“ตื่น!! ตื่น!! ยัยจอมถึก!!”ใครน่ะ?“ขี้ลืมอีกแล้ว! ลูน่าไง ต้องให้บอกสักกี่ครั้ง ถึงจะจำได้สักที!”“ลูน่า!! จำได้ ไม่ได้ลืม จะมาต่อว่าอะไรอีกล่ะ?”“ไม่ได้จะมาต่อว่า แต่จะมาบอกว่าขอบคุณ”หืม..!?!“ฟังผิดหรือเปล่าเนี่ย! รู้จักคำว่าขอบคุณด้วยเหรอ นึกว่าพูดได้แต่ลวงโลก กับจอมโกหก!”“ขอบคุณจริงๆ ได้ยินไม่ผิดหรอก ขอบคุณที่ช่วยตามหาพี่สาวของฉันจนเจอ นี่ไง!”อินทุภามองตามมือของลูน่า พลันมีเงารางๆ ของแมวสีครีมนัยน์ตากลมโตสีแดง ค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นมา “นี่คือเอเกิล พี่สาวของฉัน” ลูน่าแนะนำ“อ้าว! แล้วเจอกันได้ยังไงล่ะ? ฉันยังไม่ได้ออกตามหาที่ไหนเลยนะ” เธอถามงงๆ“เจตจำนงแห่งไฟนั่นแหละ คือหินของพี่สาวฉันเอง” ลูน่าตอบ“อัญมณีที่ท่านอ๋องมอบให้ฉันน่ะรึ? คือเจตจำนงแห่งไฟ!”“ใช่! ฉันคำนวณผิดไปหน่อย คิดว่าเธอจะเจอหินแห่งการปกป้องก่อน แต่ยังไงก็ขอบคุณล่ะนะ ที่ตามหาพี่สาวฉันเจอจนได้”“ช่วยตามหาน้องอีกสองคนให้ทีนะ” เอเกิลขอร้อง “ระหว่างนี้ฉันกับลูน่า จะช่วยสนับสนุนเธอเต็มที่ในการค้นหา”“ใช่! ก่อนหน้านี้พลังฉันอ่อนแอเมื่ออยู่คนเดียว แต่ตอนนี้เจอเอเกิลแล้ว ก็พอจะช่วยเธอได้บ้าง แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยก็ยังดี”“
ผลจากการประชาสัมพันธ์ของอินทุภาในวันนั้น นำพาผู้คนมารอชมการแสดงอย่างล้นหลามในวันนี้ โต๊ะจองเต็มทั้งสองชั้น หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นจนมือชื้น เพราะนี่เป็นครั้งแรก ที่เธอแสดงโชว์ในที่สาธารณะ นอกเหนือไปจากที่เคยเล่นกับครอบครัวยามว่างวันนี้เธอใช้ผ้าแพรผืนบาง ประดับด้วยอัญมณีชิ้นเล็กๆ เรียงเป็นลวดลายสวยงามตลอดผืน เพื่อความสะดวกในการแสดง จึงปิดบังใบหน้าไว้เพียงแค่ช่วงจมูก แต่เธอกลับหารู้ไม่ว่า คนที่เคยรู้จักและเห็นหน้าเธอมาก่อน จะจำได้ทันทีว่าเธอคือใคร จุดสังเกตที่เด่นชัดก็คือนัยน์ตากลมโตฉายแววหวาน ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใครของเธออินทุภาให้ช่างมาต่อเติม สร้างเวทีการแสดงขึ้นมาใหม่ โดยยกพื้นให้สูงขึ้นช่วงกึ่งกลางเหลา ระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นสอง สามารถชมการแสดงได้ร้อยแปดสิบองศา เพราะต่อจากนี้ เฟินเยว่เหลาจะเป็นตัวกลาง เปิดโอกาสให้นักดนครีที่อยากโชว์ฝีมือ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาแสดง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่แน่ว่าในอนาคต เธออาจจะก่อตั้งโรงเรียนดนตรีขึ้นที่นี่ก็ได้ เพื่อเป็นทางเลือกให้เด็กๆ ในชุมชน ได้เลือกเรียนรู้ตามพรสวรรค์ของตัวเอง“พร้อมไหม?” หยางหมิงอวี้เดินมาจับมือ หญิงสาวสบตาแล้วพ
หยางหมิงอวี้ปิดปากเงียบมาตลอดทาง ตั้งแต่ห้องทำงานมาจนถึงห้องพัก อินทุภาก็สงบปากสงบคำไว้เช่นกัน เพราะไม่รู้ว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหน“ไม่มีอะไรจะพูดเลยรึ?” เขาถามหลังจากเข้ามานั่งในห้อง“ก็ได้ยินหมดแล้วไม่ใช่หรือเพคะ แล้วก็ของสิ่งนี้..” อินทุภาแบของในมือให้ดู “หม่อมฉันจำเป็นต้องรับไว้”“จำเป็น? จำเป็นถึงขนาดไหนกัน ไม่ว่าอย่างไรมันก็คือของแทนใจจากชายอื่น ถ้าไม่รับก็ไม่ใช่การหักหน้ามันหรอก มันเสือกแหยมเข้ามาเอง!” หยางหมิงอวี้พูดอย่างหงุดหงิดใจ“นี่คือหินแห่งการปกป้อง! หม่อมฉันกำลังตามหาสิ่งนี้อยู่” เธอพยายามอธิบาย“หมายความว่าอย่างไร?” อย่างหมิงอวี้สงสัย เธอจึงเล่าความฝันให้ฟังทั้งสองครั้ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับอัญมณีที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ด้วย“ทีนี้หม่อมฉันสามารถเก็บเจ้าสิ่งนี้ ไว้กับตัวได้หรือยังเพคะ?” เธอขอความเห็น“ก็.. ทีหลังมีอะไรก็บอกกันตรงๆ ก่อน ห้ามปิดบัง จะได้มาช่วยกันคิดวิเคราะห์แยกแยะ” เขาออกปากอนุญาต แต่ลึกๆ ก็ยังรู้สึกแสลงในใจอินทุภาพยักหน้า เข้าไปหอมแก้ม และกล่าวขอบคุณเขา ทำให้ต้องเงียบกันไปอีกนาน เพราะเขาตอบรับคำขอบคุณด้วยจูบที่หนักหน่วงและเร้าอารมณ์“แล้วก็ห้ามไปให้มันกอด
อินทุภากำลังเคลิ้มๆ เมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกเล้าโลมโดยสัมผัสจากมือและริมฝีปากที่คุ้นเคย เธอฝันว่ากำลังเมคเลิฟกับสามี เสมือนจริงเสียจนไม่อยากตื่น ขนาดอยู่ในฝันก็ยังสามารถทำให้วาบหวามซาบซ่านได้ถึงขนาดนี้ เธอคิดถึงรสพิศวาสที่เขาเคยปรนเปรอให้เสียเหลือเกินแต่จู่ๆ หญิงสาวก็รู้สึกอึดอัดคับแน่นบริเวณด้านล่าง ค่อนข้างเจ็บเล็กน้อย จึงปรือตาขึ้นโดยไม่รู้ตัว“ฝ่าบาท!!”“ตกใจอะไร? ทำไมต้องตกใจ? ก็เห็นให้ความร่วมมือดี”อินทุภาหัวเราะเบาๆ“หม่อมฉันนึกว่ากำลังฝัน คิดถึงฝ่าบาทเหลือเกินเพคะ อยากให้กอด อยากให้จูบแบบนี้” แล้วเธอก็โน้มหน้าเขาลงมาจูบเสียเองชายหนุ่มขยับช้าๆ ขึ้นลงในทีแรก พร้อมๆ กับจูบหนักหน่วงเรียกร้องเร้าอารมณ์ในนาทีต่อมา หยางหมิงอวี้อดอยากมานาน จึงเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น พอๆ กับที่อินทุภาก็เริดร้างรสสัมผัสจากเขามานานเช่นกัน เอวบางจึงขยับเด้งรับความแข็งขมึงของเขา ด้วยความเร่าร้อน แท่งเนื้ออวบใหญ่ถูกดูดกลืนหายไปในโพรงเนื้อนิ่ม ความแน่นหนึบบีบรัดไว้เสียจนแทบขยับเข้าออกไม่ได้ ชายหนุ่มรู้สึกเสียวสะท้านตลอดลำเอ็น เมื่อถูกตอดรัดเป็นจังหวะ เขาดึงออกมาจนสุด แล้วอัดกระแทกเข้าไปอีกหนักๆ จนมิดโคน สะโพก
อินทุภาร่วมกับนักบัญชีของหอจินไผและหยางมี่ ตรวจสอบบัญชีของกิจการอย่างละเอียด พบความผิดปกติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่สูญหาย รายการบันทึกที่ตกหล่น ราคาซื้อ-ขายที่คลาดเคลื่อน ปริมาณที่ไม่ตรงกับเอกสาร รวมถึงยอดบัญชี ที่ขัดแย้งกันในหลายส่วน และปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นต่อเนื่อง มาตั้งแต่ผู้ดูแลคนปัจจุบัน เข้ารับตำแหน่งเมื่อสามเดือนก่อนเธอเห็นว่าจำเป็นต้องล้างระบบเก่าทิ้ง แล้ววางระบบใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบ รื้อโครงสร้างทั้งหมดกันใหม่เลยทีเดียว เริ่มจากยัยผู้ดูแลตัวแสบนี่แหละ!! ……………………“เอาล่ะ ข้าให้อาเหม่ยรวบรวมรายการข้อผิดพลาด ตลอดช่วงสามปีที่ผ่านมา ให้เห็นเป็นรูปธรรม และขอบอกไว้ก่อนว่า อย่าคิดโทษการทำงานของอาเหม่ย นางเพิ่งเข้ามารับงานเมื่อกลางปีที่แล้ว และทำงานได้อย่างดีเยี่ยม ละเอียดรอบคอบเป็นที่สุด แต่คงพูดอะไรไม่ได้ เมื่อรู้ที่มาของความผิดปกติเหล่านี้ เอาเถอะ! ท่านผู้ดูแล อธิบายให้ฟังหน่อยเป็นไง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” ผู้ดูแลรับกระดาษที่อาเหม่ยลิสต์รายการออกมาเป็นข้อๆ รวมแล้วประมาณห้าแผ่น พลางไล่สายตาอ่านไปเรื่อยๆ สีหน้าของนางค่อยๆ เปลี่ยนไป ริมฝีปากเริ่มสั่นระริก ความซีดเผือดปรากฏชัดเจน
วันนี้พระจันทร์เต็มดวง อินทุภาออกมานั่งสมาธิ รับพลังงานจากแสงจันทร์ที่ศาลากลางสวนของบ้านตระกูลหวาง เสร็จแล้วก็นั่งเล่นรับลมต่อ เธอรู้สึกเหงา และคิดถึงสามีที่เดินทางกลับไปเป็นสัปดาห์แล้ว ถึงแม้เธอจะรักงานมากแค่ไหน แต่การดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ที่ไม่มีเขาเคียงข้าง มันก็ดูแห้งแล้งเงียบเหงาไปหมดหญิงสาวใจลอยคิดถึงงานโชว์สินค้าในวันพรุ่งนี้ ซึ่งก็เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว และยังทำป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ ไว้ที่หน้าหอจินไผอีกด้วย ดูเหมือนจะมีคนให้ความสนใจเป็นวงกว้าง มีมาถามหาซื้อบัตรกันมากมาย จนเธอต้องสั่งทำเพิ่มหวางกุ้ยเฟยให้คนจากในวังมาแจ้งข่าว ว่าจะมีแขกพิเศษร่วมทางมากับพระองค์ด้วย ขอให้จัดเตรียมสถานที่ให้เป็นส่วนตัว และสามารถมองเห็นบรรยากาศภายในงานได้อย่างชัดเจน หญิงสาวไม่ทราบจำนวนว่ามีกี่ท่าน เพราะไม่ได้แจ้งมาด้วย แต่ก็จัดเตรียมตกแต่งสถานที่ ที่ชั้นสองไว้ให้ ซึ่งก็กว้างขวางพอสมควร เธอสั่งให้ผู้คุ้มกันแฝงกายเป็นพนักงาน คอยดูแลเมื่อแขกพิเศษมาถึงอินทุภาออกแบบเวที เป็นแบบแคทวอร์ค เหมือนในมิติปัจจุบัน และออกแบบให้ช่างทำปล่องไฟ สำหรับใช้ส่องตามนางแบบ เวลาเดินเยื้องย่างนำเสนอสินค้าบนเวที และ
“เสด็จพี่! หม่อมฉันเข้าไปนะเพคะ” หยางมี่เคาะประตูแล้วตะโกนให้เสียง“เข้ามาสิ” เขาอนุญาต“โอ๊ะตื่นแล้ว! ตาใสเชียว เป็นอย่างไรบ้างพี่สะใภ้”“รู้สึกหิวข้าว” หยางหมิงอวี้ได้ยินดังนั้น ก็ขยับตัวจะลุก“ไม่ต้องลุก! หม่อมฉันสั่งเด็กให้ยกซุปไก่ตุ๋นมาแล้ว เดี๋ยวคงจะตามมาหรอก” หยางมี่รีบบอกพี่ชาย“งานเป็นอย่างไรบ้าง?” หยางมี่กำลังหย่อนก้นลงนั่ง พอได้ยินพี่สะใภ้ถามเรื่องงาน ก็ชะงักค้างนิดหนึ่ง ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งอย่างที่ตั้งใจแต่แรก“ดูแลตัวเองก่อน อย่าเพิ่งห่วงเรื่องงาน มีข้าอยู่ทั้งคนเจ้าไม่ต้องกังวลสิ่งใดเลย เจ้าก็ฝึกงานข้าพอจะได้เรื่องได้ราวอยู่บ้างหรอก ข้าเคยเห็นตัวอย่างจากการทำงานของเจ้า แล้วก็จัดการตามที่เห็นสมควรก่อน ไว้เจ้าหายดีเมื่อไหร่ ค่อยมาปรับเปลี่ยนแก้ไขอีกที อ้อ!..มีข่าวดี งานจัดแสดงสินค้าที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ยอดสั่งซื้อเข้ามาอย่างล้นหลาม ฝ่ายผลิตกำลังเร่งผลิตเท่าที่พอจะทำได้ไปก่อน ส่วนขั้นตอนสุดท้ายก็รอให้เจ้ากลับไปดำเนินการ”“เพคะ เอาไว้ให้ดีขึ้นกว่านี้อีกหน่อย หม่อมฉันจะสอนสูตรลับให้ แต่พระองค์ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง แล้วจดจำไว้ในหัว ห้ามจดบันทึกไว้โดยเด็ดขาด
“นี่!! ตื่นๆ ยัยจอมขี้เซา!”“อะไรอีกล่ะลูน่า!! จะต่อว่าอะไรอีกรึ?”“จะมาเตือนต่างหากเล่า! มีบางสิ่งในความมืดกำลังคืบคลานเข้ามา เธอจงระวังตัวไว้ให้ดี อย่าไว้ใจใครง่ายๆ ใกล้ถึงวันพระจันทร์เต็มดวงอีกแล้ว ออกมาอาบแสงจันทร์บ่อยๆ เพื่อทำสมาธิ และเพิ่มพลังให้ตัวเอง อีกอย่างเรายังหาเรกิไม่เจอ ช่วยตามหาให้พวกเราด้วย!”“อะไรคือเรกิ?”“เมียรัก! ตื่นเถอะเจ้า ข้าจะออกเดินทางแล้ว!” หยางหมิงอวี้เข้ามากอด แล้วหอมแก้มอินทุภาฟอดใหญ่“ฝ่าบาท!! ตายจริงหม่อมฉันขี้เซาจัง”“เป็นข้าที่ตื่นเร็ว ยังเช้าอยู่หรอก ปลุกเจ้าเพื่อบอกลาเท่านั้นเอง ข้าไปแล้วค่อยนอนต่อ”เธอกอดคอเขาไว้แน่น“เมื่อไหร่หม่อมฉันจะได้เจอฝ่าบาทอีกล่ะเพคะ?” หญิงสาวออดอ้อนเสียงหวาน“กว่าลาดตระเวนเสร็จก็ราวๆ สามสัปดาห์ เสร็จงานแล้วจะรีบมาหานะ” เขาพูดแล้วจุมพิตที่ริมฝีปากเบาๆ ทีหนึ่ง“ดูแลตัวเองด้วย ข้าสั่งคนสนิทให้ดูแลเจ้าเป็นอย่างดี คงมาแนะนำตัวสักวันหรอก ตอนนี้เขากำลังติดภาระกิจอยู่ กินข้าวและนอนให้ตรงเวลาด้วย เข้าใจหรือไม่!”“เพคะ”“นอนต่อเถอะ ไม่ต้องออกไปส่ง” เขาจูบหน้าผาก จูบจมูก จูบปาก ลูบไล้แก้มนวลด้วยปลายนิ้วอย่างอ้อยอิ่ง มองไปทั่วหน้านวล
หยางหมิงอวี้นอนรอภรรยาที่พาลูกๆ ไปเข้านอนด้วยความอดทน ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมานอนที่ห้องหรือว่าเผลอหลับนะ? เขากำลังจะก้าวเท้าลงจากเตียง ก็พอดีเห็นร่างอวบอิ่มยั่วยวนใจเดินเข้าประตูมาพอดี เขายิ้มอย่างยินดี อ้าแขนออกกว้างรอให้ภรรยาโผเข้าหาอินทุภายิ้มหวานเดินเข้าหาอ้อมแขนแข็งแรง แล้วกัดคางเขาเบาๆ เสียงฟ้าร้องครืนๆ มาแต่ไกลทำให้เธอชะงักเล็กน้อย"มีอะไรรึ?" หยางหมิงอวี้ถามเสียงอู้อี้ เพราะกำลังซุกไซร้ซอกคอหอมกรุ่น"ฟ้าร้องเพคะ เด็กๆ กลัวเสียงฟ้าผ่า""เอาน่า คงยังไม่ใช่ตอนนี้ เสียงยังอยู่อีกไกล มาให้ผัวชื่นใจก่อน รออยู่นานแล้ว" เสียงเขาแตกพร่าฝ่ามือแข็งแรงจับท้ายทอยรั้งริมฝีปากอวบอิ่มเข้าหา ล้วงลิ้นซอกซอนหาความอบอุ่นภายใน เขาอดอยากมาเป็นเดือนแล้ว เพราะต้องออกไปลาดตระเวน ลมปราณแทบจะแตกซ่านอยู่รอมร่อ ฝ่ามืออีกข้างลูบไล้เรือนร่างด้วยความรักใคร่หลงใหล แล้วช้อนบั้นท้ายกลมกลึงยกขึ้น กดแนบชิดกลางลำตัว ริมฝีปากซุกไซร้ซอกคอและไหล่บอบบาง ขบกัดเม้มเบาๆ จนเกิดรอยแดงจางๆ กระจายไปทั่ว"อาา..ฝ่าบาท" เสียงหวานครวญครางเบาๆเปรี้ยงงง!! ครืนนน!!แล้วอยู่ๆ ฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมาดังสนั่น เ
ตอนพิเศษ (1) ::: Cut Scene 1 :::คุณอรรพีพาตัวเองมาถึงที่วัดป่าจนได้ เธอฝันมาสองสามคืนแล้วว่า แม่ชีอินทุกรให้เธอเดินทางมาหา ซึ่งเธอก็ตั้งใจจะมาอยู่แล้ว เพื่อจะสอบถามเรื่องลูกสาวที่หายไป เธอมั่นใจว่า เธอต้องได้คำตอบจากคุณแม่อย่างแน่นอน "ไหว้พระเถอะลูก" แม่ชีอินทุกร ยกมือรับไหว้ระดับอก หลังจากคุณอรรพี ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ก้มลงกราบแบบเบญจางค์ประดิษฐ์"มาจนได้นะเรา เป็นอย่างไรบ้าง?""สบายแค่กายค่ะคุณแม่ แต่ในใจยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนนอนไม่ค่อยหลับ " เธอกล่าวเสียงเรียบแม่ชีอินทุกรถอนใจ แล้วยิ้มน้อยๆ"ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่เกิด ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่มี ทุกข์กับสิ่งที่ยังมองไม่เห็น ในเมื่อคำว่า "ยัง" มีแต่ความว่างเปล่า แล้วจะเก็บไปทุกข์ทำไมล่ะ""ลูกฝันเห็นยัยอินของเราค่ะ ฝันซ้ำๆ เดิมๆ แล้วแกก็มาหายไปแบบนี้ ก็รู้สึกเป็นห่วงมาก ติดต่อก็ไม่ได้""ทางโน้นเขาว่าอย่างไรบ้างล่ะ ที่เจ้าอินหายไป""เขาเล่าให้ฟัง..ถึงเหตุการณ์ก่อนที่หนูอินจะหายตัว พ่อเขาก็คิดว่าอาจจะเป็นไปตามนั้น ตระกูลเขาเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ ที่บรรพบุรุษเล่าต่อๆ กันมา เลยไม่อยากให้แจ้งความ ให้รอจนกว่าลูกจะกลับมาเอง""เรื
"มีข่าวคืบหน้าทางหยางซื่อหรือไม่?" หวางกุ้ยเฟยถามองค์หญิงหยางมี่ ขณะกำลังปอกสาลี่ใส่จาน"เอ๋อเหนียงรู้ไหมว่า ชาวเมืองหยางซื่อ เขาเล่าลือกันอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น!""เล่าลืออะไร?" หวางกุ้ยเฟยสงสัย"เขาพูดกันว่า พระชายาใช้พลังเวทย์ แสดงอิทธิฤทธิ์เรียกลมเรียกฝนได้ ทำให้กองทัพเชี่ยแตกกระเจิงเพราะถูกน้ำหลาก แถมยังเรียกสายฟ้า ให้ผ่าลงกลางสนามรบได้อีก! ทหารนับแสนแตกตื่นจนลืมโจมตี ส่วนผู้บัญชาการทัพเชี่ย ที่เข้ามาลอบสังหาร ก็ถูกฟ้าผ่าที่แขนจนไหม้เกรียม ต้องเสียชีวิตในสนามรบ เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว! แล้วอะไรอีกนะอินชง..""มีข่าวลือจากทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าต่อกันมาถึงชาวเมืองว่า พระชายาทรงสั่งให้ฝังระเบิดรอบสมรภูมิทั้งสามด้าน เพื่อสกัดกั้นทัพเชี่ย ไม่ให้บุกเข้ามาในเมือง ระเบิดเหล่านี้มีจำนวนมากพอที่จะสังหารทหารได้นับหมื่นนับแสนคน และยังไม่รวมถึงกระสุนปืนใหญ่อีกจำนวนมหาศาลที่เตรียมไว้ ก่อนหน้านั้นยังมีการปล่อยโคมลอยเพื่อลอบโจมตี เผาเสบียง และโรยผงหมามุ่ย เพื่อตัดกำลังทัพเชี่ยไปได้มาก" อินชงพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม "ยิ่งไปกว่านั้น พระชายายังทรงนำทัพหน้า บุกตะลุยฝ่าข้าศึก เพื่อเป
สมรภูมิรบด้านนอกเมืองเงียบสงบลงแล้ว เหลือเพียงทหารกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังค้นหาผู้รอดชีวิต มูลากำลังทำแผลที่หัวไหล่ให้อินทุภา ขณะที่เธอก็กำลังนั่งรอรับโทษทัณฑ์จากสามีอยู่ที่ห้องโถง "ไม่ต้องห่วงเรื่องแผลที่หัวไหล่ เป็นคนอื่นคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มหลายวัน แต่มีพวกเราอยู่อีกสามวันก็ดีขึ้นแล้ว!" มูลาพูดขณะพันแผลเสร็จเรียบร้อย"ตอนต่อสู้กับองค์ชายซุน ฉันน่ะลุ้นสุดตัว! ภาวนาขอให้นายท่านกลับมาเร็วๆ มีเพียงพลังธาตุข่มในตัวเขาเท่านั้น ที่จะสยบองค์ชายซุนได้!" ลูน่ากล่าว"แล้วพลังเวทย์ของพวกเธอช่วยฉันไม่ได้เลยหรือ?" อินทุภาสงสัย"ราชาดาวนิลมีพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งมาก แม้แต่พวกเรายังสู้ไม่ได้ แล้วท่านจะไหวได้อย่างไร!" เรกิพูดขึ้นมาบ้าง"นายท่านมาแล้ว!!" เอกิลเตือน ทุกคนหันไปมองประตู แล้วเลือนหายไปประตูถูกเปิดออกอย่างแรง คนที่กำลังเดินผ่านประตูเข้ามามีสีหน้าราวกับพยัพฝน คงทำความสะอาดเนื้อตัวมาแล้ว จึงเหลือแต่เสื้อตัวใน เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ แววตาที่เคยสุภาพอบอุ่น ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความคมกล้า จ้องมองเขม็งอย่างเอาเรื่องเต็มที่ จนทำให้เธอไม่กล้าแม้จะสบตาตรงๆ ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คงต้องแก
ตอนนี้ยามซื่อแล้ว(09.00-10.59น.) ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆดำทะมึน ราวกับธรรมชาติ กำลังสำแดงอำนาจข่มขวัญโลกมนุษย์ ฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย สลับกับสายลมกระโชกแรง อินทุภายืนอยู่บนกำแพงเมือง สายตาจับจ้องไปยังขอบฟ้า รอคอยสถานการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างสงบ เธอไม่อยากปกป้องตนเอง ด้วยการทำลายชีวิตของผู้อื่น แม้ว่าวิวัฒนาการจากโลกอนาคต จะทำให้เธอโกงความตายได้ ทว่าหลังแนวกำแพงนี้ มีประชาชนหยางซื่อนับหมื่นชีวิต ฝากความหวังไว้กับเธอเพียงผู้เดียว พวกเขาเชื่อมั่นว่า เธอจะปกป้องครอบครัวของพวกเขา จากความโหดร้ายของศัตรูได้ สายตาทุกคู่ จับจ้องไปยังแผ่นหลัง ของหญิงสาวในชุดเกราะ เธอไม่มีปิ่นปักผมล้ำค่า หรืออัญมณีงดงาม เหมือนสตรีทั่วไป แต่กลับใช้เพียงเชือกสีดำ มัดรวบมวยผมไว้อย่างเรียบง่าย แม้ภายนอกจะดูบอบบาง แต่ภายในกลับแข็งแกร่ง ดุจนักรบที่ผ่านสมรภูมิมาแล้วนับร้อยครั้ง"ทัพเชี่ยอยู่ห่างออกไปห้าหลี่แล้วขอรับ!" ทหารรายงานพลางยื่นกล้องส่องทางไกลให้ อินทุภารับมา และเพ่งมองออกไปเบื้องหน้า ความทะเยอทะยานอันเห็นแก่ตัวขององค์ชายซุนจ่งซาน ได้ลากกองทหารที่อ่อนล้า และตรากตรำจากภัยธรรมชาติ ให้มาหยุดยืนอยู
"เสี่ยวจื่อเด็กดี! เจ้าไม่กินไม่นอน ข้าทุกข์ใจยิ่ง!" ฮ่องเต้ดูจะชมชอบการเปลื่ยนชื่อเรียกหญิงสาว ถ้าไม่เสี่ยวจื่อ ก็เป็นเสี่ยวซา"ก็หม่อมฉันเป็นห่วงเสด็จพ่อกับท่านแม่นี่นา แล้วยังมีพี่ชายทั้งสามที่ต้องรบอยู่แนวหน้าอีก!" จือซาทำหน้าเศร้า"เจ้าอย่ากังวลไปเลย มีแม่ทัพหยางอยู่ทั้งคน เขาเก่งกล้าสามารถเพียงใดเจ้าก็รู้ ทุกคนจะปลอดภัยจากสงครามครั้งนี้! ข้ารับรอง!""อืม" หญิงสาวรับคำ พร้อมกับซุกหน้าลงไปที่อกกว้าง"ถ้างั้น! ดื่มซุปไก่นี่สักหน่อย ข้าลงครัวด้วยตัวเองเชียวนะ!" เขาพูดอย่างภาคภูมิใจฮ่องเต้ตักชิ้นไก่ตุ๋นเนื้อนุ่มพอดีคำใส่ไว้ในช้อน ส่งถ้วยให้เธอถือ แล้วเดินไปรินน้ำชา จือซามองถ้วยซุปด้วยความซึ้งใจ ในมุมอ่อนโยนของเขา ซึ่งมักจะทำให้เธอรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนพิเศษอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวยิ้มบางๆ พลางยกช้อนขึ้นใส่ปาก"อื๋ออ..เค็ม!!" เธอพูดแล้วชะงักกึก รีบเงยหน้ามองฮ่องเต้กลัวเขาจะน้อยใจ ซึ่งเขาก็หันมาทันที ที่ได้ยินเสียงเธออุทานออกมา"อื้อหือ!..ขะ..เข้ม!..เข้มข้นมาก! นับว่าเปิดหูเปิดตาหม่อมฉันแล้ว!" เสียงพูดจืดเจื่อนเพราะรู้สึกขมไปตลอดช่องคอ พยายามปรับสีหน้าให้อยู่ในระดับปกติ ฮ่องเต้หนุ่มยิ้ม น
ภายใต้การวางแผนยุทธศาสตร์ขององค์ชายซุน และการบัญชาการโดยตรงของฮ่องเต้ซุนตี้ชุน สงครามครั้งใหญ่ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน บัดนี้ได้กลายเป็นการประหัตประหารอย่างโหดเหี้ยม กองทัพมหึมาของแคว้นซ่ง แคว้นคัง และแคว้นเป่ยเหลียง ต่างพ่ายแพ้ย่อยยับ ทหารนับไม่ถ้วนล้มตายเกลื่อนกลาด ผู้ที่รอดชีวิตมีไม่ถึงหนึ่งในสิบ อำนาจของแคว้นเชี่ยแผ่ขยายรวดเร็วจนน่าตระหนก เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เหล่าแม่ทัพและทหารแคว้นเชี่ยไม่เคยคิดเลยว่า การพิชิตแคว้นหนึ่งจะง่ายดายถึงเพียงนี้ กลิ่นคาวเลือดแห่งชัยชนะ ปลุกโหมกำลังใจให้ลุกโชนดั่งเปลวเพลิง ธงของแคว้นเชี่ยสะบัดพลิ้วอยู่เบื้องหน้ากองทัพเสมอ ดั่งสัญลักษณ์แห่งชัยชนะอันมิอาจต้านทาน ฮ่องเต้ซุนตี้ชุนและองค์ชายซุน ได้กลายเป็นวีรบุรุษสงครามในสายตาทหารหาญทุกผู้คน ท่ามกลางความตระหนกหวาดกลัวทั่วหล้า แผ่นดินถูกย้อมแดงด้วยโลหิตสุดลูกหูลูกตา เงาทมิฬแห่งสงครามแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ โดยมีแคว้นเชี่ยเป็นศูนย์กลาง กองทัพเดินหน้าขยายอาณาเขตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่า แผนยุทธการขององค์ชายซุน จะนำพาแคว้นเชี่ยสู่ชัยชนะได้ในเวลาอันสั้นเพียงนี้ สองฟากถนนเต็มไปด้วยซากศพและโครงกระดูก
ก่อนที่อินทุภาจะไปวังหลวงคราวก่อน ช่วงที่ซ่อมกำแพงเมือง ได้สั่งให้ช่างทำห้องใต้ดินใต้คลังเสบียงไว้ด้วย จึงได้ใช้ในช่วงเวลาที่มีศึกสงครามเช่นนี้ เธอทำเสบียงลวงไว้ชั้นบน แต่เก็บเสบียงทั้งหมดไว้ชั้นใต้ดิน เพื่อป้องกันศัตรูบุกเผาทำลาย และทำทีว่าป้องกันหละหลวมสร้างอุบายลวง แต่ทุกจุดสำคัญของเมือง มีทหารสอดแนมของกองทหารพิเศษคอยจับตาอยู่หยางติงเข้ามารายงานข่าวจากทหารสอดแนม ว่ากองทัพเชี่ยมีกำลังพลประมาณสองแสนสามหมื่น แต่ได้แบ่งออกเป็นสามทัพดังที่อินทุภาคาดไว้ แต่ทั้งสามทัพนี้ มิได้ยกมาพร้อมกัน และเดินทัพทิ้งระยะห่างกันมาก โดยที่ทัพหน้ามีกำลังพลประมาณสามหมื่น ซึ่งทัพหน้านี้คงจะเป็นการบุกแบบหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ อีกสองทัพแบ่งเป็นทัพละหนึ่งแสน ทัพสองแน่นอนว่าใช้ตัดกำลัง และทัพสามคงจะมุ่งหวังโจมตีเต็มที่อินทุภาเลยคิดแผน จากการที่ศัตรูเดินทัพ ทิ้งระยะห่างกันเกินไปนี้ มาใช้ประโยชน์ โดยจะใช้กลยุทธ์ในตำราพิชัยสงครามเจ็ดตำนานชื่อว่า..’ลับลวงพราง’โดยให้หยางติง นำทัพแรกกำลังพลหนึ่งหมื่นนาย ประกอบไปด้วยกองปืนคาบศิลา พลธนู กองทะลวงฟัน หรือกองทหารพิเศษเคลื่อนที่เร็ว ไปดักซุ่มโจมตีทัพหน้า โดยต้องรีบออกเดินทา
พอลับสายตาจากภายนอก เขาก็สอดมือรั้งท้ายทอยหญิงสาวเข้าชิด แล้วจู่โจมริมฝีปากอวบอิ่มแทบจะในเสี้ยววินาที อย่างเร่าร้อนหนักหน่วง ราวกับว่าเธอคือลมหายใจสุดท้าย ที่เขาโหยหามาตลอดชีวิต มือข้างหนึ่งกอดเอวบอบบางไว้แน่น อีกข้างจับท้ายทอยให้ขยับมุมตามริมฝีปากของเขา อินทุภาตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่สุดท้ายก็หลับตาพริ้ม จูบตอบจุมพิตที่แสนรัญจวนใจนี้ด้วยความยินยอม มือไม้เผลอไผลเกาะลำคอเขาไว้แน่น ลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวไปจนหมด"ฝ่าบาท.." อินทุภาครางเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระชั่วครู่ ก่อนจะจุมพิตเขาด้วยความโหยหาไม่ต่างกัน ปลายลิ้นของเธอถูกเขาดึงดูดเข้าหาราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาล เขาถอนริมฝีปากมาซุกไซ้ที่ซอกคอ เธอเลยกัดที่คอเขาเบาๆ แล้วเลื่อนมากัดที่ปลายคาง ขบเม้มดูดดุนไปทั่วซอกคอ ในขณะที่อีกมือค่อยๆ ดึงสายรัดเอวของเขา แหวกสาบเสื้อให้เปิดออกกว้าง"เมียรัก.." เขาพูดเสียงเบาเหมือนคนละเมออินทุภาแลบปลายลิ้นเลียลิ้มชิมรสยอดอกสีชมพูคล้ำ สองนิ้วเค้นเขี่ยเม็ดตุ่มสีสวยอีกข้าง เรียกเสียงครางครวญจากอีกฝ่ายให้หอบหนักขึ้น ตามอารมณ์ที่กำลังไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ขณะที่อีกมือก็ค่อยๆ คลายสายรัด จนทำให้ขอบกางเกงขยายออ