“ท่านเคยสงสัยในตัวจวิ้นอ๋องหรือไม่” นางถามรู้สึกสบายจนเผลอเอนตัวไปพิงไหล่ของเขา “ตามจริงแล้ว เรื่องในวังหลวงข้าก็ไม่ล่วงรู้ลึกตื้นหนาบางของผู้อื่นนัก”
“แต่เจ้าเชื่อใจองค์รัชทายาท ยอมเดินทางเสี่ยงภัยมาหาข้า”
“เพราะท่านมีภัย ข้าจึงรีบมา”
“เจ้าไม่ได้รู้จักข้าด้วยซ้ำ”
“ท่านกล่าวผิดแล้ว ท่านไม่รู้จักข้าแต่ข้ารู้จักท่าน” นางหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย “ท่านน่าจะให้ข้าพาเปาเป่ามาด้วย”
“คนขาเจ็บกับแมวขาพิการ”
“ท่านแม่ทัพดูถูกข้าหรือ?”
“ข้าพูดความจริงต่างหาก” เขาหัวเราะในลำคอ แต่เมื่อมองเลยไปยังป่าทึบดวงตาของเขามีพลันฉายแววแข็งกร้าวขึ้นมา
“มีเรื่องใดหรือ?” นางถามเพราะรู้สึกว่าร่างกายที่นางพิงอยู่มีอาการตื่นตัว
“ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวล” เขาพูดเก็บสายตากลับมา
นางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมเข้ม ดวงตาของเขาคมปลาบต่อให้ไม่ต้องลงมือแค่ใช้สายตาจ้องมองก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้ แต่นางกลับรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดในสายตาคู่นั้นจนไม่อาจถอนสายตาได้เลย ทว่าอาการนิ่งงันไปของจางฟางซินทำให้หลัวหลิวหยางเข้าใจผิด เขาเบือนหน้าไปสบถอย่างหงุดหงิด อย่างไรนางก็เป็นหญิง จะไม่ให้หวาดกลัวยามเขาเผลอใช้สายตากดดันผู้อื่นได้อย่างไรกัน
ใช่ มีคนลอบมองเขาและนางอยู่ เพียงแต่เขาไม่มั่นใจว่าเป็นคนฝ่ายใด ในยามนี้เขาไม่อาจวางใจเชื่อใครได้เลย ต่อให้นางไม่มาเตือนเขา เขาเองก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพียงแต่การมีนางอยู่ทำให้เขารู้สึกใจสงบและผ่อนคลาย น่าแปลกที่เขารู้สึกเช่นนั้นกับนาง ทั้งที่เพิ่งพบกัน...อืม...ถ้าไม่นับที่แลกเปลี่ยนความคิดทางจดหมายกัน
รัชทายาทชอบปลอมกายเป็นสามัญชนแฝงกายในหมู่บัณฑิตนักปราชญ์หรือแม้แต่พ่อค้า ทำให้เขารู้จัก ‘จางฟางหรง’ ในงานเลี้ยงน้ำชาชุมนุมกวี เมื่อราวสี่ปีก่อน หลังจากที่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นศิษย์สำนักไผ่หยก เขาจึงได้เดินทางไปคารวะหยางอี้เสียงผู้เป็นอาจารย์ แต่ก่อนนั้น หากกลับเมืองหลวงคราใดเขาต้องปลีกเวลาไปเยี่ยมเยือน แต่ไม่คิดว่าท่านอาจารย์จะรับเด็กสองคนเป็นบุญบุตรธรรรม เขาไม่เคยพบหน้า ‘จางฟางซิน’ ซึ่งก็ไม่แปลกใจนัก เพราะนางเป็นหญิงไม่ควรพบปะบุรุษที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง ใครเลยจะรู้ว่าคนที่เขามักแลกเปลี่ยนความคิดทางจดหมายด้วยบ่อยๆ นั้นจะเป็นหญิงสาวเจ้าของดวงตางดงามผู้นี้
สายลมวูบหนึ่งพัดผ่าน เส้นผมสีดำดุจแพรไหมพลิ้วไหว จางฟางซินยกมือขึ้นหมายจับเส้นผมของตน แต่ยังช้ากว่ามือใหญ่ข้างนั้นที่ยื่นมาเกี่ยวเส้นผมทัดใบหูให้นาง นางแทบลืมลมหายใจไปชั่วขณะกับท่าทางสนิทสนมที่เขาทำกับนาง
“มีคนลอบมองอยู่ใช่ไหม” นางถามเสียงเบาจนแทบกลายเป็นเสียงกระซิบ
“อืม” เขารับคำแล้วเก็บมือกลับอย่างเสียดาย
“เป็นกลุ่มใดกัน”
“ข้าไม่มั่นใจ” เขาไม่อยากให้นางกังวลมากเกินไป ขอเพียงนางอยู่ข้างกายเขา จะไม่อันตรายใดเกิดขึ้นกับนางได้แน่นอน
“ท่านว่าแผนของท่านจะได้ผลหรือ? ผู้อื่นจะเชื่อว่าท่านทัพหลงใหลสาวงามจริงหรือ?”
“ทำไมเจ้าช่างมีแต่คำถามนัก” เขาหัวเราะออกมา “จางฟางหรงที่ข้ารู้จัก เป็นคนที่มั่นใจในตัวเองยิ่ง เอาเถิด อย่างไรจวิ้นอ๋องออกปากให้ข้าเชิญเจ้าไปร่วมงานเลี้ยงแล้ว”
“งานเลี้ยงอันใดหรือ? ทำไมท่านแม่ทัพเพิ่งมาบอกข้า แล้วขาของข้ายังพันผ้าเช่นนี้จะไปร่วมงานเลี้ยงที่ใดได้”
“มีข้าอยู่ เจ้าจะกังวลเรื่องใดอีก” เขาบีบปลายจมูกโด่งรั้นของนางอย่างหยอกล้อ
“ก็ข้าไม่มั่นใจว่าตัวเองเป็นหญิงงามมากพอที่จะทำให้ท่านหวั่นไหวนะสิ” นางย่นจมูกใส่เขา
คราวนี้หลัวหลิวหยางระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนทำให้เหล่าทหารที่ติดตามมาถึงกับจ้องมอง
เอาแล้ว! พวกเขาได้มีเรื่องไปบอกเล่าให้พี่น้องที่ค่ายทหารนับหมื่นได้รู้แล้วว่าแม่ทัพใหญ่ของเราก็หัวเราะเป็นเช่นมนุษย์ทั่วไป
แม่ทัพหนุ่มสวมชุดสีน้ำเงินเข้มขับเน้นรูปร่างองอาจและยิ่งโดดเด่นเมื่ออยู่บนอาชาศึกงามสง่า หลัวหลิวหยางกระตุ้นม้าไปใกล้หน้าต่างรถม้าแล้วโน้มกายลง บดบังสายตาคู่งามที่จ้องมองภาพสองข้างทางที่เต็มไปด้วยร้านรวงดึงดูดสายตาของหญิงสาว
“ชะโงกหน้าออกมาถึงเพียงนี้ ประเดี๋ยวก็ได้ตกรถม้าหรอก” เขาอดดุนางไม่ได้ ทั้งขำทั้งเอ็นดู สายตาของนางเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเสียเหลือเกิน
“ข้าไม่คิดจะเพิ่มบาดแผลให้ตนเองหรอกนะ” นางเบ้ปากใส่เขา แต่เพราะรูปร่างสูงใหญ่ของเขาบดบังหน้าต่างแทบจะมิดทำให้นางยอมขยับกระเถิบเข้าไปด้านใน
“สองข้างทางคึกคักนัก ข้าวของก็น่าสนใจไม่เหมือนในเมืองหลวงเลยสักนิด”
“เก็บความตื่นเต้นของเจ้าไปก่อน หากเจ้าได้เห็นตลาดสองแคว้น เจ้าจะยิ่งตกตะลึงกว่านี้”
“ตลาดสองแคว้น! ข้าจำได้ ท่านเขียนในจดหมายว่าทุกสิบวันจะเป็นวันชุมนุมของคนสองแคว้นมีสินค้าแปลกตา ผู้คนจากหลากหลายชนเผ่านำสินค้าของค้าขายแลกเปลี่ยน เราจะไปดูกันใช่ไหม”
“ไม่ใช่วันนี้” เขาหัวเราะในลำคอแล้วเงยตัวขึ้นนั่งเหยียดแผ่นหลังตรง “เจ้ารีบรักษาตัวให้หาย ข้าจะพาเจ้าไปดู”
“อื้ม!”
นางพยักหน้ารับ เผลอมองเขาด้วยสายตาชื่นชม บุรุษผู้นี้โดดเด่นเหลือเกิน เขาไม่ได้ครอบครองความหล่อเหลาเจ้าเสน่ห์ แต่แววตาคมปลาบและท่วงท่าดุดันกลับขับเน้นให้เขาดูห้าวหาญองอาจ ผู้อื่นยิ่งใหญ่เพราะมีวงศ์ตระกูล แต่เขาสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขวนขวายด้วยสองมือ เขาจึงเป็นต้นแบบให้เด็กหนุ่มเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
จางฟางซินคิดถึงเมื่อคืนที่เดินหมากติดพันกับเขา บนตักมีแมวป่าขาเป๋ที่ไม่ยอมลงจากตักง่ายๆ แต่นางก็พอใจให้มันนอนหมอบตรงนั้น แม้หลัวหลิวหยางบอกผู้อื่นว่าเขาหยุดพักผ่อนแต่เขาก็ยังมีงานให้สะสางไม่น้อย เขาแสดงความไว้ใจนางมากขึ้นขนาดพูดคุยเรื่องงานและปัญหาเหล่านั้นกับนาง แต่เพื่อไม่ให้ผู้อื่นคิดว่าเขาลอบเอาเรื่องสำคัญมาปรึกษานาง จึงให้เสี่ยวจิ้งยกหมากกระดานมาตั้งเบื้องหน้า แต่ไม่คิดว่าเขากับนางจะถกเรื่องชนกลุ่มน้อยและปัญหาโจรป่าที่แก้ไม่ตก เพราะเงื่อนไขห้ามทหารบุกรุกเขตแดน ทำให้เขาไม่อาจไล่ล่าโจรป่าพวกนั้นได้
‘ข้าเคยยื่นข้อเสนอไปที่แคว้นเหยี่ยนเพื่อปราบโจรป่า แต่ไม่ได้รับความร่วมมือเลยสักนิด’
‘พวกเขาคงคิดว่าท่านจะอาศัยโจรป่าข้ามเขตแคว้นไปบุกยึดชายแดนแคว้นเหยี่ยนกระมัง” นางพูดพลางวางเม็ดหมากสีขาว มือข้างหนึ่งยังลูบบนลำตัวเจ้าแมวป่า
‘เจ้าเห็นชัดเจนถึงเพียงนี้’ เขาวางเม็ดหมากสีดำลงไปประหลาดใจที่นางคิดเช่นเดียวกับเขา แต่เรื่องนี้เขาไม่เคยพูดกับผู้ใด
‘ช่องโหว่งอย่างกับรูหลังคาบ้าน ช่วงเวลาปกติคนในบ้านอาจไม่เดือดร้อน แต่ถ้าไม่รีบปิดมีหวังฝนมาคงได้น้ำท่วมบ้านแน่’ นางวางหมากสีขาวสกัดเม็ดหมากของเขาไว้
เขาเลิกคิ้วแล้วจ้องดวงตาวาววับของนาง ‘คิดว่าตนเองแข็งแกร่งพอจะสกัดข้าได้หรือ?’
‘ความแข็งแรงยอมสู้ท่านไม่ได้’ นางกะพริบตาใส่เขา ‘ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมให้ทหารเข้าบ้าน ก็ไม่ได้หมายว่าชาวบ้านทั่วไปจะไปไม่ได้ใช่หรือไม่’
‘สอดแนมหรือ?’ เขาคลึงเม็ดหมากในมือและครุ่นคิด มิใช่ว่าไม่เคยคิดเรื่องนี้ แต่ติดขัดที่จวิ้นอ๋องโม่โฉวทำตัวสนิทสนมกับเขาอย่างไม่ถือยศศักดิ์ วางตัวสนิทสนมกับเขาราวกับสหายที่รู้จักกันมานาน ทำให้เขาไม่กล้าลงมือบุ่มบ่ามจนเกินไป
‘ท่านว่าข้าจะมีโอกาสได้ไปเยือนแคว้นเหยี่ยนด้วยตนเองหรือไม่’ นางเอ่ยแล้วก่อกวนสมาธิเขาด้วยการเคาะนิ้วลงบนโต๊ะที่วางกระดานหมาก เขาเลิกคิ้ว มุมปากกระตุกยิ้มร้ายกาจ
‘อย่าได้คิด’ เขาขู่
‘ข้าจะคิดอะไรได้’ นางยิ้มตอบไม่หลบตาเขา ‘ศัตรูไม่ขยับ ข้าจะขยับได้อย่างไร’
เดินหมากกับนางช่างน่าปวดหัว เขาเผลอวางเม็ดหมากไม่ระวัง กว่าจะรู้ตัวก็เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของนางก่อนที่นางจะวางหมากขาวชิงพื้นที่ในกระดานแล้ว แม้ไม่ได้เอ่ยวาจาแต่ก็รู้แล้วว่าหมากกระดานชัยชนะเป็นของผู้ใด‘ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ออมมือ’ นางยังคงระบายยิ้มเกลือนใบหน้า‘อีกกระดานเถิด’‘ไม่ดีกระมัง’ คราวนี้นางหน้ามุ่ย ‘ท่านแม่ทัพมีร่างกายแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า แต่ข้าเป็นเพียงสตรีบอบบางซ้ำขาเจ็บและมีแมวขาเป๋อยู่บนตัก ให้ข้าพักผ่อนเถิดนะ’‘ข้าก็ลืมไปว่าเจ้าเปราะบางเสียนี่กระไร ขนาดอยู่ในรถม้าที่ตีลังกาหลายตลบยังรอดตายได้’นางอ้าปากค้างไม่คิดว่าแม่ทัพใหญ่ที่นางชื่นชมจะกล้าประชดประชันนางเช่นนี้ เขาเห็นนางเถียงไม่ออกก็หัวเราะชอบใจนางควรบอกเขาดีหรือไม่ ขอเพียงเขายิ้มสักเล็กน้อย หัวเราะมากขึ้นอีกนิด เขาจะเป็นบุรุษที่สตรีเฝ้าคะนึงหา อาจเพราะชื่อเสียงดวงกินภรรยาของเขา และความเด็ดขาดในฐานะแม่ทัพพิทักษ์บูรพาทำให้คนหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้“เป็นอะไรไป” หลัวหลิวหยางเอ่ยถามเมื่อเห็นนางมองเขาด้วยสายตาเหม่อลอย“ข้ากำลังชื่นชมท่านอยู่” นางตอบไปอย่างที่คิด นางก็เป็นเช่นนี้พูดจาตรงไปตรงมาไม่ค่อยสำรวมนัก อาจเพราะค
“หลี่ไป๋” หลัวหลิวหยางย่อมเคยได้ยินชื่อกวีเลื่องชื่อ แต่เขาไม่ใช่บุรุษที่ชอบอ่านกลอนเขียนกวี จึงไม่ได้ใส่ใจแม้จะเคยอ่านผ่านตามาบ้าง“แต่ที่สำคัญกว่าคือท่านแม่ทัพหลัวชื่นชอบสุรานี้เช่นกัน” นางเอ่ยเสียงเบาด้วยท่าทีเขินอาย “พี่หลิวหยางขอข้าชิมสุราในจอกท่านสักนิดได้หรือไม่” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย นางเรียกเขาว่า ‘พี่’“พี่หลิวหยางก็รู้ว่าท่านพ่อมิให้ข้าชิมสุรา ทุกครั้งที่ท่านมาเยี่ยมเยือนท่านพ่อก็ชอบหิ้วสุราดีมาเสมอ ข้าทำได้แค่ดมกลิ่นเท่านั้น ข้าอยากรู้ว่ารสชาติที่พี่หลิวหยางชื่นชอบเป็นเช่นไร”นางออดอ้อนอย่างน่ารัก ทำให้เขาเผลอใจยื่นจอกสุราของตนให้นาง“สุรารสแรง เจ้าจิบเล็กน้อยก็พอ”“ขอบคุณพี่หลิวหยาง” นางยื่นมือมารับจอกสุราของเขา ดมกลิ่นสุราแล้วจิบเล็กน้อย สุรารสแรงแต่ละมุนลิ้นทำให้ใบหน้าของนางแดงระเรือขึ้นมา “พอแล้ว” เขาแย่งจอกสุรากลับคืน“พี่หลิวหยางอย่าฟ้องพ่อบุญธรรมนะ” “ข้ารู้” นางทำท่ามึนศีรษะเอนกายไปทางเขาแล้วกระซิบ “สุราไม่มีพิษ”หลัวหลิวหยางลอบถอนหายใจ นางห่วงเขาแต่ไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้ แต่ความเป็นห่วงของนางทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว แต่ก่อนมีแต่เขาที่ต้องคอยปกป้องดูแลผู
“มีเรื่องเล่าเช่นนี้ด้วย” จางฟางซินถอดถอนใจจากเรื่องราวที่ได้ยิน นางลอบมองหลัวหลิวหยางที่ยกสุราขึ้นดื่ม“เหตุใดพี่หลิวหยางไม่เล่าให้ข้ารู้บ้าง”“ข้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้” เขาตอบ “เป็นแค่นิทานเล่าขานของคนที่นี้” อวี้หมี่พูดด้วยรอยยิ้มจางฟางซินแปลกใจที่เห็นเขาดื่มสุรามากขึ้น ระหว่างที่อยู่ที่จวน นางไม่เห็นเขาดื่มสุรา นางคาดเดาได้ว่าเขาคงคอแข็งไม่น้อย แต่เห็นเขามอมตัวเองเช่นนี้ นางไม่เข้าใจ นางเผลอยกมือขึ้นนวดขมับ แม้หลัวหลิว หยางไม่ได้มองนางตรงๆ แต่ทุกการเคลื่อนไหวของนางอยู่ในสายตาของเขา ชายหนุ่มจึงยื่นมือไปจับมือที่กำลังนวดขมับอยู่“ไม่สบายรึ? ปวดหัวหรือ?”นางไม่ตอบแต่กัดริมฝีปากครุ่นคิด ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการไปจากที่นี้หรือต้องการให้นางไปกันแน่ เพราะดูเหมือนสายตาของเขาจะอยู่ที่หญิงงามอวี้หมี่ “แม่นางจางไม่สบายรึ” โม่โฉวถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ตามหมอดีหรือไม่”“หม่อมฉันอยากพักผ่อน ต้องขอโทษที่ทำให้ทุกท่านหมดสนุกเพคะ”“แม่นางจางอย่าได้กล่าวเช่นนั้น” โม่โฉวโบกมือไปมา “เจ้าเองยังไม่หายดี เป็นข้าที่เอาแต่ใจฝืนใจให้เจ้ามาชิมชาชมบุบผาเช่นนี้”“กระหม่อมขอพาฟางซินกลับก่อน โอกาสหน้
“หากท่านไม่รีบลงมือ ผู้อื่นอาจช่วงชิงนางไปก็ได้” “ใครกล้า!” เขาเผลอทุบโต๊ะอย่างแรงเสียงดังปัง! บ่าวรับใช้ที่รอด้านนอกได้ยินจนสะดุ้งตัวสั่น “ข้าแค่กล่าวเตือนท่าน หากท่านหวงแหนนางถึงเพียงนี้ก็รีบทำในสิ่งที่ควรทำเถิด” “ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน!” “ท่านหมอมาตรวจแผลให้นาง อยู่ที่เรือนของนางนั้นแหละ” แม่นมเหมยกุ้ยเบี่ยงกายเล็กน้อยให้หลัวหลิวหยางที่ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวยาวๆ ออกไปไม่สนใจนางเลยสักนิด แม่นมได้แต่ส่ายหน้าไปมา ถ้านางไม่กระตุ้นเช่นนี้ เห็นทีว่าแม่ทัพหนุ่มผู้นี้อาจทำให้สตรีในดวงใจหลุดมือไป จางฟางซินวาดเท้าลงบนพื้น ผ้าที่เคยพันรอบข้อเท้าไม่แน่นหนาเช่นแต่ก่อน นางสูดลมหายใจลึกก่อนค่อยยันกายขึ้นยืนโดยมีเสี่ยวจิ้งคอยประคอง แม้เจ็บแปลบอยู่บ้างแต่นางก็สามารถยืนได้แล้ว “ดีจริง ยืนได้แล้ว” นางยิ้มกว้างแล้วหันมาทางหมอทหารที่แวะเวียนมาดูอาการให้นางวันเว้นวันตามคำสั่งของแม่ทัพหลัว “ฝีมือรักษาของท่านยอดเยี่ยมจริงๆ ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ ” ถูกกล่าวชมต่อหน้าเช่นนี้ แม้จะอายุสี่สิบแล้วก็ร
“ไม่นะ!” นางยื้อมือของเขาไม่ให้ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออก ใบหน้าร้อนผ่าวกลายเป็นสีแดงจัด แต่มือของเขากลายเป็นหนวดปลาหมึกยุบยับบนตัวนาง หญิงสาวพยายามปัดป้องพลิกตัวหนีแต่ทำไม่ได้เลย หลัวหลิวหยางกดร่างเล็กลงบนเตียง ตรึงข้อมือไว้เหนือศีรษะของนาง เขายิ้มเจ้าเล่ห์ โน้มหน้าลงใกล้ริมฝีปากช่างเจรจา ทว่าหางตารับรู้การเคลื่อนไหวที่กระโจนใส่ เขาผงะร่างไปด้านหลังพลิกตัวหลบอย่างฉิวเฉียด เจ้าแมวป่าขาเป๋กระโดดเข้าใส่ มันยืนขู่ฟ่อตัวพองบนร่างของจางฟางซิน “เปาเป่า!” เจ้าแมวป่ากลายเป็นแมวบ้านครางเหมียวๆ ฟังน่าเอ็นดูหมุนตัวมาคลอเคลียหญิงสาวอย่างเอาใจ “เจ้าแมวเนรคุณ!” เขาสบถใส่ “ข้าคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเจ้านะ!” “ท่านแม่ทัพ” นางยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ตาเขา “ข้าเคยอ่านตำรามาว่าสัตว์มีสัญชาตญาณรู้ว่าผู้ใดดีกับมัน เจ้าเปาเป่ายอมรู้ว่าข้ารักมันมากที่สุด จึงมาปกป้องข้าเช่นนี้” แม่ทัพหนุ่มไม่คิดว่าตนเองต้องมาทะเลาะกับแมวขาเป๋ตัวหนึ่ง เจ้าแมวก็ทำเฉยชาไม่สนใจเขาเลยสักนิด แต่ไหนแต่ไรมันก็ไม่เคยสนใจผู้ใดอยู่แล้ว เหตุใดเขาจึงโง่นักที่เล
จางฟางซิน บุตรสาวเสนาบดีตกอับสกุลจาง ในยุคสมัยที่ตระกูลจางยังรุ่งเรื่อง บิดามีภรรยาสองคนทั้งสองเป็นพี่น้องกันตกลงปลงใจใช้สามีร่วมกัน บิดามีบุตรเพียงสองคนคือจางฟางซิน และจางฟางหรง น้องที่เกิดหลังนางแค่ครึ่งชั่วยาม มารดาของนางจากไปตั้งแต่วันที่นางถือกำเนิด หลังจากนั้นสามปีภรรยาอีกคนก็จากไป บิดาเศร้าโศกเสียใจจนร่างกายเจ็บป่วย ก่อนจะสิ้นใจบิดาได้ฝากฝั่งจางฟางซินและจางฟางหรงให้สหายรักช่วยดูแลพร้อมทรัพย์สินก้อนสุดท้ายที่เหลือน้อยนิด จางฟางซินในวัยสิบสองจูงมือจางฟางหรงมายังสำนักศึกษาไผ่หยก ภายใต้การดูแลของสหายรักของบิดานามหยางอี้เสียง และด้วยความสงสารเวทนาจึงรับบุตรของสหายเป็นบุตรบุญธรรมชีวิตของจางฟานซินจึงเริ่มต้นใหม่ที่นี่ จนกระทั้งวันที่นางอายุสิบเจ็ด ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปตลอดกาล....นางไม่อยากเชื่อเลย อีกเพียงไม่กี่ลี้นางจะไปถึงที่หมายแล้วแท้ๆ เหตุใดถึงถูกตามไล่ล่าอย่างไร้หนทางเช่นนี้ จางฟางซินเคยอ่านเรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับชายแดนตะวันออก นางศึกษาทุกอย่างจนมั่นใจว่าตัวเองเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างดียิ่ง ทว่านางไม่คิดว่า การลอบเดินทางที่ใช้เวลาครึ่งเดือนนี้จะมาจบลงที่รถม
เสียงครางด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น เรียกสติของแม่ทัพหนุ่มวัยยี่สิบหกให้หันไปมอง เขาหมุนตัวเดินไปก้มมอง แขนซ้ายมีรอยบาดเป็นทางยาว ดูแล้วไม่น่าจะลึกแต่เลือดไหลออกมามาก แต่ส่วนที่น่าจะเจ็บที่สุด น่าจะเป็นข้อเท้าขวาของนาง“แม่นมเหมยกุ้ยมาแล้วขอรับ”“ท่านแม่ทัพ”แม่นมเหมยกุ้ยเป็นสตรีวัยสี่สิบสองที่ท่านแม่ทัพให้ความเคารพดุจญาติผู้ใหญ่ นางยกชายกระโปรงก้าวเร็วๆ เข้าไปหา พอเห็นสภาพคนที่นอนหมดสติบนเตียงก็อุทานออกมา“รบกวนแม่นมแล้ว”“ได้ๆ ทางนี้ข้าจัดการเอง” นางรับคำอย่างรู้หน้าที่ “เด็กๆ ไปยกน้ำอุ่นมา ผ้าสะอาดด้วย ห้ามผู้ชายเข้าใกล้ และขอเชิญท่านมาทางนี้เจ้าค่ะ”แม่นมเหมยกุ้ยสั่งการรวดเร็ว หลัวหลิวหยางถอนหายใจเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินออกมา เพียงยกเท้าพ้นธรณีประตู เสียงแม่นมก็ดังไล่หลังมาทันที“ข้าสั่งคนเตรียมน้ำอุ่นให้ท่านแม่ทัพแล้ว ท่านควรผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วนะเจ้าค่ะ”“ข้าทราบแล้ว”มุมปากของหลัวหลิวหยางยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่เพราะใบหน้าดุดันอยู่เป็นนิจจึงแทบไม่เห็นรอยยิ้มนั้น ในจวนแห่งนี้มีสตรีน้อยมาก บ่าวไพร่ที่เป็นหญิงล้วนมีแม่นมเหมยกุ้ยคัดเลือกเข้ามาทำงาน เขาจึงวางใจเรื่องเหล่านี้บ้าง รวมทั้ง
มือหยาบกร้านเพราะจับกระบี่กรำศึกมายาวนานยื่นไปปัดม่านมุ้งออก แม้บอกตัวเองว่าอยู่สนามรบมานาน ทว่าเมื่อเห็นสตรีที่หมดสติ แขนเต็มไปด้วยแผลถลอก ร่องรอยขูดขีด ยังเหลือรอยเลือดยังแห้งกรังที่ผมของนาง ข้อเท้าข้างขวาถูกพันผ้าอย่างแน่นหนา เสี้ยวเวลาอันแสนสั้นก่อนหมดสติ ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความตกใจ ปฏิกิริยาในตอนนี้แม้นางยังหลับอยู่ แต่ยังคงเป็นความหวาดกลัว เปลือกตาของนางกระตุก ปลายนิ้วมือขยับเกร็ง หลัวหลิวหยางเอื้อมมือไปกุมมือหญิงสาวไว้โดยไม่ทันคิด“ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าปลอดภัยแล้ว”ไม่ใช่ถ้อยคำอ่อนโยนหวานหู แต่น้ำเสียงหนักแน่นที่พร้อมปกป้องขับไล่ความหวาดกลัวของหญิงสาว นางบีบมือของเขาแน่นราวกับเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยว เขาไม่อาจผละไปจากนางได้จึงค่อยๆ นั่งลงบนเตียงข้างนาง ดวงตาของเขาจ้องมองริมฝีปากของนางพึมพำ แม้รู้ว่านางยังไม่ได้สติแต่เขากลับโน้มตัวลง แนบใบหูใกล้ริมฝีปากของนาง “ท่านช่วยชีวิตข้า” หญิงสาวพึมพำแทบฟังไม่ออก นางลืมตาขึ้นมองเขา แล้วพยายามขยับตัว เพียงการขยับตัวเล็กน้อยก็ทำให้นางหลุดเสียงร้องเจ็บปวดออกมา“นอนลงไป ใจเย็นๆ”“ข้า...” นางพยายามอย่างสุดกำลัง อย่างน้อยนางก็ได้มา