“ข้ารู้แค่ว่านี่เป็นป้ายประจำตัวองค์รัชทายาท” เขากอดอกยืนฟังนาง พยายามสนใจเพียงดวงตากลมโตสีนิล ไม่มองผิวกายเนียนละเอียดที่เต็มไปด้วยรอยบอบช้ำ
ตลอดการเดินทาง นางครุ่นคิดอยู่หลายตลบว่าจะเริ่มเรื่องอย่างไรให้เขาเชื่อใจนาง จะแสดงตัวเช่นไรไม่ให้ถูกจับได้ว่าเป็นหญิง แต่เมื่อฐานะถูกเปิดเผยแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะต้องปิดบังอันใดอีก นางสูดลมหายใจแล้วเอ่ยออกมา
“ข้าคือจางฟางหรง”
“หือ?” หลัวหลิวหยางเลิกคิ้วประหลาดใจ “จางฟางหรง?”
“จางฟางหรงที่เขียนจดหมายโต้ตอบกับท่าน” นางยังคงสงบใจกล่าวต่อ
“ข้าเคยพบจางฟางหรง เขาเป็นบุตรบุญธรรมของอาจารย์ข้า เขาเป็นบุรุษมิใช่สตรี”
“ถูกต้อง จางฟางหรงที่ท่านแม่ทัพพบคือน้องชายต่างมารดาของข้า ข้าชื่อจางฟางซิน ข้าและจางฟางหรงเป็นบุตรบุญธรรมของอาจารย์ หยางอี้เสียง” นางแนะนำตัวเอง และเมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดจะพูดขัด นางจึงพูดต่อ “คนที่เขียนจดหมายถึงท่านคือข้า ข้าใช้ชื่อของน้องชายเพื่อคุยกับท่าน”
แววตาของหลัวหลิวหยางประหลาดใจเล็กน้อย เดิมทีเขาสงสัยมาตลอด บุรุษอย่างจางฟางหรงดูเหมือนคนที่ไม่สนใจตำราพิชัยยุทธ์ ไม่ชอบการทหาร แต่กลับแลกเปลี่ยนความคิดกับเขาและเสนอแนวทางให้เขาหลายต่อหลายครั้ง
“ที่ข้าต้องมาด้วยตนเองเช่นนี้เพราะ คนที่องค์รัชทายาทส่งจดหมายให้ท่านถูกกำจัดไปหมด องค์รัชทายาทต้องการให้จางฟางหรงมาอยู่ข้างกายท่าน เผื่อว่าจะได้ช่วยติดสินใจแก้ไขปัญหาที่เกิด พร้อมทั้งมอบหมายอำนาจตัดสินใจทางการทหารให้ท่านจัดการได้หากมีความจำเป็น”
หลัวหลิวหยางทำเพียงพยักหน้ารับรู้ เขาคิดสงสัยอยู่นาน สองเดือนมานี้ไม่มีข่าวสารจากเมืองหลวง ที่แท้เกิดเรื่องขึ้นจริง
“เดิมทีข้าควรแสดงตัวต่อท่านในฐานะบุรุษ แต่เกิดเรื่องเสียก่อน หวังว่าท่านจะไม่ขับไล่ข้ากลับไปเพราะเห็นว่าข้าเป็นสตรี”
“ต่อให้ข้าอยากให้เจ้าไป เจ้าก็คงไปไหนไม่ได้” เขาหลุบตามองข้อเท้าของนางที่ถูกพันผ้าไว้อย่างแน่นหนา “อย่างน้อยก็หนึ่งเดือน”
จางฟางซินนึกอนาถใจ นางไม่มีสิ่งใดดึงดูดใจเขาได้เลย นี่นางควรขอบคุณโจรเหล่านั้นที่ทำให้นางบาดเจ็บจนไปไหนไม่ได้สินะ
“ตอนนี้ผู้อื่นรู้แล้วเจ้าเป็นสตรี ก็อยู่ในฐานะสตรีเถิด ข้าเรียกเจ้าจางฟางซินได้ใช่ไหม”
“อืม” นางพยักหน้ารับ แล้วนึกได้ว่าตนเองพูดจาไม่สุภาพนักจึงเอ่ยขึ้นใหม่ “เจ้าค่ะ”
“เพื่อไม่ให้ผู้อื่นสงสัยฐานะของเจ้า ข้าคิดว่า...”
“ท่านแม่ทัพสามารถบอกผู้อื่นได้ว่า ข้าเป็นคนที่มารดาของท่านส่งมาปรนนิบัติรับใช้ท่าน ข้ากับท่านจำเป็นต้องใกล้ชิดกัน เราไม่อาจรู้ได้ว่ามีใครทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้ หากผู้อื่นรู้ว่าข้าเป็นคนขององค์รัชทายาท เกรงว่าทั้งข้าและท่านจะไม่ปลอดภัย”
มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แม้จะเล็กน้อยก็เห็นชัดว่าเป็นรอยยิ้ม จางฟางซินรู้สึกตาพร่าไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าเขาจะยอมฟังแผนการไร้สาระของนางด้วยท่าทางใจเย็นเช่นนี้
“ดี ตกลงตามนั้น”
“อื้ม เอ่อ เจ้าค่ะ”
“เจ้าคงอยู่ในฐานะบุรุษมานาน เห็นทีต้องฝึกเป็นสตรีหน่อยกระมัง” เขากระตุกยิ้มที่มุมปาก เมื่อนางเป็นฝ่ายเสนอความคิดเอง เขาก็ไม่ใส่ใจว่านางจะเสียชื่อเสียงหรือไม่ อย่างไรเขาก็ไม่มีอะไรให้เสีย และที่สำคัญคือการเคลื่อนไหวของต่างแคว้นที่สอดคล้องกับฝ่ายที่หวังโค่นล้มอำนาจขององค์รัชทายาท
“เจ้าพักผ่อนเถิด ข้าจะให้คนมาดูแล”
“ขอบคุณ” นางถอนหายใจเบาๆ “เอ่อ...”
“ว่ามา”
“ข้าอยากอาบน้ำ..”
หลัวหลิวหยางเลิกคิ้ว “สระผมด้วยไหม?”
“ถ้าได้เช่นนั้นข้าจะขอบคุณยิ่ง”
“ข้าจะสั่งเด็กๆ ดูแลเจ้า”
“ขอบคุณ”
“อืม”
นางไม่คิดว่านั้นเป็นคำถามประชด เขาเป็นทหาร ใช้ชีวิตในสนามรบมากกว่าบ้านเกิดอันอบอุ่น การพูดของเขาจึงเด็ดขาดเหมือนเป็นคำสั่งเสมอ ร่างสูงใหญ่ที่นางเคยแอบมองอยู่หลายครั้งเดินออกไปแล้ว นางผ่อนลมหายใจยาว หวังใจว่าเรื่องราวต่อจากนี้จะไม่มีอุปสรรคใดอีก
นางได้แต่ภาวนาในใจ
เรือนหลังนี้ช่างเงียบสงบ มีแสงอ่อนๆ ลอดผ่าน กระทบเครื่องเรือนงดงามและประณีต มันสวยมากแต่ดูแปลกและน่าอึดอัด
จางฟางซินใช้ความพยายามทั้งหมดยันกายลุกขึ้นนั่งและมองรอบๆ ผ่านมาสามวันความเจ็บปวดรวดร้าวทุเลาลง แต่จุดที่เจ็บปวดที่สุดคือข้อเท้าของนาง ท่านหมอทหารยืนยันหนักแน่นว่านางสามารถกลับมาเดินได้อย่างปกติอย่างแน่นอน แต่บางครั้งนางยังมึนงงราวกับยังไม่ตื่นจากความฝัน จนกระทั้งมือหยาบกร้านวางบนไหล่ของนางเป็นการยืนยันว่านางมิได้ฝันไป
“ยังฝันร้ายอยู่อีกหรือ?”
“ฝันร้าย?”
นางเอ่ยทวนคำที่ได้ยิน เหตุการณ์นั้นไม่ใช่ความฝัน มันเป็นเรื่องจริงที่กลายเป็นฝันร้ายของนาง เหเหมือนเมื่อตอนเป็นเด็กที่นางเคยตกหลังม้า ทำให้นางไม่กล้าขี่ม้าอีก จางฟางหรงมักหัวเราะเยาะนางเรื่องนี้เสมอ แต่เขาก็ดึงมือนางให้นั่งม้าตัวเดียวกัน จางฟางหรงไม่ค่อยแสดงท่าทางห่วงใยนาง ไม่มีคำพูดดีๆ ให้กำลังใจ แต่นางรู้ว่าจางฟางหรงเป็นห่วงนาง นางเป็นญาติคนเดียวที่เหลืออยู่เช่นเดียวกับนางที่มีเขาเป็นญาติคนเดียวเช่นกัน คิดถึงตอนนี้นางเผลอหัวเราะเบาๆ ออกมา
เสียงหัวเราะแม้แผ่วเบานั้นทำให้หลัวหลิวหยางเลิกคิ้ว มือของเขายังวางบนไหล่ของนาง ร่างกายนางบอบบางถึงเพียงนี้ หากเขาเผลอออกแรงมากไปสักหน่อยคงหักกระดูกนางได้เป็นแน่ เจ้าของร่างอรชรอ้อนแอ้นผู้นี้กลับเดินทางมาเพียงลำพังเพื่อพบเขา และบอกว่าจะอยู่เคียงข้างเขา
เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดเหลือเกิน
จางฟางซินได้สติ นึกขึ้นได้ว่าหลัวหลิวหยางเข้ามาดูอาการของนาง นางจึงเอ่ยขึ้น
“ตอนเด็กๆ ข้าเคยตกหลังม้า นับจากนั้นข้าไม่กล้าขี่ม้าเพียงคนเดียวอีกเลย มันเป็นม้าที่สูงกว่าข้าไม่เท่าไหร่ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดวันนั้นมันเกิดพยศทำให้ข้าตกลงมา แม้จะบาดเจ็บไม่มากนัก แต่ความรู้สึกที่อยู่บนหลังม้าที่พยศนั้นข้าจำได้อย่างดี ความทรงจำนั้นกลายเป็นฝันร้ายของข้า มาบัดนี้เห็นทีว่าการอยู่ในรถม้าที่ตีลังกาหลายตลบจะเป็นฝันร้ายแทนทีการตกม้าครั้งนั้นของข้าแล้ว”
“เจ้าจำอะไรได้ไหม” เขาถาม
“ข้าจำท่านได้” นางตอบด้วยรอยยิ้ม แม้นางจะแอบมองเขาจากที่ไกลๆ แต่นางยังจำดวงตาคมเข้มดุดัน โหนกแก้มสูง จมูกดุจเหยี่ยวทรงอำนาจที่ปรากฏชัดเจนในความฝันของนางได้ ถ้าการตกม้าคือฝันร้ายของนาง เขาก็คือฝันดีของนางเช่นกัน
“ท่านแม่ทัพ” หญิงสาวรำพึง “ท่านช่วยชีวิตข้า”
“ข้าแค่บังเอิญอยู่ที่นั้น”
จางฟางซินคิดพลางหลับตาลงช้าๆ เขาพูดถูกต้องทุกอย่าง เขาแค่บังเอิญผ่านมาในยามที่นางเดือดร้อน หากไม่ใช่เพราะนางคือ ‘จางฟางหรง’ เขาคงไม่เสียเวลามาใส่ใจนางถึงเพียงนี้ คิดได้ดังนั้นก็สูดลมหายใจลึก ยืดแผ่นหลังตั้งตรงแล้วสบตากับเขา
“ข้าดีขึ้นแล้ว เรามามาคุยเรื่องงานกันเถิด”
“งาน?”
“ใช่” นางพยักหน้ารับ “หรือท่านยังไม่เชื่อว่าข้าคือจางฟางหรงจริงๆ”
หลัวหลิวหยางปล่อยมือจากไหล่นาง ถอยหลังมาเล็กน้อยกวาดตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียง รอยฟอกช้ำยังเห็นอยู่เด่นชัด แต่สีหน้าของนางดีขึ้นมากแล้วจริงๆ
“ข้าเชื่อเจ้า”
“ท่านเชื่อข้าง่ายถึงเพียงนี้” นางขมวดคิ้ว ที่ผ่านมานางกังวลมาตลอดว่าเขาจะไม่ยอมรับนาง เช่นนั้นการเดินทางของนางจะสูญเปล่า
“ข้าเคยพบจางฟางหรง” เขาพูด “ท่าทางเขาไม่เหมือนคนที่จะชอบอ่านตำราพิชัยยุทธ แต่ข้าเชื่อความคิดอ่านในจดหมายของเขามาก”
“อย่างนั้นหรือ?” นางเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ข้ากังวลใจมาตลอดว่าจะอธิบายท่านอย่างไร”
“ข้าเป็นคนมีเหตุผล”
“เช่นนั้น...” นางอ้าปากแต่ยังพูดได้เพียงสองคำ เขาก็ยกมือขึ้นห้ามไว้ก่อน ครู่หนึ่งแม่นมเหมยกุ้ยเข้ามาพร้อมหญิงรับใช้ที่นำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้จางฟางซินผลัดเปลี่ยน แม่นมเหมยกุ้ยพยักหน้าให้บ่าวรับใช้ออกไปก่อน เมื่อเหลือเพียงสามคนนางจึงเอ่ยขึ้น“แม่นางได้สติดีแล้ว ข้าจึงจัดเตรียมเสื้อผ้ามาให้” “ขอบคุณแม่นมเหมยกุ้ยมากเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หลายวันมานี้ท่านลำบากเพราะข้าแท้ๆ ข้าวของเครื่องใช้ของข้าอยู่ในรถม้า”“ในรถม้ามีของสำคัญใดหรือไม่ ข้าส่งคนออกไปดูไม่พบสิ่งใด พวกโจรคงขโมยไปหมดแล้ว”จางฟางซินส่ายหน้าไปมา “นอกจากเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวแล้วไม่มีสิ่งอื่นเจ้าค่ะ โจรกลุ่มนั้นคงปล้นเสียเทียวแล้ว”‘ตัวข้าสำคัญที่สุดแล้ว’ นางไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไป เกรงว่าเขาจะเห็นว่านางเป็นคนชอบเยินยอตัวเอง ยังไม่ทันพูดอะไรต่อเด็กรับใช้ประคองถ้วยยาเข้ามา หญิงสาวยิ้มค้าง ดวงตาจ้องมองหลัวหลิวหยางเป็นเชิงถาม นี่นางต้องดื่มยาอีกแล้วหรือ? ปกตินางเป็นคนแข็งแรงจนน้องชายหยอกล้อว่านางแข็งแรงเหมือนวัว ร้อยวันพันปีจะเจ็บป่วยสักครั้ง หากไม่นับข้อเท้าของนางที่เจ็บหนัก นางคิดว่าตัวเองแข็งแรงดีแล้วจริงๆ หลัวหลิวห
“ขอโทษด้วย” จางฟางซินพูดอย่างนึกขึ้นได้ “ท่านแม่ทัพกรุณากับข้ายิ่ง”“เจ้าต้องกินอะไรบ้าง เพื่อจะได้มีแรง” เขาหยิบตะเกียบคีบเนื้อปลากะพงนึ่งให้นาง“ข้าทำเองได้” นางเตือนเขา “มือของข้ายังใช้การได้ดีอยู่”“แขนซ้ายเจ้ายังเจ็บอยู่” ดูท่านางก็ดื้อดึงไม่แพ้เขาเช่นกัน “เอาไว้เจ้าหายดีแล้วค่อยปรนนิบัติข้าคืนก็แล้วกัน”“ข้าจะจำใส่ใจไว้” นางพูดพลางกินมื้อเที่ยงของตัวเอง หลายวันนี้กินแต่โจ๊ก พอมีอาหารเลิศรสเข้าปาก ใบหน้าของนางพลันแช่มชื้นขึ้น“อร่อยไหม” หลัวหลิวหยางถามเพราะสีหน้าของนางช่างดูมีความสุขเสียเหลือเกิน “ข้าจำได้ว่าท่านเคยปรึกษาเรื่องเพาะปลูกข้าวในพื้นที่ที่เป็นภูเขาเสียส่วนใหญ่ ข้าวในถ้วยนี้มาจากแปลงนาเชิงเขาใช่หรือไม่” เขายิ้มแทนคำตอบ เขาเคยเขียนจดหมายถึง ‘จางฟางหรง’ ปรึกษาเรื่องเหล่านี้จริง และจางฟางหรงช่วยค้นหาวิธีเพาะปลูกและกักเก็บน้ำ ทำให้สองปีมานี้ แผ่นดินที่เคยแห้งแล้งทางทิศตะวันออกเปลี่ยนเป็นเขียวขจีด้วยทุ่งข้าวและพืชพรรณมากมาย “ดีจริง วันนี้ได้กินข้าวที่ท่านปลูกแล้ว”“ข้าสั่งผู้อื่นปลูกต่างหาก” เขาพูดพลางคีบเห็ดผัดน้ำมันหอยให้นาง “เห็ดนี่ได้มาจากภูเขา เก็บมาเมื่อเช้า
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาเคยเขียนจดหมายไร้สาระเล่าให้จางฟางหรงฟังว่าจับแมวป่าได้ แมวป่ามีมูลค่า หนังของมันเป็นที่ต้องการ แต่เปาเป่าตัวเล็กนัก แม่ของมันรวมทั้งพี่น้องมันอยู่ที่ใด ตอนนั้นเขาไม่คิดว่าจะเลี้ยงมัน แต่ไม่รู้นึกอย่างไรหิ้วแมวป่ากลับมาโยนให้แม่นมช่วยดูแล มันเป็นแมวป่าแต่ถูกคนเอาใจใส่ดูแล ความดุร้ายจึงลดลง เป็นจังหวะเดียวกับที่ ‘จางฟางหรง’ ตอบจดหมายและขอความเมตตาจากเขาให้เลี้ยงมัน พร้อมทั้งแนะนำให้เขาหานมแพะมาป้อนมันอีกด้วย เขาไม่เคยตอบ ‘จางฟางหรง’ ว่าเขาตัดสินใจเลี้ยงมันไว้ จนเวลานี้ ‘จางฟางซิน’ ได้มาพบกับมันด้วยตนเองจางฟางซินพยักหน้า แล้วก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อหลัวหลิวหยางหิ้วหนังคอเจ้าแมวป่าออกจากอกของนาง ยื่นแมวยักษ์ไปทางหูซานให้อุ้มแมวไว้ แล้วเขาก็อุ้มนางขึ้นจากพื้น“ท่าน!”“เจ้าอยู่นิ่งๆ ในห้องไม่ได้สินะ” เขาหัวเราะในลำคออุ้มนางมานั่งที่เก้าอี้กลมที่ศาลาหกเหลี่ยม “อุดอู้อยู่ในห้องมาสี่ห้าวันแล้ว ข้าอยากออกมารับแสงแดดบ้าง” นางอาศัยจังหวะที่เขาอยู่ใกล้นาง กระซิบบอกเขา “ข้าอยากเห็นพื้นที่ ภูมิประเทศและผู้คน ข้ามาถึงหลายวันแล้ว ให้ข้าช่วยงานท่านบ้างเถิด”เพื่อไม่ให้ผู้อื่น
มีคู่ศัตรูคู่แข่งอยู่รอบด้าน เราต้องกำหนดกลยุทธ์ วางแผน โจมตี ตั้งรับ เพื่อชิงความได้เปรียบกับฝ่ายตรงข้าม ไม่เช่นนั้นเราก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ศาสตร์ทุกแขนงควรทำการศึกษาและนำมาประยุกต์ปรับใช้กับการทำงานเพื่อให้ผลสำเร็จเกิดขึ้นตามมา เจ้าชื่นชอบการอ่านตำราแต่อ่อนด้อยประสบการณ์ ยังไม่เข้าใจท่องแท้หรอกกระมัง”ในน้ำเสียงนั้นคล้ายดูแคลนอยู่หลายส่วน แต่จางฟางซินกลับพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย นางยื่นมือไปรับน้ำชาอย่างระวังไม่ให้หกใส่ตำราพิชัยยุทธที่เขาให้นางหยิบยืมมาอ่าน “ข้าก็เคยคิดอยู่ว่า กลยุทธการศึกเหล่านี้ หากศึกษาให้เข้าใจถึงแก่นแท้ เราย่อมสามารถปรับเปลี่ยนมาใช้ในชีวิตประจำวันได้”“เช่น?”“การค้าอย่างไรเล่า” นางยื่นหน้าไปหาเขา “หากเราจะทำการค้าก็ต้องเรียนรู้ว่าคู่แข่งเป็นใคร จุดเด่น จุดอ่อนคืออะไร ทำเลที่ตั้งของร้านก็เหมือนชัยภูมิในการทำศึก ท่านว่าข้าพูดถูกหรือไม่เล่า” หลัวหลิวหยางหัวเราะในลำคอแล้วพยักหน้ารับ “เรื่องนี้ข้าเห็นด้วย”“ลักษณะชัยภูมิสำหรับทำศึกมีส่วนสำคัญไม่น้อยไปกว่าการจัดกระบวนทัพ ความได้เปรียบเสียเปรียบขึ้นอยู่กับการสภาพภูมิประเทศ เปรียบได้กับการกำหนดพื้นที่ตั้งร้านค้า
“ท่านเคยสงสัยในตัวจวิ้นอ๋องหรือไม่” นางถามรู้สึกสบายจนเผลอเอนตัวไปพิงไหล่ของเขา “ตามจริงแล้ว เรื่องในวังหลวงข้าก็ไม่ล่วงรู้ลึกตื้นหนาบางของผู้อื่นนัก”“แต่เจ้าเชื่อใจองค์รัชทายาท ยอมเดินทางเสี่ยงภัยมาหาข้า”“เพราะท่านมีภัย ข้าจึงรีบมา”“เจ้าไม่ได้รู้จักข้าด้วยซ้ำ” “ท่านกล่าวผิดแล้ว ท่านไม่รู้จักข้าแต่ข้ารู้จักท่าน” นางหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย “ท่านน่าจะให้ข้าพาเปาเป่ามาด้วย” “คนขาเจ็บกับแมวขาพิการ”“ท่านแม่ทัพดูถูกข้าหรือ?” “ข้าพูดความจริงต่างหาก” เขาหัวเราะในลำคอ แต่เมื่อมองเลยไปยังป่าทึบดวงตาของเขามีพลันฉายแววแข็งกร้าวขึ้นมา “มีเรื่องใดหรือ?” นางถามเพราะรู้สึกว่าร่างกายที่นางพิงอยู่มีอาการตื่นตัว“ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวล” เขาพูดเก็บสายตากลับมา นางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมเข้ม ดวงตาของเขาคมปลาบต่อให้ไม่ต้องลงมือแค่ใช้สายตาจ้องมองก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้ แต่นางกลับรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดในสายตาคู่นั้นจนไม่อาจถอนสายตาได้เลย ทว่าอาการนิ่งงันไปของจางฟางซินทำให้หลัวหลิวหยางเข้าใจผิด เขาเบือนหน้าไปสบถอย่างหงุดหงิด อย่างไรนางก็เป็นหญิง จะไม่ให้หวาดกลัวยามเขาเผลอใช้สายตากดดันผู้อื
เดินหมากกับนางช่างน่าปวดหัว เขาเผลอวางเม็ดหมากไม่ระวัง กว่าจะรู้ตัวก็เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของนางก่อนที่นางจะวางหมากขาวชิงพื้นที่ในกระดานแล้ว แม้ไม่ได้เอ่ยวาจาแต่ก็รู้แล้วว่าหมากกระดานชัยชนะเป็นของผู้ใด‘ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ออมมือ’ นางยังคงระบายยิ้มเกลือนใบหน้า‘อีกกระดานเถิด’‘ไม่ดีกระมัง’ คราวนี้นางหน้ามุ่ย ‘ท่านแม่ทัพมีร่างกายแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า แต่ข้าเป็นเพียงสตรีบอบบางซ้ำขาเจ็บและมีแมวขาเป๋อยู่บนตัก ให้ข้าพักผ่อนเถิดนะ’‘ข้าก็ลืมไปว่าเจ้าเปราะบางเสียนี่กระไร ขนาดอยู่ในรถม้าที่ตีลังกาหลายตลบยังรอดตายได้’นางอ้าปากค้างไม่คิดว่าแม่ทัพใหญ่ที่นางชื่นชมจะกล้าประชดประชันนางเช่นนี้ เขาเห็นนางเถียงไม่ออกก็หัวเราะชอบใจนางควรบอกเขาดีหรือไม่ ขอเพียงเขายิ้มสักเล็กน้อย หัวเราะมากขึ้นอีกนิด เขาจะเป็นบุรุษที่สตรีเฝ้าคะนึงหา อาจเพราะชื่อเสียงดวงกินภรรยาของเขา และความเด็ดขาดในฐานะแม่ทัพพิทักษ์บูรพาทำให้คนหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้“เป็นอะไรไป” หลัวหลิวหยางเอ่ยถามเมื่อเห็นนางมองเขาด้วยสายตาเหม่อลอย“ข้ากำลังชื่นชมท่านอยู่” นางตอบไปอย่างที่คิด นางก็เป็นเช่นนี้พูดจาตรงไปตรงมาไม่ค่อยสำรวมนัก อาจเพราะค
“หลี่ไป๋” หลัวหลิวหยางย่อมเคยได้ยินชื่อกวีเลื่องชื่อ แต่เขาไม่ใช่บุรุษที่ชอบอ่านกลอนเขียนกวี จึงไม่ได้ใส่ใจแม้จะเคยอ่านผ่านตามาบ้าง“แต่ที่สำคัญกว่าคือท่านแม่ทัพหลัวชื่นชอบสุรานี้เช่นกัน” นางเอ่ยเสียงเบาด้วยท่าทีเขินอาย “พี่หลิวหยางขอข้าชิมสุราในจอกท่านสักนิดได้หรือไม่” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย นางเรียกเขาว่า ‘พี่’“พี่หลิวหยางก็รู้ว่าท่านพ่อมิให้ข้าชิมสุรา ทุกครั้งที่ท่านมาเยี่ยมเยือนท่านพ่อก็ชอบหิ้วสุราดีมาเสมอ ข้าทำได้แค่ดมกลิ่นเท่านั้น ข้าอยากรู้ว่ารสชาติที่พี่หลิวหยางชื่นชอบเป็นเช่นไร”นางออดอ้อนอย่างน่ารัก ทำให้เขาเผลอใจยื่นจอกสุราของตนให้นาง“สุรารสแรง เจ้าจิบเล็กน้อยก็พอ”“ขอบคุณพี่หลิวหยาง” นางยื่นมือมารับจอกสุราของเขา ดมกลิ่นสุราแล้วจิบเล็กน้อย สุรารสแรงแต่ละมุนลิ้นทำให้ใบหน้าของนางแดงระเรือขึ้นมา “พอแล้ว” เขาแย่งจอกสุรากลับคืน“พี่หลิวหยางอย่าฟ้องพ่อบุญธรรมนะ” “ข้ารู้” นางทำท่ามึนศีรษะเอนกายไปทางเขาแล้วกระซิบ “สุราไม่มีพิษ”หลัวหลิวหยางลอบถอนหายใจ นางห่วงเขาแต่ไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้ แต่ความเป็นห่วงของนางทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว แต่ก่อนมีแต่เขาที่ต้องคอยปกป้องดูแลผู
“มีเรื่องเล่าเช่นนี้ด้วย” จางฟางซินถอดถอนใจจากเรื่องราวที่ได้ยิน นางลอบมองหลัวหลิวหยางที่ยกสุราขึ้นดื่ม“เหตุใดพี่หลิวหยางไม่เล่าให้ข้ารู้บ้าง”“ข้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้” เขาตอบ “เป็นแค่นิทานเล่าขานของคนที่นี้” อวี้หมี่พูดด้วยรอยยิ้มจางฟางซินแปลกใจที่เห็นเขาดื่มสุรามากขึ้น ระหว่างที่อยู่ที่จวน นางไม่เห็นเขาดื่มสุรา นางคาดเดาได้ว่าเขาคงคอแข็งไม่น้อย แต่เห็นเขามอมตัวเองเช่นนี้ นางไม่เข้าใจ นางเผลอยกมือขึ้นนวดขมับ แม้หลัวหลิว หยางไม่ได้มองนางตรงๆ แต่ทุกการเคลื่อนไหวของนางอยู่ในสายตาของเขา ชายหนุ่มจึงยื่นมือไปจับมือที่กำลังนวดขมับอยู่“ไม่สบายรึ? ปวดหัวหรือ?”นางไม่ตอบแต่กัดริมฝีปากครุ่นคิด ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการไปจากที่นี้หรือต้องการให้นางไปกันแน่ เพราะดูเหมือนสายตาของเขาจะอยู่ที่หญิงงามอวี้หมี่ “แม่นางจางไม่สบายรึ” โม่โฉวถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ตามหมอดีหรือไม่”“หม่อมฉันอยากพักผ่อน ต้องขอโทษที่ทำให้ทุกท่านหมดสนุกเพคะ”“แม่นางจางอย่าได้กล่าวเช่นนั้น” โม่โฉวโบกมือไปมา “เจ้าเองยังไม่หายดี เป็นข้าที่เอาแต่ใจฝืนใจให้เจ้ามาชิมชาชมบุบผาเช่นนี้”“กระหม่อมขอพาฟางซินกลับก่อน โอกาสหน้
“ก็...ก็ใช่นะสิ เป็นของนายของข้ามอบให้มา” นางพยายามดิ้นรนแต่กลับถูกท่อนแขนรัดเอวนางแน่นขึ้นจนเผลอร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา“นายเจ้าเป็นเศรษฐีที่ถูกหายตัวไปเมื่อสองเดือนก่อนรึ จุ๊ๆ เจ้าอย่ามาโกหกเลย บอกมาเถอะว่ารถม้าคันนั้นอยู่ที่ใด สมบัติในรถคันนั้นต้องมีมากกว่าที่เจ้าขนลงไปแน่”ฟางซินแตกตื่นจนพูดไม่ออก ยังไม่ทันคิดหาวิธีเอาตัวรอด ร่างของนางถูกเหวี่ยงลงพื้น หญิงสาวทั้งเจ็บและจุก พยายามดิ้นรนแต่ชายคนหนึ่งกลับคร่อมร่างนางไว้และอีกสองคนยึดแขนคนละข้าง เหตุการณ์กลับมาซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง นางนึกถึงเพียงใบหน้าของปีศาจภูเขา แต่นี่อยู่นอกเขตอาคม เขาไม่อาจออกมาช่วยนางได้ไม่! เขาจะออกมานอกเขตอาคมไม่ได้! เขาอาจจะตาย! และถ้ามีคนรู้ว่าปีศาจภูเขามีอยู่จริง จะต้องถูกชาวบ้านเชิญนักพรตมาสังหารเป็นแน่! นางยอมให้เขาเป็นอะไรไม่ได้เด็ดขาด!“โอ๊ย!”แมวป่าตัวหนึ่งพุ่งเข้าใส่คนที่คร่อมร่างหญิงสาวอยู่ กรงเล็บของมันทำให้ใบหน้าของคนผู้นั้นเป็นรอยแผล และเพราะความเจ็บปวดที่ทำให้รับทำให้ชายคนนั้นจับแมวป่าตัวนั้นออกจากร่างของตนแล้วทุ่มลงบนพื้นกระแทกถูกก้อนหิน แมวป่าส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีอ่อนแรง
ทว่านางกลับมีหมาป่าสองสามตัวติดตามลงมาส่ง นางเดาว่าปีศาจภูเขาคงขู่บังคับให้ทำเช่นนี้ คิดได้ดังนั้นหัวใจนางก็ยิ่งเต้นรัว นางไม่อยากจากเขาไปไหนเลย เพียงแต่ว่าครั้งนี้ได้มาลาบิดามารดาก่อนจะไปอยู่กับเขาชั่วชีวิต แต่เขาเป็นปีศาจ หากผู้อื่นรู้เขาเกรงว่าครอบครัวของนางจะลำบาก ระหว่างเดินทาง นางจึงครุ่นคิดหาแผนการเพื่อให้ได้ออกจากบ้านอย่างไร้กังวลหญิงสาวลอบเข้าบ้านหลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครอื่นผ่านมาเห็น เสียงไอโขลกๆ ของมารดาทำให้ฟางซินแทบทิ้งทุกสิ่งที่หอบมาเพื่อเข้าไปในเรือน บานประตูที่ถูกผลักออกโดยง่ายนั้น ทำให้มารดาที่นั่งปักผ้าอยู่เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นใบหน้าบุตรสาวคนเดียวที่หายไปร่วมเดือนก็ดีใจจนหลั่งน้ำตา“แม่คิดว่าเจ้า...เจ้า...”“ข้าไม่เป็นอะไรท่านแม่” นางวางข้าวของที่หอบลงมาจากเขา เปิดห่อผ้าหยิบโสมคนออกมาให้มารดา “นี่โสมคนชั้นเยี่ยม ข้าจะนำมาไปให้ท่านหมอปรุงยาให้ท่านแม่”“เจ้าไปเอาของพวกนี้มาจากไหน แล้วนี่...เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา ผู้อื่นลือกันว่าเจ้าตกเขาตายไปแล้ว”“เอ่อ...มีคนใจดีช่วยชีวิตข้าไว้” นางไม่อยากให้มารดารู้เรื่องที่เกือบถูกขืนใจ นางเองก็ไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้นอีก “ข้า...ข้าข
ฟางซินทั้งเขินอายและเสียวซ่าน นางผงกศีรษะขึ้นมอง เห็นเพียงศีรษะของเขาอยู่ตรงกลางหว่างขา นางอับอายเหลือเกินจึงพยายามดันศีรษะของเขาออก ทว่ารสสัมผัสที่เขามอบให้แสนเย้ายวนจนได้แต่ขยุ้มเส้นผมนุ่มสลวยที่นางบรรจงสางให้เขาอย่างดี เขาช้อนสะโพกนางให้ลอยขึ้น ถอนนิ้วเรียวออกแล้วห่อลิ้นแทรกเข้าไปแทนที่ น้ำหวานที่หลั่งออกมาทำให้ยิ่งฮึกเหิม เสียงครางกระเส่าของนางเสมือนรางวัลที่เขาตักตวงจากกายสาว สะโพกของนางลอยขึ้นจากพื้นโยกไหวตามอารมณ์รัญจวนที่เกิดขึ้น นางหลั่งน้ำหวานออกมามากล้นแต่ยังไม่เพียงพอสำหรับเขา เขาถอนลิ้นออกแล้วเปลี่ยนเป็นนิ้วเรียวสองนิ้วเข้าไป“อ๊า!” ฟางซินหลุดเสียงหวีดร้องออก สะบัดใบหน้าไปมา“เจ้า...ต้องพร้อมมากกว่านี้” เขาพูดเสียงแหบพร่า นิ้วร้ายยังคงเคลื่อนไหวเข้าออกนำพาน้ำหวานวาวใสให้หลั่งออกมาก ร่างกายของเขาแทบปริแตกด้วยความต้อง เขาจ้องมองร่างขาวเนียนบิดไปมาด้วยความรัญจวนจนกระทั่งร่างนางเกร็งและช่องทางที่แสนคับแคบบับรัดรุนแรงด้วยไปถึงจุดสุขสมฟางซินหวีดร้องอย่างไม่รู้ตัว ร่างกายร้อนผ่าวและหลอมละลายด้วยน้ำมือของเขา เขาถอนนิ้วออกช้าๆ นางหอบหายใจแรงมองเห็นเขาส่งนิ้วที่เปื้อนเปรอะน้ำ
“เปล่า” เขาส่ายหน้าไปมา “เป็นข้าที่ต้องดูแลเจ้า เจ้าถอดเสื้อผ้าสิ เร็วเข้า” “ไม่ เอ่อ...” เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีเจตนาดีไม่คิดรังแกนาง นางจึงยอมทำตามที่เขาสั่ง แต่การจะเปลือยกายต่อหน้าผู้อื่นนั้น นางไม่อาจทำได้ “เอาอย่างนี้ ท่านขึ้นจากน้ำไปก่อน ข้าจะถอดเสื้อผ้าในน้ำนี้” “อย่างนั้นรึ” เขาถามและนางก็พยักหน้ายืนยันแทนคำตอบ เขาจึงยอมเป็นฝ่ายขึ้นจากน้ำไปก่อน ฟางซินถอนหายใจโล่งอก ปีศาจตนนี้เอาใจไม่ยากนัก นิสัยคล้ายเด็กมากกว่า แต่นางก็ไม่เคยรู้จักปีศาจตนใดมาก่อนจึงไม่รู้ว่าปีศาจตนอื่นเป็นเช่นนี้หรือไม่ ฟางซินเห็นเขาหันหลังให้เหมือนยามที่นั่งหน้ากองไฟทุกค่ำคืน นางจึงถอดเสื้อผ้าที่เปียกน้ำนี่ออก ให้ร่างกายเปลือยเปล่าได้สัมผัสความอุ่นร้อนพอดีของสายน้ำ นางหลับตาอย่างผ่อนคลาย มันสบายอย่างนี้เองหรือ นางเผลอคลางออกมาอย่างไม่รู้ตัวแต่ประสาทการรับรู้ของปีศาจภูเขานั้นยอดเยี่ยม เขาหันขวับมามองด้วยความเป็นห่วง ทว่าภาพที่เห็นคือสาวงามเปลือกกายในสระน้ำ หัวใจของเขาเต้นรัวราวกับจะทะลุออกมาจากทรวงอก ดอกบัวคู่งามปริ่มน้ำชวนหลงใหล ผิวกายของนางแม้มีรอยบอบช้ำทว่ากลับน่ายื่นม
ขึ้นเขาครั้งนี้เพราะหวังว่าจะหาโสมหรือสมุนไพรหายาก แต่ไม่คิดว่าจะเจอพวกคนในหมู่บ้านมาทำร้ายนางได้ นางหายออกจากบ้านมากี่วันแล้วนะ มีใครออกตามหานางบ้างไหม? มีคนเป็นห่วงนางหรือเปล่า? หรือคิดเพียงแค่ว่านางอาจหนีเอาตัวรอดทิ้งความยากจนไว้เบื้องหลัง เขารู้ว่าอาหารที่ตนทำไม่อร่อย แต่เห็นนางกินจนเกลี้ยงชามก็อดปิติยินดีไม่ได้ “ข้า...ข้ามาอยู่ที่นี่กี่วันแล้ว” “เจ็ดวัน” ปีศาจตอบ “ฝนตกติดต่อกัน หนักบ้างเบาบ้าง” “อย่างนั้นหรือ?” นางถามเหมือนรำพึงไม่ต้องการคำตอบ แต่ถ้าได้อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ คงดีไม่น้อย ไม่ต้องกลับไปเผชิญเรื่องเลวร้ายใดอีก เห็นท่าทางนิ่งงันของนางแล้ว ปีศาจภูเขารู้สึกใจคอไม่ดีนัก เขายื่นมือไปแตะแขนนางเบาๆ ทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาเขา มุมปากค่อยๆ คลี่ยิ้มอ่อนหวานทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอีกครั้ง “ข้า...ข้าอยากอาบน้ำ” “อาบน้ำ?” เขาทำหน้างุนงงไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ “ได้ๆ ตอนนี้ไม่มีฝนแล้ว ข้าจะพาไปที่สระน้ำกลางป่า มีน้ำพุร้อน ที่นั้นจะช่วยรักษาบาดแผลให้เจ้าได้” “น้ำพุ
พายุฝนกระหน่ำทำเอาหญิงสาวต้องขดตัวกลมเพื่อปกป้องความเหน็บหนาวที่ถาโถมเข้าใส่ เสื้อผ้าบนร่างนั้นทั้งเก่าและขาดวิ่นแทบปกปิดเนินอกสล้างนั้นไม่ได้เลย หญิงสาวได้สติเมื่อผ้าผืนชุบน้ำผืนหนึ่งบรรจงเช็ดใบหน้าให้อย่างระวังว่ากรงเล็บจะถูกผิวกายของนาง หญิงสาวได้สติเพราะลมเย็นพัดผ่านผิวกาย มือเล็กยกขึ้นปกปิดทรวงอกไว้ เงาดำนั้นผงะเล็กน้อยแล้วถอยห่าง ฟางซินรู้สึกได้ว่าเงาดำนั้นก้าวออกไปจากบริเวณนั้นแล้ว นางจึงลุกขึ้นนั่ง ก้มมองสภาพตัวเองที่เสื้อผ้าแทบจะปกปิดอะไรไม่ได้เลย นางหยิบผ้าที่ที่วางในอ่างเล็กๆ นั้น ชุบน้ำแล้วเช็ดที่ใบหน้าและแขน แสงไฟจากกองไฟทำให้เห็นว่านางนั่งอยู่บนพรมหนังสัตว์ในถ้ำแห่งหนึ่ง ด้านนอกคงมีพายุฝนโหมกระหน่ำ นางอยู่ด้านในได้ยินเพียงเสียงฟ้าร้องคำรามและไอเย็นแผ่กระจายเข้ามา นางไม่กล้ามองเท้าขวาของตนเองเลย เจ็บจนน้ำตาร่วง และยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น นางก็ยิ่งขวัญเสีย “จะ...เจ็บ...เจ็บมากรึ” ฟางซินได้ยินเสียงแหบแห้งจากด้านหลัง ร่างใหญ่โตนั้นแทบบดบังแสงสว่างจากกองไฟหมดสิ้น นางอ้าปากแต่พูดไม่ออก มีเพียงเสียงสะอึกสะอื้นหลุดจากริมฝ
เมื่อแน่ใจว่ามันตายแล้วจริงๆ ใบหน้าของเด็กน้อยพลันปรากฏรอยยิ้มกว้าง ร่างเล็กหันซ้ายหันขวาเหมือนหาอะไรสักอย่างทำให้ปีศาจภูเขาที่อยู่บนกิ่งไม้ประหลาดใจ พลันเด็กหน้าแหงนหน้าขึ้น สายตาของทั้งสองประสานกัน ไม่เคยมีผู้ใดกล้าสบตากับเขา แม้แต่จะมองยังไม่กล้า แค่ได้ยินเสียงก็พากันหวาดกลัว แต่เด็กน้อยผู้นั้นกลับเบิกตากว้าง มุมปากก็ยิ่งฉีกเป็นรอยยิ้มทำให้ดวงตาคู่นั้นหยีเล็กลง มือเล็กๆ โบกมือไปมาเหมือนกลัวว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็น ปีศาจภูเขาผงะไป “ขอบคุณท่านปีศาจภูเขา!” เจ้าเด็กน้อยคุกเข่าโขกศีรษะสองสามทีแล้วรีบหมุนตัวไปที่หมูป่าตัวนั้น เด็กน้อยพยายามหาวิธีแบกร่างหมูป่า สุดท้ายเด็กน้อยใช้วีธีให้หมูป่าสิ้นใจตัวนั้นขี่หลัง สองมือประสานรองใต้ก้นหมูป่า สองขาหน้าของมันยื่นพาดบ่าของเด็กน้อย แม้จะทุลักทุเลไปบ้างแต่เจ้าเด็กนั้นก็แบกหมูป่าลงจากเขาได้สำเร็จ ปีศาจภูเขาอ้าปากค้าง มองเจ้าเด็กนั้นแบกอาหารของเขาไปจนสุดสายตา แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าคือเป็นครั้งแรกที่มีมนุษย์กล้าสบตาของเขาและยัง ‘ขอบคุณ’ เขาอีกด้วย นับตั้งแต่วันนั้น ปีศาจภูเขามักมาที่สุดเขตเส้นอาคม เจ้
“หนึ่ง ... คำนับฟ้าดินสอง... คำนับพ่อแม่สาม... คำนับกันและกันส่งตัวเข้าห้องหอ” เพียงหญิงสาวเงยตัวขึ้นจากการคำนับกันและกัน ร่างของนางก็โงนเงนเกือบล้มลง หลัวหลิวหยางที่ระวังตัวทุกขณะยื่นมือไปประคองร่างหญิงคนรักไว้ได้ทัน “ซินเอ๋อร์!” หลัวหลิวหยางตวัดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น หัวใจของเขาคล้ายถูกบีบรัดเมื่อเห็นใบหน้าของจางฟางซินซีดเซียวแทบไร้สีเลือด “เจ้า...เป็นอะไรไป ตะ ตาม..ตามหมอ! ตามหมอมาเดี๋ยวนี้” เพราะระแวดระวังเรื่องไม่คาดฝันจะเกิดขึ้น นอกจากเตรียมทหารเฝ้าระวังความปลอดภัยแล้ว ยังเชิญหมอเก่งๆ มาพำนักที่บ้านถึงสามคน เพียงการตะโกนครั้งเดียวก็ทำให้ผู้คนรอบคนตื่นตัว วิ่งหน้าตั้งทำตามหน้าที่ที่ซักซ้อมไว้ก่อนแล้ว “ข้า...” จางฟางซินพยายามสูดลมหายใจลึกๆ และผ่อนออกช้าๆ ฝืนเปิดเปลือกแต่ไม่มีเรี่ยวแรง รับรู้เพียงความโกลาหลรอบข้างและร่างถูกอุ้มมานอนบนเตียงอย่างรวดเร็ว นางรับรู้ถึงน้ำเสียงร้อนรนที่พร่ำเรียกชื่อนาง “ซินเอ๋อร์!” ผ้าชุบน้ำผืนหนึ่งค่อยๆ เช็ดใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา
“ท่าน!” นางดุเขาเสียงสั่น ร่างกายขยับไหวตามการปลุกเร้า เสียงเตียงลั่นเอียดอาดทำให้นางเรียกสติที่เหลือน้อยนิด กัดบ่าเขาไปแรงๆ ทีหนึ่ง “โอ้ว! นี่เจ้าชอบแบบนี้เองหรือ?” “ที่นี่ไม่ได้!” นางร้องขึ้น “เตียงมันลั่นเสียงดังอย่างนี้ ประเดี๋ยวผู้คนทั้งโรงเตี้ยมก็แตกตื่นกันหมดหรอก!” ‘จะกังวลไปไย ทั้งโรงเตี้ยมนี้เขาเหมาไว้หมดแล้ว มีแค่เขากับนางและผู้ติดตามแค่ไม่กี่คนเท่านั้น’ หลัวหลิวหยางไม่ได้เอ่ยสิ่งที่คิดในใจ เขายิ้มเจ้าเล่ห์แล้วจับเรียวขางามให้แยกออกเกี่ยวเอวของเขาไว้ “ท่านจะทำอะไร! ไม่เข้าใจหรือว่าข้า! อ๊า!” จางฟางซินร้องเสียงหลงเมื่อสามีที่ยังไม่เข้าพิธีวิวาห์ของนางอุ้มนางทั้งที่สองขาของนางเกี่ยวเอวของเขาไว้ พละกำลังของเขามากล้น เขาอุ้มนางพร้อมสอดประสานแท่งหยกร้อนระอุเข้ามาในกายนาง ชายหนุ่มคำรามในลำคอ แก่นกายแห่งบุรุษเพศถูกช่องทางรักอ่อนนุ่มโอบรัดจนเขาต้องครางเสียงต่ำบรรเทาความเสียวซ่านที่เกิดขึ้น “ท่าน! ลึกเกินไปแล้วนะ!” นางกอดคอเขา สองขาเกี่ยวเอวเขาไว้แน่นเพราะกลัวตก แต่กระนั้นต้องยอมรับว่าช่