Share

Chapter 10. ดูถูกข้าหรือ?

“ท่านเคยสงสัยในตัวจวิ้นอ๋องหรือไม่”  นางถามรู้สึกสบายจนเผลอเอนตัวไปพิงไหล่ของเขา “ตามจริงแล้ว เรื่องในวังหลวงข้าก็ไม่ล่วงรู้ลึกตื้นหนาบางของผู้อื่นนัก”

“แต่เจ้าเชื่อใจองค์รัชทายาท ยอมเดินทางเสี่ยงภัยมาหาข้า”

“เพราะท่านมีภัย ข้าจึงรีบมา”

“เจ้าไม่ได้รู้จักข้าด้วยซ้ำ”   

“ท่านกล่าวผิดแล้ว ท่านไม่รู้จักข้าแต่ข้ารู้จักท่าน”  นางหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย “ท่านน่าจะให้ข้าพาเปาเป่ามาด้วย”

 “คนขาเจ็บกับแมวขาพิการ”

“ท่านแม่ทัพดูถูกข้าหรือ?”  

“ข้าพูดความจริงต่างหาก”  เขาหัวเราะในลำคอ แต่เมื่อมองเลยไปยังป่าทึบดวงตาของเขามีพลันฉายแววแข็งกร้าวขึ้นมา  

“มีเรื่องใดหรือ?” นางถามเพราะรู้สึกว่าร่างกายที่นางพิงอยู่มีอาการตื่นตัว

“ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวล”  เขาพูดเก็บสายตากลับมา  

นางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมเข้ม ดวงตาของเขาคมปลาบต่อให้ไม่ต้องลงมือแค่ใช้สายตาจ้องมองก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้ แต่นางกลับรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดในสายตาคู่นั้นจนไม่อาจถอนสายตาได้เลย ทว่าอาการนิ่งงันไปของจางฟางซินทำให้หลัวหลิวหยางเข้าใจผิด เขาเบือนหน้าไปสบถอย่างหงุดหงิด อย่างไรนางก็เป็นหญิง จะไม่ให้หวาดกลัวยามเขาเผลอใช้สายตากดดันผู้อื่นได้อย่างไรกัน 

ใช่ มีคนลอบมองเขาและนางอยู่ เพียงแต่เขาไม่มั่นใจว่าเป็นคนฝ่ายใด ในยามนี้เขาไม่อาจวางใจเชื่อใครได้เลย ต่อให้นางไม่มาเตือนเขา เขาเองก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพียงแต่การมีนางอยู่ทำให้เขารู้สึกใจสงบและผ่อนคลาย  น่าแปลกที่เขารู้สึกเช่นนั้นกับนาง ทั้งที่เพิ่งพบกัน...อืม...ถ้าไม่นับที่แลกเปลี่ยนความคิดทางจดหมายกัน  

รัชทายาทชอบปลอมกายเป็นสามัญชนแฝงกายในหมู่บัณฑิตนักปราชญ์หรือแม้แต่พ่อค้า ทำให้เขารู้จัก ‘จางฟางหรง’ ในงานเลี้ยงน้ำชาชุมนุมกวี เมื่อราวสี่ปีก่อน หลังจากที่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นศิษย์สำนักไผ่หยก เขาจึงได้เดินทางไปคารวะหยางอี้เสียงผู้เป็นอาจารย์ แต่ก่อนนั้น หากกลับเมืองหลวงคราใดเขาต้องปลีกเวลาไปเยี่ยมเยือน แต่ไม่คิดว่าท่านอาจารย์จะรับเด็กสองคนเป็นบุญบุตรธรรรม เขาไม่เคยพบหน้า ‘จางฟางซิน’ ซึ่งก็ไม่แปลกใจนัก เพราะนางเป็นหญิงไม่ควรพบปะบุรุษที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง ใครเลยจะรู้ว่าคนที่เขามักแลกเปลี่ยนความคิดทางจดหมายด้วยบ่อยๆ นั้นจะเป็นหญิงสาวเจ้าของดวงตางดงามผู้นี้

สายลมวูบหนึ่งพัดผ่าน เส้นผมสีดำดุจแพรไหมพลิ้วไหว จางฟางซินยกมือขึ้นหมายจับเส้นผมของตน แต่ยังช้ากว่ามือใหญ่ข้างนั้นที่ยื่นมาเกี่ยวเส้นผมทัดใบหูให้นาง  นางแทบลืมลมหายใจไปชั่วขณะกับท่าทางสนิทสนมที่เขาทำกับนาง  

“มีคนลอบมองอยู่ใช่ไหม”  นางถามเสียงเบาจนแทบกลายเป็นเสียงกระซิบ

“อืม” เขารับคำแล้วเก็บมือกลับอย่างเสียดาย

“เป็นกลุ่มใดกัน”

“ข้าไม่มั่นใจ”  เขาไม่อยากให้นางกังวลมากเกินไป ขอเพียงนางอยู่ข้างกายเขา จะไม่อันตรายใดเกิดขึ้นกับนางได้แน่นอน

“ท่านว่าแผนของท่านจะได้ผลหรือ? ผู้อื่นจะเชื่อว่าท่านทัพหลงใหลสาวงามจริงหรือ?”    

“ทำไมเจ้าช่างมีแต่คำถามนัก” เขาหัวเราะออกมา  “จางฟางหรงที่ข้ารู้จัก เป็นคนที่มั่นใจในตัวเองยิ่ง เอาเถิด อย่างไรจวิ้นอ๋องออกปากให้ข้าเชิญเจ้าไปร่วมงานเลี้ยงแล้ว”

“งานเลี้ยงอันใดหรือ? ทำไมท่านแม่ทัพเพิ่งมาบอกข้า แล้วขาของข้ายังพันผ้าเช่นนี้จะไปร่วมงานเลี้ยงที่ใดได้”

“มีข้าอยู่ เจ้าจะกังวลเรื่องใดอีก” เขาบีบปลายจมูกโด่งรั้นของนางอย่างหยอกล้อ  

“ก็ข้าไม่มั่นใจว่าตัวเองเป็นหญิงงามมากพอที่จะทำให้ท่านหวั่นไหวนะสิ”  นางย่นจมูกใส่เขา

คราวนี้หลัวหลิวหยางระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนทำให้เหล่าทหารที่ติดตามมาถึงกับจ้องมอง

เอาแล้ว! พวกเขาได้มีเรื่องไปบอกเล่าให้พี่น้องที่ค่ายทหารนับหมื่นได้รู้แล้วว่าแม่ทัพใหญ่ของเราก็หัวเราะเป็นเช่นมนุษย์ทั่วไป

แม่ทัพหนุ่มสวมชุดสีน้ำเงินเข้มขับเน้นรูปร่างองอาจและยิ่งโดดเด่นเมื่ออยู่บนอาชาศึกงามสง่า หลัวหลิวหยางกระตุ้นม้าไปใกล้หน้าต่างรถม้าแล้วโน้มกายลง  บดบังสายตาคู่งามที่จ้องมองภาพสองข้างทางที่เต็มไปด้วยร้านรวงดึงดูดสายตาของหญิงสาว

“ชะโงกหน้าออกมาถึงเพียงนี้ ประเดี๋ยวก็ได้ตกรถม้าหรอก” เขาอดดุนางไม่ได้ ทั้งขำทั้งเอ็นดู สายตาของนางเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเสียเหลือเกิน

“ข้าไม่คิดจะเพิ่มบาดแผลให้ตนเองหรอกนะ” นางเบ้ปากใส่เขา แต่เพราะรูปร่างสูงใหญ่ของเขาบดบังหน้าต่างแทบจะมิดทำให้นางยอมขยับกระเถิบเข้าไปด้านใน  

“สองข้างทางคึกคักนัก ข้าวของก็น่าสนใจไม่เหมือนในเมืองหลวงเลยสักนิด”

“เก็บความตื่นเต้นของเจ้าไปก่อน หากเจ้าได้เห็นตลาดสองแคว้น เจ้าจะยิ่งตกตะลึงกว่านี้”

“ตลาดสองแคว้น! ข้าจำได้ ท่านเขียนในจดหมายว่าทุกสิบวันจะเป็นวันชุมนุมของคนสองแคว้นมีสินค้าแปลกตา ผู้คนจากหลากหลายชนเผ่านำสินค้าของค้าขายแลกเปลี่ยน เราจะไปดูกันใช่ไหม” 

“ไม่ใช่วันนี้”  เขาหัวเราะในลำคอแล้วเงยตัวขึ้นนั่งเหยียดแผ่นหลังตรง “เจ้ารีบรักษาตัวให้หาย ข้าจะพาเจ้าไปดู”

“อื้ม!”

นางพยักหน้ารับ เผลอมองเขาด้วยสายตาชื่นชม บุรุษผู้นี้โดดเด่นเหลือเกิน เขาไม่ได้ครอบครองความหล่อเหลาเจ้าเสน่ห์ แต่แววตาคมปลาบและท่วงท่าดุดันกลับขับเน้นให้เขาดูห้าวหาญองอาจ  ผู้อื่นยิ่งใหญ่เพราะมีวงศ์ตระกูล แต่เขาสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขวนขวายด้วยสองมือ เขาจึงเป็นต้นแบบให้เด็กหนุ่มเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

จางฟางซินคิดถึงเมื่อคืนที่เดินหมากติดพันกับเขา  บนตักมีแมวป่าขาเป๋ที่ไม่ยอมลงจากตักง่ายๆ แต่นางก็พอใจให้มันนอนหมอบตรงนั้น  แม้หลัวหลิวหยางบอกผู้อื่นว่าเขาหยุดพักผ่อนแต่เขาก็ยังมีงานให้สะสางไม่น้อย เขาแสดงความไว้ใจนางมากขึ้นขนาดพูดคุยเรื่องงานและปัญหาเหล่านั้นกับนาง แต่เพื่อไม่ให้ผู้อื่นคิดว่าเขาลอบเอาเรื่องสำคัญมาปรึกษานาง จึงให้เสี่ยวจิ้งยกหมากกระดานมาตั้งเบื้องหน้า แต่ไม่คิดว่าเขากับนางจะถกเรื่องชนกลุ่มน้อยและปัญหาโจรป่าที่แก้ไม่ตก เพราะเงื่อนไขห้ามทหารบุกรุกเขตแดน ทำให้เขาไม่อาจไล่ล่าโจรป่าพวกนั้นได้

‘ข้าเคยยื่นข้อเสนอไปที่แคว้นเหยี่ยนเพื่อปราบโจรป่า แต่ไม่ได้รับความร่วมมือเลยสักนิด’ 

‘พวกเขาคงคิดว่าท่านจะอาศัยโจรป่าข้ามเขตแคว้นไปบุกยึดชายแดนแคว้นเหยี่ยนกระมัง” นางพูดพลางวางเม็ดหมากสีขาว มือข้างหนึ่งยังลูบบนลำตัวเจ้าแมวป่า  

‘เจ้าเห็นชัดเจนถึงเพียงนี้’  เขาวางเม็ดหมากสีดำลงไปประหลาดใจที่นางคิดเช่นเดียวกับเขา แต่เรื่องนี้เขาไม่เคยพูดกับผู้ใด

‘ช่องโหว่งอย่างกับรูหลังคาบ้าน ช่วงเวลาปกติคนในบ้านอาจไม่เดือดร้อน แต่ถ้าไม่รีบปิดมีหวังฝนมาคงได้น้ำท่วมบ้านแน่’  นางวางหมากสีขาวสกัดเม็ดหมากของเขาไว้  

เขาเลิกคิ้วแล้วจ้องดวงตาวาววับของนาง ‘คิดว่าตนเองแข็งแกร่งพอจะสกัดข้าได้หรือ?’

‘ความแข็งแรงยอมสู้ท่านไม่ได้’  นางกะพริบตาใส่เขา ‘ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมให้ทหารเข้าบ้าน ก็ไม่ได้หมายว่าชาวบ้านทั่วไปจะไปไม่ได้ใช่หรือไม่’

‘สอดแนมหรือ?’  เขาคลึงเม็ดหมากในมือและครุ่นคิด มิใช่ว่าไม่เคยคิดเรื่องนี้ แต่ติดขัดที่จวิ้นอ๋องโม่โฉวทำตัวสนิทสนมกับเขาอย่างไม่ถือยศศักดิ์ วางตัวสนิทสนมกับเขาราวกับสหายที่รู้จักกันมานาน ทำให้เขาไม่กล้าลงมือบุ่มบ่ามจนเกินไป

‘ท่านว่าข้าจะมีโอกาสได้ไปเยือนแคว้นเหยี่ยนด้วยตนเองหรือไม่’  นางเอ่ยแล้วก่อกวนสมาธิเขาด้วยการเคาะนิ้วลงบนโต๊ะที่วางกระดานหมาก เขาเลิกคิ้ว มุมปากกระตุกยิ้มร้ายกาจ

‘อย่าได้คิด’ เขาขู่  

‘ข้าจะคิดอะไรได้’ นางยิ้มตอบไม่หลบตาเขา ‘ศัตรูไม่ขยับ ข้าจะขยับได้อย่างไร’

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status