนนั่งประจำอยู่ที่โต๊ะคอยบริการรินเหล้าและตักอาหารอื้อหือ..อลังการงานสร้าง!! “เชิญเสด็
เสียงกุกกักหน้าประตู ทำให้หยางหมิงอวี้ตัวแข็งเกร็ง หมุนตัวลงจากเตียง คว้าผ้าห่มมาคลุมร่างหญิงสาวไว้อินทุภาซึ่งนอนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก็รีบก้มลงหยิบมีดสั้นที่ซ่อนไว้เตรียมพร้อมในทันที หยางหมิงอวี้ยกนิ้วชี้แนบที่ปากของเขา ทำสัญญาณให้เธออยู่นิ่งๆ ห้ามส่งเสียงใดๆ“ใครอยู่ข้างนอก!?” เขาถามด้วยเสียงแข็งกร้าว พร้อมตั้งท่าตั้งรับสถานการณ์“เอ่อ... หม่อมฉันเองเพคะ เสียว... เสียวหมี่” เสียงจากด้านนอกสั่นเครือเล็กน้อย ราวกับทั้งกลัวและเกรงใจหยางหมิงอวี้เหลือบมองอินทุภาแล้วเลิกคิ้ว เธอพยักหน้าให้เขาเปิดประตู เขารอให้อินทุภาใส่เสื้อให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงเดินไปเปิด“เอ่อ... หม่อมฉันเห็นว่าท่านอ๋องไม่ได้เสด็จไปที่ห้อง ก็เลย... ลองมาดูที่นี่ เผื่อว่าท่านเยว่จะเป็นอะไรไหม” เสียงของเสียวมี่ตะกุกตะกัก ราวกับไม่ใช่ความตั้งใจที่อยากทำเช่นนี้“เข้ามาก่อนเถอะ” หยางหมิงอวี้ถอยห่างจากประตู พร้อมเปิดทางให้เธอเข้ามาเสียวมี่ทำตาโตเมื่อก้าวเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นคนเมาเมื่อตอนหัวค่ำ กำลังนั่งพิงพนักหัวเตียงอย่างสงบ ไม่มีอาการเมามาย เหมือนตอนที่เธอมาส่งก่อนหน้านี้เลยสักนิด“ไฮ! เบบี้เกิร์ล เจอกันอีกแล้วนะ!” อินทุภาย
ขณะนี้ดึกมากแล้ว อินทุภากำลังรอฟังข่าวจากเสียวมี่ จึงยังไม่ได้เข้านอน สักพักเธอก็ได้ยินเสียงนกฮูกร้องแว่วๆ สามครั้ง เธอรีบเดินไปเคาะหน้าต่าง เพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรับรู้ ตามที่เคยเห็นท่านอ๋องทำ ไม่นานคนด้านนอกก็ค่อยๆ แง้มบานหน้าต่างและสอดตัวลอดเข้ามา“ข้าน้อยเองขอรับ” หยางติงเข้ามายืนเต็มตัว ทำความเคารพอินทุภาแล้วดึงผ้าปิดปากออก“มีข่าวของท่านอ๋องไหม?” อินทุภารีบถามด้วยความกังวล“ท่านอ๋องถูกลอบทำร้าย ระหว่างทางที่จะไปเหมืองขอรับ พวกมันวางระเบิดหน้าผาทำให้หินถล่มลงมา หินพลาดจากท่านอ๋องไปถูกม้าทรงทรุดทั้งยืน เลยทำให้ฝ่าบาทพระเศียรกระแทกพื้นสลบ ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลยขอรับ!”“ตายจริง! แล้วตอนนี้พระองค์อยู่ที่ไหน?”“ซ่อนอยู่ในถ้ำขอรับ มีทหารรักษาการณ์คอยดูแลความปลอดภัยเอาไว้”“น้ำ อาหารและยาล่ะ? มีพอสำหรับทุกคนหรือเปล่า?”“ข้าน้อยเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วขอรับ ก่อนจะมาส่งข่าวที่นี่”“ฉันจะไปกับนายด้วย คืนนี้พวกมันคงออกตามล่าแน่ ในขณะที่พวกนายคอยระวังป้องกัน ฉันจะดูแลท่านอ๋องเอง!” อินทุภาตัดสินใจอย่างเด็ดขาด หยางติงพยักหน้ารับอินทุภารีบเก็บของ โกยขนมอบแห้งลงห่อกระดาษ แล้วยัดใส่กระเป๋าผ้าใบเล็
หยางติงหอบหญ้าแห้งกอใหญ่เข้ามาพอดี ตามด้วยทหารที่หอบหญ้ามาอีกกอหนึ่ง“ช่วยกันจับหญ้าพันให้เป็นรูปคนเร็วเข้า!” อินทุภาสั่ง แล้วลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่นานก็ได้รูปโครงคล้ายหุ่นไล่กาเธอจัดแจงสวมเสื้อผ้าให้หุ่น ตามด้วยผ้าคลุมที่คลุมตั้งแต่ศีรษะ แล้วผูกตรงคอให้ดูเหมือนศีรษะคนหญิงสาวสั่งการให้ทหารแปดคนรออยู่ที่นี่ โดยให้เอาหุ่นปลอมของท่านอ๋องขึ้นม้าและผูกไว้ด้านหลัง เมื่อศัตรูเข้ามาใกล้ ให้ทหารลาดตระเวนทำเสียงโวยวาย แล้ววิ่งออกไปล่อให้พวกมันไล่ตามส่วนกลุ่มของอินทุภาจะมีทหารสองนายที่เหลือ หยางติง เสียวมี่ และท่านอ๋อง ซึ่งจะออกเดินทางทันทีที่ท่านอ๋องพอจะทรงตัวได้“ไปเถอะ! ข้าพอไหว” หยางหมิงอวี้พูด พร้อมพยุงตัวพยายามลุกขึ้นอินทุภาพยักหน้าให้หยางติงช่วยพยุง แล้วพาท่านอ๋องเดินออกไปด้านนอก เพื่อเตรียมออกเดินทาง""ฝ่าบาท... ไปกับหม่อมฉัน!" อินทุภากระซิบเสียงหนัก รีบพยักหน้าให้หยางติงและนายทหารช่วยกันพยุงท่านอ๋องขึ้นหลังม้า เธอกระโดดขึ้นตามไปนั่งซ้อนหน้า ดึงชายผ้าคลุมมาผูกรัดตัวเองกับหยางหมิงอวี้ไว้แน่น ตอนนี้ไม่มีที่ว่างให้ความลังเล มีแต่ทางรอดเท่านั้น! "เราต้องรีบพาท่านอ๋องกลับค่าย ที่นั่นปลอ
อินทุภาทายาที่แผลบนศีรษะเสร็จแล้ว ก็ถอยมานั่งอยู่ข้างเตียง มองคนป่วยที่กำลังหลับใหลด้วยฤทธิ์ยานอนหลับ หลังจากที่หมอเข้ามาดูอาการ ได้เขียนเทียบยาไว้หลายอย่าง ทั้งยากินและยาทา พวกยาสมุนไพรทั้งก่อนและหลังอาหาร เธอเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ที่ต้องทายาพวกแผลเล็กแผลน้อยที่อยู่ภายใต้เสื้อผ้าเท่านั้น ซึ่งก็คงต้องรอให้หยางติงมาจัดการ “ฝ่าบาท!!” หยางติงวิ่งเข้ามาในกระโจมอย่างกระหืดกระหอบ“ท่านเยว่! ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”“กระดูกไม่หัก ไม่มีบาดเจ็บภายใน มีแต่แผลที่ศีรษะ กับอาการปวดระบมตามเนื้อตัว และมีแผลภายนอกนิดหน่อย พักฟื้นสักระยะก็ดีขึ้น แต่นายต้องคอยดูแลทายาให้พระองค์ด้วย” เธอพูดเสร็จก็หยิบกระปุกยาส่งให้หยางติงไม่ได้รับยาไป แต่ยกมือประสานคำนับและคุกเข่าลงข้างหนึ่งกับพื้น“อภัยให้ข้าน้อยด้วย! ที่ดูแลท่านเยว่กับท่านอ๋องได้ไม่ดี”“ไม่เป็นไร มันเป็นเหตุสุดวิสัย แล้วท่านอ๋องก็ปลอดภัยแล้ว” เธอพูดพร้อมดึงตัวให้เขาลุกขึ้น“พวกเราพยายามช่วยกันออกตามหา เจอดักซุ่มโจมตีหลายแห่ง จนมาพบกันจนได้” เขายิ้มจนตาหยี “ข้าน้อยมาทันได้เห็นธนูดอกสุดท้ายปักอกพวกมันร่วงจากหลังม้า ยังมีอีกสองสามคน น
หยางหมิงอวี้นอนรอภรรยาที่พาลูกๆ ไปเข้านอนด้วยความอดทน ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมานอนที่ห้องหรือว่าเผลอหลับนะ? เขากำลังจะก้าวเท้าลงจากเตียง ก็พอดีเห็นร่างอวบอิ่มยั่วยวนใจเดินเข้าประตูมาพอดี เขายิ้มอย่างยินดี อ้าแขนออกกว้างรอให้ภรรยาโผเข้าหาอินทุภายิ้มหวานเดินเข้าหาอ้อมแขนแข็งแรง แล้วกัดคางเขาเบาๆ เสียงฟ้าร้องครืนๆ มาแต่ไกลทำให้เธอชะงักเล็กน้อย"มีอะไรรึ?" หยางหมิงอวี้ถามเสียงอู้อี้ เพราะกำลังซุกไซร้ซอกคอหอมกรุ่น"ฟ้าร้องเพคะ เด็กๆ กลัวเสียงฟ้าผ่า""เอาน่า คงยังไม่ใช่ตอนนี้ เสียงยังอยู่อีกไกล มาให้ผัวชื่นใจก่อน รออยู่นานแล้ว" เสียงเขาแตกพร่าฝ่ามือแข็งแรงจับท้ายทอยรั้งริมฝีปากอวบอิ่มเข้าหา ล้วงลิ้นซอกซอนหาความอบอุ่นภายใน เขาอดอยากมาเป็นเดือนแล้ว เพราะต้องออกไปลาดตระเวน ลมปราณแทบจะแตกซ่านอยู่รอมร่อ ฝ่ามืออีกข้างลูบไล้เรือนร่างด้วยความรักใคร่หลงใหล แล้วช้อนบั้นท้ายกลมกลึงยกขึ้น กดแนบชิดกลางลำตัว ริมฝีปากซุกไซร้ซอกคอและไหล่บอบบาง ขบกัดเม้มเบาๆ จนเกิดรอยแดงจางๆ กระจายไปทั่ว"อาา..ฝ่าบาท" เสียงหวานครวญครางเบาๆเปรี้ยงงง!! ครืนนน!!แล้วอยู่ๆ ฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมาดังสนั่น เ
ตอนพิเศษ (1) ::: Cut Scene 1 :::คุณอรรพีพาตัวเองมาถึงที่วัดป่าจนได้ เธอฝันมาสองสามคืนแล้วว่า แม่ชีอินทุกรให้เธอเดินทางมาหา ซึ่งเธอก็ตั้งใจจะมาอยู่แล้ว เพื่อจะสอบถามเรื่องลูกสาวที่หายไป เธอมั่นใจว่า เธอต้องได้คำตอบจากคุณแม่อย่างแน่นอน "ไหว้พระเถอะลูก" แม่ชีอินทุกร ยกมือรับไหว้ระดับอก หลังจากคุณอรรพี ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ก้มลงกราบแบบเบญจางค์ประดิษฐ์"มาจนได้นะเรา เป็นอย่างไรบ้าง?""สบายแค่กายค่ะคุณแม่ แต่ในใจยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนนอนไม่ค่อยหลับ " เธอกล่าวเสียงเรียบแม่ชีอินทุกรถอนใจ แล้วยิ้มน้อยๆ"ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่เกิด ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่มี ทุกข์กับสิ่งที่ยังมองไม่เห็น ในเมื่อคำว่า "ยัง" มีแต่ความว่างเปล่า แล้วจะเก็บไปทุกข์ทำไมล่ะ""ลูกฝันเห็นยัยอินของเราค่ะ ฝันซ้ำๆ เดิมๆ แล้วแกก็มาหายไปแบบนี้ ก็รู้สึกเป็นห่วงมาก ติดต่อก็ไม่ได้""ทางโน้นเขาว่าอย่างไรบ้างล่ะ ที่เจ้าอินหายไป""เขาเล่าให้ฟัง..ถึงเหตุการณ์ก่อนที่หนูอินจะหายตัว พ่อเขาก็คิดว่าอาจจะเป็นไปตามนั้น ตระกูลเขาเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ ที่บรรพบุรุษเล่าต่อๆ กันมา เลยไม่อยากให้แจ้งความ ให้รอจนกว่าลูกจะกลับมาเอง""เรื
"มีข่าวคืบหน้าทางหยางซื่อหรือไม่?" หวางกุ้ยเฟยถามองค์หญิงหยางมี่ ขณะกำลังปอกสาลี่ใส่จาน"เอ๋อเหนียงรู้ไหมว่า ชาวเมืองหยางซื่อ เขาเล่าลือกันอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น!""เล่าลืออะไร?" หวางกุ้ยเฟยสงสัย"เขาพูดกันว่า พระชายาใช้พลังเวทย์ แสดงอิทธิฤทธิ์เรียกลมเรียกฝนได้ ทำให้กองทัพเชี่ยแตกกระเจิงเพราะถูกน้ำหลาก แถมยังเรียกสายฟ้า ให้ผ่าลงกลางสนามรบได้อีก! ทหารนับแสนแตกตื่นจนลืมโจมตี ส่วนผู้บัญชาการทัพเชี่ย ที่เข้ามาลอบสังหาร ก็ถูกฟ้าผ่าที่แขนจนไหม้เกรียม ต้องเสียชีวิตในสนามรบ เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว! แล้วอะไรอีกนะอินชง..""มีข่าวลือจากทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าต่อกันมาถึงชาวเมืองว่า พระชายาทรงสั่งให้ฝังระเบิดรอบสมรภูมิทั้งสามด้าน เพื่อสกัดกั้นทัพเชี่ย ไม่ให้บุกเข้ามาในเมือง ระเบิดเหล่านี้มีจำนวนมากพอที่จะสังหารทหารได้นับหมื่นนับแสนคน และยังไม่รวมถึงกระสุนปืนใหญ่อีกจำนวนมหาศาลที่เตรียมไว้ ก่อนหน้านั้นยังมีการปล่อยโคมลอยเพื่อลอบโจมตี เผาเสบียง และโรยผงหมามุ่ย เพื่อตัดกำลังทัพเชี่ยไปได้มาก" อินชงพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม "ยิ่งไปกว่านั้น พระชายายังทรงนำทัพหน้า บุกตะลุยฝ่าข้าศึก เพื่อเป
สมรภูมิรบด้านนอกเมืองเงียบสงบลงแล้ว เหลือเพียงทหารกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังค้นหาผู้รอดชีวิต มูลากำลังทำแผลที่หัวไหล่ให้อินทุภา ขณะที่เธอก็กำลังนั่งรอรับโทษทัณฑ์จากสามีอยู่ที่ห้องโถง "ไม่ต้องห่วงเรื่องแผลที่หัวไหล่ เป็นคนอื่นคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มหลายวัน แต่มีพวกเราอยู่อีกสามวันก็ดีขึ้นแล้ว!" มูลาพูดขณะพันแผลเสร็จเรียบร้อย"ตอนต่อสู้กับองค์ชายซุน ฉันน่ะลุ้นสุดตัว! ภาวนาขอให้นายท่านกลับมาเร็วๆ มีเพียงพลังธาตุข่มในตัวเขาเท่านั้น ที่จะสยบองค์ชายซุนได้!" ลูน่ากล่าว"แล้วพลังเวทย์ของพวกเธอช่วยฉันไม่ได้เลยหรือ?" อินทุภาสงสัย"ราชาดาวนิลมีพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งมาก แม้แต่พวกเรายังสู้ไม่ได้ แล้วท่านจะไหวได้อย่างไร!" เรกิพูดขึ้นมาบ้าง"นายท่านมาแล้ว!!" เอกิลเตือน ทุกคนหันไปมองประตู แล้วเลือนหายไปประตูถูกเปิดออกอย่างแรง คนที่กำลังเดินผ่านประตูเข้ามามีสีหน้าราวกับพยัพฝน คงทำความสะอาดเนื้อตัวมาแล้ว จึงเหลือแต่เสื้อตัวใน เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ แววตาที่เคยสุภาพอบอุ่น ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความคมกล้า จ้องมองเขม็งอย่างเอาเรื่องเต็มที่ จนทำให้เธอไม่กล้าแม้จะสบตาตรงๆ ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คงต้องแก
ตอนนี้ยามซื่อแล้ว(09.00-10.59น.) ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆดำทะมึน ราวกับธรรมชาติ กำลังสำแดงอำนาจข่มขวัญโลกมนุษย์ ฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย สลับกับสายลมกระโชกแรง อินทุภายืนอยู่บนกำแพงเมือง สายตาจับจ้องไปยังขอบฟ้า รอคอยสถานการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างสงบ เธอไม่อยากปกป้องตนเอง ด้วยการทำลายชีวิตของผู้อื่น แม้ว่าวิวัฒนาการจากโลกอนาคต จะทำให้เธอโกงความตายได้ ทว่าหลังแนวกำแพงนี้ มีประชาชนหยางซื่อนับหมื่นชีวิต ฝากความหวังไว้กับเธอเพียงผู้เดียว พวกเขาเชื่อมั่นว่า เธอจะปกป้องครอบครัวของพวกเขา จากความโหดร้ายของศัตรูได้ สายตาทุกคู่ จับจ้องไปยังแผ่นหลัง ของหญิงสาวในชุดเกราะ เธอไม่มีปิ่นปักผมล้ำค่า หรืออัญมณีงดงาม เหมือนสตรีทั่วไป แต่กลับใช้เพียงเชือกสีดำ มัดรวบมวยผมไว้อย่างเรียบง่าย แม้ภายนอกจะดูบอบบาง แต่ภายในกลับแข็งแกร่ง ดุจนักรบที่ผ่านสมรภูมิมาแล้วนับร้อยครั้ง"ทัพเชี่ยอยู่ห่างออกไปห้าหลี่แล้วขอรับ!" ทหารรายงานพลางยื่นกล้องส่องทางไกลให้ อินทุภารับมา และเพ่งมองออกไปเบื้องหน้า ความทะเยอทะยานอันเห็นแก่ตัวขององค์ชายซุนจ่งซาน ได้ลากกองทหารที่อ่อนล้า และตรากตรำจากภัยธรรมชาติ ให้มาหยุดยืนอยู
"เสี่ยวจื่อเด็กดี! เจ้าไม่กินไม่นอน ข้าทุกข์ใจยิ่ง!" ฮ่องเต้ดูจะชมชอบการเปลื่ยนชื่อเรียกหญิงสาว ถ้าไม่เสี่ยวจื่อ ก็เป็นเสี่ยวซา"ก็หม่อมฉันเป็นห่วงเสด็จพ่อกับท่านแม่นี่นา แล้วยังมีพี่ชายทั้งสามที่ต้องรบอยู่แนวหน้าอีก!" จือซาทำหน้าเศร้า"เจ้าอย่ากังวลไปเลย มีแม่ทัพหยางอยู่ทั้งคน เขาเก่งกล้าสามารถเพียงใดเจ้าก็รู้ ทุกคนจะปลอดภัยจากสงครามครั้งนี้! ข้ารับรอง!""อืม" หญิงสาวรับคำ พร้อมกับซุกหน้าลงไปที่อกกว้าง"ถ้างั้น! ดื่มซุปไก่นี่สักหน่อย ข้าลงครัวด้วยตัวเองเชียวนะ!" เขาพูดอย่างภาคภูมิใจฮ่องเต้ตักชิ้นไก่ตุ๋นเนื้อนุ่มพอดีคำใส่ไว้ในช้อน ส่งถ้วยให้เธอถือ แล้วเดินไปรินน้ำชา จือซามองถ้วยซุปด้วยความซึ้งใจ ในมุมอ่อนโยนของเขา ซึ่งมักจะทำให้เธอรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนพิเศษอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวยิ้มบางๆ พลางยกช้อนขึ้นใส่ปาก"อื๋ออ..เค็ม!!" เธอพูดแล้วชะงักกึก รีบเงยหน้ามองฮ่องเต้กลัวเขาจะน้อยใจ ซึ่งเขาก็หันมาทันที ที่ได้ยินเสียงเธออุทานออกมา"อื้อหือ!..ขะ..เข้ม!..เข้มข้นมาก! นับว่าเปิดหูเปิดตาหม่อมฉันแล้ว!" เสียงพูดจืดเจื่อนเพราะรู้สึกขมไปตลอดช่องคอ พยายามปรับสีหน้าให้อยู่ในระดับปกติ ฮ่องเต้หนุ่มยิ้ม น
ภายใต้การวางแผนยุทธศาสตร์ขององค์ชายซุน และการบัญชาการโดยตรงของฮ่องเต้ซุนตี้ชุน สงครามครั้งใหญ่ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน บัดนี้ได้กลายเป็นการประหัตประหารอย่างโหดเหี้ยม กองทัพมหึมาของแคว้นซ่ง แคว้นคัง และแคว้นเป่ยเหลียง ต่างพ่ายแพ้ย่อยยับ ทหารนับไม่ถ้วนล้มตายเกลื่อนกลาด ผู้ที่รอดชีวิตมีไม่ถึงหนึ่งในสิบ อำนาจของแคว้นเชี่ยแผ่ขยายรวดเร็วจนน่าตระหนก เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เหล่าแม่ทัพและทหารแคว้นเชี่ยไม่เคยคิดเลยว่า การพิชิตแคว้นหนึ่งจะง่ายดายถึงเพียงนี้ กลิ่นคาวเลือดแห่งชัยชนะ ปลุกโหมกำลังใจให้ลุกโชนดั่งเปลวเพลิง ธงของแคว้นเชี่ยสะบัดพลิ้วอยู่เบื้องหน้ากองทัพเสมอ ดั่งสัญลักษณ์แห่งชัยชนะอันมิอาจต้านทาน ฮ่องเต้ซุนตี้ชุนและองค์ชายซุน ได้กลายเป็นวีรบุรุษสงครามในสายตาทหารหาญทุกผู้คน ท่ามกลางความตระหนกหวาดกลัวทั่วหล้า แผ่นดินถูกย้อมแดงด้วยโลหิตสุดลูกหูลูกตา เงาทมิฬแห่งสงครามแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ โดยมีแคว้นเชี่ยเป็นศูนย์กลาง กองทัพเดินหน้าขยายอาณาเขตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่า แผนยุทธการขององค์ชายซุน จะนำพาแคว้นเชี่ยสู่ชัยชนะได้ในเวลาอันสั้นเพียงนี้ สองฟากถนนเต็มไปด้วยซากศพและโครงกระดูก
ก่อนที่อินทุภาจะไปวังหลวงคราวก่อน ช่วงที่ซ่อมกำแพงเมือง ได้สั่งให้ช่างทำห้องใต้ดินใต้คลังเสบียงไว้ด้วย จึงได้ใช้ในช่วงเวลาที่มีศึกสงครามเช่นนี้ เธอทำเสบียงลวงไว้ชั้นบน แต่เก็บเสบียงทั้งหมดไว้ชั้นใต้ดิน เพื่อป้องกันศัตรูบุกเผาทำลาย และทำทีว่าป้องกันหละหลวมสร้างอุบายลวง แต่ทุกจุดสำคัญของเมือง มีทหารสอดแนมของกองทหารพิเศษคอยจับตาอยู่หยางติงเข้ามารายงานข่าวจากทหารสอดแนม ว่ากองทัพเชี่ยมีกำลังพลประมาณสองแสนสามหมื่น แต่ได้แบ่งออกเป็นสามทัพดังที่อินทุภาคาดไว้ แต่ทั้งสามทัพนี้ มิได้ยกมาพร้อมกัน และเดินทัพทิ้งระยะห่างกันมาก โดยที่ทัพหน้ามีกำลังพลประมาณสามหมื่น ซึ่งทัพหน้านี้คงจะเป็นการบุกแบบหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ อีกสองทัพแบ่งเป็นทัพละหนึ่งแสน ทัพสองแน่นอนว่าใช้ตัดกำลัง และทัพสามคงจะมุ่งหวังโจมตีเต็มที่อินทุภาเลยคิดแผน จากการที่ศัตรูเดินทัพ ทิ้งระยะห่างกันเกินไปนี้ มาใช้ประโยชน์ โดยจะใช้กลยุทธ์ในตำราพิชัยสงครามเจ็ดตำนานชื่อว่า..’ลับลวงพราง’โดยให้หยางติง นำทัพแรกกำลังพลหนึ่งหมื่นนาย ประกอบไปด้วยกองปืนคาบศิลา พลธนู กองทะลวงฟัน หรือกองทหารพิเศษเคลื่อนที่เร็ว ไปดักซุ่มโจมตีทัพหน้า โดยต้องรีบออกเดินทา
พอลับสายตาจากภายนอก เขาก็สอดมือรั้งท้ายทอยหญิงสาวเข้าชิด แล้วจู่โจมริมฝีปากอวบอิ่มแทบจะในเสี้ยววินาที อย่างเร่าร้อนหนักหน่วง ราวกับว่าเธอคือลมหายใจสุดท้าย ที่เขาโหยหามาตลอดชีวิต มือข้างหนึ่งกอดเอวบอบบางไว้แน่น อีกข้างจับท้ายทอยให้ขยับมุมตามริมฝีปากของเขา อินทุภาตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่สุดท้ายก็หลับตาพริ้ม จูบตอบจุมพิตที่แสนรัญจวนใจนี้ด้วยความยินยอม มือไม้เผลอไผลเกาะลำคอเขาไว้แน่น ลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวไปจนหมด"ฝ่าบาท.." อินทุภาครางเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระชั่วครู่ ก่อนจะจุมพิตเขาด้วยความโหยหาไม่ต่างกัน ปลายลิ้นของเธอถูกเขาดึงดูดเข้าหาราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาล เขาถอนริมฝีปากมาซุกไซ้ที่ซอกคอ เธอเลยกัดที่คอเขาเบาๆ แล้วเลื่อนมากัดที่ปลายคาง ขบเม้มดูดดุนไปทั่วซอกคอ ในขณะที่อีกมือค่อยๆ ดึงสายรัดเอวของเขา แหวกสาบเสื้อให้เปิดออกกว้าง"เมียรัก.." เขาพูดเสียงเบาเหมือนคนละเมออินทุภาแลบปลายลิ้นเลียลิ้มชิมรสยอดอกสีชมพูคล้ำ สองนิ้วเค้นเขี่ยเม็ดตุ่มสีสวยอีกข้าง เรียกเสียงครางครวญจากอีกฝ่ายให้หอบหนักขึ้น ตามอารมณ์ที่กำลังไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ขณะที่อีกมือก็ค่อยๆ คลายสายรัด จนทำให้ขอบกางเกงขยายออ