“ท่านเยว่! .. ท่านเยว่!”
อินทุภาเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียก เห็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดปี โยนตะกร้าสานในมือทิ้ง ฉีกยิ้มกว้างวิ่งตรงมาหาเธอด้วยความดีใจ
“ท่านเยว่! .. ท่านเยว่! จริงๆ ด้วย จำข้าได้ไหมขอรับ? ข้าเอง..เสี่ยวเถา!”
อินทุภายิ้มแหยๆ หันไปมองหยางหมิงอวี้เพื่อขอความช่วยเหลือ
“เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย ทำให้ความทรงจำหายไป คงอีกสักพักกว่าจะกลับมา” หยางหมิงอวี้กล่าวแทนด้วยน้ำเสียงขบขัน
“อย่างนี้นี่เอง! อยู่ๆ ท่านเยว่ก็หายตัวไป พวกเราทุกคนคิดถึงท่านมาก โดยเฉพาะฝ่าบาท ตั้งแต่ท่านไม่อยู่ ฝ่าบาทดูหน้าไม่เป็นหน้าเลยขอรับ”
“อ้อ! งั้นที่เจ้าเรียกฝ่าบาท! ฝ่าบาท! เพราะเห็นว่าหน้าข้ามันคล้ายกันใช่หรือไม่?” หยางหมิงอวี้แกล้งถาม อินทุภาปล่อยเสียงหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง แล้วกลั้นขำเอาไว้
“ธ่อ! กระหม่อมไม่ได้หมายความอย่างนั้นเสียหน่อย!” เสี่ยวเถาทำหน้าเสีย ยิ้มแหยๆ
“เสี่ยวเถาเป็นนักเรียนคนแรกของโรงเรียน ที่เจ้าก่อตั้งขึ้นเมื่อสิบปีก่อน” หยางหมิงอวี้อธิบาย
“อ้าวเหรอ..งั้นเรามาทำความรู้จักกันใหม่แล้วกันนะ สวัสดีอย่างเป็นทางการนะจ๊ะ..เสี่ยวเถา ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ” อินทุภายิ้ม แล้วยื่นมือออกไปเช็คแฮนด์แบบตะวันตก
เสี่ยวเถาทำหน้างง มองมืออินทุภา แล้วหันไปมองหยางหมิงอวี้ หนุ่มน้อยไม่รู้ว่าหญิงสาวยื่นมือมาให้ทำอะไร
อินทุภาเห็นท่างงๆ ของเด็กหนุ่มจึงเริ่มเข้าใจ ว่าเป็นการผิดธรรมเนียมที่ชายจะแตะเนื้อต้องตัวหญิงสาว เธอจึงเปลี่ยนมาใช้การคำนับแบบเปาเฉวียน กำปั้นทับกันอย่างขึงขัง
เสี่ยวเถาเห็นดังนั้นจึงยิ้มออก ยกมือคำนับระดับหน้าอก แล้วโค้งลงจนเกือบถึงเอว
หยางหมิงอวี้ยืนเอามือไขว้หลัง แววตาพราวไปด้วยรอยยิ้มขบขัน แล้วหันไปพูดกับเสี่ยวเถา
“วันนี้แม่เจ้ากลับมาใช่ไหม? ไปบอกท่านป้าให้เตรียมสำรับมารับรองท่านเยว่”
“พ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเถาคำนับรับคำสั่ง แล้วรีบเดินออกไปอย่างกระฉับกระเฉง
“ป้าเถียนเป็นแม่ครัวที่ภัตตาคารเฟินเยว่ในตัวเมือง แล้วรู้ไหมว่าอาหารยอดนิยมของที่นั่นคืออะไร?” เขาถามขณะเดินไปด้วยกัน อินทุภาส่ายหน้า แววตาสะท้อนความอยากรู้ออกมาเต็มเปี่ยม
“ข้าวไข่เจียว! กับเครื่องปรุงสูตรเด็ดที่เจ้าตั้งชื่อว่า ซอสมะเขือเทศ และซอสพริก!”
หาาาา!?!
อินทุภาอ้าปากค้าง เขาเห็นแล้วขำเลยทำท่าเอานิ้วชี้แหย่เข้าไป ทำให้เธอรู้ตัวรีบหุบปากทันที
“อย่าบอกนะว่า..เป็นความคิดของท่านเยว่” อินทุภาทาย
“เจ้าเคยบอกว่า เรื่องพิสดารที่ไม่เหมือนใครให้ไว้ใจเจ้า” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดต่อ “พูดแบบภูมิอกภูมิใจด้วยนะ” อินทุภาหัวเราะแหยๆ ตามไปด้วย
แบบนี้ก็ได้เหรอ!? เมนูง่ายๆ ยังกล้าเอามาหลอกชาวบ้านด้วยความภาคภูมิใจ!
“เฟินเย่วเหลามีชื่อเสียงเรื่องอาหารแปลก แต่อร่อยจนเลื่องลือไกล คนต่างเมืองแวะเวียนมาลิ้มลองไม่ขาดสาย โต๊ะจองเต็มทุกวัน ชาวบ้านของเรามีรายได้ และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเมื่อสิบปีก่อนมาก”
เขาหยุดเดิน หันมาสบตาอินทุภา บีบมือเธอเบาๆ
“ทั้งหมดนี้ ต้องขอบใจเจ้า” แล้วเขาก็ยกมืออินทุภาขึ้นมาจูบที่ข้อนิ้ว แววตาอ่อนโยน
“เล่าให้ฟังหน่อยสิเพคะ ว่าท่านเยว่สร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้อีกบ้าง?”
“เยอะเลย! ล้วนแต่คาดไม่ถึง และไม่น่าเป็นไปได้ทั้งนั้น!” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ฝ่าบาทคงเสียพระทัยที่ได้รู้จักคนอย่างหม่อมฉัน!” อินทุภาแกล้งพูดประชด
“ข้ายิ่งรู้สึกดีใจ ที่ได้มารู้จักคนอย่างเจ้าต่างหาก!” หยางหมิงอวี้ตอบยิ้มๆ พลางดึงมือเธอให้หยุดเดิน
“ทางซ้ายคือชุมชนพัฒนาที่เราสร้างขึ้นด้วยกัน พรุ่งนี้จะพาไปดู ส่วนทางขวาคือทางไปจวนของข้า และบ้านของหมอซุน เราจะพักที่นั่น” พูดจบ เขาก็จูงมืออินทุภาเดินไปทางขวา
อินทุภาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าต้นอวี้หลันในมิตินี้ ยืนต้นสูงเด่นอยู่บนเนิน ซึ่งมีทางลาดลงมา และมีทางแยกให้เลี้ยวซ้ายหรือขวา ส่วนอวี้หลันในมิติปัจจุบันนั้น ปลูกอยู่ในสวนหลังบ้านของซุนจ่งซาน ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก
“พี่ซานนี่นา!” อินทุภาอุทานด้วยความดีใจปนประหลาดใจ พร้อมกับยิ้มกว้าง เมื่อเดินเข้าประตูจวนและเห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังตากสมุนไพรอยู่
“นั่นหมอซุนต่างหาก” หยางหมิงอวี้แก้คำให้
“เหมือนพี่ซานจริงๆ เพคะ เหมือนเป็นคนคนเดียวกันเลย!” อินทุภายังคงตื่นเต้นไม่หาย
หมอซุนเงยหน้าขึ้นจากสมุนไพรที่กำลังตาก เมื่อได้ยินเสียงสนทนาแว่วมา แต่จับใจความไม่ชัด เขาตะลึงงันอยู่กับที่ สีหน้ายิ้มกว้างด้วยความยินดีและรีบตรงเข้ามาหา
“อาอิง! นี่ใช่อาอิงจริงๆ หรือไม่! ทำไมถึงเหมือนกันราวกับฝาแฝดเช่นนี้ล่ะ!” เขาพูดพลางดึงมือเธอมากุมไว้ทั้งสองข้าง สีหน้าแสดงออกถึงความดีใจอย่างยิ่งยวด
“ท่านหมอซุนก็เช่นกันค่ะ เหมือนพี่ชายของฉันราวกับโคลนออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน” เธอเลียนแบบคำพูดของเขา แล้วหัวเราะ
“เจ้าก็เคยพูดเช่นนี้กับข้าเมื่อครั้งก่อนโน้น ยังบอกอีกว่ารักและนับถือในความเก่งกาจแสนดีของพี่ชายคนนั้นมาก”
“จริงหรือคะ? แต่พี่ซานของฉันก็แสนดีแสนวิเศษจริงๆ น่ะแหละ ฉันรักและนับถือเขาเหมือนพี่ชายแท้ๆ เลยค่ะ” เธอพูดด้วยความภูมิใจ
“ไปคุยกันข้างในดีกว่า” หยางหมิงอวี้ตัดบท
……………………….
“เทียน-นา! เทียนจินช่วยด้วยเถอะ! ท่านเยว่! ท่านเยว่! จริงๆ”หญิงวัยกลางคน ประคองถาดอาหารเข้ามา ตาโตอุทานเรียกหาสวรรค์ จนเกือบปล่อยถาดทิ้ง ยังดีที่หยางหมิงอวี้รีบเข้าไปรับไว้ได้ทัน
นางเข้ามานั่งคุกเข่าลงที่พื้น ข้างโต๊ะกลมเล็กที่อินทุภานั่งอยู่ น่าจะเป็นท่านป้าเถียนแม่ของเสี่ยวเถา
“เจ้าเถามันวิ่งไปบอก ยังดุมันว่าอย่าเอาท่านมาล้อเล่น ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า จะเป็นเรื่องจริง! พวกเรารอคอยให้ท่านกลับมาตลอดหลายปีนี้ แต่ไม่มีข่าวคราวเลย” นางจับมืออินทุภา ทั้งบีบทั้งขยำ พูดไป ร้องไห้ไป
“ท่านป้า ฉันมีอุบัติเหตุนิดหน่อย ที่ทำให้สูญเสียความทรงจำ ต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่ฉันยังจำท่านป้าไม่ได้” อินทุภาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พยายามพลิกมือข้างหนึ่งออกมาช้าๆ
ท่านป้า!..ขยำมือฉัน เสียจนจะเปลี่ยนรูปร่างได้อยู่แล้ว!!
“เอ่อ..ท่านอ๋องบอกฉันว่าท่านป้าและลูกสาว รับภาระดูแลเฟินเยว่เหลามาตลอดหลายปีนี้ ฉันต้องขอบคุณท่านป้ามากๆ เลยนะคะ” อินทุภายิ้มให้ ขยับดึงมือออกมาได้สำเร็จหนึ่งข้าง รีบพลิกมืออีกข้างมากุมมือนาง แล้วบีบซะเอง
“เป็นสิ่งที่ควรทำแล้วเจ้าค่ะ ท่านเยว่อุตส่าห์ลำบากทำเพื่อพวกเรา ถึงคราวที่พวกเราจะตอบแทนความดีของท่านบ้าง” นางปาดน้ำตา แล้วลุกขึ้นตามแรงดึงของอินทุภา
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันจะแวะไปหาท่านป้าที่บ้าน เรามีเรื่องที่ต้องคุยกันยาวๆเลย” ท่านป้าเถียนเปลี่ยนมือพลิกกลับ แล้วขยำมืออินทุภาอีกครั้ง ก่อนขอตัวออกไป
ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาชายหนุ่มทั้งสอง ที่นั่งปิดปากนิ่งเงียบไม่มีคำพูดใดๆ แต่นัยน์ตาพราวไปด้วยรอยยิ้มขัน อินทุภายิ้มอย่างเขินอายให้คนทั้งคู่ แล้วหันหน้ามามองบนโต๊ะอาหาร
“โอ๊ะ..แม่เจ้า! เมนูชาววังทั้งนั้นเลยนี่!” อินทุภาตื่นตากับเมนูอาหารเมนูชาววัง ตำรับคล้ายๆ กับร้านอาหารของแม่
“ใช่ ล้วนเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อของเฟินเยว่เหลา ตามคำโฆษณาชวนเชื่อของเจ้าที่ว่า..อร่อยเลิศอย่างเหลา ไม่ต้องชาววังก็กินได้ แถมจ่ายเพียงนิดเดียว! อ้อ! มีส่งต่าเปา ถึงบ้านให้ด้วยนะ เฉพาะในพื้นที่ที่กำหนด แล้วก็คิดค่าบริการแพงมาก!!” หยางหมิงอวี้พูดอย่างเห็นขันในแนวคิดของเธอ
หญิงสาวเห็นจานอาหารโปรด เรียงรายอยู่บนโต๊ะเต็มไปหมด ดูหน้าตาน่าอร่อยจนน้ำลายแทบไหล ตะเกียบในมือถือค้างอยู่กลางอากาศ มองไปทุกจานอย่างลังเล ไม่รู้ว่าจะเริ่มชิมจากจานไหนก่อนดี สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด
“อื้ม! รสชาติอร่อยจนเหมือนเจ้าของต้นตำรับมาเองเลยนะนี่!” สองหนุ่มหัวเราะขำ เมื่อเห็นหญิงสาวทำท่ายกยอตัวเอง
เธอรู้สึกพอใจ ที่อาหารออกมามีมาตรฐานฝีมือคุณนายอรรพี แบบนี้คงไม่ทำให้มารดาต้องขายหน้าแล้ว คิดไปคิดมา เธอเริ่มลังเลว่าจะขยายแฟรนไชน์ดีไหม เพื่อเผยแพร่ชื่อเสียงของแม่ให้ดังไกลไปจนถึงชาติหน้าเลยทีเดีย
…
หมอซุนฟังหยางหมิงอวี้เล่าเรื่องราวอย่างคร่าวๆ แล้วรู้สึกอัศจรรย์ใจกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เขาคิดว่าอาจเป็นไปได้ที่ทั้งสองคนจะเป็นคนเดียวกัน หรืออาจเป็นผลจากมิติที่ซ้อนทับกัน หรือการกลับมาเกิดใหม่ในชาติภพอื่น นอกจากนี้ อาจมีเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้อินทุภาเป็นผู้ถูกเลือกอีกครั้ง
“แมวสีดำตัวนั้น ก็เป็นหนึ่งในเงื่อนไข ของมิติที่เหลื่อมกันนี้ด้วย” หยางหมิงอวี้ตั้งข้อสังเกต
“แมวดำหรือ?” หมอซุนชะงักแล้วหันมาถาม
“ก็จากที่ท่านเล่าเรื่องราวในครั้งนั้น ทำให้ข้าคอยสังเกตอยู่ว่าจะเป็นดังนั้นหรือไม่ และพบว่าแมวดำตัวนั้นมีหยกสีขาวคล้ายกับที่ท่านเล่าไว้ทุกประการ” หยางหมิงอวี้อธิบาย
“แล้วตอนที่พระองค์ข้ามมิติกับท่านเยว่ครั้งแรก ไม่เห็นแมวดำหรือเพคะ?” อินทุภาถาม
“ครั้งนั้นเป็นเจ้าที่ข้ามมา ส่วนข้าอยู่บริเวณนั้นพอดี”
“ในวันนั้นกระหม่อมเห็นอาอิง พูดอะไรสักอย่างกับแมวดำ ก่อนจะวิ่งเข้าไปในความมืดแถวต้นอวี้หลัน แล้ว…” หมอซุนพูดค้างไว้ สีหน้าเปลี่ยนไป เขาหลับตาลงสักครู่ก่อนเงยหน้าขึ้นมองอินทุภาอีกครั้ง “กระหม่อมเห็นร่างของอาอิงสลายกลายเป็นละอองสีทองหลังจากถอดแหวนวงนั้นออก”
“แล้วต้นอวี้หลันล่ะ! จะเกี่ยวข้องกับความลึกลับพวกนี้ด้วยไหม?” อินทุภาเปรยขึ้น
ทั้งสองหนุ่มหันมามองเธอพร้อมกัน ต่างก็ทำตาปริบๆ จ้องมองนิ่ง ในสายตาบ่งบอกว่า พวกเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย
“จริงสิ! ต้องมีเงื่อนไขอื่นนอกเหนือจากหยกด้วย” หยางหมิงอวี้ตั้งข้อสังเกต
“ถ้าอวี้หลันเป็นเงื่อนไขที่สี่ล่ะ เช่น เคยเป็นหลุมดาวตกมาก่อน” หมอซุนเสนอ
“หรือเป็นหยกแบบเดียวกัน! | หรือเป็นหยกแบบเดียวกัน!” อินทุภากับหยางหมิงอวี้พูดพร้อมกัน
“ใช่แน่ๆ กระหม่อม! อาจเกิดเหตุการณ์ฝนดาวตกในวันเดียวกัน และบางส่วนอาจจะตกลงที่ต้นอวี้หลัน ..เอ๊ะ!”
หมอซุนชะงักเหมือนนึกอะไรได้ขึ้นมา
“ใช่แล้ว! กระหม่อมจำได้แล้ว! เหมือนท่านย่าจะเคยเล่าว่า ต้นอวี้หลันต้นนี้ มีอายุยืนยาวมาหลายชั่วอายุคน คนเฒ่าคนแก่เล่าต่อๆ กันมาว่า สมัยก่อนมีหลุมขนาดใหญ่ตรงต้นอวี้หลัน เกิดจากลูกไฟที่ตกลงมาจากฟ้า จนไหม้เหลือแค่ตอ แต่กลับไม่ตาย ต่อมาจึงแตกกิ่งก้านชูช่อ ยืนต้นตระหง่านมาจนถึงทุกวันนี้ คนในตระกูลจึงเชื่อกันว่า น่าจะเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์” หมอซุนพูดด้วยความตื่นเต้น
“ต้องมีชิ้นส่วนของหยกชิ้นที่สี่แน่ๆ” อินทุภาดีดนิ้วด้วยความมั่นใจ
“คงต้องลองกันอีกครั้งนะ” หยางหมิงอวี้หันมาขอความเห็นจากอินทุภา
“แต่คงยังไม่ใช่ตอนนี้นะเพคะ” อินทุภาทำเสียงอ่อย ยิ้มจืดๆ
“งั้นวันนี้ พักผ่อนกันก่อนเถิด กระหม่อมให้เด็กๆ จัดเตรียมห้องพักไว้ให้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” หมอซุนพูด
อินทุภาสะดุ้ง พยายามคิดในแง่ดีว่าเขาคงจะไม่ทำอะไร เหมือนที่เธอคิดไว้แน่ๆ
“ไป พักผ่อนกันเถอะเรา” หยางหมิงอวี้พูด พร้อมกับดึงมืออินทุภาให้ลุกขึ้น
ตายล่ะสิ!! .. ทำไมทำหน้าเหมือนหมาป่าล่าราคะแบบนั้นล่ะ!!
"ฝ่าบาทเพคะ พระองค์คงจะไม่..เอ่อ” อินทุภาพูดทิ้งค้าง เห็นหน้าเขาแล้วทำให้ใจหวาดหวั่น อีกทั้งยังไม่กล้าพูดต่อหน้าหมอซุน
หยางหมิงอวี้หัวเราะ กับท่าทีของอินทุภา แล้วมองหมอซุน ซึ่งคงจะเข้าใจกัน เพราะหมอซุนออกจากห้องไปทันที
หยางหมิงอวี้นั่งลงข้างๆ อินทุภา วางมือของเขาบนมือของเธอ นิ้วโป้งไล้หลังมือเบาๆ
“อันที่จริง เราก็เกือบจะเข้าพิธีกันอยู่แล้วนะ ครั้งนี้ก็ถือเสียว่ารวบรัดตัดขั้นตอน เหลือเฉพาะช่วงเวลาที่สำคัญก็แล้วกันนะ” หยางหมิงอวี้พยายามหว่านล้อมด้วยเสียงอ่อนโยน
นี่ฉันข้ามมิติมาเจออะไรเนี่ย!? เขาช่างไม่เลือกวิธี เรื่องแบบนี้ก็พูดออกมาได้ง่ายๆ!!
“แต่ว่า..” อินทุภารั้งมือไว้ เธอยังไม่ปักใจเชื่อเหตุผลข้างๆ คูๆ ของเขา
หยางหมิงอวี้เดินจูงมืออินทุภา มายืนหยุดที่หน้าประตูห้อง ทั้งสองสบตากัน เขาค่อยๆ โน้มตัวลงมาจุมพิตที่หน้าผาก แก้มนวล และไถลมาจุ๊บที่ริมฝีปากเบาๆ
“ฝันดีนะ คนงาม”
นัยน์ตาของเขาวิบวับ พร้อมกับแววขี้เล่นที่เหมือนกำลังแกล้งเธอ อินทุภาเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม หยางหมิงอวี้หัวเราะเบาๆ แล้วเปิดประตู ดันเธอเข้าไปในห้อง ก่อนจะงับประตูปิด
อ้าว!! .. อิหยังวะ!?
อินทุภายืนงงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจยาว เธอไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองว่า หัวใจที่เต้นแรงนั้น เกิดจากความตื่นเต้นที่รอคอยให้บางสิ่งเกิดขึ้น หรือเพราะโล่งใจที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกันแน่
……………………….
“ท่านเยว่เจ้าคะ!”
มีเสียงเรียกอยู่หน้าประตูแต่เช้า น่าจะเป็นสาวใช้ อินทุภาลุกไปเปิดประตู สาวใช้สองคนเดินตามกันเข้ามา
“ท่านอ๋องให้บ่าวนำชุดนี้มาให้เจ้าค่ะ”
“ไหน ขอดูหน่อย” อินทุภาหยิบเสื้อแต่ละชิ้นออกมากาง
“ใส่ยังไงกันล่ะนี่ ทำไมมีหลายชิ้นจัง”
“หลังอาบน้ำเสร็จ บ่าวจะช่วยแต่งตัวให้เจ้าค่ะ” อินทุภาหน้าแดง
“อย่าบอกนะว่า พวกเธอจะเข้าไปช่วยอาบน้ำด้วยเหมือนกัน” อินทุภาห่อปาก ตาโต
“เจ้าค่ะ” เสียงสองสาวตอบพร้อมกัน
“โอ๊ะ! ไม่ต้องๆ! ฉันอาบเองได้ พวกเธอจะออกไปก่อน หรือจะรอตรงนี้ก็ได้ ฉันอาบแป๊บเดียว”
“เป็นหน้าที่ของพวกเราเจ้าค่ะ หากท่านเยว่ปฏิเสธ พวกเราอาจถูกพ่อบ้านลงโทษ เพราะทำงานบกพร่อง”
สาวใช้นางหนึ่งพูดเสร็จก็ทำหน้าเศร้านัยย์ตาโศก อินทุภาลำบากใจ เพราะไม่สะดวกใจเลยที่ต้องเปลือยกายต่อหน้าคนอื่น ถึงแม้จะเป็นผู้หญิงด้วยกันก็ตามที
“งั้นก็ได้ แต่ให้ฉันลงน้ำก่อนนะ แล้วค่อยหันมา” เธอใจอ่อนจนได้
“เจ้าค่ะ” นางพูดพร้อมกัน แล้วก็หันไปยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย
…
“ท่านเยว่สวยเกินคำบรรยายจริงๆ เจ้าค่ะ ใบหน้าสวย รูปร่างก็งดงาม ผมดำเป็นประกายราวกับม่านไหม ผิวนวลเนียนละมุนราวกับแพรชั้นดี” สาวใช้กล่าวชมไม่หยุด ขณะกำลังช่วยอินทุภาแต่งตัว
“พอแล้วนะ! เยินยอมาตั้งแต่ตอนอาบน้ำจนถึงแต่งตัว ฉันจะลอยไปติดเพดานแล้ว!”
“แต่เป็นความจริงนี่เจ้าคะ ดูอย่างหน้าอกหน้าใจนี่ก็เหมือนกัน เกินมาตรฐานหญิงทั่วไปจริงๆ เจ้าค่ะ”
อินทุภาพยายามกลั้นหัวเราะกับคำพูดของสาวใช้
“แล้วแบบไหนล่ะถึงเรียกว่ามาตรฐานของผู้หญิง?”
สาวใช้เหลียวมองกันแล้วหัวเราะ
“ก็แบบบ่าวสองคนนี้แหละเจ้าค่ะ”
……………………….
ต่าเปา" (打包 - dǎ bāo) เป็นคำภาษาจีนที่หมายถึง การห่ออาหารกลับบ้าน หรือ การแพ็คอาหารที่เหลือจากร้านอาหารเพื่อนำกลับไปกินต่อ
เสียงหัวเราะดังก้องในห้อง หยางหมิงอวี้ยืนอยู่หน้าประตู มุมปากเขาเผยรอยยิ้มเล็กน้อย เมื่อนึกถึงภาพสาวน้อยที่ตัวสั่นเทาเมื่อคืน แตกต่างจากตอนนี้ ที่สามารถหัวเราะเสียงใสราวกับไร้ความกังวล เขาชอบที่เธอมีความเป็นตัวของตัวเอง รู้ว่าต้องการอะไรและไม่ต้องการอะไร กล้าพูดกล้าทำ ไม่มีการปิดบังเสแสร้ง ซึ่งแตกต่างจากคนในยุคของเขาเป็นอย่างมาก “อรุณสวัสดิ์เพคะ” อินทุภาทักทายเมื่อเห็นหยางหมิงอวี้ยืนอยู่หน้าประตูห้อง จับกระโปรงถอนสายบัวอย่างนุ่มนวล สาวใช้ยิ้มแล้วรีบถอยออกไป หยางหมิงอวี้เดินเข้าใกล้ พลางยิ้มกับท่าทางขี้เล่นของเธอ “ชุดนี้พอดีไหม? ดูเหมือนจะคับไปหน่อยตรงนี้หรือเปล่า?” เขาใช้ข้อนิ้วไล้เบาๆ ไปตามแนวโค้งละมุนของอกสาว จากเนินเนื้อช่วงบน พาดผ่านยอดอกลงไปฐานล่าง“ฝ่าบาท!!”อินทุภาอุทาน หน้าแดงก่ำ จับมือซุกซนดึงออกไม่ให้เลื่อนต่อตายล่ะ! ทำไมแค่สัมผัสเบาๆ ถึงกับทำให้ขนลุกไปทั้งตัว!!หยางหมิงอวี้ถอนใจ พลิกข้อมือตัวเองจับมือบางจูงออกจากห้อง เขาเกือบลืมตัวอีกแล้วพับผ่าสิ! เวลาอยู่ใกล้กันทีไร นึกอะไรอื่นไม่ออกเลย จะอดทนได้นานแค่ไหนก็ยังไม่รู้!!“เราจะไปไหนกันเพคะ?” เธอถามหลังจากปล่อยให้เขาจ
อินทุภาลืมตาตื่น ไม่แน่ใจว่าตื่นเพราะอะไร ฟ้าก็ยังไม่สว่าง เธอลืมตาแบบสะลึมสะลือ พยายามโฟกัสให้ชัดขึ้น พลันเห็นคนที่หลับอยู่ข้างๆ ก็หน้าร้อนวาบ เพราะนอนหันหน้าเข้าหากันกระชั้นชิดมากเธอตกใจขยับตัวถอยออกห่าง แล้วหันไปมองคนที่ยังหลับอยู่อีกครั้ง ขนตาของเขาตกลงมาทาบผิวแก้ม สั้นแต่ดกหนา เวลาหลับอย่างนี้เครื่องหน้าเขาดูละมุน หน้าอ่อนคล้ายๆ เด็กน้อยหยางหมิงอวี้ขยับนอนหงาย ตัวเลยออกไปนอกผ้าห่ม เพราะตอนที่อินทุภาถอยหลังออกห่าง ผ้าห่มเลยรั้งตามมาด้วย เธอเห็นเขายังหลับอยู่ เลยมองลงไปเรื่อยๆ ตามประสาคนอยากรู้ ซึ่งไม่เคยคุ้นกับสรีระของผู้ชายเสื้อตัวในของเขารัดกระชับตัว ทำให้เห็นลอนกล้ามของอกกว้างและช่วงแขนที่มีกล้ามนูนสวย ถ้าแต่งตัวปกติจะดูสูงเพรียว ไม่เห็นชัดเหมือนตอนนี้อินทุภาคิดว่า เขามีมาดพระเอกอยู่ในตัว ถ้าเขาไปอยู่ในโลกปัจจุบันของเธอ คงเป็นพระเอกซีรี่ย์ได้สบายๆหุ่นพระเอกแท้ๆ ไม่มีผู้ร้ายปนสักนิดเธอมองระเรื่อยไปตามแผงอก เอว และหน้าท้องตึงเรียบ ไหนๆ มองลงมาถึงเพียงนี้แล้ว เธอก็มองเลยลงไปอีกหน่อย จับตานิ่งอยู่เป็นครู่ บอกตัวเองว่า ตอนนี้ดูไม่น่าตกใจเหมือนตอนที่กอดรัดกระชับชิดตอนนั้น ซึ่งนู
“มากันแล้วๆ ขอต้อนรับท่านอ๋องด้วยความยินดีพ่ะย่ะค่ะ”ชายวัยประมาณหกสิบปี มีหนวดเรียวเล็กบนริมฝีปาก ไว้เคราเล็กแหลมที่ปลายคาง แต่งกายภูมิฐาน ยืนรอต้อนรับ มีชายฉกรรจ์ประมาณเจ็ดถึงแปดคน พกดาบไว้ที่เอว ยืนเรียงสองแถวอยู่ด้านหลัง“อิงอิงนี่คือท่านหงส์จิ่ว หัวหน้าหมู่บ้าน เคยเป็นครูสอนหนังสือมาก่อนจะมาอยู่ที่นี่ .. ท่านหงส์ นี่เยว่อิง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องประดับและอัญมณี”“คารวะท่านหงส์” อินทุภากำมือคำนับ น้อมศีรษะให้ความเคารพผู้สูงวัยกว่า“ไม่ต้องเกรงใจๆ .. เชิญเสด็จท่านอ๋อง พวกเราเตรียมงานเลี้ยงเล็กๆ รอต้อนรับด้วยกระหม่อม”หยางหมิงอวี้และอินทุภาเดินตามหัวหน้าหมู่บ้าน ไปยังศาลาทรงกลมขนาดใหญ่ ซึ่งจัดเตรียมไว้อย่างอลังการณ์เพื่อต้อนรับโดยเฉพาะอินทุภากวาดตามองสถานที่ไปโดยรอบ มีโต๊ะเตี้ยและเบาะนั่งกับพื้น เป็นแนวสามชั้นวางเรียงตามระยะของพื้นที่ทรงกลม แต่ละโต๊ะมีสาวงามผิวขาวผ่อง อยู่ในชุดเกาะอกปาดครึ่งเต้า คลุมไหล่ด้วยผ้าซีทรูเนื้อบาง ตัวกระโปรงผ่าข้างจนถึงขาอ่อน บางคนเดินเห็นเรียวขาขาวรำไรอย่างน่าดู บางคนนั่งประจำอยู่ที่โต๊ะคอยบริการรินเหล้าและตักอาหารอื้อหือ..อลังการงานสร้าง!! “เชิญเสด็
เสียงกุกกักหน้าประตู ทำให้หยางหมิงอวี้ตัวแข็งเกร็ง หมุนตัวลงจากเตียง คว้าผ้าห่มมาคลุมร่างหญิงสาวไว้อินทุภาซึ่งนอนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก็รีบก้มลงหยิบมีดสั้นที่ซ่อนไว้เตรียมพร้อมในทันที หยางหมิงอวี้ยกนิ้วชี้แนบที่ปากของเขา ทำสัญญาณให้เธออยู่นิ่งๆ ห้ามส่งเสียงใดๆ“ใครอยู่ข้างนอก!?” เขาถามด้วยเสียงแข็งกร้าว พร้อมตั้งท่าตั้งรับสถานการณ์“เอ่อ... หม่อมฉันเองเพคะ เสียว... เสียวหมี่” เสียงจากด้านนอกสั่นเครือเล็กน้อย ราวกับทั้งกลัวและเกรงใจหยางหมิงอวี้เหลือบมองอินทุภาแล้วเลิกคิ้ว เธอพยักหน้าให้เขาเปิดประตู เขารอให้อินทุภาใส่เสื้อให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงเดินไปเปิด“เอ่อ... หม่อมฉันเห็นว่าท่านอ๋องไม่ได้เสด็จไปที่ห้อง ก็เลย... ลองมาดูที่นี่ เผื่อว่าท่านเยว่จะเป็นอะไรไหม” เสียงของเสียวมี่ตะกุกตะกัก ราวกับไม่ใช่ความตั้งใจที่อยากทำเช่นนี้“เข้ามาก่อนเถอะ” หยางหมิงอวี้ถอยห่างจากประตู พร้อมเปิดทางให้เธอเข้ามาเสียวมี่ทำตาโตเมื่อก้าวเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นคนเมาเมื่อตอนหัวค่ำ กำลังนั่งพิงพนักหัวเตียงอย่างสงบ ไม่มีอาการเมามาย เหมือนตอนที่เธอมาส่งก่อนหน้านี้เลยสักนิด“ไฮ! เบบี้เกิร์ล เจอกันอีกแล้วนะ!” อินทุภาย
ขณะนี้ดึกมากแล้ว อินทุภากำลังรอฟังข่าวจากเสียวมี่ จึงยังไม่ได้เข้านอน สักพักเธอก็ได้ยินเสียงนกฮูกร้องแว่วๆ สามครั้ง เธอรีบเดินไปเคาะหน้าต่าง เพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรับรู้ ตามที่เคยเห็นท่านอ๋องทำ ไม่นานคนด้านนอกก็ค่อยๆ แง้มบานหน้าต่างและสอดตัวลอดเข้ามา“ข้าน้อยเองขอรับ” หยางติงเข้ามายืนเต็มตัว ทำความเคารพอินทุภาแล้วดึงผ้าปิดปากออก“มีข่าวของท่านอ๋องไหม?” อินทุภารีบถามด้วยความกังวล“ท่านอ๋องถูกลอบทำร้าย ระหว่างทางที่จะไปเหมืองขอรับ พวกมันวางระเบิดหน้าผาทำให้หินถล่มลงมา หินพลาดจากท่านอ๋องไปถูกม้าทรงทรุดทั้งยืน เลยทำให้ฝ่าบาทพระเศียรกระแทกพื้นสลบ ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลยขอรับ!”“ตายจริง! แล้วตอนนี้พระองค์อยู่ที่ไหน?”“ซ่อนอยู่ในถ้ำขอรับ มีทหารรักษาการณ์คอยดูแลความปลอดภัยเอาไว้”“น้ำ อาหารและยาล่ะ? มีพอสำหรับทุกคนหรือเปล่า?”“ข้าน้อยเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วขอรับ ก่อนจะมาส่งข่าวที่นี่”“ฉันจะไปกับนายด้วย คืนนี้พวกมันคงออกตามล่าแน่ ในขณะที่พวกนายคอยระวังป้องกัน ฉันจะดูแลท่านอ๋องเอง!” อินทุภาตัดสินใจอย่างเด็ดขาด หยางติงพยักหน้ารับอินทุภารีบเก็บของ โกยขนมอบแห้งลงห่อกระดาษ แล้วยัดใส่กระเป๋าผ้าใบเล็
หยางติงหอบหญ้าแห้งกอใหญ่เข้ามาพอดี ตามด้วยทหารที่หอบหญ้ามาอีกกอหนึ่ง“ช่วยกันจับหญ้าพันให้เป็นรูปคนเร็วเข้า!” อินทุภาสั่ง แล้วลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่นานก็ได้รูปโครงคล้ายหุ่นไล่กาเธอจัดแจงสวมเสื้อผ้าให้หุ่น ตามด้วยผ้าคลุมที่คลุมตั้งแต่ศีรษะ แล้วผูกตรงคอให้ดูเหมือนศีรษะคนหญิงสาวสั่งการให้ทหารแปดคนรออยู่ที่นี่ โดยให้เอาหุ่นปลอมของท่านอ๋องขึ้นม้าและผูกไว้ด้านหลัง เมื่อศัตรูเข้ามาใกล้ ให้ทหารลาดตระเวนทำเสียงโวยวาย แล้ววิ่งออกไปล่อให้พวกมันไล่ตามส่วนกลุ่มของอินทุภาจะมีทหารสองนายที่เหลือ หยางติง เสียวมี่ และท่านอ๋อง ซึ่งจะออกเดินทางทันทีที่ท่านอ๋องพอจะทรงตัวได้“ไปเถอะ! ข้าพอไหว” หยางหมิงอวี้พูด พร้อมพยุงตัวพยายามลุกขึ้นอินทุภาพยักหน้าให้หยางติงช่วยพยุง แล้วพาท่านอ๋องเดินออกไปด้านนอก เพื่อเตรียมออกเดินทาง""ฝ่าบาท... ไปกับหม่อมฉัน!" อินทุภากระซิบเสียงหนัก รีบพยักหน้าให้หยางติงและนายทหารช่วยกันพยุงท่านอ๋องขึ้นหลังม้า เธอกระโดดขึ้นตามไปนั่งซ้อนหน้า ดึงชายผ้าคลุมมาผูกรัดตัวเองกับหยางหมิงอวี้ไว้แน่น ตอนนี้ไม่มีที่ว่างให้ความลังเล มีแต่ทางรอดเท่านั้น! "เราต้องรีบพาท่านอ๋องกลับค่าย ที่นั่นปลอ
อินทุภาทายาที่แผลบนศีรษะเสร็จแล้ว ก็ถอยมานั่งอยู่ข้างเตียง มองคนป่วยที่กำลังหลับใหลด้วยฤทธิ์ยานอนหลับ หลังจากที่หมอเข้ามาดูอาการ ได้เขียนเทียบยาไว้หลายอย่าง ทั้งยากินและยาทา พวกยาสมุนไพรทั้งก่อนและหลังอาหาร เธอเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ที่ต้องทายาพวกแผลเล็กแผลน้อยที่อยู่ภายใต้เสื้อผ้าเท่านั้น ซึ่งก็คงต้องรอให้หยางติงมาจัดการ “ฝ่าบาท!!” หยางติงวิ่งเข้ามาในกระโจมอย่างกระหืดกระหอบ“ท่านเยว่! ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”“กระดูกไม่หัก ไม่มีบาดเจ็บภายใน มีแต่แผลที่ศีรษะ กับอาการปวดระบมตามเนื้อตัว และมีแผลภายนอกนิดหน่อย พักฟื้นสักระยะก็ดีขึ้น แต่นายต้องคอยดูแลทายาให้พระองค์ด้วย” เธอพูดเสร็จก็หยิบกระปุกยาส่งให้หยางติงไม่ได้รับยาไป แต่ยกมือประสานคำนับและคุกเข่าลงข้างหนึ่งกับพื้น“อภัยให้ข้าน้อยด้วย! ที่ดูแลท่านเยว่กับท่านอ๋องได้ไม่ดี”“ไม่เป็นไร มันเป็นเหตุสุดวิสัย แล้วท่านอ๋องก็ปลอดภัยแล้ว” เธอพูดพร้อมดึงตัวให้เขาลุกขึ้น“พวกเราพยายามช่วยกันออกตามหา เจอดักซุ่มโจมตีหลายแห่ง จนมาพบกันจนได้” เขายิ้มจนตาหยี “ข้าน้อยมาทันได้เห็นธนูดอกสุดท้ายปักอกพวกมันร่วงจากหลังม้า ยังมีอีกสองสามคน น
อินทุภาตัวอ่อนอยู่ในอ้อมแขนของเขา หยางหมิงอวี้เองก็ยังไม่อยากเคลื่อนไหว หัวใจเขาเต้นแรง หายใจแรงจนหอบ สักพักก็พลิกตัวนอนหงาย รั้งร่างโปร่งบางให้พลิกตามลงมานอนตะแคงก่ายเกยอยู่ครึ่งๆ บนร่างของเขา ขาของเธอเบียดชิดจนเขารู้สึกอบอุ่นและชุ่มชื้นในซอกลี้ลับ เขาลูบหลัง เลยมาถึงต้นขา ลูบไปมาเป็นจังหวะ ปลอบโยนให้เธอหายอ่อนเพลีย“เป่าเป้ย์” เขาพึมพำ “น่ารักไปทั้งเนื้อทั้งตัว ตั้งแต่หัวจดเท้า เนื้อนุ่มหอม แล้วก็หวาน” หยางหมิงอวี้จูบเบาๆ ที่หน้าผาก ระเรื่อยมาที่ขมับ แล้วขยับผ้าห่มมาคลี่คลุมตัว ถ้าเหงื่อแห้งอาจตัวเย็น สะท้านและไม่สบายได้หญิงสาวซุกตัวเข้าแอบอกเขา สักครู่ก็ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอเป็นจังหวะ แสดงว่าหลับไปแล้ว เขายิ้มคนเดียวในความมืด ตัวนิดเดียวแค่นี้ แต่ให้ความสุขแก่เขาได้อย่างมากมายเหลือเกิน สะโพกของเธอเพรียวและตึง ดูว่าเล็กกะทัดรัดแต่ก็รับน้ำหนักของเขาไว้ได้อย่างมั่นคง ความกระชับแน่นของกล้ามเนื้อทำให้เขารู้สึกเสียวซ่านอยู่ตลอดเวลามือของเขาลูบไล้แผ่นหลังอยู่ไปมานั้น เลยไปถึงสะโพกกลมมน รู้สึกรักทุกอย่างที่ประกอบกันเป็นตัวเธอ เขาไม่มีวันปล่อยให้หนีหายไปจากเขาอีกแล้ว อินทุภาจะเป็นผู้ห
หยางหมิงอวี้นอนรอภรรยาที่พาลูกๆ ไปเข้านอนด้วยความอดทน ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมานอนที่ห้องหรือว่าเผลอหลับนะ? เขากำลังจะก้าวเท้าลงจากเตียง ก็พอดีเห็นร่างอวบอิ่มยั่วยวนใจเดินเข้าประตูมาพอดี เขายิ้มอย่างยินดี อ้าแขนออกกว้างรอให้ภรรยาโผเข้าหาอินทุภายิ้มหวานเดินเข้าหาอ้อมแขนแข็งแรง แล้วกัดคางเขาเบาๆ เสียงฟ้าร้องครืนๆ มาแต่ไกลทำให้เธอชะงักเล็กน้อย"มีอะไรรึ?" หยางหมิงอวี้ถามเสียงอู้อี้ เพราะกำลังซุกไซร้ซอกคอหอมกรุ่น"ฟ้าร้องเพคะ เด็กๆ กลัวเสียงฟ้าผ่า""เอาน่า คงยังไม่ใช่ตอนนี้ เสียงยังอยู่อีกไกล มาให้ผัวชื่นใจก่อน รออยู่นานแล้ว" เสียงเขาแตกพร่าฝ่ามือแข็งแรงจับท้ายทอยรั้งริมฝีปากอวบอิ่มเข้าหา ล้วงลิ้นซอกซอนหาความอบอุ่นภายใน เขาอดอยากมาเป็นเดือนแล้ว เพราะต้องออกไปลาดตระเวน ลมปราณแทบจะแตกซ่านอยู่รอมร่อ ฝ่ามืออีกข้างลูบไล้เรือนร่างด้วยความรักใคร่หลงใหล แล้วช้อนบั้นท้ายกลมกลึงยกขึ้น กดแนบชิดกลางลำตัว ริมฝีปากซุกไซร้ซอกคอและไหล่บอบบาง ขบกัดเม้มเบาๆ จนเกิดรอยแดงจางๆ กระจายไปทั่ว"อาา..ฝ่าบาท" เสียงหวานครวญครางเบาๆเปรี้ยงงง!! ครืนนน!!แล้วอยู่ๆ ฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมาดังสนั่น เ
ตอนพิเศษ (1) ::: Cut Scene 1 :::คุณอรรพีพาตัวเองมาถึงที่วัดป่าจนได้ เธอฝันมาสองสามคืนแล้วว่า แม่ชีอินทุกรให้เธอเดินทางมาหา ซึ่งเธอก็ตั้งใจจะมาอยู่แล้ว เพื่อจะสอบถามเรื่องลูกสาวที่หายไป เธอมั่นใจว่า เธอต้องได้คำตอบจากคุณแม่อย่างแน่นอน "ไหว้พระเถอะลูก" แม่ชีอินทุกร ยกมือรับไหว้ระดับอก หลังจากคุณอรรพี ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ก้มลงกราบแบบเบญจางค์ประดิษฐ์"มาจนได้นะเรา เป็นอย่างไรบ้าง?""สบายแค่กายค่ะคุณแม่ แต่ในใจยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนนอนไม่ค่อยหลับ " เธอกล่าวเสียงเรียบแม่ชีอินทุกรถอนใจ แล้วยิ้มน้อยๆ"ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่เกิด ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่มี ทุกข์กับสิ่งที่ยังมองไม่เห็น ในเมื่อคำว่า "ยัง" มีแต่ความว่างเปล่า แล้วจะเก็บไปทุกข์ทำไมล่ะ""ลูกฝันเห็นยัยอินของเราค่ะ ฝันซ้ำๆ เดิมๆ แล้วแกก็มาหายไปแบบนี้ ก็รู้สึกเป็นห่วงมาก ติดต่อก็ไม่ได้""ทางโน้นเขาว่าอย่างไรบ้างล่ะ ที่เจ้าอินหายไป""เขาเล่าให้ฟัง..ถึงเหตุการณ์ก่อนที่หนูอินจะหายตัว พ่อเขาก็คิดว่าอาจจะเป็นไปตามนั้น ตระกูลเขาเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ ที่บรรพบุรุษเล่าต่อๆ กันมา เลยไม่อยากให้แจ้งความ ให้รอจนกว่าลูกจะกลับมาเอง""เรื
"มีข่าวคืบหน้าทางหยางซื่อหรือไม่?" หวางกุ้ยเฟยถามองค์หญิงหยางมี่ ขณะกำลังปอกสาลี่ใส่จาน"เอ๋อเหนียงรู้ไหมว่า ชาวเมืองหยางซื่อ เขาเล่าลือกันอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น!""เล่าลืออะไร?" หวางกุ้ยเฟยสงสัย"เขาพูดกันว่า พระชายาใช้พลังเวทย์ แสดงอิทธิฤทธิ์เรียกลมเรียกฝนได้ ทำให้กองทัพเชี่ยแตกกระเจิงเพราะถูกน้ำหลาก แถมยังเรียกสายฟ้า ให้ผ่าลงกลางสนามรบได้อีก! ทหารนับแสนแตกตื่นจนลืมโจมตี ส่วนผู้บัญชาการทัพเชี่ย ที่เข้ามาลอบสังหาร ก็ถูกฟ้าผ่าที่แขนจนไหม้เกรียม ต้องเสียชีวิตในสนามรบ เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว! แล้วอะไรอีกนะอินชง..""มีข่าวลือจากทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าต่อกันมาถึงชาวเมืองว่า พระชายาทรงสั่งให้ฝังระเบิดรอบสมรภูมิทั้งสามด้าน เพื่อสกัดกั้นทัพเชี่ย ไม่ให้บุกเข้ามาในเมือง ระเบิดเหล่านี้มีจำนวนมากพอที่จะสังหารทหารได้นับหมื่นนับแสนคน และยังไม่รวมถึงกระสุนปืนใหญ่อีกจำนวนมหาศาลที่เตรียมไว้ ก่อนหน้านั้นยังมีการปล่อยโคมลอยเพื่อลอบโจมตี เผาเสบียง และโรยผงหมามุ่ย เพื่อตัดกำลังทัพเชี่ยไปได้มาก" อินชงพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม "ยิ่งไปกว่านั้น พระชายายังทรงนำทัพหน้า บุกตะลุยฝ่าข้าศึก เพื่อเป
สมรภูมิรบด้านนอกเมืองเงียบสงบลงแล้ว เหลือเพียงทหารกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังค้นหาผู้รอดชีวิต มูลากำลังทำแผลที่หัวไหล่ให้อินทุภา ขณะที่เธอก็กำลังนั่งรอรับโทษทัณฑ์จากสามีอยู่ที่ห้องโถง "ไม่ต้องห่วงเรื่องแผลที่หัวไหล่ เป็นคนอื่นคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มหลายวัน แต่มีพวกเราอยู่อีกสามวันก็ดีขึ้นแล้ว!" มูลาพูดขณะพันแผลเสร็จเรียบร้อย"ตอนต่อสู้กับองค์ชายซุน ฉันน่ะลุ้นสุดตัว! ภาวนาขอให้นายท่านกลับมาเร็วๆ มีเพียงพลังธาตุข่มในตัวเขาเท่านั้น ที่จะสยบองค์ชายซุนได้!" ลูน่ากล่าว"แล้วพลังเวทย์ของพวกเธอช่วยฉันไม่ได้เลยหรือ?" อินทุภาสงสัย"ราชาดาวนิลมีพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งมาก แม้แต่พวกเรายังสู้ไม่ได้ แล้วท่านจะไหวได้อย่างไร!" เรกิพูดขึ้นมาบ้าง"นายท่านมาแล้ว!!" เอกิลเตือน ทุกคนหันไปมองประตู แล้วเลือนหายไปประตูถูกเปิดออกอย่างแรง คนที่กำลังเดินผ่านประตูเข้ามามีสีหน้าราวกับพยัพฝน คงทำความสะอาดเนื้อตัวมาแล้ว จึงเหลือแต่เสื้อตัวใน เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ แววตาที่เคยสุภาพอบอุ่น ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความคมกล้า จ้องมองเขม็งอย่างเอาเรื่องเต็มที่ จนทำให้เธอไม่กล้าแม้จะสบตาตรงๆ ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คงต้องแก
ตอนนี้ยามซื่อแล้ว(09.00-10.59น.) ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆดำทะมึน ราวกับธรรมชาติ กำลังสำแดงอำนาจข่มขวัญโลกมนุษย์ ฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย สลับกับสายลมกระโชกแรง อินทุภายืนอยู่บนกำแพงเมือง สายตาจับจ้องไปยังขอบฟ้า รอคอยสถานการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างสงบ เธอไม่อยากปกป้องตนเอง ด้วยการทำลายชีวิตของผู้อื่น แม้ว่าวิวัฒนาการจากโลกอนาคต จะทำให้เธอโกงความตายได้ ทว่าหลังแนวกำแพงนี้ มีประชาชนหยางซื่อนับหมื่นชีวิต ฝากความหวังไว้กับเธอเพียงผู้เดียว พวกเขาเชื่อมั่นว่า เธอจะปกป้องครอบครัวของพวกเขา จากความโหดร้ายของศัตรูได้ สายตาทุกคู่ จับจ้องไปยังแผ่นหลัง ของหญิงสาวในชุดเกราะ เธอไม่มีปิ่นปักผมล้ำค่า หรืออัญมณีงดงาม เหมือนสตรีทั่วไป แต่กลับใช้เพียงเชือกสีดำ มัดรวบมวยผมไว้อย่างเรียบง่าย แม้ภายนอกจะดูบอบบาง แต่ภายในกลับแข็งแกร่ง ดุจนักรบที่ผ่านสมรภูมิมาแล้วนับร้อยครั้ง"ทัพเชี่ยอยู่ห่างออกไปห้าหลี่แล้วขอรับ!" ทหารรายงานพลางยื่นกล้องส่องทางไกลให้ อินทุภารับมา และเพ่งมองออกไปเบื้องหน้า ความทะเยอทะยานอันเห็นแก่ตัวขององค์ชายซุนจ่งซาน ได้ลากกองทหารที่อ่อนล้า และตรากตรำจากภัยธรรมชาติ ให้มาหยุดยืนอยู
"เสี่ยวจื่อเด็กดี! เจ้าไม่กินไม่นอน ข้าทุกข์ใจยิ่ง!" ฮ่องเต้ดูจะชมชอบการเปลื่ยนชื่อเรียกหญิงสาว ถ้าไม่เสี่ยวจื่อ ก็เป็นเสี่ยวซา"ก็หม่อมฉันเป็นห่วงเสด็จพ่อกับท่านแม่นี่นา แล้วยังมีพี่ชายทั้งสามที่ต้องรบอยู่แนวหน้าอีก!" จือซาทำหน้าเศร้า"เจ้าอย่ากังวลไปเลย มีแม่ทัพหยางอยู่ทั้งคน เขาเก่งกล้าสามารถเพียงใดเจ้าก็รู้ ทุกคนจะปลอดภัยจากสงครามครั้งนี้! ข้ารับรอง!""อืม" หญิงสาวรับคำ พร้อมกับซุกหน้าลงไปที่อกกว้าง"ถ้างั้น! ดื่มซุปไก่นี่สักหน่อย ข้าลงครัวด้วยตัวเองเชียวนะ!" เขาพูดอย่างภาคภูมิใจฮ่องเต้ตักชิ้นไก่ตุ๋นเนื้อนุ่มพอดีคำใส่ไว้ในช้อน ส่งถ้วยให้เธอถือ แล้วเดินไปรินน้ำชา จือซามองถ้วยซุปด้วยความซึ้งใจ ในมุมอ่อนโยนของเขา ซึ่งมักจะทำให้เธอรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนพิเศษอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวยิ้มบางๆ พลางยกช้อนขึ้นใส่ปาก"อื๋ออ..เค็ม!!" เธอพูดแล้วชะงักกึก รีบเงยหน้ามองฮ่องเต้กลัวเขาจะน้อยใจ ซึ่งเขาก็หันมาทันที ที่ได้ยินเสียงเธออุทานออกมา"อื้อหือ!..ขะ..เข้ม!..เข้มข้นมาก! นับว่าเปิดหูเปิดตาหม่อมฉันแล้ว!" เสียงพูดจืดเจื่อนเพราะรู้สึกขมไปตลอดช่องคอ พยายามปรับสีหน้าให้อยู่ในระดับปกติ ฮ่องเต้หนุ่มยิ้ม น
ภายใต้การวางแผนยุทธศาสตร์ขององค์ชายซุน และการบัญชาการโดยตรงของฮ่องเต้ซุนตี้ชุน สงครามครั้งใหญ่ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน บัดนี้ได้กลายเป็นการประหัตประหารอย่างโหดเหี้ยม กองทัพมหึมาของแคว้นซ่ง แคว้นคัง และแคว้นเป่ยเหลียง ต่างพ่ายแพ้ย่อยยับ ทหารนับไม่ถ้วนล้มตายเกลื่อนกลาด ผู้ที่รอดชีวิตมีไม่ถึงหนึ่งในสิบ อำนาจของแคว้นเชี่ยแผ่ขยายรวดเร็วจนน่าตระหนก เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เหล่าแม่ทัพและทหารแคว้นเชี่ยไม่เคยคิดเลยว่า การพิชิตแคว้นหนึ่งจะง่ายดายถึงเพียงนี้ กลิ่นคาวเลือดแห่งชัยชนะ ปลุกโหมกำลังใจให้ลุกโชนดั่งเปลวเพลิง ธงของแคว้นเชี่ยสะบัดพลิ้วอยู่เบื้องหน้ากองทัพเสมอ ดั่งสัญลักษณ์แห่งชัยชนะอันมิอาจต้านทาน ฮ่องเต้ซุนตี้ชุนและองค์ชายซุน ได้กลายเป็นวีรบุรุษสงครามในสายตาทหารหาญทุกผู้คน ท่ามกลางความตระหนกหวาดกลัวทั่วหล้า แผ่นดินถูกย้อมแดงด้วยโลหิตสุดลูกหูลูกตา เงาทมิฬแห่งสงครามแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ โดยมีแคว้นเชี่ยเป็นศูนย์กลาง กองทัพเดินหน้าขยายอาณาเขตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่า แผนยุทธการขององค์ชายซุน จะนำพาแคว้นเชี่ยสู่ชัยชนะได้ในเวลาอันสั้นเพียงนี้ สองฟากถนนเต็มไปด้วยซากศพและโครงกระดูก
ก่อนที่อินทุภาจะไปวังหลวงคราวก่อน ช่วงที่ซ่อมกำแพงเมือง ได้สั่งให้ช่างทำห้องใต้ดินใต้คลังเสบียงไว้ด้วย จึงได้ใช้ในช่วงเวลาที่มีศึกสงครามเช่นนี้ เธอทำเสบียงลวงไว้ชั้นบน แต่เก็บเสบียงทั้งหมดไว้ชั้นใต้ดิน เพื่อป้องกันศัตรูบุกเผาทำลาย และทำทีว่าป้องกันหละหลวมสร้างอุบายลวง แต่ทุกจุดสำคัญของเมือง มีทหารสอดแนมของกองทหารพิเศษคอยจับตาอยู่หยางติงเข้ามารายงานข่าวจากทหารสอดแนม ว่ากองทัพเชี่ยมีกำลังพลประมาณสองแสนสามหมื่น แต่ได้แบ่งออกเป็นสามทัพดังที่อินทุภาคาดไว้ แต่ทั้งสามทัพนี้ มิได้ยกมาพร้อมกัน และเดินทัพทิ้งระยะห่างกันมาก โดยที่ทัพหน้ามีกำลังพลประมาณสามหมื่น ซึ่งทัพหน้านี้คงจะเป็นการบุกแบบหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ อีกสองทัพแบ่งเป็นทัพละหนึ่งแสน ทัพสองแน่นอนว่าใช้ตัดกำลัง และทัพสามคงจะมุ่งหวังโจมตีเต็มที่อินทุภาเลยคิดแผน จากการที่ศัตรูเดินทัพ ทิ้งระยะห่างกันเกินไปนี้ มาใช้ประโยชน์ โดยจะใช้กลยุทธ์ในตำราพิชัยสงครามเจ็ดตำนานชื่อว่า..’ลับลวงพราง’โดยให้หยางติง นำทัพแรกกำลังพลหนึ่งหมื่นนาย ประกอบไปด้วยกองปืนคาบศิลา พลธนู กองทะลวงฟัน หรือกองทหารพิเศษเคลื่อนที่เร็ว ไปดักซุ่มโจมตีทัพหน้า โดยต้องรีบออกเดินทา
พอลับสายตาจากภายนอก เขาก็สอดมือรั้งท้ายทอยหญิงสาวเข้าชิด แล้วจู่โจมริมฝีปากอวบอิ่มแทบจะในเสี้ยววินาที อย่างเร่าร้อนหนักหน่วง ราวกับว่าเธอคือลมหายใจสุดท้าย ที่เขาโหยหามาตลอดชีวิต มือข้างหนึ่งกอดเอวบอบบางไว้แน่น อีกข้างจับท้ายทอยให้ขยับมุมตามริมฝีปากของเขา อินทุภาตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่สุดท้ายก็หลับตาพริ้ม จูบตอบจุมพิตที่แสนรัญจวนใจนี้ด้วยความยินยอม มือไม้เผลอไผลเกาะลำคอเขาไว้แน่น ลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวไปจนหมด"ฝ่าบาท.." อินทุภาครางเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระชั่วครู่ ก่อนจะจุมพิตเขาด้วยความโหยหาไม่ต่างกัน ปลายลิ้นของเธอถูกเขาดึงดูดเข้าหาราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาล เขาถอนริมฝีปากมาซุกไซ้ที่ซอกคอ เธอเลยกัดที่คอเขาเบาๆ แล้วเลื่อนมากัดที่ปลายคาง ขบเม้มดูดดุนไปทั่วซอกคอ ในขณะที่อีกมือค่อยๆ ดึงสายรัดเอวของเขา แหวกสาบเสื้อให้เปิดออกกว้าง"เมียรัก.." เขาพูดเสียงเบาเหมือนคนละเมออินทุภาแลบปลายลิ้นเลียลิ้มชิมรสยอดอกสีชมพูคล้ำ สองนิ้วเค้นเขี่ยเม็ดตุ่มสีสวยอีกข้าง เรียกเสียงครางครวญจากอีกฝ่ายให้หอบหนักขึ้น ตามอารมณ์ที่กำลังไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ขณะที่อีกมือก็ค่อยๆ คลายสายรัด จนทำให้ขอบกางเกงขยายออ