ผลจากการประชาสัมพันธ์ของอินทุภาในวันนั้น นำพาผู้คนมารอชมการแสดงอย่างล้นหลามในวันนี้ โต๊ะจองเต็มทั้งสองชั้น หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นจนมือชื้น เพราะนี่เป็นครั้งแรก ที่เธอแสดงโชว์ในที่สาธารณะ นอกเหนือไปจากที่เคยเล่นกับครอบครัวยามว่างวันนี้เธอใช้ผ้าแพรผืนบาง ประดับด้วยอัญมณีชิ้นเล็กๆ เรียงเป็นลวดลายสวยงามตลอดผืน เพื่อความสะดวกในการแสดง จึงปิดบังใบหน้าไว้เพียงแค่ช่วงจมูก แต่เธอกลับหารู้ไม่ว่า คนที่เคยรู้จักและเห็นหน้าเธอมาก่อน จะจำได้ทันทีว่าเธอคือใคร จุดสังเกตที่เด่นชัดก็คือนัยน์ตากลมโตฉายแววหวาน ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใครของเธออินทุภาให้ช่างมาต่อเติม สร้างเวทีการแสดงขึ้นมาใหม่ โดยยกพื้นให้สูงขึ้นช่วงกึ่งกลางเหลา ระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นสอง สามารถชมการแสดงได้ร้อยแปดสิบองศา เพราะต่อจากนี้ เฟินเยว่เหลาจะเป็นตัวกลาง เปิดโอกาสให้นักดนครีที่อยากโชว์ฝีมือ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาแสดง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่แน่ว่าในอนาคต เธออาจจะก่อตั้งโรงเรียนดนตรีขึ้นที่นี่ก็ได้ เพื่อเป็นทางเลือกให้เด็กๆ ในชุมชน ได้เลือกเรียนรู้ตามพรสวรรค์ของตัวเอง“พร้อมไหม?” หยางหมิงอวี้เดินมาจับมือ หญิงสาวสบตาแล้ว
หยางหมิงอวี้ปิดปากเงียบมาตลอดทาง ตั้งแต่ห้องทำงานมาจนถึงห้องพัก อินทุภาก็สงบปากสงบคำไว้เช่นกัน เพราะไม่รู้ว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหน“ไม่มีอะไรจะพูดเลยรึ?” เขาถามหลังจากเข้ามานั่งในห้อง“ก็ได้ยินหมดแล้วไม่ใช่หรือเพคะ แล้วก็ของสิ่งนี้..” อินทุภาแบของในมือให้ดู “หม่อมฉันจำเป็นต้องรับไว้”“จำเป็น? จำเป็นถึงขนาดไหนกัน ไม่ว่าอย่างไรมันก็คือของแทนใจจากชายอื่น ถ้าไม่รับก็ไม่ใช่การหักหน้ามันหรอก มันเสือกแหยมเข้ามาเอง!” หยางหมิงอวี้พูดอย่างหงุดหงิดใจ“นี่คือหินแห่งการปกป้อง! หม่อมฉันกำลังตามหาสิ่งนี้อยู่” เธอพยายามอธิบาย“หมายความว่าอย่างไร?” อย่างหมิงอวี้สงสัย เธอจึงเล่าความฝันให้ฟังทั้งสองครั้ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับอัญมณีที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ด้วย“ทีนี้หม่อมฉันสามารถเก็บเจ้าสิ่งนี้ ไว้กับตัวได้หรือยังเพคะ?” เธอขอความเห็น“ก็.. ทีหลังมีอะไรก็บอกกันตรงๆ ก่อน ห้ามปิดบัง จะได้มาช่วยกันคิดวิเคราะห์แยกแยะ” เขาออกปากอนุญาต แต่ลึกๆ ก็ยังรู้สึกแสลงในใจอินทุภาพยักหน้า เข้าไปหอมแก้ม และกล่าวขอบคุณเขา ทำให้ต้องเงียบกันไปอีกนาน เพราะเขาตอบรับคำขอบคุณด้วยจูบที่หนักหน่วงและเร้าอารมณ์“แล้วก็ห้ามไปให้มันก
อินทุภากำลังเคลิ้มๆ เมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกเล้าโลมโดยสัมผัสจากมือและริมฝีปากที่คุ้นเคย เธอฝันว่ากำลังเมคเลิฟกับสามี เสมือนจริงเสียจนไม่อยากตื่น ขนาดอยู่ในฝันก็ยังสามารถทำให้วาบหวามซาบซ่านได้ถึงขนาดนี้ เธอคิดถึงรสพิศวาสที่เขาเคยปรนเปรอให้เสียเหลือเกินแต่จู่ๆ หญิงสาวก็รู้สึกอึดอัดคับแน่นบริเวณด้านล่าง ค่อนข้างเจ็บเล็กน้อย จึงปรือตาขึ้นโดยไม่รู้ตัว“ฝ่าบาท!!”“ตกใจอะไร? ทำไมต้องตกใจ? ก็เห็นให้ความร่วมมือดี”อินทุภาหัวเราะเบาๆ“หม่อมฉันนึกว่ากำลังฝัน คิดถึงฝ่าบาทเหลือเกินเพคะ อยากให้กอด อยากให้จูบแบบนี้” แล้วเธอก็โน้มหน้าเขาลงมาจูบเสียเองชายหนุ่มขยับช้าๆ ขึ้นลงในทีแรก พร้อมๆ กับจูบหนักหน่วงเรียกร้องเร้าอารมณ์ในนาทีต่อมา หยางหมิงอวี้อดอยากมานาน จึงเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น พอๆ กับที่อินทุภาก็เริดร้างรสสัมผัสจากเขามานานเช่นกัน เอวบางจึงขยับเด้งรับความแข็งขมึงของเขา ด้วยความเร่าร้อน แท่งเนื้ออวบใหญ่ถูกดูดกลืนหายไปในโพรงเนื้อนิ่ม ความแน่นหนึบบีบรัดไว้เสียจนแทบขยับเข้าออกไม่ได้ ชายหนุ่มรู้สึกเสียวสะท้านตลอดลำเอ็น เมื่อถูกตอดรัดเป็นจังหวะ เขาดึงออกมาจนสุด แล้วอัดกระแทกเข้าไปอีกหนักๆ จนมิดโคน สะโพ
อินทุภาร่วมกับนักบัญชีของหอจินไผและหยางมี่ ตรวจสอบบัญชีของกิจการอย่างละเอียด พบความผิดปกติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่สูญหาย รายการบันทึกที่ตกหล่น ราคาซื้อ-ขายที่คลาดเคลื่อน ปริมาณที่ไม่ตรงกับเอกสาร รวมถึงยอดบัญชี ที่ขัดแย้งกันในหลายส่วน และปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นต่อเนื่อง มาตั้งแต่ผู้ดูแลคนปัจจุบัน เข้ารับตำแหน่งเมื่อสามเดือนก่อนเธอเห็นว่าจำเป็นต้องล้างระบบเก่าทิ้ง แล้ววางระบบใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบ รื้อโครงสร้างทั้งหมดกันใหม่เลยทีเดียว เริ่มจากยัยผู้ดูแลตัวแสบนี่แหละ!! ……………………“เอาล่ะ ข้าให้อาเหม่ยรวบรวมรายการข้อผิดพลาด ตลอดช่วงสามปีที่ผ่านมา ให้เห็นเป็นรูปธรรม และขอบอกไว้ก่อนว่า อย่าคิดโทษการทำงานของอาเหม่ย นางเพิ่งเข้ามารับงานเมื่อกลางปีที่แล้ว และทำงานได้อย่างดีเยี่ยม ละเอียดรอบคอบเป็นที่สุด แต่คงพูดอะไรไม่ได้ เมื่อรู้ที่มาของความผิดปกติเหล่านี้ เอาเถอะ! ท่านผู้ดูแล อธิบายให้ฟังหน่อยเป็นไง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” ผู้ดูแลรับกระดาษที่อาเหม่ยลิสต์รายการออกมาเป็นข้อๆ รวมแล้วประมาณห้าแผ่น พลางไล่สายตาอ่านไปเรื่อยๆ สีหน้าของนางค่อยๆ เปลี่ยนไป ริมฝีปากเริ่มสั่นระริก ความซีดเผือดปรากฏชัดเจน
วันนี้พระจันทร์เต็มดวง อินทุภาออกมานั่งสมาธิ รับพลังงานจากแสงจันทร์ที่ศาลากลางสวนของบ้านตระกูลหวาง เสร็จแล้วก็นั่งเล่นรับลมต่อ เธอรู้สึกเหงา และคิดถึงสามีที่เดินทางกลับไปเป็นสัปดาห์แล้ว ถึงแม้เธอจะรักงานมากแค่ไหน แต่การดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ที่ไม่มีเขาเคียงข้าง มันก็ดูแห้งแล้งเงียบเหงาไปหมดหญิงสาวใจลอยคิดถึงงานโชว์สินค้าในวันพรุ่งนี้ ซึ่งก็เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว และยังทำป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ ไว้ที่หน้าหอจินไผอีกด้วย ดูเหมือนจะมีคนให้ความสนใจเป็นวงกว้าง มีมาถามหาซื้อบัตรกันมากมาย จนเธอต้องสั่งทำเพิ่มหวางกุ้ยเฟยให้คนจากในวังมาแจ้งข่าว ว่าจะมีแขกพิเศษร่วมทางมากับพระองค์ด้วย ขอให้จัดเตรียมสถานที่ให้เป็นส่วนตัว และสามารถมองเห็นบรรยากาศภายในงานได้อย่างชัดเจน หญิงสาวไม่ทราบจำนวนว่ามีกี่ท่าน เพราะไม่ได้แจ้งมาด้วย แต่ก็จัดเตรียมตกแต่งสถานที่ ที่ชั้นสองไว้ให้ ซึ่งก็กว้างขวางพอสมควร เธอสั่งให้ผู้คุ้มกันแฝงกายเป็นพนักงาน คอยดูแลเมื่อแขกพิเศษมาถึงอินทุภาออกแบบเวที เป็นแบบแคทวอร์ค เหมือนในมิติปัจจุบัน และออกแบบให้ช่างทำปล่องไฟ สำหรับใช้ส่องตามนางแบบ เวลาเดินเยื้องย่างนำเสนอสินค้าบนเวที แล
“เสด็จพี่! หม่อมฉันเข้าไปนะเพคะ” หยางมี่เคาะประตูแล้วตะโกนให้เสียง“เข้ามาสิ” เขาอนุญาต“โอ๊ะตื่นแล้ว! ตาใสเชียว เป็นอย่างไรบ้างพี่สะใภ้”“รู้สึกหิวข้าว” หยางหมิงอวี้ได้ยินดังนั้น ก็ขยับตัวจะลุก“ไม่ต้องลุก! หม่อมฉันสั่งเด็กให้ยกซุปไก่ตุ๋นมาแล้ว เดี๋ยวคงจะตามมาหรอก” หยางมี่รีบบอกพี่ชาย“งานเป็นอย่างไรบ้าง?” หยางมี่กำลังหย่อนก้นลงนั่ง พอได้ยินพี่สะใภ้ถามเรื่องงาน ก็ชะงักค้างนิดหนึ่ง ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งอย่างที่ตั้งใจแต่แรก“ดูแลตัวเองก่อน อย่าเพิ่งห่วงเรื่องงาน มีข้าอยู่ทั้งคนเจ้าไม่ต้องกังวลสิ่งใดเลย เจ้าก็ฝึกงานข้าพอจะได้เรื่องได้ราวอยู่บ้างหรอก ข้าเคยเห็นตัวอย่างจากการทำงานของเจ้า แล้วก็จัดการตามที่เห็นสมควรก่อน ไว้เจ้าหายดีเมื่อไหร่ ค่อยมาปรับเปลี่ยนแก้ไขอีกที อ้อ!..มีข่าวดี งานจัดแสดงสินค้าที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ยอดสั่งซื้อเข้ามาอย่างล้นหลาม ฝ่ายผลิตกำลังเร่งผลิตเท่าที่พอจะทำได้ไปก่อน ส่วนขั้นตอนสุดท้ายก็รอให้เจ้ากลับไปดำเนินการ”“เพคะ เอาไว้ให้ดีขึ้นกว่านี้อีกหน่อย หม่อมฉันจะสอนสูตรลับให้ แต่พระองค์ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง แล้วจดจำไว้ในหัว ห้ามจดบันทึกไว้โดยเด็ดขา
“นี่!! ตื่นๆ ยัยจอมขี้เซา!”“อะไรอีกล่ะลูน่า!! จะต่อว่าอะไรอีกรึ?”“จะมาเตือนต่างหากเล่า! มีบางสิ่งในความมืดกำลังคืบคลานเข้ามา เธอจงระวังตัวไว้ให้ดี อย่าไว้ใจใครง่ายๆ ใกล้ถึงวันพระจันทร์เต็มดวงอีกแล้ว ออกมาอาบแสงจันทร์บ่อยๆ เพื่อทำสมาธิ และเพิ่มพลังให้ตัวเอง อีกอย่างเรายังหาเรกิไม่เจอ ช่วยตามหาให้พวกเราด้วย!”“อะไรคือเรกิ?”“เมียรัก! ตื่นเถอะเจ้า ข้าจะออกเดินทางแล้ว!” หยางหมิงอวี้เข้ามากอด แล้วหอมแก้มอินทุภาฟอดใหญ่“ฝ่าบาท!! ตายจริงหม่อมฉันขี้เซาจัง”“เป็นข้าที่ตื่นเร็ว ยังเช้าอยู่หรอก ปลุกเจ้าเพื่อบอกลาเท่านั้นเอง ข้าไปแล้วค่อยนอนต่อ”เธอกอดคอเขาไว้แน่น“เมื่อไหร่หม่อมฉันจะได้เจอฝ่าบาทอีกล่ะเพคะ?” หญิงสาวออดอ้อนเสียงหวาน“กว่าลาดตระเวนเสร็จก็ราวๆ สามสัปดาห์ เสร็จงานแล้วจะรีบมาหานะ” เขาพูดแล้วจุมพิตที่ริมฝีปากเบาๆ ทีหนึ่ง“ดูแลตัวเองด้วย ข้าสั่งคนสนิทให้ดูแลเจ้าเป็นอย่างดี คงมาแนะนำตัวสักวันหรอก ตอนนี้เขากำลังติดภาระกิจอยู่ กินข้าวและนอนให้ตรงเวลาด้วย เข้าใจหรือไม่!”“เพคะ”“นอนต่อเถอะ ไม่ต้องออกไปส่ง” เขาจูบหน้าผาก จูบจมูก จูบปาก ลูบไล้แก้มนวลด้วยปลายนิ้วอย่างอ้อยอิ่ง มองไปทั่วหน้านว
“ฝ่าบาท! หม่อมฉันพาสมาชิกใหม่มาขออาศัยชั่วคราวเพคะ” หยางมี่เงยหน้าจากหนังสือที่กำลังอ่านอยู่“มาสักที! กำลังรอกินข้าว หิวจนไส้กิ่วแล้ว!”“มีเรื่องที่หอจินไผเพคะ เลยช้าไปหน่อย”“เกิดอะไรขึ้น?”“ห้องทำงานถูกรื้อค้น แต่ของมีค่ายังอยู่ครบทุกชิ้น”“มันกำลังหาอะไร?...หรือว่า..” แล้วหญิงสาวก็เบิกตากว้างขึ้น “แบบนี้ใช่ไหม..เจ้าถึงย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามจดบันทึก!” เธอพูดด้วยความตื่นเต้น“เพคะ แม่หม่อมฉันเคยเล่าว่า ท่านตาก็เคยเกิดปัญหาแบบนี้ เขาเรียกว่าการโจรกรรมข้อมูล!”“เหมือนพวกขโมยความลับทางทหารน่ะรึ?” สองสาวหัวเราะกันเสียงใส ในขณะที่ผู้มาใหม่มองคนนั้นที คนนี้ทีอย่างไม่เข้าใจว่า สองสาวกำลังคุยกันเรื่องอะไร รู้แต่ว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวันนี้แน่ๆ จึงคอยฟังอยู่ เผื่อได้ข้อมูลเพิ่มเติม“เอ้า! ลืมไปเลย! ผู้แซ่เหลียง นี่องค์หญิงหยางมี่ พระขนิษฐาท่านอ๋อง”“คารวะองค์หญิง” ชายหนุ่มลุกขึ้นทำความเคารพ“ฝ่าบาทเพคะ ท่านผู้นี้คือ เหลียงอินชง บอดี้การ์ดที่หม่อมฉันพามาคุ้มครองพระองค์ เป็นคนของท่านอ๋อง” อินทุภาพูดทับศัพท์ เพราะหยางมี่เริ่มเข้าใจ และสื่อสารภาษาอังกฤษได้พอสมควรแล้ว“ผู้แซ่เหลียง! หน้าที่หลัก
ภายใต้การวางแผนยุทธศาสตร์ขององค์ชายซุน และการบัญชาการโดยตรงของฮ่องเต้ซุนตี้ชุน สงครามครั้งใหญ่ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน บัดนี้ได้กลายเป็นการประหัตประหารอย่างโหดเหี้ยม กองทัพมหึมาของแคว้นซ่ง แคว้นคัง และแคว้นเป่ยเหลียง ต่างพ่ายแพ้ย่อยยับ ทหารนับไม่ถ้วนล้มตายเกลื่อนกลาด ผู้ที่รอดชีวิตมีไม่ถึงหนึ่งในสิบ อำนาจของแคว้นเชี่ยแผ่ขยายรวดเร็วจนน่าตระหนก เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เหล่าแม่ทัพและทหารแคว้นเชี่ยไม่เคยคิดเลยว่า การพิชิตแคว้นหนึ่งจะง่ายดายถึงเพียงนี้ กลิ่นคาวเลือดแห่งชัยชนะ ปลุกโหมกำลังใจให้ลุกโชนดั่งเปลวเพลิง ธงของแคว้นเชี่ยสะบัดพลิ้วอยู่เบื้องหน้ากองทัพเสมอ ดั่งสัญลักษณ์แห่งชัยชนะอันมิอาจต้านทาน ฮ่องเต้ซุนตี้ชุนและองค์ชายซุน ได้กลายเป็นวีรบุรุษสงครามในสายตาทหารหาญทุกผู้คน ท่ามกลางความตระหนกหวาดกลัวทั่วหล้า แผ่นดินถูกย้อมแดงด้วยโลหิตสุดลูกหูลูกตา เงาทมิฬแห่งสงครามแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ โดยมีแคว้นเชี่ยเป็นศูนย์กลาง กองทัพเดินหน้าขยายอาณาเขตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่า แผนยุทธการขององค์ชายซุน จะนำพาแคว้นเชี่ยสู่ชัยชนะได้ในเวลาอันสั้นเพียงนี้ สองฟากถนนเต็มไปด้วยซากศพและโครงกระดูก
ก่อนที่อินทุภาจะไปวังหลวงคราวก่อน ช่วงที่ซ่อมกำแพงเมือง ได้สั่งให้ช่างทำห้องใต้ดินใต้คลังเสบียงไว้ด้วย จึงได้ใช้ในช่วงเวลาที่มีศึกสงครามเช่นนี้ เธอทำเสบียงลวงไว้ชั้นบน แต่เก็บเสบียงทั้งหมดไว้ชั้นใต้ดิน เพื่อป้องกันศัตรูบุกเผาทำลาย และทำทีว่าป้องกันหละหลวมสร้างอุบายลวง แต่ทุกจุดสำคัญของเมือง มีทหารสอดแนมของกองทหารพิเศษคอยจับตาอยู่หยางติงเข้ามารายงานข่าวจากทหารสอดแนม ว่ากองทัพเชี่ยมีกำลังพลประมาณสองแสนสามหมื่น แต่ได้แบ่งออกเป็นสามทัพดังที่อินทุภาคาดไว้ แต่ทั้งสามทัพนี้ มิได้ยกมาพร้อมกัน และเดินทัพทิ้งระยะห่างกันมาก โดยที่ทัพหน้ามีกำลังพลประมาณสามหมื่น ซึ่งทัพหน้านี้คงจะเป็นการบุกแบบหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ อีกสองทัพแบ่งเป็นทัพละหนึ่งแสน ทัพสองแน่นอนว่าใช้ตัดกำลัง และทัพสามคงจะมุ่งหวังโจมตีเต็มที่อินทุภาเลยคิดแผน จากการที่ศัตรูเดินทัพ ทิ้งระยะห่างกันเกินไปนี้ มาใช้ประโยชน์ โดยจะใช้กลยุทธ์ในตำราพิชัยสงครามเจ็ดตำนานชื่อว่า..’ลับลวงพราง’โดยให้หยางติง นำทัพแรกกำลังพลหนึ่งหมื่นนาย ประกอบไปด้วยกองปืนคาบศิลา พลธนู กองทะลวงฟัน หรือกองทหารพิเศษเคลื่อนที่เร็ว ไปดักซุ่มโจมตีทัพหน้า โดยต้องรีบออกเดินทา
พอลับสายตาจากภายนอก เขาก็สอดมือรั้งท้ายทอยหญิงสาวเข้าชิด แล้วจู่โจมริมฝีปากอวบอิ่มแทบจะในเสี้ยววินาที อย่างเร่าร้อนหนักหน่วง ราวกับว่าเธอคือลมหายใจสุดท้าย ที่เขาโหยหามาตลอดชีวิต มือข้างหนึ่งกอดเอวบอบบางไว้แน่น อีกข้างจับท้ายทอยให้ขยับมุมตามริมฝีปากของเขา อินทุภาตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่สุดท้ายก็หลับตาพริ้ม จูบตอบจุมพิตที่แสนรัญจวนใจนี้ด้วยความยินยอม มือไม้เผลอไผลเกาะลำคอเขาไว้แน่น ลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวไปจนหมด"ฝ่าบาท.." อินทุภาครางเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระชั่วครู่ ก่อนจะจุมพิตเขาด้วยความโหยหาไม่ต่างกัน ปลายลิ้นของเธอถูกเขาดึงดูดเข้าหาราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาล เขาถอนริมฝีปากมาซุกไซ้ที่ซอกคอ เธอเลยกัดที่คอเขาเบาๆ แล้วเลื่อนมากัดที่ปลายคาง ขบเม้มดูดดุนไปทั่วซอกคอ ในขณะที่อีกมือค่อยๆ ดึงสายรัดเอวของเขา แหวกสาบเสื้อให้เปิดออกกว้าง"เมียรัก.." เขาพูดเสียงเบาเหมือนคนละเมออินทุภาแลบปลายลิ้นเลียลิ้มชิมรสยอดอกสีชมพูคล้ำ สองนิ้วเค้นเขี่ยเม็ดตุ่มสีสวยอีกข้าง เรียกเสียงครางครวญจากอีกฝ่ายให้หอบหนักขึ้น ตามอารมณ์ที่กำลังไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ขณะที่อีกมือก็ค่อยๆ คลายสายรัด จนทำให้ขอบกางเกงขยายออ
“ท่านอ๋อง! ท่านเยว่! มีสาส์นด่วนจากวังหลวงขอรับ!” อินทุภาหยิบมาให้หยางหมิงอวี้ แล้วพยักหน้าให้ทหารส่งสาส์นออกไปได้“ฝ่าบาทมีคำสั่ง ให้นำทัพฉิวซีหนึ่งแสน ไปช่วยแคว้นฉินต้านกองทัพเชี่ย!” หยางหมิงอวี้อ่านสาร์นให้ฟัง“โอ้ว มาย!! อุบายตีใกล้แสร้งไกลสินะ!” มุมปากอินทุภาเชิดเล็กน้อย‘กลยุทธ์ตีใกล้แสร้งไกล’ คือ การทำให้ศัตรูเข้าใจผิดว่าเป้าหมายของเราคือที่ไกล แต่แท้จริงแล้วเป้าหมายที่แท้จริงคือมุ่งโจมตีจุดที่อยู่ใกล้ โดยใช้กลลวงหรือเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อให้ศัตรูตัดสินใจผิดพลาด และเปิดช่องโหว่ให้เราจู่โจมได้สำเร็จ“ใช่! ทำลวงประชิดแคว้นซ่ง แต่ตั้งใจโจมตีแคว้นฉิน! ด้วยทหารหนึ่งแสนห้าหมื่น แต่ดูจากข้อมูลล่าสุด แคว้นเชี่ยมีทหารประมาณสี่แสนกว่า แต่แบ่งกำลังไปเพียงแสนห้า เกรงว่าจะมีแผนซ้อนแผนแน่แล้ว!”"เหมือนกับกลยุทธ์ล้อมเวยช่วยจ้าวใช่ไหมเพคะ?"“คิดเหมือนกัน! เขาวางแผนยิงธนูดอกเดียวได้เหยี่ยวสองตัว ลวงว่าจะตีแคว้นฉินแต่จริงๆ แล้วจะอ้อมหลังบุกต้าฉิวซี และเพื่อให้ฉิวซีส่งกำลังไปช่วย ซึ่งแน่นอนว่าข้าต้องเป็นผู้บัญชาการทัพ หยางซื่อก็จะร้างผู้นำ พอเหมาะพอดีสำหรับทัพอีกสองแสนที่เหลือจะบุกโจมตี!”‘ล้อมเ
ท่ามกลางม่านอวกาศอันมืดมิด ดวงดาวสุกสกาวแข่งกันส่องแสง สลับกับความว่างเปล่าของจักรวาล เบื้องหลังเสียงสะท้อนของกาลเวลา แสงสีดำหม่นค่อยๆ คืบคลานกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ราชาดาวนิลได้ลงมือแล้วตูมมมมมม!!!เสียงระเบิดดังสนั่นจากท้ายยาน คลื่นพลังมหาศาลซัดกระแทกยาน จนสะเทือนรุนแรง แทบจะฉีกทุกสิ่งออกเป็นเสี่ยงๆ ควันและเปลวเพลิงพวยพุ่งผ่านกระจกห้องควบคุม ภายในห้อง ทุกอย่างอยู่ในสภาพเละเทะ ไฟลุกไหม้ตามแผงควบคุม ตัวเลขสีแดงกะพริบแจ้งเตือนระดับพลังงานที่ลดฮวบ “เรากำลังจะตกแล้ว!” เอกิลตะโกนลั่น พยายามกดแป้นควบคุม เพื่อรักษาสมดุลของยาน แต่มันไม่ตอบสนอง “ถ้ายานชนพื้นโลกในสภาพนี้ พวกเราคงไม่มีใครรอดแน่ๆ!” มูลาหันไปมองลูน่า ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ลูน่ากัดฟันแน่น ขณะเอื้อมมือที่สั่นระริก กดปุ่มปลดล็อกกลไกฉุกเฉิน กริ๊ก!แคปซูลหลบหนีสี่ลูกค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาจากพื้น ม่านพลังสีทองเริ่มก่อตัวรอบแคปซูล เรกิที่แม้จะบาดเจ็บ แต่ก็ยังพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นมา“ลูน่า! อย่าคิดจะทำแบบนี้นะ!” เรกิรู้ดีว่า ลูน่ากำลังตัดสินใจจะทำอะไร “มีคนหนึ่งต้องอยู่คุมยาน” ลูน่ากล่าวเสียงแข็ง “ฉันจะไม่ปล่อยให้พวกเราต้องตายไปพร้อม
จือซาลืมตาตื่นก็เห็นร่างของบุรุษนอนอยู่เคียงกัน เธอขยับตัวไม่ได้เพราะถูกแขนของเขาพาดทับตัวไว้ หญิงสาวรีบสำรวจตนเอง แล้วก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอกที่ยังอยู่ในสภาพเสื้อผ้าปกปิดมิดชิด จึงค่อยๆ ยกแขนเขาขึ้นแล้วขยับตัวออก พยายามดึงชายกระโปรงออกจากร่างของเขา ที่นอนทับอยู่แต่ไม่สำเร็จ เขายังนอนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับอดหลับอดนอนมาหลายวันเอ.. หรือที่หนิวกงกงเล่าจะเป็นเรื่องจริง!หนิวกงกงบอกว่าตั้งแต่ฮองเฮาสิ้นพระชนม์ ฝ่าบาทก็เป็นโรคนอนไม่หลับ เคยบรรทมนานสุดแค่สองชั่วยามต่อวันเท่านั้นแต่ดูตอนนี้สิ!..นัยน์ตาแววหวานอ่อนโยนลง เธอขยับตัวเล็กน้อย เพื่อให้นอนมองหน้าอีกคนได้ชัดเจนขึ้น พร้อมอมยิ้มบางๆ กับท่าทางการนอนหลับปุ๋ยเหมือนเด็กน้อยของเขา มือเรียวบางลูบกลุ่มผมเด็กน้อยตรงหน้าเบาๆ พลางสงสัยว่าเขานอนคว่ำแบบนี้จะหลับสบายหรือเปล่า"ฝ่าบาท!" หนิวกงกงเรียกตรงหน้าประตูด้านในจือซารีบหันไปมองที่ประตูห้อง ส่งสายตาดุไปให้หนิวกงกง พร้อมทำท่านิ้วชี้ปิดปากเป็นสัญญาณว่าห้ามส่งเสียงดัง หนิวกงกงพยักหน้าว่าเข้าใจ ค่อยๆ ละจากหน้าประตูมาหยุดอยู่ใกล้ที่บรรทม "แม่นางจือซา! ได้เวลาเสวยพระกระยาหารเย็นแล้ว ไม่ทราบว่าจะปล
อินทุภาก้าวเข้าสู่ห้องคุมขังอย่างสง่างาม ใบหน้าเรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยอำนาจ ชุดสีเงินปักลายนกหลวนเฟิ่งสีน้ำเงินสะท้อนแสงไฟอ่อนๆ คล้ายหงส์ฟีนิกซ์ที่แผ่รัศมีเหนือผู้อื่น สนมเซียวที่นั่งอยู่ภายในมุมมืดเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและแววอริที่ไม่คิดปิดบังอีกต่อไป "มาทำไม? จะมาเยาะเย้ยข้ารึ?" นางแค่นเสียงถามด้วยความชิงชัง อินทุภาเพียงแค่ยิ้มบางเบา "ได้ข่าวว่าท่านตั้งครรภ์" สนมเซียวแค่นหัวเราะ มุมปากยกขึ้นในลักษณะเยาะเย้ย "เรื่องของข้าไม่เกี่ยวกับเจ้า!!" เสียงของนางแหลมขึ้น พยายามใช้ตำแหน่งเหนือกว่ากดอีกฝ่ายให้ต่ำลง แต่ท่วงท่ายืนของอินทุภายังคงสง่างาม มือแตะกันไว้ที่ระดับเอว แผ่นหลังตรงราวกับไม่มีสิ่งใดมากดทับ ดวงตาเรียบนิ่ง รัศมีนางพญาแผ่ซ่านโดยธรรมชาติ "แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่อยากข้องเกี่ยวกับท่านนัก แต่ข้ารับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้มาพูดกับท่าน จึงเห็นว่าลองเจรจากันดีๆ สักครั้งก็คงจะดีกว่า" สนมเซียวกำหมัดแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยความเคียดแค้น "ผู้ชนะย่อมได้ทุกสิ่ง! ตอนนี้เจ้าคงสุขใจมากสินะ? ไม่ต้องมาทำเสแสร้งต่อหน้าข้า! ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะซ้ำเติมให้สาสม!" "นั่นเป็นสิ่ง
"เยว่อิง!..มาแล้วรึ หมิงอวี้เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟัง ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ!” ฮ่องเต้ถอนพระทัย"ความลำบากนี้ เทียบกันไม่ได้เลย กับสิ่งที่ฝ่าบาทออกหน้าเพื่อปกป้องหม่อมฉัน มิหนำซ้ำยังเสียสละองค์เอง เป็นเหยื่อล่อคนที่คิดร้ายต่อบ้านเมือง ทำให้ชาวประชาพ้นภัย พวกเราซึ้งในพระมหากรุณายิ่งนัก ต่อให้ต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องฝ่าบาท หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ""ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา!" หยางหมิงอวี้ประสานมือคำนับ ฮ่องเต้ยิ้มอย่างอ่อนโยน“ข้าอาจไม่ใช่ฮ่องเต้ที่แข็งแกร่ง แต่จะพยายามเป็นฮ่องเต้ที่ดี! เอาล่ะ!..หยางหมิงอ๋อง..หยางเยว่อิงรับราชโองการ!” ฮ่องเต้หยางอี้ยิ้มนิดหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวต่อ "แม่ทัพหยางอารักขาข้า รบอย่างกล้าหาญ ทำให้กองทัพแคว้นฉิวซียิ่งใหญ่ วันนี้เรามีราชโองการแต่งตั้งให้หยางหมิงอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทน พระราชทานป้ายทองเว้นโทษตาย!”ฮ่องเต้หันมองมาทางอินทุภา“หยางเยว่อิง! ปราชเปรื่องกล้าหาญ เป็นนักวางกลยุทธ์ที่เยี่ยมยอด เปี่ยมด้วยเมตตา สนับสนุนหยางหมิงอ๋องให้ได้ชัยชนะ บัดนี้ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นพระชายา และรั้งตำแหน่งเป็นไท่เว่ย (ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดดูแลราชการฝ่ายทหาร เทียบเท่าส
"ก่อนอื่นเราต้องหาอุปกรณ์ทำมาหากินเสียก่อน!" หญิงสาวเชิดยิ้มมุมปากข้างหนึ่งเล็กน้อย ยืนกอดอกเก็กท่าเป็นกูรู อยู่หน้าร้านขายเครื่องดนตรี"กะลา?" ขอทานน้อยสงสัย"เฮ่ย! นั่นมันอุปกรณ์เก็บเงินตะหากเล่า! วันนี้เราจะเป็นขอทานเปิดหมวกกัน ตามข้ามา!!" หญิงสาวกอดคอขอทานน้อย พาเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องดนตรีอย่างมั่นใจ แต่ยังไม่ทันที่เท้าจะเหยียบผ่านธรณีประตู ก็ถูกเถ้าแก่ไล่เสียแล้ว"ไป! ไป! ออกไป! ไปขอทานที่อื่น! ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาเดินเข้าออกได้อย่างสบายใจได้นะ!!""เถ้าแก่! ข้าไม่ได้มาเดินเล่น ข้ามาซื้อของ!""น้ำหน้าอย่างพวกเจ้า! จะมีปัญญาเอาเงินที่ไหนมาซื้อ เก็บไม่กี่อีแปะเอาไว้กินข้าวเถอะ!! ไปๆ! ออกไป!" หน้าตาท่าทางเกรี้ยวกราด ดุดัน แบบไม่มีทีท่าว่าจะประนีประนอมเฮอะ!! ขอทานก็มีต่อมดนตรีนะลุง!!อินทุภาหันหลังเดินออก แต่พอก้าวออกมาได้เพียงสามก้าว สายตาก็ปะทะเข้ากับร้านขลุ่ยแผงลอยฟากตรงข้าม หญิงสาวดีใจวิ่งตรงดิ่งไปทันที แล้วหยิบขลุ่ยขึ้นมาเลือกรูปแบบ เลือกความถนัดมือ และกำลังจะยกขลุ่ยขึ้นแตะขอบปาก เพื่อจะทดสอบเสียง พลันนึกขึ้นได้ จึงหันไปมองลุงพ่อค้าที่มองมายิ้มๆ อย่างใจดี"ท่านลุง!