ขณะนี้ดึกมากแล้ว อินทุภากำลังรอฟังข่าวจากเสียวมี่ จึงยังไม่ได้เข้านอน สักพักเธอก็ได้ยินเสียงนกฮูกร้องแว่วๆ สามครั้ง เธอรีบเดินไปเคาะหน้าต่าง เพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรับรู้ ตามที่เคยเห็นท่านอ๋องทำ ไม่นานคนด้านนอกก็ค่อยๆ แง้มบานหน้าต่างและสอดตัวลอดเข้ามา
“ข้าน้อยเองขอรับ” หยางติงเข้ามายืนเต็มตัว ทำความเคารพอินทุภาแล้วดึงผ้าปิดปากออก
“มีข่าวของท่านอ๋องไหม?” อินทุภารีบถามด้วยความกังวล
“ท่านอ๋องถูกลอบทำร้าย ระหว่างทางที่จะไปเหมืองขอรับ พวกมันวางระเบิดหน้าผาทำให้หินถล่มลงมา หินพลาดจากท่านอ๋องไปถูกม้าทรงทรุดทั้งยืน เลยทำให้ฝ่าบาทพระเศียรกระแทกพื้นสลบ ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลยขอรับ!”
“ตายจริง! แล้วตอนนี้พระองค์อยู่ที่ไหน?”
“ซ่อนอยู่ในถ้ำขอรับ มีทหารรักษาการณ์คอยดูแลความปลอดภัยเอาไว้”
“น้ำ อาหารและยาล่ะ? มีพอสำหรับทุกคนหรือเปล่า?”
“ข้าน้อยเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วขอรับ ก่อนจะมาส่งข่าวที่นี่”
“ฉันจะไปกับนายด้วย คืนนี้พวกมันคงออกตามล่าแน่ ในขณะที่พวกนายคอยระวังป้องกัน ฉันจะดูแลท่านอ๋องเอง!” อินทุภาตัดสินใจอย่างเด็ดขาด หยางติงพยักหน้ารับ
อินทุภารีบเก็บของ โกยขนมอบแห้งลงห่อกระดาษ แล้วยัดใส่กระเป๋าผ้าใบเล็กที่เธอสะพายติดตัวมาด้วย
“เสี่ยวติง! ฉันเป็นห่วงเสียวมี่ เราจะพาไปด้วยดีไหม?”
“ข้าน้อยก็เป็นห่วง อยากพาไปด้วยขอรับ ถ้าทิ้งเอาไว้ คงไม่รอดมือไอ้แก่ตัณหากลับนั่นแน่นอน แต่ก็กังวลว่าจะดูแลทั้งสองคนไม่ไหว”
“ไม่ต้องห่วงฉัน นายดูแลเสียวมี่ ฉันดูแลตัวเองได้!”
“งั้นท่านเยว่รอที่นี่ก่อน ข้าน้อยจะลอบไปหาเสียวมี่ และหาชุดดำมาให้ท่านเปลี่ยนด้วย”
“ได้ๆ! ไปเถอะ”
“ระวังตัวด้วยนะท่าน ข้าน้อยเห็นพวกมันเพิ่มเวรยามทางเข้าหน้าห้องท่านมากกว่าเดิม”
“ไม่ต้องห่วง ฉันดูแลตัวเองได้”
ขณะที่กำลังรอเสี่ยวติงกลับมานั้น มีสาวใช้มาเคาะประตูเรียกอยู่หน้าห้อง
“มีอะไรรึ? นี่มันดึกแล้วนะ”
“เอ่อ..ข้าน้อยมาสอบถาม เผื่อว่าท่านเยว่ต้องการอะไรเพิ่มคืนนี้”
“ไม่ล่ะ ไปนอนเถอะ สักพักก็จะดับไฟนอนแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
สาวใช้เดินมาถึงทางเข้าหน้าห้องพัก ซึ่งมีหัวหน้าหมู่บ้านยืนกุมมือไพล่หลังรออยู่ เมื่อเห็นสาวใช้เดินเข้ามาก็รีบเอ่ยปากถาม
“ว่าไง?”
“ยังอยู่เจ้าค่ะ บอกว่าจะดับไฟนอนแล้ว” นางย่อตัวทำความเคารพ หลังจากท่านหงส์สะบัดมือให้ไปได้
คืนนี้พักผ่อนเสียให้พอแล้วกัน หงส์จิ่วคิดในใจ ยังไงก็ไม่รอดมือเขาไปได้ เขาเอานิ้วมือลูบขอบปากอย่างอารมณ์ดี พลันรู้สึกเสียวแปลบจากปลายแก่นกาย วิ่งแล่นวูบวาบไปทั่วหน้าท้อง เมื่อจินตนาการถึงใบหน้าเคลิ้มพิศวาส เรือนร่างที่ไร้อาภรณ์ปิดกั้น และหน้าอกเต่งตึงของสาวน้อยที่อยู่ในห้องพัก ความกระสันพุ่งขึ้นแรง จนเขาต้องกัดฟัน
“บอกให้พวกมันเฝ้าเอาไว้ให้ดี แล้วให้คนที่เหลือออกตามล่าไอ้องค์ชายนั่นให้เจอ!” เขาสั่งกับลูกน้องคนสนิทก่อนจะเดินจากไป
…………………………..
อินทุภารีบสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงนกฮูกร้อง แล้วรีบไปเคาะหน้าต่าง หยางติงค่อยๆ แง้มหน้าต่างและส่งชุดสีดำมาให้
“รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าน้อยจะเฝ้าอยู่ข้างนอก”
อินทุภาคว้าชุดมาอย่างรวดเร็ว แล้วเปลี่ยนชุดอย่างว่องไว เธอพับชุดเดิมให้เล็กที่สุด แล้วยัดใส่กระเป๋าผ้า ก่อนจะค่อยๆ ปีนข้ามบานหน้าต่างออกไปด้านนอก
หยางติงพาลัดเลาะตามพงหญ้ารกสูงริมกำแพง แฝงตัวกลมกลืนไปตามเงามืด จนมาถึงโพรงรูเล็กๆ ข้างกำแพง ที่ถูกปกคลุมด้วยหญ้า เพื่อปิดบังสายตาจากด้านนอก
อินทุภานอนหงาย เท้ายันพื้น ค่อยๆ ไถตัวออกไปอีกฝั่งหนึ่งของโพรง ทันใดนั้นเธอก็สะดุ้งเมื่อมีมือสอดรั้งใต้รักแร้ แล้วดึงเธอออกจากโพรงอย่างรวดเร็ว
“เสียวมี่! ทำฉันตกใจหมดเลย”
“เสี่ยวติง! มาเร็ว!” อินทุภากับเสียวมี่ค่อยๆ ดึงต้นแขนของเขาคนละข้าง หลังจากเห็นเขาไถออกมาจากโพรงได้ครึ่งตัว
เขาลุกขึ้นยืนได้โดยไม่พูดอะไร พยักหน้าให้เดินตาม สองสาวจึงเดินตามหลังเขาไปอย่างกระชั้นชิด
“เราจะไปทางปกติไม่ได้ อาจจะมีพวกมันดักซุ่มอยู่ เราต้องเดินลัดป่าออกไปประมาณสามชั่วยาม จนถึงเนินเขาโล่งแถบตะวันออก ทางนั้นข้าน้อยเตรียมผูกม้ารอไว้แล้ว” อินทุภาพยักหน้ารับรู้
เดินกันมาพักใหญ่ก็พ้นออกนอกแนวป่า จนถึงเนินเขาโล่งกว้าง มีม้าสองตัวผูกไว้ใกล้แท่นหินขนาดใหญ่ อินทุภาบอกให้เสียวมี่ไปกับหยางติง เพราะเขาจะได้คอยป้องกันเผื่อมีอันตราย
หยางติงกับเสียวมี่ขึ้นม้าเรียบร้อย อินทุภาจับสายบังเหียรไว้กระชับมือ เท้าเหยียบบังโคลนเตรียมจะเหวี่ยงตัวขึ้นหลังม้า แต่ทันใดนั้นก็มีชายชุดดำมาล็อกคอเธอไว้จากด้านหลัง หยางติงทำท่าจะโจนลงจากหลังม้า แต่ชายคนนั้นตวาดเสียงลั่นให้หยุด
“หยุด! แล้วลงมาทั้งสองคน ไม่งั้นอีนี่คอหักตาย!”
อินทุภาจับแขนบริเวณข้อศอกของมันไว้อย่างแน่นหนา เพื่อควบคุมไม่ให้แขนที่ล็อกคอไว้แน่นเกินไป ยันเท้าไว้กับพื้น เอนตัวไปทางด้านหลัง แล้วดึงแขนของมันลงมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับย่อเข่าลงพื้น จนมันเสียหลักและล้มลงหงายท้อง แขนที่ล็อกคอไว้หลุดออกในพริบตา
มันรีบพลิกตัวหวังจะลุกขึ้น แต่ปฏิกิริยาของอินทุภาไวกว่า กระโดดตัวลอยวาดขาขวาขึ้นสูง แล้วฟาดหน้าเท้าเข้าที่กกหูซ้ายอย่างหนักหน่วง แรงกระแทกส่งให้ผ้าที่ปิดปากมันไว้หลุดติดปลายเท้าออกไปด้วย
ยังไม่ทันให้มันได้ตั้งหลัก เธอใช้มือซ้ายยันพื้นเป็นแกน เหวี่ยงขาขวาเตะเข้าที่ใต้พับเข่าอย่างแม่นยำ เข่ามันพับทรุดลงทันที
หญิงสาวเคลื่อนไหวต่อเนื่อง บิดตัวเข้าซ้ำ ศอกขวางัดเสยเข้าที่ปลายคางจนหัวมันแหงนเงย ก่อนจะเด้งกลับมาตั้งตรง เธอฉวยโอกาสนั้น เหยียบลงบนขาข้างหนึ่งของมัน เพื่อสร้างแรงส่ง กระโดดขึ้นแล้วใช้เท้าอีกข้างยันไหล่เป็นฐาน
ร่างบอบบางดีดลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะย่อเข่า โถมแรงศอกทั้งสองข้าง กระแทกลงกลางกระหม่อมของมันเต็มแรง
เท้าแตะพื้นไม่ทันไร สันมือเล็กแต่แข็งแรงก็ฟาดเข้าที่กกหูทั้งสองข้างพร้อมกัน แรงกระแทกอย่างหนักหน่วงทำให้มันมึนงง ร่างใหญ่เซโงนเงน เลือดไหลซึมออกจากจมูกข้างหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ล้ม
อย่างนี้ต้องซ้ำ!!
อินทุภาเบี่ยงตัว กระโดดหมุนตัวกลางอากาศ ปลายเท้าขวาหวดเข้าเต็มแรงที่ขมับ แล้วต่อเนื่องด้วยหลังเท้าซ้ายกระแทกเข้าที่ปลายคาง
ร่างของมันหมุนควงตามแรงเตะ เหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม ก่อนจะล้มลงกระแทกพื้น ลงไปนอนแผ่หราราวกับคนสิ้นสติ หญิงสาวถอยออกมาตั้งการ์ด เพื่อเตรียมพร้อม เผื่อมันยังดิ้นรนลุกขึ้นมาได้อีก
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วชั่วพริบตา หยางติงกับเสียวมี่อ้าปากค้าง ไม่คิดว่าคนตัวเล็กบางอย่างอินทุภา จะล้มชายฉกรรจ์ที่ตัวสูงใหญ่กว่าตัวเองได้
“เอ้า! แมลงบินเข้าปากไปแล้วนั่น!”
“ท่านเยว่! ที่ท่านบอกว่าดูแลตัวเองได้ ข้าน้อยก็ไม่คิดว่า จะได้ถึงขนาดนี้! เชื่อแล้วขอรับ!”
“เรารีบไปกันเถอะ!” อินทุภาโดดขึ้นม้าอย่างว่องไว
………………………....
"สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?" หยางติงเอ่ยถามทันทีที่ก้าวลงจากหลังม้า ดวงตาคมกริบกวาดมองไปรอบๆ เห็นทหารสองสามนายเฝ้าอยู่ข้างกายท่านอ๋อง ซึ่งยังคงนอนไม่ได้สติ
"หน่วยลาดตระเวนรายงานว่า พบกลุ่มคนชุดดำราวสามสิบคน กำลังเคลื่อนตัวมาทางนี้ พวกเราต้องรีบพาท่านอ๋อง ออกไปก่อนที่พวกมันจะหาเจอ!" นายทหารที่สวมชุดเกราะรายงานเสียงเครียด
"เรามีทหารคุ้มกันกี่นาย?" อินทุภาหันไปถามหยางติง
"เพียงสิบคนเท่านั้นขอรับ ที่เหลือคงกำลังตามหาพวกเราอยู่" อินทุภานิ่ง สมองกำลังขบคิดอย่างรวดเร็ว พลางเอ่ยเสียงหนักแน่น
"ขอผ้าชุบน้ำ!"
นายทหารรีบส่งให้ เธอรับมาแล้วค่อยๆ ลูบใบหน้า ลำคอ และแขนของท่านอ๋องอย่างเบามือ ขณะที่ปากก็พูดไปด้วย
"ถึงแม้ท่านอ๋องจะฟื้นขึ้นมา แต่ในสภาพนี้ ก็ไม่ต่างจากคนป่วยเท่าไหร่นัก เราต้องทำให้พระองค์คืนสติให้เร็วที่สุด"
เธอวางนิ้วโป้งลงตรงกลางหว่างคิ้ว กดค้างไว้นับสามสิบวินาที ก่อนจะเลื่อนลงมากดบริเวณร่องใต้จมูก จุดนี้... ซุนจ่งซานเคยสอนไว้ว่าเป็นจุดสำคัญที่สุด สามารถปลุกคนที่หมดสติให้ฟื้นคืนได้อย่างปาฏิหาริย์ อินทุภาสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกลุ้นไปกับประสบการณ์ใหม่ ที่เพิ่งจะเคยทดลองเป็นครั้งแรก
สาธุ!! ขอให้ได้ผลทีเถอะ!
แล้วก็เป็นดังคำที่ซุนจ่งซานได้พูดไว้ หยางหมิงอวี้ค่อยๆ ปรือตาขึ้นมอง
“เป่า..เปา” เสียงของเขาเบาและแหบแห้ง
“ฝ่าบาท! หม่อมฉันอยู่นี่!” เธอเอาผ้าลูบหน้าเขาอีกครั้ง เพื่อเร่งให้ตาสว่างขึ้น
“เป่าเปา เจ้าจริงๆหรือ?”
เขาพูดพลางยกมือจับมืออินทุภาที่กำลังเอาผ้าลูบที่ใบหน้าอยู่ แล้วเลื่อนมือจะไปจับที่หน้าผากตรงแถวไรผม ที่มีแผลที่กระแทกกับพื้น เป็นรอยบวมนูนๆ
“อย่าจับเพคะ! เดี๋ยวโดนแผล ฝ่าบาทปลอดภัยแล้ว แต่เรากำลังจะเตรียมเคลื่อนย้ายก่อนพวกมันจะหาเราเจอ ฝ่าบาทพอจะทรงตัวได้หรือไม่เพคะ?”
หยางหมิงอวี้ พยายามทรงตัวนั่ง โดยมีอินทุภาและหยางติงประคองคนละข้าง หยางติงส่งกระบอกน้ำให้อินทุภา เธอค่อยๆ ประคองยกให้เขาดื่ม
“ยังงงอยู่นิดๆ ขอเวลาสักพัก คงพอจะเดินได้”
“เสี่ยวติงไปหาฟาง กิ่งไม้ใบหญ้าอะไรก็ได้ มาให้ได้เท่าขนาดตัวของท่านอ๋อง เราจะแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกจะเอาหุ่นผูกหลังล่อพวกมันให้ไล่ตามไป ส่วนอีกกลุ่มจะพาท่านอ๋องหนีไปอีกทาง” หยางติงเมื่อได้รับคำสั่ง ก็ผลุนพลันออกไปทันที
อินทุภาไม่รอช้า รีบถอดผ้าคลุมและเสื้อตัวนอกของท่านอ๋องออก
ถึงแม้หยางหมิงอวี้จะยังมึนงงอยู่ แต่ก็มองเธอด้วยแววตาขบขัน ปล่อยให้เธอจัดการถอดเสื้อผ้าของเขา โดยไม่กระดากอายสายตาคนรอบข้าง
คนที่อยู่ในถ้ำต่างหันหลังให้ เพราะไม่แน่ใจว่าเธอจะถอดเสื้อผ้าไปถึงชั้นไหน
“เป็นสาวเป็นนาง จับผู้ชายถอดเสื้อผ้าก็ได้หรือ? ใจกล้าเกินไปแล้วนะ” เขาพูดด้วยเสียงแผ่วระโหยดูอ่อนล้า
“แหม ฝ่าบาท! อย่าล้อให้หม่อมฉันรู้สึกอายเลยเพคะ จะใช้คนอื่นทำก็คงไม่ทันใจ หม่อมฉันลงมือเองเร็วกว่า” เธอพูดไปด้วย มือก็ทำงานไม่หยุด
“เรียบร้อยแล้ว! ฝ่าบาทใส่แค่ตัวในก็พอ หม่อมฉันต้องเอาเสื้อไปทำหุ่นปลอม” เธอพูดจบก็ถอดเสื้อคลุมสีดำของตัวเองออกมาให้เขาสวมทับชุดบางสีขาว
หยางติงหอบหญ้าแห้งกอใหญ่เข้ามาพอดี ตามด้วยทหารที่หอบหญ้ามาอีกกอหนึ่ง“ช่วยกันจับหญ้าพันให้เป็นรูปคนเร็วเข้า!” อินทุภาสั่ง แล้วลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่นานก็ได้รูปโครงคล้ายหุ่นไล่กาเธอจัดแจงสวมเสื้อผ้าให้หุ่น ตามด้วยผ้าคลุมที่คลุมตั้งแต่ศีรษะ แล้วผูกตรงคอให้ดูเหมือนศีรษะคนหญิงสาวสั่งการให้ทหารแปดคนรออยู่ที่นี่ โดยให้เอาหุ่นปลอมของท่านอ๋องขึ้นม้าและผูกไว้ด้านหลัง เมื่อศัตรูเข้ามาใกล้ ให้ทหารลาดตระเวนทำเสียงโวยวาย แล้ววิ่งออกไปล่อให้พวกมันไล่ตามส่วนกลุ่มของอินทุภาจะมีทหารสองนายที่เหลือ หยางติง เสียวมี่ และท่านอ๋อง ซึ่งจะออกเดินทางทันทีที่ท่านอ๋องพอจะทรงตัวได้“ไปเถอะ! ข้าพอไหว” หยางหมิงอวี้พูด พร้อมพยุงตัวพยายามลุกขึ้นอินทุภาพยักหน้าให้หยางติงช่วยพยุง แล้วพาท่านอ๋องเดินออกไปด้านนอก เพื่อเตรียมออกเดินทาง""ฝ่าบาท... ไปกับหม่อมฉัน!" อินทุภากระซิบเสียงหนัก รีบพยักหน้าให้หยางติงและนายทหารช่วยกันพยุงท่านอ๋องขึ้นหลังม้า เธอกระโดดขึ้นตามไปนั่งซ้อนหน้า ดึงชายผ้าคลุมมาผูกรัดตัวเองกับหยางหมิงอวี้ไว้แน่น ตอนนี้ไม่มีที่ว่างให้ความลังเล มีแต่ทางรอดเท่านั้น! "เราต้องรีบพาท่านอ๋องกลับค่าย ที่นั่นปล
อินทุภาทายาที่แผลบนศีรษะเสร็จแล้ว ก็ถอยมานั่งอยู่ข้างเตียง มองคนป่วยที่กำลังหลับใหลด้วยฤทธิ์ยานอนหลับ หลังจากที่หมอเข้ามาดูอาการ ได้เขียนเทียบยาไว้หลายอย่าง ทั้งยากินและยาทา พวกยาสมุนไพรทั้งก่อนและหลังอาหาร เธอเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ที่ต้องทายาพวกแผลเล็กแผลน้อยที่อยู่ภายใต้เสื้อผ้าเท่านั้น ซึ่งก็คงต้องรอให้หยางติงมาจัดการ “ฝ่าบาท!!” หยางติงวิ่งเข้ามาในกระโจมอย่างกระหืดกระหอบ“ท่านเยว่! ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”“กระดูกไม่หัก ไม่มีบาดเจ็บภายใน มีแต่แผลที่ศีรษะ กับอาการปวดระบมตามเนื้อตัว และมีแผลภายนอกนิดหน่อย พักฟื้นสักระยะก็ดีขึ้น แต่นายต้องคอยดูแลทายาให้พระองค์ด้วย” เธอพูดเสร็จก็หยิบกระปุกยาส่งให้หยางติงไม่ได้รับยาไป แต่ยกมือประสานคำนับและคุกเข่าลงข้างหนึ่งกับพื้น“อภัยให้ข้าน้อยด้วย! ที่ดูแลท่านเยว่กับท่านอ๋องได้ไม่ดี”“ไม่เป็นไร มันเป็นเหตุสุดวิสัย แล้วท่านอ๋องก็ปลอดภัยแล้ว” เธอพูดพร้อมดึงตัวให้เขาลุกขึ้น“พวกเราพยายามช่วยกันออกตามหา เจอดักซุ่มโจมตีหลายแห่ง จนมาพบกันจนได้” เขายิ้มจนตาหยี “ข้าน้อยมาทันได้เห็นธนูดอกสุดท้ายปักอกพวกมันร่วงจากหลังม้า ยังมีอีกสองสามคน
อินทุภาตัวอ่อนอยู่ในอ้อมแขนของเขา หยางหมิงอวี้เองก็ยังไม่อยากเคลื่อนไหว หัวใจเขาเต้นแรง หายใจแรงจนหอบ สักพักก็พลิกตัวนอนหงาย รั้งร่างโปร่งบางให้พลิกตามลงมานอนตะแคงก่ายเกยอยู่ครึ่งๆ บนร่างของเขา ขาของเธอเบียดชิดจนเขารู้สึกอบอุ่นและชุ่มชื้นในซอกลี้ลับ เขาลูบหลัง เลยมาถึงต้นขา ลูบไปมาเป็นจังหวะ ปลอบโยนให้เธอหายอ่อนเพลีย“เป่าเป้ย์” เขาพึมพำ “น่ารักไปทั้งเนื้อทั้งตัว ตั้งแต่หัวจดเท้า เนื้อนุ่มหอม แล้วก็หวาน” หยางหมิงอวี้จูบเบาๆ ที่หน้าผาก ระเรื่อยมาที่ขมับ แล้วขยับผ้าห่มมาคลี่คลุมตัว ถ้าเหงื่อแห้งอาจตัวเย็น สะท้านและไม่สบายได้หญิงสาวซุกตัวเข้าแอบอกเขา สักครู่ก็ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอเป็นจังหวะ แสดงว่าหลับไปแล้ว เขายิ้มคนเดียวในความมืด ตัวนิดเดียวแค่นี้ แต่ให้ความสุขแก่เขาได้อย่างมากมายเหลือเกิน สะโพกของเธอเพรียวและตึง ดูว่าเล็กกะทัดรัดแต่ก็รับน้ำหนักของเขาไว้ได้อย่างมั่นคง ความกระชับแน่นของกล้ามเนื้อทำให้เขารู้สึกเสียวซ่านอยู่ตลอดเวลามือของเขาลูบไล้แผ่นหลังอยู่ไปมานั้น เลยไปถึงสะโพกกลมมน รู้สึกรักทุกอย่างที่ประกอบกันเป็นตัวเธอ เขาไม่มีวันปล่อยให้หนีหายไปจากเขาอีกแล้ว อินทุภาจะเป็นผู้
“อินทุภา!”“หือ?”“เยว่อิง!” “ใครเรียกเนี่ย? จะเล่นซ่อนแอบกับฉันเหรอ?” อินทุภาพยายามชะเง้อมองรอบตัว แต่ก็เห็นแค่หมอกหนาทึบเต็มไปหมด“ยัยจอมลวงโลก! ทำผิดสัญญา!”“เฮ้! นายเป็นใคร? จู่ๆ ก็มากล่าวหาว่าโกหกเลยเหรอ? ฉันไปสัญญาอะไรกับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”“ก็บอกว่าจะช่วยฉันกลับบ้านไง! ลืมอีกแล้วเหรอ? ยัยคนเบี้ยวสัญญา! จอมโกหก!”“ฉันเนี่ยนะ? ไปสัญญาตอนไหน? หลักฐานไม่มีอย่ามาใส่ร้ายกันนะ! แน่จริงก็ออกมาคุยกันซึ่งๆ หน้าสิ!” อินทุภาเริ่มหงุดหงิด หมุนตัวไปมาแต่ก็ยังไม่เห็นใคร “โอเคๆ ยอมแล้วจ้า... สรุปต้องทำไง เธอถึงจะออกมา? มีอะไรให้ช่วยก็บอกมาดีๆ เถอะน่า” อินทุภาถอนหายใจ หมุนมองไปรอบตัวอีกครั้ง หมอกเริ่มจางลง แต่ก็ยังไร้เงาของเสียงประหลาดนั่น“อยู่ตรงนี้ไง ยัยทึ่ม!” อินทุภาสะดุ้ง หันขวับไปมอง แต่ก็ยังว่างเปล่า ได้ยินแต่เสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายดังชัดเจน“ตรงนี้! มองลงมาข้างล่าง!” อินทุภาเลยก้มลงมอง แล้วก็ต้องอ้าปากค้าง แมวดำตัวจิ๋วตาโตเหมือนใส่บิ๊กอายส์สีเหลืองทองกำลังจ้องเธออยู่“มะ... แมวพูดได้!” อินทุภาชี้หน้าแมวน้อยอย่างตกใจ“แหม! ข้ามเวลายังทำได้เลย กะอีแค่แมวพูดได้ต้องตกใจขนาด
เปรี้ยงงง!! เปรี้ยงงง!! ครืนนน!!"กรี๊ดดด!!" หญิงสาวกำลังอยู่ในภวังค์ความคิด จู่ๆ ฟ้าก็ฟาดลงมาอีก เสียงดังสนั่นกว่าเดิม ราวกับว่าอยู่ใกล้ๆ รถม้านี่เองเอ๊ะ! เสียงหายไปไหน?หญิงสาวร้องจนสุดเสียง แต่กลับไม่ได้ยินเสียงตัวเอง เธอลองตะโกนอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงออกมาเช่นเดิมอะไรกันนี่!?! น่ากลัวกว่าฟ้าอีกตอนนี้! เกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่!?! ตั้งแต่ถูกวางยา ถูกจับมาอย่างไม่รู้ตัว แล้วนี่เสียงก็หายไปอีก!!ผ้าม่านที่บังไว้ครึ่งๆ ถูกตวัดให้เปิดออกโดยมือของคนผู้หนึ่ง เขาชะโงกหน้าเข้ามามองใกล้ๆ แล้วก็ทำหน้าตื่นตะลึง ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นคนด้านในชัดเจน จากนั้นก็ถอยหลังออกไป เสียงสั่งการปนเปกับเสียงฝน ฟังไม่ออกว่ากำลังพูดอะไรกันสักพักใหญ่ๆ รถม้าก็มีความเคลื่อนไหว เหมือนมีคนกำลังพยายามช่วยกันจับพลิกให้รถม้าตั้งขึ้นจากภายนอก แต่พอตั้งตรงได้เพียงชั่วครู่ ก็โยกโคลงเคลงพร้อมกับเลื่อนตัวลงเอียงไปข้างหนึ่งเสียงผู้คนภายนอกเอะอะ ตะโกนกันวุ่นวาย แล้วผ้าม่านก็เปิดออกอีกครั้งหนึ่ง“ไม่ไหว! รถม้าคันนี้ใช้งานไม่ได้แล้ว เจ้าคงต้องเปียกเสียแล้วล่ะ ออกมาเถอะ! พวกเราจะไปกันแล้ว!” เขาพูดแล้วออกไปเธอพยายามจะบอก
ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเฉียดใกล้หัวใจเขามาก่อน ตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่มมา เขาไม่เคยหลงใหลคลั่งไคล้ผู้หญิงคนไหน ถึงขนาดอยากได้จวนเจียนจะคลั่งขนาดนี้มาก่อนเลยชายหนุ่มเดินหายเข้าไปในห้องชั้นใน กลับออกมาพร้อมผ้านุ่มผืนหนึ่ง โยนโปะลงบนศีรษะของหญิงสาว วางเสื้อคลุมสีขาวพาดไว้ใกล้ๆ ขานวล แล้วเขาก็เดินหายเข้าไปในห้องเดิมอีกอินทุภารีบเดินไปหลังผ้าม่าน ถอดชุดเปียกอย่างว่องไว แล้วรีบสวมเสื้อคลุมทับผูกเอวไว้แน่น เหลือบราลูกไม้กับกางเกงชั้นในไว้ ช่างมันเถอะ! ใส่เปียกๆ แบบนั้นไว้แหละ อย่างน้อยก็อุ่นใจ ดีกว่าปล่อยให้มันโล่ง!เขากำลังเปลี่ยนชุดเป็นผ้าแห้ง แต่ความคิดก็ยังวนเวียนเกี่ยวกับสาวน้อยที่อยู่นอกห้อง เขาเคยเจอประเภทที่เล่นตัว ออกฤทธิ์มากเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา แต่พอลงเตียงแล้ว จากเสือกลายเป็นนางแมวสวาทเชื่องๆ ทำให้เขาหมดความสนใจไปเลย ราวกับว่าไอ้ฤทธิ์ที่แสดงออกมาก่อนหน้านั้น ทำไปแค่พอเป็นพิธีแต่กับสาวน้อยตัวเล็กคนนี้ เหมือนว่าเขาจะถูกปราบเสียเองแล้ว เขาอยากตามใจเธอทุกอย่าง อยากได้อะไรก็จะประเคนให้ทั้งหมด ขอแค่เธออยู่กับเขา อยู่รักเขา และให้เขาได้รักหญิงสาวทำให้เขารู้สึกว่า เดินก้มหน้าบนทางเด
เสวี่ยเจี้ยนพาสองสาวมาที่ตลาดตะวันตก ซึ่งเป็นตลาดใหญ่และมีชื่อเสียงในเมืองหยางซื่อ อินทุภาเดินอยู่ตรงกลางระหว่างสองพี่น้อง มีสาวใช้เดินตามสามคน ยังมีคนงานผู้ชายที่ขับรถม้าตามมาด้วยอีกสองคนที่ด้านหลังระหว่างที่นั่งรถม้ามาด้วยกัน จือซาบอกว่า เสวี่ยเจี้ยนเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังแล้ว เธอเคยศึกษาวิชาแพทย์มาบ้าง มาในตัวเมืองหนนี้ จะซื้อสมุนไพรไปปรุงยาแก้พิษให้จือซา เป็นลูกครึ่งชาวตังกุส บิดาเป็นชาวแคว้นฉิน ส่วนมารดาเป็นชาวแคว้นฉิวซี และมารดาของหญิงสาวกับบิดาของเสวี่ยเจี้ยนก็เป็นพี่น้องกันในตัวเมืองหยางซื่อผู้คนพลุกพล่านมากมาย เพราะเป็นเมืองหน้าด่าน และเป็นทางผ่านเส้นทางสายไหม เลยมีทั้งคนพื้นเมืองและชาวต่างประเทศ และชนเผ่าน้อยใหญ่ที่อยู่นอกด่าน อีกทั้งเมืองนี้ เป็นเมืองปลอดภาษี จึงมีสินค้าที่มาจากหลายวัฒนธรรมหลายเชื้อชาติอยู่มากกมาย และเรียกขานย่านนี้ว่า..’ตลาดตะวันตก’อินทุภาสะดุดตาร้านขายเครื่องประดับ ซึ่งเป็นแผงเล็กๆ อยู่ด้านหน้าภัตตาคารขนาดใหญ่ จึงชวนจือซาเข้าไปดู แต่แล้วเธอก็ต้องเบิกตากว้าง ชาวาบในอกอยู่ชั่วขณะ เพราะภัตคารแห่งนี้ คือร้านอาหารเฟินเยว่ที่หยางหมิงอวี้เคยกล่าวถึง ซึ่งก
เสียวมี่สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาจากหลับใหล แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อมีเงาเคลื่อนออกมาจากฉากกั้น รีบลนลานลุกพรวดขึ้นนั่งบนเตียง เมื่อจำได้ว่าคนที่ยืนอยู่กลางห้องคือใคร"นะ..นายท่านหงส์!!" เธอเบิกตากว้างด้วยความกลัว"ยังจำได้อยู่หรือ ว่าข้าเป็นใคร!!" เขาตวาดเสียงดังลั่น"ข้า..ข้า" เธอตัวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้"อย่ามาเล่นลูกไม้กับคนอย่างข้า คนล่ะ? หายไปไหน?" เขาตวาดอย่างโกรธจัด"ขะ..ข้าไม่รู้..ข้าไม่รู้จริงๆ นายท่าน!" เธอปากสั่นจนฟันกระทบกัน เนื้อตัวสั่นเทารุนแรงด้วยความกลัวเขาตบฉาดไปที่ใบหน้าหญิงสาว หน้าขาวนวลขึ้นรอยนูนแดงชัดเจน"อย่ามาทำตอแหล! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ว่าเจ้ากำลังจะทำอะไร!!""ก็ข้ารักเขา!! แล้วนังผู้หญิงคนนั้นมันก็แย่งคนของข้าไป!" เธอปากสั่น เริ่มพูดความรู้สึกที่แท้จริง"หึๆๆ รักงั้นรึ?" เสียงหัวเราะของคนตรงหน้า ทำให้เสียวมี่รู้สึกขนลุก"อย่าลืมสิว่า เจ้าเป็นผู้หญิงของข้า!" เขาจับคางใช้สองนิ้วบีบไว้โดยแรง "นอกจากข้าแล้ว เจ้ามีสิทธิ์แสดงความรู้สึกกับใครได้งั้นรึ!!""ท่านบังคับร่างกายข้าได้! แต่บังคับหัวใจของข้าไม่ได้!" เสียวมี่เชิดหน้าอย่างถือดีนัยน์ตาของเขาฉายแสงวาบขึ้น
ภายใต้การวางแผนยุทธศาสตร์ขององค์ชายซุน และการบัญชาการโดยตรงของฮ่องเต้ซุนตี้ชุน สงครามครั้งใหญ่ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน บัดนี้ได้กลายเป็นการประหัตประหารอย่างโหดเหี้ยม กองทัพมหึมาของแคว้นซ่ง แคว้นคัง และแคว้นเป่ยเหลียง ต่างพ่ายแพ้ย่อยยับ ทหารนับไม่ถ้วนล้มตายเกลื่อนกลาด ผู้ที่รอดชีวิตมีไม่ถึงหนึ่งในสิบ อำนาจของแคว้นเชี่ยแผ่ขยายรวดเร็วจนน่าตระหนก เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เหล่าแม่ทัพและทหารแคว้นเชี่ยไม่เคยคิดเลยว่า การพิชิตแคว้นหนึ่งจะง่ายดายถึงเพียงนี้ กลิ่นคาวเลือดแห่งชัยชนะ ปลุกโหมกำลังใจให้ลุกโชนดั่งเปลวเพลิง ธงของแคว้นเชี่ยสะบัดพลิ้วอยู่เบื้องหน้ากองทัพเสมอ ดั่งสัญลักษณ์แห่งชัยชนะอันมิอาจต้านทาน ฮ่องเต้ซุนตี้ชุนและองค์ชายซุน ได้กลายเป็นวีรบุรุษสงครามในสายตาทหารหาญทุกผู้คน ท่ามกลางความตระหนกหวาดกลัวทั่วหล้า แผ่นดินถูกย้อมแดงด้วยโลหิตสุดลูกหูลูกตา เงาทมิฬแห่งสงครามแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ โดยมีแคว้นเชี่ยเป็นศูนย์กลาง กองทัพเดินหน้าขยายอาณาเขตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่า แผนยุทธการขององค์ชายซุน จะนำพาแคว้นเชี่ยสู่ชัยชนะได้ในเวลาอันสั้นเพียงนี้ สองฟากถนนเต็มไปด้วยซากศพและโครงกระดูก
ก่อนที่อินทุภาจะไปวังหลวงคราวก่อน ช่วงที่ซ่อมกำแพงเมือง ได้สั่งให้ช่างทำห้องใต้ดินใต้คลังเสบียงไว้ด้วย จึงได้ใช้ในช่วงเวลาที่มีศึกสงครามเช่นนี้ เธอทำเสบียงลวงไว้ชั้นบน แต่เก็บเสบียงทั้งหมดไว้ชั้นใต้ดิน เพื่อป้องกันศัตรูบุกเผาทำลาย และทำทีว่าป้องกันหละหลวมสร้างอุบายลวง แต่ทุกจุดสำคัญของเมือง มีทหารสอดแนมของกองทหารพิเศษคอยจับตาอยู่หยางติงเข้ามารายงานข่าวจากทหารสอดแนม ว่ากองทัพเชี่ยมีกำลังพลประมาณสองแสนสามหมื่น แต่ได้แบ่งออกเป็นสามทัพดังที่อินทุภาคาดไว้ แต่ทั้งสามทัพนี้ มิได้ยกมาพร้อมกัน และเดินทัพทิ้งระยะห่างกันมาก โดยที่ทัพหน้ามีกำลังพลประมาณสามหมื่น ซึ่งทัพหน้านี้คงจะเป็นการบุกแบบหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ อีกสองทัพแบ่งเป็นทัพละหนึ่งแสน ทัพสองแน่นอนว่าใช้ตัดกำลัง และทัพสามคงจะมุ่งหวังโจมตีเต็มที่อินทุภาเลยคิดแผน จากการที่ศัตรูเดินทัพ ทิ้งระยะห่างกันเกินไปนี้ มาใช้ประโยชน์ โดยจะใช้กลยุทธ์ในตำราพิชัยสงครามเจ็ดตำนานชื่อว่า..’ลับลวงพราง’โดยให้หยางติง นำทัพแรกกำลังพลหนึ่งหมื่นนาย ประกอบไปด้วยกองปืนคาบศิลา พลธนู กองทะลวงฟัน หรือกองทหารพิเศษเคลื่อนที่เร็ว ไปดักซุ่มโจมตีทัพหน้า โดยต้องรีบออกเดินทา
พอลับสายตาจากภายนอก เขาก็สอดมือรั้งท้ายทอยหญิงสาวเข้าชิด แล้วจู่โจมริมฝีปากอวบอิ่มแทบจะในเสี้ยววินาที อย่างเร่าร้อนหนักหน่วง ราวกับว่าเธอคือลมหายใจสุดท้าย ที่เขาโหยหามาตลอดชีวิต มือข้างหนึ่งกอดเอวบอบบางไว้แน่น อีกข้างจับท้ายทอยให้ขยับมุมตามริมฝีปากของเขา อินทุภาตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่สุดท้ายก็หลับตาพริ้ม จูบตอบจุมพิตที่แสนรัญจวนใจนี้ด้วยความยินยอม มือไม้เผลอไผลเกาะลำคอเขาไว้แน่น ลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวไปจนหมด"ฝ่าบาท.." อินทุภาครางเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระชั่วครู่ ก่อนจะจุมพิตเขาด้วยความโหยหาไม่ต่างกัน ปลายลิ้นของเธอถูกเขาดึงดูดเข้าหาราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาล เขาถอนริมฝีปากมาซุกไซ้ที่ซอกคอ เธอเลยกัดที่คอเขาเบาๆ แล้วเลื่อนมากัดที่ปลายคาง ขบเม้มดูดดุนไปทั่วซอกคอ ในขณะที่อีกมือค่อยๆ ดึงสายรัดเอวของเขา แหวกสาบเสื้อให้เปิดออกกว้าง"เมียรัก.." เขาพูดเสียงเบาเหมือนคนละเมออินทุภาแลบปลายลิ้นเลียลิ้มชิมรสยอดอกสีชมพูคล้ำ สองนิ้วเค้นเขี่ยเม็ดตุ่มสีสวยอีกข้าง เรียกเสียงครางครวญจากอีกฝ่ายให้หอบหนักขึ้น ตามอารมณ์ที่กำลังไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ขณะที่อีกมือก็ค่อยๆ คลายสายรัด จนทำให้ขอบกางเกงขยายออ
“ท่านอ๋อง! ท่านเยว่! มีสาส์นด่วนจากวังหลวงขอรับ!” อินทุภาหยิบมาให้หยางหมิงอวี้ แล้วพยักหน้าให้ทหารส่งสาส์นออกไปได้“ฝ่าบาทมีคำสั่ง ให้นำทัพฉิวซีหนึ่งแสน ไปช่วยแคว้นฉินต้านกองทัพเชี่ย!” หยางหมิงอวี้อ่านสาร์นให้ฟัง“โอ้ว มาย!! อุบายตีใกล้แสร้งไกลสินะ!” มุมปากอินทุภาเชิดเล็กน้อย‘กลยุทธ์ตีใกล้แสร้งไกล’ คือ การทำให้ศัตรูเข้าใจผิดว่าเป้าหมายของเราคือที่ไกล แต่แท้จริงแล้วเป้าหมายที่แท้จริงคือมุ่งโจมตีจุดที่อยู่ใกล้ โดยใช้กลลวงหรือเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อให้ศัตรูตัดสินใจผิดพลาด และเปิดช่องโหว่ให้เราจู่โจมได้สำเร็จ“ใช่! ทำลวงประชิดแคว้นซ่ง แต่ตั้งใจโจมตีแคว้นฉิน! ด้วยทหารหนึ่งแสนห้าหมื่น แต่ดูจากข้อมูลล่าสุด แคว้นเชี่ยมีทหารประมาณสี่แสนกว่า แต่แบ่งกำลังไปเพียงแสนห้า เกรงว่าจะมีแผนซ้อนแผนแน่แล้ว!”"เหมือนกับกลยุทธ์ล้อมเวยช่วยจ้าวใช่ไหมเพคะ?"“คิดเหมือนกัน! เขาวางแผนยิงธนูดอกเดียวได้เหยี่ยวสองตัว ลวงว่าจะตีแคว้นฉินแต่จริงๆ แล้วจะอ้อมหลังบุกต้าฉิวซี และเพื่อให้ฉิวซีส่งกำลังไปช่วย ซึ่งแน่นอนว่าข้าต้องเป็นผู้บัญชาการทัพ หยางซื่อก็จะร้างผู้นำ พอเหมาะพอดีสำหรับทัพอีกสองแสนที่เหลือจะบุกโจมตี!”‘ล้อมเ
ท่ามกลางม่านอวกาศอันมืดมิด ดวงดาวสุกสกาวแข่งกันส่องแสง สลับกับความว่างเปล่าของจักรวาล เบื้องหลังเสียงสะท้อนของกาลเวลา แสงสีดำหม่นค่อยๆ คืบคลานกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ราชาดาวนิลได้ลงมือแล้วตูมมมมมม!!!เสียงระเบิดดังสนั่นจากท้ายยาน คลื่นพลังมหาศาลซัดกระแทกยาน จนสะเทือนรุนแรง แทบจะฉีกทุกสิ่งออกเป็นเสี่ยงๆ ควันและเปลวเพลิงพวยพุ่งผ่านกระจกห้องควบคุม ภายในห้อง ทุกอย่างอยู่ในสภาพเละเทะ ไฟลุกไหม้ตามแผงควบคุม ตัวเลขสีแดงกะพริบแจ้งเตือนระดับพลังงานที่ลดฮวบ “เรากำลังจะตกแล้ว!” เอกิลตะโกนลั่น พยายามกดแป้นควบคุม เพื่อรักษาสมดุลของยาน แต่มันไม่ตอบสนอง “ถ้ายานชนพื้นโลกในสภาพนี้ พวกเราคงไม่มีใครรอดแน่ๆ!” มูลาหันไปมองลูน่า ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ลูน่ากัดฟันแน่น ขณะเอื้อมมือที่สั่นระริก กดปุ่มปลดล็อกกลไกฉุกเฉิน กริ๊ก!แคปซูลหลบหนีสี่ลูกค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาจากพื้น ม่านพลังสีทองเริ่มก่อตัวรอบแคปซูล เรกิที่แม้จะบาดเจ็บ แต่ก็ยังพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นมา“ลูน่า! อย่าคิดจะทำแบบนี้นะ!” เรกิรู้ดีว่า ลูน่ากำลังตัดสินใจจะทำอะไร “มีคนหนึ่งต้องอยู่คุมยาน” ลูน่ากล่าวเสียงแข็ง “ฉันจะไม่ปล่อยให้พวกเราต้องตายไปพร้อม
จือซาลืมตาตื่นก็เห็นร่างของบุรุษนอนอยู่เคียงกัน เธอขยับตัวไม่ได้เพราะถูกแขนของเขาพาดทับตัวไว้ หญิงสาวรีบสำรวจตนเอง แล้วก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอกที่ยังอยู่ในสภาพเสื้อผ้าปกปิดมิดชิด จึงค่อยๆ ยกแขนเขาขึ้นแล้วขยับตัวออก พยายามดึงชายกระโปรงออกจากร่างของเขา ที่นอนทับอยู่แต่ไม่สำเร็จ เขายังนอนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับอดหลับอดนอนมาหลายวันเอ.. หรือที่หนิวกงกงเล่าจะเป็นเรื่องจริง!หนิวกงกงบอกว่าตั้งแต่ฮองเฮาสิ้นพระชนม์ ฝ่าบาทก็เป็นโรคนอนไม่หลับ เคยบรรทมนานสุดแค่สองชั่วยามต่อวันเท่านั้นแต่ดูตอนนี้สิ!..นัยน์ตาแววหวานอ่อนโยนลง เธอขยับตัวเล็กน้อย เพื่อให้นอนมองหน้าอีกคนได้ชัดเจนขึ้น พร้อมอมยิ้มบางๆ กับท่าทางการนอนหลับปุ๋ยเหมือนเด็กน้อยของเขา มือเรียวบางลูบกลุ่มผมเด็กน้อยตรงหน้าเบาๆ พลางสงสัยว่าเขานอนคว่ำแบบนี้จะหลับสบายหรือเปล่า"ฝ่าบาท!" หนิวกงกงเรียกตรงหน้าประตูด้านในจือซารีบหันไปมองที่ประตูห้อง ส่งสายตาดุไปให้หนิวกงกง พร้อมทำท่านิ้วชี้ปิดปากเป็นสัญญาณว่าห้ามส่งเสียงดัง หนิวกงกงพยักหน้าว่าเข้าใจ ค่อยๆ ละจากหน้าประตูมาหยุดอยู่ใกล้ที่บรรทม "แม่นางจือซา! ได้เวลาเสวยพระกระยาหารเย็นแล้ว ไม่ทราบว่าจะปล
อินทุภาก้าวเข้าสู่ห้องคุมขังอย่างสง่างาม ใบหน้าเรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยอำนาจ ชุดสีเงินปักลายนกหลวนเฟิ่งสีน้ำเงินสะท้อนแสงไฟอ่อนๆ คล้ายหงส์ฟีนิกซ์ที่แผ่รัศมีเหนือผู้อื่น สนมเซียวที่นั่งอยู่ภายในมุมมืดเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและแววอริที่ไม่คิดปิดบังอีกต่อไป "มาทำไม? จะมาเยาะเย้ยข้ารึ?" นางแค่นเสียงถามด้วยความชิงชัง อินทุภาเพียงแค่ยิ้มบางเบา "ได้ข่าวว่าท่านตั้งครรภ์" สนมเซียวแค่นหัวเราะ มุมปากยกขึ้นในลักษณะเยาะเย้ย "เรื่องของข้าไม่เกี่ยวกับเจ้า!!" เสียงของนางแหลมขึ้น พยายามใช้ตำแหน่งเหนือกว่ากดอีกฝ่ายให้ต่ำลง แต่ท่วงท่ายืนของอินทุภายังคงสง่างาม มือแตะกันไว้ที่ระดับเอว แผ่นหลังตรงราวกับไม่มีสิ่งใดมากดทับ ดวงตาเรียบนิ่ง รัศมีนางพญาแผ่ซ่านโดยธรรมชาติ "แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่อยากข้องเกี่ยวกับท่านนัก แต่ข้ารับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้มาพูดกับท่าน จึงเห็นว่าลองเจรจากันดีๆ สักครั้งก็คงจะดีกว่า" สนมเซียวกำหมัดแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยความเคียดแค้น "ผู้ชนะย่อมได้ทุกสิ่ง! ตอนนี้เจ้าคงสุขใจมากสินะ? ไม่ต้องมาทำเสแสร้งต่อหน้าข้า! ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะซ้ำเติมให้สาสม!" "นั่นเป็นสิ่ง
"เยว่อิง!..มาแล้วรึ หมิงอวี้เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟัง ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ!” ฮ่องเต้ถอนพระทัย"ความลำบากนี้ เทียบกันไม่ได้เลย กับสิ่งที่ฝ่าบาทออกหน้าเพื่อปกป้องหม่อมฉัน มิหนำซ้ำยังเสียสละองค์เอง เป็นเหยื่อล่อคนที่คิดร้ายต่อบ้านเมือง ทำให้ชาวประชาพ้นภัย พวกเราซึ้งในพระมหากรุณายิ่งนัก ต่อให้ต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องฝ่าบาท หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ""ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา!" หยางหมิงอวี้ประสานมือคำนับ ฮ่องเต้ยิ้มอย่างอ่อนโยน“ข้าอาจไม่ใช่ฮ่องเต้ที่แข็งแกร่ง แต่จะพยายามเป็นฮ่องเต้ที่ดี! เอาล่ะ!..หยางหมิงอ๋อง..หยางเยว่อิงรับราชโองการ!” ฮ่องเต้หยางอี้ยิ้มนิดหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวต่อ "แม่ทัพหยางอารักขาข้า รบอย่างกล้าหาญ ทำให้กองทัพแคว้นฉิวซียิ่งใหญ่ วันนี้เรามีราชโองการแต่งตั้งให้หยางหมิงอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทน พระราชทานป้ายทองเว้นโทษตาย!”ฮ่องเต้หันมองมาทางอินทุภา“หยางเยว่อิง! ปราชเปรื่องกล้าหาญ เป็นนักวางกลยุทธ์ที่เยี่ยมยอด เปี่ยมด้วยเมตตา สนับสนุนหยางหมิงอ๋องให้ได้ชัยชนะ บัดนี้ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นพระชายา และรั้งตำแหน่งเป็นไท่เว่ย (ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดดูแลราชการฝ่ายทหาร เทียบเท่าส
"ก่อนอื่นเราต้องหาอุปกรณ์ทำมาหากินเสียก่อน!" หญิงสาวเชิดยิ้มมุมปากข้างหนึ่งเล็กน้อย ยืนกอดอกเก็กท่าเป็นกูรู อยู่หน้าร้านขายเครื่องดนตรี"กะลา?" ขอทานน้อยสงสัย"เฮ่ย! นั่นมันอุปกรณ์เก็บเงินตะหากเล่า! วันนี้เราจะเป็นขอทานเปิดหมวกกัน ตามข้ามา!!" หญิงสาวกอดคอขอทานน้อย พาเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องดนตรีอย่างมั่นใจ แต่ยังไม่ทันที่เท้าจะเหยียบผ่านธรณีประตู ก็ถูกเถ้าแก่ไล่เสียแล้ว"ไป! ไป! ออกไป! ไปขอทานที่อื่น! ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาเดินเข้าออกได้อย่างสบายใจได้นะ!!""เถ้าแก่! ข้าไม่ได้มาเดินเล่น ข้ามาซื้อของ!""น้ำหน้าอย่างพวกเจ้า! จะมีปัญญาเอาเงินที่ไหนมาซื้อ เก็บไม่กี่อีแปะเอาไว้กินข้าวเถอะ!! ไปๆ! ออกไป!" หน้าตาท่าทางเกรี้ยวกราด ดุดัน แบบไม่มีทีท่าว่าจะประนีประนอมเฮอะ!! ขอทานก็มีต่อมดนตรีนะลุง!!อินทุภาหันหลังเดินออก แต่พอก้าวออกมาได้เพียงสามก้าว สายตาก็ปะทะเข้ากับร้านขลุ่ยแผงลอยฟากตรงข้าม หญิงสาวดีใจวิ่งตรงดิ่งไปทันที แล้วหยิบขลุ่ยขึ้นมาเลือกรูปแบบ เลือกความถนัดมือ และกำลังจะยกขลุ่ยขึ้นแตะขอบปาก เพื่อจะทดสอบเสียง พลันนึกขึ้นได้ จึงหันไปมองลุงพ่อค้าที่มองมายิ้มๆ อย่างใจดี"ท่านลุง!