ก่อนที่อินทุภาจะไปวังหลวงคราวก่อน ช่วงที่ซ่อมกำแพงเมือง ได้สั่งให้ช่างทำห้องใต้ดินใต้คลังเสบียงไว้ด้วย จึงได้ใช้ในช่วงเวลาที่มีศึกสงครามเช่นนี้ เธอทำเสบียงลวงไว้ชั้นบน แต่เก็บเสบียงทั้งหมดไว้ชั้นใต้ดิน เพื่อป้องกันศัตรูบุกเผาทำลาย และทำทีว่าป้องกันหละหลวมสร้างอุบายลวง แต่ทุกจุดสำคัญของเมือง มีทหารสอดแนมของกองทหารพิเศษคอยจับตาอยู่หยางติงเข้ามารายงานข่าวจากทหารสอดแนม ว่ากองทัพเชี่ยมีกำลังพลประมาณสองแสนสามหมื่น แต่ได้แบ่งออกเป็นสามทัพดังที่อินทุภาคาดไว้ แต่ทั้งสามทัพนี้ มิได้ยกมาพร้อมกัน และเดินทัพทิ้งระยะห่างกันมาก โดยที่ทัพหน้ามีกำลังพลประมาณสามหมื่น ซึ่งทัพหน้านี้คงจะเป็นการบุกแบบหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ อีกสองทัพแบ่งเป็นทัพละหนึ่งแสน ทัพสองแน่นอนว่าใช้ตัดกำลัง และทัพสามคงจะมุ่งหวังโจมตีเต็มที่อินทุภาเลยคิดแผน จากการที่ศัตรูเดินทัพ ทิ้งระยะห่างกันเกินไปนี้ มาใช้ประโยชน์ โดยจะใช้กลยุทธ์ในตำราพิชัยสงครามเจ็ดตำนานชื่อว่า..’ลับลวงพราง’โดยให้หยางติง นำทัพแรกกำลังพลหนึ่งหมื่นนาย ประกอบไปด้วยกองปืนคาบศิลา พลธนู กองทะลวงฟัน หรือกองทหารพิเศษเคลื่อนที่เร็ว ไปดักซุ่มโจมตีทัพหน้า โดยต้องรีบออกเดินทา
ภายใต้การวางแผนยุทธศาสตร์ขององค์ชายซุน และการบัญชาการโดยตรงของฮ่องเต้ซุนตี้ชุน สงครามครั้งใหญ่ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน บัดนี้ได้กลายเป็นการประหัตประหารอย่างโหดเหี้ยม กองทัพมหึมาของแคว้นซ่ง แคว้นคัง และแคว้นเป่ยเหลียง ต่างพ่ายแพ้ย่อยยับ ทหารนับไม่ถ้วนล้มตายเกลื่อนกลาด ผู้ที่รอดชีวิตมีไม่ถึงหนึ่งในสิบ อำนาจของแคว้นเชี่ยแผ่ขยายรวดเร็วจนน่าตระหนก เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เหล่าแม่ทัพและทหารแคว้นเชี่ยไม่เคยคิดเลยว่า การพิชิตแคว้นหนึ่งจะง่ายดายถึงเพียงนี้ กลิ่นคาวเลือดแห่งชัยชนะ ปลุกโหมกำลังใจให้ลุกโชนดั่งเปลวเพลิง ธงของแคว้นเชี่ยสะบัดพลิ้วอยู่เบื้องหน้ากองทัพเสมอ ดั่งสัญลักษณ์แห่งชัยชนะอันมิอาจต้านทาน ฮ่องเต้ซุนตี้ชุนและองค์ชายซุน ได้กลายเป็นวีรบุรุษสงครามในสายตาทหารหาญทุกผู้คน ท่ามกลางความตระหนกหวาดกลัวทั่วหล้า แผ่นดินถูกย้อมแดงด้วยโลหิตสุดลูกหูลูกตา เงาทมิฬแห่งสงครามแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ โดยมีแคว้นเชี่ยเป็นศูนย์กลาง กองทัพเดินหน้าขยายอาณาเขตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่า แผนยุทธการขององค์ชายซุน จะนำพาแคว้นเชี่ยสู่ชัยชนะได้ในเวลาอันสั้นเพียงนี้ สองฟากถนนเต็มไปด้วยซากศพและโครงกระดูก
ท่ามกลางม่านอวกาศอันมืดมิด ดวงดาวสุกสกาวแข่งกันส่องแสง สลับกับความว่างเปล่าของจักรวาล เบื้องหลังเสียงสะท้อนของกาลเวลา แสงสีดำหม่นค่อยๆ คืบคลานกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ราชาดาวนิลได้ลงมือแล้วตูมมมมมม!!!เสียงระเบิดดังสนั่นจากท้ายยาน คลื่นพลังมหาศาลซัดกระแทกยาน จนสะเทือนรุนแรง แทบจะฉีกทุกสิ่งออกเป็นเสี่ยงๆ ควันและเปลวเพลิงพวยพุ่งผ่านกระจกห้องควบคุม ภายในห้อง ทุกอย่างอยู่ในสภาพเละเทะ ไฟลุกไหม้ตามแผงควบคุม ตัวเลขสีแดงกะพริบแจ้งเตือนระดับพลังงานที่ลดฮวบ “เรากำลังจะตกแล้ว!” เอกิลตะโกนลั่น พยายามกดแป้นควบคุม เพื่อรักษาสมดุลของยาน แต่มันไม่ตอบสนอง “ถ้ายานชนพื้นโลกในสภาพนี้ พวกเราคงไม่มีใครรอดแน่ๆ!” มูลาหันไปมองลูน่า ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ลูน่ากัดฟันแน่น ขณะเอื้อมมือที่สั่นระริก กดปุ่มปลดล็อกกลไกฉุกเฉิน กริ๊ก!แคปซูลหลบหนีสี่ลูกค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาจากพื้น ม่านพลังสีทองเริ่มก่อตัวรอบแคปซูล เรกิที่แม้จะบาดเจ็บ แต่ก็ยังพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นมา“ลูน่า! อย่าคิดจะทำแบบนี้นะ!” เรกิรู้ดีว่า ลูน่ากำลังตัดสินใจจะทำอะไร “มีคนหนึ่งต้องอยู่คุมยาน” ลูน่ากล่าวเสียงแข็ง “ฉันจะไม่ปล่อยให้พวกเราต้องตายไปพร้อมก
อินทุภากำลังปอกมันฝรั่ง หลังจากหั่นหอมหัวใหญ่และมะเขือเทศเสร็จเรียบร้อย เธอเตรียมจะใส่ลงในหม้อที่กำลังเคี่ยวเนื้อวัวติดมันที่หั่นเป็นก้อนๆ กลิ่นหอมฉุยฟุ้งกระจายไปทั่วครัว เธอตั้งใจจะเคี่ยวให้นานหน่อย ตั้งใจทำให้เนื้อเปื่อยนุ่มเหมือนละลายในปาก เพื่อให้ผู้สูงอายุก็สามารถทานได้อย่างสบาย สตูเนื้อนี้เข้ากันได้ดีกับหมั่นโถวเนื้อนุ่ม ที่ญาติพี่น้องกำลังช่วยกันทำอยู่ในครัวด้านในตัวบ้าน เธอมาเมืองจีนเป็นครั้งแรกกับพ่อ เพื่อร่วมฉลองวันครบรอบอายุร้อยยี่สิบปีของคุณทวดซุนเหม่ยหลิง ซึ่งเป็นญาติสนิทกับคุณทวดเยว่ไท่อิงทวดของเธอเอง ในงานวันนี้ มีญาติพี่น้องมากมายจากหลายสกุลมาร่วมงาน เพื่อมาร่วมอวยพรกันอย่างคึกคักแม่ของคุณทวด เยว่ไท่อิง เดิมมีแซ่ซุน แต่เมื่อแต่งงานกับญาติห่างๆ ที่แซ่เยว่ จึงเปลี่ยนมาใช้นามสกุลของสามี ทำให้พ่อของอินทุภาถือแซ่เยว่เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เขากลับใกล้ชิดกับญาติฝั่งตระกูลซุนมากกว่า อินทุภาทุ่มเทให้กับงานจนแทบไม่มีเวลาติดต่อกับญาติพี่น้อง เธอทำงานในบริษัทของแม่ในตำแหน่งผู้บริหารฝ่ายการผลิต ซึ่งรับผิดชอบด้านการผลิตและออกแบบเครื่องประดับ รวมถึงงานโฆษณาทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ในธุ
อินทุภาออกมานั่งสูดอากาศยามค่ำคืนใต้ต้นอวี้หลัน เธอเงยหน้ามองพระจันทร์ที่ใกล้จะเต็มดวง หลับตารับรู้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยมาตามลมคนจีนส่วนใหญ่จะชอบดอกอวี้หลันมาก หากพอมีที่ดินหรือลานบ้าน มักจะต้องปลูกต้นอวี้หลันสักต้น และจะออกดอกเพียงปีละครั้ง มีข้อเสียอย่างเดียวตรงที่ จะเบ่งบานได้แค่เพียงสิบวัน แต่ดอกอวี้หลันของที่นี่ มีมากมายหลายสิบพันธุ์ และมีหลากสีสัน ช่วงเวลาที่ทยอยกันบานจึงนานนับเดือน อวี้หลันทนความหนาวเย็น ลบยี่สิบองศาได้ดี และสู้ความร้อนที่มากกว่าสี่สิบองศาได้อีกด้วย ไม่ต้องให้ปุ๋ยหรือให้การดูแลที่ดีก็โตได้อินทุภาถอนใจ เพราะทุกครั้งที่ยืนอยู่ใต้ต้นอวี้หลันต้นนี้ ก็รู้สึกว่า..ถึงแม้จะผลิดอกขาวทั้งต้น และทั้งๆ ที่สวยงามแต่กลับให้ความรู้สึกว่าเหงามาก ใบร่วงหล่นโกร๋นไปทั้งต้น ก่อนดอกตูมจะผลิออกมา ซึ่งใบกับดอกไม่เคยพบกัน ทั้งที่พวกมันก็อยู่ใกล้กันเพียงแค่นี้ เหมือนเป็นสัญลักษณ์แห่งการพลัดพราก และรอคอยอินทุภาคิดไปพลาง คลำแหวนหยกที่คออย่างเผลอๆ เธอได้นำแหวนที่ได้จากคุณทวด มาร้อยใส่สร้อยห้อยคอไว้ เพราะของที่มีมูลค่าสูงแบบนี้ ใส่ไว้ในมืออาจเกิดแตกหักสูญหาย คงจะน่าเสียดายไม่น้อยเธอหวนนึ
เวลานี้ยังไม่ดึกมากนัก อินทุภาเดินหลีกญาติๆ ที่กำลังนั่งล้อมวงดื่มเหล้ากันอยู่ ออกมาทางสวนหลังบ้าน เธออดขำไม่ได้ เมื่อคิดว่าพวกเขาคุยกันรู้เรื่องได้อย่างไร ต่างคนต่างพูด ต่างคนต่างเล่าเรื่อง จนแทบจะจับใจความไม่ได้ คงเพราะไม่ได้เจอหน้ากันมานาน ทำให้เสียงตะโกนคุย ดังโหวกเหวกกระหึ่มไปทั่วทั้งห้องโถงอินทุภามีปัญหาด้านการนอน ต้องอยู่ในที่เงียบสงบจริงๆ ถึงจะหลับได้ หากมีเสียงอื้ออึงแบบนี้ตลอดทั้งคืน คงหลับตาไม่ลงแน่ๆ เธอกินยาแก้ปวดหัวแล้วเดินลัดเลาะออกมา กะว่าจะนั่งพักสายตารับลมใต้ต้นอวี้หลันนี้สักครู่ รอให้ยาออกฤทธิ์ก่อน แล้วค่อยกลับไปลองพยายามนอนใหม่อีกครั้งแกร่บ! แกร่บ! แกร่บ!เสียงฝีเท้าย่ำลงบนใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ ทำลายความเงียบสงบที่ปกคลุมอยู่ อินทุภาลืมตาขึ้นมอง ก่อนจะเห็นชายวัยกลางคนผู้เป็นญาติห่างๆ ซึ่งหากนับลำดับเครือญาติกันดีๆ แล้ว เขากลับมีศักดิ์เป็นรุ่นหลาน แต่ดันมีอายุมากกว่าเธอเกือบสองรอบ พอเดินเข้ามาใกล้ ก็นั่งลงข้างตัวเธออย่างเงียบเชียบ“ทำไมมานั่งคนเดียวล่ะ?” ขณะที่เขาเปิดปากพูด กลิ่นเหล้าก็ลอยคละคลุ้งวนเวียนอยู่ในอากาศรอบๆ ตัว อินทุภาขยับจะลุก แต่เขากลับคว้าหมับเข้าที่ต
“เอ่อ.. อะแฮ่ม.. คือว่า..เรา..มานั่งคุยกันดีกว่าไหมคะ ถ้าคุณยังไม่ได้หายไปไหน” เธอพยายามทำเสียงให้ปกติ แต่ก็ยังดูอึดอัดขัดเขินอินทุภาหันตัวเดินไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ไผ่ยาวแบบมีพนักพิงใต้ต้นอวี้หลัน โดยเลือกนั่งชิดติดมุมด้านหนึ่ง สักพักเขาเดินมานั่งข้างๆ ห่างกันแค่ฝ่ามือเดียว เห็นเขายังนั่งนิ่งเธอก็เลยชวยคุย เพื่อทำลายบรรยากาศที่ชวนอึดอัด“ฉันเป็นคนไทย มีญาติอยู่ที่นี่ แล้วคุณล่ะ? ชื่ออะไร? มาจากที่ไหน? เล่าเรื่องของคุณให้ฉันฟังบ้างสิคะ” อินทุภาเริ่มประเด็นที่อยากรู้ชายหนุ่มมองหน้าอินทุภานิดหนึ่งแล้วเอนตัวพิงพนัก ไถลตัวลงเล็กน้อย ขายาวทอดไปข้างหน้า เพื่อให้อยู่ในท่าที่สบายขึ้น ต้นขาของเขาแข็งแรง แต่ละข้างใหญ่กว่าเอวของเธออีกนัยน์ตาของเขายาวรีและดำสนิท เครื่องหน้าแต่ละชิ้นคมสันเหมือนรูปสลัก มือของเขาได้รูปสวย เรียวและแข็งแรง เสื้อผ้าที่สวมใส่ตัดเย็บอย่างประณีตทีเดียว สังเกตจากเนื้อผ้าค่อนข้างจะโบราณไปหน่อย แต่ก็หรูหราเกินฐานะคนธรรมดาทั่วไปจะสวมใส่ได้ เธอลอบสำรวจเขาเงียบๆ ระหว่างที่อยู่ในสภาวะเดดแอร์ด้วยกันอย่างนี้ อะไรอย่างหนึ่งบอกอินทุภาว่า ผู้ชายคนนี้เป็นคนจริง เมื่อเขาต้องการอะไร เขา
“พี่ซาน!” อินทุภาเคาะประตูเรียก“เข้ามาเลย ไม่ได้ล็อก” ยังไม่ทันจะแตะลูกบิด ซุนจ่งซานก็เปิดประตูออกมาเสียเอง“โอ้โฮ ทำไรคะนี่!?!” อินทุภาชะโงกหน้ามาดูในห้องจากช่องประตู ซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือที่กางเอาไว้บนโต๊ะ ส่วนข้างๆ ก็มีกระจาดสมุนไพรวางเรียงไว้เป็นแถว“กำลังทดลองสูตรปรุงยาสมุนไพร ตามตำราโบราณน่ะ คิดค้นโดยท่านหมอซุนผู้นั้น มีทั้งยารักษา และยาพิษ” จงซานดึงแว่นขึ้นไปไว้บนศีรษะ มือก็เลือกหยิบสมุนไพรบางชนิดใส่กล่องเล็ก“พี่ซานสอนหนูบ้างสิคะ อยากรู้ทั้งหมดเลยพวกยารักษา ยาพิษอะไรพวกนั้นน่ะ” อินทุภายิ้มประจบ“ทำไมถึงอยากรู้ล่ะ?” จงซานถามยิ้มๆ โดยไม่มองหน้า“ก็หนูอยากเก่งแบบพี่บ้าง อีกอย่างศึกษาเอาไว้เป็นความรู้ดูแลตัวเองและคนรอบข้างได้ โดยไม่ต้องพึ่งหมอ แล้วก็อยากรู้ว่ามีวิธีการรักษาพิษยังไง? อะไรประมาณนี้ค่ะ” จงซานเหลือบตาขึ้นมอง แล้วอมยิ้ม ก่อนจะหลุบตาทำงานต่อ“เยอะ! จะจำหมดไหมล่ะ”“สบายมาก ถึงหนูจะไม่ฉลาดทำอะไรก็ซุ่มซ่าม แต่ความจำหนูเริ่ด! ” อินทุภาตอบแบบหน้าเชิด ยืดอกตบเบาๆ ภูมิใจในนิสัยถาวรของตัวเองสุดๆ ทำให้ซุนจ่งซานหัวเราะเสียงดัง ตาหยีเป็นเส้นเดียว“มันใช่เรื่องเดียวกันไหมยัยตัวเล็ก
ภายใต้การวางแผนยุทธศาสตร์ขององค์ชายซุน และการบัญชาการโดยตรงของฮ่องเต้ซุนตี้ชุน สงครามครั้งใหญ่ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน บัดนี้ได้กลายเป็นการประหัตประหารอย่างโหดเหี้ยม กองทัพมหึมาของแคว้นซ่ง แคว้นคัง และแคว้นเป่ยเหลียง ต่างพ่ายแพ้ย่อยยับ ทหารนับไม่ถ้วนล้มตายเกลื่อนกลาด ผู้ที่รอดชีวิตมีไม่ถึงหนึ่งในสิบ อำนาจของแคว้นเชี่ยแผ่ขยายรวดเร็วจนน่าตระหนก เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เหล่าแม่ทัพและทหารแคว้นเชี่ยไม่เคยคิดเลยว่า การพิชิตแคว้นหนึ่งจะง่ายดายถึงเพียงนี้ กลิ่นคาวเลือดแห่งชัยชนะ ปลุกโหมกำลังใจให้ลุกโชนดั่งเปลวเพลิง ธงของแคว้นเชี่ยสะบัดพลิ้วอยู่เบื้องหน้ากองทัพเสมอ ดั่งสัญลักษณ์แห่งชัยชนะอันมิอาจต้านทาน ฮ่องเต้ซุนตี้ชุนและองค์ชายซุน ได้กลายเป็นวีรบุรุษสงครามในสายตาทหารหาญทุกผู้คน ท่ามกลางความตระหนกหวาดกลัวทั่วหล้า แผ่นดินถูกย้อมแดงด้วยโลหิตสุดลูกหูลูกตา เงาทมิฬแห่งสงครามแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ โดยมีแคว้นเชี่ยเป็นศูนย์กลาง กองทัพเดินหน้าขยายอาณาเขตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่า แผนยุทธการขององค์ชายซุน จะนำพาแคว้นเชี่ยสู่ชัยชนะได้ในเวลาอันสั้นเพียงนี้ สองฟากถนนเต็มไปด้วยซากศพและโครงกระดูก
ก่อนที่อินทุภาจะไปวังหลวงคราวก่อน ช่วงที่ซ่อมกำแพงเมือง ได้สั่งให้ช่างทำห้องใต้ดินใต้คลังเสบียงไว้ด้วย จึงได้ใช้ในช่วงเวลาที่มีศึกสงครามเช่นนี้ เธอทำเสบียงลวงไว้ชั้นบน แต่เก็บเสบียงทั้งหมดไว้ชั้นใต้ดิน เพื่อป้องกันศัตรูบุกเผาทำลาย และทำทีว่าป้องกันหละหลวมสร้างอุบายลวง แต่ทุกจุดสำคัญของเมือง มีทหารสอดแนมของกองทหารพิเศษคอยจับตาอยู่หยางติงเข้ามารายงานข่าวจากทหารสอดแนม ว่ากองทัพเชี่ยมีกำลังพลประมาณสองแสนสามหมื่น แต่ได้แบ่งออกเป็นสามทัพดังที่อินทุภาคาดไว้ แต่ทั้งสามทัพนี้ มิได้ยกมาพร้อมกัน และเดินทัพทิ้งระยะห่างกันมาก โดยที่ทัพหน้ามีกำลังพลประมาณสามหมื่น ซึ่งทัพหน้านี้คงจะเป็นการบุกแบบหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ อีกสองทัพแบ่งเป็นทัพละหนึ่งแสน ทัพสองแน่นอนว่าใช้ตัดกำลัง และทัพสามคงจะมุ่งหวังโจมตีเต็มที่อินทุภาเลยคิดแผน จากการที่ศัตรูเดินทัพ ทิ้งระยะห่างกันเกินไปนี้ มาใช้ประโยชน์ โดยจะใช้กลยุทธ์ในตำราพิชัยสงครามเจ็ดตำนานชื่อว่า..’ลับลวงพราง’โดยให้หยางติง นำทัพแรกกำลังพลหนึ่งหมื่นนาย ประกอบไปด้วยกองปืนคาบศิลา พลธนู กองทะลวงฟัน หรือกองทหารพิเศษเคลื่อนที่เร็ว ไปดักซุ่มโจมตีทัพหน้า โดยต้องรีบออกเดินทา
พอลับสายตาจากภายนอก เขาก็สอดมือรั้งท้ายทอยหญิงสาวเข้าชิด แล้วจู่โจมริมฝีปากอวบอิ่มแทบจะในเสี้ยววินาที อย่างเร่าร้อนหนักหน่วง ราวกับว่าเธอคือลมหายใจสุดท้าย ที่เขาโหยหามาตลอดชีวิต มือข้างหนึ่งกอดเอวบอบบางไว้แน่น อีกข้างจับท้ายทอยให้ขยับมุมตามริมฝีปากของเขา อินทุภาตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่สุดท้ายก็หลับตาพริ้ม จูบตอบจุมพิตที่แสนรัญจวนใจนี้ด้วยความยินยอม มือไม้เผลอไผลเกาะลำคอเขาไว้แน่น ลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวไปจนหมด"ฝ่าบาท.." อินทุภาครางเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระชั่วครู่ ก่อนจะจุมพิตเขาด้วยความโหยหาไม่ต่างกัน ปลายลิ้นของเธอถูกเขาดึงดูดเข้าหาราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาล เขาถอนริมฝีปากมาซุกไซ้ที่ซอกคอ เธอเลยกัดที่คอเขาเบาๆ แล้วเลื่อนมากัดที่ปลายคาง ขบเม้มดูดดุนไปทั่วซอกคอ ในขณะที่อีกมือค่อยๆ ดึงสายรัดเอวของเขา แหวกสาบเสื้อให้เปิดออกกว้าง"เมียรัก.." เขาพูดเสียงเบาเหมือนคนละเมออินทุภาแลบปลายลิ้นเลียลิ้มชิมรสยอดอกสีชมพูคล้ำ สองนิ้วเค้นเขี่ยเม็ดตุ่มสีสวยอีกข้าง เรียกเสียงครางครวญจากอีกฝ่ายให้หอบหนักขึ้น ตามอารมณ์ที่กำลังไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ขณะที่อีกมือก็ค่อยๆ คลายสายรัด จนทำให้ขอบกางเกงขยายออ
“ท่านอ๋อง! ท่านเยว่! มีสาส์นด่วนจากวังหลวงขอรับ!” อินทุภาหยิบมาให้หยางหมิงอวี้ แล้วพยักหน้าให้ทหารส่งสาส์นออกไปได้“ฝ่าบาทมีคำสั่ง ให้นำทัพฉิวซีหนึ่งแสน ไปช่วยแคว้นฉินต้านกองทัพเชี่ย!” หยางหมิงอวี้อ่านสาร์นให้ฟัง“โอ้ว มาย!! อุบายตีใกล้แสร้งไกลสินะ!” มุมปากอินทุภาเชิดเล็กน้อย‘กลยุทธ์ตีใกล้แสร้งไกล’ คือ การทำให้ศัตรูเข้าใจผิดว่าเป้าหมายของเราคือที่ไกล แต่แท้จริงแล้วเป้าหมายที่แท้จริงคือมุ่งโจมตีจุดที่อยู่ใกล้ โดยใช้กลลวงหรือเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อให้ศัตรูตัดสินใจผิดพลาด และเปิดช่องโหว่ให้เราจู่โจมได้สำเร็จ“ใช่! ทำลวงประชิดแคว้นซ่ง แต่ตั้งใจโจมตีแคว้นฉิน! ด้วยทหารหนึ่งแสนห้าหมื่น แต่ดูจากข้อมูลล่าสุด แคว้นเชี่ยมีทหารประมาณสี่แสนกว่า แต่แบ่งกำลังไปเพียงแสนห้า เกรงว่าจะมีแผนซ้อนแผนแน่แล้ว!”"เหมือนกับกลยุทธ์ล้อมเวยช่วยจ้าวใช่ไหมเพคะ?"“คิดเหมือนกัน! เขาวางแผนยิงธนูดอกเดียวได้เหยี่ยวสองตัว ลวงว่าจะตีแคว้นฉินแต่จริงๆ แล้วจะอ้อมหลังบุกต้าฉิวซี และเพื่อให้ฉิวซีส่งกำลังไปช่วย ซึ่งแน่นอนว่าข้าต้องเป็นผู้บัญชาการทัพ หยางซื่อก็จะร้างผู้นำ พอเหมาะพอดีสำหรับทัพอีกสองแสนที่เหลือจะบุกโจมตี!”‘ล้อมเ
เมื่อใกล้ถึงตำหนักจื่อเว่ยเฉิง ที่ประทับของฮ่องเต้ จือซาก็ก้าวเดินให้เร็วขึ้นด้วยความโมโห หมายจะเล่นงานตัวต้นเหตุให้หายหงุดหงิดในใจ จนหนิวกงกงต้องเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งตามเร่งข้ากลับวังงั้นรึ! ถ้าไม่มีเหตุดีๆ มาอธิบายล่ะก็ ได้เห็นดีกันแน่!!"ว้าย!!" จือซาร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเดินเข้าประตูตำหนักแล้วอยู่ๆ คนร่างใหญ่ก็จับตัวเธออุ้มลอยขึ้นพาดบ่า"ไม่เรียกไม่ต้องเข้ามา!" ฮ่องเต้หันไปสั่งหนิวกงกง ซึ่งน้อมรับคำสั่งแล้วรีบปิดประตูทันที"ท่าน!!..ปล่อยข้า!! ให้ข้าลงเดี๋ยวนี้!!" หญิงสาวตะโกนลั่น ดิ้นขลุกขลักด้วยความโมโหเขาวางหญิงสาวลงบนเตียง แล้วโถมกอดไว้แน่นไม่ให้ดิ้นหนี"ดิ้นอะไรนักนะ!!" เขาปราม"ก็ท่านทำบ้าอะไรอยู่เล่า! ทั้งเร่งข้ากลับวัง แล้วนี่ก็มาจับพาดบ่าอีก!"คนปกติดีๆ ที่ไหนเขาทำกัน!!"ก็ข้าคิดถึง!" เขาทำเสียงอ้อน"คิดถึงบ้าอะไร! เพิ่งจะห่างกันไม่กี่ชั่วยาม!!" เธอค้อนปะหลับปะเหลือก กับความหน้ามึนของเขา"ไม่กี่เค่อก็คิดถึงแล้ว อย่างอนเลยนะเด็กดี ถ้าไม่ทำแบบนี้ มีหวังว่ากว่าจะได้เห็นหน้าเจ้า ก็คงจะล่วงเลยไปเป็นเดือน หรืออาจจะเป็นปีถัดไป ข้าคงตรอมใจเพราะโรคคิดถึง อาจถึงขั้นป่วยจนตรอ
จือซาลืมตาตื่นก็เห็นร่างของบุรุษนอนอยู่เคียงกัน เธอขยับตัวไม่ได้เพราะถูกแขนของเขาพาดทับตัวไว้ หญิงสาวรีบสำรวจตนเอง แล้วก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอกที่ยังอยู่ในสภาพเสื้อผ้าปกปิดมิดชิด จึงค่อยๆ ยกแขนเขาขึ้นแล้วขยับตัวออก พยายามดึงชายกระโปรงออกจากร่างของเขา ที่นอนทับอยู่แต่ไม่สำเร็จ เขายังนอนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับอดหลับอดนอนมาหลายวันเอ.. หรือที่หนิวกงกงเล่าจะเป็นเรื่องจริง!หนิวกงกงบอกว่าตั้งแต่ฮองเฮาสิ้นพระชนม์ ฝ่าบาทก็เป็นโรคนอนไม่หลับ เคยบรรทมนานสุดแค่สองชั่วยามต่อวันเท่านั้นแต่ดูตอนนี้สิ!..นัยน์ตาแววหวานอ่อนโยนลง เธอขยับตัวเล็กน้อย เพื่อให้นอนมองหน้าอีกคนได้ชัดเจนขึ้น พร้อมอมยิ้มบางๆ กับท่าทางการนอนหลับปุ๋ยเหมือนเด็กน้อยของเขา มือเรียวบางลูบกลุ่มผมเด็กน้อยตรงหน้าเบาๆ พลางสงสัยว่าเขานอนคว่ำแบบนี้จะหลับสบายหรือเปล่า"ฝ่าบาท!" หนิวกงกงเรียกตรงหน้าประตูด้านในจือซารีบหันไปมองที่ประตูห้อง ส่งสายตาดุไปให้หนิวกงกง พร้อมทำท่านิ้วชี้ปิดปากเป็นสัญญาณว่าห้ามส่งเสียงดัง หนิวกงกงพยักหน้าว่าเข้าใจ ค่อยๆ ละจากหน้าประตูมาหยุดอยู่ใกล้ที่บรรทม "แม่นางจือซา! ได้เวลาเสวยพระกระยาหารเย็นแล้ว ไม่ทราบว่าจะปล
อินทุภาก้าวเข้าสู่ห้องคุมขังอย่างสง่างาม ใบหน้าเรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยอำนาจ ชุดสีเงินปักลายนกหลวนเฟิ่งสีน้ำเงินสะท้อนแสงไฟอ่อนๆ คล้ายหงส์ฟีนิกซ์ที่แผ่รัศมีเหนือผู้อื่น สนมเซียวที่นั่งอยู่ภายในมุมมืดเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและแววอริที่ไม่คิดปิดบังอีกต่อไป "มาทำไม? จะมาเยาะเย้ยข้ารึ?" นางแค่นเสียงถามด้วยความชิงชัง อินทุภาเพียงแค่ยิ้มบางเบา "ได้ข่าวว่าท่านตั้งครรภ์" สนมเซียวแค่นหัวเราะ มุมปากยกขึ้นในลักษณะเยาะเย้ย "เรื่องของข้าไม่เกี่ยวกับเจ้า!!" เสียงของนางแหลมขึ้น พยายามใช้ตำแหน่งเหนือกว่ากดอีกฝ่ายให้ต่ำลง แต่ท่วงท่ายืนของอินทุภายังคงสง่างาม มือแตะกันไว้ที่ระดับเอว แผ่นหลังตรงราวกับไม่มีสิ่งใดมากดทับ ดวงตาเรียบนิ่ง รัศมีนางพญาแผ่ซ่านโดยธรรมชาติ "แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่อยากข้องเกี่ยวกับท่านนัก แต่ข้ารับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้มาพูดกับท่าน จึงเห็นว่าลองเจรจากันดีๆ สักครั้งก็คงจะดีกว่า" สนมเซียวกำหมัดแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยความเคียดแค้น "ผู้ชนะย่อมได้ทุกสิ่ง! ตอนนี้เจ้าคงสุขใจมากสินะ? ไม่ต้องมาทำเสแสร้งต่อหน้าข้า! ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะซ้ำเติมให้สาสม!" "นั่นเป็นสิ่ง
"เยว่อิง!..มาแล้วรึ หมิงอวี้เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟัง ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ!” ฮ่องเต้ถอนพระทัย"ความลำบากนี้ เทียบกันไม่ได้เลย กับสิ่งที่ฝ่าบาทออกหน้าเพื่อปกป้องหม่อมฉัน มิหนำซ้ำยังเสียสละองค์เอง เป็นเหยื่อล่อคนที่คิดร้ายต่อบ้านเมือง ทำให้ชาวประชาพ้นภัย พวกเราซึ้งในพระมหากรุณายิ่งนัก ต่อให้ต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องฝ่าบาท หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ""ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา!" หยางหมิงอวี้ประสานมือคำนับ ฮ่องเต้ยิ้มอย่างอ่อนโยน“ข้าอาจไม่ใช่ฮ่องเต้ที่แข็งแกร่ง แต่จะพยายามเป็นฮ่องเต้ที่ดี! เอาล่ะ!..หยางหมิงอ๋อง..หยางเยว่อิงรับราชโองการ!” ฮ่องเต้หยางอี้ยิ้มนิดหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวต่อ "แม่ทัพหยางอารักขาข้า รบอย่างกล้าหาญ ทำให้กองทัพแคว้นฉิวซียิ่งใหญ่ วันนี้เรามีราชโองการแต่งตั้งให้หยางหมิงอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทน พระราชทานป้ายทองเว้นโทษตาย!”ฮ่องเต้หันมองมาทางอินทุภา“หยางเยว่อิง! ปราชเปรื่องกล้าหาญ เป็นนักวางกลยุทธ์ที่เยี่ยมยอด เปี่ยมด้วยเมตตา สนับสนุนหยางหมิงอ๋องให้ได้ชัยชนะ บัดนี้ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นพระชายา และรั้งตำแหน่งเป็นไท่เว่ย (ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดดูแลราชการฝ่ายทหาร เทียบเท่าส
"ก่อนอื่นเราต้องหาอุปกรณ์ทำมาหากินเสียก่อน!" หญิงสาวเชิดยิ้มมุมปากข้างหนึ่งเล็กน้อย ยืนกอดอกเก็กท่าเป็นกูรู อยู่หน้าร้านขายเครื่องดนตรี"กะลา?" ขอทานน้อยสงสัย"เฮ่ย! นั่นมันอุปกรณ์เก็บเงินตะหากเล่า! วันนี้เราจะเป็นขอทานเปิดหมวกกัน ตามข้ามา!!" หญิงสาวกอดคอขอทานน้อย พาเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องดนตรีอย่างมั่นใจ แต่ยังไม่ทันที่เท้าจะเหยียบผ่านธรณีประตู ก็ถูกเถ้าแก่ไล่เสียแล้ว"ไป! ไป! ออกไป! ไปขอทานที่อื่น! ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาเดินเข้าออกได้อย่างสบายใจได้นะ!!""เถ้าแก่! ข้าไม่ได้มาเดินเล่น ข้ามาซื้อของ!""น้ำหน้าอย่างพวกเจ้า! จะมีปัญญาเอาเงินที่ไหนมาซื้อ เก็บไม่กี่อีแปะเอาไว้กินข้าวเถอะ!! ไปๆ! ออกไป!" หน้าตาท่าทางเกรี้ยวกราด ดุดัน แบบไม่มีทีท่าว่าจะประนีประนอมเฮอะ!! ขอทานก็มีต่อมดนตรีนะลุง!!อินทุภาหันหลังเดินออก แต่พอก้าวออกมาได้เพียงสามก้าว สายตาก็ปะทะเข้ากับร้านขลุ่ยแผงลอยฟากตรงข้าม หญิงสาวดีใจวิ่งตรงดิ่งไปทันที แล้วหยิบขลุ่ยขึ้นมาเลือกรูปแบบ เลือกความถนัดมือ และกำลังจะยกขลุ่ยขึ้นแตะขอบปาก เพื่อจะทดสอบเสียง พลันนึกขึ้นได้ จึงหันไปมองลุงพ่อค้าที่มองมายิ้มๆ อย่างใจดี"ท่านลุง!