หยางติงหอบหญ้าแห้งกอใหญ่เข้ามาพอดี ตามด้วยทหารที่หอบหญ้ามาอีกกอหนึ่ง
“ช่วยกันจับหญ้าพันให้เป็นรูปคนเร็วเข้า!” อินทุภาสั่ง แล้วลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่นานก็ได้รูปโครงคล้ายหุ่นไล่กา
เธอจัดแจงสวมเสื้อผ้าให้หุ่น ตามด้วยผ้าคลุมที่คลุมตั้งแต่ศีรษะ แล้วผูกตรงคอให้ดูเหมือนศีรษะคน
หญิงสาวสั่งการให้ทหารแปดคนรออยู่ที่นี่ โดยให้เอาหุ่นปลอมของท่านอ๋องขึ้นม้าและผูกไว้ด้านหลัง เมื่อศัตรูเข้ามาใกล้ ให้ทหารลาดตระเวนทำเสียงโวยวาย แล้ววิ่งออกไปล่อให้พวกมันไล่ตาม
ส่วนกลุ่มของอินทุภาจะมีทหารสองนายที่เหลือ หยางติง เสียวมี่ และท่านอ๋อง ซึ่งจะออกเดินทางทันทีที่ท่านอ๋องพอจะทรงตัวได้
“ไปเถอะ! ข้าพอไหว” หยางหมิงอวี้พูด พร้อมพยุงตัวพยายามลุกขึ้น
อินทุภาพยักหน้าให้หยางติงช่วยพยุง แล้วพาท่านอ๋องเดินออกไปด้านนอก เพื่อเตรียมออกเดินทาง"
"ฝ่าบาท... ไปกับหม่อมฉัน!" อินทุภากระซิบเสียงหนัก รีบพยักหน้าให้หยางติงและนายทหารช่วยกันพยุงท่านอ๋องขึ้นหลังม้า
เธอกระโดดขึ้นตามไปนั่งซ้อนหน้า ดึงชายผ้าคลุมมาผูกรัดตัวเองกับหยางหมิงอวี้ไว้แน่น ตอนนี้ไม่มีที่ว่างให้ความลังเล มีแต่ทางรอดเท่านั้น!
"เราต้องรีบพาท่านอ๋องกลับค่าย ที่นั่นปลอดภัยที่สุด! เสี่ยวติง! นายนำไปก่อน ส่วนท่านสองรั้งท้ายคุ้มกันท่านอ๋อง!" ออกคำสั่งจบ อินทุภาก็กระตุ้นม้าออกตัวทันที
เสียงฝีเท้าม้ากระทบพื้นดังก้อง การควบเต็มฝีเท้าทำให้เกิดแรงกระแทกหนักหน่วง ท่านอ๋องที่หมดสติไปแล้วก็โอนเอนไปมา อินทุภาต้องโน้มตัวไปข้างหน้า เกร็งตัวเป็นหลักยึด ไม่ให้เขาร่วงหล่น ในจังหวะที่ม้าพุ่งทะยานฝ่าความเป็นความตาย
"มันตามมาแล้ว!" เสียงตะโกนของทหารทางด้านหลังทำให้หัวใจของเธอกระตุก
อินทุภากระตุ้นม้าให้เร่งฝีเท้าเข้าไปอีก ม้าตัวเขื่องเหมือนจะรับรู้ถึงอันตราย มันวิ่งเร็วขึ้นจนแซงหยางติง ทิ้งระยะห่างจากพวกคนชุดดำไปได้พอสมควร แต่ทันใดนั้น…
พรึ่บ!
ร่างในชุดดำพุ่งออกจากข้างทาง ม้าของอินทุภาผงะสุดตัว เธอต้องดึงบังเหียนขึ้นจนสุดแขน สองขาหน้าของมันยกขึ้นกลางอากาศ กระแทกเข้ากับไหล่ของคนชุดดำ ที่กำลังง้างธนูเตรียมยิง ร่างนั้นปลิวกระเด็นถอยหลังไปอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ในจังหวะเดียวกัน ปมผ้าที่เคยผูกไว้แน่นก็กลับคลายออก
ร่างของหยางหมิงอวี้ ลื่นไถลลงจากหลังม้าไปอย่างควบคุมไม่ได้ และผ้าคลุมนั้นก็ดึงรั้งให้อินทุภาไถลตามลงไปด้วย
เธอไม่มีทางเลือก ต้องปล่อยบังเหียนแล้วกระโจนลงมา ร่างกระแทกเข้ากับพงหญ้าสูงท่วมหัว กลิ้งไปหลายตลบจนสุดท้ายไปหยุดอยู่ข้างกายของหยางหมิงอวี้ ที่กลิ้งมาก่อนหน้านี้
หญิงสาวรีบทรงตัวขึ้น ดึงมีดสั้นจากหน้าแข้งที่ชายหนุ่มเคยให้ไว้ออกมาเตรียมพร้อม และนี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะเอาชีวิตรอด
เธอคลานต่ำ ฝ่าพงหญ้าออกไปให้ห่างจากร่างของหยางหมิงอวี้มากที่สุด ดวงตาเพ่งไปยังร่างในชุดดำที่ก้าวเข้ามาอย่างช้าๆ มันชักดาบออกจากฝักด้วยท่าทางย่ามใจ คงจะเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิง ยังไงก็คงหนีไม่พ้น
หัวใจอินทุภาเต้นรัวแรงแทบจะหลุดออกจากอก เธอไม่มีทางสู้ตัวต่อตัวกับดาบยาวในพื้นที่แบบนี้ได้ ทางเดียวคือต้องโจมตีก่อน และต้องแม่นยำที่สุด โอกาสมีแค่ครั้งเดียว ถ้ามันไม่ตาย..เธอกับหยางหมิงอวี้ก็คงไม่รอด
อินทุภากระชับมีดสั้นแน่น ก่อนจะยกมือขึ้นพนมจรดหน้าผาก สวมวิญญาณสายมูฯ ภาวนาให้ฟ้าดินเป็นใจ ขอให้แม่น ขอให้โดน!
หญิงสาวกลั้นหายใจ กำสองมือที่กำลังสั่นไว้แน่น หลับตาตั้งสติ พยายามทำจิตใจให้สงบ ฝืนความกลัวที่กำลังแล่นพล่านอยู่ในอก พลันรีบลืมตาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
แสงสลัวของรัตติกาลบดบังทุกสิ่ง แต่หูของเธอจับตำแหน่งเป้าหมายได้ชัดเจน หญิงสาวอดทนรอจนมันเข้ามาใกล้ในระยะเผาขน แล้วสะบัดข้อมือ ปามีดออกไปสุดแรงทันที
ฟิ้วววว! ..ปึ้ก!
"อ๊ากก!!"
เสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดทำให้เธอสะดุ้ง แต่ภาพตรงหน้ากลับยืนยันทุกอย่าง มีดปักคากลางอกเป้าหมายอย่างแม่นยำ มันผงะหงายหลัง ล้มลงไปทั้งยืน
อินทุภานิ่งอึ้ง ไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิด ที่ขว้างมีดเป็นครั้งแรก แล้วมันเข้าเป้าแบบตรงเผ็ง เป็นเพราะเป้าที่ปาไปนั้น ไม่ใช่ฟาง ไม่ใช่ขอนไม้ แต่เป็นเนื้อคน!
พับผ่าสิ! ฉันฆ่าคนจริงๆ!!
อินทุภาขนลุกซู่ไปทั้งตัว ใจสั่นไปหมด เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ฆ่าคน ความรู้สึกมันต่างไปจากการตบยุงตาย หรือฆ่ามดเหมือนที่เคยทำเป็นประจำหลายเท่าตัว
หญิงสาวกลั้นใจ เดินเข้าไปใกล้ ค่อยๆ ยื่นมือสั่นเทาแตะใต้จมูกของมัน หวังตรวจดูว่ายังหายใจอยู่หรือไม่ แต่ทันใดนั้น
พรึ่บ!
มันลืมตาโพลง! มือกระชากแขนเธอแน่น!
"กรี๊ดดด!!" อินทุภาสะดุ้งสุดตัว กรีดร้องออกมาเพราะตกใจสุดขีด ก็มีดเสียบคาอกขนาดนั้น แต่ทำไมมันไม่ตาย
"ปล่อยนะ! ปล่อย!" หญิงสาวหวีดร้อง ดิ้นรนสุดชีวิต อารามตกใจเลยถีบแขนมันเต็มแรง แต่ดันไปกระทืบโดนด้ามมีดที่ปักคาอกเข้าไปอีก
พรวด!
คราวนี้มิดด้าม... มันกระตุกเฮือก... ตายสนิท!
อินทุภายังคงนั่งตัวแข็ง ตามองเขม็งเฝ้าดูมันอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยความกลัวว่ามันจะฟื้นขึ้นมาอีก แต่เมื่อเห็นว่ามันแน่นิ่งไปแล้วจริงๆ จึงค่อยๆ ลุกขึ้น ด้วยมือที่สั่นระริก ข่มความรู้สึกคลื่นไส้ก่อนจะดึงมีดสั้นออกมา
กลิ่นคาวเลือดคลุ้ง ทำให้หญิงสาวยกหลังมือปิดจมูก รีบหายใจทางปากแทน ใช้เสื้อของมันเช็ดมีดอย่างลวก ๆ แล้วเก็บเข้าฝักด้วยความขยะแขยง
เธอไม่ปล่อยให้ตัวเองเสียเวลาไปอีก รีบวิ่งไปที่ม้าของคนชุดดำที่กำลังเล็มหญ้า ปลดสายกระบอกธนูจากอานม้ามาสะพาย แล้วยกคันธนูขึ้นพาดบ่า จากนั้นฟาดไปที่สะโพกม้าทั้งสองตัวเต็มแรง!
เสียงหวีดร้องของพวกมันดังขึ้น ก่อนที่จะสะบัดหัว แล้วกระโจนทะยานหายไปในความมืด
อินทุภาค่อยๆ ย่องเข้าไปในพงหญ้าอย่างระมัดระวัง ตรงจุดที่หยางหมิงอวี้นอนอยู่ เธอเอื้อมมือจับชีพจร ตรวจดูจังหวะลมหายใจ ไล่มือตรวจหาร่องรอยบาดแผลตามร่างกาย พอแน่ใจว่าเขาปลอดภัยดี จึงหยิบผ้ามาคลุมตัวเขาไว้ก่อน แล้วละสายตาหันไปซุ่มดูความเคลื่อนไหวบนถนนด้านบน
เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น สองตัวควบผ่านไป ทิ้งระยะห่างกับม้าอีกสองตัวที่วิ่งตามหลังไม่ไกล อินทุภาเงี่ยหูฟัง พลางกำด้ามมีดสั้นไว้แน่น
ไม่นานเสียงฝีเท้าม้ากลุ่มใหญ่ก็ดังกระหึ่มขึ้น ควบไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว เธอไม่แน่ใจว่ากลุ่มหลังนี้เป็นพวกไหนกันแน่
“เป่าเปา...” เสียงแหบเบาที่คุ้นเคยดังขึ้น อินทุภาสะดุ้ง รีบผวาเข้าหาเขาทันที
“ฝ่าบาท! ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ?” เธอเอื้อมมือแตะใบหน้าของเขา ลูบแก้มเบา ๆ ด้วยความเป็นห่วง
“รู้สึกระบมไปทั้งตัวเลย...” เขาพึมพำ แววตาฉายแววงุนงง “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเรามานอนอยู่ตรงนี้?”
“พวกมันซุ่มโจมตี ฝ่าบาทตกจากหลังม้า แต่หม่อมฉันสังหารมันแล้ว” เธอกระซิบ “ตอนนี้ต้องซ่อนตัวสักพัก ก่อนหาทางกลับค่าย” หยางหมิงอวี้มองหญิงสาว แล้วยิ้มบางๆ
“เก่งจริงๆ... เมียรัก”
อินทุภาถลึงตาใส่ทันที “เฮอะ! หม่อมฉันยังไม่ได้เป็นซะหน่อย” เธอประท้วงเสียงเบา
“เป็น!” เขายกมือขึ้น ลูบแก้มของเธอด้วยความอ่อนโยน “เจ้าเป็นของข้า ทั้งยามหลับและยามตื่น... ช้าเร็วก็ต้องได้เป็นผัวเมียกันอยู่ดี”
อินทุภาย่นจมูก “ฟื้นปุ๊บก็ออกลายเจ้าชู้เลยนะเพคะ”
แบบนี้เจ็บไม่จริง! ชัวร์!
หยางหมิงอวี้เลื่อนมือไปประคองท้ายทอยของเธอ รั้งร่างโปร่งบางลงมาให้เอนมานอนหนุนแขนของเขา อินทุภามองสบตาเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะยอมทำตามโดยง่าย ไม่แม้แต่จะขัดขืน
อินทุภาอุทานออกมาด้วยความตื่นตาตื่นใจ เมื่อถูกเขารั้งให้นอนหงายข้างกัน ท้องฟ้ายามราตรีเปิดกว้าง เผยให้เห็นหมู่ดารานับไม่ถ้วนระยิบระยับเต็มผืนฟ้า คล้ายทะเลดาวที่ไร้จุดสิ้นสุด
"สวยไหม?" เสียงทุ้มของเขาดังขึ้นข้างหู
"สวยเหลือเกินเพคะ! งดงามกว่าท้องฟ้าในโลกของหม่อมฉันเสียอีก ไม่เคยเห็นดาวพร่างพราวขนาดนี้มาก่อนเลย!" หญิงสาวพูดพลางยกมือขึ้น วาดปลายนิ้วไปมาบนอากาศราวกับจะสัมผัสความงามนั้นด้วยมือตัวเอง
หยางหมิงอวี้ยังคงนอนนิ่ง มีเพียงแขนของเขาที่เคลื่อนไหว มือข้างที่อินทุภานอนหนุนอยู่ เลื่อนลงรองรับแผ่นหลังบาง ก่อนจะรั้งร่างเธอให้ตะแคงเข้าหา นัยน์ตาสีดำสนิทของเขาทอดมองเธอนิ่ง ลุ่มลึกราวกับต้องมนตร์สะกด อินทุภาหัวใจเต้นแรง ไม่อาจละสายตาจากเขาได้เลย
ริมฝีปากของเขาประทับลงเบาๆ ที่หน้าผาก ก่อนจะไล้ลงข้างแก้ม เปลือกตา และปลายจมูก สัมผัสแผ่วเบาทว่าหนักแน่นจนเธอต้องหลับตา เพื่อซึมซับรับรสสัมผัสนั้น ปลายลิ้นร้อนของเขาลากแตะริมฝีปากของเธอแผ่วเบา เป็นจุมพิตที่จุดประกายความร้อนรุ่มขึ้นมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว อินทุภาตัวแข็งทื่อ ความรู้สึกวาบหวามแปลกใหม่ แล่นผ่านไปทุกอณูของร่างกาย
เขาโอบรัดเอวบางแนบชิดยิ่งขึ้น ริมฝีปากไล้ผ่านมุมปากของเธอช้าๆ อย่างจงใจ ก่อนจะกดจุมพิตตรงรอยหยักของริมฝีปากบน และเลื่อนลงมายังริมฝีปากล่าง จังหวะที่เขากำลังจะบดเบียดจูบให้เต็มที่ อินทุภากลับหลุดหัวเราะเบาๆ ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
หยางหมิงอวี้ชะงัก ผละออกเล็กน้อย ดวงตาคมหรี่มองเธออย่างไม่อยากเชื่อ
"อิงอิง! เจ้านี่มัน.. เหลวไหลจริง! ไม่มีใครบอกหรือว่า ไม่ควรหัวเราะใส่หน้าผู้ชายที่กำลังจะจูบเจ้า?" น้ำเสียงเขาฟังดูคาดโทษปนเอ็นดู
อินทุภาตาเบิกกว้าง อ้าปากค้างไปชั่วขณะ...
ซวยแล้วไง! งานเข้า!
"เอ่อ..ขอประทานอภัยเพคะ แต่หม่อมฉันอดขำฝ่าบาทไม่ได้จริงๆ พระองค์ทำเหมือน กำลังจะลองลิ้มชิมรสหม่อมฉันไปทีละนิด..ทีละนิดอย่างนั้นแหละ" เธอว่าพลางกลั้นยิ้มสุดความสามารถ
หยางหมิงอวี้มองเธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างท้าทาย
"หึ! เจ้าต้องการให้ข้าชิมรวดเดียวเลยใช่หรือไม่?" อินทุภาหน้าร้อนวูบ รีบยกมือปิดปากตัวเองทันที
ตะ..ตายแล้ว! นี่ฉันไปกระตุกหนวดเสือเต็มแรงเลยใช่ไหม!?
“ไม่ชิมแล้ว! ทีนี้จะกินเลยล่ะ!” เขามองเธอนัยน์ตาพราว แล้วก้มมาหาอย่างรวดเร็ว
เขาจูบอย่างดื่มด่ำ อย่างที่เธอไม่เคยถูกจูบเต็มที่แบบนี้มาก่อน เป็นอีกหนึ่งบทเรียนใหม่ที่อินทุภาได้เรียนรู้ มือของเขาอีกข้าง ที่ไล้อยู่ที่เอวค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้น กระทั่งมาวางนิ่งอยู่บนเนินอก
“เป่าเป้ย์” เสียงของเขาแหบพร่า “เราเห็นจะต้องหยุดแค่นี้ก่อน”
“อย่าหยุดเลยเพคะ” เธอกระซิบอย่างลืมตัว มือหนึ่งไล้ตรงท้ายทอยเขา อีกมือหนึ่งวางซ้อนทับมือของเขาที่อยู่บนเนินอก
“โอย!” เขาทำเสียงเหมือนคราง “เจ้ารู้หรือเปล่าว่ากำลังอะไรกับข้า?”
เขาจับมือของเธอมาวางบนแผ่นอกของเขาแทน แล้วค่อยเลื่อนต่ำลงมาช้าๆ พอถึงหน้าท้อง เธอก็ชะงัก แม้ลึกๆ แล้วอยากสำรวจร่างกายของเขาบ้าง แต่ใจก็ยังไม่กล้าพอที่จะไปจับตรงนั้น ตรงๆ
“เอ่อ เพคะ หยุดดีกว่า” เธอรีบทรงตัวลุกขึ้นนั่ง “ฝ่าบาทเองก็ยังระบมทั้งตัวไม่ใช่หรือเพคะ”
“นั่นสิ ไม่สะดวกทุกทาง” เขาถอนใจแรง
อินทุภาได้ยินเสียงฝีเท้าม้าใกล้เข้ามา จึงก้มตัวลงใช้พงหญ้าสูงพรางตัวไว้ แสงแรกของวันเริ่มสลายความมืดให้ค่อยๆ หายไป ทำให้เธอเห็นทุกอย่างรอบตัวชัดเจนขึ้น
จ้าวพายุ!
หญิงสาวรีบลุกขึ้น แหวกพงหญ้าเดินตรงไปหาม้าสีดำตัวใหญ่ที่ยืนอยู่บนถนน เมื่อคืนมืดเกินไป จนมองไม่เห็นว่า ม้าที่ขี่มานั้นคือจ้าวพายุ ม้าคู่ใจของท่านอ๋อง
จ้าวพายุเป็นม้าที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี แต่ภักดีต่อเจ้านายเพียงคนเดียว การที่มันยอมให้เธอขึ้นขี่ได้ แสดงว่ามันยอมรับในระดับหนึ่ง หรืออาจจะสัมผัสได้ด้วยสัญชาตญาณ ที่รู้ว่าเจ้านายของมันกำลังต้องการความช่วยเหลือ
เมื่อคืนเธอจงใจตีให้มันหนีเตลิดไป เพื่ออำพรางศัตรู ตอนนี้มันคงหายตื่นตระหนกแล้ว จึงได้ย้อนกลับมา หญิงสาวลูบคอลูบหัวมันเบาๆ แล้วดึงสายบังเหียนจูงเข้าไปในพงหญ้า
“ฝ่าบาท ทรงตัวได้หรือไม่เพคะ?”
หยางหมิงอวี้พยายามลุกนั่งขึ้นก่อน แล้วโอบไหล่อินทุภาเอาไว้เป็นหลัก ค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืน อย่างเชื่องช้า จากนั้นก็พยายามรวบรวมกำลังขึ้นหลังม้า แต่ทำได้อย่างทุลักทุเล เพราะหญิงสาวตัวเล็กเกินไปที่จะประคองเขาได้เต็มที่ และจ้าวพายุก็เป็นม้าตัวสูงใหญ่
อินทุภาค่อยๆ ดึงตัวขึ้นนั่งด้านหน้า ระวังไม่ให้ไปกระทบแผลของเขามากนัก เมื่อทรงตัวได้แล้ว เธอก็หมุนกระบอกธนูมาไว้ด้านหน้าก่อน แล้วดึงชายผ้าคลุมของเขามาผูกรัดตัวเองกับเขาไว้เพื่อความมั่นคง แล้วเลื่อนสายสะพายคันธนูมาเฉียงไหล่ เพื่อเตรียมสำหรับพร้อมออกเดินทาง
“พร้อมไหมเพคะ?”
เขาไม่ตอบ แต่โอบเอวเธอไว้แน่น
“จ้าวพายุ! พาท่านอ๋องกลับค่ายฯ!”
อินทุภาก้มลงกระซิบกับม้า แล้วตบบ่ามันเบาๆ ราวกับจ้าวพายุรู้หน้าที่ดี มันยังไม่ทันได้ยินเสียงกระตุ้นจากเธอ ก็เริ่มออกเดินเร็ว แหวกพงหญ้าออกสู่ถนน
จ้าวพายุควบเร็วมาได้ประมาณชั่วยาม ก็มีเสียงฝีเท้าม้าหลายตัวตามมา อินทุภาหันไปมอง เห็นกลุ่มคนชุดดำบนหลังม้าประมาณเจ็ดถึงแปดตัว กำลังไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด
หูผีจมูกมดจริงๆ! ได้กลิ่นเร็วเหลือเกิน แล้วก็ตามเกาะติดอย่างกับปลิง!
“ฝ่าบาท!” อินทุภาส่งเสียงตะโกนแข่งกับลม มือข้างว่างจับมือของเขาที่โอบอยู่บริเวณเอว มาวางบนสายบังเหียน หยางหมิงอวี้เข้าใจทันทีโดยไม่ต้องถาม เขากัดฟันข่มความเจ็บปวดไว้ แล้วจับสายบังเหียนไว้มั่น เพื่อควบคุมม้าแทนอินทุภา
หญิงสาวไม่รอช้า ดึงคันธนูที่สะพายไหล่ออกมาถือไว้ แล้วทรงตัวยืนขึ้นบนบังโคลนอย่างมั่นคง งอเข่าเล็กน้อย เกร็งเท้าเหยียบไว้แน่น พร้อมกับหันลำตัวส่วนบนไปด้านหลัง เล็งเป้าหมายแรกได้แล้วก็ปล่อยศรออกไปทันที
ฟิ้วววว! ปึ้ก!!
ลูกศรพุ่งตรงเป้า ทหารคนหนึ่งร่วงจากหลังม้าทันที เธอรีบทำซ้ำอย่างรวดเร็ว ง้างศรแล้วปล่อยอีกสี่ถึงห้าดอก จากหางตาที่สังเกตเห็น มีทหารศัตรูร่วงลงไปบ้าง แต่ยังคงมีอีกหลายคนที่ตามมาอย่างไม่ลดละ
โห่ๆๆๆๆๆๆๆๆ!!
ทันใดนั้น เสียงโห่ร้องดังกึกก้องมาจากทางด้านหน้า อินทุภาหันขวับไปมองอย่างตกใจ และก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นกองทหารม้าของฝ่ายเดียวกันหลายสิบนาย กำลังควบม้าสวนทางเข้ามาอย่างรวดเร็ว
อินทุภาทิ้งตัวลงนั่งบนหลังม้าอย่างโล่งอก หยางหมิงอวี้ยังคงโอบเอวเธอไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างยังคงควบคุมสายบังเหียนอย่างมั่นคง
“เก่งมาก เมียรัก” เขากระซิบพร้อมกับกดจูบเบาๆ ที่ต้นคอด้านหลัง อินทุภาหันหน้าเข้าหาเขา ริมฝีปากของทั้งคู่พบกันในจังหวะที่เหมาะสม ราวกับเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จที่รอดพ้นจากสถานการณ์คับขันมาได้อย่างหวุดหวิด
……………………………...
“แม่ทัพใหญ่กลับมาแล้ว!!” เสียงตะโกนส่งต่อกันเป็นทอดๆ เมื่อเห็นท่านอ๋อง ที่อยู่บนหลังเจ้าพายุควบเข้ามาจวนใกล้จะถึงค่ายฯ
ทหารหลายนาย รีบวิ่งกรูเข้ามารับนายใหญ่ลงจากหลังม้า แล้วช่วยกันแบกเข้าไปในกระโจมกลางค่าย อินทุภารีบสาวเท้าเดินตามเข้าไปโดยเร็ว
“ขอผ้ากับน้ำสะอาด ตามหมอด้วย เร็ว!!” เธอรีบสั่งการ มีทหารรับคำแล้ววิ่งออกไป
อินทุภาทายาที่แผลบนศีรษะเสร็จแล้ว ก็ถอยมานั่งอยู่ข้างเตียง มองคนป่วยที่กำลังหลับใหลด้วยฤทธิ์ยานอนหลับ หลังจากที่หมอเข้ามาดูอาการ ได้เขียนเทียบยาไว้หลายอย่าง ทั้งยากินและยาทา พวกยาสมุนไพรทั้งก่อนและหลังอาหาร เธอเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ที่ต้องทายาพวกแผลเล็กแผลน้อยที่อยู่ภายใต้เสื้อผ้าเท่านั้น ซึ่งก็คงต้องรอให้หยางติงมาจัดการ “ฝ่าบาท!!” หยางติงวิ่งเข้ามาในกระโจมอย่างกระหืดกระหอบ“ท่านเยว่! ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”“กระดูกไม่หัก ไม่มีบาดเจ็บภายใน มีแต่แผลที่ศีรษะ กับอาการปวดระบมตามเนื้อตัว และมีแผลภายนอกนิดหน่อย พักฟื้นสักระยะก็ดีขึ้น แต่นายต้องคอยดูแลทายาให้พระองค์ด้วย” เธอพูดเสร็จก็หยิบกระปุกยาส่งให้หยางติงไม่ได้รับยาไป แต่ยกมือประสานคำนับและคุกเข่าลงข้างหนึ่งกับพื้น“อภัยให้ข้าน้อยด้วย! ที่ดูแลท่านเยว่กับท่านอ๋องได้ไม่ดี”“ไม่เป็นไร มันเป็นเหตุสุดวิสัย แล้วท่านอ๋องก็ปลอดภัยแล้ว” เธอพูดพร้อมดึงตัวให้เขาลุกขึ้น“พวกเราพยายามช่วยกันออกตามหา เจอดักซุ่มโจมตีหลายแห่ง จนมาพบกันจนได้” เขายิ้มจนตาหยี “ข้าน้อยมาทันได้เห็นธนูดอกสุดท้ายปักอกพวกมันร่วงจากหลังม้า ยังมีอีกสองสามคน
อินทุภาตัวอ่อนอยู่ในอ้อมแขนของเขา หยางหมิงอวี้เองก็ยังไม่อยากเคลื่อนไหว หัวใจเขาเต้นแรง หายใจแรงจนหอบ สักพักก็พลิกตัวนอนหงาย รั้งร่างโปร่งบางให้พลิกตามลงมานอนตะแคงก่ายเกยอยู่ครึ่งๆ บนร่างของเขา ขาของเธอเบียดชิดจนเขารู้สึกอบอุ่นและชุ่มชื้นในซอกลี้ลับ เขาลูบหลัง เลยมาถึงต้นขา ลูบไปมาเป็นจังหวะ ปลอบโยนให้เธอหายอ่อนเพลีย“เป่าเป้ย์” เขาพึมพำ “น่ารักไปทั้งเนื้อทั้งตัว ตั้งแต่หัวจดเท้า เนื้อนุ่มหอม แล้วก็หวาน” หยางหมิงอวี้จูบเบาๆ ที่หน้าผาก ระเรื่อยมาที่ขมับ แล้วขยับผ้าห่มมาคลี่คลุมตัว ถ้าเหงื่อแห้งอาจตัวเย็น สะท้านและไม่สบายได้หญิงสาวซุกตัวเข้าแอบอกเขา สักครู่ก็ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอเป็นจังหวะ แสดงว่าหลับไปแล้ว เขายิ้มคนเดียวในความมืด ตัวนิดเดียวแค่นี้ แต่ให้ความสุขแก่เขาได้อย่างมากมายเหลือเกิน สะโพกของเธอเพรียวและตึง ดูว่าเล็กกะทัดรัดแต่ก็รับน้ำหนักของเขาไว้ได้อย่างมั่นคง ความกระชับแน่นของกล้ามเนื้อทำให้เขารู้สึกเสียวซ่านอยู่ตลอดเวลามือของเขาลูบไล้แผ่นหลังอยู่ไปมานั้น เลยไปถึงสะโพกกลมมน รู้สึกรักทุกอย่างที่ประกอบกันเป็นตัวเธอ เขาไม่มีวันปล่อยให้หนีหายไปจากเขาอีกแล้ว อินทุภาจะเป็นผู้
“อินทุภา!”“หือ?”“เยว่อิง!” “ใครเรียกเนี่ย? จะเล่นซ่อนแอบกับฉันเหรอ?” อินทุภาพยายามชะเง้อมองรอบตัว แต่ก็เห็นแค่หมอกหนาทึบเต็มไปหมด“ยัยจอมลวงโลก! ทำผิดสัญญา!”“เฮ้! นายเป็นใคร? จู่ๆ ก็มากล่าวหาว่าโกหกเลยเหรอ? ฉันไปสัญญาอะไรกับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”“ก็บอกว่าจะช่วยฉันกลับบ้านไง! ลืมอีกแล้วเหรอ? ยัยคนเบี้ยวสัญญา! จอมโกหก!”“ฉันเนี่ยนะ? ไปสัญญาตอนไหน? หลักฐานไม่มีอย่ามาใส่ร้ายกันนะ! แน่จริงก็ออกมาคุยกันซึ่งๆ หน้าสิ!” อินทุภาเริ่มหงุดหงิด หมุนตัวไปมาแต่ก็ยังไม่เห็นใคร “โอเคๆ ยอมแล้วจ้า... สรุปต้องทำไง เธอถึงจะออกมา? มีอะไรให้ช่วยก็บอกมาดีๆ เถอะน่า” อินทุภาถอนหายใจ หมุนมองไปรอบตัวอีกครั้ง หมอกเริ่มจางลง แต่ก็ยังไร้เงาของเสียงประหลาดนั่น“อยู่ตรงนี้ไง ยัยทึ่ม!” อินทุภาสะดุ้ง หันขวับไปมอง แต่ก็ยังว่างเปล่า ได้ยินแต่เสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายดังชัดเจน“ตรงนี้! มองลงมาข้างล่าง!” อินทุภาเลยก้มลงมอง แล้วก็ต้องอ้าปากค้าง แมวดำตัวจิ๋วตาโตเหมือนใส่บิ๊กอายส์สีเหลืองทองกำลังจ้องเธออยู่“มะ... แมวพูดได้!” อินทุภาชี้หน้าแมวน้อยอย่างตกใจ“แหม! ข้ามเวลายังทำได้เลย กะอีแค่แมวพูดได้ต้องตกใจขนาด
เปรี้ยงงง!! เปรี้ยงงง!! ครืนนน!!"กรี๊ดดด!!" หญิงสาวกำลังอยู่ในภวังค์ความคิด จู่ๆ ฟ้าก็ฟาดลงมาอีก เสียงดังสนั่นกว่าเดิม ราวกับว่าอยู่ใกล้ๆ รถม้านี่เองเอ๊ะ! เสียงหายไปไหน?หญิงสาวร้องจนสุดเสียง แต่กลับไม่ได้ยินเสียงตัวเอง เธอลองตะโกนอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงออกมาเช่นเดิมอะไรกันนี่!?! น่ากลัวกว่าฟ้าอีกตอนนี้! เกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่!?! ตั้งแต่ถูกวางยา ถูกจับมาอย่างไม่รู้ตัว แล้วนี่เสียงก็หายไปอีก!!ผ้าม่านที่บังไว้ครึ่งๆ ถูกตวัดให้เปิดออกโดยมือของคนผู้หนึ่ง เขาชะโงกหน้าเข้ามามองใกล้ๆ แล้วก็ทำหน้าตื่นตะลึง ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นคนด้านในชัดเจน จากนั้นก็ถอยหลังออกไป เสียงสั่งการปนเปกับเสียงฝน ฟังไม่ออกว่ากำลังพูดอะไรกันสักพักใหญ่ๆ รถม้าก็มีความเคลื่อนไหว เหมือนมีคนกำลังพยายามช่วยกันจับพลิกให้รถม้าตั้งขึ้นจากภายนอก แต่พอตั้งตรงได้เพียงชั่วครู่ ก็โยกโคลงเคลงพร้อมกับเลื่อนตัวลงเอียงไปข้างหนึ่งเสียงผู้คนภายนอกเอะอะ ตะโกนกันวุ่นวาย แล้วผ้าม่านก็เปิดออกอีกครั้งหนึ่ง“ไม่ไหว! รถม้าคันนี้ใช้งานไม่ได้แล้ว เจ้าคงต้องเปียกเสียแล้วล่ะ ออกมาเถอะ! พวกเราจะไปกันแล้ว!” เขาพูดแล้วออกไปเธอพยายามจะบอก
ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเฉียดใกล้หัวใจเขามาก่อน ตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่มมา เขาไม่เคยหลงใหลคลั่งไคล้ผู้หญิงคนไหน ถึงขนาดอยากได้จวนเจียนจะคลั่งขนาดนี้มาก่อนเลยชายหนุ่มเดินหายเข้าไปในห้องชั้นใน กลับออกมาพร้อมผ้านุ่มผืนหนึ่ง โยนโปะลงบนศีรษะของหญิงสาว วางเสื้อคลุมสีขาวพาดไว้ใกล้ๆ ขานวล แล้วเขาก็เดินหายเข้าไปในห้องเดิมอีกอินทุภารีบเดินไปหลังผ้าม่าน ถอดชุดเปียกอย่างว่องไว แล้วรีบสวมเสื้อคลุมทับผูกเอวไว้แน่น เหลือบราลูกไม้กับกางเกงชั้นในไว้ ช่างมันเถอะ! ใส่เปียกๆ แบบนั้นไว้แหละ อย่างน้อยก็อุ่นใจ ดีกว่าปล่อยให้มันโล่ง!เขากำลังเปลี่ยนชุดเป็นผ้าแห้ง แต่ความคิดก็ยังวนเวียนเกี่ยวกับสาวน้อยที่อยู่นอกห้อง เขาเคยเจอประเภทที่เล่นตัว ออกฤทธิ์มากเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา แต่พอลงเตียงแล้ว จากเสือกลายเป็นนางแมวสวาทเชื่องๆ ทำให้เขาหมดความสนใจไปเลย ราวกับว่าไอ้ฤทธิ์ที่แสดงออกมาก่อนหน้านั้น ทำไปแค่พอเป็นพิธีแต่กับสาวน้อยตัวเล็กคนนี้ เหมือนว่าเขาจะถูกปราบเสียเองแล้ว เขาอยากตามใจเธอทุกอย่าง อยากได้อะไรก็จะประเคนให้ทั้งหมด ขอแค่เธออยู่กับเขา อยู่รักเขา และให้เขาได้รักหญิงสาวทำให้เขารู้สึกว่า เดินก้มหน้าบนทางเด
เสวี่ยเจี้ยนพาสองสาวมาที่ตลาดตะวันตก ซึ่งเป็นตลาดใหญ่และมีชื่อเสียงในเมืองหยางซื่อ อินทุภาเดินอยู่ตรงกลางระหว่างสองพี่น้อง มีสาวใช้เดินตามสามคน ยังมีคนงานผู้ชายที่ขับรถม้าตามมาด้วยอีกสองคนที่ด้านหลังระหว่างที่นั่งรถม้ามาด้วยกัน จือซาบอกว่า เสวี่ยเจี้ยนเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังแล้ว เธอเคยศึกษาวิชาแพทย์มาบ้าง มาในตัวเมืองหนนี้ จะซื้อสมุนไพรไปปรุงยาแก้พิษให้จือซา เป็นลูกครึ่งชาวตังกุส บิดาเป็นชาวแคว้นฉิน ส่วนมารดาเป็นชาวแคว้นฉิวซี และมารดาของหญิงสาวกับบิดาของเสวี่ยเจี้ยนก็เป็นพี่น้องกันในตัวเมืองหยางซื่อผู้คนพลุกพล่านมากมาย เพราะเป็นเมืองหน้าด่าน และเป็นทางผ่านเส้นทางสายไหม เลยมีทั้งคนพื้นเมืองและชาวต่างประเทศ และชนเผ่าน้อยใหญ่ที่อยู่นอกด่าน อีกทั้งเมืองนี้ เป็นเมืองปลอดภาษี จึงมีสินค้าที่มาจากหลายวัฒนธรรมหลายเชื้อชาติอยู่มากกมาย และเรียกขานย่านนี้ว่า..’ตลาดตะวันตก’อินทุภาสะดุดตาร้านขายเครื่องประดับ ซึ่งเป็นแผงเล็กๆ อยู่ด้านหน้าภัตตาคารขนาดใหญ่ จึงชวนจือซาเข้าไปดู แต่แล้วเธอก็ต้องเบิกตากว้าง ชาวาบในอกอยู่ชั่วขณะ เพราะภัตคารแห่งนี้ คือร้านอาหารเฟินเยว่ที่หยางหมิงอวี้เคยกล่าวถึง ซึ่งก
เสียวมี่สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาจากหลับใหล แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อมีเงาเคลื่อนออกมาจากฉากกั้น รีบลนลานลุกพรวดขึ้นนั่งบนเตียง เมื่อจำได้ว่าคนที่ยืนอยู่กลางห้องคือใคร"นะ..นายท่านหงส์!!" เธอเบิกตากว้างด้วยความกลัว"ยังจำได้อยู่หรือ ว่าข้าเป็นใคร!!" เขาตวาดเสียงดังลั่น"ข้า..ข้า" เธอตัวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้"อย่ามาเล่นลูกไม้กับคนอย่างข้า คนล่ะ? หายไปไหน?" เขาตวาดอย่างโกรธจัด"ขะ..ข้าไม่รู้..ข้าไม่รู้จริงๆ นายท่าน!" เธอปากสั่นจนฟันกระทบกัน เนื้อตัวสั่นเทารุนแรงด้วยความกลัวเขาตบฉาดไปที่ใบหน้าหญิงสาว หน้าขาวนวลขึ้นรอยนูนแดงชัดเจน"อย่ามาทำตอแหล! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ว่าเจ้ากำลังจะทำอะไร!!""ก็ข้ารักเขา!! แล้วนังผู้หญิงคนนั้นมันก็แย่งคนของข้าไป!" เธอปากสั่น เริ่มพูดความรู้สึกที่แท้จริง"หึๆๆ รักงั้นรึ?" เสียงหัวเราะของคนตรงหน้า ทำให้เสียวมี่รู้สึกขนลุก"อย่าลืมสิว่า เจ้าเป็นผู้หญิงของข้า!" เขาจับคางใช้สองนิ้วบีบไว้โดยแรง "นอกจากข้าแล้ว เจ้ามีสิทธิ์แสดงความรู้สึกกับใครได้งั้นรึ!!""ท่านบังคับร่างกายข้าได้! แต่บังคับหัวใจของข้าไม่ได้!" เสียวมี่เชิดหน้าอย่างถือดีนัยน์ตาของเขาฉายแสงวาบขึ้น
อินทุภาสังเกตอากัปกิริยา ของพนักงานแต่ละคนภายใต้ผ้าคลุมหน้าได้อย่างชัดเจน หลังจากที่ได้รับรู้การเปลี่ยนแปลงของเฟินเยว่เหลาจากหยางหมิงอวี้ ทุกอย่างจะขึ้นตรงกับเธอ ส่วนเขาจะอยู่ในฐานะที่ปรึกษาเท่านั้นอินทุภาเริ่มงานแรก โดยขอตรวจบัญชีทั้งหมดของร้าน ให้ผู้รับผิดชอบส่งมอบภายในสามวันนับจากวันนี้ แล้วค่อยมาคุยรายละเอียดกันอีก ในครั้งต่อไป หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว เหลือเพียงสาวน้อยนางหนึ่ง ที่อินทุภารู้สึกว่าเธอให้ความเป็นมิตร และน่าคบหาที่สุด แต่อินทุภาก็ให้ใจแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เพราะเข็ดประสบการณ์จากการไว้ใจเสียวมี่มาแล้ว“ข้ารู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ท่านเฟินเยว่เป็นใคร!” เธอเข้ามากระซิบกระซาบใกล้ๆ ซึ่งขณะนี้หยางหมิงอวี้ไม่อยู่ในห้องหืม..!?!“รู้ได้อย่างไร มีตาทิพย์อย่างนั้นรึ?” เธอถามยิ้มๆ“ข้าเคยพบท่านเยว่เมื่อตอนเด็กๆ ท่านอาจจะจำข้าไม่ได้ แต่ข้าจำท่านได้ไม่เคยลืม แต่ท่านวางใจเถอะ รับรองไม่ปริปากบอกใครอย่างเด็ดขาด!”“เดี๋ยวนะ! เจ้าชื่อหวางเหยียนถง ลูกสาวท่านป้าเถียนหรือเปล่า? พี่สาวเสี่ยวเถา!”“เทียน-นา!! สมกับเป็นผู้รอบรู้ ข้าน้อยนับถือ! นับถือ!” นางพูดแล้วหัวเราะ ก่อนที่จะเปลี่ย
ภายใต้การวางแผนยุทธศาสตร์ขององค์ชายซุน และการบัญชาการโดยตรงของฮ่องเต้ซุนตี้ชุน สงครามครั้งใหญ่ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน บัดนี้ได้กลายเป็นการประหัตประหารอย่างโหดเหี้ยม กองทัพมหึมาของแคว้นซ่ง แคว้นคัง และแคว้นเป่ยเหลียง ต่างพ่ายแพ้ย่อยยับ ทหารนับไม่ถ้วนล้มตายเกลื่อนกลาด ผู้ที่รอดชีวิตมีไม่ถึงหนึ่งในสิบ อำนาจของแคว้นเชี่ยแผ่ขยายรวดเร็วจนน่าตระหนก เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เหล่าแม่ทัพและทหารแคว้นเชี่ยไม่เคยคิดเลยว่า การพิชิตแคว้นหนึ่งจะง่ายดายถึงเพียงนี้ กลิ่นคาวเลือดแห่งชัยชนะ ปลุกโหมกำลังใจให้ลุกโชนดั่งเปลวเพลิง ธงของแคว้นเชี่ยสะบัดพลิ้วอยู่เบื้องหน้ากองทัพเสมอ ดั่งสัญลักษณ์แห่งชัยชนะอันมิอาจต้านทาน ฮ่องเต้ซุนตี้ชุนและองค์ชายซุน ได้กลายเป็นวีรบุรุษสงครามในสายตาทหารหาญทุกผู้คน ท่ามกลางความตระหนกหวาดกลัวทั่วหล้า แผ่นดินถูกย้อมแดงด้วยโลหิตสุดลูกหูลูกตา เงาทมิฬแห่งสงครามแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ โดยมีแคว้นเชี่ยเป็นศูนย์กลาง กองทัพเดินหน้าขยายอาณาเขตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่า แผนยุทธการขององค์ชายซุน จะนำพาแคว้นเชี่ยสู่ชัยชนะได้ในเวลาอันสั้นเพียงนี้ สองฟากถนนเต็มไปด้วยซากศพและโครงกระดูก
ก่อนที่อินทุภาจะไปวังหลวงคราวก่อน ช่วงที่ซ่อมกำแพงเมือง ได้สั่งให้ช่างทำห้องใต้ดินใต้คลังเสบียงไว้ด้วย จึงได้ใช้ในช่วงเวลาที่มีศึกสงครามเช่นนี้ เธอทำเสบียงลวงไว้ชั้นบน แต่เก็บเสบียงทั้งหมดไว้ชั้นใต้ดิน เพื่อป้องกันศัตรูบุกเผาทำลาย และทำทีว่าป้องกันหละหลวมสร้างอุบายลวง แต่ทุกจุดสำคัญของเมือง มีทหารสอดแนมของกองทหารพิเศษคอยจับตาอยู่หยางติงเข้ามารายงานข่าวจากทหารสอดแนม ว่ากองทัพเชี่ยมีกำลังพลประมาณสองแสนสามหมื่น แต่ได้แบ่งออกเป็นสามทัพดังที่อินทุภาคาดไว้ แต่ทั้งสามทัพนี้ มิได้ยกมาพร้อมกัน และเดินทัพทิ้งระยะห่างกันมาก โดยที่ทัพหน้ามีกำลังพลประมาณสามหมื่น ซึ่งทัพหน้านี้คงจะเป็นการบุกแบบหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ อีกสองทัพแบ่งเป็นทัพละหนึ่งแสน ทัพสองแน่นอนว่าใช้ตัดกำลัง และทัพสามคงจะมุ่งหวังโจมตีเต็มที่อินทุภาเลยคิดแผน จากการที่ศัตรูเดินทัพ ทิ้งระยะห่างกันเกินไปนี้ มาใช้ประโยชน์ โดยจะใช้กลยุทธ์ในตำราพิชัยสงครามเจ็ดตำนานชื่อว่า..’ลับลวงพราง’โดยให้หยางติง นำทัพแรกกำลังพลหนึ่งหมื่นนาย ประกอบไปด้วยกองปืนคาบศิลา พลธนู กองทะลวงฟัน หรือกองทหารพิเศษเคลื่อนที่เร็ว ไปดักซุ่มโจมตีทัพหน้า โดยต้องรีบออกเดินทา
พอลับสายตาจากภายนอก เขาก็สอดมือรั้งท้ายทอยหญิงสาวเข้าชิด แล้วจู่โจมริมฝีปากอวบอิ่มแทบจะในเสี้ยววินาที อย่างเร่าร้อนหนักหน่วง ราวกับว่าเธอคือลมหายใจสุดท้าย ที่เขาโหยหามาตลอดชีวิต มือข้างหนึ่งกอดเอวบอบบางไว้แน่น อีกข้างจับท้ายทอยให้ขยับมุมตามริมฝีปากของเขา อินทุภาตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่สุดท้ายก็หลับตาพริ้ม จูบตอบจุมพิตที่แสนรัญจวนใจนี้ด้วยความยินยอม มือไม้เผลอไผลเกาะลำคอเขาไว้แน่น ลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวไปจนหมด"ฝ่าบาท.." อินทุภาครางเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระชั่วครู่ ก่อนจะจุมพิตเขาด้วยความโหยหาไม่ต่างกัน ปลายลิ้นของเธอถูกเขาดึงดูดเข้าหาราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาล เขาถอนริมฝีปากมาซุกไซ้ที่ซอกคอ เธอเลยกัดที่คอเขาเบาๆ แล้วเลื่อนมากัดที่ปลายคาง ขบเม้มดูดดุนไปทั่วซอกคอ ในขณะที่อีกมือค่อยๆ ดึงสายรัดเอวของเขา แหวกสาบเสื้อให้เปิดออกกว้าง"เมียรัก.." เขาพูดเสียงเบาเหมือนคนละเมออินทุภาแลบปลายลิ้นเลียลิ้มชิมรสยอดอกสีชมพูคล้ำ สองนิ้วเค้นเขี่ยเม็ดตุ่มสีสวยอีกข้าง เรียกเสียงครางครวญจากอีกฝ่ายให้หอบหนักขึ้น ตามอารมณ์ที่กำลังไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ขณะที่อีกมือก็ค่อยๆ คลายสายรัด จนทำให้ขอบกางเกงขยายออ
“ท่านอ๋อง! ท่านเยว่! มีสาส์นด่วนจากวังหลวงขอรับ!” อินทุภาหยิบมาให้หยางหมิงอวี้ แล้วพยักหน้าให้ทหารส่งสาส์นออกไปได้“ฝ่าบาทมีคำสั่ง ให้นำทัพฉิวซีหนึ่งแสน ไปช่วยแคว้นฉินต้านกองทัพเชี่ย!” หยางหมิงอวี้อ่านสาร์นให้ฟัง“โอ้ว มาย!! อุบายตีใกล้แสร้งไกลสินะ!” มุมปากอินทุภาเชิดเล็กน้อย‘กลยุทธ์ตีใกล้แสร้งไกล’ คือ การทำให้ศัตรูเข้าใจผิดว่าเป้าหมายของเราคือที่ไกล แต่แท้จริงแล้วเป้าหมายที่แท้จริงคือมุ่งโจมตีจุดที่อยู่ใกล้ โดยใช้กลลวงหรือเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อให้ศัตรูตัดสินใจผิดพลาด และเปิดช่องโหว่ให้เราจู่โจมได้สำเร็จ“ใช่! ทำลวงประชิดแคว้นซ่ง แต่ตั้งใจโจมตีแคว้นฉิน! ด้วยทหารหนึ่งแสนห้าหมื่น แต่ดูจากข้อมูลล่าสุด แคว้นเชี่ยมีทหารประมาณสี่แสนกว่า แต่แบ่งกำลังไปเพียงแสนห้า เกรงว่าจะมีแผนซ้อนแผนแน่แล้ว!”"เหมือนกับกลยุทธ์ล้อมเวยช่วยจ้าวใช่ไหมเพคะ?"“คิดเหมือนกัน! เขาวางแผนยิงธนูดอกเดียวได้เหยี่ยวสองตัว ลวงว่าจะตีแคว้นฉินแต่จริงๆ แล้วจะอ้อมหลังบุกต้าฉิวซี และเพื่อให้ฉิวซีส่งกำลังไปช่วย ซึ่งแน่นอนว่าข้าต้องเป็นผู้บัญชาการทัพ หยางซื่อก็จะร้างผู้นำ พอเหมาะพอดีสำหรับทัพอีกสองแสนที่เหลือจะบุกโจมตี!”‘ล้อมเ
ท่ามกลางม่านอวกาศอันมืดมิด ดวงดาวสุกสกาวแข่งกันส่องแสง สลับกับความว่างเปล่าของจักรวาล เบื้องหลังเสียงสะท้อนของกาลเวลา แสงสีดำหม่นค่อยๆ คืบคลานกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ราชาดาวนิลได้ลงมือแล้วตูมมมมมม!!!เสียงระเบิดดังสนั่นจากท้ายยาน คลื่นพลังมหาศาลซัดกระแทกยาน จนสะเทือนรุนแรง แทบจะฉีกทุกสิ่งออกเป็นเสี่ยงๆ ควันและเปลวเพลิงพวยพุ่งผ่านกระจกห้องควบคุม ภายในห้อง ทุกอย่างอยู่ในสภาพเละเทะ ไฟลุกไหม้ตามแผงควบคุม ตัวเลขสีแดงกะพริบแจ้งเตือนระดับพลังงานที่ลดฮวบ “เรากำลังจะตกแล้ว!” เอกิลตะโกนลั่น พยายามกดแป้นควบคุม เพื่อรักษาสมดุลของยาน แต่มันไม่ตอบสนอง “ถ้ายานชนพื้นโลกในสภาพนี้ พวกเราคงไม่มีใครรอดแน่ๆ!” มูลาหันไปมองลูน่า ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ลูน่ากัดฟันแน่น ขณะเอื้อมมือที่สั่นระริก กดปุ่มปลดล็อกกลไกฉุกเฉิน กริ๊ก!แคปซูลหลบหนีสี่ลูกค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาจากพื้น ม่านพลังสีทองเริ่มก่อตัวรอบแคปซูล เรกิที่แม้จะบาดเจ็บ แต่ก็ยังพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นมา“ลูน่า! อย่าคิดจะทำแบบนี้นะ!” เรกิรู้ดีว่า ลูน่ากำลังตัดสินใจจะทำอะไร “มีคนหนึ่งต้องอยู่คุมยาน” ลูน่ากล่าวเสียงแข็ง “ฉันจะไม่ปล่อยให้พวกเราต้องตายไปพร้อม
จือซาลืมตาตื่นก็เห็นร่างของบุรุษนอนอยู่เคียงกัน เธอขยับตัวไม่ได้เพราะถูกแขนของเขาพาดทับตัวไว้ หญิงสาวรีบสำรวจตนเอง แล้วก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอกที่ยังอยู่ในสภาพเสื้อผ้าปกปิดมิดชิด จึงค่อยๆ ยกแขนเขาขึ้นแล้วขยับตัวออก พยายามดึงชายกระโปรงออกจากร่างของเขา ที่นอนทับอยู่แต่ไม่สำเร็จ เขายังนอนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับอดหลับอดนอนมาหลายวันเอ.. หรือที่หนิวกงกงเล่าจะเป็นเรื่องจริง!หนิวกงกงบอกว่าตั้งแต่ฮองเฮาสิ้นพระชนม์ ฝ่าบาทก็เป็นโรคนอนไม่หลับ เคยบรรทมนานสุดแค่สองชั่วยามต่อวันเท่านั้นแต่ดูตอนนี้สิ!..นัยน์ตาแววหวานอ่อนโยนลง เธอขยับตัวเล็กน้อย เพื่อให้นอนมองหน้าอีกคนได้ชัดเจนขึ้น พร้อมอมยิ้มบางๆ กับท่าทางการนอนหลับปุ๋ยเหมือนเด็กน้อยของเขา มือเรียวบางลูบกลุ่มผมเด็กน้อยตรงหน้าเบาๆ พลางสงสัยว่าเขานอนคว่ำแบบนี้จะหลับสบายหรือเปล่า"ฝ่าบาท!" หนิวกงกงเรียกตรงหน้าประตูด้านในจือซารีบหันไปมองที่ประตูห้อง ส่งสายตาดุไปให้หนิวกงกง พร้อมทำท่านิ้วชี้ปิดปากเป็นสัญญาณว่าห้ามส่งเสียงดัง หนิวกงกงพยักหน้าว่าเข้าใจ ค่อยๆ ละจากหน้าประตูมาหยุดอยู่ใกล้ที่บรรทม "แม่นางจือซา! ได้เวลาเสวยพระกระยาหารเย็นแล้ว ไม่ทราบว่าจะปล
อินทุภาก้าวเข้าสู่ห้องคุมขังอย่างสง่างาม ใบหน้าเรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยอำนาจ ชุดสีเงินปักลายนกหลวนเฟิ่งสีน้ำเงินสะท้อนแสงไฟอ่อนๆ คล้ายหงส์ฟีนิกซ์ที่แผ่รัศมีเหนือผู้อื่น สนมเซียวที่นั่งอยู่ภายในมุมมืดเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและแววอริที่ไม่คิดปิดบังอีกต่อไป "มาทำไม? จะมาเยาะเย้ยข้ารึ?" นางแค่นเสียงถามด้วยความชิงชัง อินทุภาเพียงแค่ยิ้มบางเบา "ได้ข่าวว่าท่านตั้งครรภ์" สนมเซียวแค่นหัวเราะ มุมปากยกขึ้นในลักษณะเยาะเย้ย "เรื่องของข้าไม่เกี่ยวกับเจ้า!!" เสียงของนางแหลมขึ้น พยายามใช้ตำแหน่งเหนือกว่ากดอีกฝ่ายให้ต่ำลง แต่ท่วงท่ายืนของอินทุภายังคงสง่างาม มือแตะกันไว้ที่ระดับเอว แผ่นหลังตรงราวกับไม่มีสิ่งใดมากดทับ ดวงตาเรียบนิ่ง รัศมีนางพญาแผ่ซ่านโดยธรรมชาติ "แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่อยากข้องเกี่ยวกับท่านนัก แต่ข้ารับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้มาพูดกับท่าน จึงเห็นว่าลองเจรจากันดีๆ สักครั้งก็คงจะดีกว่า" สนมเซียวกำหมัดแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยความเคียดแค้น "ผู้ชนะย่อมได้ทุกสิ่ง! ตอนนี้เจ้าคงสุขใจมากสินะ? ไม่ต้องมาทำเสแสร้งต่อหน้าข้า! ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะซ้ำเติมให้สาสม!" "นั่นเป็นสิ่ง
"เยว่อิง!..มาแล้วรึ หมิงอวี้เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟัง ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ!” ฮ่องเต้ถอนพระทัย"ความลำบากนี้ เทียบกันไม่ได้เลย กับสิ่งที่ฝ่าบาทออกหน้าเพื่อปกป้องหม่อมฉัน มิหนำซ้ำยังเสียสละองค์เอง เป็นเหยื่อล่อคนที่คิดร้ายต่อบ้านเมือง ทำให้ชาวประชาพ้นภัย พวกเราซึ้งในพระมหากรุณายิ่งนัก ต่อให้ต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องฝ่าบาท หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ""ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา!" หยางหมิงอวี้ประสานมือคำนับ ฮ่องเต้ยิ้มอย่างอ่อนโยน“ข้าอาจไม่ใช่ฮ่องเต้ที่แข็งแกร่ง แต่จะพยายามเป็นฮ่องเต้ที่ดี! เอาล่ะ!..หยางหมิงอ๋อง..หยางเยว่อิงรับราชโองการ!” ฮ่องเต้หยางอี้ยิ้มนิดหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวต่อ "แม่ทัพหยางอารักขาข้า รบอย่างกล้าหาญ ทำให้กองทัพแคว้นฉิวซียิ่งใหญ่ วันนี้เรามีราชโองการแต่งตั้งให้หยางหมิงอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทน พระราชทานป้ายทองเว้นโทษตาย!”ฮ่องเต้หันมองมาทางอินทุภา“หยางเยว่อิง! ปราชเปรื่องกล้าหาญ เป็นนักวางกลยุทธ์ที่เยี่ยมยอด เปี่ยมด้วยเมตตา สนับสนุนหยางหมิงอ๋องให้ได้ชัยชนะ บัดนี้ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นพระชายา และรั้งตำแหน่งเป็นไท่เว่ย (ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดดูแลราชการฝ่ายทหาร เทียบเท่าส
"ก่อนอื่นเราต้องหาอุปกรณ์ทำมาหากินเสียก่อน!" หญิงสาวเชิดยิ้มมุมปากข้างหนึ่งเล็กน้อย ยืนกอดอกเก็กท่าเป็นกูรู อยู่หน้าร้านขายเครื่องดนตรี"กะลา?" ขอทานน้อยสงสัย"เฮ่ย! นั่นมันอุปกรณ์เก็บเงินตะหากเล่า! วันนี้เราจะเป็นขอทานเปิดหมวกกัน ตามข้ามา!!" หญิงสาวกอดคอขอทานน้อย พาเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องดนตรีอย่างมั่นใจ แต่ยังไม่ทันที่เท้าจะเหยียบผ่านธรณีประตู ก็ถูกเถ้าแก่ไล่เสียแล้ว"ไป! ไป! ออกไป! ไปขอทานที่อื่น! ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาเดินเข้าออกได้อย่างสบายใจได้นะ!!""เถ้าแก่! ข้าไม่ได้มาเดินเล่น ข้ามาซื้อของ!""น้ำหน้าอย่างพวกเจ้า! จะมีปัญญาเอาเงินที่ไหนมาซื้อ เก็บไม่กี่อีแปะเอาไว้กินข้าวเถอะ!! ไปๆ! ออกไป!" หน้าตาท่าทางเกรี้ยวกราด ดุดัน แบบไม่มีทีท่าว่าจะประนีประนอมเฮอะ!! ขอทานก็มีต่อมดนตรีนะลุง!!อินทุภาหันหลังเดินออก แต่พอก้าวออกมาได้เพียงสามก้าว สายตาก็ปะทะเข้ากับร้านขลุ่ยแผงลอยฟากตรงข้าม หญิงสาวดีใจวิ่งตรงดิ่งไปทันที แล้วหยิบขลุ่ยขึ้นมาเลือกรูปแบบ เลือกความถนัดมือ และกำลังจะยกขลุ่ยขึ้นแตะขอบปาก เพื่อจะทดสอบเสียง พลันนึกขึ้นได้ จึงหันไปมองลุงพ่อค้าที่มองมายิ้มๆ อย่างใจดี"ท่านลุง!