เสียงหัวเราะดังก้องในห้อง หยางหมิงอวี้ยืนอยู่หน้าประตู มุมปากเขาเผยรอยยิ้มเล็กน้อย เมื่อนึกถึงภาพสาวน้อยที่ตัวสั่นเทาเมื่อคืน แตกต่างจากตอนนี้ ที่สามารถหัวเราะเสียงใสราวกับไร้ความกังวล
เขาชอบที่เธอมีความเป็นตัวของตัวเอง รู้ว่าต้องการอะไรและไม่ต้องการอะไร กล้าพูดกล้าทำ ไม่มีการปิดบังเสแสร้ง ซึ่งแตกต่างจากคนในยุคของเขาเป็นอย่างมาก
“อรุณสวัสดิ์เพคะ” อินทุภาทักทายเมื่อเห็นหยางหมิงอวี้ยืนอยู่หน้าประตูห้อง จับกระโปรงถอนสายบัวอย่างนุ่มนวล
สาวใช้ยิ้มแล้วรีบถอยออกไป หยางหมิงอวี้เดินเข้าใกล้ พลางยิ้มกับท่าทางขี้เล่นของเธอ
“ชุดนี้พอดีไหม? ดูเหมือนจะคับไปหน่อยตรงนี้หรือเปล่า?” เขาใช้ข้อนิ้วไล้เบาๆ ไปตามแนวโค้งละมุนของอกสาว จากเนินเนื้อช่วงบน พาดผ่านยอดอกลงไปฐานล่าง
“ฝ่าบาท!!”
อินทุภาอุทาน หน้าแดงก่ำ จับมือซุกซนดึงออกไม่ให้เลื่อนต่อ
ตายล่ะ! ทำไมแค่สัมผัสเบาๆ ถึงกับทำให้ขนลุกไปทั้งตัว!!
หยางหมิงอวี้ถอนใจ พลิกข้อมือตัวเองจับมือบางจูงออกจากห้อง เขาเกือบลืมตัวอีกแล้ว
พับผ่าสิ! เวลาอยู่ใกล้กันทีไร นึกอะไรอื่นไม่ออกเลย จะอดทนได้นานแค่ไหนก็ยังไม่รู้!!
“เราจะไปไหนกันเพคะ?” เธอถามหลังจากปล่อยให้เขาจับจูงมาได้สักพัก
“ไปชุมชนพัฒนา” เขาตอบแต่ไม่หันมา สีหน้าด้านข้างขรึมเฉย แล้วก็ปล่อยมือที่เดินจับจูงกันมาก่อนหน้านี้ให้เป็นอิสระ ขณะเดินมาถึงคอกม้า
อินทุภาตาโต เมื่อเห็นม้าสองตัวผูกอานเรียบร้อยยืนเคียงกัน ตัวแรกเป็นม้าสีดำตัวใหญ่ ลำตัวสีดำสนิท ข้อเท้าทั้งสี่ข้างเป็นสีขาวราวกับใส่ถุงเท้าไว้ อีกตัวเป็นสีน้ำตาล แผงคอเป็นสีน้ำตาลอมทอง ที่ขอบตากับเท้าทั้งสี่เป็นสีขาวเช่นกัน
“ของเจ้า ชอบหรือไม่?” หยางหมิงอวี้เข้ามาลูบคอม้าตัวสีน้ำตาล วันนี้เขาตั้งใจจะสอนให้เธอขี่ม้า
“ชอบเพคะ” อินทุภาเข้าไปจูบบนหน้าผากม้า ลูบหน้า เอ่ยออกมาอย่างชื่นชม
“สวยจังเลย ชื่ออะไรเพคะ?”
“ซิงเหม่ย”
“ซิงเหม่ยเด็กดี ชื่อเพราะจัง ดวงตาของเธอก็สุกสกาวเหมือนดาวสมกับชื่อซะด้วยสิ .. ช่วยส่งหม่อมฉันขึ้นหน่อยซิเพคะ”
ประโยคหลังเธอหันไปพูดกับเขาอย่างกระตือรือร้น
หยางหมิงอวี้จับเอวอินทุภายกขึ้นอย่างง่ายดาย แล้วเขาก็ตาค้าง เมื่อซิงเหม่ยโผนวิ่งออกไปต่อหน้าต่อตา
“โอ๊ย!! อิงอิง!!”
แต่แล้วเขาก็ผิดสังเกต ม้าที่ออกวิ่งเตลิดไปนั้น คนที่ขี่ไม่น่าจะนั่งตัวตรงได้อย่างนี้ เขาโจนขึ้นหลังจ้าวพายุควบตามไปเต็มฝีเท้า
“ขี้โกง! ขี่ม้าเก่งออกอย่างนี้ ไม่บอกสักคำ”
เขาตามมาทัน อินทุภาหัวเราะ ชะลอความเร็วลง วิ่งหยาะรอให้เขาขึ้นหน้า เป็นเพราะไม่คุ้นสถานที่ด้วย และทางเริ่มแคบ มีสิ่งกีดขวางหลายอย่าง
“ก็พอเป็นเพคะ”
“ถ้างั้น คงเป็นของขวัญที่ถูกใจมากใช่หรือไม่?”
“เพคะ เป็นพระกรุณาเพคะ”
“ห่างเหินจัง” แล้วเขาก็ดึงบังเหียรซิงเหม่ยมาใกล้ ก่อนที่จะก้มลงจุมพิตรวดเร็วที่ริมฝีปากอินทุภา เธอตกใจผงะเอนไปข้างหลัง
ซิงเหม่ยเองก็หงุดหงิดที่ถูกดึงรั้ง ส่งเสียงฟืดฟาดแล้วขยับออก ทำให้หนุ่มสาวผละออกจากกันไปด้วย
“ม้ากับเจ้าของนิสัยเหมือนกันเลย!” เขาพ้อ ทำให้อินทุภาต้องหัวเราะ เพราะกำลังคิดว่าซิงเหม่ยช่างรู้ใจจริงๆ
“พระองค์เคยตรัสว่า..โครงการที่ร่วมกันก่อตั้งกับท่านเยว่ คือชุมชนพัฒนาหรือเพคะ? ” เธอพยายามชวนคุย เพื่อลดอาการขัดเขิน
“ใช่ ข้าได้รับพระราชทานที่ดินเมืองหวางจี ในเขตปกครองทางทิศเหนือนี้ทั้งหมด เมื่อสามปีที่แล้ว ตอนได้รับบรรดาศักดิ์เป็นหยางหมิงอ๋อง แล้วยังโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนชื่อเมืองจากหวางจีเป็นหยางซื่อ เนื่องจากเป็นเมืองที่ทำรายได้สูงและมีชื่อเสียง” เขาหยุดนิดหนึ่ง แล้วเล่าต่อ
“สิบปีที่แล้วก่อนที่เจ้าจะมา พื้นที่บางส่วนยังเป็นป่ารกร้าง บางส่วนก็แห้งแล้งจนปลูกอะไรไม่ได้ แหล่งน้ำก็อยู่ไกล ทุรกันดารมาก ชาวบ้านบางกลุ่มอาศัยอยู่ห่างกัน ยากจนอดมื้อกินมื้อ ทำมาหากินลำบาก” เขาหันมองหน้าหญิงสาวนิดหนึ่งแล้วเล่าต่อ
“แต่หลังจากเจ้ามา ก็ได้ช่วยกันแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ร่วมมือกันหลายฝ่าย ช่วยกันแก้ปัญหาความยากจน, วางผังเมือง, สร้างสาธารณูปโภค, รวบรวมชาวบ้านพื้นที่ห่างไกลให้มาอยู่รวมกัน, สร้างชุมชนและผืนที่ดินทำกินแบบเกษตรพอเพียง, สร้างอาชีพ, สร้างโรงเรียน เจ้ามีความรู้กว้างขวาง สามารถให้ข้อเสนอแนะได้ในหลายๆ เรื่อง ที่นำไปใช้แก้ปัญหาได้จริง ทำให้เป็นที่ยอมรับจากชาวบ้านและผู้นำในชุมชนพัฒนา”
ขณะที่หยางหมิงอวี้กำลังพูดอยู่นี้ สีหน้าเรียบเฉยก็จริง แต่แววตาอ่อนโยนลึกซึ้ง
อินทุภาคิดว่าสิ่งที่เขาพูดมานี้ ดูน่าเหลือเชื่อเกินไป ถึงแม้เธอจะเป็นหนอนหนังสือ เป็นนักอ่านตัวยง ชอบดูสารคดี หรือพวกคลิปต่างๆในยูทูป แต่เธอก็ไม่คิดว่า เธอจะเป็นคนคนเดียวกันกับบุคคลที่หยางหมิงอวี้กล่าวถึง ที่สามารถทำอะไรทั้งหมดนี้ได้
“ที่นี่เป็นชุมชนเกษตรกรรมที่ใกล้ที่สุด เราจะเริ่มจากที่นี่ก่อน”
หยางหมิงอวี้ลงจากหลังม้า เดินอ้อมไปรับอินทุภา เขายืนอยู่ชิดซิงเหม่ย มือรั้งเอวอินทุภาไว้มั่นยกเอวให้ตัวพ้นอาน ขณะที่เธอเกาะไหล่เขาเป็นหลักข้างละมือ รูดตัวลงมาสู่พื้น ต้นขาของเธอกับส่วนที่สงวนของผู้หญิง เบียดเสียดกับต้นขาของเขา ถูกส่วนสำคัญของเขาอย่างไม่ตั้งใจ แต่ก็รู้สึกถนัดถนี่
อินทุภาหน้าแดง ลงเหยียบพื้นหญ้าได้ก็หันหลังให้ รู้สึกร้อนไปหมดเหมือนถูกไฟนาบที่ตรงนั้น หยางหมิงอวี้เองก็รู้สึกคอแห้งผาก ต้องสงบสติอารมณ์อยู่ชั่วครู่ แล้วจูงม้าทั้งสองตัวออกเดินนำหน้าไป
…
“อั๊ยหยา! ท่านเยว่! ท่านเยว่! จริงๆ ด้วย เร็วไอ้หนูวิ่งไปบอกทุกบ้าน ไปเร็วๆ!”
ชายชราอายุประมาณเจ็ดสิบ หนวดสีขาวยาวถึงหน้าอก นั่งรับลมอยู่ตรงศาลาทางเข้าหน้าชุมชน ตะโกนอย่างดีใจเมื่อเห็นหญิงสาวที่มีใบหน้าคุ้นตาเดินเข้ามา
อินทุภาจับเสื้อตรงข้อศอกหยางหมิงอวี้ กระตุกเบาๆ เพื่อบอกเขาเป็นนัยๆ ว่าเธอต้องการให้ช่วยอะไร ซึ่งเขาก็เข้าใจทันทีโดยไม่ต้องบอก
“ท่านปู่หวาง เป็นหัวหน้าชุมชนที่นี่”
ท่านปู่หวาง เดินรี่ตรงมาหาหญิงสาวโดยเร็ว ทั้งๆ ที่มีไม้เท้าค้ำยัน พอมาถึงก็คุกเข่าลง ก้มตัวจะทำความเคารพกับพื้น แต่อินทุภาผวาเข้าไปดึงตัวขึ้นมาซะก่อน
“ท่านปู่หวาง! ลุกเถอะค่ะ! อย่าทำให้ฉันต้องอายุสั้นเลย!”
ท่านปู่หวางยังไม่ทันจะลุกขึ้น ชาวบ้านกลุ่มใหญ่หลายสิบชีวิตเดินเป็นวิ่งเข้ามา คุกเข่าตามท่านปู่ คำนับกับพื้นกันทั้งหมด อินทุภาหน้าตาเหลอหลา หันไปหาหยางหมิงอวี้เพื่อขอความช่วยเหลือ
“เอาเถอะทุกคน ลุกขึ้นกันก่อน” หยางหมิงอวี้ทำมือให้ทุกคนลุกขึ้น
“มีข่าวลือมากมายว่าท่านเยว่เสียชีวิตแล้ว แต่พวกเราไม่เชื่อ เรารอคอยให้ท่านกลับมาตลอดหลายปีนี้ แล้วท่านก็มาจริงๆ ชีวิตนี้ของข้าน้อยได้ตายตาหลับแล้ว!” เสียงปู่หวางพูดคร่ำครวญ มือตบอก น้ำตาคลอเบ้า
อินทุภาก็พลอยอินไปด้วย ขอบตาร้อนขึ้นมาเหมือนกัน เพราะซาบซึ้งแทนท่านเยว่ผู้นั้น เธอรับสมอ้างไปก่อนก็ได้ ปฏิเสธอะไรไปตอนนี้ จะเป็นการทำลายศรัทธาของพวกเขาไปเปล่าๆ
“จ้ะ ฉันกลับมาแล้ว” อินทุภาพูด แต่รู้สึกเลยว่าตัวเองยิ้มจืดๆ พิกล
“ไปขอรับท่านทั้งสอง เชิญที่เรือนของข้าน้อยก่อน ข้าน้อยอยากรับรองท่านทั้งสอง ให้เป็นเกียรติเป็นศรีกับวงศ์ตระกูลชั่วลูกชั่วหลาน!” ปู่หวางเอ่ยปากเชื้อเชิญอย่างพินอบพิเทา ราวกับอินทุภามียศมีตำแหน่งเทียบเท่าท่านอ๋องไปด้วย
หยางหมิงอวี้อธิบายขณะเดินตามท่านปู่หวางไปด้วยกัน
“ที่ชุมชนนี้เป็นชุมชนเกษตรกรรมทั้งหมด เราแบ่งที่ดินทำกินให้แต่ละบ้าน ให้ความรู้เกี่ยวกับวิถีเกษตรพอเพียง มีคนกลางรับซื้อผลผลิต ส่วนหนึ่งส่งไปที่เฟินเยว่เหลา ชาวบ้านมีกินมีใช้ในครัวเรือน และยังมีรายได้เพิ่มอีกด้วย”
“มิน่าล่ะ เฟินเยว่เหลาจึงมีวัตถุดิบหลากหลายตามฤดูกาล” อินทุภารู้สึกทึ่ง
“ใช่ ถ้าผลผลิตมากหน่อย ก็ทำเป็นของแห้ง ของดอง เก็บไว้กินในช่วงฤดูหนาว และบางส่วนยังสามารถนำไปขายได้อีก”
หลังจากออกจากบ้านท่านปู่หวาง หยางหมิงอวี้พาอินทุภาเดินดูโดยรอบ ไม่ว่าจะผ่านบ้านไหน ล้วนแต่นำผักผลไม้ ของหมัก ของดอง ของแห้งใส่ตระกร้าเตรียมมอบให้ ซึ่งหยางหมิงอวี้ต้องบอกตลอดทางว่าต้องไปอีกหลายที่ นำไปด้วยไม่ได้ รับไว้ได้แต่น้ำใจ
กว่าจะออกจากชุมชนเกษตรกรรม ก็เกือบบ่ายคล้อย หยางหมิงอวี้พาไปหมู่บ้านถัดไป ซึ่งเป็นชุมชนหัตถกรรมผ้าไหม และจักสาน เขาเล่าว่าในช่วงที่ท่านเยว่ผู้นั้นยังอยู่ ได้เป็นคนออกแบบลายผ้า และรูปแบบผลิตภัณฑ์จักสาน เป็นที่นิยมกว้างขวางในตลาดกลางถึงชนชั้นสูงอยู่ช่วงหนึ่ง เพราะมีรูปแบบที่ไม่ซ้ำใคร และกลายเป็นรูปแบบในตำนานที่เป็นของสะสม
ชุมชนถัดไปจะเป็นชุมชนเหมืองและอัญมณี แต่ระยะทางต้องไปอีกไกล เกือบถึงหน้าด่าน ซึ่งเป็นแถบพื้นที่ที่เป็นภูเขา จึงต้องหาที่พักแรมกันก่อน ค่อยเดินทางกันต่อในวันรุ่งขึ้น
“กระหม่อมดีใจจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ที่ท่านอ๋องให้เกียรติเลือกพักกับเราที่นี่” เถ้าแก่รีบกุลีกุจอมาต้อนรับถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยม
“แต่มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งกระหม่อม คือ.. วันนี้เราเหลือห้องพักแค่ห้องเดียว” เขาพูดอย่างขอลุแก่โทษ ที่แก้ปัญหาให้ไม่ได้
หยางหมิงอวี้หันหน้ามามองอินทุภาชั่วครู่ ก่อนที่จะตัดสินใจโดยไม่ถามความเห็นของเธอ
แล้วมองเพื่อ?
“ได้ ไม่เป็นไร ห้องเดียวนั่นก็ได้ ขอเครื่องนอนเพิ่มด้วยแล้วกัน” เถ้าแก่ยิ้มกว้าง รีบเดินห่างออกไป
หยางหมิงอวี้หันมาเลิกคิ้ว เหมือนรอให้เธอโต้แย้ง เธอหันหน้าหนีเพราะพูดไปก็เท่านั้นแหละ
ก็เอาที่สบายใจแล้วกัน!
…
เถ้าแก่เปิดประตูห้องให้กว้างออกทั้งสองบาน จากนั้นก็โค้งคำนับจากไป หยางหมิงอวี้เดินนำไปเข้าก่อน เหลียวมองซ้ายขวา แล้วหันมาหาหญิงสาว
“เจ้าก็นอนที่เตียง ส่วนข้าก็ที่เก้าอี้ยาวนั่น” เขาชี้ไปอีกฟากหนึ่งของห้อง
เธอไม่พูดอะไร เดินตรงไปที่เตียงทันที แล้วคลี่ผ้าม่านมาปิดบังสายตาคนด้านนอกไว้ ถอดเสื้อชั้นนอกออก เหลือแต่เสื้อและกางเกงตัวใน แล้วลงนอนหนุนหมอนอย่างอ่อนเพลีย
…
อินทุภาหลับไปตอนไหนไม่รู้ แต่รู้สึกตัวตื่นเพราะอากาศที่เย็นลง เธออยู่ในมุมด้านในสุดของห้องยังเย็นขนาดนี้ แล้วคนด้านนอกล่ะ อินทุภาแหวกผ้าม่านแอบมอง เห็นเขานอนกอดอกตัวคุดคู้อยู่บนเก้าอี้ยาว ทำให้รู้สึกอดเป็นห่วงไม่ได้ เลยหยิบเสื้อเสื้อคลุมมาสวมแล้วลุกออกไปดู
“ฝ่าบาทเพคะ! ฝ่าบาท!” หญิงสาวเรียก จับแขนเขย่าเบาๆ
“หือ มีอะไร?” เขาปรือตามอง
“ลุกเถิดเพคะ ไปนอนบนเตียง ตรงนี้เย็นมาก”
“เจ้าแน่ใจรึ?”
“เพคะ มาเถอะ หม่อมฉันจะหอบผ้าห่มไปให้”
เอาเถอะ! ทนอายหน่อย ดีกว่าทำให้เขาไม่สบาย
“เราคงต้องซ้อนผ้าห่มสองผืน จะได้ช่วยให้อุ่นขึ้นเจ้าเห็นว่าอย่างไร?” เขาถาม เชิงขอความคิดเห็น อินทุภาชะงักนิดหนึ่ง
เดี๋ยวนะ!..ขอตั้งสติแป๊บ!
“เอ่อ..เพคะ แบบนั้นน่าจะดีกว่า” เธอยิ้มจืดเจื่อน
หยางหมิงอวี้นอนรอให้อินทุภาลงนอนก่อน จากนั้นจึงจัดแจงปูผ้าห่มสองชั้นทับกันให้เรียบร้อย ก่อนจะค่อยๆ นอนชิดหลังและโอบเอวเธอไว้อย่างนุ่มนวล อินทุภาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อสัมผัสถึงความเย็นจากมือของเขา แต่เมื่อร่างกายทั้งสองชิดกันมากขึ้น ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านกลับทำให้เธอรู้สึกร้อนมากกว่าหนาว
“นอนเถอะ ขอแค่นอนกอดเฉยๆ แบบนี้แหละ”
อินทุภาลืมตาตื่น ไม่แน่ใจว่าตื่นเพราะอะไร ฟ้าก็ยังไม่สว่าง เธอลืมตาแบบสะลึมสะลือ พยายามโฟกัสให้ชัดขึ้น พลันเห็นคนที่หลับอยู่ข้างๆ ก็หน้าร้อนวาบ เพราะนอนหันหน้าเข้าหากันกระชั้นชิดมากเธอตกใจขยับตัวถอยออกห่าง แล้วหันไปมองคนที่ยังหลับอยู่อีกครั้ง ขนตาของเขาตกลงมาทาบผิวแก้ม สั้นแต่ดกหนา เวลาหลับอย่างนี้เครื่องหน้าเขาดูละมุน หน้าอ่อนคล้ายๆ เด็กน้อยหยางหมิงอวี้ขยับนอนหงาย ตัวเลยออกไปนอกผ้าห่ม เพราะตอนที่อินทุภาถอยหลังออกห่าง ผ้าห่มเลยรั้งตามมาด้วย เธอเห็นเขายังหลับอยู่ เลยมองลงไปเรื่อยๆ ตามประสาคนอยากรู้ ซึ่งไม่เคยคุ้นกับสรีระของผู้ชายเสื้อตัวในของเขารัดกระชับตัว ทำให้เห็นลอนกล้ามของอกกว้างและช่วงแขนที่มีกล้ามนูนสวย ถ้าแต่งตัวปกติจะดูสูงเพรียว ไม่เห็นชัดเหมือนตอนนี้อินทุภาคิดว่า เขามีมาดพระเอกอยู่ในตัว ถ้าเขาไปอยู่ในโลกปัจจุบันของเธอ คงเป็นพระเอกซีรี่ย์ได้สบายๆหุ่นพระเอกแท้ๆ ไม่มีผู้ร้ายปนสักนิดเธอมองระเรื่อยไปตามแผงอก เอว และหน้าท้องตึงเรียบ ไหนๆ มองลงมาถึงเพียงนี้แล้ว เธอก็มองเลยลงไปอีกหน่อย จับตานิ่งอยู่เป็นครู่ บอกตัวเองว่า ตอนนี้ดูไม่น่าตกใจเหมือนตอนที่กอดรัดกระชับชิดตอนนั้น ซึ่งนู
“มากันแล้วๆ ขอต้อนรับท่านอ๋องด้วยความยินดีพ่ะย่ะค่ะ”ชายวัยประมาณหกสิบปี มีหนวดเรียวเล็กบนริมฝีปาก ไว้เคราเล็กแหลมที่ปลายคาง แต่งกายภูมิฐาน ยืนรอต้อนรับ มีชายฉกรรจ์ประมาณเจ็ดถึงแปดคน พกดาบไว้ที่เอว ยืนเรียงสองแถวอยู่ด้านหลัง“อิงอิงนี่คือท่านหงส์จิ่ว หัวหน้าหมู่บ้าน เคยเป็นครูสอนหนังสือมาก่อนจะมาอยู่ที่นี่ .. ท่านหงส์ นี่เยว่อิง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องประดับและอัญมณี”“คารวะท่านหงส์” อินทุภากำมือคำนับ น้อมศีรษะให้ความเคารพผู้สูงวัยกว่า“ไม่ต้องเกรงใจๆ .. เชิญเสด็จท่านอ๋อง พวกเราเตรียมงานเลี้ยงเล็กๆ รอต้อนรับด้วยกระหม่อม”หยางหมิงอวี้และอินทุภาเดินตามหัวหน้าหมู่บ้าน ไปยังศาลาทรงกลมขนาดใหญ่ ซึ่งจัดเตรียมไว้อย่างอลังการณ์เพื่อต้อนรับโดยเฉพาะอินทุภากวาดตามองสถานที่ไปโดยรอบ มีโต๊ะเตี้ยและเบาะนั่งกับพื้น เป็นแนวสามชั้นวางเรียงตามระยะของพื้นที่ทรงกลม แต่ละโต๊ะมีสาวงามผิวขาวผ่อง อยู่ในชุดเกาะอกปาดครึ่งเต้า คลุมไหล่ด้วยผ้าซีทรูเนื้อบาง ตัวกระโปรงผ่าข้างจนถึงขาอ่อน บางคนเดินเห็นเรียวขาขาวรำไรอย่างน่าดู บางคนนั่งประจำอยู่ที่โต๊ะคอยบริการรินเหล้าและตักอาหารอื้อหือ..อลังการงานสร้าง!! “เชิญเสด็
เสียงกุกกักหน้าประตู ทำให้หยางหมิงอวี้ตัวแข็งเกร็ง หมุนตัวลงจากเตียง คว้าผ้าห่มมาคลุมร่างหญิงสาวไว้อินทุภาซึ่งนอนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก็รีบก้มลงหยิบมีดสั้นที่ซ่อนไว้เตรียมพร้อมในทันที หยางหมิงอวี้ยกนิ้วชี้แนบที่ปากของเขา ทำสัญญาณให้เธออยู่นิ่งๆ ห้ามส่งเสียงใดๆ“ใครอยู่ข้างนอก!?” เขาถามด้วยเสียงแข็งกร้าว พร้อมตั้งท่าตั้งรับสถานการณ์“เอ่อ... หม่อมฉันเองเพคะ เสียว... เสียวหมี่” เสียงจากด้านนอกสั่นเครือเล็กน้อย ราวกับทั้งกลัวและเกรงใจหยางหมิงอวี้เหลือบมองอินทุภาแล้วเลิกคิ้ว เธอพยักหน้าให้เขาเปิดประตู เขารอให้อินทุภาใส่เสื้อให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงเดินไปเปิด“เอ่อ... หม่อมฉันเห็นว่าท่านอ๋องไม่ได้เสด็จไปที่ห้อง ก็เลย... ลองมาดูที่นี่ เผื่อว่าท่านเยว่จะเป็นอะไรไหม” เสียงของเสียวมี่ตะกุกตะกัก ราวกับไม่ใช่ความตั้งใจที่อยากทำเช่นนี้“เข้ามาก่อนเถอะ” หยางหมิงอวี้ถอยห่างจากประตู พร้อมเปิดทางให้เธอเข้ามาเสียวมี่ทำตาโตเมื่อก้าวเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นคนเมาเมื่อตอนหัวค่ำ กำลังนั่งพิงพนักหัวเตียงอย่างสงบ ไม่มีอาการเมามาย เหมือนตอนที่เธอมาส่งก่อนหน้านี้เลยสักนิด“ไฮ! เบบี้เกิร์ล เจอกันอีกแล้วนะ!” อินทุภาย
ขณะนี้ดึกมากแล้ว อินทุภากำลังรอฟังข่าวจากเสียวมี่ จึงยังไม่ได้เข้านอน สักพักเธอก็ได้ยินเสียงนกฮูกร้องแว่วๆ สามครั้ง เธอรีบเดินไปเคาะหน้าต่าง เพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรับรู้ ตามที่เคยเห็นท่านอ๋องทำ ไม่นานคนด้านนอกก็ค่อยๆ แง้มบานหน้าต่างและสอดตัวลอดเข้ามา“ข้าน้อยเองขอรับ” หยางติงเข้ามายืนเต็มตัว ทำความเคารพอินทุภาแล้วดึงผ้าปิดปากออก“มีข่าวของท่านอ๋องไหม?” อินทุภารีบถามด้วยความกังวล“ท่านอ๋องถูกลอบทำร้าย ระหว่างทางที่จะไปเหมืองขอรับ พวกมันวางระเบิดหน้าผาทำให้หินถล่มลงมา หินพลาดจากท่านอ๋องไปถูกม้าทรงทรุดทั้งยืน เลยทำให้ฝ่าบาทพระเศียรกระแทกพื้นสลบ ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลยขอรับ!”“ตายจริง! แล้วตอนนี้พระองค์อยู่ที่ไหน?”“ซ่อนอยู่ในถ้ำขอรับ มีทหารรักษาการณ์คอยดูแลความปลอดภัยเอาไว้”“น้ำ อาหารและยาล่ะ? มีพอสำหรับทุกคนหรือเปล่า?”“ข้าน้อยเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วขอรับ ก่อนจะมาส่งข่าวที่นี่”“ฉันจะไปกับนายด้วย คืนนี้พวกมันคงออกตามล่าแน่ ในขณะที่พวกนายคอยระวังป้องกัน ฉันจะดูแลท่านอ๋องเอง!” อินทุภาตัดสินใจอย่างเด็ดขาด หยางติงพยักหน้ารับอินทุภารีบเก็บของ โกยขนมอบแห้งลงห่อกระดาษ แล้วยัดใส่กระเป๋าผ้าใบเล็
หยางติงหอบหญ้าแห้งกอใหญ่เข้ามาพอดี ตามด้วยทหารที่หอบหญ้ามาอีกกอหนึ่ง“ช่วยกันจับหญ้าพันให้เป็นรูปคนเร็วเข้า!” อินทุภาสั่ง แล้วลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่นานก็ได้รูปโครงคล้ายหุ่นไล่กาเธอจัดแจงสวมเสื้อผ้าให้หุ่น ตามด้วยผ้าคลุมที่คลุมตั้งแต่ศีรษะ แล้วผูกตรงคอให้ดูเหมือนศีรษะคนหญิงสาวสั่งการให้ทหารแปดคนรออยู่ที่นี่ โดยให้เอาหุ่นปลอมของท่านอ๋องขึ้นม้าและผูกไว้ด้านหลัง เมื่อศัตรูเข้ามาใกล้ ให้ทหารลาดตระเวนทำเสียงโวยวาย แล้ววิ่งออกไปล่อให้พวกมันไล่ตามส่วนกลุ่มของอินทุภาจะมีทหารสองนายที่เหลือ หยางติง เสียวมี่ และท่านอ๋อง ซึ่งจะออกเดินทางทันทีที่ท่านอ๋องพอจะทรงตัวได้“ไปเถอะ! ข้าพอไหว” หยางหมิงอวี้พูด พร้อมพยุงตัวพยายามลุกขึ้นอินทุภาพยักหน้าให้หยางติงช่วยพยุง แล้วพาท่านอ๋องเดินออกไปด้านนอก เพื่อเตรียมออกเดินทาง""ฝ่าบาท... ไปกับหม่อมฉัน!" อินทุภากระซิบเสียงหนัก รีบพยักหน้าให้หยางติงและนายทหารช่วยกันพยุงท่านอ๋องขึ้นหลังม้า เธอกระโดดขึ้นตามไปนั่งซ้อนหน้า ดึงชายผ้าคลุมมาผูกรัดตัวเองกับหยางหมิงอวี้ไว้แน่น ตอนนี้ไม่มีที่ว่างให้ความลังเล มีแต่ทางรอดเท่านั้น! "เราต้องรีบพาท่านอ๋องกลับค่าย ที่นั่นปลอ
อินทุภาทายาที่แผลบนศีรษะเสร็จแล้ว ก็ถอยมานั่งอยู่ข้างเตียง มองคนป่วยที่กำลังหลับใหลด้วยฤทธิ์ยานอนหลับ หลังจากที่หมอเข้ามาดูอาการ ได้เขียนเทียบยาไว้หลายอย่าง ทั้งยากินและยาทา พวกยาสมุนไพรทั้งก่อนและหลังอาหาร เธอเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ที่ต้องทายาพวกแผลเล็กแผลน้อยที่อยู่ภายใต้เสื้อผ้าเท่านั้น ซึ่งก็คงต้องรอให้หยางติงมาจัดการ “ฝ่าบาท!!” หยางติงวิ่งเข้ามาในกระโจมอย่างกระหืดกระหอบ“ท่านเยว่! ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”“กระดูกไม่หัก ไม่มีบาดเจ็บภายใน มีแต่แผลที่ศีรษะ กับอาการปวดระบมตามเนื้อตัว และมีแผลภายนอกนิดหน่อย พักฟื้นสักระยะก็ดีขึ้น แต่นายต้องคอยดูแลทายาให้พระองค์ด้วย” เธอพูดเสร็จก็หยิบกระปุกยาส่งให้หยางติงไม่ได้รับยาไป แต่ยกมือประสานคำนับและคุกเข่าลงข้างหนึ่งกับพื้น“อภัยให้ข้าน้อยด้วย! ที่ดูแลท่านเยว่กับท่านอ๋องได้ไม่ดี”“ไม่เป็นไร มันเป็นเหตุสุดวิสัย แล้วท่านอ๋องก็ปลอดภัยแล้ว” เธอพูดพร้อมดึงตัวให้เขาลุกขึ้น“พวกเราพยายามช่วยกันออกตามหา เจอดักซุ่มโจมตีหลายแห่ง จนมาพบกันจนได้” เขายิ้มจนตาหยี “ข้าน้อยมาทันได้เห็นธนูดอกสุดท้ายปักอกพวกมันร่วงจากหลังม้า ยังมีอีกสองสามคน น
อินทุภาตัวอ่อนอยู่ในอ้อมแขนของเขา หยางหมิงอวี้เองก็ยังไม่อยากเคลื่อนไหว หัวใจเขาเต้นแรง หายใจแรงจนหอบ สักพักก็พลิกตัวนอนหงาย รั้งร่างโปร่งบางให้พลิกตามลงมานอนตะแคงก่ายเกยอยู่ครึ่งๆ บนร่างของเขา ขาของเธอเบียดชิดจนเขารู้สึกอบอุ่นและชุ่มชื้นในซอกลี้ลับ เขาลูบหลัง เลยมาถึงต้นขา ลูบไปมาเป็นจังหวะ ปลอบโยนให้เธอหายอ่อนเพลีย“เป่าเป้ย์” เขาพึมพำ “น่ารักไปทั้งเนื้อทั้งตัว ตั้งแต่หัวจดเท้า เนื้อนุ่มหอม แล้วก็หวาน” หยางหมิงอวี้จูบเบาๆ ที่หน้าผาก ระเรื่อยมาที่ขมับ แล้วขยับผ้าห่มมาคลี่คลุมตัว ถ้าเหงื่อแห้งอาจตัวเย็น สะท้านและไม่สบายได้หญิงสาวซุกตัวเข้าแอบอกเขา สักครู่ก็ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอเป็นจังหวะ แสดงว่าหลับไปแล้ว เขายิ้มคนเดียวในความมืด ตัวนิดเดียวแค่นี้ แต่ให้ความสุขแก่เขาได้อย่างมากมายเหลือเกิน สะโพกของเธอเพรียวและตึง ดูว่าเล็กกะทัดรัดแต่ก็รับน้ำหนักของเขาไว้ได้อย่างมั่นคง ความกระชับแน่นของกล้ามเนื้อทำให้เขารู้สึกเสียวซ่านอยู่ตลอดเวลามือของเขาลูบไล้แผ่นหลังอยู่ไปมานั้น เลยไปถึงสะโพกกลมมน รู้สึกรักทุกอย่างที่ประกอบกันเป็นตัวเธอ เขาไม่มีวันปล่อยให้หนีหายไปจากเขาอีกแล้ว อินทุภาจะเป็นผู้ห
“อินทุภา!”“หือ?”“เยว่อิง!” “ใครเรียกเนี่ย? จะเล่นซ่อนแอบกับฉันเหรอ?” อินทุภาพยายามชะเง้อมองรอบตัว แต่ก็เห็นแค่หมอกหนาทึบเต็มไปหมด“ยัยจอมลวงโลก! ทำผิดสัญญา!”“เฮ้! นายเป็นใคร? จู่ๆ ก็มากล่าวหาว่าโกหกเลยเหรอ? ฉันไปสัญญาอะไรกับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”“ก็บอกว่าจะช่วยฉันกลับบ้านไง! ลืมอีกแล้วเหรอ? ยัยคนเบี้ยวสัญญา! จอมโกหก!”“ฉันเนี่ยนะ? ไปสัญญาตอนไหน? หลักฐานไม่มีอย่ามาใส่ร้ายกันนะ! แน่จริงก็ออกมาคุยกันซึ่งๆ หน้าสิ!” อินทุภาเริ่มหงุดหงิด หมุนตัวไปมาแต่ก็ยังไม่เห็นใคร “โอเคๆ ยอมแล้วจ้า... สรุปต้องทำไง เธอถึงจะออกมา? มีอะไรให้ช่วยก็บอกมาดีๆ เถอะน่า” อินทุภาถอนหายใจ หมุนมองไปรอบตัวอีกครั้ง หมอกเริ่มจางลง แต่ก็ยังไร้เงาของเสียงประหลาดนั่น“อยู่ตรงนี้ไง ยัยทึ่ม!” อินทุภาสะดุ้ง หันขวับไปมอง แต่ก็ยังว่างเปล่า ได้ยินแต่เสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายดังชัดเจน“ตรงนี้! มองลงมาข้างล่าง!” อินทุภาเลยก้มลงมอง แล้วก็ต้องอ้าปากค้าง แมวดำตัวจิ๋วตาโตเหมือนใส่บิ๊กอายส์สีเหลืองทองกำลังจ้องเธออยู่“มะ... แมวพูดได้!” อินทุภาชี้หน้าแมวน้อยอย่างตกใจ“แหม! ข้ามเวลายังทำได้เลย กะอีแค่แมวพูดได้ต้องตกใจขนาดน
สมรภูมิรบด้านนอกเมืองเงียบสงบลงแล้ว เหลือเพียงทหารกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังค้นหาผู้รอดชีวิต มูลากำลังทำแผลที่หัวไหล่ให้อินทุภา ขณะที่เธอก็กำลังนั่งรอรับโทษทัณฑ์จากสามีอยู่ที่ห้องโถง "ไม่ต้องห่วงเรื่องแผลที่หัวไหล่ เป็นคนอื่นคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มหลายวัน แต่มีพวกเราอยู่อีกสามวันก็ดีขึ้นแล้ว!" มูลาพูดขณะพันแผลเสร็จเรียบร้อย"ตอนต่อสู้กับองค์ชายซุน ฉันน่ะลุ้นสุดตัว! ภาวนาขอให้นายท่านกลับมาเร็วๆ มีเพียงพลังธาตุข่มในตัวเขาเท่านั้น ที่จะสยบองค์ชายซุนได้!" ลูน่ากล่าว"แล้วพลังเวทย์ของพวกเธอช่วยฉันไม่ได้เลยหรือ?" อินทุภาสงสัย"ราชาดาวนิลมีพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งมาก แม้แต่พวกเรายังสู้ไม่ได้ แล้วท่านจะไหวได้อย่างไร!" เรกิพูดขึ้นมาบ้าง"นายท่านมาแล้ว!!" เอกิลเตือน ทุกคนหันไปมองประตู แล้วเลือนหายไปประตูถูกเปิดออกอย่างแรง คนที่กำลังเดินผ่านประตูเข้ามามีสีหน้าราวกับพยัพฝน คงทำความสะอาดเนื้อตัวมาแล้ว จึงเหลือแต่เสื้อตัวใน เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ แววตาที่เคยสุภาพอบอุ่น ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความคมกล้า จ้องมองเขม็งอย่างเอาเรื่องเต็มที่ จนทำให้เธอไม่กล้าแม้จะสบตาตรงๆ ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คงต้องแก
ตอนนี้ยามซื่อแล้ว(09.00-10.59น.) ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆดำทะมึน ราวกับธรรมชาติ กำลังสำแดงอำนาจข่มขวัญโลกมนุษย์ ฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย สลับกับสายลมกระโชกแรง อินทุภายืนอยู่บนกำแพงเมือง สายตาจับจ้องไปยังขอบฟ้า รอคอยสถานการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างสงบ เธอไม่อยากปกป้องตนเอง ด้วยการทำลายชีวิตของผู้อื่น แม้ว่าวิวัฒนาการจากโลกอนาคต จะทำให้เธอโกงความตายได้ ทว่าหลังแนวกำแพงนี้ มีประชาชนหยางซื่อนับหมื่นชีวิต ฝากความหวังไว้กับเธอเพียงผู้เดียว พวกเขาเชื่อมั่นว่า เธอจะปกป้องครอบครัวของพวกเขา จากความโหดร้ายของศัตรูได้ สายตาทุกคู่ จับจ้องไปยังแผ่นหลัง ของหญิงสาวในชุดเกราะ เธอไม่มีปิ่นปักผมล้ำค่า หรืออัญมณีงดงาม เหมือนสตรีทั่วไป แต่กลับใช้เพียงเชือกสีดำ มัดรวบมวยผมไว้อย่างเรียบง่าย แม้ภายนอกจะดูบอบบาง แต่ภายในกลับแข็งแกร่ง ดุจนักรบที่ผ่านสมรภูมิมาแล้วนับร้อยครั้ง"ทัพเชี่ยอยู่ห่างออกไปห้าหลี่แล้วขอรับ!" ทหารรายงานพลางยื่นกล้องส่องทางไกลให้ อินทุภารับมา และเพ่งมองออกไปเบื้องหน้า ความทะเยอทะยานอันเห็นแก่ตัวขององค์ชายซุนจ่งซาน ได้ลากกองทหารที่อ่อนล้า และตรากตรำจากภัยธรรมชาติ ให้มาหยุดยืนอยู
"เสี่ยวจื่อเด็กดี! เจ้าไม่กินไม่นอน ข้าทุกข์ใจยิ่ง!" ฮ่องเต้ดูจะชมชอบการเปลื่ยนชื่อเรียกหญิงสาว ถ้าไม่เสี่ยวจื่อ ก็เป็นเสี่ยวซา"ก็หม่อมฉันเป็นห่วงเสด็จพ่อกับท่านแม่นี่นา แล้วยังมีพี่ชายทั้งสามที่ต้องรบอยู่แนวหน้าอีก!" จือซาทำหน้าเศร้า"เจ้าอย่ากังวลไปเลย มีแม่ทัพหยางอยู่ทั้งคน เขาเก่งกล้าสามารถเพียงใดเจ้าก็รู้ ทุกคนจะปลอดภัยจากสงครามครั้งนี้! ข้ารับรอง!""อืม" หญิงสาวรับคำ พร้อมกับซุกหน้าลงไปที่อกกว้าง"ถ้างั้น! ดื่มซุปไก่นี่สักหน่อย ข้าลงครัวด้วยตัวเองเชียวนะ!" เขาพูดอย่างภาคภูมิใจฮ่องเต้ตักชิ้นไก่ตุ๋นเนื้อนุ่มพอดีคำใส่ไว้ในช้อน ส่งถ้วยให้เธอถือ แล้วเดินไปรินน้ำชา จือซามองถ้วยซุปด้วยความซึ้งใจ ในมุมอ่อนโยนของเขา ซึ่งมักจะทำให้เธอรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนพิเศษอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวยิ้มบางๆ พลางยกช้อนขึ้นใส่ปาก"อื๋ออ..เค็ม!!" เธอพูดแล้วชะงักกึก รีบเงยหน้ามองฮ่องเต้กลัวเขาจะน้อยใจ ซึ่งเขาก็หันมาทันที ที่ได้ยินเสียงเธออุทานออกมา"อื้อหือ!..ขะ..เข้ม!..เข้มข้นมาก! นับว่าเปิดหูเปิดตาหม่อมฉันแล้ว!" เสียงพูดจืดเจื่อนเพราะรู้สึกขมไปตลอดช่องคอ พยายามปรับสีหน้าให้อยู่ในระดับปกติ ฮ่องเต้หนุ่มยิ้ม น
ภายใต้การวางแผนยุทธศาสตร์ขององค์ชายซุน และการบัญชาการโดยตรงของฮ่องเต้ซุนตี้ชุน สงครามครั้งใหญ่ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน บัดนี้ได้กลายเป็นการประหัตประหารอย่างโหดเหี้ยม กองทัพมหึมาของแคว้นซ่ง แคว้นคัง และแคว้นเป่ยเหลียง ต่างพ่ายแพ้ย่อยยับ ทหารนับไม่ถ้วนล้มตายเกลื่อนกลาด ผู้ที่รอดชีวิตมีไม่ถึงหนึ่งในสิบ อำนาจของแคว้นเชี่ยแผ่ขยายรวดเร็วจนน่าตระหนก เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เหล่าแม่ทัพและทหารแคว้นเชี่ยไม่เคยคิดเลยว่า การพิชิตแคว้นหนึ่งจะง่ายดายถึงเพียงนี้ กลิ่นคาวเลือดแห่งชัยชนะ ปลุกโหมกำลังใจให้ลุกโชนดั่งเปลวเพลิง ธงของแคว้นเชี่ยสะบัดพลิ้วอยู่เบื้องหน้ากองทัพเสมอ ดั่งสัญลักษณ์แห่งชัยชนะอันมิอาจต้านทาน ฮ่องเต้ซุนตี้ชุนและองค์ชายซุน ได้กลายเป็นวีรบุรุษสงครามในสายตาทหารหาญทุกผู้คน ท่ามกลางความตระหนกหวาดกลัวทั่วหล้า แผ่นดินถูกย้อมแดงด้วยโลหิตสุดลูกหูลูกตา เงาทมิฬแห่งสงครามแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ โดยมีแคว้นเชี่ยเป็นศูนย์กลาง กองทัพเดินหน้าขยายอาณาเขตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่า แผนยุทธการขององค์ชายซุน จะนำพาแคว้นเชี่ยสู่ชัยชนะได้ในเวลาอันสั้นเพียงนี้ สองฟากถนนเต็มไปด้วยซากศพและโครงกระดูก
ก่อนที่อินทุภาจะไปวังหลวงคราวก่อน ช่วงที่ซ่อมกำแพงเมือง ได้สั่งให้ช่างทำห้องใต้ดินใต้คลังเสบียงไว้ด้วย จึงได้ใช้ในช่วงเวลาที่มีศึกสงครามเช่นนี้ เธอทำเสบียงลวงไว้ชั้นบน แต่เก็บเสบียงทั้งหมดไว้ชั้นใต้ดิน เพื่อป้องกันศัตรูบุกเผาทำลาย และทำทีว่าป้องกันหละหลวมสร้างอุบายลวง แต่ทุกจุดสำคัญของเมือง มีทหารสอดแนมของกองทหารพิเศษคอยจับตาอยู่หยางติงเข้ามารายงานข่าวจากทหารสอดแนม ว่ากองทัพเชี่ยมีกำลังพลประมาณสองแสนสามหมื่น แต่ได้แบ่งออกเป็นสามทัพดังที่อินทุภาคาดไว้ แต่ทั้งสามทัพนี้ มิได้ยกมาพร้อมกัน และเดินทัพทิ้งระยะห่างกันมาก โดยที่ทัพหน้ามีกำลังพลประมาณสามหมื่น ซึ่งทัพหน้านี้คงจะเป็นการบุกแบบหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ อีกสองทัพแบ่งเป็นทัพละหนึ่งแสน ทัพสองแน่นอนว่าใช้ตัดกำลัง และทัพสามคงจะมุ่งหวังโจมตีเต็มที่อินทุภาเลยคิดแผน จากการที่ศัตรูเดินทัพ ทิ้งระยะห่างกันเกินไปนี้ มาใช้ประโยชน์ โดยจะใช้กลยุทธ์ในตำราพิชัยสงครามเจ็ดตำนานชื่อว่า..’ลับลวงพราง’โดยให้หยางติง นำทัพแรกกำลังพลหนึ่งหมื่นนาย ประกอบไปด้วยกองปืนคาบศิลา พลธนู กองทะลวงฟัน หรือกองทหารพิเศษเคลื่อนที่เร็ว ไปดักซุ่มโจมตีทัพหน้า โดยต้องรีบออกเดินทา
พอลับสายตาจากภายนอก เขาก็สอดมือรั้งท้ายทอยหญิงสาวเข้าชิด แล้วจู่โจมริมฝีปากอวบอิ่มแทบจะในเสี้ยววินาที อย่างเร่าร้อนหนักหน่วง ราวกับว่าเธอคือลมหายใจสุดท้าย ที่เขาโหยหามาตลอดชีวิต มือข้างหนึ่งกอดเอวบอบบางไว้แน่น อีกข้างจับท้ายทอยให้ขยับมุมตามริมฝีปากของเขา อินทุภาตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่สุดท้ายก็หลับตาพริ้ม จูบตอบจุมพิตที่แสนรัญจวนใจนี้ด้วยความยินยอม มือไม้เผลอไผลเกาะลำคอเขาไว้แน่น ลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวไปจนหมด"ฝ่าบาท.." อินทุภาครางเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระชั่วครู่ ก่อนจะจุมพิตเขาด้วยความโหยหาไม่ต่างกัน ปลายลิ้นของเธอถูกเขาดึงดูดเข้าหาราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาล เขาถอนริมฝีปากมาซุกไซ้ที่ซอกคอ เธอเลยกัดที่คอเขาเบาๆ แล้วเลื่อนมากัดที่ปลายคาง ขบเม้มดูดดุนไปทั่วซอกคอ ในขณะที่อีกมือค่อยๆ ดึงสายรัดเอวของเขา แหวกสาบเสื้อให้เปิดออกกว้าง"เมียรัก.." เขาพูดเสียงเบาเหมือนคนละเมออินทุภาแลบปลายลิ้นเลียลิ้มชิมรสยอดอกสีชมพูคล้ำ สองนิ้วเค้นเขี่ยเม็ดตุ่มสีสวยอีกข้าง เรียกเสียงครางครวญจากอีกฝ่ายให้หอบหนักขึ้น ตามอารมณ์ที่กำลังไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ขณะที่อีกมือก็ค่อยๆ คลายสายรัด จนทำให้ขอบกางเกงขยายออ
“ท่านอ๋อง! ท่านเยว่! มีสาส์นด่วนจากวังหลวงขอรับ!” อินทุภาหยิบมาให้หยางหมิงอวี้ แล้วพยักหน้าให้ทหารส่งสาส์นออกไปได้“ฝ่าบาทมีคำสั่ง ให้นำทัพฉิวซีหนึ่งแสน ไปช่วยแคว้นฉินต้านกองทัพเชี่ย!” หยางหมิงอวี้อ่านสาร์นให้ฟัง“โอ้ว มาย!! อุบายตีใกล้แสร้งไกลสินะ!” มุมปากอินทุภาเชิดเล็กน้อย‘กลยุทธ์ตีใกล้แสร้งไกล’ คือ การทำให้ศัตรูเข้าใจผิดว่าเป้าหมายของเราคือที่ไกล แต่แท้จริงแล้วเป้าหมายที่แท้จริงคือมุ่งโจมตีจุดที่อยู่ใกล้ โดยใช้กลลวงหรือเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อให้ศัตรูตัดสินใจผิดพลาด และเปิดช่องโหว่ให้เราจู่โจมได้สำเร็จ“ใช่! ทำลวงประชิดแคว้นซ่ง แต่ตั้งใจโจมตีแคว้นฉิน! ด้วยทหารหนึ่งแสนห้าหมื่น แต่ดูจากข้อมูลล่าสุด แคว้นเชี่ยมีทหารประมาณสี่แสนกว่า แต่แบ่งกำลังไปเพียงแสนห้า เกรงว่าจะมีแผนซ้อนแผนแน่แล้ว!”"เหมือนกับกลยุทธ์ล้อมเวยช่วยจ้าวใช่ไหมเพคะ?"“คิดเหมือนกัน! เขาวางแผนยิงธนูดอกเดียวได้เหยี่ยวสองตัว ลวงว่าจะตีแคว้นฉินแต่จริงๆ แล้วจะอ้อมหลังบุกต้าฉิวซี และเพื่อให้ฉิวซีส่งกำลังไปช่วย ซึ่งแน่นอนว่าข้าต้องเป็นผู้บัญชาการทัพ หยางซื่อก็จะร้างผู้นำ พอเหมาะพอดีสำหรับทัพอีกสองแสนที่เหลือจะบุกโจมตี!”‘ล้อมเ
เมื่อใกล้ถึงตำหนักจื่อเว่ยเฉิง ที่ประทับของฮ่องเต้ จือซาก็ก้าวเดินให้เร็วขึ้นด้วยความโมโห หมายจะเล่นงานตัวต้นเหตุให้หายหงุดหงิดในใจ จนหนิวกงกงต้องเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งตามเร่งข้ากลับวังงั้นรึ! ถ้าไม่มีเหตุดีๆ มาอธิบายล่ะก็ ได้เห็นดีกันแน่!!"ว้าย!!" จือซาร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเดินเข้าประตูตำหนักแล้วอยู่ๆ คนร่างใหญ่ก็จับตัวเธออุ้มลอยขึ้นพาดบ่า"ไม่เรียกไม่ต้องเข้ามา!" ฮ่องเต้หันไปสั่งหนิวกงกง ซึ่งน้อมรับคำสั่งแล้วรีบปิดประตูทันที"ท่าน!!..ปล่อยข้า!! ให้ข้าลงเดี๋ยวนี้!!" หญิงสาวตะโกนลั่น ดิ้นขลุกขลักด้วยความโมโหเขาวางหญิงสาวลงบนเตียง แล้วโถมกอดไว้แน่นไม่ให้ดิ้นหนี"ดิ้นอะไรนักนะ!!" เขาปราม"ก็ท่านทำบ้าอะไรอยู่เล่า! ทั้งเร่งข้ากลับวัง แล้วนี่ก็มาจับพาดบ่าอีก!"คนปกติดีๆ ที่ไหนเขาทำกัน!!"ก็ข้าคิดถึง!" เขาทำเสียงอ้อน"คิดถึงบ้าอะไร! เพิ่งจะห่างกันไม่กี่ชั่วยาม!!" เธอค้อนปะหลับปะเหลือก กับความหน้ามึนของเขา"ไม่กี่เค่อก็คิดถึงแล้ว อย่างอนเลยนะเด็กดี ถ้าไม่ทำแบบนี้ มีหวังว่ากว่าจะได้เห็นหน้าเจ้า ก็คงจะล่วงเลยไปเป็นเดือน หรืออาจจะเป็นปีถัดไป ข้าคงตรอมใจเพราะโรคคิดถึง อาจถึงขั้นป่วยจนตรอ
จือซาลืมตาตื่นก็เห็นร่างของบุรุษนอนอยู่เคียงกัน เธอขยับตัวไม่ได้เพราะถูกแขนของเขาพาดทับตัวไว้ หญิงสาวรีบสำรวจตนเอง แล้วก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอกที่ยังอยู่ในสภาพเสื้อผ้าปกปิดมิดชิด จึงค่อยๆ ยกแขนเขาขึ้นแล้วขยับตัวออก พยายามดึงชายกระโปรงออกจากร่างของเขา ที่นอนทับอยู่แต่ไม่สำเร็จ เขายังนอนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับอดหลับอดนอนมาหลายวันเอ.. หรือที่หนิวกงกงเล่าจะเป็นเรื่องจริง!หนิวกงกงบอกว่าตั้งแต่ฮองเฮาสิ้นพระชนม์ ฝ่าบาทก็เป็นโรคนอนไม่หลับ เคยบรรทมนานสุดแค่สองชั่วยามต่อวันเท่านั้นแต่ดูตอนนี้สิ!..นัยน์ตาแววหวานอ่อนโยนลง เธอขยับตัวเล็กน้อย เพื่อให้นอนมองหน้าอีกคนได้ชัดเจนขึ้น พร้อมอมยิ้มบางๆ กับท่าทางการนอนหลับปุ๋ยเหมือนเด็กน้อยของเขา มือเรียวบางลูบกลุ่มผมเด็กน้อยตรงหน้าเบาๆ พลางสงสัยว่าเขานอนคว่ำแบบนี้จะหลับสบายหรือเปล่า"ฝ่าบาท!" หนิวกงกงเรียกตรงหน้าประตูด้านในจือซารีบหันไปมองที่ประตูห้อง ส่งสายตาดุไปให้หนิวกงกง พร้อมทำท่านิ้วชี้ปิดปากเป็นสัญญาณว่าห้ามส่งเสียงดัง หนิวกงกงพยักหน้าว่าเข้าใจ ค่อยๆ ละจากหน้าประตูมาหยุดอยู่ใกล้ที่บรรทม "แม่นางจือซา! ได้เวลาเสวยพระกระยาหารเย็นแล้ว ไม่ทราบว่าจะปล