หลังจากที่จิเหยียนโจวคิดได้ ก็ยกนิ้วเรียวยาวขึ้น ลูบกระบอกปืน ขณะเดียวกันก็ช้อนสายตาขึ้นมองกั่วกัวที่ยืนอยู่ด้านล่างของม่าน กำลังรอให้เขาลั่นไกอย่างว่าง่ายใบหน้าเล็กๆที่มีแก้มป่อง ทั้งโครงหน้าและเครื่องหน้าล้วนเหมือนกับเขามาก ทว่าดวงตากลับเหมือนชูยี ดวงตาที่สดใส เป็นประกาย และบริสุทธิ์ดวงตาที่บริสุทธิ์แบบนี้ จะให้ภาพคาวเลือดมาทำให้เกิดมลทินไม่ได้...จิเหยียนโจวมองกั่วกัว คลี่ดวงตาและคิ้วออก ยิ้มสบายๆ"กั่วกัว รับปากอาแปลกเรื่องนึงนะ...""ค่ะ"กั่วกัวไม่แม้แต่ถาม ก็พยักหน้าทันทีอย่างว่าง่ายจิเหยียนโจวเห็นเธอเป็นเด็กดีขนาดนั้น ก็ไม่อาจทำใจจากลูกสาวของตัวเอง ทว่าต้องฝืนเอ่ยปากออกมา"หนูหันหลังไปก่อน"กั่วกัวหันหลังไปอย่างเชื่อฟังเมื่อมองแผ่นหลังเล็กๆจ้ำม่ำนั้น ดวงตาของจิเหยียนโจวก็แดงขึ้นมาอีกครั้ง"กั่วกัว อีกเดี๋ยวถ้าได้ยินเสียงปืนอย่าหันกลับมา นอกจากจะได้ยินอาเรียกชื่อของหนู เข้าใจไหม??""เข้าใจแล้วค่ะ!"กั่วกัวรับปากเสียงดัง จนทั้งห้องดูหนังกึกก้องไปด้วยเสียงเจื้อยแจ้งของเธอหัวใจของจิเหยียนโจวอบอุ่นขึ้นทันที ดวงตาที่ทอดลงต่ำ มีน้ำตาพรั่งพรูออกมาและร่วงหล่นใส่หลังมือ
เมื่อเห็นเลือดที่มากมายขนาดนั้น ไม่นานกั่วกัวก็เข้าใจทันทีเมื่อกี้อาแปลกไม่ได้ยิงมายังเธอ แต่เลือกที่จะลั่นไกใส่ตัวเองเพื่อปกป้องเธอ อาแปลกจึงใช้ตัวเองเป็นเป้า...เธอต้องไปดูอาแปลก ต้องไปดูเขาหน่อย...ความตั้งใจอันแรงกล้า ทว่ากลับดิ้นไม่หลุดจากพันธนาการของบอดี้การ์ดกั่วกัวที่ไร้ซึ่งหนทาง ทันใดนั้นก็ร้องไห้ออกมา ร้องจนเสียงดัง..."อาแปลก อาลุกขึ้น แล้วมาอุ้มหนูได้ไหม?"จิเหยียนโจวนั่งอยู่บนเก้าอี้ ยังคงรักษาท่าทีสงบและสบายๆเขามองกั่วกัวจากไกลๆ ริมฝีปากสั่นเทา โอ๋เธอด้วยความยากลำบาก"กั่วกัว...ไม่ร้อง..."ตอนที่เขาเอ่ยปากพูดประโยคนี้ เลือดในร่างกาย ก็ทะลักตามออกมาด้วยเลือดที่พรั่งพรูออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ทำเอากั่วกัวตกใจจนหน้าซีด"ปะปี๊ รีบไปช่วยอาแปลกของหนู รีบไปช่วยเร็วเข้า..."ผู้ชายที่ถูกเธอเรียกว่าปะปี๊ กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ยังเยียบย่างรองเท้าบูททหารเดินไปตรงหน้าจิเหยียนโจว แล้วแค่นเสียเย็นใส่เขา"เหยียนโจว ไม่คิดเลยนะ ว่าแกเองก็มีวันนี้ด้วย..."เคซีย์ลูบเลือดสดๆที่ไหลออกมาจากริมฝีปากของจิเหยียนโจว ลูบไล้เลือดที่อยู่บนนิ้วสองสามที จากนั้นโน้มตัวลงมองหน้าเขา"
ณ วิลล่าของซานซาน ในห้องหนังสือซูหว่านกำลังถือไม้บรรทัดวัดภาพ แม้ว่าเธอจะเพ่งสมาธิมากแล้วก็ตาม แต่เส้นที่วาดออกมาก็ยังเบี้ยวอยู่ดีหัวใจกระสับกระส่ายมาก เหมือนว่าสูญเสียอะไรบางอย่างไป มันส่งผลต่อความรู้สึกของเธอขึ้นมาแบบแปลกๆจิตใจของเธอไม่สงบอย่างที่สุด ก็ยอมวางดินสอวาดรูปลง ทิ้งตัวลงในเก้าอี้ แล้วนวดขมับ...โทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างโต๊ะหนังสือ ตอนนี้เองก็ดังขึ้นมาซูหว่านเห็นว่าเป็นจี้ซือหานที่โทรเข้ามา ก็ยื่นมือไปกดรับสาย แล้วเปิดสปีกเกอร์"ซือหาน เป็นยังไงบ้าง คุณได้เจอจิเหยียนโจวหรือยังคะ?"ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจ น้ำเสียงเย็นน่าฟังจึงดังเข้ามาในหูของซูหว่าน"หว่านหว่าน มาเจอจิเหยียนโจว เป็นครั้งสุดท้าย"หัวใจของซูหว่านหยุดเต้นไปทันใด รู้สึกเจ็บและดิ่งไม่น้อยความรู้สึกนี้ไม่ใช่ของเธอ ทว่าเธอกลับถูกมันควบคุมเอาไว้เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โซเซลุกขึ้น แล้วเผลอชนกับขอบโต๊ะโดยไม่ได้ตั้งใจเธอเจ็บจนร้องซี้ดออกมาทีนึง ชายหนุ่มที่อยู่ปลายสายขมวดคิ้วเข้ม เขาเดาได้อย่างชัดเจนว่าเธอกำลังร้อนใจ ทว่าไม่ได้พูดอะไร"เขาถูกส่งไปที่โรงพยาบาลของอลัน ฉันส่งคนไปรับเธอแล้ว"เมื่อซูหว่านตามม
มือของจิเหยียนโจวที่ลูบแก้มของเธอ วางลงอย่างหมดแรง ขณะที่ปลายนิ้วไล้ผ่านไปสัมผัสโดนผมลอนของเธอนั้น...ผมยาวแบบนั้น ชูยีไม่มีนี่นะในสายตาพร่ามัวของจิเหยียนโจว ค่อยๆปรากฎภาพเครื่องหน้าที่คลับคล้ายกับชูยี แต่ไม่เหมือนซะทีเดียวขึ้นมาที่แท้ เป็นซูหว่าน ไม่ใช่ชูยีนี่นาเขาจำผิดคนอีกแล้วในแววตาที่มีแสงสว่างขึ้นมาของจิเหยียนโจว ก็ค่อยๆมืดมิดลงเขาขยับสายตา เคลื่อนไปยังหัวใจดวงนั้น ทำให้เขารู้สึกสบายใจยิ่งกว่าสิ่งใด ราวกับสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเธอ"ซู...หว่าน..."เขาเอ่ยชื่อของเธอออกมาอย่างยากลำบาก ซูหว่านที่นั่งอยู่ข้างๆเห็นเขาได้สติกลับมา ก็รีบเช็ดน้ำตา แล้วขึ้นหน้าไปใกล้เขา"พี่เขย"ยังไงเธอก็ยังนับถือเขาเป็นพี่เขย แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยปฏิบัติแบบนั้นต่อเธอความเมตตาของเธอ ทำให้จิเหยียนโจวทอดสายตาลงต่ำด้วยความรู้สึกผิดหลังจากเงียบไปหลายอึดใจ จู่ๆเขาก็ปริปาก พูดกับซูหว่านด้วยความจริงใจ "ขอ...โทษ...."บางทีมนุษย์เราพอใกล้จะตาย เขาก็เลยสำนึกได้ว่าตัวเองในอดีตนั้น สารเลวมากแค่ไหน คำขอโทษที่ช้าเกินไป จึงแสดงให้เห็นถึงความจริงใจมากซูหว่านรู้ว่าจิเหยียนโจวกำลังขอโทษตัวเอง ก็
เมื่อเห็นเธอรับปาก จิเหยียนโจวก็ยิ้มมุมปากอย่างรู้สึกปลดปล่อย ทว่าดวงตากลับเคลื่อนไปทางประตูด้วยความยากลำบาก...ตรงนั้นยังคงมีเงาเย็นชาสูงส่ง ยืนตัวตรงคุ้มกันอยู่ตรงประตูกระจกคำตอบที่ไม่ได้พูดออกมานั้น ชายหนุ่มที่อยู่นอกประตูน่าจะเข้าใจดีแต่เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญอีกต่อไป ชีวิตนี้ของเขา จะรักแค่ชูยีคนเดียวมันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะหรอ อาจจะเป็นตอนที่เธอขี่จักรยานไล่ตามรถของเขาอย่างคนเอาแต่ใจทุกครั้งที่เขามองเห็นเงา และรอยยิ้มที่มั่นใจเปิดเผยผ่านกระจกมองหลัง ก็มักจะยิ้มบางๆตามไปด้วยเสมอบางคนมักจะไม่เข้าใจความรัก ต้องรอให้ถึงวันที่สูญเสียไปแล้วถึงได้เข้าใจ และเขาก็เพิ่งตื่นรู้ได้ตอนที่มันสายไปกว่านั้นแล้ว...เมื่อใกล้ถึงความตาย ภาพความทรงจำในชีวิตก็ผุดขึ้นในหัวอย่างรวดเร็วราวกับความเร็วแสง...เขาเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองรักชูยีเข้ากระดูกมาตั้งนานแล้ว แต่ถึงกระนั้น มันกลับสายเกินไปก่อนที่เขาจะปิดเปลือกตาลง มือสั่นเทาที่ยื่นออกไป อยากจะสัมผัสหัวใจของชูยีเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นพูดกับเธอสักคำชูยี ขอโทษ ฉันเองก็รักเธอแต่ เขาไม่มีแรงอีกแล้ว...สุดท้ายแล้ว จนวาระสุดท้าย เขาก็ไม
เมื่อเสิ่นหนานอี้ได้ข่าวก็รีบตามมา แต่ร่างกายของจิเหยียนโจวถูกแช่แข็งไปแล้วเขายืนอยู่ในห้องดับจิต มองจิเหยียนโจวที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาวอย่างไม่อยากจะเชื่อแตกต่างจากที่ซูหว่านเห็น จิเหยียนโจวในเวลานี้เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่จนสะอาดสะอ้านเขาเหมือนกับคนที่นอนหลับไป นอนอย่างเงียบๆอยู่ตรงนั้น ความเงียบเชียบดั่งปกติ ไม่มีกลิ่นอายของการเสียชีวิตเสิ่นหนานอี้สาวขายาวๆเดินเข้าไป ยื่นมือออกหวังอยากจะสัมผัสใบหน้าของจิเหยียนโจว แต่ก็พบว่าเขาไม่มีความกล้านั้น"อาจารย์..."เขาพึมพำทีนึง ถ้าเป็นปกติใครก็ตามที่มารบกวนการนอนหลับของอาจารย์ อาจารย์จะต้องลุกขึ้นมาต่อยสักหมัดแน่ๆอาจารย์ของเขามีแรงในการลุกจากที่นอน แต่ตอนนี้ เขากลับนอนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ ไม่สะทกสะท้านอะไรกับการที่ถูกเขารบกวนเสิ่นหนานอี้แสบจมูกขึ้นมา รอบๆดวงตาก็แดงก่ำ "อาจารย์ คุณเป็นอะไรไป ไหนบอกว่าจะรอให้ผมล้มคุณให้ได้ไม่ใช่หรอ?"วันที่เขาประกาศตัวออกจากการเป็นศิษย์ จิเหยียนโจวตบบ่าของเขา แล้วพูดกับเขาว่า "หนานอี้ รอให้นายได้ถ้วยรางวัลมากกว่าอาจารย์ แล้วอาจารย์จะสร้างห้องเล็กๆทองคำให้นายนะ"อาจารย์รู้ว่าเขาชอบทองคำ เดี๋ยวก็ซื้อทองคำ
เสิ่นหนานอี้คุกเข่าลงกับพื้น หันหน้าเข้าหาจิเหยียนโจว แล้วผงกหัวลงสามครั้งเขากับอาจารย์สัญญากันเอาไว้ หากได้ถ้วยรางวัลมากกว่าอาจารย์ อาจารย์จะสร้างห้องทองคำเล็กๆให้เขาแต่เห็นได้ชัดว่าชาตินี้เป็นไปไม่ได้แล้ว งั้นชาติหน้าก็แล้วกันหวังว่าชาติหน้า เขาจะยังได้เป็นศิษย์ของจิเหยียนโจวถึงตอนนั้น ให้เขาเป็นฝ่ายสร้างห้องทองคำให้อาจารย์ก็แล้วกันยังไงซะชาตินี้ เขาก็ยังไม่ทันได้ตอบแทนบุญคุณ อาจารย์ก็จากไปก่อนตอนที่เสิ่นหนานอี้คุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้อย่างปวดใจจนน้ำตาอาบหน้า จอร์จก็ยื่นมือไปจบบ่าเขา"ก่อนที่จิจะจากไป เขาฝากบริษัทภายใต้ชื่อของเขากับนาย...""เขาหวังว่า นายจะนำพาบริษัทสู่สายตาคนทั้งโลก..."คำร้องขอที่ยากจะสำเร็จ ทว่าสามารถทำให้เสิ่นหนานอี้ยืนหยัดต่อไปได้อาจารย์ของเขา ส่งเสียเขา ชี้แนะเขาก่อนตาย แม้จะตายไปแล้วก็ยังไม่วายคิดเผื่อเขาเสิ่นหนานอี้ที่เป็นคนร่าเริงแจ่มใสมาตลอด ตอนนี้ จู่ๆก็เสียศูนย์จนราวกับเป็นคนละคนซูหว่านยังคงนั่งอยู่ในห้องผู้ป่วย เอนศีรษะลงพิงบนไหล่ของจี้ซือหาน รอฟังข่าวอยู่เงียบๆจี้ซือหานส่งอาเจ๋อไปขัดขวางเครื่องบินส่วนตัวของเคซีย์ ไม่รู้ว่าขวางสำเร
ซูหว่านเคยเจอเจียงโม่แค่สองครั้ง ทุกครั้งมักจะสัมผัสได้ถึงความงามที่ไม่เหมือนใครจากตัวของเธอความงามแบบนี้ เป็นความงามที่ปรายตามองแค่แวบเดียว ทุกคนก็ต้องยอมจำนน งามจนมองแค่แวบเดียว ก็ไม่อาจละสายตาไปไหนได้อีกในขณะเดียวกัน ออร่าความสูงศักดิ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเธอ ก็ทำให้ผู้คนอดรู้สึกต่ำต้อยไม่ได้ซูหว่านก้มหน้าลง ทว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายกลับจับมือของเธอ ประสานนิ้วทั้งสิบเข้าด้วยกัน ให้ความอบอุ่นปลอดภัยที่เพียงพอกับเธอจี้ซือหานจับมือของซูหว่านแน่น แล้ววางลงบนต้นขาเรียวยาวของตัวเอง จากนั้นมือข้างนึงเท้าคาง มองไปยังเจียงโม่ด้วยความเฉยเมย"เรื่องของเคซีย์ อธิบายมาให้ชัด ไม่งั้นพอกลับสำนักงานใหญ่ ก็จงรับโทษด้วยตัวเองไปซะ"เห็นเขาไม่แม้แต่จะพูดเกริ่นนำ แต่เข้าเรื่องทันที เจียงโม่ก็รู้ว่าเขากลัวภรรยาสุดสวยจะเข้าใจผิด...เจียงโม่ลอบพ่นคำว่า "ไอ้คนคลั่งรักจนหน้ามืด" ใส่เขาในใจ ทว่ากลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ สาวเท้าเดินเข้ามาเธอเองก็คร้านจะพูดพร่ำทำเพลงกับเขา หยิบหน้ากากลายสีขาวดำออกมาจากในกระเป๋า แล้วยื่นไปตรงหน้าจี้ซือหาน"นายน่าจะเข้าใจนะ?"นี่เป็นหน้ากากของพ่อบุญธรรมของเธอ หรือก็