“ข้ารู้แค่ว่านี่เป็นป้ายประจำตัวองค์รัชทายาท” เขากอดอกยืนฟังนาง พยายามสนใจเพียงดวงตากลมโตสีนิล ไม่มองผิวกายเนียนละเอียดที่เต็มไปด้วยรอยบอบช้ำ
ตลอดการเดินทาง นางครุ่นคิดอยู่หลายตลบว่าจะเริ่มเรื่องอย่างไรให้เขาเชื่อใจนาง จะแสดงตัวเช่นไรไม่ให้ถูกจับได้ว่าเป็นหญิง แต่เมื่อฐานะถูกเปิดเผยแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะต้องปิดบังอันใดอีก นางสูดลมหายใจแล้วเอ่ยออกมา
“ข้าคือจางฟางหรง”
“หือ?” หลัวหลิวหยางเลิกคิ้วประหลาดใจ “จางฟางหรง?”
“จางฟางหรงที่เขียนจดหมายโต้ตอบกับท่าน” นางยังคงสงบใจกล่าวต่อ
“ข้าเคยพบจางฟางหรง เขาเป็นบุตรบุญธรรมของอาจารย์ข้า เขาเป็นบุรุษมิใช่สตรี”
“ถูกต้อง จางฟางหรงที่ท่านแม่ทัพพบคือน้องชายต่างมารดาของข้า ข้าชื่อจางฟางซิน ข้าและจางฟางหรงเป็นบุตรบุญธรรมของอาจารย์ หยางอี้เสียง” นางแนะนำตัวเอง และเมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดจะพูดขัด นางจึงพูดต่อ “คนที่เขียนจดหมายถึงท่านคือข้า ข้าใช้ชื่อของน้องชายเพื่อคุยกับท่าน”
แววตาของหลัวหลิวหยางประหลาดใจเล็กน้อย เดิมทีเขาสงสัยมาตลอด บุรุษอย่างจางฟางหรงดูเหมือนคนที่ไม่สนใจตำราพิชัยยุทธ์ ไม่ชอบการทหาร แต่กลับแลกเปลี่ยนความคิดกับเขาและเสนอแนวทางให้เขาหลายต่อหลายครั้ง
“ที่ข้าต้องมาด้วยตนเองเช่นนี้เพราะ คนที่องค์รัชทายาทส่งจดหมายให้ท่านถูกกำจัดไปหมด องค์รัชทายาทต้องการให้จางฟางหรงมาอยู่ข้างกายท่าน เผื่อว่าจะได้ช่วยติดสินใจแก้ไขปัญหาที่เกิด พร้อมทั้งมอบหมายอำนาจตัดสินใจทางการทหารให้ท่านจัดการได้หากมีความจำเป็น”
หลัวหลิวหยางทำเพียงพยักหน้ารับรู้ เขาคิดสงสัยอยู่นาน สองเดือนมานี้ไม่มีข่าวสารจากเมืองหลวง ที่แท้เกิดเรื่องขึ้นจริง
“เดิมทีข้าควรแสดงตัวต่อท่านในฐานะบุรุษ แต่เกิดเรื่องเสียก่อน หวังว่าท่านจะไม่ขับไล่ข้ากลับไปเพราะเห็นว่าข้าเป็นสตรี”
“ต่อให้ข้าอยากให้เจ้าไป เจ้าก็คงไปไหนไม่ได้” เขาหลุบตามองข้อเท้าของนางที่ถูกพันผ้าไว้อย่างแน่นหนา “อย่างน้อยก็หนึ่งเดือน”
จางฟางซินนึกอนาถใจ นางไม่มีสิ่งใดดึงดูดใจเขาได้เลย นี่นางควรขอบคุณโจรเหล่านั้นที่ทำให้นางบาดเจ็บจนไปไหนไม่ได้สินะ
“ตอนนี้ผู้อื่นรู้แล้วเจ้าเป็นสตรี ก็อยู่ในฐานะสตรีเถิด ข้าเรียกเจ้าจางฟางซินได้ใช่ไหม”
“อืม” นางพยักหน้ารับ แล้วนึกได้ว่าตนเองพูดจาไม่สุภาพนักจึงเอ่ยขึ้นใหม่ “เจ้าค่ะ”
“เพื่อไม่ให้ผู้อื่นสงสัยฐานะของเจ้า ข้าคิดว่า...”
“ท่านแม่ทัพสามารถบอกผู้อื่นได้ว่า ข้าเป็นคนที่มารดาของท่านส่งมาปรนนิบัติรับใช้ท่าน ข้ากับท่านจำเป็นต้องใกล้ชิดกัน เราไม่อาจรู้ได้ว่ามีใครทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้ หากผู้อื่นรู้ว่าข้าเป็นคนขององค์รัชทายาท เกรงว่าทั้งข้าและท่านจะไม่ปลอดภัย”
มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แม้จะเล็กน้อยก็เห็นชัดว่าเป็นรอยยิ้ม จางฟางซินรู้สึกตาพร่าไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าเขาจะยอมฟังแผนการไร้สาระของนางด้วยท่าทางใจเย็นเช่นนี้
“ดี ตกลงตามนั้น”
“อื้ม เอ่อ เจ้าค่ะ”
“เจ้าคงอยู่ในฐานะบุรุษมานาน เห็นทีต้องฝึกเป็นสตรีหน่อยกระมัง” เขากระตุกยิ้มที่มุมปาก เมื่อนางเป็นฝ่ายเสนอความคิดเอง เขาก็ไม่ใส่ใจว่านางจะเสียชื่อเสียงหรือไม่ อย่างไรเขาก็ไม่มีอะไรให้เสีย และที่สำคัญคือการเคลื่อนไหวของต่างแคว้นที่สอดคล้องกับฝ่ายที่หวังโค่นล้มอำนาจขององค์รัชทายาท
“เจ้าพักผ่อนเถิด ข้าจะให้คนมาดูแล”
“ขอบคุณ” นางถอนหายใจเบาๆ “เอ่อ...”
“ว่ามา”
“ข้าอยากอาบน้ำ..”
หลัวหลิวหยางเลิกคิ้ว “สระผมด้วยไหม?”
“ถ้าได้เช่นนั้นข้าจะขอบคุณยิ่ง”
“ข้าจะสั่งเด็กๆ ดูแลเจ้า”
“ขอบคุณ”
“อืม”
นางไม่คิดว่านั้นเป็นคำถามประชด เขาเป็นทหาร ใช้ชีวิตในสนามรบมากกว่าบ้านเกิดอันอบอุ่น การพูดของเขาจึงเด็ดขาดเหมือนเป็นคำสั่งเสมอ ร่างสูงใหญ่ที่นางเคยแอบมองอยู่หลายครั้งเดินออกไปแล้ว นางผ่อนลมหายใจยาว หวังใจว่าเรื่องราวต่อจากนี้จะไม่มีอุปสรรคใดอีก
นางได้แต่ภาวนาในใจ
เรือนหลังนี้ช่างเงียบสงบ มีแสงอ่อนๆ ลอดผ่าน กระทบเครื่องเรือนงดงามและประณีต มันสวยมากแต่ดูแปลกและน่าอึดอัด
จางฟางซินใช้ความพยายามทั้งหมดยันกายลุกขึ้นนั่งและมองรอบๆ ผ่านมาสามวันความเจ็บปวดรวดร้าวทุเลาลง แต่จุดที่เจ็บปวดที่สุดคือข้อเท้าของนาง ท่านหมอทหารยืนยันหนักแน่นว่านางสามารถกลับมาเดินได้อย่างปกติอย่างแน่นอน แต่บางครั้งนางยังมึนงงราวกับยังไม่ตื่นจากความฝัน จนกระทั้งมือหยาบกร้านวางบนไหล่ของนางเป็นการยืนยันว่านางมิได้ฝันไป
“ยังฝันร้ายอยู่อีกหรือ?”
“ฝันร้าย?”
นางเอ่ยทวนคำที่ได้ยิน เหตุการณ์นั้นไม่ใช่ความฝัน มันเป็นเรื่องจริงที่กลายเป็นฝันร้ายของนาง เหเหมือนเมื่อตอนเป็นเด็กที่นางเคยตกหลังม้า ทำให้นางไม่กล้าขี่ม้าอีก จางฟางหรงมักหัวเราะเยาะนางเรื่องนี้เสมอ แต่เขาก็ดึงมือนางให้นั่งม้าตัวเดียวกัน จางฟางหรงไม่ค่อยแสดงท่าทางห่วงใยนาง ไม่มีคำพูดดีๆ ให้กำลังใจ แต่นางรู้ว่าจางฟางหรงเป็นห่วงนาง นางเป็นญาติคนเดียวที่เหลืออยู่เช่นเดียวกับนางที่มีเขาเป็นญาติคนเดียวเช่นกัน คิดถึงตอนนี้นางเผลอหัวเราะเบาๆ ออกมา
เสียงหัวเราะแม้แผ่วเบานั้นทำให้หลัวหลิวหยางเลิกคิ้ว มือของเขายังวางบนไหล่ของนาง ร่างกายนางบอบบางถึงเพียงนี้ หากเขาเผลอออกแรงมากไปสักหน่อยคงหักกระดูกนางได้เป็นแน่ เจ้าของร่างอรชรอ้อนแอ้นผู้นี้กลับเดินทางมาเพียงลำพังเพื่อพบเขา และบอกว่าจะอยู่เคียงข้างเขา
เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดเหลือเกิน
จางฟางซินได้สติ นึกขึ้นได้ว่าหลัวหลิวหยางเข้ามาดูอาการของนาง นางจึงเอ่ยขึ้น
“ตอนเด็กๆ ข้าเคยตกหลังม้า นับจากนั้นข้าไม่กล้าขี่ม้าเพียงคนเดียวอีกเลย มันเป็นม้าที่สูงกว่าข้าไม่เท่าไหร่ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดวันนั้นมันเกิดพยศทำให้ข้าตกลงมา แม้จะบาดเจ็บไม่มากนัก แต่ความรู้สึกที่อยู่บนหลังม้าที่พยศนั้นข้าจำได้อย่างดี ความทรงจำนั้นกลายเป็นฝันร้ายของข้า มาบัดนี้เห็นทีว่าการอยู่ในรถม้าที่ตีลังกาหลายตลบจะเป็นฝันร้ายแทนทีการตกม้าครั้งนั้นของข้าแล้ว”
“เจ้าจำอะไรได้ไหม” เขาถาม
“ข้าจำท่านได้” นางตอบด้วยรอยยิ้ม แม้นางจะแอบมองเขาจากที่ไกลๆ แต่นางยังจำดวงตาคมเข้มดุดัน โหนกแก้มสูง จมูกดุจเหยี่ยวทรงอำนาจที่ปรากฏชัดเจนในความฝันของนางได้ ถ้าการตกม้าคือฝันร้ายของนาง เขาก็คือฝันดีของนางเช่นกัน
“ท่านแม่ทัพ” หญิงสาวรำพึง “ท่านช่วยชีวิตข้า”
“ข้าแค่บังเอิญอยู่ที่นั้น”
จางฟางซินคิดพลางหลับตาลงช้าๆ เขาพูดถูกต้องทุกอย่าง เขาแค่บังเอิญผ่านมาในยามที่นางเดือดร้อน หากไม่ใช่เพราะนางคือ ‘จางฟางหรง’ เขาคงไม่เสียเวลามาใส่ใจนางถึงเพียงนี้ คิดได้ดังนั้นก็สูดลมหายใจลึก ยืดแผ่นหลังตั้งตรงแล้วสบตากับเขา
“ข้าดีขึ้นแล้ว เรามามาคุยเรื่องงานกันเถิด”
“งาน?”
“ใช่” นางพยักหน้ารับ “หรือท่านยังไม่เชื่อว่าข้าคือจางฟางหรงจริงๆ”
หลัวหลิวหยางปล่อยมือจากไหล่นาง ถอยหลังมาเล็กน้อยกวาดตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียง รอยฟอกช้ำยังเห็นอยู่เด่นชัด แต่สีหน้าของนางดีขึ้นมากแล้วจริงๆ
“ข้าเชื่อเจ้า”
“ท่านเชื่อข้าง่ายถึงเพียงนี้” นางขมวดคิ้ว ที่ผ่านมานางกังวลมาตลอดว่าเขาจะไม่ยอมรับนาง เช่นนั้นการเดินทางของนางจะสูญเปล่า
“ข้าเคยพบจางฟางหรง” เขาพูด “ท่าทางเขาไม่เหมือนคนที่จะชอบอ่านตำราพิชัยยุทธ แต่ข้าเชื่อความคิดอ่านในจดหมายของเขามาก”
“อย่างนั้นหรือ?” นางเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ข้ากังวลใจมาตลอดว่าจะอธิบายท่านอย่างไร”
“ข้าเป็นคนมีเหตุผล”
“เช่นนั้น...” นางอ้าปากแต่ยังพูดได้เพียงสองคำ เขาก็ยกมือขึ้นห้ามไว้ก่อน ครู่หนึ่งแม่นมเหมยกุ้ยเข้ามาพร้อมหญิงรับใช้ที่นำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้จางฟางซินผลัดเปลี่ยน แม่นมเหมยกุ้ยพยักหน้าให้บ่าวรับใช้ออกไปก่อน เมื่อเหลือเพียงสามคนนางจึงเอ่ยขึ้น“แม่นางได้สติดีแล้ว ข้าจึงจัดเตรียมเสื้อผ้ามาให้” “ขอบคุณแม่นมเหมยกุ้ยมากเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หลายวันมานี้ท่านลำบากเพราะข้าแท้ๆ ข้าวของเครื่องใช้ของข้าอยู่ในรถม้า”“ในรถม้ามีของสำคัญใดหรือไม่ ข้าส่งคนออกไปดูไม่พบสิ่งใด พวกโจรคงขโมยไปหมดแล้ว”จางฟางซินส่ายหน้าไปมา “นอกจากเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวแล้วไม่มีสิ่งอื่นเจ้าค่ะ โจรกลุ่มนั้นคงปล้นเสียเทียวแล้ว”‘ตัวข้าสำคัญที่สุดแล้ว’ นางไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไป เกรงว่าเขาจะเห็นว่านางเป็นคนชอบเยินยอตัวเอง ยังไม่ทันพูดอะไรต่อเด็กรับใช้ประคองถ้วยยาเข้ามา หญิงสาวยิ้มค้าง ดวงตาจ้องมองหลัวหลิวหยางเป็นเชิงถาม นี่นางต้องดื่มยาอีกแล้วหรือ? ปกตินางเป็นคนแข็งแรงจนน้องชายหยอกล้อว่านางแข็งแรงเหมือนวัว ร้อยวันพันปีจะเจ็บป่วยสักครั้ง หากไม่นับข้อเท้าของนางที่เจ็บหนัก นางคิดว่าตัวเองแข็งแรงดีแล้วจริงๆ หลัวหลิวห
“ขอโทษด้วย” จางฟางซินพูดอย่างนึกขึ้นได้ “ท่านแม่ทัพกรุณากับข้ายิ่ง”“เจ้าต้องกินอะไรบ้าง เพื่อจะได้มีแรง” เขาหยิบตะเกียบคีบเนื้อปลากะพงนึ่งให้นาง“ข้าทำเองได้” นางเตือนเขา “มือของข้ายังใช้การได้ดีอยู่”“แขนซ้ายเจ้ายังเจ็บอยู่” ดูท่านางก็ดื้อดึงไม่แพ้เขาเช่นกัน “เอาไว้เจ้าหายดีแล้วค่อยปรนนิบัติข้าคืนก็แล้วกัน”“ข้าจะจำใส่ใจไว้” นางพูดพลางกินมื้อเที่ยงของตัวเอง หลายวันนี้กินแต่โจ๊ก พอมีอาหารเลิศรสเข้าปาก ใบหน้าของนางพลันแช่มชื้นขึ้น“อร่อยไหม” หลัวหลิวหยางถามเพราะสีหน้าของนางช่างดูมีความสุขเสียเหลือเกิน “ข้าจำได้ว่าท่านเคยปรึกษาเรื่องเพาะปลูกข้าวในพื้นที่ที่เป็นภูเขาเสียส่วนใหญ่ ข้าวในถ้วยนี้มาจากแปลงนาเชิงเขาใช่หรือไม่” เขายิ้มแทนคำตอบ เขาเคยเขียนจดหมายถึง ‘จางฟางหรง’ ปรึกษาเรื่องเหล่านี้จริง และจางฟางหรงช่วยค้นหาวิธีเพาะปลูกและกักเก็บน้ำ ทำให้สองปีมานี้ แผ่นดินที่เคยแห้งแล้งทางทิศตะวันออกเปลี่ยนเป็นเขียวขจีด้วยทุ่งข้าวและพืชพรรณมากมาย “ดีจริง วันนี้ได้กินข้าวที่ท่านปลูกแล้ว”“ข้าสั่งผู้อื่นปลูกต่างหาก” เขาพูดพลางคีบเห็ดผัดน้ำมันหอยให้นาง “เห็ดนี่ได้มาจากภูเขา เก็บมาเมื่อเช้า
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาเคยเขียนจดหมายไร้สาระเล่าให้จางฟางหรงฟังว่าจับแมวป่าได้ แมวป่ามีมูลค่า หนังของมันเป็นที่ต้องการ แต่เปาเป่าตัวเล็กนัก แม่ของมันรวมทั้งพี่น้องมันอยู่ที่ใด ตอนนั้นเขาไม่คิดว่าจะเลี้ยงมัน แต่ไม่รู้นึกอย่างไรหิ้วแมวป่ากลับมาโยนให้แม่นมช่วยดูแล มันเป็นแมวป่าแต่ถูกคนเอาใจใส่ดูแล ความดุร้ายจึงลดลง เป็นจังหวะเดียวกับที่ ‘จางฟางหรง’ ตอบจดหมายและขอความเมตตาจากเขาให้เลี้ยงมัน พร้อมทั้งแนะนำให้เขาหานมแพะมาป้อนมันอีกด้วย เขาไม่เคยตอบ ‘จางฟางหรง’ ว่าเขาตัดสินใจเลี้ยงมันไว้ จนเวลานี้ ‘จางฟางซิน’ ได้มาพบกับมันด้วยตนเองจางฟางซินพยักหน้า แล้วก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อหลัวหลิวหยางหิ้วหนังคอเจ้าแมวป่าออกจากอกของนาง ยื่นแมวยักษ์ไปทางหูซานให้อุ้มแมวไว้ แล้วเขาก็อุ้มนางขึ้นจากพื้น“ท่าน!”“เจ้าอยู่นิ่งๆ ในห้องไม่ได้สินะ” เขาหัวเราะในลำคออุ้มนางมานั่งที่เก้าอี้กลมที่ศาลาหกเหลี่ยม “อุดอู้อยู่ในห้องมาสี่ห้าวันแล้ว ข้าอยากออกมารับแสงแดดบ้าง” นางอาศัยจังหวะที่เขาอยู่ใกล้นาง กระซิบบอกเขา “ข้าอยากเห็นพื้นที่ ภูมิประเทศและผู้คน ข้ามาถึงหลายวันแล้ว ให้ข้าช่วยงานท่านบ้างเถิด”เพื่อไม่ให้ผู้อื่น
มีคู่ศัตรูคู่แข่งอยู่รอบด้าน เราต้องกำหนดกลยุทธ์ วางแผน โจมตี ตั้งรับ เพื่อชิงความได้เปรียบกับฝ่ายตรงข้าม ไม่เช่นนั้นเราก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ศาสตร์ทุกแขนงควรทำการศึกษาและนำมาประยุกต์ปรับใช้กับการทำงานเพื่อให้ผลสำเร็จเกิดขึ้นตามมา เจ้าชื่นชอบการอ่านตำราแต่อ่อนด้อยประสบการณ์ ยังไม่เข้าใจท่องแท้หรอกกระมัง”ในน้ำเสียงนั้นคล้ายดูแคลนอยู่หลายส่วน แต่จางฟางซินกลับพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย นางยื่นมือไปรับน้ำชาอย่างระวังไม่ให้หกใส่ตำราพิชัยยุทธที่เขาให้นางหยิบยืมมาอ่าน “ข้าก็เคยคิดอยู่ว่า กลยุทธการศึกเหล่านี้ หากศึกษาให้เข้าใจถึงแก่นแท้ เราย่อมสามารถปรับเปลี่ยนมาใช้ในชีวิตประจำวันได้”“เช่น?”“การค้าอย่างไรเล่า” นางยื่นหน้าไปหาเขา “หากเราจะทำการค้าก็ต้องเรียนรู้ว่าคู่แข่งเป็นใคร จุดเด่น จุดอ่อนคืออะไร ทำเลที่ตั้งของร้านก็เหมือนชัยภูมิในการทำศึก ท่านว่าข้าพูดถูกหรือไม่เล่า” หลัวหลิวหยางหัวเราะในลำคอแล้วพยักหน้ารับ “เรื่องนี้ข้าเห็นด้วย”“ลักษณะชัยภูมิสำหรับทำศึกมีส่วนสำคัญไม่น้อยไปกว่าการจัดกระบวนทัพ ความได้เปรียบเสียเปรียบขึ้นอยู่กับการสภาพภูมิประเทศ เปรียบได้กับการกำหนดพื้นที่ตั้งร้านค้า
“ท่านเคยสงสัยในตัวจวิ้นอ๋องหรือไม่” นางถามรู้สึกสบายจนเผลอเอนตัวไปพิงไหล่ของเขา “ตามจริงแล้ว เรื่องในวังหลวงข้าก็ไม่ล่วงรู้ลึกตื้นหนาบางของผู้อื่นนัก”“แต่เจ้าเชื่อใจองค์รัชทายาท ยอมเดินทางเสี่ยงภัยมาหาข้า”“เพราะท่านมีภัย ข้าจึงรีบมา”“เจ้าไม่ได้รู้จักข้าด้วยซ้ำ” “ท่านกล่าวผิดแล้ว ท่านไม่รู้จักข้าแต่ข้ารู้จักท่าน” นางหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย “ท่านน่าจะให้ข้าพาเปาเป่ามาด้วย” “คนขาเจ็บกับแมวขาพิการ”“ท่านแม่ทัพดูถูกข้าหรือ?” “ข้าพูดความจริงต่างหาก” เขาหัวเราะในลำคอ แต่เมื่อมองเลยไปยังป่าทึบดวงตาของเขามีพลันฉายแววแข็งกร้าวขึ้นมา “มีเรื่องใดหรือ?” นางถามเพราะรู้สึกว่าร่างกายที่นางพิงอยู่มีอาการตื่นตัว“ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวล” เขาพูดเก็บสายตากลับมา นางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมเข้ม ดวงตาของเขาคมปลาบต่อให้ไม่ต้องลงมือแค่ใช้สายตาจ้องมองก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้ แต่นางกลับรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดในสายตาคู่นั้นจนไม่อาจถอนสายตาได้เลย ทว่าอาการนิ่งงันไปของจางฟางซินทำให้หลัวหลิวหยางเข้าใจผิด เขาเบือนหน้าไปสบถอย่างหงุดหงิด อย่างไรนางก็เป็นหญิง จะไม่ให้หวาดกลัวยามเขาเผลอใช้สายตากดดันผู้อื
เดินหมากกับนางช่างน่าปวดหัว เขาเผลอวางเม็ดหมากไม่ระวัง กว่าจะรู้ตัวก็เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของนางก่อนที่นางจะวางหมากขาวชิงพื้นที่ในกระดานแล้ว แม้ไม่ได้เอ่ยวาจาแต่ก็รู้แล้วว่าหมากกระดานชัยชนะเป็นของผู้ใด‘ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ออมมือ’ นางยังคงระบายยิ้มเกลือนใบหน้า‘อีกกระดานเถิด’‘ไม่ดีกระมัง’ คราวนี้นางหน้ามุ่ย ‘ท่านแม่ทัพมีร่างกายแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า แต่ข้าเป็นเพียงสตรีบอบบางซ้ำขาเจ็บและมีแมวขาเป๋อยู่บนตัก ให้ข้าพักผ่อนเถิดนะ’‘ข้าก็ลืมไปว่าเจ้าเปราะบางเสียนี่กระไร ขนาดอยู่ในรถม้าที่ตีลังกาหลายตลบยังรอดตายได้’นางอ้าปากค้างไม่คิดว่าแม่ทัพใหญ่ที่นางชื่นชมจะกล้าประชดประชันนางเช่นนี้ เขาเห็นนางเถียงไม่ออกก็หัวเราะชอบใจนางควรบอกเขาดีหรือไม่ ขอเพียงเขายิ้มสักเล็กน้อย หัวเราะมากขึ้นอีกนิด เขาจะเป็นบุรุษที่สตรีเฝ้าคะนึงหา อาจเพราะชื่อเสียงดวงกินภรรยาของเขา และความเด็ดขาดในฐานะแม่ทัพพิทักษ์บูรพาทำให้คนหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้“เป็นอะไรไป” หลัวหลิวหยางเอ่ยถามเมื่อเห็นนางมองเขาด้วยสายตาเหม่อลอย“ข้ากำลังชื่นชมท่านอยู่” นางตอบไปอย่างที่คิด นางก็เป็นเช่นนี้พูดจาตรงไปตรงมาไม่ค่อยสำรวมนัก อาจเพราะค
“หลี่ไป๋” หลัวหลิวหยางย่อมเคยได้ยินชื่อกวีเลื่องชื่อ แต่เขาไม่ใช่บุรุษที่ชอบอ่านกลอนเขียนกวี จึงไม่ได้ใส่ใจแม้จะเคยอ่านผ่านตามาบ้าง“แต่ที่สำคัญกว่าคือท่านแม่ทัพหลัวชื่นชอบสุรานี้เช่นกัน” นางเอ่ยเสียงเบาด้วยท่าทีเขินอาย “พี่หลิวหยางขอข้าชิมสุราในจอกท่านสักนิดได้หรือไม่” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย นางเรียกเขาว่า ‘พี่’“พี่หลิวหยางก็รู้ว่าท่านพ่อมิให้ข้าชิมสุรา ทุกครั้งที่ท่านมาเยี่ยมเยือนท่านพ่อก็ชอบหิ้วสุราดีมาเสมอ ข้าทำได้แค่ดมกลิ่นเท่านั้น ข้าอยากรู้ว่ารสชาติที่พี่หลิวหยางชื่นชอบเป็นเช่นไร”นางออดอ้อนอย่างน่ารัก ทำให้เขาเผลอใจยื่นจอกสุราของตนให้นาง“สุรารสแรง เจ้าจิบเล็กน้อยก็พอ”“ขอบคุณพี่หลิวหยาง” นางยื่นมือมารับจอกสุราของเขา ดมกลิ่นสุราแล้วจิบเล็กน้อย สุรารสแรงแต่ละมุนลิ้นทำให้ใบหน้าของนางแดงระเรือขึ้นมา “พอแล้ว” เขาแย่งจอกสุรากลับคืน“พี่หลิวหยางอย่าฟ้องพ่อบุญธรรมนะ” “ข้ารู้” นางทำท่ามึนศีรษะเอนกายไปทางเขาแล้วกระซิบ “สุราไม่มีพิษ”หลัวหลิวหยางลอบถอนหายใจ นางห่วงเขาแต่ไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้ แต่ความเป็นห่วงของนางทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว แต่ก่อนมีแต่เขาที่ต้องคอยปกป้องดูแลผู
“มีเรื่องเล่าเช่นนี้ด้วย” จางฟางซินถอดถอนใจจากเรื่องราวที่ได้ยิน นางลอบมองหลัวหลิวหยางที่ยกสุราขึ้นดื่ม“เหตุใดพี่หลิวหยางไม่เล่าให้ข้ารู้บ้าง”“ข้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้” เขาตอบ “เป็นแค่นิทานเล่าขานของคนที่นี้” อวี้หมี่พูดด้วยรอยยิ้มจางฟางซินแปลกใจที่เห็นเขาดื่มสุรามากขึ้น ระหว่างที่อยู่ที่จวน นางไม่เห็นเขาดื่มสุรา นางคาดเดาได้ว่าเขาคงคอแข็งไม่น้อย แต่เห็นเขามอมตัวเองเช่นนี้ นางไม่เข้าใจ นางเผลอยกมือขึ้นนวดขมับ แม้หลัวหลิว หยางไม่ได้มองนางตรงๆ แต่ทุกการเคลื่อนไหวของนางอยู่ในสายตาของเขา ชายหนุ่มจึงยื่นมือไปจับมือที่กำลังนวดขมับอยู่“ไม่สบายรึ? ปวดหัวหรือ?”นางไม่ตอบแต่กัดริมฝีปากครุ่นคิด ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการไปจากที่นี้หรือต้องการให้นางไปกันแน่ เพราะดูเหมือนสายตาของเขาจะอยู่ที่หญิงงามอวี้หมี่ “แม่นางจางไม่สบายรึ” โม่โฉวถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ตามหมอดีหรือไม่”“หม่อมฉันอยากพักผ่อน ต้องขอโทษที่ทำให้ทุกท่านหมดสนุกเพคะ”“แม่นางจางอย่าได้กล่าวเช่นนั้น” โม่โฉวโบกมือไปมา “เจ้าเองยังไม่หายดี เป็นข้าที่เอาแต่ใจฝืนใจให้เจ้ามาชิมชาชมบุบผาเช่นนี้”“กระหม่อมขอพาฟางซินกลับก่อน โอกาสหน้