Share

Chapter 12. ที่สำคัญกว่าคือ...

“หลี่ไป๋”  หลัวหลิวหยางย่อมเคยได้ยินชื่อกวีเลื่องชื่อ แต่เขาไม่ใช่บุรุษที่ชอบอ่านกลอนเขียนกวี จึงไม่ได้ใส่ใจแม้จะเคยอ่านผ่านตามาบ้าง

“แต่ที่สำคัญกว่าคือท่านแม่ทัพหลัวชื่นชอบสุรานี้เช่นกัน”  นางเอ่ยเสียงเบาด้วยท่าทีเขินอาย “พี่หลิวหยางขอข้าชิมสุราในจอกท่านสักนิดได้หรือไม่” 

เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย นางเรียกเขาว่า ‘พี่’

“พี่หลิวหยางก็รู้ว่าท่านพ่อมิให้ข้าชิมสุรา ทุกครั้งที่ท่านมาเยี่ยมเยือนท่านพ่อก็ชอบหิ้วสุราดีมาเสมอ ข้าทำได้แค่ดมกลิ่นเท่านั้น ข้าอยากรู้ว่ารสชาติที่พี่หลิวหยางชื่นชอบเป็นเช่นไร”

นางออดอ้อนอย่างน่ารัก ทำให้เขาเผลอใจยื่นจอกสุราของตนให้นาง

“สุรารสแรง เจ้าจิบเล็กน้อยก็พอ”

“ขอบคุณพี่หลิวหยาง”  นางยื่นมือมารับจอกสุราของเขา ดมกลิ่นสุราแล้วจิบเล็กน้อย สุรารสแรงแต่ละมุนลิ้นทำให้ใบหน้าของนางแดงระเรือขึ้นมา   

“พอแล้ว” เขาแย่งจอกสุรากลับคืน

“พี่หลิวหยางอย่าฟ้องพ่อบุญธรรมนะ”  

“ข้ารู้”  

นางทำท่ามึนศีรษะเอนกายไปทางเขาแล้วกระซิบ “สุราไม่มีพิษ”

หลัวหลิวหยางลอบถอนหายใจ นางห่วงเขาแต่ไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้ แต่ความเป็นห่วงของนางทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว แต่ก่อนมีแต่เขาที่ต้องคอยปกป้องดูแลผู้อื่น แต่ยามนี้มีสตรีบอบบางที่อยากปกป้องเขา ความรู้สึกนี้มันดีต่อใจเหลือเกิน

“ไม่รู้ว่าแม่นางจางสนิทสนมกับแม่ทัพหลัวถึงเพียงนี้” โม่โฉวยกสุราดื่มบ้าง  

“พ่อบุญธรรมเป็นอาจารย์ของพี่หลิวหยางเอ่อ ท่านแม่ทัพ ทำให้ได้พบกันบ่อยครั้งเพคะ”  จางฟางซินพูดแล้วยกน้ำชาขึ้นจิบ “ชาดี”

“พ่อบุญธรรมของแม่นางจางคืออาจารย์ของแม่ทัพหลัวนี่เอง”

“เพคะ บิดามารดาของหม่อมฉันตายจาก ตอนนั้นหม่อมฉันอายุเพียงสิบสอง แต่ด้วยบิดาของหม่อมฉันเป็นสหายรักกับอาจารย์หยางอี้เสียงจึงได้ฝากฝังหม่อมฉันกับน้องชายให้ช่วยเลี้ยงดู นับแต่นั้นหม่อมฉันกับน้องชายก็คารวะอาจารย์หยางเป็นพ่อบุญธรรมเพคะ”

โม่โฉวพยักหน้ารับ ครู่ต่อมาเสียงเสียงพิณบรรเลงขึ้น ท่วงทำนองไพเราะชวนเคลิ้มฝัน จางฟางซินเห็นสาวงามร่างอรชรนั่งบรรเลงพิณ ท่วงท่างดงาม ใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นก็งดงามไม่น้อย  นางปลอมกายเป็นบุรุษออกนอกบ้านพร้อมจางฟางหรง มีโอกาสได้ชิมชาชมบุปผาอยู่บ่อยครั้ง นางเองได้พบสาวงามไม่น้อย  แต่ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยไร้ค่าเท่าครั้งนี้  นางอดแปลกใจตนเองไม่ได้ นางรู้ว่าตนไม่ได้ครอบครองความงามล่มเมืองหรือแม้มีเสน่ห์ดึงดูดสายตาบุรุษ  นางพอใจที่ตนเองเป็นเช่นนี้ คิดเสมอว่ามีร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนไม่พิกลพิการก็ดีแล้ว  แต่พอเห็นสาวงามนั่งบรรเลงเพลงพิณเบื้องหน้า กลับทำให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจชอบกล หรือเพราะนางเห็นสายตาของหลัวหลิวหยางจับจ้องที่สตรีผู้นั้น

เพลงพิณบรรเลงจบลง เสียงปรบมือชื่นชมดังขึ้น หญิงสาวลุกขึ้นย่อกายคารวะแล้วเดินมาหาโม่โฉว แต่ละก้าวเดินราวกับนางพญา สะโพกบิดน้อยๆ ทำให้กระโปรงพลิ้วไหวราวกับนางกำลังร่ายรำ

“ยอดเยี่ยมมากอวี้หมี่”

“จวิ้นอ๋องชมเกินไปแล้วเพคะ”  หญิงงามแย้มยิ้มน้อยๆ

“นี่คืออวี้หมี่”  

คำแนะนำสั้นกระชับเสียจนจางฟางซินลอบตั้งคำถามในใจ แสดงว่าไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ หรือต้องการกระตุ้นความอยากรู้  หญิงงามที่มีเสน่ห์ลึกลับดึงดูดใจบุรุษได้ไม่น้อย วิธีนี้เป็นหนึ่งในหลายกลยุทธ์ที่สาวงามชอบใช้ บางทีนางก็นึกขอบคุณจางฟางหรงที่ยอมให้นางติดตามไปด้วย ทำให้นางได้เปิดหูเปิดตาซ้ำยังเข้าใจอะไรมากขึ้น  และดูท่าแผนสาวงามลึกลับจะใช้กับแม่ทัพหลัวได้ผล  เพราะสายตาของเขาจับจ้องที่สตรีผู้นี้

“อวี้หมี่ของคารวะทุกท่าน”  นางย่อกายคารวะแช่มช้อย “ได้ยินชื่อเสียงแม่ทัพหลัวมานาน วันนี้อวี้หมี่มีวาสนาได้พบท่าน รู้สึกดีใจยิ่ง”

“แม่นางกล่าวเกินไปแล้ว”  แม่ทัพหนุ่มเอ่ย

อวี้หมี่ยิ้มน้อยๆ แล้วหันมาทางจางฟางซิน “ได้ยินว่าแม่นางจางมาจากเมืองหลวง อวี้หมี่เป็นหญิงบ้านนอกอยู่ชายแดนห่างไกลใคร่อยากฟังเพลงพิณจากฝีมือแม่นางจางสักเพลงได้หรือไม่”

“เรื่องนั้น...”

นางฉีกยิ้มกว้าง สตรีในเมืองหลวงล้วนโดดเด่นด้วยเพลงพิณ เดินหมาก เขียนโคลงกลอน เขียนภาพ  นางทำได้แต่ไม่ดีนัก วันทั้งวันนางแต่งกายเป็นบุรุษแอบย่องเข้าไปในห้องเรียน นั่งอยู่ท้ายสุดหรือไม่ก็แอบหมอบต่ำที่ขอบหน้าต่าง เพื่อจะได้ยินว่าผู้อื่นเรียนปรัชญาถึงบทไหน  พ่อบุญธรรมเองก็ไม่เคยฝืนใจ

นางกลอกตามองไปทางหลัวหลิวหยางเพื่อขอความช่วยเหลือ

“เมื่อวานข้าพาฟางซินไปที่แม่น้ำดุจดารา นางต้องลมเย็นจึงไม่ค่อยสบายนัก” 

            หลัวหลิวหยางช่วยกอบกู้สถานการณ์ให้ จางฟางซินเกือบจะยิ้มขอบคุณเขาแล้ว แต่รอยยิ้มของนางต้องแข็งค้างเมื่อเขากล่าวต่อว่า

“หากไม่ถือสา ข้าขอบรรเลงเพลงพิณกับแม่นางอวี้ได้หรือไม่”

“ย่อมเป็นเรื่องดียิ่ง”  อวี้หมี่ดีใจจนไม่อาจเก็บอาการได้  นางมองร่างสูงสง่าของแม่ทัพหลัวเดินไปเบื้องหน้า เขารอจนอวี้หมี่นั่งลงแล้วจึงนั่งใกล้ๆ นาง ให้หญิงสาววางนิ้วบนสายพิณ นางไม่ได้บอกเขาว่าจะบรรเลงเพลงใด แต่เขากลับรู้ในทันทีที่นางเริ่มกรีดสายพิณ  

“ไม่คิดว่าแม่ทัพหลัวจะเป็นคนสุทรีย์เช่นนี้” โม่โฉวกล่างชื่นชมแต่คล้ายพูดให้จางฟางซินได้ยิน เขาลอบมองสีหน้าของหญิงสาวที่แม้จะระบายรอยยิ้มน้อยๆ แต่ดวงตามีรอยวูบไหว

จางฟางซินไม่ได้เอ่ยอะไรกับโม่โฉว หนึ่งหญิงงาม หนึ่งบุรุษองอาจ ร่วมบรรเลงพิณช่างน่าดูเหลือเกิน  เมื่อเสียงสุดท้ายจบลงก็ตามด้วยปรบมือชื่นชม หลัวหลิวหยางสบตากับจางฟางซินคิดว่านางคงลอบเบ้ปากหรือกลอกตามองบนใส่เขา ทว่าเขากลับเห็นแววตาปวดร้าวของนางแทน

เกิดอะไรขึ้น นางเจ็บแผลหรือว่าถูกโม่โฉวรังแก

จางฟางซินได้สติก็รีบก้มหน้าหลบสายตาของเขา เตือนตัวเองให้ระวังให้มากขึ้นและควรเก็บซ่อนความรู้สึกให้มิดชิดกว่านี้   

หลัวหลิวหยางช่วยประคองอวี้หมี่เดินกลับมานั่งข้างโม่โฉว เขากลับมานั่งที่เดิม แต่เห็นกิริยาแปลกๆ ของนางแล้ว เขาก็ก้มหน้าลงกระซิบถามนางเบาๆ

“เหนื่อยรึ”

“เปล่า”  นางรีบเงยหน้าขึ้นตอบ ระบายยิ้มเกลือนใบหน้า

“ได้ยินว่าแม่นางจางไปชมทัศนียภาพแถบบริเวณแม่น้ำดุจดารา”

“เพคะ น้ำใสไหลเย็น ยามแสงอาทิตย์ต้องผิวน้ำสะท้อนแสงระยิบระยับงดงามราวดวงดาว” 

“แม่น้ำสายนั้นหล่อเลี้ยงผู้คนสองแคว้น และยังมีตำนานเรื่องเล่าอีกด้วย”

“เรื่องเล่า? เรื่องเล่าอันใดหรือเพคะ”  นางอดถามไม่ได้

โม่โฉวหัวเราะออกมา “เป็นเพียงนิทานเล่าสืบทอดกันมา ว่ากันว่าบนภูเขามีปีศาจร้ายตนหนึ่ง เพราะก่อกรรมทำเข็นไว้มากจึงถูกนักพรตผนึกไว้ให้สำนึกตนบนเขา เวลาผ่านไปหลายร้อยปี มีหญิงสาวชาวบ้าน มารดาของนางป่วยหนักแต่ครอบครัวของนางยากจน นางจึงขึ้นเขาไปหาสมุนไพรด้วยตนเอง จนได้พบปีศาจตนนั้น มันยื่นเงื่อนไขให้หญิงสาว หากมันบอกตำแหน่งที่โสมล้ำค่านั้นอยู่ นางต้องเป็นเจ้าสาวให้มัน หญิงสาวยอมตกและเมื่อได้โสมคนแล้ว นางก็รีบลงจากเขาไปทันที  ปีศาจตนนั้นได้แต่หัวเราะเยาะเย้ย คิดว่านางไม่กลับมาเป็นแน่ มันเป็นปีศาจ จะมีมนุษย์คนใดกล้าแต่งงานกับเขาเล่า”

โม่โฉวนิ่งไปไม่ยอมพูดต่อ ทำให้คนฟังกระวนกระวายใจด้วยความอยากรู้  อวี้หมี่จึงช่วยเล่าต่อ

“ทว่าผ่านไปเจ็ดวัน นางย้อนกลับพร้อมสวมชุดเจ้าสาวสีแดงสด  นางรักษาคำพูดและขอเพียงได้ใส่ชุดเจ้าสาวสักครั้ง นางกลับบ้านไปเพื่อปรนนิบัติมารดาและตัดชุดเจ้าสาวให้ตนเอง  เมื่อมารดาดีขึ้นนางบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดและขอลามารดาเพื่อไปเป็นเจ้าของปีศาจ  ปีศาจตนนั้นดีใจมากดูแลหญิงชาวบ้านผู้นั้นอย่างดี มารดาของนางหายจากโรคร้ายก็ขอร้องให้คนในหมู่บ้านไปช่วยบุตรสาวของตนจากปีศาจร้าย  หญิงสาวหลงรักปีศาจร้ายแต่ผู้อื่นเข้าใจว่านางต้องมนตร์ดำ  นางถูกพาตัวกลับออกมา ปีศาจร้ายไม่อาจลงจากเขาได้จึงได้แต่กู่ร้องโหยหวน หญิงสาวได้ยินเสียงก็แทบคลุ้มคลั่งดิ้นรนจากการกุมตัวจนพลาดพลั้งตกน้ำในแม่น้ำดุจดารา  เพราะจิตใจผูกพันปีศาจรับรู้ได้ว่านางตกอยู่ในอันตรายจึงรวบรวมพละกำลังฝ่าเส้นอาคมของนักพรตออกมา กระโจนไปช่วยหญิงคนรัก นางรอดพ้นความตายแต่ร่างกายของปีศาจสลายเป็นธุลี”

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status