“มากันแล้วๆ ขอต้อนรับท่านอ๋องด้วยความยินดีพ่ะย่ะค่ะ”
ชายวัยประมาณหกสิบปี มีหนวดเรียวเล็กบนริมฝีปาก ไว้เคราเล็กแหลมที่ปลายคาง แต่งกายภูมิฐาน ยืนรอต้อนรับ มีชายฉกรรจ์ประมาณเจ็ดถึงแปดคน พกดาบไว้ที่เอว ยืนเรียงสองแถวอยู่ด้านหลัง
“อิงอิงนี่คือท่านหงส์จิ่ว หัวหน้าหมู่บ้าน เคยเป็นครูสอนหนังสือมาก่อนจะมาอยู่ที่นี่ .. ท่านหงส์ นี่เยว่อิง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องประดับและอัญมณี”
“คารวะท่านหงส์” อินทุภากำมือคำนับ น้อมศีรษะให้ความเคารพผู้สูงวัยกว่า
“ไม่ต้องเกรงใจๆ .. เชิญเสด็จท่านอ๋อง พวกเราเตรียมงานเลี้ยงเล็กๆ รอต้อนรับด้วยกระหม่อม”
หยางหมิงอวี้และอินทุภาเดินตามหัวหน้าหมู่บ้าน ไปยังศาลาทรงกลมขนาดใหญ่ ซึ่งจัดเตรียมไว้อย่างอลังการณ์เพื่อต้อนรับโดยเฉพาะ
อินทุภากวาดตามองสถานที่ไปโดยรอบ มีโต๊ะเตี้ยและเบาะนั่งกับพื้น เป็นแนวสามชั้นวางเรียงตามระยะของพื้นที่ทรงกลม แต่ละโต๊ะมีสาวงามผิวขาวผ่อง อยู่ในชุดเกาะอกปาดครึ่งเต้า คลุมไหล่ด้วยผ้าซีทรูเนื้อบาง ตัวกระโปรงผ่าข้างจนถึงขาอ่อน บางคนเดินเห็นเรียวขาขาวรำไรอย่างน่าดู บางคนนั่งประจำอยู่ที่โต๊ะคอยบริการรินเหล้าและตักอาหาร
อื้อหือ..อลังการงานสร้าง!!
“เชิญเสด็จทางนี้กระหม่อม” ท่านหงส์เชื้อเชิญให้หยางหมิงอวี้นั่งที่โต๊ะแถวหน้า กึ่งกลางวงกลม แล้วเชิญให้อินทุภานั่งโต๊ะตัวถัดมาทางซ้ายมือของเขา
หยางหมิงอวี้สบตาอินทุภาแล้วเลิกคิ้วให้ เธอขึงตาใส่ สะบัดหน้ามองไปทางอื่น
เชอะ! อยากทำไรก็ทำไปสิ!
กลุ่มหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อย ราวกับเนื้อผ้าไม่พอตัดชุด เดินเรียงถือถาดสำรับเข้ามา ด้านหลังเป็นนางรำเนื้อผ้าน้อยชิ้นกว่ากลุ่มแรก โชว์ส่วนเว้าส่วนโค้ง เดินนวยนาดเข้ามาหลังจากกลุ่มแรกวางอาหารเรียบร้อยแล้วออกไป
เสียงดนตรีดังขึ้น อินทุภาเพิ่งจะเห็น เครื่องดนตรีหลายชิ้นสอดประสานบรรเลงเพลงอยู่ด้านนอก นางรำนุ่งน้อยห่มน้อย เริ่มขยับส่ายสะโพกดินระเบิดร่ายรำ ส่งสายตายั่วเย้า ยิ้มหวานปานน้ำผึ้งไปทางหยางหมิงอวี้ เธอหันไปมอง เห็นเขาทำหน้าเรียบเฉย บางครั้งก็เอียงหน้าฟังหงส์จิ่ว ที่ชวนสนทนาอยู่ทางด้านขวา
อินทุภาทอดสายตามองสาวงามที่นั่งข้างๆ เขา กำลังใช้มือข้างหนึ่งรินเหล้าใส่จอกเล็ก ส่วนอีกมือวางบนหัวไหล่ของชายหนุ่ม พร้อมเบียดหน้าอกแนบชิดกับแขนที่แข็งแรง จนเห็นการเสียดสีทุกครั้งที่เขายกจอกเหล้าขึ้นดื่ม เธอมองสะโพกผายดินระเบิดขยับชิดตัวเขาเข้าไปอีก จนเข่าแทบจะเกยขึ้นมานั่งบนตักอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนเขายังเฉย ไม่ได้มีอาการที่จะปฏิเสธแต่อย่างใด
อินทุภามองอย่างรำคาญใจ นึกอยากจะลุกไปจิกผมสาวคนนั้นให้หน้าหงายจนหลุดติดมือมาเป็นกระจุกเลยยิ่งดี จะได้เลิกทำท่าทางยั่วยวนชวนปล้ำกลางที่สาธารณะแบบนั้นเสียที
เฮอะ!! พวกมลพิษทางสายตา!
สาวน้อยที่นั่งข้างๆ ค่อยๆ รินเหล้าให้อินทุภา แล้วตักอาหารใส่จานวางไว้ให้ตรงหน้า เธอแอบมองด้วยความพิจารณา สังเกตเห็นกิริยามารยาทที่เรียบร้อย และสีหน้าที่สงบนิ่ง ซึ่งดูขัดแย้งกับลักษณะการแต่งตัวที่โดดเด่น ของสาวผู้นี้ด้วยความแปลกใจ
“สาวงามทั้งหมดนี้ เป็นคนของหมู่บ้านนี้หรือ?” อินทุภาชวนคุย
“เฉพาะที่นั่งอยู่ในนี้ กับคนเดินอาหารเจ้าค่ะ นางรำกับนักดนตรีนำมาจากในเมือง” หญิงสาวกล่าว
“ทำไมต้องแต่งตัวนุ่งน้อยห่มน้อยแบบนี้ด้วยล่ะ หรือว่า.. ขอโทษนะที่ต้องถาม คือ.. มีบริการสำหรรับผู้ชายที่หมู่บ้านนี้ด้วยหรือเปล่า? ” เธอถามแบบตะกุกตะกัก เพราะกลัวคนข้างๆ จะเข้าใจผิด
“ไม่มีแบบนั้นเจ้าค่ะ หัวหน้าหมู่บ้านได้จัดเตรียมไว้สำหรับต้อนรับแขกโดยเฉพาะ” เธอตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เท่ากับว่า ไปเกณฑ์สาวๆ ในหมู่บ้านมาหรอกรึ?” หญิงสาวไม่ตอบ ก้มหน้ารินเหล้า ปากเม้มเป็นเส้นตรง
“เจ้าชื่ออะไร?” อินทุภาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“เสียวมี่ เจ้าค่ะ”
“เสียวมี่ข้าคิดว่าเราน่าจะเป็นเพื่อนกันได้ ถ้ามีอะไรที่ไม่สบายใจ หรือต้องการใช้ช่วยเหลืออะไร ข้าเต็มใจช่วย ขอให้บอก” เสียวมี่สบตาอินทุภาแต่ไม่พูดอะไร ยิ้มเพียงเล็กน้อย แล้วคีบอาหารมาวางไว้ให้ในจาน
อินทุภาหันหน้าไปทางหยางหมิงอวี้ เห็นเขามองตรงมาที่เธอ ไม่ได้มองโชว์นางรำดาวยั่วอะไรนั่น แต่อินทุภาสะบัดหน้ามองทางอื่น เพราะหมั่นไส้หน้าอกที่เบียดเสียดถูไถกับลำแขนแข็งแรงนั้น โดยที่เขาไม่คิดจะขยับหนี
อินทุภายกเหล้าขึ้นดื่มอย่างโมโห แต่แล้วก็สะดุ้งชาวาบ ร้อนไปตลอดลำคอ เธอไม่ทันคิดว่าเหล้าโบราณจะแรงถึงขนาดนี้
หยางหมิงอวี้จับตาดูอินทุภา ซึ่งดูเหมือนจะเริ่มเมา เขาเห็นเธอยกดื่มหมดจอกครั้งแรก จากนั้นก็ค่อยๆ จิบในจอกต่อมา จนกระทั่งตอนนี้เธอก็ยังยกดื่มไม่หยุดคล้ายจะติดใจในรสสุรานั้น เขาค่อนข้างเป็นห่วง แต่ก็ต้องนิ่งไว้ก่อน เพราะต้องคอยสังเกตดูท่าทีของคนเหล่านี้ไปด้วย
“ท่านหงส์ ข้าเห็นจะต้องขอตัวไปพัก วันนี้เดินทางมาไกลเลยค่อนข้างจะเพลีย” เขาเตรียมตัดบท รู้สึกเป็นห่วงคนที่เริ่มจะเมา
“ฮ่อๆ ได้ๆ กระหม่อมจัดเตรียมที่พักไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวกระหม่อมจะให้เด็กๆ พาไปพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านหงส์สะบัดมือ ส่งสัญญาณให้สาวงามที่นั่งข้างๆ หยางหมิงอวี้รับหน้าที่ นางยิ้มอย่างดีใจราวกับถูกรางวัลใหญ่ รีบสอดแขนกอดรัดแขนข้างหนึ่ง ของหยางหมิงอวี้ไว้แน่นยิ่งกว่ากาว เตรียมประคองเขาให้ลุกขึ้น
“หม่อมฉันจะพาไปเองเพคะ” นางพูดเสียงหวาน กระชับแขนกอดแน่นยิ่งกว่าเดิม เบียดหน้าอกเต่งตูมเข้าไปชิดยิ่งขึ้น
“โอ๊ะ ไม่เป็นไร ให้เด็กคนนั้นไปแทนแล้วกัน” หยางหมิงอวี้ชี้มือไปที่สาวน้อยที่นั่งข้างๆ อินทุภา
ท่านหงส์ทำมือสะบัดให้นางถอยออกไป ท่านอ๋องผู้นี้คงจะชอบแบบเรียบๆ ติ๋มๆ มากกว่าพวกใส่พานถวายถึงโอษฐ์ เขากัดกรามไว้แน่นจนเห็นได้ชัด จำใจเรียกสาวน้อยข้างๆ อินทุภามาแทน
หยางหมิงอวี้อุ้มอินทุภาไว้ในอ้อมแขน แล้วกอดกระชับตัว เดินตามสาวน้อยไปยังห้องพักที่เตรียมไว้
“ห้องพักท่านเยว่ ห้องนี้เพคะ”
“ห้องข้าล่ะ?”
“ห้องบรรทมฝ่าบาท อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเรือนเพคะ เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด มองเห็นทิวทัศน์ด้านนอก”
“เจ้าไปที่ห้องข้า จุดเทียนเฉพาะตรงหัวนอน แล้วนอนอยู่ที่นั่น”
“เพคะ” สาวน้อยรับคำเสียงเบา ก้มหน้า ปากสั่น
หยางหมิงอวี้พยุงอินทุภาไปที่เตียง จัดการถอดเสื้อผ้าชั้นนอก เดินหาน้ำกับผ้าสำหรับเช็ดตัว
“ฮื้อ! อย่ามายุ่ง! จะไปไหนก็ไป! พวกเสเพล!” อินทุภาเสียงอ้อแอ้ ปัดมือ หลบหน้าหนีผ้าชุบน้ำเย็นๆ นั้น
“ข้าทำอะไรผิด? ถึงได้กลายเป็นคนเสเพล” เขากลั้นยิ้ม
“พระองค์! ก็คงไม่ต่างจากผู้ชายทั่วไป เห็นผู้หญิงเป็นแค่ของเล่น เป็นแค่เซ็กส์ทอย!”
“เพ้อใหญ่แล้ว เซ็กส์ทอยคืออะไร? ฟังดูเหมือนความหมายจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“คนบ้ากาม! มักมาก! ล่าราคะ!” เธอตะโกนใส่หน้า มือผลักไปที่อก
หยางหมิงอวี้ไม่อยากโต้เถียง หรือแก้ตัวตามที่ถูกกล่าวหา เขาดึงอินทุภาขเข้ามาในอ้อมกอด จนร่างกายทั้งสองเบียดชิดกัน เธอพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คำพูดนั้นกลับจมหายไปท่ามกลางริมฝีปากของเขา วงแขนแข็งแรงรัดไว้แน่นจนเธอแทบจะขยับตัวไม่ได้ ความอึดอัดทำให้เธอพยายามดิ้นหนี แต่ก็ไร้ผล
ชายหนุ่มค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกจากเธอ แล้วเคลื่อนลงมาจูบไล่ตามลำคออย่างอ่อนโยน ก่อนจะเบี่ยงขึ้นไปสัมผัสแอ่งเล็กหลังติ่งหู เธอตัวแข็งเกร็งไปชั่วครู่ แต่แล้วก็ยอมเงยหน้าขึ้น ปล่อยให้เขาทำตามใจโดยไม่ขัดขืนอีก พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ
“หายเมาหรือยัง? เลิกแกล้งได้แล้วนะ” เขากระซิบเบาๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่แฝงความขี้เล่น
“อื๋อ!... รู้ได้ยังไงน่ะ?” เธอยอมรับอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่เสแสร้งแกล้งทำอีก
“รู้สิ! เมาตรงไหนกัน หลอกด่าชัดๆ!” เขาพูดพลางหัวเราะเบาๆ
อินทุภายิ้มอายๆ แล้วทุบไปที่อกเขาเบาๆ ด้วยความขัดใจ แต่แววตาของเธอกลับแฝงไปด้วยความอ่อนโยน
“เกลียดคนรู้ทัน! ปล่อยก่อนเพคะ” เธอดันอกเขา ยันตัวจะลุก เขาจึงคลายแขนออกช้าๆ
“ว้า! เสียดาย รู้งี้ปล่อยเลยตามเลยเสียก็ดีหรอก” อินทุภาหัวเราะเบาๆ ให้กับความทันคนของเขา
“จริงๆ ก็มึนนิดหน่อยแต่ไม่ถึงกับเมาหรอกเพคะ หม่อมฉันทำเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่ถูกจับแยกกัน”
อินทุภาขยับถอยหลังไปพิงพนักหัวเตียง ในขณะที่หยางหมิงอวี้นอนราบหนุนหมอน มือข้างหนึ่งสอดหนุนหลังศีรษะอีกทีหนึ่ง
“หม่อมฉันรู้สึกไม่ชอบมาพากล เป็นห่วงฝ่าบาท ในดงอิทธิพลอันธพาลแบบนี้ เราเกาะกลุ่มกันไว้น่าจะปลอดภัยกว่า”
“อืม แล้วเจ้าเห็นด้านนอกศาลาหรือไม่ ชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือ เฝ้ายามอยู่โดยรอบ ข้านับจำนวนคร่าวๆ ได้ราวๆ ยี่สิบกว่าคน”
“พวกเขาจะลงมือคืนนี้ไหมเพคะ?”
“คิดว่าไม่ มันโจ่งแจ้งเกินไป หลักฐานอาจจะมัดตัวได้ แต่หลังจากที่เราออกไปจากที่นี่ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง!”
“เสียวมี่ ผู้หญิงที่นั่งข้างหม่อมฉัน ถ้าเราสามารถให้เธอยอมพูดอะไรออกมาได้บ้าง คงจะดีไม่น้อย”
“ข้าให้นางไปนอนรอที่ห้องข้าแล้ว ตบตาคนพวกนั้นเอาไว้ก่อน บางทีเผื่อจะได้เรื่องได้ราวอะไรมาบ้าง”
“ได้แน่ๆ เพคะ! ได้ขึ้นสวรรค์กันคืนนี้แหละ!” เธอตวัดสายตาใส่เขาอย่างขวับๆ โดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นด้วยความขี้งอน
หยางหมิงอวี้หัวเราะเบาๆ เขาชอบกิริยาขี้งอนเหมือนเด็กน้อยของเธอเหลือเกิน มันทั้งน่ารักและน่าเอ็นดู เขาค่อยๆ เขยิบตัวเลื่อนศีรษะขึ้นมาหนุนตักเธอ พร้อมกับอ้อมแขนไปโอบเอวหญิงสาวไว้อย่างนุ่มนวล
“คนดี ยังไม่เชื่อใจกันอีกหรือ รู้ไหมว่าเวลาอยู่ใกล้เจ้าทีไร ข้าจะคลั่งตายอยู่แล้ว” เขาพลิกตัวมาชิดอินทุภาอีกครั้ง พูดเสียงอู้อี้ด้วยน้ำเสียงอ้อน
“ใช่สิ! อยู่ใกล้กันแล้วจะคลั่ง เลยต้องไปหาคนที่อยู่ไกลๆ หน่อย จะได้หายคลั่งใช่ไหมล่ะ!” เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“โอ๊ะ! ข้าน้อยมิกล้า! มือเท้าหนักแบบนี้ ใครจะกล้าไปหาคนอื่นได้อีก!” เขาพูดพลางยิ้มกว้าง พร้อมกับกอดเธอไว้แน่นขึ้น
“นี่แน่ะไม่กล้า! แล้วที่เบียดเสียดถูไถกันเมื่อหัวค่ำนั่น คืออะไร! นี่ๆ!! ฉันหมั่นไส้จะตายอยู่แล้ว!” เธอกำหมัดรัวกระหน่ำทุบลงที่ต้นแขนแข็งแรงของเขา ด้วยความหมั่นไส้สุดขีด กับอาการที่พูดอย่าง แต่ทำอีกอย่างของเขา
“เด็กบ้านี่! ชักกำเริบใหญ่แล้วนะ!” เขาตวาดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ แต่แววตากลับแฝงไปด้วยความขบขัน
หยางหมิงอวี้ค่อยๆ ลุกขึ้นมาคุกเข่า จับมือเธอไว้ทั้งสองข้าง กดลงไปข้างลำตัวของเธออย่างนุ่มนวล ก่อนจะโน้มตัวลงมาจูบที่ริมฝีปากนุ่มอุ่นเบาๆ หญิงสาวตัวแข็งทื่อ ตาเบิกกว้าง ทำท่าจะขัดขืน แต่แล้วไม่นานก็ค่อยๆ ผ่อนคลาย โอนอ่อนเข้าหา ทำให้เขาหัวเราะเบาๆ ในลำคอด้วยความพึงพอใจ
ที่ยอมนี่อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์สุรากระมัง
ชายหนุ่มค่อยๆ จูบริมฝีปากของเธออย่างอบอุ่นและนุ่มนวล ทุกการสัมผัสเต็มไปด้วยความทะนุถนอม ไม่เร่งร้อน สองมือของเขาค่อยๆ ลูบไล้ขึ้นมาตามแขนเธออย่างช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ แหวกสาบเสื้อด้านหน้าออกจากกัน ปลดตะขอบราลูกไม้ แล้วประคองเธอให้นอนลงใต้ร่างของเขา มือลูบไล้เคล้าคลึงที่ทรวงอกอย่างอ่อนโยน นิ้วหัวแม่มือปัดยอดอกเบาๆ จนเธอแอ่นหลังขึ้นอย่างลืมตัว เขาจึงลูบไล้ต่อไปอย่างชวนสยิว ทั่วทั้งร่างของเธอ
เขาถอนริมฝีปากเพื่อจูบไซ้มาตามลำคอ แล้วเบี่ยงขึ้นมาหาติ่งหู งับเม้มเบาๆ ก่อนจะจูบระเรื่อยลงมาหยุดที่ยอดทรวงอกอวบ
อินทุภาค่อยๆ เลื่อนมือเข้าไปในผมดกหนาของเขา แล้วกดศีรษะให้แนบชิดกับเรือนร่างของตัวเอง ปลายลิ้นที่สัมผัสเบาๆ โลมไล้ไปมานั้น ทำให้เกิดความทรมานที่แปลกประหลาด จนต้องบิดตัวไปมาในอ้อมแขนที่แข็งแรงของเขา เพื่อหลบเลี่ยงความรู้สึกวาบหวาม ใจหนึ่งก็อยากให้เขาเลิกทำแบบนี้เสียที แต่อีกใจก็ไม่อยากให้เขาหยุดเลยสักนิด
“เป่าเป้ย์..น่ารักเหลือเกิน นุ่มนิ่มไปทั้งตัว” เขาพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา แหบพร่าเล็กน้อย
หญิงสาวรู้สึกว่า ตัวเองกำลังเสียการควบคุม ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ คิดอะไรไม่ออกสักอย่าง นอกจากเสียงครวญครางเบาๆ ที่หลุดออกมา โดยที่เธอไม่อาจหักห้ามใจได้
เสียงกุกกักหน้าประตู ทำให้หยางหมิงอวี้ตัวแข็งเกร็ง หมุนตัวลงจากเตียง คว้าผ้าห่มมาคลุมร่างหญิงสาวไว้อินทุภาซึ่งนอนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก็รีบก้มลงหยิบมีดสั้นที่ซ่อนไว้เตรียมพร้อมในทันที หยางหมิงอวี้ยกนิ้วชี้แนบที่ปากของเขา ทำสัญญาณให้เธออยู่นิ่งๆ ห้ามส่งเสียงใดๆ“ใครอยู่ข้างนอก!?” เขาถามด้วยเสียงแข็งกร้าว พร้อมตั้งท่าตั้งรับสถานการณ์“เอ่อ... หม่อมฉันเองเพคะ เสียว... เสียวหมี่” เสียงจากด้านนอกสั่นเครือเล็กน้อย ราวกับทั้งกลัวและเกรงใจหยางหมิงอวี้เหลือบมองอินทุภาแล้วเลิกคิ้ว เธอพยักหน้าให้เขาเปิดประตู เขารอให้อินทุภาใส่เสื้อให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงเดินไปเปิด“เอ่อ... หม่อมฉันเห็นว่าท่านอ๋องไม่ได้เสด็จไปที่ห้อง ก็เลย... ลองมาดูที่นี่ เผื่อว่าท่านเยว่จะเป็นอะไรไหม” เสียงของเสียวมี่ตะกุกตะกัก ราวกับไม่ใช่ความตั้งใจที่อยากทำเช่นนี้“เข้ามาก่อนเถอะ” หยางหมิงอวี้ถอยห่างจากประตู พร้อมเปิดทางให้เธอเข้ามาเสียวมี่ทำตาโตเมื่อก้าวเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นคนเมาเมื่อตอนหัวค่ำ กำลังนั่งพิงพนักหัวเตียงอย่างสงบ ไม่มีอาการเมามาย เหมือนตอนที่เธอมาส่งก่อนหน้านี้เลยสักนิด“ไฮ! เบบี้เกิร์ล เจอกันอีกแล้วนะ!” อินทุภาย
ขณะนี้ดึกมากแล้ว อินทุภากำลังรอฟังข่าวจากเสียวมี่ จึงยังไม่ได้เข้านอน สักพักเธอก็ได้ยินเสียงนกฮูกร้องแว่วๆ สามครั้ง เธอรีบเดินไปเคาะหน้าต่าง เพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรับรู้ ตามที่เคยเห็นท่านอ๋องทำ ไม่นานคนด้านนอกก็ค่อยๆ แง้มบานหน้าต่างและสอดตัวลอดเข้ามา“ข้าน้อยเองขอรับ” หยางติงเข้ามายืนเต็มตัว ทำความเคารพอินทุภาแล้วดึงผ้าปิดปากออก“มีข่าวของท่านอ๋องไหม?” อินทุภารีบถามด้วยความกังวล“ท่านอ๋องถูกลอบทำร้าย ระหว่างทางที่จะไปเหมืองขอรับ พวกมันวางระเบิดหน้าผาทำให้หินถล่มลงมา หินพลาดจากท่านอ๋องไปถูกม้าทรงทรุดทั้งยืน เลยทำให้ฝ่าบาทพระเศียรกระแทกพื้นสลบ ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลยขอรับ!”“ตายจริง! แล้วตอนนี้พระองค์อยู่ที่ไหน?”“ซ่อนอยู่ในถ้ำขอรับ มีทหารรักษาการณ์คอยดูแลความปลอดภัยเอาไว้”“น้ำ อาหารและยาล่ะ? มีพอสำหรับทุกคนหรือเปล่า?”“ข้าน้อยเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วขอรับ ก่อนจะมาส่งข่าวที่นี่”“ฉันจะไปกับนายด้วย คืนนี้พวกมันคงออกตามล่าแน่ ในขณะที่พวกนายคอยระวังป้องกัน ฉันจะดูแลท่านอ๋องเอง!” อินทุภาตัดสินใจอย่างเด็ดขาด หยางติงพยักหน้ารับอินทุภารีบเก็บของ โกยขนมอบแห้งลงห่อกระดาษ แล้วยัดใส่กระเป๋าผ้าใบเล็
หยางติงหอบหญ้าแห้งกอใหญ่เข้ามาพอดี ตามด้วยทหารที่หอบหญ้ามาอีกกอหนึ่ง“ช่วยกันจับหญ้าพันให้เป็นรูปคนเร็วเข้า!” อินทุภาสั่ง แล้วลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่นานก็ได้รูปโครงคล้ายหุ่นไล่กาเธอจัดแจงสวมเสื้อผ้าให้หุ่น ตามด้วยผ้าคลุมที่คลุมตั้งแต่ศีรษะ แล้วผูกตรงคอให้ดูเหมือนศีรษะคนหญิงสาวสั่งการให้ทหารแปดคนรออยู่ที่นี่ โดยให้เอาหุ่นปลอมของท่านอ๋องขึ้นม้าและผูกไว้ด้านหลัง เมื่อศัตรูเข้ามาใกล้ ให้ทหารลาดตระเวนทำเสียงโวยวาย แล้ววิ่งออกไปล่อให้พวกมันไล่ตามส่วนกลุ่มของอินทุภาจะมีทหารสองนายที่เหลือ หยางติง เสียวมี่ และท่านอ๋อง ซึ่งจะออกเดินทางทันทีที่ท่านอ๋องพอจะทรงตัวได้“ไปเถอะ! ข้าพอไหว” หยางหมิงอวี้พูด พร้อมพยุงตัวพยายามลุกขึ้นอินทุภาพยักหน้าให้หยางติงช่วยพยุง แล้วพาท่านอ๋องเดินออกไปด้านนอก เพื่อเตรียมออกเดินทาง""ฝ่าบาท... ไปกับหม่อมฉัน!" อินทุภากระซิบเสียงหนัก รีบพยักหน้าให้หยางติงและนายทหารช่วยกันพยุงท่านอ๋องขึ้นหลังม้า เธอกระโดดขึ้นตามไปนั่งซ้อนหน้า ดึงชายผ้าคลุมมาผูกรัดตัวเองกับหยางหมิงอวี้ไว้แน่น ตอนนี้ไม่มีที่ว่างให้ความลังเล มีแต่ทางรอดเท่านั้น! "เราต้องรีบพาท่านอ๋องกลับค่าย ที่นั่นปลอ
อินทุภาทายาที่แผลบนศีรษะเสร็จแล้ว ก็ถอยมานั่งอยู่ข้างเตียง มองคนป่วยที่กำลังหลับใหลด้วยฤทธิ์ยานอนหลับ หลังจากที่หมอเข้ามาดูอาการ ได้เขียนเทียบยาไว้หลายอย่าง ทั้งยากินและยาทา พวกยาสมุนไพรทั้งก่อนและหลังอาหาร เธอเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ที่ต้องทายาพวกแผลเล็กแผลน้อยที่อยู่ภายใต้เสื้อผ้าเท่านั้น ซึ่งก็คงต้องรอให้หยางติงมาจัดการ “ฝ่าบาท!!” หยางติงวิ่งเข้ามาในกระโจมอย่างกระหืดกระหอบ“ท่านเยว่! ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”“กระดูกไม่หัก ไม่มีบาดเจ็บภายใน มีแต่แผลที่ศีรษะ กับอาการปวดระบมตามเนื้อตัว และมีแผลภายนอกนิดหน่อย พักฟื้นสักระยะก็ดีขึ้น แต่นายต้องคอยดูแลทายาให้พระองค์ด้วย” เธอพูดเสร็จก็หยิบกระปุกยาส่งให้หยางติงไม่ได้รับยาไป แต่ยกมือประสานคำนับและคุกเข่าลงข้างหนึ่งกับพื้น“อภัยให้ข้าน้อยด้วย! ที่ดูแลท่านเยว่กับท่านอ๋องได้ไม่ดี”“ไม่เป็นไร มันเป็นเหตุสุดวิสัย แล้วท่านอ๋องก็ปลอดภัยแล้ว” เธอพูดพร้อมดึงตัวให้เขาลุกขึ้น“พวกเราพยายามช่วยกันออกตามหา เจอดักซุ่มโจมตีหลายแห่ง จนมาพบกันจนได้” เขายิ้มจนตาหยี “ข้าน้อยมาทันได้เห็นธนูดอกสุดท้ายปักอกพวกมันร่วงจากหลังม้า ยังมีอีกสองสามคน น
อินทุภาตัวอ่อนอยู่ในอ้อมแขนของเขา หยางหมิงอวี้เองก็ยังไม่อยากเคลื่อนไหว หัวใจเขาเต้นแรง หายใจแรงจนหอบ สักพักก็พลิกตัวนอนหงาย รั้งร่างโปร่งบางให้พลิกตามลงมานอนตะแคงก่ายเกยอยู่ครึ่งๆ บนร่างของเขา ขาของเธอเบียดชิดจนเขารู้สึกอบอุ่นและชุ่มชื้นในซอกลี้ลับ เขาลูบหลัง เลยมาถึงต้นขา ลูบไปมาเป็นจังหวะ ปลอบโยนให้เธอหายอ่อนเพลีย“เป่าเป้ย์” เขาพึมพำ “น่ารักไปทั้งเนื้อทั้งตัว ตั้งแต่หัวจดเท้า เนื้อนุ่มหอม แล้วก็หวาน” หยางหมิงอวี้จูบเบาๆ ที่หน้าผาก ระเรื่อยมาที่ขมับ แล้วขยับผ้าห่มมาคลี่คลุมตัว ถ้าเหงื่อแห้งอาจตัวเย็น สะท้านและไม่สบายได้หญิงสาวซุกตัวเข้าแอบอกเขา สักครู่ก็ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอเป็นจังหวะ แสดงว่าหลับไปแล้ว เขายิ้มคนเดียวในความมืด ตัวนิดเดียวแค่นี้ แต่ให้ความสุขแก่เขาได้อย่างมากมายเหลือเกิน สะโพกของเธอเพรียวและตึง ดูว่าเล็กกะทัดรัดแต่ก็รับน้ำหนักของเขาไว้ได้อย่างมั่นคง ความกระชับแน่นของกล้ามเนื้อทำให้เขารู้สึกเสียวซ่านอยู่ตลอดเวลามือของเขาลูบไล้แผ่นหลังอยู่ไปมานั้น เลยไปถึงสะโพกกลมมน รู้สึกรักทุกอย่างที่ประกอบกันเป็นตัวเธอ เขาไม่มีวันปล่อยให้หนีหายไปจากเขาอีกแล้ว อินทุภาจะเป็นผู้ห
“อินทุภา!”“หือ?”“เยว่อิง!” “ใครเรียกเนี่ย? จะเล่นซ่อนแอบกับฉันเหรอ?” อินทุภาพยายามชะเง้อมองรอบตัว แต่ก็เห็นแค่หมอกหนาทึบเต็มไปหมด“ยัยจอมลวงโลก! ทำผิดสัญญา!”“เฮ้! นายเป็นใคร? จู่ๆ ก็มากล่าวหาว่าโกหกเลยเหรอ? ฉันไปสัญญาอะไรกับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”“ก็บอกว่าจะช่วยฉันกลับบ้านไง! ลืมอีกแล้วเหรอ? ยัยคนเบี้ยวสัญญา! จอมโกหก!”“ฉันเนี่ยนะ? ไปสัญญาตอนไหน? หลักฐานไม่มีอย่ามาใส่ร้ายกันนะ! แน่จริงก็ออกมาคุยกันซึ่งๆ หน้าสิ!” อินทุภาเริ่มหงุดหงิด หมุนตัวไปมาแต่ก็ยังไม่เห็นใคร “โอเคๆ ยอมแล้วจ้า... สรุปต้องทำไง เธอถึงจะออกมา? มีอะไรให้ช่วยก็บอกมาดีๆ เถอะน่า” อินทุภาถอนหายใจ หมุนมองไปรอบตัวอีกครั้ง หมอกเริ่มจางลง แต่ก็ยังไร้เงาของเสียงประหลาดนั่น“อยู่ตรงนี้ไง ยัยทึ่ม!” อินทุภาสะดุ้ง หันขวับไปมอง แต่ก็ยังว่างเปล่า ได้ยินแต่เสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายดังชัดเจน“ตรงนี้! มองลงมาข้างล่าง!” อินทุภาเลยก้มลงมอง แล้วก็ต้องอ้าปากค้าง แมวดำตัวจิ๋วตาโตเหมือนใส่บิ๊กอายส์สีเหลืองทองกำลังจ้องเธออยู่“มะ... แมวพูดได้!” อินทุภาชี้หน้าแมวน้อยอย่างตกใจ“แหม! ข้ามเวลายังทำได้เลย กะอีแค่แมวพูดได้ต้องตกใจขนาดน
เปรี้ยงงง!! เปรี้ยงงง!! ครืนนน!!"กรี๊ดดด!!" หญิงสาวกำลังอยู่ในภวังค์ความคิด จู่ๆ ฟ้าก็ฟาดลงมาอีก เสียงดังสนั่นกว่าเดิม ราวกับว่าอยู่ใกล้ๆ รถม้านี่เองเอ๊ะ! เสียงหายไปไหน?หญิงสาวร้องจนสุดเสียง แต่กลับไม่ได้ยินเสียงตัวเอง เธอลองตะโกนอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงออกมาเช่นเดิมอะไรกันนี่!?! น่ากลัวกว่าฟ้าอีกตอนนี้! เกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่!?! ตั้งแต่ถูกวางยา ถูกจับมาอย่างไม่รู้ตัว แล้วนี่เสียงก็หายไปอีก!!ผ้าม่านที่บังไว้ครึ่งๆ ถูกตวัดให้เปิดออกโดยมือของคนผู้หนึ่ง เขาชะโงกหน้าเข้ามามองใกล้ๆ แล้วก็ทำหน้าตื่นตะลึง ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นคนด้านในชัดเจน จากนั้นก็ถอยหลังออกไป เสียงสั่งการปนเปกับเสียงฝน ฟังไม่ออกว่ากำลังพูดอะไรกันสักพักใหญ่ๆ รถม้าก็มีความเคลื่อนไหว เหมือนมีคนกำลังพยายามช่วยกันจับพลิกให้รถม้าตั้งขึ้นจากภายนอก แต่พอตั้งตรงได้เพียงชั่วครู่ ก็โยกโคลงเคลงพร้อมกับเลื่อนตัวลงเอียงไปข้างหนึ่งเสียงผู้คนภายนอกเอะอะ ตะโกนกันวุ่นวาย แล้วผ้าม่านก็เปิดออกอีกครั้งหนึ่ง“ไม่ไหว! รถม้าคันนี้ใช้งานไม่ได้แล้ว เจ้าคงต้องเปียกเสียแล้วล่ะ ออกมาเถอะ! พวกเราจะไปกันแล้ว!” เขาพูดแล้วออกไปเธอพยายามจะบอกเ
ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเฉียดใกล้หัวใจเขามาก่อน ตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่มมา เขาไม่เคยหลงใหลคลั่งไคล้ผู้หญิงคนไหน ถึงขนาดอยากได้จวนเจียนจะคลั่งขนาดนี้มาก่อนเลยชายหนุ่มเดินหายเข้าไปในห้องชั้นใน กลับออกมาพร้อมผ้านุ่มผืนหนึ่ง โยนโปะลงบนศีรษะของหญิงสาว วางเสื้อคลุมสีขาวพาดไว้ใกล้ๆ ขานวล แล้วเขาก็เดินหายเข้าไปในห้องเดิมอีกอินทุภารีบเดินไปหลังผ้าม่าน ถอดชุดเปียกอย่างว่องไว แล้วรีบสวมเสื้อคลุมทับผูกเอวไว้แน่น เหลือบราลูกไม้กับกางเกงชั้นในไว้ ช่างมันเถอะ! ใส่เปียกๆ แบบนั้นไว้แหละ อย่างน้อยก็อุ่นใจ ดีกว่าปล่อยให้มันโล่ง!เขากำลังเปลี่ยนชุดเป็นผ้าแห้ง แต่ความคิดก็ยังวนเวียนเกี่ยวกับสาวน้อยที่อยู่นอกห้อง เขาเคยเจอประเภทที่เล่นตัว ออกฤทธิ์มากเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา แต่พอลงเตียงแล้ว จากเสือกลายเป็นนางแมวสวาทเชื่องๆ ทำให้เขาหมดความสนใจไปเลย ราวกับว่าไอ้ฤทธิ์ที่แสดงออกมาก่อนหน้านั้น ทำไปแค่พอเป็นพิธีแต่กับสาวน้อยตัวเล็กคนนี้ เหมือนว่าเขาจะถูกปราบเสียเองแล้ว เขาอยากตามใจเธอทุกอย่าง อยากได้อะไรก็จะประเคนให้ทั้งหมด ขอแค่เธออยู่กับเขา อยู่รักเขา และให้เขาได้รักหญิงสาวทำให้เขารู้สึกว่า เดินก้มหน้าบนทางเดิ
หยางหมิงอวี้นอนรอภรรยาที่พาลูกๆ ไปเข้านอนด้วยความอดทน ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมานอนที่ห้องหรือว่าเผลอหลับนะ? เขากำลังจะก้าวเท้าลงจากเตียง ก็พอดีเห็นร่างอวบอิ่มยั่วยวนใจเดินเข้าประตูมาพอดี เขายิ้มอย่างยินดี อ้าแขนออกกว้างรอให้ภรรยาโผเข้าหาอินทุภายิ้มหวานเดินเข้าหาอ้อมแขนแข็งแรง แล้วกัดคางเขาเบาๆ เสียงฟ้าร้องครืนๆ มาแต่ไกลทำให้เธอชะงักเล็กน้อย"มีอะไรรึ?" หยางหมิงอวี้ถามเสียงอู้อี้ เพราะกำลังซุกไซร้ซอกคอหอมกรุ่น"ฟ้าร้องเพคะ เด็กๆ กลัวเสียงฟ้าผ่า""เอาน่า คงยังไม่ใช่ตอนนี้ เสียงยังอยู่อีกไกล มาให้ผัวชื่นใจก่อน รออยู่นานแล้ว" เสียงเขาแตกพร่าฝ่ามือแข็งแรงจับท้ายทอยรั้งริมฝีปากอวบอิ่มเข้าหา ล้วงลิ้นซอกซอนหาความอบอุ่นภายใน เขาอดอยากมาเป็นเดือนแล้ว เพราะต้องออกไปลาดตระเวน ลมปราณแทบจะแตกซ่านอยู่รอมร่อ ฝ่ามืออีกข้างลูบไล้เรือนร่างด้วยความรักใคร่หลงใหล แล้วช้อนบั้นท้ายกลมกลึงยกขึ้น กดแนบชิดกลางลำตัว ริมฝีปากซุกไซร้ซอกคอและไหล่บอบบาง ขบกัดเม้มเบาๆ จนเกิดรอยแดงจางๆ กระจายไปทั่ว"อาา..ฝ่าบาท" เสียงหวานครวญครางเบาๆเปรี้ยงงง!! ครืนนน!!แล้วอยู่ๆ ฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมาดังสนั่น เ
ตอนพิเศษ (1) ::: Cut Scene 1 :::คุณอรรพีพาตัวเองมาถึงที่วัดป่าจนได้ เธอฝันมาสองสามคืนแล้วว่า แม่ชีอินทุกรให้เธอเดินทางมาหา ซึ่งเธอก็ตั้งใจจะมาอยู่แล้ว เพื่อจะสอบถามเรื่องลูกสาวที่หายไป เธอมั่นใจว่า เธอต้องได้คำตอบจากคุณแม่อย่างแน่นอน "ไหว้พระเถอะลูก" แม่ชีอินทุกร ยกมือรับไหว้ระดับอก หลังจากคุณอรรพี ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ก้มลงกราบแบบเบญจางค์ประดิษฐ์"มาจนได้นะเรา เป็นอย่างไรบ้าง?""สบายแค่กายค่ะคุณแม่ แต่ในใจยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนนอนไม่ค่อยหลับ " เธอกล่าวเสียงเรียบแม่ชีอินทุกรถอนใจ แล้วยิ้มน้อยๆ"ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่เกิด ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่มี ทุกข์กับสิ่งที่ยังมองไม่เห็น ในเมื่อคำว่า "ยัง" มีแต่ความว่างเปล่า แล้วจะเก็บไปทุกข์ทำไมล่ะ""ลูกฝันเห็นยัยอินของเราค่ะ ฝันซ้ำๆ เดิมๆ แล้วแกก็มาหายไปแบบนี้ ก็รู้สึกเป็นห่วงมาก ติดต่อก็ไม่ได้""ทางโน้นเขาว่าอย่างไรบ้างล่ะ ที่เจ้าอินหายไป""เขาเล่าให้ฟัง..ถึงเหตุการณ์ก่อนที่หนูอินจะหายตัว พ่อเขาก็คิดว่าอาจจะเป็นไปตามนั้น ตระกูลเขาเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ ที่บรรพบุรุษเล่าต่อๆ กันมา เลยไม่อยากให้แจ้งความ ให้รอจนกว่าลูกจะกลับมาเอง""เรื
"มีข่าวคืบหน้าทางหยางซื่อหรือไม่?" หวางกุ้ยเฟยถามองค์หญิงหยางมี่ ขณะกำลังปอกสาลี่ใส่จาน"เอ๋อเหนียงรู้ไหมว่า ชาวเมืองหยางซื่อ เขาเล่าลือกันอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น!""เล่าลืออะไร?" หวางกุ้ยเฟยสงสัย"เขาพูดกันว่า พระชายาใช้พลังเวทย์ แสดงอิทธิฤทธิ์เรียกลมเรียกฝนได้ ทำให้กองทัพเชี่ยแตกกระเจิงเพราะถูกน้ำหลาก แถมยังเรียกสายฟ้า ให้ผ่าลงกลางสนามรบได้อีก! ทหารนับแสนแตกตื่นจนลืมโจมตี ส่วนผู้บัญชาการทัพเชี่ย ที่เข้ามาลอบสังหาร ก็ถูกฟ้าผ่าที่แขนจนไหม้เกรียม ต้องเสียชีวิตในสนามรบ เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว! แล้วอะไรอีกนะอินชง..""มีข่าวลือจากทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าต่อกันมาถึงชาวเมืองว่า พระชายาทรงสั่งให้ฝังระเบิดรอบสมรภูมิทั้งสามด้าน เพื่อสกัดกั้นทัพเชี่ย ไม่ให้บุกเข้ามาในเมือง ระเบิดเหล่านี้มีจำนวนมากพอที่จะสังหารทหารได้นับหมื่นนับแสนคน และยังไม่รวมถึงกระสุนปืนใหญ่อีกจำนวนมหาศาลที่เตรียมไว้ ก่อนหน้านั้นยังมีการปล่อยโคมลอยเพื่อลอบโจมตี เผาเสบียง และโรยผงหมามุ่ย เพื่อตัดกำลังทัพเชี่ยไปได้มาก" อินชงพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม "ยิ่งไปกว่านั้น พระชายายังทรงนำทัพหน้า บุกตะลุยฝ่าข้าศึก เพื่อเป
สมรภูมิรบด้านนอกเมืองเงียบสงบลงแล้ว เหลือเพียงทหารกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังค้นหาผู้รอดชีวิต มูลากำลังทำแผลที่หัวไหล่ให้อินทุภา ขณะที่เธอก็กำลังนั่งรอรับโทษทัณฑ์จากสามีอยู่ที่ห้องโถง "ไม่ต้องห่วงเรื่องแผลที่หัวไหล่ เป็นคนอื่นคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มหลายวัน แต่มีพวกเราอยู่อีกสามวันก็ดีขึ้นแล้ว!" มูลาพูดขณะพันแผลเสร็จเรียบร้อย"ตอนต่อสู้กับองค์ชายซุน ฉันน่ะลุ้นสุดตัว! ภาวนาขอให้นายท่านกลับมาเร็วๆ มีเพียงพลังธาตุข่มในตัวเขาเท่านั้น ที่จะสยบองค์ชายซุนได้!" ลูน่ากล่าว"แล้วพลังเวทย์ของพวกเธอช่วยฉันไม่ได้เลยหรือ?" อินทุภาสงสัย"ราชาดาวนิลมีพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งมาก แม้แต่พวกเรายังสู้ไม่ได้ แล้วท่านจะไหวได้อย่างไร!" เรกิพูดขึ้นมาบ้าง"นายท่านมาแล้ว!!" เอกิลเตือน ทุกคนหันไปมองประตู แล้วเลือนหายไปประตูถูกเปิดออกอย่างแรง คนที่กำลังเดินผ่านประตูเข้ามามีสีหน้าราวกับพยัพฝน คงทำความสะอาดเนื้อตัวมาแล้ว จึงเหลือแต่เสื้อตัวใน เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ แววตาที่เคยสุภาพอบอุ่น ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความคมกล้า จ้องมองเขม็งอย่างเอาเรื่องเต็มที่ จนทำให้เธอไม่กล้าแม้จะสบตาตรงๆ ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คงต้องแก
ตอนนี้ยามซื่อแล้ว(09.00-10.59น.) ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆดำทะมึน ราวกับธรรมชาติ กำลังสำแดงอำนาจข่มขวัญโลกมนุษย์ ฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย สลับกับสายลมกระโชกแรง อินทุภายืนอยู่บนกำแพงเมือง สายตาจับจ้องไปยังขอบฟ้า รอคอยสถานการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างสงบ เธอไม่อยากปกป้องตนเอง ด้วยการทำลายชีวิตของผู้อื่น แม้ว่าวิวัฒนาการจากโลกอนาคต จะทำให้เธอโกงความตายได้ ทว่าหลังแนวกำแพงนี้ มีประชาชนหยางซื่อนับหมื่นชีวิต ฝากความหวังไว้กับเธอเพียงผู้เดียว พวกเขาเชื่อมั่นว่า เธอจะปกป้องครอบครัวของพวกเขา จากความโหดร้ายของศัตรูได้ สายตาทุกคู่ จับจ้องไปยังแผ่นหลัง ของหญิงสาวในชุดเกราะ เธอไม่มีปิ่นปักผมล้ำค่า หรืออัญมณีงดงาม เหมือนสตรีทั่วไป แต่กลับใช้เพียงเชือกสีดำ มัดรวบมวยผมไว้อย่างเรียบง่าย แม้ภายนอกจะดูบอบบาง แต่ภายในกลับแข็งแกร่ง ดุจนักรบที่ผ่านสมรภูมิมาแล้วนับร้อยครั้ง"ทัพเชี่ยอยู่ห่างออกไปห้าหลี่แล้วขอรับ!" ทหารรายงานพลางยื่นกล้องส่องทางไกลให้ อินทุภารับมา และเพ่งมองออกไปเบื้องหน้า ความทะเยอทะยานอันเห็นแก่ตัวขององค์ชายซุนจ่งซาน ได้ลากกองทหารที่อ่อนล้า และตรากตรำจากภัยธรรมชาติ ให้มาหยุดยืนอยู
"เสี่ยวจื่อเด็กดี! เจ้าไม่กินไม่นอน ข้าทุกข์ใจยิ่ง!" ฮ่องเต้ดูจะชมชอบการเปลื่ยนชื่อเรียกหญิงสาว ถ้าไม่เสี่ยวจื่อ ก็เป็นเสี่ยวซา"ก็หม่อมฉันเป็นห่วงเสด็จพ่อกับท่านแม่นี่นา แล้วยังมีพี่ชายทั้งสามที่ต้องรบอยู่แนวหน้าอีก!" จือซาทำหน้าเศร้า"เจ้าอย่ากังวลไปเลย มีแม่ทัพหยางอยู่ทั้งคน เขาเก่งกล้าสามารถเพียงใดเจ้าก็รู้ ทุกคนจะปลอดภัยจากสงครามครั้งนี้! ข้ารับรอง!""อืม" หญิงสาวรับคำ พร้อมกับซุกหน้าลงไปที่อกกว้าง"ถ้างั้น! ดื่มซุปไก่นี่สักหน่อย ข้าลงครัวด้วยตัวเองเชียวนะ!" เขาพูดอย่างภาคภูมิใจฮ่องเต้ตักชิ้นไก่ตุ๋นเนื้อนุ่มพอดีคำใส่ไว้ในช้อน ส่งถ้วยให้เธอถือ แล้วเดินไปรินน้ำชา จือซามองถ้วยซุปด้วยความซึ้งใจ ในมุมอ่อนโยนของเขา ซึ่งมักจะทำให้เธอรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนพิเศษอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวยิ้มบางๆ พลางยกช้อนขึ้นใส่ปาก"อื๋ออ..เค็ม!!" เธอพูดแล้วชะงักกึก รีบเงยหน้ามองฮ่องเต้กลัวเขาจะน้อยใจ ซึ่งเขาก็หันมาทันที ที่ได้ยินเสียงเธออุทานออกมา"อื้อหือ!..ขะ..เข้ม!..เข้มข้นมาก! นับว่าเปิดหูเปิดตาหม่อมฉันแล้ว!" เสียงพูดจืดเจื่อนเพราะรู้สึกขมไปตลอดช่องคอ พยายามปรับสีหน้าให้อยู่ในระดับปกติ ฮ่องเต้หนุ่มยิ้ม น
ภายใต้การวางแผนยุทธศาสตร์ขององค์ชายซุน และการบัญชาการโดยตรงของฮ่องเต้ซุนตี้ชุน สงครามครั้งใหญ่ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน บัดนี้ได้กลายเป็นการประหัตประหารอย่างโหดเหี้ยม กองทัพมหึมาของแคว้นซ่ง แคว้นคัง และแคว้นเป่ยเหลียง ต่างพ่ายแพ้ย่อยยับ ทหารนับไม่ถ้วนล้มตายเกลื่อนกลาด ผู้ที่รอดชีวิตมีไม่ถึงหนึ่งในสิบ อำนาจของแคว้นเชี่ยแผ่ขยายรวดเร็วจนน่าตระหนก เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เหล่าแม่ทัพและทหารแคว้นเชี่ยไม่เคยคิดเลยว่า การพิชิตแคว้นหนึ่งจะง่ายดายถึงเพียงนี้ กลิ่นคาวเลือดแห่งชัยชนะ ปลุกโหมกำลังใจให้ลุกโชนดั่งเปลวเพลิง ธงของแคว้นเชี่ยสะบัดพลิ้วอยู่เบื้องหน้ากองทัพเสมอ ดั่งสัญลักษณ์แห่งชัยชนะอันมิอาจต้านทาน ฮ่องเต้ซุนตี้ชุนและองค์ชายซุน ได้กลายเป็นวีรบุรุษสงครามในสายตาทหารหาญทุกผู้คน ท่ามกลางความตระหนกหวาดกลัวทั่วหล้า แผ่นดินถูกย้อมแดงด้วยโลหิตสุดลูกหูลูกตา เงาทมิฬแห่งสงครามแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ โดยมีแคว้นเชี่ยเป็นศูนย์กลาง กองทัพเดินหน้าขยายอาณาเขตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่า แผนยุทธการขององค์ชายซุน จะนำพาแคว้นเชี่ยสู่ชัยชนะได้ในเวลาอันสั้นเพียงนี้ สองฟากถนนเต็มไปด้วยซากศพและโครงกระดูก
ก่อนที่อินทุภาจะไปวังหลวงคราวก่อน ช่วงที่ซ่อมกำแพงเมือง ได้สั่งให้ช่างทำห้องใต้ดินใต้คลังเสบียงไว้ด้วย จึงได้ใช้ในช่วงเวลาที่มีศึกสงครามเช่นนี้ เธอทำเสบียงลวงไว้ชั้นบน แต่เก็บเสบียงทั้งหมดไว้ชั้นใต้ดิน เพื่อป้องกันศัตรูบุกเผาทำลาย และทำทีว่าป้องกันหละหลวมสร้างอุบายลวง แต่ทุกจุดสำคัญของเมือง มีทหารสอดแนมของกองทหารพิเศษคอยจับตาอยู่หยางติงเข้ามารายงานข่าวจากทหารสอดแนม ว่ากองทัพเชี่ยมีกำลังพลประมาณสองแสนสามหมื่น แต่ได้แบ่งออกเป็นสามทัพดังที่อินทุภาคาดไว้ แต่ทั้งสามทัพนี้ มิได้ยกมาพร้อมกัน และเดินทัพทิ้งระยะห่างกันมาก โดยที่ทัพหน้ามีกำลังพลประมาณสามหมื่น ซึ่งทัพหน้านี้คงจะเป็นการบุกแบบหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ อีกสองทัพแบ่งเป็นทัพละหนึ่งแสน ทัพสองแน่นอนว่าใช้ตัดกำลัง และทัพสามคงจะมุ่งหวังโจมตีเต็มที่อินทุภาเลยคิดแผน จากการที่ศัตรูเดินทัพ ทิ้งระยะห่างกันเกินไปนี้ มาใช้ประโยชน์ โดยจะใช้กลยุทธ์ในตำราพิชัยสงครามเจ็ดตำนานชื่อว่า..’ลับลวงพราง’โดยให้หยางติง นำทัพแรกกำลังพลหนึ่งหมื่นนาย ประกอบไปด้วยกองปืนคาบศิลา พลธนู กองทะลวงฟัน หรือกองทหารพิเศษเคลื่อนที่เร็ว ไปดักซุ่มโจมตีทัพหน้า โดยต้องรีบออกเดินทา
พอลับสายตาจากภายนอก เขาก็สอดมือรั้งท้ายทอยหญิงสาวเข้าชิด แล้วจู่โจมริมฝีปากอวบอิ่มแทบจะในเสี้ยววินาที อย่างเร่าร้อนหนักหน่วง ราวกับว่าเธอคือลมหายใจสุดท้าย ที่เขาโหยหามาตลอดชีวิต มือข้างหนึ่งกอดเอวบอบบางไว้แน่น อีกข้างจับท้ายทอยให้ขยับมุมตามริมฝีปากของเขา อินทุภาตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่สุดท้ายก็หลับตาพริ้ม จูบตอบจุมพิตที่แสนรัญจวนใจนี้ด้วยความยินยอม มือไม้เผลอไผลเกาะลำคอเขาไว้แน่น ลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวไปจนหมด"ฝ่าบาท.." อินทุภาครางเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระชั่วครู่ ก่อนจะจุมพิตเขาด้วยความโหยหาไม่ต่างกัน ปลายลิ้นของเธอถูกเขาดึงดูดเข้าหาราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาล เขาถอนริมฝีปากมาซุกไซ้ที่ซอกคอ เธอเลยกัดที่คอเขาเบาๆ แล้วเลื่อนมากัดที่ปลายคาง ขบเม้มดูดดุนไปทั่วซอกคอ ในขณะที่อีกมือค่อยๆ ดึงสายรัดเอวของเขา แหวกสาบเสื้อให้เปิดออกกว้าง"เมียรัก.." เขาพูดเสียงเบาเหมือนคนละเมออินทุภาแลบปลายลิ้นเลียลิ้มชิมรสยอดอกสีชมพูคล้ำ สองนิ้วเค้นเขี่ยเม็ดตุ่มสีสวยอีกข้าง เรียกเสียงครางครวญจากอีกฝ่ายให้หอบหนักขึ้น ตามอารมณ์ที่กำลังไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ขณะที่อีกมือก็ค่อยๆ คลายสายรัด จนทำให้ขอบกางเกงขยายออ