“ท่านเยว่! .. ท่านเยว่!”
อินทุภาเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียก เห็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดปี โยนตะกร้าสานในมือทิ้ง ฉีกยิ้มกว้างวิ่งตรงมาหาเธอด้วยความดีใจ
“ท่านเยว่! .. ท่านเยว่! จริงๆ ด้วย จำข้าได้ไหมขอรับ? ข้าเอง..เสี่ยวเถา!”
อินทุภายิ้มแหยๆ หันไปมองหยางหมิงอวี้เพื่อขอความช่วยเหลือ
“เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย ทำให้ความทรงจำหายไป คงอีกสักพักกว่าจะกลับมา” หยางหมิงอวี้กล่าวแทนด้วยน้ำเสียงขบขัน
“อย่างนี้นี่เอง! อยู่ๆ ท่านเยว่ก็หายตัวไป พวกเราทุกคนคิดถึงท่านมาก โดยเฉพาะฝ่าบาท ตั้งแต่ท่านไม่อยู่ ฝ่าบาทดูหน้าไม่เป็นหน้าเลยขอรับ”
“อ้อ! งั้นที่เจ้าเรียกฝ่าบาท! ฝ่าบาท! เพราะเห็นว่าหน้าข้ามันคล้ายกันใช่หรือไม่?” หยางหมิงอวี้แกล้งถาม อินทุภาปล่อยเสียงหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง แล้วกลั้นขำเอาไว้
“ธ่อ! กระหม่อมไม่ได้หมายความอย่างนั้นเสียหน่อย!” เสี่ยวเถาทำหน้าเสีย ยิ้มแหยๆ
“เสี่ยวเถาเป็นนักเรียนคนแรกของโรงเรียน ที่เจ้าก่อตั้งขึ้นเมื่อสิบปีก่อน” หยางหมิงอวี้อธิบาย
“อ้าวเหรอ..งั้นเรามาทำความรู้จักกันใหม่แล้วกันนะ สวัสดีอย่างเป็นทางการนะจ๊ะ..เสี่ยวเถา ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ” อินทุภายิ้ม แล้วยื่นมือออกไปเช็คแฮนด์แบบตะวันตก
เสี่ยวเถาทำหน้างง มองมืออินทุภา แล้วหันไปมองหยางหมิงอวี้ หนุ่มน้อยไม่รู้ว่าหญิงสาวยื่นมือมาให้ทำอะไร
อินทุภาเห็นท่างงๆ ของเด็กหนุ่มจึงเริ่มเข้าใจ ว่าเป็นการผิดธรรมเนียมที่ชายจะแตะเนื้อต้องตัวหญิงสาว เธอจึงเปลี่ยนมาใช้การคำนับแบบเปาเฉวียน กำปั้นทับกันอย่างขึงขัง
เสี่ยวเถาเห็นดังนั้นจึงยิ้มออก ยกมือคำนับระดับหน้าอก แล้วโค้งลงจนเกือบถึงเอว
หยางหมิงอวี้ยืนเอามือไขว้หลัง แววตาพราวไปด้วยรอยยิ้มขบขัน แล้วหันไปพูดกับเสี่ยวเถา
“วันนี้แม่เจ้ากลับมาใช่ไหม? ไปบอกท่านป้าให้เตรียมสำรับมารับรองท่านเยว่”
“พ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเถาคำนับรับคำสั่ง แล้วรีบเดินออกไปอย่างกระฉับกระเฉง
“ป้าเถียนเป็นแม่ครัวที่ภัตตาคารเฟินเยว่ในตัวเมือง แล้วรู้ไหมว่าอาหารยอดนิยมของที่นั่นคืออะไร?” เขาถามขณะเดินไปด้วยกัน อินทุภาส่ายหน้า แววตาสะท้อนความอยากรู้ออกมาเต็มเปี่ยม
“ข้าวไข่เจียว! กับเครื่องปรุงสูตรเด็ดที่เจ้าตั้งชื่อว่า ซอสมะเขือเทศ และซอสพริก!”
หาาาา!?!
อินทุภาอ้าปากค้าง เขาเห็นแล้วขำเลยทำท่าเอานิ้วชี้แหย่เข้าไป ทำให้เธอรู้ตัวรีบหุบปากทันที
“อย่าบอกนะว่า..เป็นความคิดของท่านเยว่” อินทุภาทาย
“เจ้าเคยบอกว่า เรื่องพิสดารที่ไม่เหมือนใครให้ไว้ใจเจ้า” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดต่อ “พูดแบบภูมิอกภูมิใจด้วยนะ” อินทุภาหัวเราะแหยๆ ตามไปด้วย
แบบนี้ก็ได้เหรอ!? เมนูง่ายๆ ยังกล้าเอามาหลอกชาวบ้านด้วยความภาคภูมิใจ!
“เฟินเย่วเหลามีชื่อเสียงเรื่องอาหารแปลก แต่อร่อยจนเลื่องลือไกล คนต่างเมืองแวะเวียนมาลิ้มลองไม่ขาดสาย โต๊ะจองเต็มทุกวัน ชาวบ้านของเรามีรายได้ และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเมื่อสิบปีก่อนมาก”
เขาหยุดเดิน หันมาสบตาอินทุภา บีบมือเธอเบาๆ
“ทั้งหมดนี้ ต้องขอบใจเจ้า” แล้วเขาก็ยกมืออินทุภาขึ้นมาจูบที่ข้อนิ้ว แววตาอ่อนโยน
“เล่าให้ฟังหน่อยสิเพคะ ว่าท่านเยว่สร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้อีกบ้าง?”
“เยอะเลย! ล้วนแต่คาดไม่ถึง และไม่น่าเป็นไปได้ทั้งนั้น!” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ฝ่าบาทคงเสียพระทัยที่ได้รู้จักคนอย่างหม่อมฉัน!” อินทุภาแกล้งพูดประชด
“ข้ายิ่งรู้สึกดีใจ ที่ได้มารู้จักคนอย่างเจ้าต่างหาก!” หยางหมิงอวี้ตอบยิ้มๆ พลางดึงมือเธอให้หยุดเดิน
“ทางซ้ายคือชุมชนพัฒนาที่เราสร้างขึ้นด้วยกัน พรุ่งนี้จะพาไปดู ส่วนทางขวาคือทางไปจวนของข้า และบ้านของหมอซุน เราจะพักที่นั่น” พูดจบ เขาก็จูงมืออินทุภาเดินไปทางขวา
อินทุภาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าต้นอวี้หลันในมิตินี้ ยืนต้นสูงเด่นอยู่บนเนิน ซึ่งมีทางลาดลงมา และมีทางแยกให้เลี้ยวซ้ายหรือขวา ส่วนอวี้หลันในมิติปัจจุบันนั้น ปลูกอยู่ในสวนหลังบ้านของซุนจ่งซาน ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก
“พี่ซานนี่นา!” อินทุภาอุทานด้วยความดีใจปนประหลาดใจ พร้อมกับยิ้มกว้าง เมื่อเดินเข้าประตูจวนและเห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังตากสมุนไพรอยู่
“นั่นหมอซุนต่างหาก” หยางหมิงอวี้แก้คำให้
“เหมือนพี่ซานจริงๆ เพคะ เหมือนเป็นคนคนเดียวกันเลย!” อินทุภายังคงตื่นเต้นไม่หาย
หมอซุนเงยหน้าขึ้นจากสมุนไพรที่กำลังตาก เมื่อได้ยินเสียงสนทนาแว่วมา แต่จับใจความไม่ชัด เขาตะลึงงันอยู่กับที่ สีหน้ายิ้มกว้างด้วยความยินดีและรีบตรงเข้ามาหา
“อาอิง! นี่ใช่อาอิงจริงๆ หรือไม่! ทำไมถึงเหมือนกันราวกับฝาแฝดเช่นนี้ล่ะ!” เขาพูดพลางดึงมือเธอมากุมไว้ทั้งสองข้าง สีหน้าแสดงออกถึงความดีใจอย่างยิ่งยวด
“ท่านหมอซุนก็เช่นกันค่ะ เหมือนพี่ชายของฉันราวกับโคลนออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน” เธอเลียนแบบคำพูดของเขา แล้วหัวเราะ
“เจ้าก็เคยพูดเช่นนี้กับข้าเมื่อครั้งก่อนโน้น ยังบอกอีกว่ารักและนับถือในความเก่งกาจแสนดีของพี่ชายคนนั้นมาก”
“จริงหรือคะ? แต่พี่ซานของฉันก็แสนดีแสนวิเศษจริงๆ น่ะแหละ ฉันรักและนับถือเขาเหมือนพี่ชายแท้ๆ เลยค่ะ” เธอพูดด้วยความภูมิใจ
“ไปคุยกันข้างในดีกว่า” หยางหมิงอวี้ตัดบท
……………………….
“เทียน-นา! เทียนจินช่วยด้วยเถอะ! ท่านเยว่! ท่านเยว่! จริงๆ”หญิงวัยกลางคน ประคองถาดอาหารเข้ามา ตาโตอุทานเรียกหาสวรรค์ จนเกือบปล่อยถาดทิ้ง ยังดีที่หยางหมิงอวี้รีบเข้าไปรับไว้ได้ทัน
นางเข้ามานั่งคุกเข่าลงที่พื้น ข้างโต๊ะกลมเล็กที่อินทุภานั่งอยู่ น่าจะเป็นท่านป้าเถียนแม่ของเสี่ยวเถา
“เจ้าเถามันวิ่งไปบอก ยังดุมันว่าอย่าเอาท่านมาล้อเล่น ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า จะเป็นเรื่องจริง! พวกเรารอคอยให้ท่านกลับมาตลอดหลายปีนี้ แต่ไม่มีข่าวคราวเลย” นางจับมืออินทุภา ทั้งบีบทั้งขยำ พูดไป ร้องไห้ไป
“ท่านป้า ฉันมีอุบัติเหตุนิดหน่อย ที่ทำให้สูญเสียความทรงจำ ต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่ฉันยังจำท่านป้าไม่ได้” อินทุภาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พยายามพลิกมือข้างหนึ่งออกมาช้าๆ
ท่านป้า!..ขยำมือฉัน เสียจนจะเปลี่ยนรูปร่างได้อยู่แล้ว!!
“เอ่อ..ท่านอ๋องบอกฉันว่าท่านป้าและลูกสาว รับภาระดูแลเฟินเยว่เหลามาตลอดหลายปีนี้ ฉันต้องขอบคุณท่านป้ามากๆ เลยนะคะ” อินทุภายิ้มให้ ขยับดึงมือออกมาได้สำเร็จหนึ่งข้าง รีบพลิกมืออีกข้างมากุมมือนาง แล้วบีบซะเอง
“เป็นสิ่งที่ควรทำแล้วเจ้าค่ะ ท่านเยว่อุตส่าห์ลำบากทำเพื่อพวกเรา ถึงคราวที่พวกเราจะตอบแทนความดีของท่านบ้าง” นางปาดน้ำตา แล้วลุกขึ้นตามแรงดึงของอินทุภา
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันจะแวะไปหาท่านป้าที่บ้าน เรามีเรื่องที่ต้องคุยกันยาวๆเลย” ท่านป้าเถียนเปลี่ยนมือพลิกกลับ แล้วขยำมืออินทุภาอีกครั้ง ก่อนขอตัวออกไป
ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาชายหนุ่มทั้งสอง ที่นั่งปิดปากนิ่งเงียบไม่มีคำพูดใดๆ แต่นัยน์ตาพราวไปด้วยรอยยิ้มขัน อินทุภายิ้มอย่างเขินอายให้คนทั้งคู่ แล้วหันหน้ามามองบนโต๊ะอาหาร
“โอ๊ะ..แม่เจ้า! เมนูชาววังทั้งนั้นเลยนี่!” อินทุภาตื่นตากับเมนูอาหารเมนูชาววัง ตำรับคล้ายๆ กับร้านอาหารของแม่
“ใช่ ล้วนเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อของเฟินเยว่เหลา ตามคำโฆษณาชวนเชื่อของเจ้าที่ว่า..อร่อยเลิศอย่างเหลา ไม่ต้องชาววังก็กินได้ แถมจ่ายเพียงนิดเดียว! อ้อ! มีส่งต่าเปา ถึงบ้านให้ด้วยนะ เฉพาะในพื้นที่ที่กำหนด แล้วก็คิดค่าบริการแพงมาก!!” หยางหมิงอวี้พูดอย่างเห็นขันในแนวคิดของเธอ
หญิงสาวเห็นจานอาหารโปรด เรียงรายอยู่บนโต๊ะเต็มไปหมด ดูหน้าตาน่าอร่อยจนน้ำลายแทบไหล ตะเกียบในมือถือค้างอยู่กลางอากาศ มองไปทุกจานอย่างลังเล ไม่รู้ว่าจะเริ่มชิมจากจานไหนก่อนดี สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด
“อื้ม! รสชาติอร่อยจนเหมือนเจ้าของต้นตำรับมาเองเลยนะนี่!” สองหนุ่มหัวเราะขำ เมื่อเห็นหญิงสาวทำท่ายกยอตัวเอง
เธอรู้สึกพอใจ ที่อาหารออกมามีมาตรฐานฝีมือคุณนายอรรพี แบบนี้คงไม่ทำให้มารดาต้องขายหน้าแล้ว คิดไปคิดมา เธอเริ่มลังเลว่าจะขยายแฟรนไชน์ดีไหม เพื่อเผยแพร่ชื่อเสียงของแม่ให้ดังไกลไปจนถึงชาติหน้าเลยทีเดีย
…
หมอซุนฟังหยางหมิงอวี้เล่าเรื่องราวอย่างคร่าวๆ แล้วรู้สึกอัศจรรย์ใจกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เขาคิดว่าอาจเป็นไปได้ที่ทั้งสองคนจะเป็นคนเดียวกัน หรืออาจเป็นผลจากมิติที่ซ้อนทับกัน หรือการกลับมาเกิดใหม่ในชาติภพอื่น นอกจากนี้ อาจมีเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้อินทุภาเป็นผู้ถูกเลือกอีกครั้ง
“แมวสีดำตัวนั้น ก็เป็นหนึ่งในเงื่อนไข ของมิติที่เหลื่อมกันนี้ด้วย” หยางหมิงอวี้ตั้งข้อสังเกต
“แมวดำหรือ?” หมอซุนชะงักแล้วหันมาถาม
“ก็จากที่ท่านเล่าเรื่องราวในครั้งนั้น ทำให้ข้าคอยสังเกตอยู่ว่าจะเป็นดังนั้นหรือไม่ และพบว่าแมวดำตัวนั้นมีหยกสีขาวคล้ายกับที่ท่านเล่าไว้ทุกประการ” หยางหมิงอวี้อธิบาย
“แล้วตอนที่พระองค์ข้ามมิติกับท่านเยว่ครั้งแรก ไม่เห็นแมวดำหรือเพคะ?” อินทุภาถาม
“ครั้งนั้นเป็นเจ้าที่ข้ามมา ส่วนข้าอยู่บริเวณนั้นพอดี”
“ในวันนั้นกระหม่อมเห็นอาอิง พูดอะไรสักอย่างกับแมวดำ ก่อนจะวิ่งเข้าไปในความมืดแถวต้นอวี้หลัน แล้ว…” หมอซุนพูดค้างไว้ สีหน้าเปลี่ยนไป เขาหลับตาลงสักครู่ก่อนเงยหน้าขึ้นมองอินทุภาอีกครั้ง “กระหม่อมเห็นร่างของอาอิงสลายกลายเป็นละอองสีทองหลังจากถอดแหวนวงนั้นออก”
“แล้วต้นอวี้หลันล่ะ! จะเกี่ยวข้องกับความลึกลับพวกนี้ด้วยไหม?” อินทุภาเปรยขึ้น
ทั้งสองหนุ่มหันมามองเธอพร้อมกัน ต่างก็ทำตาปริบๆ จ้องมองนิ่ง ในสายตาบ่งบอกว่า พวกเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย
“จริงสิ! ต้องมีเงื่อนไขอื่นนอกเหนือจากหยกด้วย” หยางหมิงอวี้ตั้งข้อสังเกต
“ถ้าอวี้หลันเป็นเงื่อนไขที่สี่ล่ะ เช่น เคยเป็นหลุมดาวตกมาก่อน” หมอซุนเสนอ
“หรือเป็นหยกแบบเดียวกัน! | หรือเป็นหยกแบบเดียวกัน!” อินทุภากับหยางหมิงอวี้พูดพร้อมกัน
“ใช่แน่ๆ กระหม่อม! อาจเกิดเหตุการณ์ฝนดาวตกในวันเดียวกัน และบางส่วนอาจจะตกลงที่ต้นอวี้หลัน ..เอ๊ะ!”
หมอซุนชะงักเหมือนนึกอะไรได้ขึ้นมา
“ใช่แล้ว! กระหม่อมจำได้แล้ว! เหมือนท่านย่าจะเคยเล่าว่า ต้นอวี้หลันต้นนี้ มีอายุยืนยาวมาหลายชั่วอายุคน คนเฒ่าคนแก่เล่าต่อๆ กันมาว่า สมัยก่อนมีหลุมขนาดใหญ่ตรงต้นอวี้หลัน เกิดจากลูกไฟที่ตกลงมาจากฟ้า จนไหม้เหลือแค่ตอ แต่กลับไม่ตาย ต่อมาจึงแตกกิ่งก้านชูช่อ ยืนต้นตระหง่านมาจนถึงทุกวันนี้ คนในตระกูลจึงเชื่อกันว่า น่าจะเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์” หมอซุนพูดด้วยความตื่นเต้น
“ต้องมีชิ้นส่วนของหยกชิ้นที่สี่แน่ๆ” อินทุภาดีดนิ้วด้วยความมั่นใจ
“คงต้องลองกันอีกครั้งนะ” หยางหมิงอวี้หันมาขอความเห็นจากอินทุภา
“แต่คงยังไม่ใช่ตอนนี้นะเพคะ” อินทุภาทำเสียงอ่อย ยิ้มจืดๆ
“งั้นวันนี้ พักผ่อนกันก่อนเถิด กระหม่อมให้เด็กๆ จัดเตรียมห้องพักไว้ให้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” หมอซุนพูด
อินทุภาสะดุ้ง พยายามคิดในแง่ดีว่าเขาคงจะไม่ทำอะไร เหมือนที่เธอคิดไว้แน่ๆ
“ไป พักผ่อนกันเถอะเรา” หยางหมิงอวี้พูด พร้อมกับดึงมืออินทุภาให้ลุกขึ้น
ตายล่ะสิ!! .. ทำไมทำหน้าเหมือนหมาป่าล่าราคะแบบนั้นล่ะ!!
"ฝ่าบาทเพคะ พระองค์คงจะไม่..เอ่อ” อินทุภาพูดทิ้งค้าง เห็นหน้าเขาแล้วทำให้ใจหวาดหวั่น อีกทั้งยังไม่กล้าพูดต่อหน้าหมอซุน
หยางหมิงอวี้หัวเราะ กับท่าทีของอินทุภา แล้วมองหมอซุน ซึ่งคงจะเข้าใจกัน เพราะหมอซุนออกจากห้องไปทันที
หยางหมิงอวี้นั่งลงข้างๆ อินทุภา วางมือของเขาบนมือของเธอ นิ้วโป้งไล้หลังมือเบาๆ
“อันที่จริง เราก็เกือบจะเข้าพิธีกันอยู่แล้วนะ ครั้งนี้ก็ถือเสียว่ารวบรัดตัดขั้นตอน เหลือเฉพาะช่วงเวลาที่สำคัญก็แล้วกันนะ” หยางหมิงอวี้พยายามหว่านล้อมด้วยเสียงอ่อนโยน
นี่ฉันข้ามมิติมาเจออะไรเนี่ย!? เขาช่างไม่เลือกวิธี เรื่องแบบนี้ก็พูดออกมาได้ง่ายๆ!!
“แต่ว่า..” อินทุภารั้งมือไว้ เธอยังไม่ปักใจเชื่อเหตุผลข้างๆ คูๆ ของเขา
หยางหมิงอวี้เดินจูงมืออินทุภา มายืนหยุดที่หน้าประตูห้อง ทั้งสองสบตากัน เขาค่อยๆ โน้มตัวลงมาจุมพิตที่หน้าผาก แก้มนวล และไถลมาจุ๊บที่ริมฝีปากเบาๆ
“ฝันดีนะ คนงาม”
นัยน์ตาของเขาวิบวับ พร้อมกับแววขี้เล่นที่เหมือนกำลังแกล้งเธอ อินทุภาเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม หยางหมิงอวี้หัวเราะเบาๆ แล้วเปิดประตู ดันเธอเข้าไปในห้อง ก่อนจะงับประตูปิด
อ้าว!! .. อิหยังวะ!?
อินทุภายืนงงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจยาว เธอไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองว่า หัวใจที่เต้นแรงนั้น เกิดจากความตื่นเต้นที่รอคอยให้บางสิ่งเกิดขึ้น หรือเพราะโล่งใจที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกันแน่
……………………….
“ท่านเยว่เจ้าคะ!”
มีเสียงเรียกอยู่หน้าประตูแต่เช้า น่าจะเป็นสาวใช้ อินทุภาลุกไปเปิดประตู สาวใช้สองคนเดินตามกันเข้ามา
“ท่านอ๋องให้บ่าวนำชุดนี้มาให้เจ้าค่ะ”
“ไหน ขอดูหน่อย” อินทุภาหยิบเสื้อแต่ละชิ้นออกมากาง
“ใส่ยังไงกันล่ะนี่ ทำไมมีหลายชิ้นจัง”
“หลังอาบน้ำเสร็จ บ่าวจะช่วยแต่งตัวให้เจ้าค่ะ” อินทุภาหน้าแดง
“อย่าบอกนะว่า พวกเธอจะเข้าไปช่วยอาบน้ำด้วยเหมือนกัน” อินทุภาห่อปาก ตาโต
“เจ้าค่ะ” เสียงสองสาวตอบพร้อมกัน
“โอ๊ะ! ไม่ต้องๆ! ฉันอาบเองได้ พวกเธอจะออกไปก่อน หรือจะรอตรงนี้ก็ได้ ฉันอาบแป๊บเดียว”
“เป็นหน้าที่ของพวกเราเจ้าค่ะ หากท่านเยว่ปฏิเสธ พวกเราอาจถูกพ่อบ้านลงโทษ เพราะทำงานบกพร่อง”
สาวใช้นางหนึ่งพูดเสร็จก็ทำหน้าเศร้านัยย์ตาโศก อินทุภาลำบากใจ เพราะไม่สะดวกใจเลยที่ต้องเปลือยกายต่อหน้าคนอื่น ถึงแม้จะเป็นผู้หญิงด้วยกันก็ตามที
“งั้นก็ได้ แต่ให้ฉันลงน้ำก่อนนะ แล้วค่อยหันมา” เธอใจอ่อนจนได้
“เจ้าค่ะ” นางพูดพร้อมกัน แล้วก็หันไปยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย
…
“ท่านเยว่สวยเกินคำบรรยายจริงๆ เจ้าค่ะ ใบหน้าสวย รูปร่างก็งดงาม ผมดำเป็นประกายราวกับม่านไหม ผิวนวลเนียนละมุนราวกับแพรชั้นดี” สาวใช้กล่าวชมไม่หยุด ขณะกำลังช่วยอินทุภาแต่งตัว
“พอแล้วนะ! เยินยอมาตั้งแต่ตอนอาบน้ำจนถึงแต่งตัว ฉันจะลอยไปติดเพดานแล้ว!”
“แต่เป็นความจริงนี่เจ้าคะ ดูอย่างหน้าอกหน้าใจนี่ก็เหมือนกัน เกินมาตรฐานหญิงทั่วไปจริงๆ เจ้าค่ะ”
อินทุภาพยายามกลั้นหัวเราะกับคำพูดของสาวใช้
“แล้วแบบไหนล่ะถึงเรียกว่ามาตรฐานของผู้หญิง?”
สาวใช้เหลียวมองกันแล้วหัวเราะ
“ก็แบบบ่าวสองคนนี้แหละเจ้าค่ะ”
……………………….
ต่าเปา" (打包 - dǎ bāo) เป็นคำภาษาจีนที่หมายถึง การห่ออาหารกลับบ้าน หรือ การแพ็คอาหารที่เหลือจากร้านอาหารเพื่อนำกลับไปกินต่อเสียงหัวเราะดังก้องในห้อง หยางหมิงอวี้ยืนอยู่หน้าประตู มุมปากเขาเผยรอยยิ้มเล็กน้อย เมื่อนึกถึงภาพสาวน้อยที่ตัวสั่นเทาเมื่อคืน แตกต่างจากตอนนี้ ที่สามารถหัวเราะเสียงใสราวกับไร้ความกังวล เขาชอบที่เธอมีความเป็นตัวของตัวเอง รู้ว่าต้องการอะไรและไม่ต้องการอะไร กล้าพูดกล้าทำ ไม่มีการปิดบังเสแสร้ง ซึ่งแตกต่างจากคนในยุคของเขาเป็นอย่างมาก “อรุณสวัสดิ์เพคะ” อินทุภาทักทายเมื่อเห็นหยางหมิงอวี้ยืนอยู่หน้าประตูห้อง จับกระโปรงถอนสายบัวอย่างนุ่มนวล สาวใช้ยิ้มแล้วรีบถอยออกไป หยางหมิงอวี้เดินเข้าใกล้ พลางยิ้มกับท่าทางขี้เล่นของเธอ “ชุดนี้พอดีไหม? ดูเหมือนจะคับไปหน่อยตรงนี้หรือเปล่า?” เขาใช้ข้อนิ้วไล้เบาๆ ไปตามแนวโค้งละมุนของอกสาว จากเนินเนื้อช่วงบน พาดผ่านยอดอกลงไปฐานล่าง“ฝ่าบาท!!”อินทุภาอุทาน หน้าแดงก่ำ จับมือซุกซนดึงออกไม่ให้เลื่อนต่อตายล่ะ! ทำไมแค่สัมผัสเบาๆ ถึงกับทำให้ขนลุกไปทั้งตัว!!หยางหมิงอวี้ถอนใจ พลิกข้อมือตัวเองจับมือบางจูงออกจากห้อง เขาเกือบลืมตัวอีกแล้วพับผ่าสิ! เวลาอยู่ใกล้กันทีไร นึกอะไรอื่นไม่ออกเลย จะอดทนได้นานแค่ไหนก็ยังไม่รู้!!“เราจะไปไหนกันเพคะ?” เธอถามหลังจากปล่อยให้เขา
อินทุภาลืมตาตื่น ไม่แน่ใจว่าตื่นเพราะอะไร ฟ้าก็ยังไม่สว่าง เธอลืมตาแบบสะลึมสะลือ พยายามโฟกัสให้ชัดขึ้น พลันเห็นคนที่หลับอยู่ข้างๆ ก็หน้าร้อนวาบ เพราะนอนหันหน้าเข้าหากันกระชั้นชิดมากเธอตกใจขยับตัวถอยออกห่าง แล้วหันไปมองคนที่ยังหลับอยู่อีกครั้ง ขนตาของเขาตกลงมาทาบผิวแก้ม สั้นแต่ดกหนา เวลาหลับอย่างนี้เครื่องหน้าเขาดูละมุน หน้าอ่อนคล้ายๆ เด็กน้อยหยางหมิงอวี้ขยับนอนหงาย ตัวเลยออกไปนอกผ้าห่ม เพราะตอนที่อินทุภาถอยหลังออกห่าง ผ้าห่มเลยรั้งตามมาด้วย เธอเห็นเขายังหลับอยู่ เลยมองลงไปเรื่อยๆ ตามประสาคนอยากรู้ ซึ่งไม่เคยคุ้นกับสรีระของผู้ชายเสื้อตัวในของเขารัดกระชับตัว ทำให้เห็นลอนกล้ามของอกกว้างและช่วงแขนที่มีกล้ามนูนสวย ถ้าแต่งตัวปกติจะดูสูงเพรียว ไม่เห็นชัดเหมือนตอนนี้อินทุภาคิดว่า เขามีมาดพระเอกอยู่ในตัว ถ้าเขาไปอยู่ในโลกปัจจุบันของเธอ คงเป็นพระเอกซีรี่ย์ได้สบายๆหุ่นพระเอกแท้ๆ ไม่มีผู้ร้ายปนสักนิดเธอมองระเรื่อยไปตามแผงอก เอว และหน้าท้องตึงเรียบ ไหนๆ มองลงมาถึงเพียงนี้แล้ว เธอก็มองเลยลงไปอีกหน่อย จับตานิ่งอยู่เป็นครู่ บอกตัวเองว่า ตอนนี้ดูไม่น่าตกใจเหมือนตอนที่กอดรัดกระชับชิดตอนนั้น ซึ่งน
“มากันแล้วๆ ขอต้อนรับท่านอ๋องด้วยความยินดีพ่ะย่ะค่ะ”ชายวัยประมาณหกสิบปี มีหนวดเรียวเล็กบนริมฝีปาก ไว้เคราเล็กแหลมที่ปลายคาง แต่งกายภูมิฐาน ยืนรอต้อนรับ มีชายฉกรรจ์ประมาณเจ็ดถึงแปดคน พกดาบไว้ที่เอว ยืนเรียงสองแถวอยู่ด้านหลัง“อิงอิงนี่คือท่านหงส์จิ่ว หัวหน้าหมู่บ้าน เคยเป็นครูสอนหนังสือมาก่อนจะมาอยู่ที่นี่ .. ท่านหงส์ นี่เยว่อิง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องประดับและอัญมณี”“คารวะท่านหงส์” อินทุภากำมือคำนับ น้อมศีรษะให้ความเคารพผู้สูงวัยกว่า“ไม่ต้องเกรงใจๆ .. เชิญเสด็จท่านอ๋อง พวกเราเตรียมงานเลี้ยงเล็กๆ รอต้อนรับด้วยกระหม่อม”หยางหมิงอวี้และอินทุภาเดินตามหัวหน้าหมู่บ้าน ไปยังศาลาทรงกลมขนาดใหญ่ ซึ่งจัดเตรียมไว้อย่างอลังการณ์เพื่อต้อนรับโดยเฉพาะอินทุภากวาดตามองสถานที่ไปโดยรอบ มีโต๊ะเตี้ยและเบาะนั่งกับพื้น เป็นแนวสามชั้นวางเรียงตามระยะของพื้นที่ทรงกลม แต่ละโต๊ะมีสาวงามผิวขาวผ่อง อยู่ในชุดเกาะอกปาดครึ่งเต้า คลุมไหล่ด้วยผ้าซีทรูเนื้อบาง ตัวกระโปรงผ่าข้างจนถึงขาอ่อน บางคนเดินเห็นเรียวขาขาวรำไรอย่างน่าดู บางคนนั่งประจำอยู่ที่โต๊ะคอยบริการรินเหล้าและตักอาหารอื้อหือ..อลังการงานสร้าง!! “เชิญเสด
เสียงกุกกักหน้าประตู ทำให้หยางหมิงอวี้ตัวแข็งเกร็ง หมุนตัวลงจากเตียง คว้าผ้าห่มมาคลุมร่างหญิงสาวไว้อินทุภาซึ่งนอนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก็รีบก้มลงหยิบมีดสั้นที่ซ่อนไว้เตรียมพร้อมในทันที หยางหมิงอวี้ยกนิ้วชี้แนบที่ปากของเขา ทำสัญญาณให้เธออยู่นิ่งๆ ห้ามส่งเสียงใดๆ“ใครอยู่ข้างนอก!?” เขาถามด้วยเสียงแข็งกร้าว พร้อมตั้งท่าตั้งรับสถานการณ์“เอ่อ... หม่อมฉันเองเพคะ เสียว... เสียวหมี่” เสียงจากด้านนอกสั่นเครือเล็กน้อย ราวกับทั้งกลัวและเกรงใจหยางหมิงอวี้เหลือบมองอินทุภาแล้วเลิกคิ้ว เธอพยักหน้าให้เขาเปิดประตู เขารอให้อินทุภาใส่เสื้อให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงเดินไปเปิด“เอ่อ... หม่อมฉันเห็นว่าท่านอ๋องไม่ได้เสด็จไปที่ห้อง ก็เลย... ลองมาดูที่นี่ เผื่อว่าท่านเยว่จะเป็นอะไรไหม” เสียงของเสียวมี่ตะกุกตะกัก ราวกับไม่ใช่ความตั้งใจที่อยากทำเช่นนี้“เข้ามาก่อนเถอะ” หยางหมิงอวี้ถอยห่างจากประตู พร้อมเปิดทางให้เธอเข้ามาเสียวมี่ทำตาโตเมื่อก้าวเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นคนเมาเมื่อตอนหัวค่ำ กำลังนั่งพิงพนักหัวเตียงอย่างสงบ ไม่มีอาการเมามาย เหมือนตอนที่เธอมาส่งก่อนหน้านี้เลยสักนิด“ไฮ! เบบี้เกิร์ล เจอกันอีกแล้วนะ!” อินทุภา
ขณะนี้ดึกมากแล้ว อินทุภากำลังรอฟังข่าวจากเสียวมี่ จึงยังไม่ได้เข้านอน สักพักเธอก็ได้ยินเสียงนกฮูกร้องแว่วๆ สามครั้ง เธอรีบเดินไปเคาะหน้าต่าง เพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรับรู้ ตามที่เคยเห็นท่านอ๋องทำ ไม่นานคนด้านนอกก็ค่อยๆ แง้มบานหน้าต่างและสอดตัวลอดเข้ามา“ข้าน้อยเองขอรับ” หยางติงเข้ามายืนเต็มตัว ทำความเคารพอินทุภาแล้วดึงผ้าปิดปากออก“มีข่าวของท่านอ๋องไหม?” อินทุภารีบถามด้วยความกังวล“ท่านอ๋องถูกลอบทำร้าย ระหว่างทางที่จะไปเหมืองขอรับ พวกมันวางระเบิดหน้าผาทำให้หินถล่มลงมา หินพลาดจากท่านอ๋องไปถูกม้าทรงทรุดทั้งยืน เลยทำให้ฝ่าบาทพระเศียรกระแทกพื้นสลบ ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลยขอรับ!”“ตายจริง! แล้วตอนนี้พระองค์อยู่ที่ไหน?”“ซ่อนอยู่ในถ้ำขอรับ มีทหารรักษาการณ์คอยดูแลความปลอดภัยเอาไว้”“น้ำ อาหารและยาล่ะ? มีพอสำหรับทุกคนหรือเปล่า?”“ข้าน้อยเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วขอรับ ก่อนจะมาส่งข่าวที่นี่”“ฉันจะไปกับนายด้วย คืนนี้พวกมันคงออกตามล่าแน่ ในขณะที่พวกนายคอยระวังป้องกัน ฉันจะดูแลท่านอ๋องเอง!” อินทุภาตัดสินใจอย่างเด็ดขาด หยางติงพยักหน้ารับอินทุภารีบเก็บของ โกยขนมอบแห้งลงห่อกระดาษ แล้วยัดใส่กระเป๋าผ้าใบเ
หยางติงหอบหญ้าแห้งกอใหญ่เข้ามาพอดี ตามด้วยทหารที่หอบหญ้ามาอีกกอหนึ่ง“ช่วยกันจับหญ้าพันให้เป็นรูปคนเร็วเข้า!” อินทุภาสั่ง แล้วลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่นานก็ได้รูปโครงคล้ายหุ่นไล่กาเธอจัดแจงสวมเสื้อผ้าให้หุ่น ตามด้วยผ้าคลุมที่คลุมตั้งแต่ศีรษะ แล้วผูกตรงคอให้ดูเหมือนศีรษะคนหญิงสาวสั่งการให้ทหารแปดคนรออยู่ที่นี่ โดยให้เอาหุ่นปลอมของท่านอ๋องขึ้นม้าและผูกไว้ด้านหลัง เมื่อศัตรูเข้ามาใกล้ ให้ทหารลาดตระเวนทำเสียงโวยวาย แล้ววิ่งออกไปล่อให้พวกมันไล่ตามส่วนกลุ่มของอินทุภาจะมีทหารสองนายที่เหลือ หยางติง เสียวมี่ และท่านอ๋อง ซึ่งจะออกเดินทางทันทีที่ท่านอ๋องพอจะทรงตัวได้“ไปเถอะ! ข้าพอไหว” หยางหมิงอวี้พูด พร้อมพยุงตัวพยายามลุกขึ้นอินทุภาพยักหน้าให้หยางติงช่วยพยุง แล้วพาท่านอ๋องเดินออกไปด้านนอก เพื่อเตรียมออกเดินทาง""ฝ่าบาท... ไปกับหม่อมฉัน!" อินทุภากระซิบเสียงหนัก รีบพยักหน้าให้หยางติงและนายทหารช่วยกันพยุงท่านอ๋องขึ้นหลังม้า เธอกระโดดขึ้นตามไปนั่งซ้อนหน้า ดึงชายผ้าคลุมมาผูกรัดตัวเองกับหยางหมิงอวี้ไว้แน่น ตอนนี้ไม่มีที่ว่างให้ความลังเล มีแต่ทางรอดเท่านั้น! "เราต้องรีบพาท่านอ๋องกลับค่าย ที่นั่นปล
อินทุภาทายาที่แผลบนศีรษะเสร็จแล้ว ก็ถอยมานั่งอยู่ข้างเตียง มองคนป่วยที่กำลังหลับใหลด้วยฤทธิ์ยานอนหลับ หลังจากที่หมอเข้ามาดูอาการ ได้เขียนเทียบยาไว้หลายอย่าง ทั้งยากินและยาทา พวกยาสมุนไพรทั้งก่อนและหลังอาหาร เธอเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ที่ต้องทายาพวกแผลเล็กแผลน้อยที่อยู่ภายใต้เสื้อผ้าเท่านั้น ซึ่งก็คงต้องรอให้หยางติงมาจัดการ “ฝ่าบาท!!” หยางติงวิ่งเข้ามาในกระโจมอย่างกระหืดกระหอบ“ท่านเยว่! ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”“กระดูกไม่หัก ไม่มีบาดเจ็บภายใน มีแต่แผลที่ศีรษะ กับอาการปวดระบมตามเนื้อตัว และมีแผลภายนอกนิดหน่อย พักฟื้นสักระยะก็ดีขึ้น แต่นายต้องคอยดูแลทายาให้พระองค์ด้วย” เธอพูดเสร็จก็หยิบกระปุกยาส่งให้หยางติงไม่ได้รับยาไป แต่ยกมือประสานคำนับและคุกเข่าลงข้างหนึ่งกับพื้น“อภัยให้ข้าน้อยด้วย! ที่ดูแลท่านเยว่กับท่านอ๋องได้ไม่ดี”“ไม่เป็นไร มันเป็นเหตุสุดวิสัย แล้วท่านอ๋องก็ปลอดภัยแล้ว” เธอพูดพร้อมดึงตัวให้เขาลุกขึ้น“พวกเราพยายามช่วยกันออกตามหา เจอดักซุ่มโจมตีหลายแห่ง จนมาพบกันจนได้” เขายิ้มจนตาหยี “ข้าน้อยมาทันได้เห็นธนูดอกสุดท้ายปักอกพวกมันร่วงจากหลังม้า ยังมีอีกสองสามคน
อินทุภาตัวอ่อนอยู่ในอ้อมแขนของเขา หยางหมิงอวี้เองก็ยังไม่อยากเคลื่อนไหว หัวใจเขาเต้นแรง หายใจแรงจนหอบ สักพักก็พลิกตัวนอนหงาย รั้งร่างโปร่งบางให้พลิกตามลงมานอนตะแคงก่ายเกยอยู่ครึ่งๆ บนร่างของเขา ขาของเธอเบียดชิดจนเขารู้สึกอบอุ่นและชุ่มชื้นในซอกลี้ลับ เขาลูบหลัง เลยมาถึงต้นขา ลูบไปมาเป็นจังหวะ ปลอบโยนให้เธอหายอ่อนเพลีย“เป่าเป้ย์” เขาพึมพำ “น่ารักไปทั้งเนื้อทั้งตัว ตั้งแต่หัวจดเท้า เนื้อนุ่มหอม แล้วก็หวาน” หยางหมิงอวี้จูบเบาๆ ที่หน้าผาก ระเรื่อยมาที่ขมับ แล้วขยับผ้าห่มมาคลี่คลุมตัว ถ้าเหงื่อแห้งอาจตัวเย็น สะท้านและไม่สบายได้หญิงสาวซุกตัวเข้าแอบอกเขา สักครู่ก็ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอเป็นจังหวะ แสดงว่าหลับไปแล้ว เขายิ้มคนเดียวในความมืด ตัวนิดเดียวแค่นี้ แต่ให้ความสุขแก่เขาได้อย่างมากมายเหลือเกิน สะโพกของเธอเพรียวและตึง ดูว่าเล็กกะทัดรัดแต่ก็รับน้ำหนักของเขาไว้ได้อย่างมั่นคง ความกระชับแน่นของกล้ามเนื้อทำให้เขารู้สึกเสียวซ่านอยู่ตลอดเวลามือของเขาลูบไล้แผ่นหลังอยู่ไปมานั้น เลยไปถึงสะโพกกลมมน รู้สึกรักทุกอย่างที่ประกอบกันเป็นตัวเธอ เขาไม่มีวันปล่อยให้หนีหายไปจากเขาอีกแล้ว อินทุภาจะเป็นผู้
“ท่านอ๋อง! ท่านเยว่! มีสาส์นด่วนจากวังหลวงขอรับ!” อินทุภาหยิบมาให้หยางหมิงอวี้ แล้วพยักหน้าให้ทหารส่งสาส์นออกไปได้“ฝ่าบาทมีคำสั่ง ให้นำทัพฉิวซีหนึ่งแสน ไปช่วยแคว้นฉินต้านกองทัพเชี่ย!” หยางหมิงอวี้อ่านสาร์นให้ฟัง“โอ้ว มาย!! อุบายตีใกล้แสร้งไกลสินะ!” มุมปากอินทุภาเชิดเล็กน้อย‘กลยุทธ์ตีใกล้แสร้งไกล’ คือ การทำให้ศัตรูเข้าใจผิดว่าเป้าหมายของเราคือที่ไกล แต่แท้จริงแล้วเป้าหมายที่แท้จริงคือมุ่งโจมตีจุดที่อยู่ใกล้ โดยใช้กลลวงหรือเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อให้ศัตรูตัดสินใจผิดพลาด และเปิดช่องโหว่ให้เราจู่โจมได้สำเร็จ“ใช่! ทำลวงประชิดแคว้นซ่ง แต่ตั้งใจโจมตีแคว้นฉิน! ด้วยทหารหนึ่งแสนห้าหมื่น แต่ดูจากข้อมูลล่าสุด แคว้นเชี่ยมีทหารประมาณสี่แสนกว่า แต่แบ่งกำลังไปเพียงแสนห้า เกรงว่าจะมีแผนซ้อนแผนแน่แล้ว!”"เหมือนกับกลยุทธ์ล้อมเวยช่วยจ้าวใช่ไหมเพคะ?"“คิดเหมือนกัน! เขาวางแผนยิงธนูดอกเดียวได้เหยี่ยวสองตัว ลวงว่าจะตีแคว้นฉินแต่จริงๆ แล้วจะอ้อมหลังบุกต้าฉิวซี และเพื่อให้ฉิวซีส่งกำลังไปช่วย ซึ่งแน่นอนว่าข้าต้องเป็นผู้บัญชาการทัพ หยางซื่อก็จะร้างผู้นำ พอเหมาะพอดีสำหรับทัพอีกสองแสนที่เหลือจะบุกโจมตี!”‘ล้อมเ
ท่ามกลางม่านอวกาศอันมืดมิด ดวงดาวสุกสกาวแข่งกันส่องแสง สลับกับความว่างเปล่าของจักรวาล เบื้องหลังเสียงสะท้อนของกาลเวลา แสงสีดำหม่นค่อยๆ คืบคลานกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ราชาดาวนิลได้ลงมือแล้วตูมมมมมม!!!เสียงระเบิดดังสนั่นจากท้ายยาน คลื่นพลังมหาศาลซัดกระแทกยาน จนสะเทือนรุนแรง แทบจะฉีกทุกสิ่งออกเป็นเสี่ยงๆ ควันและเปลวเพลิงพวยพุ่งผ่านกระจกห้องควบคุม ภายในห้อง ทุกอย่างอยู่ในสภาพเละเทะ ไฟลุกไหม้ตามแผงควบคุม ตัวเลขสีแดงกะพริบแจ้งเตือนระดับพลังงานที่ลดฮวบ “เรากำลังจะตกแล้ว!” เอกิลตะโกนลั่น พยายามกดแป้นควบคุม เพื่อรักษาสมดุลของยาน แต่มันไม่ตอบสนอง “ถ้ายานชนพื้นโลกในสภาพนี้ พวกเราคงไม่มีใครรอดแน่ๆ!” มูลาหันไปมองลูน่า ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ลูน่ากัดฟันแน่น ขณะเอื้อมมือที่สั่นระริก กดปุ่มปลดล็อกกลไกฉุกเฉิน กริ๊ก!แคปซูลหลบหนีสี่ลูกค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาจากพื้น ม่านพลังสีทองเริ่มก่อตัวรอบแคปซูล เรกิที่แม้จะบาดเจ็บ แต่ก็ยังพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นมา“ลูน่า! อย่าคิดจะทำแบบนี้นะ!” เรกิรู้ดีว่า ลูน่ากำลังตัดสินใจจะทำอะไร “มีคนหนึ่งต้องอยู่คุมยาน” ลูน่ากล่าวเสียงแข็ง “ฉันจะไม่ปล่อยให้พวกเราต้องตายไปพร้อม
จือซาลืมตาตื่นก็เห็นร่างของบุรุษนอนอยู่เคียงกัน เธอขยับตัวไม่ได้เพราะถูกแขนของเขาพาดทับตัวไว้ หญิงสาวรีบสำรวจตนเอง แล้วก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอกที่ยังอยู่ในสภาพเสื้อผ้าปกปิดมิดชิด จึงค่อยๆ ยกแขนเขาขึ้นแล้วขยับตัวออก พยายามดึงชายกระโปรงออกจากร่างของเขา ที่นอนทับอยู่แต่ไม่สำเร็จ เขายังนอนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับอดหลับอดนอนมาหลายวันเอ.. หรือที่หนิวกงกงเล่าจะเป็นเรื่องจริง!หนิวกงกงบอกว่าตั้งแต่ฮองเฮาสิ้นพระชนม์ ฝ่าบาทก็เป็นโรคนอนไม่หลับ เคยบรรทมนานสุดแค่สองชั่วยามต่อวันเท่านั้นแต่ดูตอนนี้สิ!..นัยน์ตาแววหวานอ่อนโยนลง เธอขยับตัวเล็กน้อย เพื่อให้นอนมองหน้าอีกคนได้ชัดเจนขึ้น พร้อมอมยิ้มบางๆ กับท่าทางการนอนหลับปุ๋ยเหมือนเด็กน้อยของเขา มือเรียวบางลูบกลุ่มผมเด็กน้อยตรงหน้าเบาๆ พลางสงสัยว่าเขานอนคว่ำแบบนี้จะหลับสบายหรือเปล่า"ฝ่าบาท!" หนิวกงกงเรียกตรงหน้าประตูด้านในจือซารีบหันไปมองที่ประตูห้อง ส่งสายตาดุไปให้หนิวกงกง พร้อมทำท่านิ้วชี้ปิดปากเป็นสัญญาณว่าห้ามส่งเสียงดัง หนิวกงกงพยักหน้าว่าเข้าใจ ค่อยๆ ละจากหน้าประตูมาหยุดอยู่ใกล้ที่บรรทม "แม่นางจือซา! ได้เวลาเสวยพระกระยาหารเย็นแล้ว ไม่ทราบว่าจะปล
อินทุภาก้าวเข้าสู่ห้องคุมขังอย่างสง่างาม ใบหน้าเรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยอำนาจ ชุดสีเงินปักลายนกหลวนเฟิ่งสีน้ำเงินสะท้อนแสงไฟอ่อนๆ คล้ายหงส์ฟีนิกซ์ที่แผ่รัศมีเหนือผู้อื่น สนมเซียวที่นั่งอยู่ภายในมุมมืดเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและแววอริที่ไม่คิดปิดบังอีกต่อไป "มาทำไม? จะมาเยาะเย้ยข้ารึ?" นางแค่นเสียงถามด้วยความชิงชัง อินทุภาเพียงแค่ยิ้มบางเบา "ได้ข่าวว่าท่านตั้งครรภ์" สนมเซียวแค่นหัวเราะ มุมปากยกขึ้นในลักษณะเยาะเย้ย "เรื่องของข้าไม่เกี่ยวกับเจ้า!!" เสียงของนางแหลมขึ้น พยายามใช้ตำแหน่งเหนือกว่ากดอีกฝ่ายให้ต่ำลง แต่ท่วงท่ายืนของอินทุภายังคงสง่างาม มือแตะกันไว้ที่ระดับเอว แผ่นหลังตรงราวกับไม่มีสิ่งใดมากดทับ ดวงตาเรียบนิ่ง รัศมีนางพญาแผ่ซ่านโดยธรรมชาติ "แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่อยากข้องเกี่ยวกับท่านนัก แต่ข้ารับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้มาพูดกับท่าน จึงเห็นว่าลองเจรจากันดีๆ สักครั้งก็คงจะดีกว่า" สนมเซียวกำหมัดแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยความเคียดแค้น "ผู้ชนะย่อมได้ทุกสิ่ง! ตอนนี้เจ้าคงสุขใจมากสินะ? ไม่ต้องมาทำเสแสร้งต่อหน้าข้า! ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะซ้ำเติมให้สาสม!" "นั่นเป็นสิ่ง
"เยว่อิง!..มาแล้วรึ หมิงอวี้เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟัง ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ!” ฮ่องเต้ถอนพระทัย"ความลำบากนี้ เทียบกันไม่ได้เลย กับสิ่งที่ฝ่าบาทออกหน้าเพื่อปกป้องหม่อมฉัน มิหนำซ้ำยังเสียสละองค์เอง เป็นเหยื่อล่อคนที่คิดร้ายต่อบ้านเมือง ทำให้ชาวประชาพ้นภัย พวกเราซึ้งในพระมหากรุณายิ่งนัก ต่อให้ต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องฝ่าบาท หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ""ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา!" หยางหมิงอวี้ประสานมือคำนับ ฮ่องเต้ยิ้มอย่างอ่อนโยน“ข้าอาจไม่ใช่ฮ่องเต้ที่แข็งแกร่ง แต่จะพยายามเป็นฮ่องเต้ที่ดี! เอาล่ะ!..หยางหมิงอ๋อง..หยางเยว่อิงรับราชโองการ!” ฮ่องเต้หยางอี้ยิ้มนิดหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวต่อ "แม่ทัพหยางอารักขาข้า รบอย่างกล้าหาญ ทำให้กองทัพแคว้นฉิวซียิ่งใหญ่ วันนี้เรามีราชโองการแต่งตั้งให้หยางหมิงอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทน พระราชทานป้ายทองเว้นโทษตาย!”ฮ่องเต้หันมองมาทางอินทุภา“หยางเยว่อิง! ปราชเปรื่องกล้าหาญ เป็นนักวางกลยุทธ์ที่เยี่ยมยอด เปี่ยมด้วยเมตตา สนับสนุนหยางหมิงอ๋องให้ได้ชัยชนะ บัดนี้ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นพระชายา และรั้งตำแหน่งเป็นไท่เว่ย (ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดดูแลราชการฝ่ายทหาร เทียบเท่าส
"ก่อนอื่นเราต้องหาอุปกรณ์ทำมาหากินเสียก่อน!" หญิงสาวเชิดยิ้มมุมปากข้างหนึ่งเล็กน้อย ยืนกอดอกเก็กท่าเป็นกูรู อยู่หน้าร้านขายเครื่องดนตรี"กะลา?" ขอทานน้อยสงสัย"เฮ่ย! นั่นมันอุปกรณ์เก็บเงินตะหากเล่า! วันนี้เราจะเป็นขอทานเปิดหมวกกัน ตามข้ามา!!" หญิงสาวกอดคอขอทานน้อย พาเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องดนตรีอย่างมั่นใจ แต่ยังไม่ทันที่เท้าจะเหยียบผ่านธรณีประตู ก็ถูกเถ้าแก่ไล่เสียแล้ว"ไป! ไป! ออกไป! ไปขอทานที่อื่น! ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาเดินเข้าออกได้อย่างสบายใจได้นะ!!""เถ้าแก่! ข้าไม่ได้มาเดินเล่น ข้ามาซื้อของ!""น้ำหน้าอย่างพวกเจ้า! จะมีปัญญาเอาเงินที่ไหนมาซื้อ เก็บไม่กี่อีแปะเอาไว้กินข้าวเถอะ!! ไปๆ! ออกไป!" หน้าตาท่าทางเกรี้ยวกราด ดุดัน แบบไม่มีทีท่าว่าจะประนีประนอมเฮอะ!! ขอทานก็มีต่อมดนตรีนะลุง!!อินทุภาหันหลังเดินออก แต่พอก้าวออกมาได้เพียงสามก้าว สายตาก็ปะทะเข้ากับร้านขลุ่ยแผงลอยฟากตรงข้าม หญิงสาวดีใจวิ่งตรงดิ่งไปทันที แล้วหยิบขลุ่ยขึ้นมาเลือกรูปแบบ เลือกความถนัดมือ และกำลังจะยกขลุ่ยขึ้นแตะขอบปาก เพื่อจะทดสอบเสียง พลันนึกขึ้นได้ จึงหันไปมองลุงพ่อค้าที่มองมายิ้มๆ อย่างใจดี"ท่านลุง!
เสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูดังขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวหันไปมอง แล้วก็เบิกตาโตกว้างอย่างประหลาดใจ เพราะคนที่เดินเข้ามาคือองค์หญิงหยางหราน "หึ! ใครๆ เขาก็ว่าเจ้าฉลาดนักฉลาดหนา แล้วทำไมถึงได้โง่ให้เขาจับมาได้ซะล่ะ!" นางเปิดฉากถากถาง"แคว้นฉินเกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ! ราชเลขาก่อกบฏ ฝ่าบาทเกิดประชวรกะทันหัน ประชาชนถูกสังหาร หม่อมฉันกำลังต่อสู้กับกองโจรที่ดักซุ่มโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส! แล้วก็ถูกเขาพาตัวมาที่นี่!" องค์หญิงหยางหรานชะงัก"แล้วฮ่องเต้เป็นอย่างไรบ้าง?" องค์หญิงถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก เบื้องหลังความหยิ่งพยองเย็นชา คือสายใยของความเป็นพี่น้อง และรักในเกียรติภูมิของชาวแคว้นฉิน"หม่อมฉันไม่ทราบ! จำได้แต่เพียงว่า พอสังหารศัตรูสิ้นหม่อมฉันก็หมดแรง คงเพราะสลบไป จึงได้มาอยู่ที่นี่ แล้วฝ่าบาทมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเพคะ?" "เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องรู้!" เธอถอนใจ นั่งลงปลายเตียง "อีกสามวันเขาจะแต่งงานกับเจ้า ประกาศงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ไปทั่วทั้งแคว้น เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป?""เขาวางยาในอาหารให้หม่อมฉันอ่อนแรง แต่ถึงจะมีแรง หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่าจะหนีไปได้อย่างไร ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างแน
"ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง?" หยางหมิงอวี้เอ่ยถามเสียงเครียด ขณะก้าวเข้ามาในห้องบรรทม จือซาเงยหน้าขึ้นจากตำรับยา ก่อนประสานมือคารวะแล้วตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง "พระวรกายของฝ่าบาทอ่อนแออยู่แล้ว เมื่อธาตุเย็นแทรกซึม จึงทำให้ปอดติดเชื้อ ยังนับว่าโชคดีที่สามารถรักษาได้ทันท่วงที ตอนนี้หม่อมฉันกำลังฝังเข็มล้างเลือดในอวัยวะตันทั้งห้า และขจัดพิษออกจากอวัยวะกลวงทั้งหก เพื่อถอนพิษของยาหยินหยางออกมา" "แต่เจ้าก็เคยบอกมิใช่หรือว่า... หากจะถอนพิษของยานี้ ร่างกายฝ่าบาทต้องทนทรมานอย่างแสนสาหัส?" หยางหมิงอวี้ขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียดยิ่งขึ้น จือซาพยักหน้า"เพคะ แต่ขณะนี้ฝ่าบาททรงพระประชวร ไม่ค่อยได้สติ นับเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการรักษา หากไร้สิ่งรบกวน หม่อมฉันน่าจะสามารถล้างพิษได้ถึงเจ็ดหรือแปดส่วน เมื่อพระอาการทุเลา เสวยยาตามตำรับที่หม่อมฉันจัดเตรียมไว้ให้เป็นประจำ พระองค์ก็จะทรงฟื้นตัวโดยสมบูรณ์ มิหนำซ้ำยังแข็งแรงขึ้นกว่าที่เคยเป็นเสียอีก!" ถ้อยคำของนางมั่นคงฉะฉาน สมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญศาสตร์แห่งการแพทย์โดยแท้"ขอบใจเจ้ามาก""ไม่เป็นไรเพคะ ไม่เหลือบ่ากว่าแรงของหม่อมฉันอยู่แล้ว!""รายงาน!! ท
ขณะที่หยางหมิงอวี้ กำลังปรึกษาแผนการกับแม่ทัพอยู่นั้น ทหารก็เข้ามารายงานว่า มีกลุ่มทหารของฉิวซีมุ่งหน้ามาที่ค่าย เขาจึงรีบออกไปนอกกระโจมทันที เห็นเหลียงอินชงกำลังกระโดดลงจากหลังม้า"เหลียงอินชง! คารวะท่านแม่ทัพ!"หยางหมิงอี้มองอย่างไม่เชื่อตา จับแขนให้เหลียงอินชงที่คุกเข่าทำความเคารพให้ลุกขึ้น แล้วมองอีกคน"หยางเยว่อิง! คารวะท่านแม่ทัพ!" หญิงสาวคุกเข่าคำนับแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มหวาน เขาเข้ามากอดไว้หลวมๆ"พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่! เกิดอะไรขึ้น?" เขาถามอย่างสงสัย"พอพระองค์ออกเดินทาง..เรือนป่าสนก็โดนลอบโจมตี พวกเราได้ข่าวว่าพระองค์ได้รับบาดเจ็บและสูญหาย เลยรวบรวมกำลังพลจะมาช่วย แต่เจอองครักษ์เงาเสียก่อน จึงได้รู้ว่าทั้งหมดเป็นอุบายลวงของฝ่าบาทกับฮ่องเต้มาตั้งแต่ต้น พวกเราจึงตามมาที่นี่พ่ะย่ะค่ะ!" หยางหมิงอวี้พยักหน้าเข้าใจ อินทุภารีบสั่งการเหลียงอินชงทันที"อินชง! ทนเหนื่อยอีกหน่อยเถอะ! ท่านรีบเร่งกลับไปคุ้มครองบ้านตระกูลหวาง ไปรับจือซาด้วย ข้าเชื่อว่าเร็วๆ นี้ เมืองหลวงต้องวุ่นวายแน่ๆ!" อินทุภาวิเคราะห์สถานการณ์"ขอรับ!" เหลียงอินชงรับคำสั่ง แล้วขึ้นม้าควบออกไป"หมอซุนมาเปิดเผยตัวตนกับข้าแล้