เสียวมี่สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาจากหลับใหล แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อมีเงาเคลื่อนออกมาจากฉากกั้น รีบลนลานลุกพรวดขึ้นนั่งบนเตียง เมื่อจำได้ว่าคนที่ยืนอยู่กลางห้องคือใคร"นะ..นายท่านหงส์!!" เธอเบิกตากว้างด้วยความกลัว"ยังจำได้อยู่หรือ ว่าข้าเป็นใคร!!" เขาตวาดเสียงดังลั่น"ข้า..ข้า" เธอตัวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้"อย่ามาเล่นลูกไม้กับคนอย่างข้า คนล่ะ? หายไปไหน?" เขาตวาดอย่างโกรธจัด"ขะ..ข้าไม่รู้..ข้าไม่รู้จริงๆ นายท่าน!" เธอปากสั่นจนฟันกระทบกัน เนื้อตัวสั่นเทารุนแรงด้วยความกลัวเขาตบฉาดไปที่ใบหน้าหญิงสาว หน้าขาวนวลขึ้นรอยนูนแดงชัดเจน"อย่ามาทำตอแหล! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ว่าเจ้ากำลังจะทำอะไร!!""ก็ข้ารักเขา!! แล้วนังผู้หญิงคนนั้นมันก็แย่งคนของข้าไป!" เธอปากสั่น เริ่มพูดความรู้สึกที่แท้จริง"หึๆๆ รักงั้นรึ?" เสียงหัวเราะของคนตรงหน้า ทำให้เสียวมี่รู้สึกขนลุก"อย่าลืมสิว่า เจ้าเป็นผู้หญิงของข้า!" เขาจับคางใช้สองนิ้วบีบไว้โดยแรง "นอกจากข้าแล้ว เจ้ามีสิทธิ์แสดงความรู้สึกกับใครได้งั้นรึ!!""ท่านบังคับร่างกายข้าได้! แต่บังคับหัวใจของข้าไม่ได้!" เสียวมี่เชิดหน้าอย่างถือดีนัยน์ตาของเขาฉายแสงวาบขึ้น จ
อินทุภาสังเกตอากัปกิริยา ของพนักงานแต่ละคนภายใต้ผ้าคลุมหน้าได้อย่างชัดเจน หลังจากที่ได้รับรู้การเปลี่ยนแปลงของเฟินเยว่เหลาจากหยางหมิงอวี้ ทุกอย่างจะขึ้นตรงกับเธอ ส่วนเขาจะอยู่ในฐานะที่ปรึกษาเท่านั้นอินทุภาเริ่มงานแรก โดยขอตรวจบัญชีทั้งหมดของร้าน ให้ผู้รับผิดชอบส่งมอบภายในสามวันนับจากวันนี้ แล้วค่อยมาคุยรายละเอียดกันอีก ในครั้งต่อไป หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว เหลือเพียงสาวน้อยนางหนึ่ง ที่อินทุภารู้สึกว่าเธอให้ความเป็นมิตร และน่าคบหาที่สุด แต่อินทุภาก็ให้ใจแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เพราะเข็ดประสบการณ์จากการไว้ใจเสียวมี่มาแล้ว“ข้ารู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ท่านเฟินเยว่เป็นใคร!” เธอเข้ามากระซิบกระซาบใกล้ๆ ซึ่งขณะนี้หยางหมิงอวี้ไม่อยู่ในห้องหืม..!?!“รู้ได้อย่างไร มีตาทิพย์อย่างนั้นรึ?” เธอถามยิ้มๆ“ข้าเคยพบท่านเยว่เมื่อตอนเด็กๆ ท่านอาจจะจำข้าไม่ได้ แต่ข้าจำท่านได้ไม่เคยลืม แต่ท่านวางใจเถอะ รับรองไม่ปริปากบอกใครอย่างเด็ดขาด!”“เดี๋ยวนะ! เจ้าชื่อหวางเหยียนถง ลูกสาวท่านป้าเถียนหรือเปล่า? พี่สาวเสี่ยวเถา!”“เทียน-นา!! สมกับเป็นผู้รอบรู้ ข้าน้อยนับถือ! นับถือ!” นางพูดแล้วหัวเราะ ก่อนที่จะเปลี่ยน
“เก่งจริงเมียรัก! เถ้าแก่เนี้ยสายลุย ตัวจริงเสียงจริงเลยนะนี่! ประกาศตัวอย่างเป็นทางการเสียที” หยางหมิงอวี้ออกปากชม “อย่าเพิ่งชมเพคะ นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ได้ออกรบจริงๆ เดี๋ยวจะยิ่งดุเดือดเลือดพ่านมากกว่านี้ จะเสียเลือดกันจริงๆ หรือเปล่ายังไม่รู้เลย”“ถึงขนาดนั้นเลยหรือ?” หยางหมิงอวี้หลี่ตาลงเล็กน้อย รู้สึกกังวลขึ้นมาทันที“ไม่แน่ใจเหมือนกันเพคะ ถ้าเขายอมรับเราเป็นนาย ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าทิฐิเยอะ แพ้ไม่เป็นเย็นไม่ได้ งานนี้ก็คงจะมีเลือดสาดกันบ้าง เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นเลือดของใคร!” อินทุภาหัวเราะ“เออนะ ยังหัวเราะได้อีก แต่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะส่งคนคุ้มกันให้ เอาแบบให้เห็นกันที่แจ้ง หรือเก็บไว้ที่ลับดีล่ะ?”“ซุ่มดูเงียบๆ เถอะเพคะ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ แค่ระแวดระวังไว้หน่อยเท่านั้นเอง” เธอดึงมือเขามากุมไว้“แต่มีบางเรื่อง ต้องให้ฝ่าบาทออกหน้าให้เพคะ เรื่องสั่งซื้อข้าวเกินราคา จำนวนกระสอบที่สั่งซื้อ กับที่เฟินเยว่เหลารับเข้าคลัง ไม่ตรงกัน หม่อมฉันตรวจสอบย้อนหลังสี่ปี การทุจริตเริ่มต้นเมื่อสามปีที่แล้ว เกิดอะไรขึ้นกับคนเก่าๆ ของเฟินเยว่เพคะ ท่านป้าเถียน ท่านลุงเจี่ย ทำไมถึง
“ช่วงนี้ไปไหนต้องระวังตัวหน่อยนะ ฝ่ายตรงข้ามอาจสืบรู้ว่าเจ้าเป็นจุดอ่อนของข้า หน่วยข่าวกรองรายงานมาว่า มีการเคลื่อนไหวแถวๆ ชายแดน ข้าอาจต้องไปดูเองเร็วๆ นี้” เขาพูดขณะที่กำลังกางแขน ให้อินทุภารัดเข็มขัดให้“หม่อมฉันจะเร่งวางระบบให้เฟินเยว่ สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง หลังจากนั้น จะไปฝึกเป็นทหารใหม่ที่ค่าย เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมรับกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด” หยางหมิงอวี้เลิกคิ้ว“จะไหวหรือเจ้า? ผู้ชายอกสามศอก ยังรู้สึกว่ามันหนักเกินไปเลย แล้วเจ้าเล่า?” เขาจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอ ถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่ไหวก็ต้องไหว! หม่อมฉันฝึกมวยมาตั้งแต่เด็ก อย่างน้อยๆ ก็มีพื้นฐานความอดทนทางด้านร่างกายอยู่บ้าง แต่อ่อนด้อยทางด้านฝีมือการปะทะด้วยอาวุธ ถ้าต้องการจะอยู่ข้างกายพระองค์ ก็ต้องอยู่อย่างมีประโยชน์ ต้องสามารถช่วยงานได้ทั้งบุ๋นและบู๊ หม่อมฉันจะไม่ปล่อยให้พระองค์ เสี่ยงอันตรายเพียงลำพังหรอกเพคะ” หญิงสาวพูด ด้วยสีหน้าจริงจัง“มันเป็นหน้าที่ของข้าที่ต้องปกป้องเจ้า เป็นงานของทหารที่ต้องเสียสละเพื่อชาติอยู่แล้ว แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเสี่ยง เจ้าเจ็บ..ข้ายิ่งเจ็บกว่า”“หม่อมฉันก็เช่นกัน ถ้าพระองค์ต้องเ
“ตื่น!! ตื่น!! ยัยจอมถึก!!”ใครน่ะ?“ขี้ลืมอีกแล้ว! ลูน่าไง ต้องให้บอกสักกี่ครั้ง ถึงจะจำได้สักที!”“ลูน่า!! จำได้ ไม่ได้ลืม จะมาต่อว่าอะไรอีกล่ะ?”“ไม่ได้จะมาต่อว่า แต่จะมาบอกว่าขอบคุณ”หืม..!?!“ฟังผิดหรือเปล่าเนี่ย! รู้จักคำว่าขอบคุณด้วยเหรอ นึกว่าพูดได้แต่ลวงโลก กับจอมโกหก!”“ขอบคุณจริงๆ ได้ยินไม่ผิดหรอก ขอบคุณที่ช่วยตามหาพี่สาวของฉันจนเจอ นี่ไง!”อินทุภามองตามมือของลูน่า พลันมีเงารางๆ ของแมวสีครีมนัยน์ตากลมโตสีแดง ค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นมา “นี่คือเอเกิล พี่สาวของฉัน” ลูน่าแนะนำ“อ้าว! แล้วเจอกันได้ยังไงล่ะ? ฉันยังไม่ได้ออกตามหาที่ไหนเลยนะ” เธอถามงงๆ“เจตจำนงแห่งไฟนั่นแหละ คือหินของพี่สาวฉันเอง” ลูน่าตอบ“อัญมณีที่ท่านอ๋องมอบให้ฉันน่ะรึ? คือเจตจำนงแห่งไฟ!”“ใช่! ฉันคำนวณผิดไปหน่อย คิดว่าเธอจะเจอหินแห่งการปกป้องก่อน แต่ยังไงก็ขอบคุณล่ะนะ ที่ตามหาพี่สาวฉันเจอจนได้”“ช่วยตามหาน้องอีกสองคนให้ทีนะ” เอเกิลขอร้อง “ระหว่างนี้ฉันกับลูน่า จะช่วยสนับสนุนเธอเต็มที่ในการค้นหา”“ใช่! ก่อนหน้านี้พลังฉันอ่อนแอเมื่ออยู่คนเดียว แต่ตอนนี้เจอเอเกิลแล้ว ก็พอจะช่วยเธอได้บ้าง แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยก็ยังดี”“
ผลจากการประชาสัมพันธ์ของอินทุภาในวันนั้น นำพาผู้คนมารอชมการแสดงอย่างล้นหลามในวันนี้ โต๊ะจองเต็มทั้งสองชั้น หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นจนมือชื้น เพราะนี่เป็นครั้งแรก ที่เธอแสดงโชว์ในที่สาธารณะ นอกเหนือไปจากที่เคยเล่นกับครอบครัวยามว่างวันนี้เธอใช้ผ้าแพรผืนบาง ประดับด้วยอัญมณีชิ้นเล็กๆ เรียงเป็นลวดลายสวยงามตลอดผืน เพื่อความสะดวกในการแสดง จึงปิดบังใบหน้าไว้เพียงแค่ช่วงจมูก แต่เธอกลับหารู้ไม่ว่า คนที่เคยรู้จักและเห็นหน้าเธอมาก่อน จะจำได้ทันทีว่าเธอคือใคร จุดสังเกตที่เด่นชัดก็คือนัยน์ตากลมโตฉายแววหวาน ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใครของเธออินทุภาให้ช่างมาต่อเติม สร้างเวทีการแสดงขึ้นมาใหม่ โดยยกพื้นให้สูงขึ้นช่วงกึ่งกลางเหลา ระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นสอง สามารถชมการแสดงได้ร้อยแปดสิบองศา เพราะต่อจากนี้ เฟินเยว่เหลาจะเป็นตัวกลาง เปิดโอกาสให้นักดนครีที่อยากโชว์ฝีมือ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาแสดง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่แน่ว่าในอนาคต เธออาจจะก่อตั้งโรงเรียนดนตรีขึ้นที่นี่ก็ได้ เพื่อเป็นทางเลือกให้เด็กๆ ในชุมชน ได้เลือกเรียนรู้ตามพรสวรรค์ของตัวเอง“พร้อมไหม?” หยางหมิงอวี้เดินมาจับมือ หญิงสาวสบตาแล้วพ
หยางหมิงอวี้ปิดปากเงียบมาตลอดทาง ตั้งแต่ห้องทำงานมาจนถึงห้องพัก อินทุภาก็สงบปากสงบคำไว้เช่นกัน เพราะไม่รู้ว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหน“ไม่มีอะไรจะพูดเลยรึ?” เขาถามหลังจากเข้ามานั่งในห้อง“ก็ได้ยินหมดแล้วไม่ใช่หรือเพคะ แล้วก็ของสิ่งนี้..” อินทุภาแบของในมือให้ดู “หม่อมฉันจำเป็นต้องรับไว้”“จำเป็น? จำเป็นถึงขนาดไหนกัน ไม่ว่าอย่างไรมันก็คือของแทนใจจากชายอื่น ถ้าไม่รับก็ไม่ใช่การหักหน้ามันหรอก มันเสือกแหยมเข้ามาเอง!” หยางหมิงอวี้พูดอย่างหงุดหงิดใจ“นี่คือหินแห่งการปกป้อง! หม่อมฉันกำลังตามหาสิ่งนี้อยู่” เธอพยายามอธิบาย“หมายความว่าอย่างไร?” อย่างหมิงอวี้สงสัย เธอจึงเล่าความฝันให้ฟังทั้งสองครั้ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับอัญมณีที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ด้วย“ทีนี้หม่อมฉันสามารถเก็บเจ้าสิ่งนี้ ไว้กับตัวได้หรือยังเพคะ?” เธอขอความเห็น“ก็.. ทีหลังมีอะไรก็บอกกันตรงๆ ก่อน ห้ามปิดบัง จะได้มาช่วยกันคิดวิเคราะห์แยกแยะ” เขาออกปากอนุญาต แต่ลึกๆ ก็ยังรู้สึกแสลงในใจอินทุภาพยักหน้า เข้าไปหอมแก้ม และกล่าวขอบคุณเขา ทำให้ต้องเงียบกันไปอีกนาน เพราะเขาตอบรับคำขอบคุณด้วยจูบที่หนักหน่วงและเร้าอารมณ์“แล้วก็ห้ามไปให้มันกอด
อินทุภากำลังเคลิ้มๆ เมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกเล้าโลมโดยสัมผัสจากมือและริมฝีปากที่คุ้นเคย เธอฝันว่ากำลังเมคเลิฟกับสามี เสมือนจริงเสียจนไม่อยากตื่น ขนาดอยู่ในฝันก็ยังสามารถทำให้วาบหวามซาบซ่านได้ถึงขนาดนี้ เธอคิดถึงรสพิศวาสที่เขาเคยปรนเปรอให้เสียเหลือเกินแต่จู่ๆ หญิงสาวก็รู้สึกอึดอัดคับแน่นบริเวณด้านล่าง ค่อนข้างเจ็บเล็กน้อย จึงปรือตาขึ้นโดยไม่รู้ตัว“ฝ่าบาท!!”“ตกใจอะไร? ทำไมต้องตกใจ? ก็เห็นให้ความร่วมมือดี”อินทุภาหัวเราะเบาๆ“หม่อมฉันนึกว่ากำลังฝัน คิดถึงฝ่าบาทเหลือเกินเพคะ อยากให้กอด อยากให้จูบแบบนี้” แล้วเธอก็โน้มหน้าเขาลงมาจูบเสียเองชายหนุ่มขยับช้าๆ ขึ้นลงในทีแรก พร้อมๆ กับจูบหนักหน่วงเรียกร้องเร้าอารมณ์ในนาทีต่อมา หยางหมิงอวี้อดอยากมานาน จึงเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น พอๆ กับที่อินทุภาก็เริดร้างรสสัมผัสจากเขามานานเช่นกัน เอวบางจึงขยับเด้งรับความแข็งขมึงของเขา ด้วยความเร่าร้อน แท่งเนื้ออวบใหญ่ถูกดูดกลืนหายไปในโพรงเนื้อนิ่ม ความแน่นหนึบบีบรัดไว้เสียจนแทบขยับเข้าออกไม่ได้ ชายหนุ่มรู้สึกเสียวสะท้านตลอดลำเอ็น เมื่อถูกตอดรัดเป็นจังหวะ เขาดึงออกมาจนสุด แล้วอัดกระแทกเข้าไปอีกหนักๆ จนมิดโคน สะโพก
ภายใต้การวางแผนยุทธศาสตร์ขององค์ชายซุน และการบัญชาการโดยตรงของฮ่องเต้ซุนตี้ชุน สงครามครั้งใหญ่ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน บัดนี้ได้กลายเป็นการประหัตประหารอย่างโหดเหี้ยม กองทัพมหึมาของแคว้นซ่ง แคว้นคัง และแคว้นเป่ยเหลียง ต่างพ่ายแพ้ย่อยยับ ทหารนับไม่ถ้วนล้มตายเกลื่อนกลาด ผู้ที่รอดชีวิตมีไม่ถึงหนึ่งในสิบ อำนาจของแคว้นเชี่ยแผ่ขยายรวดเร็วจนน่าตระหนก เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เหล่าแม่ทัพและทหารแคว้นเชี่ยไม่เคยคิดเลยว่า การพิชิตแคว้นหนึ่งจะง่ายดายถึงเพียงนี้ กลิ่นคาวเลือดแห่งชัยชนะ ปลุกโหมกำลังใจให้ลุกโชนดั่งเปลวเพลิง ธงของแคว้นเชี่ยสะบัดพลิ้วอยู่เบื้องหน้ากองทัพเสมอ ดั่งสัญลักษณ์แห่งชัยชนะอันมิอาจต้านทาน ฮ่องเต้ซุนตี้ชุนและองค์ชายซุน ได้กลายเป็นวีรบุรุษสงครามในสายตาทหารหาญทุกผู้คน ท่ามกลางความตระหนกหวาดกลัวทั่วหล้า แผ่นดินถูกย้อมแดงด้วยโลหิตสุดลูกหูลูกตา เงาทมิฬแห่งสงครามแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ โดยมีแคว้นเชี่ยเป็นศูนย์กลาง กองทัพเดินหน้าขยายอาณาเขตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่า แผนยุทธการขององค์ชายซุน จะนำพาแคว้นเชี่ยสู่ชัยชนะได้ในเวลาอันสั้นเพียงนี้ สองฟากถนนเต็มไปด้วยซากศพและโครงกระดูก
ก่อนที่อินทุภาจะไปวังหลวงคราวก่อน ช่วงที่ซ่อมกำแพงเมือง ได้สั่งให้ช่างทำห้องใต้ดินใต้คลังเสบียงไว้ด้วย จึงได้ใช้ในช่วงเวลาที่มีศึกสงครามเช่นนี้ เธอทำเสบียงลวงไว้ชั้นบน แต่เก็บเสบียงทั้งหมดไว้ชั้นใต้ดิน เพื่อป้องกันศัตรูบุกเผาทำลาย และทำทีว่าป้องกันหละหลวมสร้างอุบายลวง แต่ทุกจุดสำคัญของเมือง มีทหารสอดแนมของกองทหารพิเศษคอยจับตาอยู่หยางติงเข้ามารายงานข่าวจากทหารสอดแนม ว่ากองทัพเชี่ยมีกำลังพลประมาณสองแสนสามหมื่น แต่ได้แบ่งออกเป็นสามทัพดังที่อินทุภาคาดไว้ แต่ทั้งสามทัพนี้ มิได้ยกมาพร้อมกัน และเดินทัพทิ้งระยะห่างกันมาก โดยที่ทัพหน้ามีกำลังพลประมาณสามหมื่น ซึ่งทัพหน้านี้คงจะเป็นการบุกแบบหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ อีกสองทัพแบ่งเป็นทัพละหนึ่งแสน ทัพสองแน่นอนว่าใช้ตัดกำลัง และทัพสามคงจะมุ่งหวังโจมตีเต็มที่อินทุภาเลยคิดแผน จากการที่ศัตรูเดินทัพ ทิ้งระยะห่างกันเกินไปนี้ มาใช้ประโยชน์ โดยจะใช้กลยุทธ์ในตำราพิชัยสงครามเจ็ดตำนานชื่อว่า..’ลับลวงพราง’โดยให้หยางติง นำทัพแรกกำลังพลหนึ่งหมื่นนาย ประกอบไปด้วยกองปืนคาบศิลา พลธนู กองทะลวงฟัน หรือกองทหารพิเศษเคลื่อนที่เร็ว ไปดักซุ่มโจมตีทัพหน้า โดยต้องรีบออกเดินทา
พอลับสายตาจากภายนอก เขาก็สอดมือรั้งท้ายทอยหญิงสาวเข้าชิด แล้วจู่โจมริมฝีปากอวบอิ่มแทบจะในเสี้ยววินาที อย่างเร่าร้อนหนักหน่วง ราวกับว่าเธอคือลมหายใจสุดท้าย ที่เขาโหยหามาตลอดชีวิต มือข้างหนึ่งกอดเอวบอบบางไว้แน่น อีกข้างจับท้ายทอยให้ขยับมุมตามริมฝีปากของเขา อินทุภาตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่สุดท้ายก็หลับตาพริ้ม จูบตอบจุมพิตที่แสนรัญจวนใจนี้ด้วยความยินยอม มือไม้เผลอไผลเกาะลำคอเขาไว้แน่น ลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวไปจนหมด"ฝ่าบาท.." อินทุภาครางเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระชั่วครู่ ก่อนจะจุมพิตเขาด้วยความโหยหาไม่ต่างกัน ปลายลิ้นของเธอถูกเขาดึงดูดเข้าหาราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาล เขาถอนริมฝีปากมาซุกไซ้ที่ซอกคอ เธอเลยกัดที่คอเขาเบาๆ แล้วเลื่อนมากัดที่ปลายคาง ขบเม้มดูดดุนไปทั่วซอกคอ ในขณะที่อีกมือค่อยๆ ดึงสายรัดเอวของเขา แหวกสาบเสื้อให้เปิดออกกว้าง"เมียรัก.." เขาพูดเสียงเบาเหมือนคนละเมออินทุภาแลบปลายลิ้นเลียลิ้มชิมรสยอดอกสีชมพูคล้ำ สองนิ้วเค้นเขี่ยเม็ดตุ่มสีสวยอีกข้าง เรียกเสียงครางครวญจากอีกฝ่ายให้หอบหนักขึ้น ตามอารมณ์ที่กำลังไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ขณะที่อีกมือก็ค่อยๆ คลายสายรัด จนทำให้ขอบกางเกงขยายออ
“ท่านอ๋อง! ท่านเยว่! มีสาส์นด่วนจากวังหลวงขอรับ!” อินทุภาหยิบมาให้หยางหมิงอวี้ แล้วพยักหน้าให้ทหารส่งสาส์นออกไปได้“ฝ่าบาทมีคำสั่ง ให้นำทัพฉิวซีหนึ่งแสน ไปช่วยแคว้นฉินต้านกองทัพเชี่ย!” หยางหมิงอวี้อ่านสาร์นให้ฟัง“โอ้ว มาย!! อุบายตีใกล้แสร้งไกลสินะ!” มุมปากอินทุภาเชิดเล็กน้อย‘กลยุทธ์ตีใกล้แสร้งไกล’ คือ การทำให้ศัตรูเข้าใจผิดว่าเป้าหมายของเราคือที่ไกล แต่แท้จริงแล้วเป้าหมายที่แท้จริงคือมุ่งโจมตีจุดที่อยู่ใกล้ โดยใช้กลลวงหรือเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อให้ศัตรูตัดสินใจผิดพลาด และเปิดช่องโหว่ให้เราจู่โจมได้สำเร็จ“ใช่! ทำลวงประชิดแคว้นซ่ง แต่ตั้งใจโจมตีแคว้นฉิน! ด้วยทหารหนึ่งแสนห้าหมื่น แต่ดูจากข้อมูลล่าสุด แคว้นเชี่ยมีทหารประมาณสี่แสนกว่า แต่แบ่งกำลังไปเพียงแสนห้า เกรงว่าจะมีแผนซ้อนแผนแน่แล้ว!”"เหมือนกับกลยุทธ์ล้อมเวยช่วยจ้าวใช่ไหมเพคะ?"“คิดเหมือนกัน! เขาวางแผนยิงธนูดอกเดียวได้เหยี่ยวสองตัว ลวงว่าจะตีแคว้นฉินแต่จริงๆ แล้วจะอ้อมหลังบุกต้าฉิวซี และเพื่อให้ฉิวซีส่งกำลังไปช่วย ซึ่งแน่นอนว่าข้าต้องเป็นผู้บัญชาการทัพ หยางซื่อก็จะร้างผู้นำ พอเหมาะพอดีสำหรับทัพอีกสองแสนที่เหลือจะบุกโจมตี!”‘ล้อมเ
เมื่อใกล้ถึงตำหนักจื่อเว่ยเฉิง ที่ประทับของฮ่องเต้ จือซาก็ก้าวเดินให้เร็วขึ้นด้วยความโมโห หมายจะเล่นงานตัวต้นเหตุให้หายหงุดหงิดในใจ จนหนิวกงกงต้องเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งตามเร่งข้ากลับวังงั้นรึ! ถ้าไม่มีเหตุดีๆ มาอธิบายล่ะก็ ได้เห็นดีกันแน่!!"ว้าย!!" จือซาร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเดินเข้าประตูตำหนักแล้วอยู่ๆ คนร่างใหญ่ก็จับตัวเธออุ้มลอยขึ้นพาดบ่า"ไม่เรียกไม่ต้องเข้ามา!" ฮ่องเต้หันไปสั่งหนิวกงกง ซึ่งน้อมรับคำสั่งแล้วรีบปิดประตูทันที"ท่าน!!..ปล่อยข้า!! ให้ข้าลงเดี๋ยวนี้!!" หญิงสาวตะโกนลั่น ดิ้นขลุกขลักด้วยความโมโหเขาวางหญิงสาวลงบนเตียง แล้วโถมกอดไว้แน่นไม่ให้ดิ้นหนี"ดิ้นอะไรนักนะ!!" เขาปราม"ก็ท่านทำบ้าอะไรอยู่เล่า! ทั้งเร่งข้ากลับวัง แล้วนี่ก็มาจับพาดบ่าอีก!"คนปกติดีๆ ที่ไหนเขาทำกัน!!"ก็ข้าคิดถึง!" เขาทำเสียงอ้อน"คิดถึงบ้าอะไร! เพิ่งจะห่างกันไม่กี่ชั่วยาม!!" เธอค้อนปะหลับปะเหลือก กับความหน้ามึนของเขา"ไม่กี่เค่อก็คิดถึงแล้ว อย่างอนเลยนะเด็กดี ถ้าไม่ทำแบบนี้ มีหวังว่ากว่าจะได้เห็นหน้าเจ้า ก็คงจะล่วงเลยไปเป็นเดือน หรืออาจจะเป็นปีถัดไป ข้าคงตรอมใจเพราะโรคคิดถึง อาจถึงขั้นป่วยจนตรอ
จือซาลืมตาตื่นก็เห็นร่างของบุรุษนอนอยู่เคียงกัน เธอขยับตัวไม่ได้เพราะถูกแขนของเขาพาดทับตัวไว้ หญิงสาวรีบสำรวจตนเอง แล้วก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอกที่ยังอยู่ในสภาพเสื้อผ้าปกปิดมิดชิด จึงค่อยๆ ยกแขนเขาขึ้นแล้วขยับตัวออก พยายามดึงชายกระโปรงออกจากร่างของเขา ที่นอนทับอยู่แต่ไม่สำเร็จ เขายังนอนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับอดหลับอดนอนมาหลายวันเอ.. หรือที่หนิวกงกงเล่าจะเป็นเรื่องจริง!หนิวกงกงบอกว่าตั้งแต่ฮองเฮาสิ้นพระชนม์ ฝ่าบาทก็เป็นโรคนอนไม่หลับ เคยบรรทมนานสุดแค่สองชั่วยามต่อวันเท่านั้นแต่ดูตอนนี้สิ!..นัยน์ตาแววหวานอ่อนโยนลง เธอขยับตัวเล็กน้อย เพื่อให้นอนมองหน้าอีกคนได้ชัดเจนขึ้น พร้อมอมยิ้มบางๆ กับท่าทางการนอนหลับปุ๋ยเหมือนเด็กน้อยของเขา มือเรียวบางลูบกลุ่มผมเด็กน้อยตรงหน้าเบาๆ พลางสงสัยว่าเขานอนคว่ำแบบนี้จะหลับสบายหรือเปล่า"ฝ่าบาท!" หนิวกงกงเรียกตรงหน้าประตูด้านในจือซารีบหันไปมองที่ประตูห้อง ส่งสายตาดุไปให้หนิวกงกง พร้อมทำท่านิ้วชี้ปิดปากเป็นสัญญาณว่าห้ามส่งเสียงดัง หนิวกงกงพยักหน้าว่าเข้าใจ ค่อยๆ ละจากหน้าประตูมาหยุดอยู่ใกล้ที่บรรทม "แม่นางจือซา! ได้เวลาเสวยพระกระยาหารเย็นแล้ว ไม่ทราบว่าจะปล
อินทุภาก้าวเข้าสู่ห้องคุมขังอย่างสง่างาม ใบหน้าเรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยอำนาจ ชุดสีเงินปักลายนกหลวนเฟิ่งสีน้ำเงินสะท้อนแสงไฟอ่อนๆ คล้ายหงส์ฟีนิกซ์ที่แผ่รัศมีเหนือผู้อื่น สนมเซียวที่นั่งอยู่ภายในมุมมืดเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและแววอริที่ไม่คิดปิดบังอีกต่อไป "มาทำไม? จะมาเยาะเย้ยข้ารึ?" นางแค่นเสียงถามด้วยความชิงชัง อินทุภาเพียงแค่ยิ้มบางเบา "ได้ข่าวว่าท่านตั้งครรภ์" สนมเซียวแค่นหัวเราะ มุมปากยกขึ้นในลักษณะเยาะเย้ย "เรื่องของข้าไม่เกี่ยวกับเจ้า!!" เสียงของนางแหลมขึ้น พยายามใช้ตำแหน่งเหนือกว่ากดอีกฝ่ายให้ต่ำลง แต่ท่วงท่ายืนของอินทุภายังคงสง่างาม มือแตะกันไว้ที่ระดับเอว แผ่นหลังตรงราวกับไม่มีสิ่งใดมากดทับ ดวงตาเรียบนิ่ง รัศมีนางพญาแผ่ซ่านโดยธรรมชาติ "แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่อยากข้องเกี่ยวกับท่านนัก แต่ข้ารับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้มาพูดกับท่าน จึงเห็นว่าลองเจรจากันดีๆ สักครั้งก็คงจะดีกว่า" สนมเซียวกำหมัดแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยความเคียดแค้น "ผู้ชนะย่อมได้ทุกสิ่ง! ตอนนี้เจ้าคงสุขใจมากสินะ? ไม่ต้องมาทำเสแสร้งต่อหน้าข้า! ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะซ้ำเติมให้สาสม!" "นั่นเป็นสิ่ง
"เยว่อิง!..มาแล้วรึ หมิงอวี้เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟัง ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ!” ฮ่องเต้ถอนพระทัย"ความลำบากนี้ เทียบกันไม่ได้เลย กับสิ่งที่ฝ่าบาทออกหน้าเพื่อปกป้องหม่อมฉัน มิหนำซ้ำยังเสียสละองค์เอง เป็นเหยื่อล่อคนที่คิดร้ายต่อบ้านเมือง ทำให้ชาวประชาพ้นภัย พวกเราซึ้งในพระมหากรุณายิ่งนัก ต่อให้ต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องฝ่าบาท หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ""ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา!" หยางหมิงอวี้ประสานมือคำนับ ฮ่องเต้ยิ้มอย่างอ่อนโยน“ข้าอาจไม่ใช่ฮ่องเต้ที่แข็งแกร่ง แต่จะพยายามเป็นฮ่องเต้ที่ดี! เอาล่ะ!..หยางหมิงอ๋อง..หยางเยว่อิงรับราชโองการ!” ฮ่องเต้หยางอี้ยิ้มนิดหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวต่อ "แม่ทัพหยางอารักขาข้า รบอย่างกล้าหาญ ทำให้กองทัพแคว้นฉิวซียิ่งใหญ่ วันนี้เรามีราชโองการแต่งตั้งให้หยางหมิงอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทน พระราชทานป้ายทองเว้นโทษตาย!”ฮ่องเต้หันมองมาทางอินทุภา“หยางเยว่อิง! ปราชเปรื่องกล้าหาญ เป็นนักวางกลยุทธ์ที่เยี่ยมยอด เปี่ยมด้วยเมตตา สนับสนุนหยางหมิงอ๋องให้ได้ชัยชนะ บัดนี้ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นพระชายา และรั้งตำแหน่งเป็นไท่เว่ย (ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดดูแลราชการฝ่ายทหาร เทียบเท่าส
"ก่อนอื่นเราต้องหาอุปกรณ์ทำมาหากินเสียก่อน!" หญิงสาวเชิดยิ้มมุมปากข้างหนึ่งเล็กน้อย ยืนกอดอกเก็กท่าเป็นกูรู อยู่หน้าร้านขายเครื่องดนตรี"กะลา?" ขอทานน้อยสงสัย"เฮ่ย! นั่นมันอุปกรณ์เก็บเงินตะหากเล่า! วันนี้เราจะเป็นขอทานเปิดหมวกกัน ตามข้ามา!!" หญิงสาวกอดคอขอทานน้อย พาเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องดนตรีอย่างมั่นใจ แต่ยังไม่ทันที่เท้าจะเหยียบผ่านธรณีประตู ก็ถูกเถ้าแก่ไล่เสียแล้ว"ไป! ไป! ออกไป! ไปขอทานที่อื่น! ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาเดินเข้าออกได้อย่างสบายใจได้นะ!!""เถ้าแก่! ข้าไม่ได้มาเดินเล่น ข้ามาซื้อของ!""น้ำหน้าอย่างพวกเจ้า! จะมีปัญญาเอาเงินที่ไหนมาซื้อ เก็บไม่กี่อีแปะเอาไว้กินข้าวเถอะ!! ไปๆ! ออกไป!" หน้าตาท่าทางเกรี้ยวกราด ดุดัน แบบไม่มีทีท่าว่าจะประนีประนอมเฮอะ!! ขอทานก็มีต่อมดนตรีนะลุง!!อินทุภาหันหลังเดินออก แต่พอก้าวออกมาได้เพียงสามก้าว สายตาก็ปะทะเข้ากับร้านขลุ่ยแผงลอยฟากตรงข้าม หญิงสาวดีใจวิ่งตรงดิ่งไปทันที แล้วหยิบขลุ่ยขึ้นมาเลือกรูปแบบ เลือกความถนัดมือ และกำลังจะยกขลุ่ยขึ้นแตะขอบปาก เพื่อจะทดสอบเสียง พลันนึกขึ้นได้ จึงหันไปมองลุงพ่อค้าที่มองมายิ้มๆ อย่างใจดี"ท่านลุง!