Share

Chapter 11. ไม่มีผู้ใดตายเพราะถูกจูบหรอกนะ

เดินหมากกับนางช่างน่าปวดหัว เขาเผลอวางเม็ดหมากไม่ระวัง กว่าจะรู้ตัวก็เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของนางก่อนที่นางจะวางหมากขาวชิงพื้นที่ในกระดานแล้ว แม้ไม่ได้เอ่ยวาจาแต่ก็รู้แล้วว่าหมากกระดานชัยชนะเป็นของผู้ใด

‘ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ออมมือ’ นางยังคงระบายยิ้มเกลือนใบหน้า

‘อีกกระดานเถิด’

‘ไม่ดีกระมัง’ คราวนี้นางหน้ามุ่ย ‘ท่านแม่ทัพมีร่างกายแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า แต่ข้าเป็นเพียงสตรีบอบบางซ้ำขาเจ็บและมีแมวขาเป๋อยู่บนตัก ให้ข้าพักผ่อนเถิดนะ’

‘ข้าก็ลืมไปว่าเจ้าเปราะบางเสียนี่กระไร ขนาดอยู่ในรถม้าที่ตีลังกาหลายตลบยังรอดตายได้’

นางอ้าปากค้างไม่คิดว่าแม่ทัพใหญ่ที่นางชื่นชมจะกล้าประชดประชันนางเช่นนี้  เขาเห็นนางเถียงไม่ออกก็หัวเราะชอบใจ

นางควรบอกเขาดีหรือไม่ ขอเพียงเขายิ้มสักเล็กน้อย หัวเราะมากขึ้นอีกนิด เขาจะเป็นบุรุษที่สตรีเฝ้าคะนึงหา อาจเพราะชื่อเสียงดวงกินภรรยาของเขา และความเด็ดขาดในฐานะแม่ทัพพิทักษ์บูรพาทำให้คนหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้

“เป็นอะไรไป”  หลัวหลิวหยางเอ่ยถามเมื่อเห็นนางมองเขาด้วยสายตาเหม่อลอย

“ข้ากำลังชื่นชมท่านอยู่”  นางตอบไปอย่างที่คิด นางก็เป็นเช่นนี้พูดจาตรงไปตรงมาไม่ค่อยสำรวมนัก อาจเพราะคุ้นเคยกับการแต่งกายเป็นบุรุษ หรือไม่ก็เพราะมีบิดาและพ่อบุญธรรมที่ตามอกตามใจนางจนเสียนิสัยก็เป็นได้ แต่จะให้นางทำตัวว่านอนสอนง่ายเช่นคุณหนูบ้านอื่น นางได้อกแตกตายเป็นแน่

หลัวหลิวหยางอดหัวเราะไม่ได้จริงๆ ช่างเป็นสตรีที่ยิ้มง่ายหัวเราะเก่ง คล้ายว่ารอบกายนางจะมีเพียงเสียงหัวเราะแห่งความสุขที่นำพาความสบายใจมาให้คนใกล้ชิด  ผิดกับเขาที่อยู่ท่ามกลางความเป็นความตายมานาน การที่เขาไม่ค่อยกลับบ้านที่เมืองหลวง มิใช่ว่าอยากตีตัวออกห่างคนในครอบครัว แต่เขารู้สึกว่าตนเองนั้นอาบด้วยกลิ่นอายโลหิตของศัตรู  บางค่ำคืนเขาผวาตื่นจากฝันร้าย เขาฝันถึงเมื่อครั้งที่ตนเองถูกจับกุมทรมานในฐานะเชลยศึก ทุกข์ทรมานจนอยากตายแต่ทำไม่ได้  ในวัยเยาว์เขาคิดว่าตนเองจะต้องยิ่งใหญ่ นำพาคนในครอบครัวให้เป็นที่นับหน้าถือตาไม่ถูกดูแคลน จึงได้มุ่งมั่นเป็นทหาร แต่ไม่เคยคิดว่า การใช้ชีวิตในสนามรบ จะทำให้ความเป็นคนในตัวเขาถูกกลืนกินไปที่ละน้อย จนบ้างครั้งเขาก็คิดว่าตนเองอาจเป็นปีศาจร้ายที่มีดวงชะตากินภรรยาจริงๆ

เห็นจู่ๆ เขาเงียบไป จางฟางซินไม่กล้าหยอกล้อเขาอีก พลันนึกได้ว่าตนเองเป็นหญิงแต่ปากกล้าเย้าหยอกบุรุษเช่นนี้ เขาอาจไม่พอใจก็เป็นได้  โดยเฉพาะเวลานี้ทั้งสองไม่ได้อยู่ในห้องหับตามลำพัง คิดได้ดังนั้นนางจึงไม่มองไปทางเขาอีก เหยียดแผ่นหลังตั้งตรงสงบใจแล้ววางท่วงท่าเป็นกุลสตรีที่แม่ทัพใหญ่พามาที่หอระบำน้ำค้าง ซึ่งจวิ้นอ๋องมีไมตรีเชิญนางและท่านแม่ทัพมาดื่มน้ำชา 

หลัวหลิวหยางตื่นจากภวังค์ เขาไม่ได้ยินเสียงพูดจาหรือเสียงหัวเราะหวานใสของนางจึงปรายตามองไปทางหน้าต่าง  ผ้าม่านที่หน้าตางถูกปลดลงแล้ว เพียงลมผัดผ่านทำให้ผ้าม่านขยับไหวเขาจึงได้เห็นสีหน้านิ่งขรึมของนาง  ไม่รู้ว่านางครุ่นคิดเรื่องใดอยู่ แต่เขาอยากบอกนางว่านี่ไม่เหมาะกับนางเลย นางควรร่าเริงและสดใสราวกับนกน้อยในป่าที่เต็มไปด้วยอิสระเสรี  

หรือเพราะเขาทำให้นางกลัดกลุ้มกังวล  นางเป็นหญิงยอมเสียชื่อเสียงที่ถูกมองว่าเป็นผู้หญิงของเขา แต่เขากลับใช้นางเป็นเครื่องมือให้ผู้อื่นเข้าใจผิดเช่นนั้น เขาควรรับผิดชอบนาง หรือเขาจะทำเรื่องที่ผู้อื่นเข้าใจผิดให้กลายเป็นจริง นางเป็นบุญสาวบุญธรรมของอาจารย์หยางอี้เสียงที่เขาเคารพ ฐานะของนางก็ไม่นับว่าต่ำต้อยไม่เหมาะสมแต่อย่างใด

หากข้างกายของเขามีเสียงหวานใสของนางอยู่เคียงข้างคงดีไม่น้อย 

เงาดำในหัวใจคงสลายไปในสักวัน

รถม้าจอดนิ่งสนิทแล้ว จางฟางซินที่เตรียมตัวเตรียมใจมาพร้อมแล้วค่อยๆ ขยับกายออกมา หลัวหลิวหยางตวัดเท้าลงจากหลังม้าเข้ามาประคองนางลงจากรถม้า โม่โฉวถึงกับออกมาต้อนรับด้วยตนเอง และยังหาเก้าอี้รถเข็นมาให้สตรีของแม่ทัพหลัวอีกด้วย  จางฟางซินกล่าวขอบคุณเสียงเบา  

“ทำให้ทุกท่านลำบากแล้ว”  จางฟางซินหลุบตาลงแสดงท่าทางอ่อนน้อมแลดูอ่อนแอและเปราะบาง  

หลัวหลิวหยางไม่ชอบท่าทางเช่นนี้ของนางเลยสักนิด เขาชื่นชอบความมีชีวิตชีวา การต่อปากต่อคำและท่าทางจริงใจ แม้รู้ว่านางทำไปเผื่อเขา แต่เขากลับหงุดหงิดเสียเอง ท่าทางไม่สบอารมณ์ของหลัวหลิวหยางทำให้โม่โฉวเข้าใจไปว่าเพราะเขาใกล้ชิดจางฟางซิน โม่โฉวประหลาดใจเล็กน้อย ลอบพิศดูสตรีผู้นี้แล้วก็ไม่เห็นว่านางจะมีสิ่งใดโดดเด่นนัก

“ไม่ต้องเกรงใจ ข้าเหมาหอระบำน้ำค้างไว้แล้ว ทำตัวตามสบายเถิด”

‘เหมาหอระบำน้ำค้าง’ จางฟางซินคลี่ยิ้มน้อยๆ แต่ในใจขมวดปมยุ่งเหยิง พลางนึกถึงเรื่องที่พูดคุยกับหลัวหลิวหยาง ดูท่าแล้วจวิ้นอ๋องอยากเอาใจแม่ทัพหลัว แต่เพื่อการใดนั้น นางไม่อาจคาดเดาได้   

“ข้าเห็นว่าแม่นางฟางเท้าเจ็บจึงให้คนจัดเตรียมที่ดื่มน้ำชาที่ศาลาในสวนดอกไม้ด้านหลัง”

“ขอบพระทัยเพคะ”  นางเอ่ยเสียงเบาสะกดความตื่นเต้น ทว่านางรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมองมาทางนางทำให้นางเหลือบตามอง ดวงตาคมปลาบของแม่ทัพหนุ่มมองนางอยู่ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคิดว่านางไม่รู้จักรักษากิริยาหรือไร ถึงนางจะอยากรู้อยากเห็นมากเพียงใดก็รู้กาลเทศะอยู่นะ   

หลัวหลิวหยางเห็นแววตาที่นางจ้องตอบกลับพลันอยากหัวเราะออกมา แต่จะทำเช่นนั้นก็ไม่ได้ จึงแสร้งไอแคกๆ สองสามที เพียงแค่สบตากับแวบเดียวนางกลับรู้ได้ในทันทีว่าเขาคิดอะไรอยู่  หากนางเป็นบุรุษ เขาคงรั้งนางให้เป็นทหารคนสนิท อ้อ! ไม่ได้สินะ นางไม่เป็นวรยุทธ เช่นนั้นให้เป็นกุนซือคอยรับคำสั่งของเขาดีกว่า เอ่อ... คนดื้อรั้นอย่างนางจะรับคำสั่งใครได้หรือ?  แต่นางเป็นสตรีเช่นนี้ก็ดีแล้ว เพราะเขาอยากโอบกอดและปกป้องนางด้วยสองมือของตนเอง

น่าสนใจ! น่าสนใจนัก!  โม่โฉวคลี่พัดปิดรอยยิ้มพึ่งพอใจ เขาไม่เคยเห็นแม่ทัพผู้นี้สนใจสตรีมาก่อน  เห็นทีว่าลงทุนครั้งนี้น่าจะได้ผลตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ

ชายแดนตะวันออกมีอากาศค่อนข้างเย็น แต่ส่งผลดีกับดอกไม้นานาพรรณที่ผลิดอกอวดโฉมเบ่งบานงดงามยิ่งกว่าในเมืองหลวง  จางฟางซินเผลอมองความงามเบื้องหน้าด้วยสีหน้าตื่นเต้น อย่างไรนางก็เป็นหญิง ย่อมชื่นชอบสิ่งสวยงามเป็นธรรมดา

“สวยงามเหลือเกิน”  นางพึมพำแล้วหันหน้าไปหาหลัวหลิวหยาง พลันนึกได้ว่านางควรสำรวมกิริยามากกว่านี้ นางจึงก้มหน้าช้อนสายตามองเขา   

“ข้าไม่รู้ว่าแม่นางจางมีชาใดที่โปรดปราน รู้เพียงแต่แม่ทัพหลัวชื่นชมชาเข็มเงินจวินซานจึงได้เตรียมชานี้ให้แม่นางจาง”

“ขอบพระทัยเพคะ” นางเอ่ย “ชาดี บรรยากาศดี หม่อมฉันช่างโชคดีจริงๆ”

“ข้าดีใจที่แม่นางจางชอบ” โม่โฉวยิ้มแล้วลอบมองหลัวหลิยหยาง เขาจัดที่ให้นั่งสองนั่งใกล้กัน  เขาตบมือสองครั้งเป็นสัญญาณ  ครู่หนึ่งจึงมีหญิงงามชงชาแล้วยกมาให้จางฟางซิน

“นานๆ ท่านแม่ทัพจะพักผ่อนสักครา ข้าถือโอกาสเตรียมสุราดีดื่มกับท่านแม่ทัพ” 

โม่โฉวรอให้สาวงามอีกนางเยื้องย่างกายเข้ามาแล้วรินสุราให้

“สุราเจียนหนานชุน”  จางฟางซินเอ่ยขึ้น “กลิ่นหอมเช่นนี้ต้องเป็นสุราเจียนหนานชุนเป็นแน่”

“นี่คือเหล้าเจียนหนานชุน แม่นางฟางเพียงได้กลิ่นก็รู้แล้ว ยอดเยี่ยมจริงๆ”  

หญิงสาวก้มหน้าเล็กน้อยท่าทางประหม่าเขินอาย “เป็นสุราที่กวีเอกนามหลี่ไป๋ชื่นชอบมาก”

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status