Share

Chapter 15.  ทำไมเขาต้องสูงส่งจนนางเอื้อมไม่ถึงเช่นนี้

            “ไม่นะ!” นางยื้อมือของเขาไม่ให้ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออก ใบหน้าร้อนผ่าวกลายเป็นสีแดงจัด แต่มือของเขากลายเป็นหนวดปลาหมึกยุบยับบนตัวนาง หญิงสาวพยายามปัดป้องพลิกตัวหนีแต่ทำไม่ได้เลย  หลัวหลิวหยางกดร่างเล็กลงบนเตียง ตรึงข้อมือไว้เหนือศีรษะของนาง เขายิ้มเจ้าเล่ห์ โน้มหน้าลงใกล้ริมฝีปากช่างเจรจา ทว่าหางตารับรู้การเคลื่อนไหวที่กระโจนใส่ เขาผงะร่างไปด้านหลังพลิกตัวหลบอย่างฉิวเฉียด

            เจ้าแมวป่าขาเป๋กระโดดเข้าใส่ มันยืนขู่ฟ่อตัวพองบนร่างของจางฟางซิน

            “เปาเป่า!” 

            เจ้าแมวป่ากลายเป็นแมวบ้านครางเหมียวๆ ฟังน่าเอ็นดูหมุนตัวมาคลอเคลียหญิงสาวอย่างเอาใจ

            “เจ้าแมวเนรคุณ!” เขาสบถใส่ “ข้าคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเจ้านะ!”

            “ท่านแม่ทัพ” นางยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ตาเขา “ข้าเคยอ่านตำรามาว่าสัตว์มีสัญชาตญาณรู้ว่าผู้ใดดีกับมัน เจ้าเปาเป่ายอมรู้ว่าข้ารักมันมากที่สุด จึงมาปกป้องข้าเช่นนี้”

            แม่ทัพหนุ่มไม่คิดว่าตนเองต้องมาทะเลาะกับแมวขาเป๋ตัวหนึ่ง เจ้าแมวก็ทำเฉยชาไม่สนใจเขาเลยสักนิด แต่ไหนแต่ไรมันก็ไม่เคยสนใจผู้ใดอยู่แล้ว เหตุใดเขาจึงโง่นักที่เลี้ยงมันไว้ในจวน

            “ถ้ารู้ว่าเป็นเช่นนี้ ข้าให้คนจับมันไปถลกหนังขายแล้ว! เจ้ารู้หรือไม่ว่าหนังแมวป่าราคาดีเพียงใด”

            “ท่านกล้าเรอะ!” นางถลึงตาใส่

            “ลองดูหรือไม่ ต่อให้มันเป็นแมวขาพิการก็ได้ราคาดีอยู่!”

            “ถ้าท่านทำ...” นางหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ถ้าท่านกล้าทำร้ายเปาเป่า ข้าจะฟ้องพ่อบุญธรรม ฟ้ององค์รัชทายาทว่าท่านไร้คุณธรรม!”

            “ไร้คุณธรรม” เขาหัวเราะออกมา แล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของนาง “เจ้าไม่รู้หรือว่า ข้าคือแม่ทัพพิทักษ์บูรพา แม่ทัพผู้โหดเหี้ยมไร้คุณธรรมคือชื่อของข้า!”

            จางฟางซินอับจนถ้อยคำจะโต้เถียงจึงรวบร่างแมวอวบอ้วนมากอดไว้อย่างปกป้อง หลัวหลิวหยางกลอกตามองบน บางเรื่องนางก็ฉลาดปราดเปรื่อง แต่บางเรื่องนางก็ไร้เดียงสาจนน่าปวดใจ แต่เขาก็ชอบนางที่เป็นเช่นนี้ แม้เขาจะมีพี่น้องหลายคนแต่ไม่สนิทสนมกับใครสักคน ไม่เคยได้พูดเล่นหยอกล้อเช่นนี้กับใครมาก่อน

            เขาจ้องหน้าหญิงสาวสลับกับแมวขาเป๋แล้วได้แต่ถอนหายใจเบาๆ คราวนี้จะยอมปล่อยไปก่อน ครั้งหน้าไม่ยอมให้มีแมวเนรคุณมาขัดขวางเป็นแน่!

“อวี้หมี่เป็นตัวแทนจวิ้นอ๋องนำของเหล่านี้มามอบให้แม่นางจางเจ้าค่ะ”

“ฝากเรียนจวิ้นอ๋องด้วยว่าข้าขอบคุณมาก” 

จางฟางซินเหลือบตามองกล่องหลายใบที่ถูกลำเลียงเข้ามาในห้องของนาง แบบนี้มันจะไม่มากไปหน่อยหรือ?  ส่งของกำนัลมาให้นาง ส่งหญิงงามมาให้แม่ทัพหลัวเป็นอาหารตาอีกด้วย

“จวิ้นอ๋องทราบว่าแม่นางจางไม่สบายจึงเป็นกังวล ข้าเองก็เช่นกัน หวังว่าจะไม่รบกวนเวลาของแม่นางจางและท่านแม่ทัพหลัว”

หลัวหลิวหยางเพียงแค่ยิ้มให้เล็กน้อย ซึ่งนับว่ามากแล้ว  นอกจากแม่นมเหมยกุ้ยแล้วก็มีแค่จางฟางซินเป็นสตรีที่เขาพูดคุยด้วยมากที่สุด แต่เพื่อให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้เขาจึงเอ่ยไปอีกประโยค

“ลำบากแม่นางอวี้แล้ว”

อวี้หมี่เอียงอายขวยเขิน “มิได้ลำบากอันใด อวี้หมี่หวังใจจะได้ร่วมบรรเลงเพลงพิณกับท่านแม่ทัพอีกสักครั้ง” นางพูดออกไปแล้วก็ตกใจยกมือขึ้นปิดปากแล้วมองไปทางจางฟางซินอย่างขอโทษ

“ข้า...ข้าเพียงแค่หลงใหลบรรเลงพิณ เมื่อพบเจอบุรุษที่สามารถเล่นพิณได้ยอดเยี่ยมเช่นท่านแม่ทัพจึงอดชื่นชมไม่ได้ มิได้คิดเป็นอื่นใด”

จางฟางซินกลอกตามองหลัวหลิวหยางที่นั่งข้างนางแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

 “เช่นนั้นก็ดียิ่ง ท่านแม่ทัพเองก็อยากเล่นพิณมิใช่หรือ?”

หลัวหลิวหยางเก็บอาการของตนได้มิชิด มีเพียงมุมปากที่กระตุกยิ้มและท่าทีสูดลมหายใจลึก เขาเรียกเด็กรับใช้ยกพิณออกมา บ่าวรับใช้เตรียมน้ำชาและของว่าง  ใบหน้าของอวี้หมี่เต็มไปด้วยรอยยิ้มดุจผกาแย้มกลีบแบ่งบานรับแสงอรุณรุ่ง  

จางฟางซินมองหนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษนั่งเคียงข้าง ต้องยอมรับว่าเป็นภาพที่น่ามองเสียเหลือเกิน  นางเคยได้ยินพ่อบุญธรรมเล่าว่าถึงหลัวหลิวหยางหลายเรื่อง นอกจากความสามารถด้านวรยุทธ์แล้ว เขายังเชี่ยวชาญบรรเลงพิณ นางเพิ่งได้ยินเมื่อวันที่ไปหอระบำน้ำค้าง และวันนี้อีก นางเคยหัดเล่นพิณ ผีผา แต่ไม่ชอบเลยสักอย่าง จางฟางหรงยังเล่นพิณได้ดีกว่านางเสียอีก  

หญิงสาวเหม่อมองอย่างใจลอย ไม่บ่อยนักที่จะเห็นแววตาอ่อนโยนของหลัวหลิวหยาง เวลาที่เขาโขกหมากกระดานกับนางก็จริงจังดุดันจนแผ่ไอสังหารออกมา นางจึงเสแสร้งแกล้งหยอกล้อให้เขาคลายความตึงเครียดลง  ที่แท้เขาชอบบรรเลงพิณถึงเพียงนี้

อวี้หมี่ลอบมองทางจางฟางซิน มุมปากยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว เป็นสตรีที่มาจากเมืองหลวงหรือ? ไม่เห็นจะดีเด่นสักเท่าไหร่? มองอย่างไรนางก็เหนือกว่าทุกทาง เดิมทีนางรับงานนี้เพราะไม่อาจขัดใจโม่โฉวได้ ชื่อเสียงของแม่ทัพหลัวทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้ นางคิดว่าเขาเป็นบุรุษกักขฬะด้วยซ้ำไป แต่เมื่อได้พบเจอ นอกจากรูปโฉมหล่อเหลาองอาจงามสง่าแล้ว เขายังมีฝีมือบรรเลงพิณราวเทพเซียน    

เมื่อคราที่นางยังไม่เคยได้พบเขา นางชื่นชอบด้วยใจปลื้มปิติ นางกล้ากล่าวกับจางฟางหรงว่าเขาคือบุรุษในดวงใจของนาง การได้แอบรักเขาฝ่ายเดียวผลักดันให้นางใฝ่รู้ ร่ำเรียนเขียนอ่านจนพ่อบุญธรรมเอ่ยชมนางอยู่บ่อยครั้ง  แต่ในวันนี้ที่นางได้ใกล้ชิดเขา นางกลับรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน

ทำไมเขาต้องสูงส่งจนนางเอื้อมไม่ถึงเช่นนี้

แม้ใบหน้านางจะยิ้ม แต่ดวงตานางมีแววหม่นเศร้าฉายฉาบ หลัวหลิวหยางจ้องมองนางอย่างไม่เข้าใจนัก แต่เมื่อบรรเลงเพลงพิณร่วมกับอวี้หมี่จบไปสองบทเพลง พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน เขาตระหนักดีว่าสตรีผู้นี้มีความสามารถจริง   

จางฟางซินได้สติรีบยิ้มกลบเกลื่อน เอ่ยชื่นชมอวี้หมี่อย่างจริงใจ

“ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย”  จางฟางซินเอ่ยเสียงเบาท่าทางอ่อนแอดูน่าสงสารนัก

“แย่จริง เป็นข้าที่รบกวนเวลาพักผ่อนของเจ้า” อวี้หมี่กล่าวสีหน้าสำนึกผิด “ต้องขออภัยด้วย”

“ไม่เป็นไร เป็นข้าที่เสียมารยาทไม่สามารถต้อนรับแม่นางอวี้ได้เต็มที่”  นางยิ้มน้อยๆ หันหน้าไปทางหลัวหลิวหยาง ขยับปากไร้เสียง ‘ส่งแขก’

‘ช่างกล้านัก! กล้าใช้เขาส่งแขกเชียว’

หลัวหลิวหยางส่งสายตาดุดันใส่จางฟางซิน แต่นางกลอกตามองบนไม่มีท่าทีเกรงกลัวเขาสักนิด ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ เขาคงเอาใจเจ้าเด็กน้อยผู้นี้มากไป นางจึงกล้าลอยหน้าลอยตาใส่เช่นนี้

อา..จริงสิ นางอายุเท่าไหร่กัน สิบหกหรือสิบเจ็ดนะ เขาอายุยี่สิบหก ห่างจากนางตั้งแปดเก้าปี  พอตระหนักได้ว่าตนเองอายุมากกว่านางมากนั้นทำให้เขากังวล  ผู้อื่นอายุห่างกันสิบยี่สิบปียังแต่งงานกันได้ เขาห่างจากนางแค่เก้าปี ไม่เท่าไหร่หรอก

“แม่นางอวี้ ข้าเดินไปส่ง”  เขาเอ่ยอย่างเพิ่งนึกได้

“รบกวนท่านแม่ทัพแล้ว”

จางฟางซินมองคนทั้งสองเดินออกจากห้องไปแล้ว นางก็ถอนหายใจยาวแล้วเรียกเสี่ยวจิ้งมาช่วยจัดข้าวของที่โม่โฉวมอบให้นาง  หญิงสาวไม่ได้สนใจนัก นางหยิบสมุดบันทึกแล้วให้เสี่ยวจิ้งฝนหมึกให้

หลัวหลิวหยางเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง เขาเห็นนางก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าตั้งอกตั้งใจ จึงโบกมือไล่เสี่ยวจิ้งให้ออกไปเงียบๆ แล้วเดินอ้อมมาด้านหลัง ก้มมองลายมืองดงามของนาง ลายมือที่เขาคุ้นเคย แต่ก่อนนั้นเขาเขียนจดหมายแลกเปลี่ยนความคิดของ ‘จางฟางหรง’ เขายังแอบคิดว่าลายมือของ ‘จางฟางหรง’ คล้ายลายมือของสตรี น้ำหนักและการตวัดตัวอักษร แต่ความคิดอ่านทีแลกเปลี่ยนกันนั้น เขายอมรับความคิดของ ‘จางฟางหรง’ จนไม่ใส่ใจลายมือในจดหมายอีก มาบัดนี้เข้าใจแล้วว่า แม้นางจะพยายามทำตัวให้เป็นบุรุษเพียงใด นางก็คือสตรี คือจางฟางซิน 

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status