เดินหมากกับนางช่างน่าปวดหัว เขาเผลอวางเม็ดหมากไม่ระวัง กว่าจะรู้ตัวก็เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของนางก่อนที่นางจะวางหมากขาวชิงพื้นที่ในกระดานแล้ว แม้ไม่ได้เอ่ยวาจาแต่ก็รู้แล้วว่าหมากกระดานชัยชนะเป็นของผู้ใด
‘ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ออมมือ’ นางยังคงระบายยิ้มเกลือนใบหน้า
‘อีกกระดานเถิด’
‘ไม่ดีกระมัง’ คราวนี้นางหน้ามุ่ย ‘ท่านแม่ทัพมีร่างกายแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า แต่ข้าเป็นเพียงสตรีบอบบางซ้ำขาเจ็บและมีแมวขาเป๋อยู่บนตัก ให้ข้าพักผ่อนเถิดนะ’
‘ข้าก็ลืมไปว่าเจ้าเปราะบางเสียนี่กระไร ขนาดอยู่ในรถม้าที่ตีลังกาหลายตลบยังรอดตายได้’
นางอ้าปากค้างไม่คิดว่าแม่ทัพใหญ่ที่นางชื่นชมจะกล้าประชดประชันนางเช่นนี้ เขาเห็นนางเถียงไม่ออกก็หัวเราะชอบใจ
นางควรบอกเขาดีหรือไม่ ขอเพียงเขายิ้มสักเล็กน้อย หัวเราะมากขึ้นอีกนิด เขาจะเป็นบุรุษที่สตรีเฝ้าคะนึงหา อาจเพราะชื่อเสียงดวงกินภรรยาของเขา และความเด็ดขาดในฐานะแม่ทัพพิทักษ์บูรพาทำให้คนหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้
“เป็นอะไรไป” หลัวหลิวหยางเอ่ยถามเมื่อเห็นนางมองเขาด้วยสายตาเหม่อลอย
“ข้ากำลังชื่นชมท่านอยู่” นางตอบไปอย่างที่คิด นางก็เป็นเช่นนี้พูดจาตรงไปตรงมาไม่ค่อยสำรวมนัก อาจเพราะคุ้นเคยกับการแต่งกายเป็นบุรุษ หรือไม่ก็เพราะมีบิดาและพ่อบุญธรรมที่ตามอกตามใจนางจนเสียนิสัยก็เป็นได้ แต่จะให้นางทำตัวว่านอนสอนง่ายเช่นคุณหนูบ้านอื่น นางได้อกแตกตายเป็นแน่
หลัวหลิวหยางอดหัวเราะไม่ได้จริงๆ ช่างเป็นสตรีที่ยิ้มง่ายหัวเราะเก่ง คล้ายว่ารอบกายนางจะมีเพียงเสียงหัวเราะแห่งความสุขที่นำพาความสบายใจมาให้คนใกล้ชิด ผิดกับเขาที่อยู่ท่ามกลางความเป็นความตายมานาน การที่เขาไม่ค่อยกลับบ้านที่เมืองหลวง มิใช่ว่าอยากตีตัวออกห่างคนในครอบครัว แต่เขารู้สึกว่าตนเองนั้นอาบด้วยกลิ่นอายโลหิตของศัตรู บางค่ำคืนเขาผวาตื่นจากฝันร้าย เขาฝันถึงเมื่อครั้งที่ตนเองถูกจับกุมทรมานในฐานะเชลยศึก ทุกข์ทรมานจนอยากตายแต่ทำไม่ได้ ในวัยเยาว์เขาคิดว่าตนเองจะต้องยิ่งใหญ่ นำพาคนในครอบครัวให้เป็นที่นับหน้าถือตาไม่ถูกดูแคลน จึงได้มุ่งมั่นเป็นทหาร แต่ไม่เคยคิดว่า การใช้ชีวิตในสนามรบ จะทำให้ความเป็นคนในตัวเขาถูกกลืนกินไปที่ละน้อย จนบ้างครั้งเขาก็คิดว่าตนเองอาจเป็นปีศาจร้ายที่มีดวงชะตากินภรรยาจริงๆ
เห็นจู่ๆ เขาเงียบไป จางฟางซินไม่กล้าหยอกล้อเขาอีก พลันนึกได้ว่าตนเองเป็นหญิงแต่ปากกล้าเย้าหยอกบุรุษเช่นนี้ เขาอาจไม่พอใจก็เป็นได้ โดยเฉพาะเวลานี้ทั้งสองไม่ได้อยู่ในห้องหับตามลำพัง คิดได้ดังนั้นนางจึงไม่มองไปทางเขาอีก เหยียดแผ่นหลังตั้งตรงสงบใจแล้ววางท่วงท่าเป็นกุลสตรีที่แม่ทัพใหญ่พามาที่หอระบำน้ำค้าง ซึ่งจวิ้นอ๋องมีไมตรีเชิญนางและท่านแม่ทัพมาดื่มน้ำชา
หลัวหลิวหยางตื่นจากภวังค์ เขาไม่ได้ยินเสียงพูดจาหรือเสียงหัวเราะหวานใสของนางจึงปรายตามองไปทางหน้าต่าง ผ้าม่านที่หน้าตางถูกปลดลงแล้ว เพียงลมผัดผ่านทำให้ผ้าม่านขยับไหวเขาจึงได้เห็นสีหน้านิ่งขรึมของนาง ไม่รู้ว่านางครุ่นคิดเรื่องใดอยู่ แต่เขาอยากบอกนางว่านี่ไม่เหมาะกับนางเลย นางควรร่าเริงและสดใสราวกับนกน้อยในป่าที่เต็มไปด้วยอิสระเสรี
หรือเพราะเขาทำให้นางกลัดกลุ้มกังวล นางเป็นหญิงยอมเสียชื่อเสียงที่ถูกมองว่าเป็นผู้หญิงของเขา แต่เขากลับใช้นางเป็นเครื่องมือให้ผู้อื่นเข้าใจผิดเช่นนั้น เขาควรรับผิดชอบนาง หรือเขาจะทำเรื่องที่ผู้อื่นเข้าใจผิดให้กลายเป็นจริง นางเป็นบุญสาวบุญธรรมของอาจารย์หยางอี้เสียงที่เขาเคารพ ฐานะของนางก็ไม่นับว่าต่ำต้อยไม่เหมาะสมแต่อย่างใด
หากข้างกายของเขามีเสียงหวานใสของนางอยู่เคียงข้างคงดีไม่น้อย
เงาดำในหัวใจคงสลายไปในสักวัน
รถม้าจอดนิ่งสนิทแล้ว จางฟางซินที่เตรียมตัวเตรียมใจมาพร้อมแล้วค่อยๆ ขยับกายออกมา หลัวหลิวหยางตวัดเท้าลงจากหลังม้าเข้ามาประคองนางลงจากรถม้า โม่โฉวถึงกับออกมาต้อนรับด้วยตนเอง และยังหาเก้าอี้รถเข็นมาให้สตรีของแม่ทัพหลัวอีกด้วย จางฟางซินกล่าวขอบคุณเสียงเบา
“ทำให้ทุกท่านลำบากแล้ว” จางฟางซินหลุบตาลงแสดงท่าทางอ่อนน้อมแลดูอ่อนแอและเปราะบาง
หลัวหลิวหยางไม่ชอบท่าทางเช่นนี้ของนางเลยสักนิด เขาชื่นชอบความมีชีวิตชีวา การต่อปากต่อคำและท่าทางจริงใจ แม้รู้ว่านางทำไปเผื่อเขา แต่เขากลับหงุดหงิดเสียเอง ท่าทางไม่สบอารมณ์ของหลัวหลิวหยางทำให้โม่โฉวเข้าใจไปว่าเพราะเขาใกล้ชิดจางฟางซิน โม่โฉวประหลาดใจเล็กน้อย ลอบพิศดูสตรีผู้นี้แล้วก็ไม่เห็นว่านางจะมีสิ่งใดโดดเด่นนัก
“ไม่ต้องเกรงใจ ข้าเหมาหอระบำน้ำค้างไว้แล้ว ทำตัวตามสบายเถิด”
‘เหมาหอระบำน้ำค้าง’ จางฟางซินคลี่ยิ้มน้อยๆ แต่ในใจขมวดปมยุ่งเหยิง พลางนึกถึงเรื่องที่พูดคุยกับหลัวหลิวหยาง ดูท่าแล้วจวิ้นอ๋องอยากเอาใจแม่ทัพหลัว แต่เพื่อการใดนั้น นางไม่อาจคาดเดาได้
“ข้าเห็นว่าแม่นางฟางเท้าเจ็บจึงให้คนจัดเตรียมที่ดื่มน้ำชาที่ศาลาในสวนดอกไม้ด้านหลัง”
“ขอบพระทัยเพคะ” นางเอ่ยเสียงเบาสะกดความตื่นเต้น ทว่านางรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมองมาทางนางทำให้นางเหลือบตามอง ดวงตาคมปลาบของแม่ทัพหนุ่มมองนางอยู่ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคิดว่านางไม่รู้จักรักษากิริยาหรือไร ถึงนางจะอยากรู้อยากเห็นมากเพียงใดก็รู้กาลเทศะอยู่นะ
หลัวหลิวหยางเห็นแววตาที่นางจ้องตอบกลับพลันอยากหัวเราะออกมา แต่จะทำเช่นนั้นก็ไม่ได้ จึงแสร้งไอแคกๆ สองสามที เพียงแค่สบตากับแวบเดียวนางกลับรู้ได้ในทันทีว่าเขาคิดอะไรอยู่ หากนางเป็นบุรุษ เขาคงรั้งนางให้เป็นทหารคนสนิท อ้อ! ไม่ได้สินะ นางไม่เป็นวรยุทธ เช่นนั้นให้เป็นกุนซือคอยรับคำสั่งของเขาดีกว่า เอ่อ... คนดื้อรั้นอย่างนางจะรับคำสั่งใครได้หรือ? แต่นางเป็นสตรีเช่นนี้ก็ดีแล้ว เพราะเขาอยากโอบกอดและปกป้องนางด้วยสองมือของตนเอง
น่าสนใจ! น่าสนใจนัก! โม่โฉวคลี่พัดปิดรอยยิ้มพึ่งพอใจ เขาไม่เคยเห็นแม่ทัพผู้นี้สนใจสตรีมาก่อน เห็นทีว่าลงทุนครั้งนี้น่าจะได้ผลตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ
ชายแดนตะวันออกมีอากาศค่อนข้างเย็น แต่ส่งผลดีกับดอกไม้นานาพรรณที่ผลิดอกอวดโฉมเบ่งบานงดงามยิ่งกว่าในเมืองหลวง จางฟางซินเผลอมองความงามเบื้องหน้าด้วยสีหน้าตื่นเต้น อย่างไรนางก็เป็นหญิง ย่อมชื่นชอบสิ่งสวยงามเป็นธรรมดา
“สวยงามเหลือเกิน” นางพึมพำแล้วหันหน้าไปหาหลัวหลิวหยาง พลันนึกได้ว่านางควรสำรวมกิริยามากกว่านี้ นางจึงก้มหน้าช้อนสายตามองเขา
“ข้าไม่รู้ว่าแม่นางจางมีชาใดที่โปรดปราน รู้เพียงแต่แม่ทัพหลัวชื่นชมชาเข็มเงินจวินซานจึงได้เตรียมชานี้ให้แม่นางจาง”
“ขอบพระทัยเพคะ” นางเอ่ย “ชาดี บรรยากาศดี หม่อมฉันช่างโชคดีจริงๆ”
“ข้าดีใจที่แม่นางจางชอบ” โม่โฉวยิ้มแล้วลอบมองหลัวหลิยหยาง เขาจัดที่ให้นั่งสองนั่งใกล้กัน เขาตบมือสองครั้งเป็นสัญญาณ ครู่หนึ่งจึงมีหญิงงามชงชาแล้วยกมาให้จางฟางซิน
“นานๆ ท่านแม่ทัพจะพักผ่อนสักครา ข้าถือโอกาสเตรียมสุราดีดื่มกับท่านแม่ทัพ”
โม่โฉวรอให้สาวงามอีกนางเยื้องย่างกายเข้ามาแล้วรินสุราให้
“สุราเจียนหนานชุน” จางฟางซินเอ่ยขึ้น “กลิ่นหอมเช่นนี้ต้องเป็นสุราเจียนหนานชุนเป็นแน่”
“นี่คือเหล้าเจียนหนานชุน แม่นางฟางเพียงได้กลิ่นก็รู้แล้ว ยอดเยี่ยมจริงๆ”
หญิงสาวก้มหน้าเล็กน้อยท่าทางประหม่าเขินอาย “เป็นสุราที่กวีเอกนามหลี่ไป๋ชื่นชอบมาก”
“หลี่ไป๋” หลัวหลิวหยางย่อมเคยได้ยินชื่อกวีเลื่องชื่อ แต่เขาไม่ใช่บุรุษที่ชอบอ่านกลอนเขียนกวี จึงไม่ได้ใส่ใจแม้จะเคยอ่านผ่านตามาบ้าง“แต่ที่สำคัญกว่าคือท่านแม่ทัพหลัวชื่นชอบสุรานี้เช่นกัน” นางเอ่ยเสียงเบาด้วยท่าทีเขินอาย “พี่หลิวหยางขอข้าชิมสุราในจอกท่านสักนิดได้หรือไม่” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย นางเรียกเขาว่า ‘พี่’“พี่หลิวหยางก็รู้ว่าท่านพ่อมิให้ข้าชิมสุรา ทุกครั้งที่ท่านมาเยี่ยมเยือนท่านพ่อก็ชอบหิ้วสุราดีมาเสมอ ข้าทำได้แค่ดมกลิ่นเท่านั้น ข้าอยากรู้ว่ารสชาติที่พี่หลิวหยางชื่นชอบเป็นเช่นไร”นางออดอ้อนอย่างน่ารัก ทำให้เขาเผลอใจยื่นจอกสุราของตนให้นาง“สุรารสแรง เจ้าจิบเล็กน้อยก็พอ”“ขอบคุณพี่หลิวหยาง” นางยื่นมือมารับจอกสุราของเขา ดมกลิ่นสุราแล้วจิบเล็กน้อย สุรารสแรงแต่ละมุนลิ้นทำให้ใบหน้าของนางแดงระเรือขึ้นมา “พอแล้ว” เขาแย่งจอกสุรากลับคืน“พี่หลิวหยางอย่าฟ้องพ่อบุญธรรมนะ” “ข้ารู้” นางทำท่ามึนศีรษะเอนกายไปทางเขาแล้วกระซิบ “สุราไม่มีพิษ”หลัวหลิวหยางลอบถอนหายใจ นางห่วงเขาแต่ไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้ แต่ความเป็นห่วงของนางทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว แต่ก่อนมีแต่เขาที่ต้องคอยปกป้องดูแลผู
“มีเรื่องเล่าเช่นนี้ด้วย” จางฟางซินถอดถอนใจจากเรื่องราวที่ได้ยิน นางลอบมองหลัวหลิวหยางที่ยกสุราขึ้นดื่ม“เหตุใดพี่หลิวหยางไม่เล่าให้ข้ารู้บ้าง”“ข้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้” เขาตอบ “เป็นแค่นิทานเล่าขานของคนที่นี้” อวี้หมี่พูดด้วยรอยยิ้มจางฟางซินแปลกใจที่เห็นเขาดื่มสุรามากขึ้น ระหว่างที่อยู่ที่จวน นางไม่เห็นเขาดื่มสุรา นางคาดเดาได้ว่าเขาคงคอแข็งไม่น้อย แต่เห็นเขามอมตัวเองเช่นนี้ นางไม่เข้าใจ นางเผลอยกมือขึ้นนวดขมับ แม้หลัวหลิว หยางไม่ได้มองนางตรงๆ แต่ทุกการเคลื่อนไหวของนางอยู่ในสายตาของเขา ชายหนุ่มจึงยื่นมือไปจับมือที่กำลังนวดขมับอยู่“ไม่สบายรึ? ปวดหัวหรือ?”นางไม่ตอบแต่กัดริมฝีปากครุ่นคิด ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการไปจากที่นี้หรือต้องการให้นางไปกันแน่ เพราะดูเหมือนสายตาของเขาจะอยู่ที่หญิงงามอวี้หมี่ “แม่นางจางไม่สบายรึ” โม่โฉวถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ตามหมอดีหรือไม่”“หม่อมฉันอยากพักผ่อน ต้องขอโทษที่ทำให้ทุกท่านหมดสนุกเพคะ”“แม่นางจางอย่าได้กล่าวเช่นนั้น” โม่โฉวโบกมือไปมา “เจ้าเองยังไม่หายดี เป็นข้าที่เอาแต่ใจฝืนใจให้เจ้ามาชิมชาชมบุบผาเช่นนี้”“กระหม่อมขอพาฟางซินกลับก่อน โอกาสหน้
“หากท่านไม่รีบลงมือ ผู้อื่นอาจช่วงชิงนางไปก็ได้” “ใครกล้า!” เขาเผลอทุบโต๊ะอย่างแรงเสียงดังปัง! บ่าวรับใช้ที่รอด้านนอกได้ยินจนสะดุ้งตัวสั่น “ข้าแค่กล่าวเตือนท่าน หากท่านหวงแหนนางถึงเพียงนี้ก็รีบทำในสิ่งที่ควรทำเถิด” “ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน!” “ท่านหมอมาตรวจแผลให้นาง อยู่ที่เรือนของนางนั้นแหละ” แม่นมเหมยกุ้ยเบี่ยงกายเล็กน้อยให้หลัวหลิวหยางที่ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวยาวๆ ออกไปไม่สนใจนางเลยสักนิด แม่นมได้แต่ส่ายหน้าไปมา ถ้านางไม่กระตุ้นเช่นนี้ เห็นทีว่าแม่ทัพหนุ่มผู้นี้อาจทำให้สตรีในดวงใจหลุดมือไป จางฟางซินวาดเท้าลงบนพื้น ผ้าที่เคยพันรอบข้อเท้าไม่แน่นหนาเช่นแต่ก่อน นางสูดลมหายใจลึกก่อนค่อยยันกายขึ้นยืนโดยมีเสี่ยวจิ้งคอยประคอง แม้เจ็บแปลบอยู่บ้างแต่นางก็สามารถยืนได้แล้ว “ดีจริง ยืนได้แล้ว” นางยิ้มกว้างแล้วหันมาทางหมอทหารที่แวะเวียนมาดูอาการให้นางวันเว้นวันตามคำสั่งของแม่ทัพหลัว “ฝีมือรักษาของท่านยอดเยี่ยมจริงๆ ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ ” ถูกกล่าวชมต่อหน้าเช่นนี้ แม้จะอายุสี่สิบแล้วก็ร
“ไม่นะ!” นางยื้อมือของเขาไม่ให้ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออก ใบหน้าร้อนผ่าวกลายเป็นสีแดงจัด แต่มือของเขากลายเป็นหนวดปลาหมึกยุบยับบนตัวนาง หญิงสาวพยายามปัดป้องพลิกตัวหนีแต่ทำไม่ได้เลย หลัวหลิวหยางกดร่างเล็กลงบนเตียง ตรึงข้อมือไว้เหนือศีรษะของนาง เขายิ้มเจ้าเล่ห์ โน้มหน้าลงใกล้ริมฝีปากช่างเจรจา ทว่าหางตารับรู้การเคลื่อนไหวที่กระโจนใส่ เขาผงะร่างไปด้านหลังพลิกตัวหลบอย่างฉิวเฉียด เจ้าแมวป่าขาเป๋กระโดดเข้าใส่ มันยืนขู่ฟ่อตัวพองบนร่างของจางฟางซิน “เปาเป่า!” เจ้าแมวป่ากลายเป็นแมวบ้านครางเหมียวๆ ฟังน่าเอ็นดูหมุนตัวมาคลอเคลียหญิงสาวอย่างเอาใจ “เจ้าแมวเนรคุณ!” เขาสบถใส่ “ข้าคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเจ้านะ!” “ท่านแม่ทัพ” นางยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ตาเขา “ข้าเคยอ่านตำรามาว่าสัตว์มีสัญชาตญาณรู้ว่าผู้ใดดีกับมัน เจ้าเปาเป่ายอมรู้ว่าข้ารักมันมากที่สุด จึงมาปกป้องข้าเช่นนี้” แม่ทัพหนุ่มไม่คิดว่าตนเองต้องมาทะเลาะกับแมวขาเป๋ตัวหนึ่ง เจ้าแมวก็ทำเฉยชาไม่สนใจเขาเลยสักนิด แต่ไหนแต่ไรมันก็ไม่เคยสนใจผู้ใดอยู่แล้ว เหตุใดเขาจึงโง่นักที่เล
จางฟางซิน บุตรสาวเสนาบดีตกอับสกุลจาง ในยุคสมัยที่ตระกูลจางยังรุ่งเรื่อง บิดามีภรรยาสองคนทั้งสองเป็นพี่น้องกันตกลงปลงใจใช้สามีร่วมกัน บิดามีบุตรเพียงสองคนคือจางฟางซิน และจางฟางหรง น้องที่เกิดหลังนางแค่ครึ่งชั่วยาม มารดาของนางจากไปตั้งแต่วันที่นางถือกำเนิด หลังจากนั้นสามปีภรรยาอีกคนก็จากไป บิดาเศร้าโศกเสียใจจนร่างกายเจ็บป่วย ก่อนจะสิ้นใจบิดาได้ฝากฝั่งจางฟางซินและจางฟางหรงให้สหายรักช่วยดูแลพร้อมทรัพย์สินก้อนสุดท้ายที่เหลือน้อยนิด จางฟางซินในวัยสิบสองจูงมือจางฟางหรงมายังสำนักศึกษาไผ่หยก ภายใต้การดูแลของสหายรักของบิดานามหยางอี้เสียง และด้วยความสงสารเวทนาจึงรับบุตรของสหายเป็นบุตรบุญธรรมชีวิตของจางฟานซินจึงเริ่มต้นใหม่ที่นี่ จนกระทั้งวันที่นางอายุสิบเจ็ด ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปตลอดกาล....นางไม่อยากเชื่อเลย อีกเพียงไม่กี่ลี้นางจะไปถึงที่หมายแล้วแท้ๆ เหตุใดถึงถูกตามไล่ล่าอย่างไร้หนทางเช่นนี้ จางฟางซินเคยอ่านเรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับชายแดนตะวันออก นางศึกษาทุกอย่างจนมั่นใจว่าตัวเองเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างดียิ่ง ทว่านางไม่คิดว่า การลอบเดินทางที่ใช้เวลาครึ่งเดือนนี้จะมาจบลงที่รถม
เสียงครางด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น เรียกสติของแม่ทัพหนุ่มวัยยี่สิบหกให้หันไปมอง เขาหมุนตัวเดินไปก้มมอง แขนซ้ายมีรอยบาดเป็นทางยาว ดูแล้วไม่น่าจะลึกแต่เลือดไหลออกมามาก แต่ส่วนที่น่าจะเจ็บที่สุด น่าจะเป็นข้อเท้าขวาของนาง“แม่นมเหมยกุ้ยมาแล้วขอรับ”“ท่านแม่ทัพ”แม่นมเหมยกุ้ยเป็นสตรีวัยสี่สิบสองที่ท่านแม่ทัพให้ความเคารพดุจญาติผู้ใหญ่ นางยกชายกระโปรงก้าวเร็วๆ เข้าไปหา พอเห็นสภาพคนที่นอนหมดสติบนเตียงก็อุทานออกมา“รบกวนแม่นมแล้ว”“ได้ๆ ทางนี้ข้าจัดการเอง” นางรับคำอย่างรู้หน้าที่ “เด็กๆ ไปยกน้ำอุ่นมา ผ้าสะอาดด้วย ห้ามผู้ชายเข้าใกล้ และขอเชิญท่านมาทางนี้เจ้าค่ะ”แม่นมเหมยกุ้ยสั่งการรวดเร็ว หลัวหลิวหยางถอนหายใจเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินออกมา เพียงยกเท้าพ้นธรณีประตู เสียงแม่นมก็ดังไล่หลังมาทันที“ข้าสั่งคนเตรียมน้ำอุ่นให้ท่านแม่ทัพแล้ว ท่านควรผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วนะเจ้าค่ะ”“ข้าทราบแล้ว”มุมปากของหลัวหลิวหยางยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่เพราะใบหน้าดุดันอยู่เป็นนิจจึงแทบไม่เห็นรอยยิ้มนั้น ในจวนแห่งนี้มีสตรีน้อยมาก บ่าวไพร่ที่เป็นหญิงล้วนมีแม่นมเหมยกุ้ยคัดเลือกเข้ามาทำงาน เขาจึงวางใจเรื่องเหล่านี้บ้าง รวมทั้ง
มือหยาบกร้านเพราะจับกระบี่กรำศึกมายาวนานยื่นไปปัดม่านมุ้งออก แม้บอกตัวเองว่าอยู่สนามรบมานาน ทว่าเมื่อเห็นสตรีที่หมดสติ แขนเต็มไปด้วยแผลถลอก ร่องรอยขูดขีด ยังเหลือรอยเลือดยังแห้งกรังที่ผมของนาง ข้อเท้าข้างขวาถูกพันผ้าอย่างแน่นหนา เสี้ยวเวลาอันแสนสั้นก่อนหมดสติ ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความตกใจ ปฏิกิริยาในตอนนี้แม้นางยังหลับอยู่ แต่ยังคงเป็นความหวาดกลัว เปลือกตาของนางกระตุก ปลายนิ้วมือขยับเกร็ง หลัวหลิวหยางเอื้อมมือไปกุมมือหญิงสาวไว้โดยไม่ทันคิด“ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าปลอดภัยแล้ว”ไม่ใช่ถ้อยคำอ่อนโยนหวานหู แต่น้ำเสียงหนักแน่นที่พร้อมปกป้องขับไล่ความหวาดกลัวของหญิงสาว นางบีบมือของเขาแน่นราวกับเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยว เขาไม่อาจผละไปจากนางได้จึงค่อยๆ นั่งลงบนเตียงข้างนาง ดวงตาของเขาจ้องมองริมฝีปากของนางพึมพำ แม้รู้ว่านางยังไม่ได้สติแต่เขากลับโน้มตัวลง แนบใบหูใกล้ริมฝีปากของนาง “ท่านช่วยชีวิตข้า” หญิงสาวพึมพำแทบฟังไม่ออก นางลืมตาขึ้นมองเขา แล้วพยายามขยับตัว เพียงการขยับตัวเล็กน้อยก็ทำให้นางหลุดเสียงร้องเจ็บปวดออกมา“นอนลงไป ใจเย็นๆ”“ข้า...” นางพยายามอย่างสุดกำลัง อย่างน้อยนางก็ได้มา
ยามใดที่จางฟางหรงออกไปชุมนุมกับเหล่าบัณฑิต จางฟางซินจะออกไปด้วย นางแต่งกายเป็นบุรุษ แต่ก่อนยังเยาว์วัย จางฟางซินมักแต่งกายเป็นชายเสมอ เพราะนิสัยนางที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตนอกรั้วบ้าน บิดามารดารักใคร่เอ็นดู ตามใจลูกสาวคนเดียว จางฟางหรงจึงเหมือนมีคู่แฝด แต่เมื่อเติบโตขึ้น รูปร่างของเขาสูงโปร่ง ในขณะที่นางอรชรอ้อนแอ้น ความแตกต่างระหว่างชายหญิงเห็นได้เด่นชัด แม้ว่านางพยายามปกปิดเพียงใดก็ตาม ในบางประเด็นที่ถกเถียงกัน จางฟางซินที่แต่งกายเป็นชายติดตามจางฟางหรง ไม่อาจแสดงความคิดใดได้ นางจึงเขียนจดหมายน้อยให้จางฟางหรงเอ่ยตอบไปแทนนาง ปรัชญาเมธีหรือแม้แต่ตำรายุทธ ล้วนเป็นนางที่ท่องจำเข้าใจอย่างท่องแท้ แต่จางฟางหรงมักชอบการเขียนโคลงกลอนชื่นชมความของธรรมชาติและสตรี ทุกครั้งที่นางอยากถกปัญหาบ้านเมือง นางจะเขียนในจดหมายน้อยโดยใช้ชื่อของจางฟางหรง เป็นเช่นนี้มานานจนทุกคนเข้าใจไปว่าจางฟางหรงผู้มีบุคลิกเสเพลเป็นเสือซ่อนเล็บที่ทรงความรู้ความสามารถ แต่เมื่อไปสอบจอหงวนกลับพลาดอย่างน่าเสียดาย แต่กระนั้น ยามใดที่องครัชทายาทมีปัญหาใดมักมาปรึกษากับจางฟางหรง และจางฟางหรงก็หอบปัญหาเหล่านั้นมาให้จางฟาง