“หลี่ไป๋” หลัวหลิวหยางย่อมเคยได้ยินชื่อกวีเลื่องชื่อ แต่เขาไม่ใช่บุรุษที่ชอบอ่านกลอนเขียนกวี จึงไม่ได้ใส่ใจแม้จะเคยอ่านผ่านตามาบ้าง
“แต่ที่สำคัญกว่าคือท่านแม่ทัพหลัวชื่นชอบสุรานี้เช่นกัน” นางเอ่ยเสียงเบาด้วยท่าทีเขินอาย “พี่หลิวหยางขอข้าชิมสุราในจอกท่านสักนิดได้หรือไม่”
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย นางเรียกเขาว่า ‘พี่’
“พี่หลิวหยางก็รู้ว่าท่านพ่อมิให้ข้าชิมสุรา ทุกครั้งที่ท่านมาเยี่ยมเยือนท่านพ่อก็ชอบหิ้วสุราดีมาเสมอ ข้าทำได้แค่ดมกลิ่นเท่านั้น ข้าอยากรู้ว่ารสชาติที่พี่หลิวหยางชื่นชอบเป็นเช่นไร”
นางออดอ้อนอย่างน่ารัก ทำให้เขาเผลอใจยื่นจอกสุราของตนให้นาง
“สุรารสแรง เจ้าจิบเล็กน้อยก็พอ”
“ขอบคุณพี่หลิวหยาง” นางยื่นมือมารับจอกสุราของเขา ดมกลิ่นสุราแล้วจิบเล็กน้อย สุรารสแรงแต่ละมุนลิ้นทำให้ใบหน้าของนางแดงระเรือขึ้นมา
“พอแล้ว” เขาแย่งจอกสุรากลับคืน
“พี่หลิวหยางอย่าฟ้องพ่อบุญธรรมนะ”
“ข้ารู้”
นางทำท่ามึนศีรษะเอนกายไปทางเขาแล้วกระซิบ “สุราไม่มีพิษ”
หลัวหลิวหยางลอบถอนหายใจ นางห่วงเขาแต่ไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้ แต่ความเป็นห่วงของนางทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว แต่ก่อนมีแต่เขาที่ต้องคอยปกป้องดูแลผู้อื่น แต่ยามนี้มีสตรีบอบบางที่อยากปกป้องเขา ความรู้สึกนี้มันดีต่อใจเหลือเกิน
“ไม่รู้ว่าแม่นางจางสนิทสนมกับแม่ทัพหลัวถึงเพียงนี้” โม่โฉวยกสุราดื่มบ้าง
“พ่อบุญธรรมเป็นอาจารย์ของพี่หลิวหยางเอ่อ ท่านแม่ทัพ ทำให้ได้พบกันบ่อยครั้งเพคะ” จางฟางซินพูดแล้วยกน้ำชาขึ้นจิบ “ชาดี”
“พ่อบุญธรรมของแม่นางจางคืออาจารย์ของแม่ทัพหลัวนี่เอง”
“เพคะ บิดามารดาของหม่อมฉันตายจาก ตอนนั้นหม่อมฉันอายุเพียงสิบสอง แต่ด้วยบิดาของหม่อมฉันเป็นสหายรักกับอาจารย์หยางอี้เสียงจึงได้ฝากฝังหม่อมฉันกับน้องชายให้ช่วยเลี้ยงดู นับแต่นั้นหม่อมฉันกับน้องชายก็คารวะอาจารย์หยางเป็นพ่อบุญธรรมเพคะ”
โม่โฉวพยักหน้ารับ ครู่ต่อมาเสียงเสียงพิณบรรเลงขึ้น ท่วงทำนองไพเราะชวนเคลิ้มฝัน จางฟางซินเห็นสาวงามร่างอรชรนั่งบรรเลงพิณ ท่วงท่างดงาม ใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นก็งดงามไม่น้อย นางปลอมกายเป็นบุรุษออกนอกบ้านพร้อมจางฟางหรง มีโอกาสได้ชิมชาชมบุปผาอยู่บ่อยครั้ง นางเองได้พบสาวงามไม่น้อย แต่ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยไร้ค่าเท่าครั้งนี้ นางอดแปลกใจตนเองไม่ได้ นางรู้ว่าตนไม่ได้ครอบครองความงามล่มเมืองหรือแม้มีเสน่ห์ดึงดูดสายตาบุรุษ นางพอใจที่ตนเองเป็นเช่นนี้ คิดเสมอว่ามีร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนไม่พิกลพิการก็ดีแล้ว แต่พอเห็นสาวงามนั่งบรรเลงเพลงพิณเบื้องหน้า กลับทำให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจชอบกล หรือเพราะนางเห็นสายตาของหลัวหลิวหยางจับจ้องที่สตรีผู้นั้น
เพลงพิณบรรเลงจบลง เสียงปรบมือชื่นชมดังขึ้น หญิงสาวลุกขึ้นย่อกายคารวะแล้วเดินมาหาโม่โฉว แต่ละก้าวเดินราวกับนางพญา สะโพกบิดน้อยๆ ทำให้กระโปรงพลิ้วไหวราวกับนางกำลังร่ายรำ
“ยอดเยี่ยมมากอวี้หมี่”
“จวิ้นอ๋องชมเกินไปแล้วเพคะ” หญิงงามแย้มยิ้มน้อยๆ
“นี่คืออวี้หมี่”
คำแนะนำสั้นกระชับเสียจนจางฟางซินลอบตั้งคำถามในใจ แสดงว่าไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ หรือต้องการกระตุ้นความอยากรู้ หญิงงามที่มีเสน่ห์ลึกลับดึงดูดใจบุรุษได้ไม่น้อย วิธีนี้เป็นหนึ่งในหลายกลยุทธ์ที่สาวงามชอบใช้ บางทีนางก็นึกขอบคุณจางฟางหรงที่ยอมให้นางติดตามไปด้วย ทำให้นางได้เปิดหูเปิดตาซ้ำยังเข้าใจอะไรมากขึ้น และดูท่าแผนสาวงามลึกลับจะใช้กับแม่ทัพหลัวได้ผล เพราะสายตาของเขาจับจ้องที่สตรีผู้นี้
“อวี้หมี่ของคารวะทุกท่าน” นางย่อกายคารวะแช่มช้อย “ได้ยินชื่อเสียงแม่ทัพหลัวมานาน วันนี้อวี้หมี่มีวาสนาได้พบท่าน รู้สึกดีใจยิ่ง”
“แม่นางกล่าวเกินไปแล้ว” แม่ทัพหนุ่มเอ่ย
อวี้หมี่ยิ้มน้อยๆ แล้วหันมาทางจางฟางซิน “ได้ยินว่าแม่นางจางมาจากเมืองหลวง อวี้หมี่เป็นหญิงบ้านนอกอยู่ชายแดนห่างไกลใคร่อยากฟังเพลงพิณจากฝีมือแม่นางจางสักเพลงได้หรือไม่”
“เรื่องนั้น...”
นางฉีกยิ้มกว้าง สตรีในเมืองหลวงล้วนโดดเด่นด้วยเพลงพิณ เดินหมาก เขียนโคลงกลอน เขียนภาพ นางทำได้แต่ไม่ดีนัก วันทั้งวันนางแต่งกายเป็นบุรุษแอบย่องเข้าไปในห้องเรียน นั่งอยู่ท้ายสุดหรือไม่ก็แอบหมอบต่ำที่ขอบหน้าต่าง เพื่อจะได้ยินว่าผู้อื่นเรียนปรัชญาถึงบทไหน พ่อบุญธรรมเองก็ไม่เคยฝืนใจ
นางกลอกตามองไปทางหลัวหลิวหยางเพื่อขอความช่วยเหลือ
“เมื่อวานข้าพาฟางซินไปที่แม่น้ำดุจดารา นางต้องลมเย็นจึงไม่ค่อยสบายนัก”
หลัวหลิวหยางช่วยกอบกู้สถานการณ์ให้ จางฟางซินเกือบจะยิ้มขอบคุณเขาแล้ว แต่รอยยิ้มของนางต้องแข็งค้างเมื่อเขากล่าวต่อว่า
“หากไม่ถือสา ข้าขอบรรเลงเพลงพิณกับแม่นางอวี้ได้หรือไม่”
“ย่อมเป็นเรื่องดียิ่ง” อวี้หมี่ดีใจจนไม่อาจเก็บอาการได้ นางมองร่างสูงสง่าของแม่ทัพหลัวเดินไปเบื้องหน้า เขารอจนอวี้หมี่นั่งลงแล้วจึงนั่งใกล้ๆ นาง ให้หญิงสาววางนิ้วบนสายพิณ นางไม่ได้บอกเขาว่าจะบรรเลงเพลงใด แต่เขากลับรู้ในทันทีที่นางเริ่มกรีดสายพิณ
“ไม่คิดว่าแม่ทัพหลัวจะเป็นคนสุทรีย์เช่นนี้” โม่โฉวกล่างชื่นชมแต่คล้ายพูดให้จางฟางซินได้ยิน เขาลอบมองสีหน้าของหญิงสาวที่แม้จะระบายรอยยิ้มน้อยๆ แต่ดวงตามีรอยวูบไหว
จางฟางซินไม่ได้เอ่ยอะไรกับโม่โฉว หนึ่งหญิงงาม หนึ่งบุรุษองอาจ ร่วมบรรเลงพิณช่างน่าดูเหลือเกิน เมื่อเสียงสุดท้ายจบลงก็ตามด้วยปรบมือชื่นชม หลัวหลิวหยางสบตากับจางฟางซินคิดว่านางคงลอบเบ้ปากหรือกลอกตามองบนใส่เขา ทว่าเขากลับเห็นแววตาปวดร้าวของนางแทน
เกิดอะไรขึ้น นางเจ็บแผลหรือว่าถูกโม่โฉวรังแก
จางฟางซินได้สติก็รีบก้มหน้าหลบสายตาของเขา เตือนตัวเองให้ระวังให้มากขึ้นและควรเก็บซ่อนความรู้สึกให้มิดชิดกว่านี้
หลัวหลิวหยางช่วยประคองอวี้หมี่เดินกลับมานั่งข้างโม่โฉว เขากลับมานั่งที่เดิม แต่เห็นกิริยาแปลกๆ ของนางแล้ว เขาก็ก้มหน้าลงกระซิบถามนางเบาๆ
“เหนื่อยรึ”
“เปล่า” นางรีบเงยหน้าขึ้นตอบ ระบายยิ้มเกลือนใบหน้า
“ได้ยินว่าแม่นางจางไปชมทัศนียภาพแถบบริเวณแม่น้ำดุจดารา”
“เพคะ น้ำใสไหลเย็น ยามแสงอาทิตย์ต้องผิวน้ำสะท้อนแสงระยิบระยับงดงามราวดวงดาว”
“แม่น้ำสายนั้นหล่อเลี้ยงผู้คนสองแคว้น และยังมีตำนานเรื่องเล่าอีกด้วย”
“เรื่องเล่า? เรื่องเล่าอันใดหรือเพคะ” นางอดถามไม่ได้
โม่โฉวหัวเราะออกมา “เป็นเพียงนิทานเล่าสืบทอดกันมา ว่ากันว่าบนภูเขามีปีศาจร้ายตนหนึ่ง เพราะก่อกรรมทำเข็นไว้มากจึงถูกนักพรตผนึกไว้ให้สำนึกตนบนเขา เวลาผ่านไปหลายร้อยปี มีหญิงสาวชาวบ้าน มารดาของนางป่วยหนักแต่ครอบครัวของนางยากจน นางจึงขึ้นเขาไปหาสมุนไพรด้วยตนเอง จนได้พบปีศาจตนนั้น มันยื่นเงื่อนไขให้หญิงสาว หากมันบอกตำแหน่งที่โสมล้ำค่านั้นอยู่ นางต้องเป็นเจ้าสาวให้มัน หญิงสาวยอมตกและเมื่อได้โสมคนแล้ว นางก็รีบลงจากเขาไปทันที ปีศาจตนนั้นได้แต่หัวเราะเยาะเย้ย คิดว่านางไม่กลับมาเป็นแน่ มันเป็นปีศาจ จะมีมนุษย์คนใดกล้าแต่งงานกับเขาเล่า”
โม่โฉวนิ่งไปไม่ยอมพูดต่อ ทำให้คนฟังกระวนกระวายใจด้วยความอยากรู้ อวี้หมี่จึงช่วยเล่าต่อ
“ทว่าผ่านไปเจ็ดวัน นางย้อนกลับพร้อมสวมชุดเจ้าสาวสีแดงสด นางรักษาคำพูดและขอเพียงได้ใส่ชุดเจ้าสาวสักครั้ง นางกลับบ้านไปเพื่อปรนนิบัติมารดาและตัดชุดเจ้าสาวให้ตนเอง เมื่อมารดาดีขึ้นนางบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดและขอลามารดาเพื่อไปเป็นเจ้าของปีศาจ ปีศาจตนนั้นดีใจมากดูแลหญิงชาวบ้านผู้นั้นอย่างดี มารดาของนางหายจากโรคร้ายก็ขอร้องให้คนในหมู่บ้านไปช่วยบุตรสาวของตนจากปีศาจร้าย หญิงสาวหลงรักปีศาจร้ายแต่ผู้อื่นเข้าใจว่านางต้องมนตร์ดำ นางถูกพาตัวกลับออกมา ปีศาจร้ายไม่อาจลงจากเขาได้จึงได้แต่กู่ร้องโหยหวน หญิงสาวได้ยินเสียงก็แทบคลุ้มคลั่งดิ้นรนจากการกุมตัวจนพลาดพลั้งตกน้ำในแม่น้ำดุจดารา เพราะจิตใจผูกพันปีศาจรับรู้ได้ว่านางตกอยู่ในอันตรายจึงรวบรวมพละกำลังฝ่าเส้นอาคมของนักพรตออกมา กระโจนไปช่วยหญิงคนรัก นางรอดพ้นความตายแต่ร่างกายของปีศาจสลายเป็นธุลี”
“มีเรื่องเล่าเช่นนี้ด้วย” จางฟางซินถอดถอนใจจากเรื่องราวที่ได้ยิน นางลอบมองหลัวหลิวหยางที่ยกสุราขึ้นดื่ม“เหตุใดพี่หลิวหยางไม่เล่าให้ข้ารู้บ้าง”“ข้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้” เขาตอบ “เป็นแค่นิทานเล่าขานของคนที่นี้” อวี้หมี่พูดด้วยรอยยิ้มจางฟางซินแปลกใจที่เห็นเขาดื่มสุรามากขึ้น ระหว่างที่อยู่ที่จวน นางไม่เห็นเขาดื่มสุรา นางคาดเดาได้ว่าเขาคงคอแข็งไม่น้อย แต่เห็นเขามอมตัวเองเช่นนี้ นางไม่เข้าใจ นางเผลอยกมือขึ้นนวดขมับ แม้หลัวหลิว หยางไม่ได้มองนางตรงๆ แต่ทุกการเคลื่อนไหวของนางอยู่ในสายตาของเขา ชายหนุ่มจึงยื่นมือไปจับมือที่กำลังนวดขมับอยู่“ไม่สบายรึ? ปวดหัวหรือ?”นางไม่ตอบแต่กัดริมฝีปากครุ่นคิด ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการไปจากที่นี้หรือต้องการให้นางไปกันแน่ เพราะดูเหมือนสายตาของเขาจะอยู่ที่หญิงงามอวี้หมี่ “แม่นางจางไม่สบายรึ” โม่โฉวถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ตามหมอดีหรือไม่”“หม่อมฉันอยากพักผ่อน ต้องขอโทษที่ทำให้ทุกท่านหมดสนุกเพคะ”“แม่นางจางอย่าได้กล่าวเช่นนั้น” โม่โฉวโบกมือไปมา “เจ้าเองยังไม่หายดี เป็นข้าที่เอาแต่ใจฝืนใจให้เจ้ามาชิมชาชมบุบผาเช่นนี้”“กระหม่อมขอพาฟางซินกลับก่อน โอกาสหน้
“หากท่านไม่รีบลงมือ ผู้อื่นอาจช่วงชิงนางไปก็ได้” “ใครกล้า!” เขาเผลอทุบโต๊ะอย่างแรงเสียงดังปัง! บ่าวรับใช้ที่รอด้านนอกได้ยินจนสะดุ้งตัวสั่น “ข้าแค่กล่าวเตือนท่าน หากท่านหวงแหนนางถึงเพียงนี้ก็รีบทำในสิ่งที่ควรทำเถิด” “ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน!” “ท่านหมอมาตรวจแผลให้นาง อยู่ที่เรือนของนางนั้นแหละ” แม่นมเหมยกุ้ยเบี่ยงกายเล็กน้อยให้หลัวหลิวหยางที่ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวยาวๆ ออกไปไม่สนใจนางเลยสักนิด แม่นมได้แต่ส่ายหน้าไปมา ถ้านางไม่กระตุ้นเช่นนี้ เห็นทีว่าแม่ทัพหนุ่มผู้นี้อาจทำให้สตรีในดวงใจหลุดมือไป จางฟางซินวาดเท้าลงบนพื้น ผ้าที่เคยพันรอบข้อเท้าไม่แน่นหนาเช่นแต่ก่อน นางสูดลมหายใจลึกก่อนค่อยยันกายขึ้นยืนโดยมีเสี่ยวจิ้งคอยประคอง แม้เจ็บแปลบอยู่บ้างแต่นางก็สามารถยืนได้แล้ว “ดีจริง ยืนได้แล้ว” นางยิ้มกว้างแล้วหันมาทางหมอทหารที่แวะเวียนมาดูอาการให้นางวันเว้นวันตามคำสั่งของแม่ทัพหลัว “ฝีมือรักษาของท่านยอดเยี่ยมจริงๆ ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ ” ถูกกล่าวชมต่อหน้าเช่นนี้ แม้จะอายุสี่สิบแล้วก็ร
“ไม่นะ!” นางยื้อมือของเขาไม่ให้ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออก ใบหน้าร้อนผ่าวกลายเป็นสีแดงจัด แต่มือของเขากลายเป็นหนวดปลาหมึกยุบยับบนตัวนาง หญิงสาวพยายามปัดป้องพลิกตัวหนีแต่ทำไม่ได้เลย หลัวหลิวหยางกดร่างเล็กลงบนเตียง ตรึงข้อมือไว้เหนือศีรษะของนาง เขายิ้มเจ้าเล่ห์ โน้มหน้าลงใกล้ริมฝีปากช่างเจรจา ทว่าหางตารับรู้การเคลื่อนไหวที่กระโจนใส่ เขาผงะร่างไปด้านหลังพลิกตัวหลบอย่างฉิวเฉียด เจ้าแมวป่าขาเป๋กระโดดเข้าใส่ มันยืนขู่ฟ่อตัวพองบนร่างของจางฟางซิน “เปาเป่า!” เจ้าแมวป่ากลายเป็นแมวบ้านครางเหมียวๆ ฟังน่าเอ็นดูหมุนตัวมาคลอเคลียหญิงสาวอย่างเอาใจ “เจ้าแมวเนรคุณ!” เขาสบถใส่ “ข้าคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเจ้านะ!” “ท่านแม่ทัพ” นางยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ตาเขา “ข้าเคยอ่านตำรามาว่าสัตว์มีสัญชาตญาณรู้ว่าผู้ใดดีกับมัน เจ้าเปาเป่ายอมรู้ว่าข้ารักมันมากที่สุด จึงมาปกป้องข้าเช่นนี้” แม่ทัพหนุ่มไม่คิดว่าตนเองต้องมาทะเลาะกับแมวขาเป๋ตัวหนึ่ง เจ้าแมวก็ทำเฉยชาไม่สนใจเขาเลยสักนิด แต่ไหนแต่ไรมันก็ไม่เคยสนใจผู้ใดอยู่แล้ว เหตุใดเขาจึงโง่นักที่เล
จางฟางซิน บุตรสาวเสนาบดีตกอับสกุลจาง ในยุคสมัยที่ตระกูลจางยังรุ่งเรื่อง บิดามีภรรยาสองคนทั้งสองเป็นพี่น้องกันตกลงปลงใจใช้สามีร่วมกัน บิดามีบุตรเพียงสองคนคือจางฟางซิน และจางฟางหรง น้องที่เกิดหลังนางแค่ครึ่งชั่วยาม มารดาของนางจากไปตั้งแต่วันที่นางถือกำเนิด หลังจากนั้นสามปีภรรยาอีกคนก็จากไป บิดาเศร้าโศกเสียใจจนร่างกายเจ็บป่วย ก่อนจะสิ้นใจบิดาได้ฝากฝั่งจางฟางซินและจางฟางหรงให้สหายรักช่วยดูแลพร้อมทรัพย์สินก้อนสุดท้ายที่เหลือน้อยนิด จางฟางซินในวัยสิบสองจูงมือจางฟางหรงมายังสำนักศึกษาไผ่หยก ภายใต้การดูแลของสหายรักของบิดานามหยางอี้เสียง และด้วยความสงสารเวทนาจึงรับบุตรของสหายเป็นบุตรบุญธรรมชีวิตของจางฟานซินจึงเริ่มต้นใหม่ที่นี่ จนกระทั้งวันที่นางอายุสิบเจ็ด ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปตลอดกาล....นางไม่อยากเชื่อเลย อีกเพียงไม่กี่ลี้นางจะไปถึงที่หมายแล้วแท้ๆ เหตุใดถึงถูกตามไล่ล่าอย่างไร้หนทางเช่นนี้ จางฟางซินเคยอ่านเรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับชายแดนตะวันออก นางศึกษาทุกอย่างจนมั่นใจว่าตัวเองเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างดียิ่ง ทว่านางไม่คิดว่า การลอบเดินทางที่ใช้เวลาครึ่งเดือนนี้จะมาจบลงที่รถม
เสียงครางด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น เรียกสติของแม่ทัพหนุ่มวัยยี่สิบหกให้หันไปมอง เขาหมุนตัวเดินไปก้มมอง แขนซ้ายมีรอยบาดเป็นทางยาว ดูแล้วไม่น่าจะลึกแต่เลือดไหลออกมามาก แต่ส่วนที่น่าจะเจ็บที่สุด น่าจะเป็นข้อเท้าขวาของนาง“แม่นมเหมยกุ้ยมาแล้วขอรับ”“ท่านแม่ทัพ”แม่นมเหมยกุ้ยเป็นสตรีวัยสี่สิบสองที่ท่านแม่ทัพให้ความเคารพดุจญาติผู้ใหญ่ นางยกชายกระโปรงก้าวเร็วๆ เข้าไปหา พอเห็นสภาพคนที่นอนหมดสติบนเตียงก็อุทานออกมา“รบกวนแม่นมแล้ว”“ได้ๆ ทางนี้ข้าจัดการเอง” นางรับคำอย่างรู้หน้าที่ “เด็กๆ ไปยกน้ำอุ่นมา ผ้าสะอาดด้วย ห้ามผู้ชายเข้าใกล้ และขอเชิญท่านมาทางนี้เจ้าค่ะ”แม่นมเหมยกุ้ยสั่งการรวดเร็ว หลัวหลิวหยางถอนหายใจเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินออกมา เพียงยกเท้าพ้นธรณีประตู เสียงแม่นมก็ดังไล่หลังมาทันที“ข้าสั่งคนเตรียมน้ำอุ่นให้ท่านแม่ทัพแล้ว ท่านควรผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วนะเจ้าค่ะ”“ข้าทราบแล้ว”มุมปากของหลัวหลิวหยางยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่เพราะใบหน้าดุดันอยู่เป็นนิจจึงแทบไม่เห็นรอยยิ้มนั้น ในจวนแห่งนี้มีสตรีน้อยมาก บ่าวไพร่ที่เป็นหญิงล้วนมีแม่นมเหมยกุ้ยคัดเลือกเข้ามาทำงาน เขาจึงวางใจเรื่องเหล่านี้บ้าง รวมทั้ง
มือหยาบกร้านเพราะจับกระบี่กรำศึกมายาวนานยื่นไปปัดม่านมุ้งออก แม้บอกตัวเองว่าอยู่สนามรบมานาน ทว่าเมื่อเห็นสตรีที่หมดสติ แขนเต็มไปด้วยแผลถลอก ร่องรอยขูดขีด ยังเหลือรอยเลือดยังแห้งกรังที่ผมของนาง ข้อเท้าข้างขวาถูกพันผ้าอย่างแน่นหนา เสี้ยวเวลาอันแสนสั้นก่อนหมดสติ ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความตกใจ ปฏิกิริยาในตอนนี้แม้นางยังหลับอยู่ แต่ยังคงเป็นความหวาดกลัว เปลือกตาของนางกระตุก ปลายนิ้วมือขยับเกร็ง หลัวหลิวหยางเอื้อมมือไปกุมมือหญิงสาวไว้โดยไม่ทันคิด“ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าปลอดภัยแล้ว”ไม่ใช่ถ้อยคำอ่อนโยนหวานหู แต่น้ำเสียงหนักแน่นที่พร้อมปกป้องขับไล่ความหวาดกลัวของหญิงสาว นางบีบมือของเขาแน่นราวกับเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยว เขาไม่อาจผละไปจากนางได้จึงค่อยๆ นั่งลงบนเตียงข้างนาง ดวงตาของเขาจ้องมองริมฝีปากของนางพึมพำ แม้รู้ว่านางยังไม่ได้สติแต่เขากลับโน้มตัวลง แนบใบหูใกล้ริมฝีปากของนาง “ท่านช่วยชีวิตข้า” หญิงสาวพึมพำแทบฟังไม่ออก นางลืมตาขึ้นมองเขา แล้วพยายามขยับตัว เพียงการขยับตัวเล็กน้อยก็ทำให้นางหลุดเสียงร้องเจ็บปวดออกมา“นอนลงไป ใจเย็นๆ”“ข้า...” นางพยายามอย่างสุดกำลัง อย่างน้อยนางก็ได้มา
ยามใดที่จางฟางหรงออกไปชุมนุมกับเหล่าบัณฑิต จางฟางซินจะออกไปด้วย นางแต่งกายเป็นบุรุษ แต่ก่อนยังเยาว์วัย จางฟางซินมักแต่งกายเป็นชายเสมอ เพราะนิสัยนางที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตนอกรั้วบ้าน บิดามารดารักใคร่เอ็นดู ตามใจลูกสาวคนเดียว จางฟางหรงจึงเหมือนมีคู่แฝด แต่เมื่อเติบโตขึ้น รูปร่างของเขาสูงโปร่ง ในขณะที่นางอรชรอ้อนแอ้น ความแตกต่างระหว่างชายหญิงเห็นได้เด่นชัด แม้ว่านางพยายามปกปิดเพียงใดก็ตาม ในบางประเด็นที่ถกเถียงกัน จางฟางซินที่แต่งกายเป็นชายติดตามจางฟางหรง ไม่อาจแสดงความคิดใดได้ นางจึงเขียนจดหมายน้อยให้จางฟางหรงเอ่ยตอบไปแทนนาง ปรัชญาเมธีหรือแม้แต่ตำรายุทธ ล้วนเป็นนางที่ท่องจำเข้าใจอย่างท่องแท้ แต่จางฟางหรงมักชอบการเขียนโคลงกลอนชื่นชมความของธรรมชาติและสตรี ทุกครั้งที่นางอยากถกปัญหาบ้านเมือง นางจะเขียนในจดหมายน้อยโดยใช้ชื่อของจางฟางหรง เป็นเช่นนี้มานานจนทุกคนเข้าใจไปว่าจางฟางหรงผู้มีบุคลิกเสเพลเป็นเสือซ่อนเล็บที่ทรงความรู้ความสามารถ แต่เมื่อไปสอบจอหงวนกลับพลาดอย่างน่าเสียดาย แต่กระนั้น ยามใดที่องครัชทายาทมีปัญหาใดมักมาปรึกษากับจางฟางหรง และจางฟางหรงก็หอบปัญหาเหล่านั้นมาให้จางฟาง
“ข้ารู้แค่ว่านี่เป็นป้ายประจำตัวองค์รัชทายาท” เขากอดอกยืนฟังนาง พยายามสนใจเพียงดวงตากลมโตสีนิล ไม่มองผิวกายเนียนละเอียดที่เต็มไปด้วยรอยบอบช้ำ ตลอดการเดินทาง นางครุ่นคิดอยู่หลายตลบว่าจะเริ่มเรื่องอย่างไรให้เขาเชื่อใจนาง จะแสดงตัวเช่นไรไม่ให้ถูกจับได้ว่าเป็นหญิง แต่เมื่อฐานะถูกเปิดเผยแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะต้องปิดบังอันใดอีก นางสูดลมหายใจแล้วเอ่ยออกมา“ข้าคือจางฟางหรง”“หือ?” หลัวหลิวหยางเลิกคิ้วประหลาดใจ “จางฟางหรง?”“จางฟางหรงที่เขียนจดหมายโต้ตอบกับท่าน” นางยังคงสงบใจกล่าวต่อ “ข้าเคยพบจางฟางหรง เขาเป็นบุตรบุญธรรมของอาจารย์ข้า เขาเป็นบุรุษมิใช่สตรี”“ถูกต้อง จางฟางหรงที่ท่านแม่ทัพพบคือน้องชายต่างมารดาของข้า ข้าชื่อจางฟางซิน ข้าและจางฟางหรงเป็นบุตรบุญธรรมของอาจารย์ หยางอี้เสียง” นางแนะนำตัวเอง และเมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดจะพูดขัด นางจึงพูดต่อ “คนที่เขียนจดหมายถึงท่านคือข้า ข้าใช้ชื่อของน้องชายเพื่อคุยกับท่าน”แววตาของหลัวหลิวหยางประหลาดใจเล็กน้อย เดิมทีเขาสงสัยมาตลอด บุรุษอย่างจางฟางหรงดูเหมือนคนที่ไม่สนใจตำราพิชัยยุทธ์ ไม่ชอบการทหาร แต่กลับแลกเปลี่ยนความคิดกับเขาและเสนอแนวทางให้เขาหลาย