อวี้หมี่บรรเลงเพลงพิณในหอระบำน้ำค้าง ปกตินางไม่รับแขกแต่ผู้มาเยือนคือบุรุษที่นางเฝ้ารอ เขามาปรากฏกายเบื้องหน้า เขาสวมอาภรณ์ไหมสีน้ำเงินเหลือบดำดูงามสง่ แต่ยังคงซ่อนความบาดเจ็บไว้อย่างมิดชิด ใบหน้านั้นยังมีร่องรอยความเหนื่อยล้าและซูบเซียว เขาบาดเจ็บถึงเพียงนี้เชียวหรือ? “ท่านแม่ทัพหลัวให้เกียรติมาหาอวี้หมี่ถึงที่นี่ มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” “เจ้าย่อมรู้อยู่แล้วว่าข้ามาเพราะเรื่องใด” อวี้หมี่กระตุกยิ้ม หัวใจของนางคล้ายดิ่งลงเหวลึก นางเดินมารินน้ำชาให้เขาด้วยตนเอง ช้อนตามองเขาด้วยสายตาอาวรณ์ “ท่านแม่ทัพจำข้าไม่ได้จริงๆสินะ” หลัวหลิวหยางกดหัวคิ้วลง เพ่งมองใบหน้างดงามที่แต้มแต่งสีสันอย่างพอเหมาะพอดี ขับเน้นโครงหน้าอ่อนหวานชวนหลงใหล ทว่าเขากลับคิดไม่ออกว่าเคยพบนางมาก่อนหน้านี้ “สองปีก่อน” อวี้หมี่เอ่ยอย่างขมขื่น “สองปีก่อนท่านเพิ่งเดินทางมาประจำการที่ชายแดนตะวันออกแห่งนี้ อวี้หมี่อยู่ในรถม้าที่ม้าเกิดพยศขึ้นอย่างไร้สาเหตุ ท่านเป็นคนมาช่วยอวี้หมี่ด้วยตนเอง” หลัวหลิวหยางนิ่งไปครู่หนึ่งจึงพยักหน้าร
เห็นท่าทางนางไร้ความตื่นตระหนก แต่แววตานางฉายแววประหลาดใจทำให้เขาอยากเดินไปลากตัวนางมาเขย่าๆ ให้นางได้สติเสียจริง นี่นางคิดว่าเขาจะทอดทิ้งนาง ไม่มารับนางอย่างนั้นหรือ? ทว่าเขาเห็นนางทำท่าเหมือนอยากพูดแต่ส่งเสียงไม่ได้ เขาปรายตามองทางโม่โฉวแล้วพอคาดเดาได้ว่านางถูกจี้จุดใบ้เข้าให้แล้ว “ได้ยินว่าท่านช่วยคนของกระหม่อมไว้ มาวันนี้จึงมาขอรับตัวนางกลับพ่ะย่ะค่ะ” “เจ้าก็รู้ว่าสองแคว้นทำลงนามเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ว่าจะไม่มีการส่งทหารข้ามเขตแดนของกันและกัน” โม่โฉวหัวเราะในลำคอ “เจ้าทำเช่นนี้จะเท่ากับเป็นการประกาศศึกเอาได้นะ” “ขอบพระทัยที่ทรงเตือนสติ แต่กระหม่อมมาวันนี้มิได้มาในฐานะทหาร” เขากระตุกยิ้มที่มุมปาก “กระหม่อมมารับตัวภรรยาของกระหม่อมต่างหาก” ‘ภรรยา’ คราวนี้จางฟางซินหน้าฝาดสีเลือดขึ้นมา เขาพูดจาเหลวไหลอะไรกัน “เหตุใดข้าไม่เคยรู้ว่าแม่ทัพหลิวแต่งงานมีภรรยาแล้ว” โม่โฉวยิ้มชั่วร้ายเผลอบีบไหล่ของจางฟางซินแน่นจนหญิงสาวต้องฝืนทำหน้านิ่งทนรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น “กระหม่อมกับนางมีความสัมพันธ์ลึกซ
“ท่านไม่ได้ชอบข้า ไม่ได้รักข้า” เสียงของนางสั่นเพราะกลั้นสะอื้น “ท่านแต่งกับข้าเพียงเพื่อรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ตั้งแต่ข้าตัดสินใจเดินทางมาหาท่านจะเอาเรื่องที่ข้าเป็นสตรีมาใกล้ชิดท่านเพื่อให้ท่านต้องรับผิดชอบข้า และที่สำคัญ ข้าเป็นสตรีจิตใจคับแคบไม่อาจใช้สามีร่วมกับหญิงอื่นได้ ท่านเป็นแม่ทัพใหญ่ เป็นที่โปรดปรานของค์รัชทายาท ในวันข้างหน้าย่อมมีคนที่สามารถส่งเสริมท่านได้ ถึงเวลานั้นข้า...” “พอแล้ว!” เขาตวาดอย่างหัวเสีย “เจ้าจะยอมหรือไม่ข้าไม่สนใจ แต่ข้าจะแต่งกับเจ้า ต้องเป็นเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ชาตินี้เจ้าต้องเป็นคนของข้า ห้ามยิ้มหรือหัวเราะให้ใครอีก แค่เจ็ดวันที่ไม่มีเจ้าอยู่ ข้าทุกข์ทรมานใจมากเพียงใด เจ้าต้องรับผิดชอบหัวใจข้า! และข้า-หลัวหลิว หยาง มีความสามารถมากพอไม่จำเป็นต้องใช้ฐานะผู้อื่นมาไต้เต้าเพื่อความสำเร็จ หรือเจ้าไม่เชื่อข้า” “มะ..ไม่ใช่เช่นนั้นเสียหน่อย” นางเอ่ยเสียงอ่อนลง ไม่เคยเห็นสีหน้าโมโหเอาแต่ใจของเขาอย่างนี้มาก่อน “ท่านอยากให้ข้าอยู่ข้างกายท่านจริงหรือ? ข้าไม่ใช่โฉมสะคราญล่มเมือง ไม่เก่งเพลงพิณ เรื่องที่ส
“ข้าเชื่อใจท่าน” นางตอบ ตั้งแต่กลับมาจากแคว้นเหยี่ยน นางรู้ว่าเขาเขียนจดหมายแจ้งไปเมืองหลวง ครอบครัวของเขารับรู้แล้ว และพ่อบุญธรรมของนางก็รับรู้เช่นกัน รอเพียงบาดแผลของแม่ทัพหายดีพร้อมเดินทางจึงจะกลับเมืองหลวงเพื่อเข้าสู่วิวาห์ตามประเพณี แม่นมเหมยกุ้ยให้เหตุผลที่นางควรเป็นคนดูแลหลัวหลิวหยาง นางถูกผลักให้อยู่คนเดียวกับเขามาหลายวันแล้ว เหตุใดนางจะไม่เข้าใจความหมาย เพียงแต่ว่า“แต่ท่านยังบาดเจ็บอยู่”“เจ้าเป็นห่วงข้า...” น้ำเสียงเขามีความพอใจหลายส่วน หลายวันมานี้ นางดูแลเขาอย่างดียิ่ง บาดแผลเขาไม่ได้หนักหนาอะไรแล้ว แต่การมีคนมาคอยเอาใจใส่มันทำให้เขารู้สึกดีไม่น้อย นางอิดออดแต่ยอมนอนบนเตียงเดียวกับเขา แต่การได้อยู่ใกล้แต่ไม่อาจทำสิ่งที่ปรารถนาได้ มันทำให้เขาร้อนรุ่มทุกข์ทรมาน และเขาจะไม่ทนอีกต่อไป“อืม” นางได้แต่รับคำเบาๆ ดวงตาคมวาวของเขาจ้องมองนางจนนางไม่อาจขยับตัวได้ เส้นผมของเขาลงมาคลอเคลียนาง ราวกับถูกเขากักขังเอาไว้“ถ้าข้าไม่เจ็บ เจ้าก็ก็ไม่ขัดข้องสินะ”“อืม เอ่อ ..ไม่ใช่...” กลิ่นอายและน้ำเสียงของเขาทำให้สตินางกระเจิดกระเจิงไปหมด เขายิ้มแล้วโน้มหน้าลงจุมพิตที่มุมปากของนาง“ให้ข
ร่างกายถูกไออุ่นโอบกอดราวเก ราะป้องกันอันแน่นหนาและปลอดภัย หญิงสาวรับรู้ถึงลมหายใจที่รินรดอยู่ใกล้เนียนแก้มและเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ จางฟางซินไม่เคยรู้เลยว่าเสียงหัวใจของคนเราจะน่าฟังถึงเพียงนี้ ปลายนิ้วของนางวางที่แผ่นอกของเขาพร้อมกับขยับตัวเข้าซุกเข้าไปอีกนิด “หนาวรึ” หลัวหลิวหยางถามเบาๆ พลางดึงผ้าห่มขึ้นไหล่นางแล้วรั้งร่างนางให้เข้ามาแนบชิดขึ้น “มีท่านอยู่จะหนาวได้อย่างไร” นางพึมพำกับแผ่นอกของเขา “นี่ยามใดกันแล้ว ท่านได้หลับหรือไม่” “อืม” เขากดปลายจมูกสูดดมกลิ่นผมหอมของนาง มีเพียงการกอดนางไว้เช่นนี้จึงจะทำให้เขาสบายใจและผ่อนคลาย ไม่ถูกต้อง จางฟานซินรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง นางขยับตัวขยุกขยิกทำให้หลัวหลิวหยางยอมคลายวงแขนออกทำให้นางเงยหน้ามองใบหน้าของเขาได้ แม้อยู่ในแสงสลัวแต่เมื่อจ้องมองก็เห็นว่าแววตาของเขามีรอยหม่นล้าอยู่บ้าง “ท่านเป็นอะไร นอนไม่หลับหรือ” นางถามน้ำเสียงเจือความห่วงใย “เพราะข้าใช่หรือไม่ ทำให้การเดินทางล่าช้ากว่าที่คิดไว้มาก” “ไม่ใช่เพราะเจ้าหรอก” เขารวบนางเข้ามาก
“ท่าน!” นางดุเขาเสียงสั่น ร่างกายขยับไหวตามการปลุกเร้า เสียงเตียงลั่นเอียดอาดทำให้นางเรียกสติที่เหลือน้อยนิด กัดบ่าเขาไปแรงๆ ทีหนึ่ง “โอ้ว! นี่เจ้าชอบแบบนี้เองหรือ?” “ที่นี่ไม่ได้!” นางร้องขึ้น “เตียงมันลั่นเสียงดังอย่างนี้ ประเดี๋ยวผู้คนทั้งโรงเตี้ยมก็แตกตื่นกันหมดหรอก!” ‘จะกังวลไปไย ทั้งโรงเตี้ยมนี้เขาเหมาไว้หมดแล้ว มีแค่เขากับนางและผู้ติดตามแค่ไม่กี่คนเท่านั้น’ หลัวหลิวหยางไม่ได้เอ่ยสิ่งที่คิดในใจ เขายิ้มเจ้าเล่ห์แล้วจับเรียวขางามให้แยกออกเกี่ยวเอวของเขาไว้ “ท่านจะทำอะไร! ไม่เข้าใจหรือว่าข้า! อ๊า!” จางฟางซินร้องเสียงหลงเมื่อสามีที่ยังไม่เข้าพิธีวิวาห์ของนางอุ้มนางทั้งที่สองขาของนางเกี่ยวเอวของเขาไว้ พละกำลังของเขามากล้น เขาอุ้มนางพร้อมสอดประสานแท่งหยกร้อนระอุเข้ามาในกายนาง ชายหนุ่มคำรามในลำคอ แก่นกายแห่งบุรุษเพศถูกช่องทางรักอ่อนนุ่มโอบรัดจนเขาต้องครางเสียงต่ำบรรเทาความเสียวซ่านที่เกิดขึ้น “ท่าน! ลึกเกินไปแล้วนะ!” นางกอดคอเขา สองขาเกี่ยวเอวเขาไว้แน่นเพราะกลัวตก แต่กระนั้นต้องยอมรับว่าช่
“หนึ่ง ... คำนับฟ้าดินสอง... คำนับพ่อแม่สาม... คำนับกันและกันส่งตัวเข้าห้องหอ” เพียงหญิงสาวเงยตัวขึ้นจากการคำนับกันและกัน ร่างของนางก็โงนเงนเกือบล้มลง หลัวหลิวหยางที่ระวังตัวทุกขณะยื่นมือไปประคองร่างหญิงคนรักไว้ได้ทัน “ซินเอ๋อร์!” หลัวหลิวหยางตวัดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น หัวใจของเขาคล้ายถูกบีบรัดเมื่อเห็นใบหน้าของจางฟางซินซีดเซียวแทบไร้สีเลือด “เจ้า...เป็นอะไรไป ตะ ตาม..ตามหมอ! ตามหมอมาเดี๋ยวนี้” เพราะระแวดระวังเรื่องไม่คาดฝันจะเกิดขึ้น นอกจากเตรียมทหารเฝ้าระวังความปลอดภัยแล้ว ยังเชิญหมอเก่งๆ มาพำนักที่บ้านถึงสามคน เพียงการตะโกนครั้งเดียวก็ทำให้ผู้คนรอบคนตื่นตัว วิ่งหน้าตั้งทำตามหน้าที่ที่ซักซ้อมไว้ก่อนแล้ว “ข้า...” จางฟางซินพยายามสูดลมหายใจลึกๆ และผ่อนออกช้าๆ ฝืนเปิดเปลือกแต่ไม่มีเรี่ยวแรง รับรู้เพียงความโกลาหลรอบข้างและร่างถูกอุ้มมานอนบนเตียงอย่างรวดเร็ว นางรับรู้ถึงน้ำเสียงร้อนรนที่พร่ำเรียกชื่อนาง “ซินเอ๋อร์!” ผ้าชุบน้ำผืนหนึ่งค่อยๆ เช็ดใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา
เมื่อแน่ใจว่ามันตายแล้วจริงๆ ใบหน้าของเด็กน้อยพลันปรากฏรอยยิ้มกว้าง ร่างเล็กหันซ้ายหันขวาเหมือนหาอะไรสักอย่างทำให้ปีศาจภูเขาที่อยู่บนกิ่งไม้ประหลาดใจ พลันเด็กหน้าแหงนหน้าขึ้น สายตาของทั้งสองประสานกัน ไม่เคยมีผู้ใดกล้าสบตากับเขา แม้แต่จะมองยังไม่กล้า แค่ได้ยินเสียงก็พากันหวาดกลัว แต่เด็กน้อยผู้นั้นกลับเบิกตากว้าง มุมปากก็ยิ่งฉีกเป็นรอยยิ้มทำให้ดวงตาคู่นั้นหยีเล็กลง มือเล็กๆ โบกมือไปมาเหมือนกลัวว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็น ปีศาจภูเขาผงะไป “ขอบคุณท่านปีศาจภูเขา!” เจ้าเด็กน้อยคุกเข่าโขกศีรษะสองสามทีแล้วรีบหมุนตัวไปที่หมูป่าตัวนั้น เด็กน้อยพยายามหาวิธีแบกร่างหมูป่า สุดท้ายเด็กน้อยใช้วีธีให้หมูป่าสิ้นใจตัวนั้นขี่หลัง สองมือประสานรองใต้ก้นหมูป่า สองขาหน้าของมันยื่นพาดบ่าของเด็กน้อย แม้จะทุลักทุเลไปบ้างแต่เจ้าเด็กนั้นก็แบกหมูป่าลงจากเขาได้สำเร็จ ปีศาจภูเขาอ้าปากค้าง มองเจ้าเด็กนั้นแบกอาหารของเขาไปจนสุดสายตา แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าคือเป็นครั้งแรกที่มีมนุษย์กล้าสบตาของเขาและยัง ‘ขอบคุณ’ เขาอีกด้วย นับตั้งแต่วันนั้น ปีศาจภูเขามักมาที่สุดเขตเส้นอาคม เจ้
“ก็...ก็ใช่นะสิ เป็นของนายของข้ามอบให้มา” นางพยายามดิ้นรนแต่กลับถูกท่อนแขนรัดเอวนางแน่นขึ้นจนเผลอร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา“นายเจ้าเป็นเศรษฐีที่ถูกหายตัวไปเมื่อสองเดือนก่อนรึ จุ๊ๆ เจ้าอย่ามาโกหกเลย บอกมาเถอะว่ารถม้าคันนั้นอยู่ที่ใด สมบัติในรถคันนั้นต้องมีมากกว่าที่เจ้าขนลงไปแน่”ฟางซินแตกตื่นจนพูดไม่ออก ยังไม่ทันคิดหาวิธีเอาตัวรอด ร่างของนางถูกเหวี่ยงลงพื้น หญิงสาวทั้งเจ็บและจุก พยายามดิ้นรนแต่ชายคนหนึ่งกลับคร่อมร่างนางไว้และอีกสองคนยึดแขนคนละข้าง เหตุการณ์กลับมาซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง นางนึกถึงเพียงใบหน้าของปีศาจภูเขา แต่นี่อยู่นอกเขตอาคม เขาไม่อาจออกมาช่วยนางได้ไม่! เขาจะออกมานอกเขตอาคมไม่ได้! เขาอาจจะตาย! และถ้ามีคนรู้ว่าปีศาจภูเขามีอยู่จริง จะต้องถูกชาวบ้านเชิญนักพรตมาสังหารเป็นแน่! นางยอมให้เขาเป็นอะไรไม่ได้เด็ดขาด!“โอ๊ย!”แมวป่าตัวหนึ่งพุ่งเข้าใส่คนที่คร่อมร่างหญิงสาวอยู่ กรงเล็บของมันทำให้ใบหน้าของคนผู้นั้นเป็นรอยแผล และเพราะความเจ็บปวดที่ทำให้รับทำให้ชายคนนั้นจับแมวป่าตัวนั้นออกจากร่างของตนแล้วทุ่มลงบนพื้นกระแทกถูกก้อนหิน แมวป่าส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีอ่อนแรง
ทว่านางกลับมีหมาป่าสองสามตัวติดตามลงมาส่ง นางเดาว่าปีศาจภูเขาคงขู่บังคับให้ทำเช่นนี้ คิดได้ดังนั้นหัวใจนางก็ยิ่งเต้นรัว นางไม่อยากจากเขาไปไหนเลย เพียงแต่ว่าครั้งนี้ได้มาลาบิดามารดาก่อนจะไปอยู่กับเขาชั่วชีวิต แต่เขาเป็นปีศาจ หากผู้อื่นรู้เขาเกรงว่าครอบครัวของนางจะลำบาก ระหว่างเดินทาง นางจึงครุ่นคิดหาแผนการเพื่อให้ได้ออกจากบ้านอย่างไร้กังวลหญิงสาวลอบเข้าบ้านหลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครอื่นผ่านมาเห็น เสียงไอโขลกๆ ของมารดาทำให้ฟางซินแทบทิ้งทุกสิ่งที่หอบมาเพื่อเข้าไปในเรือน บานประตูที่ถูกผลักออกโดยง่ายนั้น ทำให้มารดาที่นั่งปักผ้าอยู่เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นใบหน้าบุตรสาวคนเดียวที่หายไปร่วมเดือนก็ดีใจจนหลั่งน้ำตา“แม่คิดว่าเจ้า...เจ้า...”“ข้าไม่เป็นอะไรท่านแม่” นางวางข้าวของที่หอบลงมาจากเขา เปิดห่อผ้าหยิบโสมคนออกมาให้มารดา “นี่โสมคนชั้นเยี่ยม ข้าจะนำมาไปให้ท่านหมอปรุงยาให้ท่านแม่”“เจ้าไปเอาของพวกนี้มาจากไหน แล้วนี่...เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา ผู้อื่นลือกันว่าเจ้าตกเขาตายไปแล้ว”“เอ่อ...มีคนใจดีช่วยชีวิตข้าไว้” นางไม่อยากให้มารดารู้เรื่องที่เกือบถูกขืนใจ นางเองก็ไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้นอีก “ข้า...ข้าข
ฟางซินทั้งเขินอายและเสียวซ่าน นางผงกศีรษะขึ้นมอง เห็นเพียงศีรษะของเขาอยู่ตรงกลางหว่างขา นางอับอายเหลือเกินจึงพยายามดันศีรษะของเขาออก ทว่ารสสัมผัสที่เขามอบให้แสนเย้ายวนจนได้แต่ขยุ้มเส้นผมนุ่มสลวยที่นางบรรจงสางให้เขาอย่างดี เขาช้อนสะโพกนางให้ลอยขึ้น ถอนนิ้วเรียวออกแล้วห่อลิ้นแทรกเข้าไปแทนที่ น้ำหวานที่หลั่งออกมาทำให้ยิ่งฮึกเหิม เสียงครางกระเส่าของนางเสมือนรางวัลที่เขาตักตวงจากกายสาว สะโพกของนางลอยขึ้นจากพื้นโยกไหวตามอารมณ์รัญจวนที่เกิดขึ้น นางหลั่งน้ำหวานออกมามากล้นแต่ยังไม่เพียงพอสำหรับเขา เขาถอนลิ้นออกแล้วเปลี่ยนเป็นนิ้วเรียวสองนิ้วเข้าไป“อ๊า!” ฟางซินหลุดเสียงหวีดร้องออก สะบัดใบหน้าไปมา“เจ้า...ต้องพร้อมมากกว่านี้” เขาพูดเสียงแหบพร่า นิ้วร้ายยังคงเคลื่อนไหวเข้าออกนำพาน้ำหวานวาวใสให้หลั่งออกมาก ร่างกายของเขาแทบปริแตกด้วยความต้อง เขาจ้องมองร่างขาวเนียนบิดไปมาด้วยความรัญจวนจนกระทั่งร่างนางเกร็งและช่องทางที่แสนคับแคบบับรัดรุนแรงด้วยไปถึงจุดสุขสมฟางซินหวีดร้องอย่างไม่รู้ตัว ร่างกายร้อนผ่าวและหลอมละลายด้วยน้ำมือของเขา เขาถอนนิ้วออกช้าๆ นางหอบหายใจแรงมองเห็นเขาส่งนิ้วที่เปื้อนเปรอะน้ำ
“เปล่า” เขาส่ายหน้าไปมา “เป็นข้าที่ต้องดูแลเจ้า เจ้าถอดเสื้อผ้าสิ เร็วเข้า” “ไม่ เอ่อ...” เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีเจตนาดีไม่คิดรังแกนาง นางจึงยอมทำตามที่เขาสั่ง แต่การจะเปลือยกายต่อหน้าผู้อื่นนั้น นางไม่อาจทำได้ “เอาอย่างนี้ ท่านขึ้นจากน้ำไปก่อน ข้าจะถอดเสื้อผ้าในน้ำนี้” “อย่างนั้นรึ” เขาถามและนางก็พยักหน้ายืนยันแทนคำตอบ เขาจึงยอมเป็นฝ่ายขึ้นจากน้ำไปก่อน ฟางซินถอนหายใจโล่งอก ปีศาจตนนี้เอาใจไม่ยากนัก นิสัยคล้ายเด็กมากกว่า แต่นางก็ไม่เคยรู้จักปีศาจตนใดมาก่อนจึงไม่รู้ว่าปีศาจตนอื่นเป็นเช่นนี้หรือไม่ ฟางซินเห็นเขาหันหลังให้เหมือนยามที่นั่งหน้ากองไฟทุกค่ำคืน นางจึงถอดเสื้อผ้าที่เปียกน้ำนี่ออก ให้ร่างกายเปลือยเปล่าได้สัมผัสความอุ่นร้อนพอดีของสายน้ำ นางหลับตาอย่างผ่อนคลาย มันสบายอย่างนี้เองหรือ นางเผลอคลางออกมาอย่างไม่รู้ตัวแต่ประสาทการรับรู้ของปีศาจภูเขานั้นยอดเยี่ยม เขาหันขวับมามองด้วยความเป็นห่วง ทว่าภาพที่เห็นคือสาวงามเปลือกกายในสระน้ำ หัวใจของเขาเต้นรัวราวกับจะทะลุออกมาจากทรวงอก ดอกบัวคู่งามปริ่มน้ำชวนหลงใหล ผิวกายของนางแม้มีรอยบอบช้ำทว่ากลับน่ายื่นม
ขึ้นเขาครั้งนี้เพราะหวังว่าจะหาโสมหรือสมุนไพรหายาก แต่ไม่คิดว่าจะเจอพวกคนในหมู่บ้านมาทำร้ายนางได้ นางหายออกจากบ้านมากี่วันแล้วนะ มีใครออกตามหานางบ้างไหม? มีคนเป็นห่วงนางหรือเปล่า? หรือคิดเพียงแค่ว่านางอาจหนีเอาตัวรอดทิ้งความยากจนไว้เบื้องหลัง เขารู้ว่าอาหารที่ตนทำไม่อร่อย แต่เห็นนางกินจนเกลี้ยงชามก็อดปิติยินดีไม่ได้ “ข้า...ข้ามาอยู่ที่นี่กี่วันแล้ว” “เจ็ดวัน” ปีศาจตอบ “ฝนตกติดต่อกัน หนักบ้างเบาบ้าง” “อย่างนั้นหรือ?” นางถามเหมือนรำพึงไม่ต้องการคำตอบ แต่ถ้าได้อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ คงดีไม่น้อย ไม่ต้องกลับไปเผชิญเรื่องเลวร้ายใดอีก เห็นท่าทางนิ่งงันของนางแล้ว ปีศาจภูเขารู้สึกใจคอไม่ดีนัก เขายื่นมือไปแตะแขนนางเบาๆ ทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาเขา มุมปากค่อยๆ คลี่ยิ้มอ่อนหวานทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอีกครั้ง “ข้า...ข้าอยากอาบน้ำ” “อาบน้ำ?” เขาทำหน้างุนงงไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ “ได้ๆ ตอนนี้ไม่มีฝนแล้ว ข้าจะพาไปที่สระน้ำกลางป่า มีน้ำพุร้อน ที่นั้นจะช่วยรักษาบาดแผลให้เจ้าได้” “น้ำพุ
พายุฝนกระหน่ำทำเอาหญิงสาวต้องขดตัวกลมเพื่อปกป้องความเหน็บหนาวที่ถาโถมเข้าใส่ เสื้อผ้าบนร่างนั้นทั้งเก่าและขาดวิ่นแทบปกปิดเนินอกสล้างนั้นไม่ได้เลย หญิงสาวได้สติเมื่อผ้าผืนชุบน้ำผืนหนึ่งบรรจงเช็ดใบหน้าให้อย่างระวังว่ากรงเล็บจะถูกผิวกายของนาง หญิงสาวได้สติเพราะลมเย็นพัดผ่านผิวกาย มือเล็กยกขึ้นปกปิดทรวงอกไว้ เงาดำนั้นผงะเล็กน้อยแล้วถอยห่าง ฟางซินรู้สึกได้ว่าเงาดำนั้นก้าวออกไปจากบริเวณนั้นแล้ว นางจึงลุกขึ้นนั่ง ก้มมองสภาพตัวเองที่เสื้อผ้าแทบจะปกปิดอะไรไม่ได้เลย นางหยิบผ้าที่ที่วางในอ่างเล็กๆ นั้น ชุบน้ำแล้วเช็ดที่ใบหน้าและแขน แสงไฟจากกองไฟทำให้เห็นว่านางนั่งอยู่บนพรมหนังสัตว์ในถ้ำแห่งหนึ่ง ด้านนอกคงมีพายุฝนโหมกระหน่ำ นางอยู่ด้านในได้ยินเพียงเสียงฟ้าร้องคำรามและไอเย็นแผ่กระจายเข้ามา นางไม่กล้ามองเท้าขวาของตนเองเลย เจ็บจนน้ำตาร่วง และยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น นางก็ยิ่งขวัญเสีย “จะ...เจ็บ...เจ็บมากรึ” ฟางซินได้ยินเสียงแหบแห้งจากด้านหลัง ร่างใหญ่โตนั้นแทบบดบังแสงสว่างจากกองไฟหมดสิ้น นางอ้าปากแต่พูดไม่ออก มีเพียงเสียงสะอึกสะอื้นหลุดจากริมฝ
เมื่อแน่ใจว่ามันตายแล้วจริงๆ ใบหน้าของเด็กน้อยพลันปรากฏรอยยิ้มกว้าง ร่างเล็กหันซ้ายหันขวาเหมือนหาอะไรสักอย่างทำให้ปีศาจภูเขาที่อยู่บนกิ่งไม้ประหลาดใจ พลันเด็กหน้าแหงนหน้าขึ้น สายตาของทั้งสองประสานกัน ไม่เคยมีผู้ใดกล้าสบตากับเขา แม้แต่จะมองยังไม่กล้า แค่ได้ยินเสียงก็พากันหวาดกลัว แต่เด็กน้อยผู้นั้นกลับเบิกตากว้าง มุมปากก็ยิ่งฉีกเป็นรอยยิ้มทำให้ดวงตาคู่นั้นหยีเล็กลง มือเล็กๆ โบกมือไปมาเหมือนกลัวว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็น ปีศาจภูเขาผงะไป “ขอบคุณท่านปีศาจภูเขา!” เจ้าเด็กน้อยคุกเข่าโขกศีรษะสองสามทีแล้วรีบหมุนตัวไปที่หมูป่าตัวนั้น เด็กน้อยพยายามหาวิธีแบกร่างหมูป่า สุดท้ายเด็กน้อยใช้วีธีให้หมูป่าสิ้นใจตัวนั้นขี่หลัง สองมือประสานรองใต้ก้นหมูป่า สองขาหน้าของมันยื่นพาดบ่าของเด็กน้อย แม้จะทุลักทุเลไปบ้างแต่เจ้าเด็กนั้นก็แบกหมูป่าลงจากเขาได้สำเร็จ ปีศาจภูเขาอ้าปากค้าง มองเจ้าเด็กนั้นแบกอาหารของเขาไปจนสุดสายตา แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าคือเป็นครั้งแรกที่มีมนุษย์กล้าสบตาของเขาและยัง ‘ขอบคุณ’ เขาอีกด้วย นับตั้งแต่วันนั้น ปีศาจภูเขามักมาที่สุดเขตเส้นอาคม เจ้
“หนึ่ง ... คำนับฟ้าดินสอง... คำนับพ่อแม่สาม... คำนับกันและกันส่งตัวเข้าห้องหอ” เพียงหญิงสาวเงยตัวขึ้นจากการคำนับกันและกัน ร่างของนางก็โงนเงนเกือบล้มลง หลัวหลิวหยางที่ระวังตัวทุกขณะยื่นมือไปประคองร่างหญิงคนรักไว้ได้ทัน “ซินเอ๋อร์!” หลัวหลิวหยางตวัดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น หัวใจของเขาคล้ายถูกบีบรัดเมื่อเห็นใบหน้าของจางฟางซินซีดเซียวแทบไร้สีเลือด “เจ้า...เป็นอะไรไป ตะ ตาม..ตามหมอ! ตามหมอมาเดี๋ยวนี้” เพราะระแวดระวังเรื่องไม่คาดฝันจะเกิดขึ้น นอกจากเตรียมทหารเฝ้าระวังความปลอดภัยแล้ว ยังเชิญหมอเก่งๆ มาพำนักที่บ้านถึงสามคน เพียงการตะโกนครั้งเดียวก็ทำให้ผู้คนรอบคนตื่นตัว วิ่งหน้าตั้งทำตามหน้าที่ที่ซักซ้อมไว้ก่อนแล้ว “ข้า...” จางฟางซินพยายามสูดลมหายใจลึกๆ และผ่อนออกช้าๆ ฝืนเปิดเปลือกแต่ไม่มีเรี่ยวแรง รับรู้เพียงความโกลาหลรอบข้างและร่างถูกอุ้มมานอนบนเตียงอย่างรวดเร็ว นางรับรู้ถึงน้ำเสียงร้อนรนที่พร่ำเรียกชื่อนาง “ซินเอ๋อร์!” ผ้าชุบน้ำผืนหนึ่งค่อยๆ เช็ดใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา
“ท่าน!” นางดุเขาเสียงสั่น ร่างกายขยับไหวตามการปลุกเร้า เสียงเตียงลั่นเอียดอาดทำให้นางเรียกสติที่เหลือน้อยนิด กัดบ่าเขาไปแรงๆ ทีหนึ่ง “โอ้ว! นี่เจ้าชอบแบบนี้เองหรือ?” “ที่นี่ไม่ได้!” นางร้องขึ้น “เตียงมันลั่นเสียงดังอย่างนี้ ประเดี๋ยวผู้คนทั้งโรงเตี้ยมก็แตกตื่นกันหมดหรอก!” ‘จะกังวลไปไย ทั้งโรงเตี้ยมนี้เขาเหมาไว้หมดแล้ว มีแค่เขากับนางและผู้ติดตามแค่ไม่กี่คนเท่านั้น’ หลัวหลิวหยางไม่ได้เอ่ยสิ่งที่คิดในใจ เขายิ้มเจ้าเล่ห์แล้วจับเรียวขางามให้แยกออกเกี่ยวเอวของเขาไว้ “ท่านจะทำอะไร! ไม่เข้าใจหรือว่าข้า! อ๊า!” จางฟางซินร้องเสียงหลงเมื่อสามีที่ยังไม่เข้าพิธีวิวาห์ของนางอุ้มนางทั้งที่สองขาของนางเกี่ยวเอวของเขาไว้ พละกำลังของเขามากล้น เขาอุ้มนางพร้อมสอดประสานแท่งหยกร้อนระอุเข้ามาในกายนาง ชายหนุ่มคำรามในลำคอ แก่นกายแห่งบุรุษเพศถูกช่องทางรักอ่อนนุ่มโอบรัดจนเขาต้องครางเสียงต่ำบรรเทาความเสียวซ่านที่เกิดขึ้น “ท่าน! ลึกเกินไปแล้วนะ!” นางกอดคอเขา สองขาเกี่ยวเอวเขาไว้แน่นเพราะกลัวตก แต่กระนั้นต้องยอมรับว่าช่