“มีเรื่องเล่าเช่นนี้ด้วย” จางฟางซินถอดถอนใจจากเรื่องราวที่ได้ยิน นางลอบมองหลัวหลิวหยางที่ยกสุราขึ้นดื่ม“เหตุใดพี่หลิวหยางไม่เล่าให้ข้ารู้บ้าง”“ข้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้” เขาตอบ “เป็นแค่นิทานเล่าขานของคนที่นี้” อวี้หมี่พูดด้วยรอยยิ้มจางฟางซินแปลกใจที่เห็นเขาดื่มสุรามากขึ้น ระหว่างที่อยู่ที่จวน นางไม่เห็นเขาดื่มสุรา นางคาดเดาได้ว่าเขาคงคอแข็งไม่น้อย แต่เห็นเขามอมตัวเองเช่นนี้ นางไม่เข้าใจ นางเผลอยกมือขึ้นนวดขมับ แม้หลัวหลิว หยางไม่ได้มองนางตรงๆ แต่ทุกการเคลื่อนไหวของนางอยู่ในสายตาของเขา ชายหนุ่มจึงยื่นมือไปจับมือที่กำลังนวดขมับอยู่“ไม่สบายรึ? ปวดหัวหรือ?”นางไม่ตอบแต่กัดริมฝีปากครุ่นคิด ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการไปจากที่นี้หรือต้องการให้นางไปกันแน่ เพราะดูเหมือนสายตาของเขาจะอยู่ที่หญิงงามอวี้หมี่ “แม่นางจางไม่สบายรึ” โม่โฉวถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ตามหมอดีหรือไม่”“หม่อมฉันอยากพักผ่อน ต้องขอโทษที่ทำให้ทุกท่านหมดสนุกเพคะ”“แม่นางจางอย่าได้กล่าวเช่นนั้น” โม่โฉวโบกมือไปมา “เจ้าเองยังไม่หายดี เป็นข้าที่เอาแต่ใจฝืนใจให้เจ้ามาชิมชาชมบุบผาเช่นนี้”“กระหม่อมขอพาฟางซินกลับก่อน โอกาสหน้
“หากท่านไม่รีบลงมือ ผู้อื่นอาจช่วงชิงนางไปก็ได้” “ใครกล้า!” เขาเผลอทุบโต๊ะอย่างแรงเสียงดังปัง! บ่าวรับใช้ที่รอด้านนอกได้ยินจนสะดุ้งตัวสั่น “ข้าแค่กล่าวเตือนท่าน หากท่านหวงแหนนางถึงเพียงนี้ก็รีบทำในสิ่งที่ควรทำเถิด” “ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน!” “ท่านหมอมาตรวจแผลให้นาง อยู่ที่เรือนของนางนั้นแหละ” แม่นมเหมยกุ้ยเบี่ยงกายเล็กน้อยให้หลัวหลิวหยางที่ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวยาวๆ ออกไปไม่สนใจนางเลยสักนิด แม่นมได้แต่ส่ายหน้าไปมา ถ้านางไม่กระตุ้นเช่นนี้ เห็นทีว่าแม่ทัพหนุ่มผู้นี้อาจทำให้สตรีในดวงใจหลุดมือไป จางฟางซินวาดเท้าลงบนพื้น ผ้าที่เคยพันรอบข้อเท้าไม่แน่นหนาเช่นแต่ก่อน นางสูดลมหายใจลึกก่อนค่อยยันกายขึ้นยืนโดยมีเสี่ยวจิ้งคอยประคอง แม้เจ็บแปลบอยู่บ้างแต่นางก็สามารถยืนได้แล้ว “ดีจริง ยืนได้แล้ว” นางยิ้มกว้างแล้วหันมาทางหมอทหารที่แวะเวียนมาดูอาการให้นางวันเว้นวันตามคำสั่งของแม่ทัพหลัว “ฝีมือรักษาของท่านยอดเยี่ยมจริงๆ ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ ” ถูกกล่าวชมต่อหน้าเช่นนี้ แม้จะอายุสี่สิบแล้วก็ร
“ไม่นะ!” นางยื้อมือของเขาไม่ให้ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออก ใบหน้าร้อนผ่าวกลายเป็นสีแดงจัด แต่มือของเขากลายเป็นหนวดปลาหมึกยุบยับบนตัวนาง หญิงสาวพยายามปัดป้องพลิกตัวหนีแต่ทำไม่ได้เลย หลัวหลิวหยางกดร่างเล็กลงบนเตียง ตรึงข้อมือไว้เหนือศีรษะของนาง เขายิ้มเจ้าเล่ห์ โน้มหน้าลงใกล้ริมฝีปากช่างเจรจา ทว่าหางตารับรู้การเคลื่อนไหวที่กระโจนใส่ เขาผงะร่างไปด้านหลังพลิกตัวหลบอย่างฉิวเฉียด เจ้าแมวป่าขาเป๋กระโดดเข้าใส่ มันยืนขู่ฟ่อตัวพองบนร่างของจางฟางซิน “เปาเป่า!” เจ้าแมวป่ากลายเป็นแมวบ้านครางเหมียวๆ ฟังน่าเอ็นดูหมุนตัวมาคลอเคลียหญิงสาวอย่างเอาใจ “เจ้าแมวเนรคุณ!” เขาสบถใส่ “ข้าคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเจ้านะ!” “ท่านแม่ทัพ” นางยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ตาเขา “ข้าเคยอ่านตำรามาว่าสัตว์มีสัญชาตญาณรู้ว่าผู้ใดดีกับมัน เจ้าเปาเป่ายอมรู้ว่าข้ารักมันมากที่สุด จึงมาปกป้องข้าเช่นนี้” แม่ทัพหนุ่มไม่คิดว่าตนเองต้องมาทะเลาะกับแมวขาเป๋ตัวหนึ่ง เจ้าแมวก็ทำเฉยชาไม่สนใจเขาเลยสักนิด แต่ไหนแต่ไรมันก็ไม่เคยสนใจผู้ใดอยู่แล้ว เหตุใดเขาจึงโง่นักที่เล
“อ๊ะ!” นางเพิ่งรู้ว่าเขามายืนอยู่ด้านหลังนาง “เสียมารยาท!”“เจ้าไม่รู้ตัวเองต่างหาก” เขายังไม่ยอมขยับ แต่กลับโน้มตัวลงตั้งใจอ่านที่นางเขียน กรุ่นอายของเขาโอบล้อมนางไว้แน่นหนา แม้เรือนร่างไม่ได้สัมผัสกันแต่นางรู้สึกเหมือนถูกเขากักขังไว้ด้วยอ้อมกอดของเขา นางแทบกลั้นหายใจพราะไม่ต้องการได้กลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา“เจ้าเขียนเรื่องปีศาจภูเขาอะไรนั้นหรือ?” เขาประหลาดใจ คิดว่านางจะบันทึกอะไรที่มีสาระมากกว่านี้“อื้ม” เมื่อถูกเปิดโปงแล้วก็ทำได้แต่ยืดอกรับอย่างลูกผู้ชาย (?) “เสียดายสมุดบันทึกของข้าหายไป ข้าต้องลำดับเรื่องราวใหม่”“สมุดเล่มที่อยู่ในรถม้านะรึ”“ใช่! ท่านเห็นหรือ?” “มันถูกฉีดขาด ข้าคิดว่าไม่สำคัญจึงเก็บไว้ไม่ได้เอามาให้เจ้าแต่แรก”“มันสำคัญกับข้ามาก” นางยิ้มกว้าง แม้เขาจะบอกว่าสมุดของนางถูกทำลายแต่นางก็รู้สึกมีความหวัง “มีอะไรในสมุดบันทึกของเจ้ารึ” เขาเปิดดูคราวๆ ไม่เห็นความสำคัญจึงไม่ได้ใส่ใจ“บันทึกการเดินทาง” นางตอบด้วยรอยยิ้มภูมิใจ “บางเรื่องราวไม่ได้มีในตำรา เรื่องใดที่ประสบพบเจอข้าก็เขียนบันทึกไว้ ตั้งใจว่ากลับไปจะเรียบเรียงเขียนเป็นหนังสือ”“เรื่องปีศาจอะไรนั้น
อาการบาดเจ็บที่เท้าของจางฟางซินดีขึ้นมาก เวลานี้นางสามารถสวมรองเท้าและเดินเหินได้โดยไม่ต้องใช้ไม้เท้าหรือคนช่วยประคอง หลัวหลิวหยางยังคงสวมเสื้อผ้าสีดำแม้ไม่ใช่ชุดทหารขับเน้นโครงร่างสูงใหญ่องอาจของเขาได้ดียิ่ง มือใหญ่จับเอวบางยกขึ้นนั่งบนหลังม้าก่อนจะพาร่างของตนตามไปนั่งบนอาชาตัวเดียวกัน “เราต้องขี่ม้าตัวเดียวกันเช่นนี้หรือ?” นางถามพยายามกระเถิบตัวไปด้านหน้าไม่ให้แนบชิดกับแผ่นอกแข็งแกร่งที่อยู่ด้านหลัง “เจ้าขี่ม้าไม่เป็นและกลัวการขี่ม้ามิใช่หรือ?” เขาถามกลับ กระชับเสื้อคลุมห่อของนางให้แน่นหนาราวกับจะมัดนางไว้ไม่ให้ดิ้นหลุดไปได้ “ข้าควรดีใจที่ใส่ใจเรื่องของข้าใช่ไหม?” นางบ่นพึมพำ “เจ้าควรซาบซึ้งใจในสิ่งที่ข้าทำให้” “ว้าย!” แม่ทัพหนุ่มหัวเราะในลำคอ เขาบังคับม้าให้พุ่งทะยานไปด้านหน้าโดยไม่ได้บอกนางให้เตรียมตัว ร่างของนางจึงเอนมาด้านหลังเข้าสู่อ้อมกอดของเขาทันที การเดินทางครั้งนี้มีเพียงหูซานและทหารคนสนิทติดตามอยู่ห่างๆ หลัวหลิวหยางสัมผัสได้ถึงร่างกายที่เกร็งตัวอยู่ตลอดเวลา การตกม้าในวัยเด็กของนางทำใ
“ดูท่าเจ้าอยากกลับมากสินะ” ทำไมเขาต้องหงุดหงิดกับท่าทางของนาง “อืม” นางกัดริมฝีปาก นางจะ ‘อยาก’ หรือ ‘ ไม่อยาก’ ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเขา ไม่ช้าไม่เร็วความสัมพันธ์กำมะลอนี้ก็ต้องถูกเปิดโปง ยิ่งนานวันความรู้สึกของนางที่มีต่อเขามันเกินกว่าคำว่า ‘ชอบ’ แล้ว นางกลัวจะห้ามใจไม่ให้ ‘รัก’ บุรุษผู้นี้ไม่ได้ นาง ‘รัก’ เขาได้ แต่ไม่มีสิทธิ์คิดหวังฐานะใดจากเขา ฐานะอย่างนางจะเป็นอะไรได้ ใช่ว่านางอยากได้ตำแหน่งฮูหยินท่านแม่ทัพ นางเพียงแค่ไม่อาจทนแบ่งใช้สามีร่วมกับผู้อื่น เมื่อรู้ว่าปลายทางเป็นเช่นไร มิสู้นางหักใจตั้งแต่ตอนนี้เสียดีกว่า ‘อยากไปจากข้า!’พลันโทสะกระเพือมขึ้นมาในอก เขาสาวเท้าไปคว้าท่อนแขนเรียวเล็กไว้ ทว่าเมื่อนางหันกลับมา แววตาของนางมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอ เขาชะงักไปอย่างทำอะไรไม่ถูก แต่นางกลับแสร้งยกหลังมือขยี้ตา “ตัวแมลงนะ” นางรีบเช็ดน้ำตาลวกๆ “เช่นนั้นเราไปทางต้นน้ำดีไหม” หญิงสาวเสนอความคิด ทันใดนั้น เสียงโหยหวนดังขึ้น นางเหลียวมองรอบกายหาทิศทางของเสียง หลัวหลิวหยางอ้าปากจะเตือนนางไม่ให้หวาดกลัว แต่เขากลับเห็นแว
“ข้าสามารถเอาตัวรอดได้!” “แต่” ในใจของหูซานย่อมต้องการช่วยผู้เป็นนาย แต่คำสั่งก็คือคำสั่ง เขาไม่กล้าขัดคำสั่งปลายแส้หนามตวัดมาทางหูซาน เขายกกระบี่ขึ้นหมายตัดแส้หนามให้ขาด ทว่ามันกลับพันท่อนแขนแล้วกระชากร่างของหูซานกระเด็นลอยขึ้นในอากาศก่อนจะกระแทกพื้นอย่างแรง “อ๊ากกกก” เสียงกระดูกหักดังขึ้นพร้อมเสียงร้องเจ็บปวดของหูซาน “หูซาน!” จางฟางซินวิ่งเข้าไปหมายจะช่วยหูซาน แต่นางเห็นแส้ตวัดมาทางนาง หญิงสาวหมุนตัวหลบแต่ปลายแส้สะบัดถูกมวยผม เส้นผมดุจแพรไหมคลี่สยายปรกแผ่นหลังของหญิงสาว “สตรีรึ” จ้าวลิ่งตบหน้าผากตัวเองแล้วหัวเราะร่า “เหตุใดข้ามองไม่ออกว่าท่านแม่ทัพพาสตรีมาพรอดรักในป่าหนอ” “ฟางซิน!” หลัวหลิวหยางถูกล้อมไว้หมด เขาไม่อาจฝ่าคนครึ่งร้อยมาหานางได้ เพราะข้า...ข้าคือภาระของเขา สายตาของจางฟางซินจ้องมองเขา ร่างของนางถูกจ้าวลิ่งกระชากมาใช้ท่อนแขนรัดรอบลำคอ นางพยายามดิ้นรนเตะเท้าไปมา “ปล่อยนาง!” “อย่าห่วงไปเลย ข้าจะเมตตาดูแลสตรีของเจ้าเอง” จ้าวลิ่งหัวเราะร่า โน้มหน้าลงใช้แก้มเปื้อ
อวี้หมี่บรรเลงเพลงพิณในหอระบำน้ำค้าง ปกตินางไม่รับแขกแต่ผู้มาเยือนคือบุรุษที่นางเฝ้ารอ เขามาปรากฏกายเบื้องหน้า เขาสวมอาภรณ์ไหมสีน้ำเงินเหลือบดำดูงามสง่ แต่ยังคงซ่อนความบาดเจ็บไว้อย่างมิดชิด ใบหน้านั้นยังมีร่องรอยความเหนื่อยล้าและซูบเซียว เขาบาดเจ็บถึงเพียงนี้เชียวหรือ? “ท่านแม่ทัพหลัวให้เกียรติมาหาอวี้หมี่ถึงที่นี่ มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” “เจ้าย่อมรู้อยู่แล้วว่าข้ามาเพราะเรื่องใด” อวี้หมี่กระตุกยิ้ม หัวใจของนางคล้ายดิ่งลงเหวลึก นางเดินมารินน้ำชาให้เขาด้วยตนเอง ช้อนตามองเขาด้วยสายตาอาวรณ์ “ท่านแม่ทัพจำข้าไม่ได้จริงๆสินะ” หลัวหลิวหยางกดหัวคิ้วลง เพ่งมองใบหน้างดงามที่แต้มแต่งสีสันอย่างพอเหมาะพอดี ขับเน้นโครงหน้าอ่อนหวานชวนหลงใหล ทว่าเขากลับคิดไม่ออกว่าเคยพบนางมาก่อนหน้านี้ “สองปีก่อน” อวี้หมี่เอ่ยอย่างขมขื่น “สองปีก่อนท่านเพิ่งเดินทางมาประจำการที่ชายแดนตะวันออกแห่งนี้ อวี้หมี่อยู่ในรถม้าที่ม้าเกิดพยศขึ้นอย่างไร้สาเหตุ ท่านเป็นคนมาช่วยอวี้หมี่ด้วยตนเอง” หลัวหลิวหยางนิ่งไปครู่หนึ่งจึงพยักหน้าร
“ก็...ก็ใช่นะสิ เป็นของนายของข้ามอบให้มา” นางพยายามดิ้นรนแต่กลับถูกท่อนแขนรัดเอวนางแน่นขึ้นจนเผลอร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา“นายเจ้าเป็นเศรษฐีที่ถูกหายตัวไปเมื่อสองเดือนก่อนรึ จุ๊ๆ เจ้าอย่ามาโกหกเลย บอกมาเถอะว่ารถม้าคันนั้นอยู่ที่ใด สมบัติในรถคันนั้นต้องมีมากกว่าที่เจ้าขนลงไปแน่”ฟางซินแตกตื่นจนพูดไม่ออก ยังไม่ทันคิดหาวิธีเอาตัวรอด ร่างของนางถูกเหวี่ยงลงพื้น หญิงสาวทั้งเจ็บและจุก พยายามดิ้นรนแต่ชายคนหนึ่งกลับคร่อมร่างนางไว้และอีกสองคนยึดแขนคนละข้าง เหตุการณ์กลับมาซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง นางนึกถึงเพียงใบหน้าของปีศาจภูเขา แต่นี่อยู่นอกเขตอาคม เขาไม่อาจออกมาช่วยนางได้ไม่! เขาจะออกมานอกเขตอาคมไม่ได้! เขาอาจจะตาย! และถ้ามีคนรู้ว่าปีศาจภูเขามีอยู่จริง จะต้องถูกชาวบ้านเชิญนักพรตมาสังหารเป็นแน่! นางยอมให้เขาเป็นอะไรไม่ได้เด็ดขาด!“โอ๊ย!”แมวป่าตัวหนึ่งพุ่งเข้าใส่คนที่คร่อมร่างหญิงสาวอยู่ กรงเล็บของมันทำให้ใบหน้าของคนผู้นั้นเป็นรอยแผล และเพราะความเจ็บปวดที่ทำให้รับทำให้ชายคนนั้นจับแมวป่าตัวนั้นออกจากร่างของตนแล้วทุ่มลงบนพื้นกระแทกถูกก้อนหิน แมวป่าส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีอ่อนแรง
ทว่านางกลับมีหมาป่าสองสามตัวติดตามลงมาส่ง นางเดาว่าปีศาจภูเขาคงขู่บังคับให้ทำเช่นนี้ คิดได้ดังนั้นหัวใจนางก็ยิ่งเต้นรัว นางไม่อยากจากเขาไปไหนเลย เพียงแต่ว่าครั้งนี้ได้มาลาบิดามารดาก่อนจะไปอยู่กับเขาชั่วชีวิต แต่เขาเป็นปีศาจ หากผู้อื่นรู้เขาเกรงว่าครอบครัวของนางจะลำบาก ระหว่างเดินทาง นางจึงครุ่นคิดหาแผนการเพื่อให้ได้ออกจากบ้านอย่างไร้กังวลหญิงสาวลอบเข้าบ้านหลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครอื่นผ่านมาเห็น เสียงไอโขลกๆ ของมารดาทำให้ฟางซินแทบทิ้งทุกสิ่งที่หอบมาเพื่อเข้าไปในเรือน บานประตูที่ถูกผลักออกโดยง่ายนั้น ทำให้มารดาที่นั่งปักผ้าอยู่เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นใบหน้าบุตรสาวคนเดียวที่หายไปร่วมเดือนก็ดีใจจนหลั่งน้ำตา“แม่คิดว่าเจ้า...เจ้า...”“ข้าไม่เป็นอะไรท่านแม่” นางวางข้าวของที่หอบลงมาจากเขา เปิดห่อผ้าหยิบโสมคนออกมาให้มารดา “นี่โสมคนชั้นเยี่ยม ข้าจะนำมาไปให้ท่านหมอปรุงยาให้ท่านแม่”“เจ้าไปเอาของพวกนี้มาจากไหน แล้วนี่...เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา ผู้อื่นลือกันว่าเจ้าตกเขาตายไปแล้ว”“เอ่อ...มีคนใจดีช่วยชีวิตข้าไว้” นางไม่อยากให้มารดารู้เรื่องที่เกือบถูกขืนใจ นางเองก็ไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้นอีก “ข้า...ข้าข
ฟางซินทั้งเขินอายและเสียวซ่าน นางผงกศีรษะขึ้นมอง เห็นเพียงศีรษะของเขาอยู่ตรงกลางหว่างขา นางอับอายเหลือเกินจึงพยายามดันศีรษะของเขาออก ทว่ารสสัมผัสที่เขามอบให้แสนเย้ายวนจนได้แต่ขยุ้มเส้นผมนุ่มสลวยที่นางบรรจงสางให้เขาอย่างดี เขาช้อนสะโพกนางให้ลอยขึ้น ถอนนิ้วเรียวออกแล้วห่อลิ้นแทรกเข้าไปแทนที่ น้ำหวานที่หลั่งออกมาทำให้ยิ่งฮึกเหิม เสียงครางกระเส่าของนางเสมือนรางวัลที่เขาตักตวงจากกายสาว สะโพกของนางลอยขึ้นจากพื้นโยกไหวตามอารมณ์รัญจวนที่เกิดขึ้น นางหลั่งน้ำหวานออกมามากล้นแต่ยังไม่เพียงพอสำหรับเขา เขาถอนลิ้นออกแล้วเปลี่ยนเป็นนิ้วเรียวสองนิ้วเข้าไป“อ๊า!” ฟางซินหลุดเสียงหวีดร้องออก สะบัดใบหน้าไปมา“เจ้า...ต้องพร้อมมากกว่านี้” เขาพูดเสียงแหบพร่า นิ้วร้ายยังคงเคลื่อนไหวเข้าออกนำพาน้ำหวานวาวใสให้หลั่งออกมาก ร่างกายของเขาแทบปริแตกด้วยความต้อง เขาจ้องมองร่างขาวเนียนบิดไปมาด้วยความรัญจวนจนกระทั่งร่างนางเกร็งและช่องทางที่แสนคับแคบบับรัดรุนแรงด้วยไปถึงจุดสุขสมฟางซินหวีดร้องอย่างไม่รู้ตัว ร่างกายร้อนผ่าวและหลอมละลายด้วยน้ำมือของเขา เขาถอนนิ้วออกช้าๆ นางหอบหายใจแรงมองเห็นเขาส่งนิ้วที่เปื้อนเปรอะน้ำ
“เปล่า” เขาส่ายหน้าไปมา “เป็นข้าที่ต้องดูแลเจ้า เจ้าถอดเสื้อผ้าสิ เร็วเข้า” “ไม่ เอ่อ...” เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีเจตนาดีไม่คิดรังแกนาง นางจึงยอมทำตามที่เขาสั่ง แต่การจะเปลือยกายต่อหน้าผู้อื่นนั้น นางไม่อาจทำได้ “เอาอย่างนี้ ท่านขึ้นจากน้ำไปก่อน ข้าจะถอดเสื้อผ้าในน้ำนี้” “อย่างนั้นรึ” เขาถามและนางก็พยักหน้ายืนยันแทนคำตอบ เขาจึงยอมเป็นฝ่ายขึ้นจากน้ำไปก่อน ฟางซินถอนหายใจโล่งอก ปีศาจตนนี้เอาใจไม่ยากนัก นิสัยคล้ายเด็กมากกว่า แต่นางก็ไม่เคยรู้จักปีศาจตนใดมาก่อนจึงไม่รู้ว่าปีศาจตนอื่นเป็นเช่นนี้หรือไม่ ฟางซินเห็นเขาหันหลังให้เหมือนยามที่นั่งหน้ากองไฟทุกค่ำคืน นางจึงถอดเสื้อผ้าที่เปียกน้ำนี่ออก ให้ร่างกายเปลือยเปล่าได้สัมผัสความอุ่นร้อนพอดีของสายน้ำ นางหลับตาอย่างผ่อนคลาย มันสบายอย่างนี้เองหรือ นางเผลอคลางออกมาอย่างไม่รู้ตัวแต่ประสาทการรับรู้ของปีศาจภูเขานั้นยอดเยี่ยม เขาหันขวับมามองด้วยความเป็นห่วง ทว่าภาพที่เห็นคือสาวงามเปลือกกายในสระน้ำ หัวใจของเขาเต้นรัวราวกับจะทะลุออกมาจากทรวงอก ดอกบัวคู่งามปริ่มน้ำชวนหลงใหล ผิวกายของนางแม้มีรอยบอบช้ำทว่ากลับน่ายื่นม
ขึ้นเขาครั้งนี้เพราะหวังว่าจะหาโสมหรือสมุนไพรหายาก แต่ไม่คิดว่าจะเจอพวกคนในหมู่บ้านมาทำร้ายนางได้ นางหายออกจากบ้านมากี่วันแล้วนะ มีใครออกตามหานางบ้างไหม? มีคนเป็นห่วงนางหรือเปล่า? หรือคิดเพียงแค่ว่านางอาจหนีเอาตัวรอดทิ้งความยากจนไว้เบื้องหลัง เขารู้ว่าอาหารที่ตนทำไม่อร่อย แต่เห็นนางกินจนเกลี้ยงชามก็อดปิติยินดีไม่ได้ “ข้า...ข้ามาอยู่ที่นี่กี่วันแล้ว” “เจ็ดวัน” ปีศาจตอบ “ฝนตกติดต่อกัน หนักบ้างเบาบ้าง” “อย่างนั้นหรือ?” นางถามเหมือนรำพึงไม่ต้องการคำตอบ แต่ถ้าได้อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ คงดีไม่น้อย ไม่ต้องกลับไปเผชิญเรื่องเลวร้ายใดอีก เห็นท่าทางนิ่งงันของนางแล้ว ปีศาจภูเขารู้สึกใจคอไม่ดีนัก เขายื่นมือไปแตะแขนนางเบาๆ ทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาเขา มุมปากค่อยๆ คลี่ยิ้มอ่อนหวานทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอีกครั้ง “ข้า...ข้าอยากอาบน้ำ” “อาบน้ำ?” เขาทำหน้างุนงงไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ “ได้ๆ ตอนนี้ไม่มีฝนแล้ว ข้าจะพาไปที่สระน้ำกลางป่า มีน้ำพุร้อน ที่นั้นจะช่วยรักษาบาดแผลให้เจ้าได้” “น้ำพุ
พายุฝนกระหน่ำทำเอาหญิงสาวต้องขดตัวกลมเพื่อปกป้องความเหน็บหนาวที่ถาโถมเข้าใส่ เสื้อผ้าบนร่างนั้นทั้งเก่าและขาดวิ่นแทบปกปิดเนินอกสล้างนั้นไม่ได้เลย หญิงสาวได้สติเมื่อผ้าผืนชุบน้ำผืนหนึ่งบรรจงเช็ดใบหน้าให้อย่างระวังว่ากรงเล็บจะถูกผิวกายของนาง หญิงสาวได้สติเพราะลมเย็นพัดผ่านผิวกาย มือเล็กยกขึ้นปกปิดทรวงอกไว้ เงาดำนั้นผงะเล็กน้อยแล้วถอยห่าง ฟางซินรู้สึกได้ว่าเงาดำนั้นก้าวออกไปจากบริเวณนั้นแล้ว นางจึงลุกขึ้นนั่ง ก้มมองสภาพตัวเองที่เสื้อผ้าแทบจะปกปิดอะไรไม่ได้เลย นางหยิบผ้าที่ที่วางในอ่างเล็กๆ นั้น ชุบน้ำแล้วเช็ดที่ใบหน้าและแขน แสงไฟจากกองไฟทำให้เห็นว่านางนั่งอยู่บนพรมหนังสัตว์ในถ้ำแห่งหนึ่ง ด้านนอกคงมีพายุฝนโหมกระหน่ำ นางอยู่ด้านในได้ยินเพียงเสียงฟ้าร้องคำรามและไอเย็นแผ่กระจายเข้ามา นางไม่กล้ามองเท้าขวาของตนเองเลย เจ็บจนน้ำตาร่วง และยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น นางก็ยิ่งขวัญเสีย “จะ...เจ็บ...เจ็บมากรึ” ฟางซินได้ยินเสียงแหบแห้งจากด้านหลัง ร่างใหญ่โตนั้นแทบบดบังแสงสว่างจากกองไฟหมดสิ้น นางอ้าปากแต่พูดไม่ออก มีเพียงเสียงสะอึกสะอื้นหลุดจากริมฝ
เมื่อแน่ใจว่ามันตายแล้วจริงๆ ใบหน้าของเด็กน้อยพลันปรากฏรอยยิ้มกว้าง ร่างเล็กหันซ้ายหันขวาเหมือนหาอะไรสักอย่างทำให้ปีศาจภูเขาที่อยู่บนกิ่งไม้ประหลาดใจ พลันเด็กหน้าแหงนหน้าขึ้น สายตาของทั้งสองประสานกัน ไม่เคยมีผู้ใดกล้าสบตากับเขา แม้แต่จะมองยังไม่กล้า แค่ได้ยินเสียงก็พากันหวาดกลัว แต่เด็กน้อยผู้นั้นกลับเบิกตากว้าง มุมปากก็ยิ่งฉีกเป็นรอยยิ้มทำให้ดวงตาคู่นั้นหยีเล็กลง มือเล็กๆ โบกมือไปมาเหมือนกลัวว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็น ปีศาจภูเขาผงะไป “ขอบคุณท่านปีศาจภูเขา!” เจ้าเด็กน้อยคุกเข่าโขกศีรษะสองสามทีแล้วรีบหมุนตัวไปที่หมูป่าตัวนั้น เด็กน้อยพยายามหาวิธีแบกร่างหมูป่า สุดท้ายเด็กน้อยใช้วีธีให้หมูป่าสิ้นใจตัวนั้นขี่หลัง สองมือประสานรองใต้ก้นหมูป่า สองขาหน้าของมันยื่นพาดบ่าของเด็กน้อย แม้จะทุลักทุเลไปบ้างแต่เจ้าเด็กนั้นก็แบกหมูป่าลงจากเขาได้สำเร็จ ปีศาจภูเขาอ้าปากค้าง มองเจ้าเด็กนั้นแบกอาหารของเขาไปจนสุดสายตา แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าคือเป็นครั้งแรกที่มีมนุษย์กล้าสบตาของเขาและยัง ‘ขอบคุณ’ เขาอีกด้วย นับตั้งแต่วันนั้น ปีศาจภูเขามักมาที่สุดเขตเส้นอาคม เจ้
“หนึ่ง ... คำนับฟ้าดินสอง... คำนับพ่อแม่สาม... คำนับกันและกันส่งตัวเข้าห้องหอ” เพียงหญิงสาวเงยตัวขึ้นจากการคำนับกันและกัน ร่างของนางก็โงนเงนเกือบล้มลง หลัวหลิวหยางที่ระวังตัวทุกขณะยื่นมือไปประคองร่างหญิงคนรักไว้ได้ทัน “ซินเอ๋อร์!” หลัวหลิวหยางตวัดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น หัวใจของเขาคล้ายถูกบีบรัดเมื่อเห็นใบหน้าของจางฟางซินซีดเซียวแทบไร้สีเลือด “เจ้า...เป็นอะไรไป ตะ ตาม..ตามหมอ! ตามหมอมาเดี๋ยวนี้” เพราะระแวดระวังเรื่องไม่คาดฝันจะเกิดขึ้น นอกจากเตรียมทหารเฝ้าระวังความปลอดภัยแล้ว ยังเชิญหมอเก่งๆ มาพำนักที่บ้านถึงสามคน เพียงการตะโกนครั้งเดียวก็ทำให้ผู้คนรอบคนตื่นตัว วิ่งหน้าตั้งทำตามหน้าที่ที่ซักซ้อมไว้ก่อนแล้ว “ข้า...” จางฟางซินพยายามสูดลมหายใจลึกๆ และผ่อนออกช้าๆ ฝืนเปิดเปลือกแต่ไม่มีเรี่ยวแรง รับรู้เพียงความโกลาหลรอบข้างและร่างถูกอุ้มมานอนบนเตียงอย่างรวดเร็ว นางรับรู้ถึงน้ำเสียงร้อนรนที่พร่ำเรียกชื่อนาง “ซินเอ๋อร์!” ผ้าชุบน้ำผืนหนึ่งค่อยๆ เช็ดใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา
“ท่าน!” นางดุเขาเสียงสั่น ร่างกายขยับไหวตามการปลุกเร้า เสียงเตียงลั่นเอียดอาดทำให้นางเรียกสติที่เหลือน้อยนิด กัดบ่าเขาไปแรงๆ ทีหนึ่ง “โอ้ว! นี่เจ้าชอบแบบนี้เองหรือ?” “ที่นี่ไม่ได้!” นางร้องขึ้น “เตียงมันลั่นเสียงดังอย่างนี้ ประเดี๋ยวผู้คนทั้งโรงเตี้ยมก็แตกตื่นกันหมดหรอก!” ‘จะกังวลไปไย ทั้งโรงเตี้ยมนี้เขาเหมาไว้หมดแล้ว มีแค่เขากับนางและผู้ติดตามแค่ไม่กี่คนเท่านั้น’ หลัวหลิวหยางไม่ได้เอ่ยสิ่งที่คิดในใจ เขายิ้มเจ้าเล่ห์แล้วจับเรียวขางามให้แยกออกเกี่ยวเอวของเขาไว้ “ท่านจะทำอะไร! ไม่เข้าใจหรือว่าข้า! อ๊า!” จางฟางซินร้องเสียงหลงเมื่อสามีที่ยังไม่เข้าพิธีวิวาห์ของนางอุ้มนางทั้งที่สองขาของนางเกี่ยวเอวของเขาไว้ พละกำลังของเขามากล้น เขาอุ้มนางพร้อมสอดประสานแท่งหยกร้อนระอุเข้ามาในกายนาง ชายหนุ่มคำรามในลำคอ แก่นกายแห่งบุรุษเพศถูกช่องทางรักอ่อนนุ่มโอบรัดจนเขาต้องครางเสียงต่ำบรรเทาความเสียวซ่านที่เกิดขึ้น “ท่าน! ลึกเกินไปแล้วนะ!” นางกอดคอเขา สองขาเกี่ยวเอวเขาไว้แน่นเพราะกลัวตก แต่กระนั้นต้องยอมรับว่าช่