“ไม่นะ!” นางยื้อมือของเขาไม่ให้ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออก ใบหน้าร้อนผ่าวกลายเป็นสีแดงจัด แต่มือของเขากลายเป็นหนวดปลาหมึกยุบยับบนตัวนาง หญิงสาวพยายามปัดป้องพลิกตัวหนีแต่ทำไม่ได้เลย หลัวหลิวหยางกดร่างเล็กลงบนเตียง ตรึงข้อมือไว้เหนือศีรษะของนาง เขายิ้มเจ้าเล่ห์ โน้มหน้าลงใกล้ริมฝีปากช่างเจรจา ทว่าหางตารับรู้การเคลื่อนไหวที่กระโจนใส่ เขาผงะร่างไปด้านหลังพลิกตัวหลบอย่างฉิวเฉียด
เจ้าแมวป่าขาเป๋กระโดดเข้าใส่ มันยืนขู่ฟ่อตัวพองบนร่างของจางฟางซิน
“เปาเป่า!”
เจ้าแมวป่ากลายเป็นแมวบ้านครางเหมียวๆ ฟังน่าเอ็นดูหมุนตัวมาคลอเคลียหญิงสาวอย่างเอาใจ
“เจ้าแมวเนรคุณ!” เขาสบถใส่ “ข้าคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเจ้านะ!”
“ท่านแม่ทัพ” นางยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ตาเขา “ข้าเคยอ่านตำรามาว่าสัตว์มีสัญชาตญาณรู้ว่าผู้ใดดีกับมัน เจ้าเปาเป่ายอมรู้ว่าข้ารักมันมากที่สุด จึงมาปกป้องข้าเช่นนี้”
แม่ทัพหนุ่มไม่คิดว่าตนเองต้องมาทะเลาะกับแมวขาเป๋ตัวหนึ่ง เจ้าแมวก็ทำเฉยชาไม่สนใจเขาเลยสักนิด แต่ไหนแต่ไรมันก็ไม่เคยสนใจผู้ใดอยู่แล้ว เหตุใดเขาจึงโง่นักที่เลี้ยงมันไว้ในจวน
“ถ้ารู้ว่าเป็นเช่นนี้ ข้าให้คนจับมันไปถลกหนังขายแล้ว! เจ้ารู้หรือไม่ว่าหนังแมวป่าราคาดีเพียงใด”
“ท่านกล้าเรอะ!” นางถลึงตาใส่
“ลองดูหรือไม่ ต่อให้มันเป็นแมวขาพิการก็ได้ราคาดีอยู่!”
“ถ้าท่านทำ...” นางหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ถ้าท่านกล้าทำร้ายเปาเป่า ข้าจะฟ้องพ่อบุญธรรม ฟ้ององค์รัชทายาทว่าท่านไร้คุณธรรม!”
“ไร้คุณธรรม” เขาหัวเราะออกมา แล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของนาง “เจ้าไม่รู้หรือว่า ข้าคือแม่ทัพพิทักษ์บูรพา แม่ทัพผู้โหดเหี้ยมไร้คุณธรรมคือชื่อของข้า!”
จางฟางซินอับจนถ้อยคำจะโต้เถียงจึงรวบร่างแมวอวบอ้วนมากอดไว้อย่างปกป้อง หลัวหลิวหยางกลอกตามองบน บางเรื่องนางก็ฉลาดปราดเปรื่อง แต่บางเรื่องนางก็ไร้เดียงสาจนน่าปวดใจ แต่เขาก็ชอบนางที่เป็นเช่นนี้ แม้เขาจะมีพี่น้องหลายคนแต่ไม่สนิทสนมกับใครสักคน ไม่เคยได้พูดเล่นหยอกล้อเช่นนี้กับใครมาก่อน
เขาจ้องหน้าหญิงสาวสลับกับแมวขาเป๋แล้วได้แต่ถอนหายใจเบาๆ คราวนี้จะยอมปล่อยไปก่อน ครั้งหน้าไม่ยอมให้มีแมวเนรคุณมาขัดขวางเป็นแน่!
“อวี้หมี่เป็นตัวแทนจวิ้นอ๋องนำของเหล่านี้มามอบให้แม่นางจางเจ้าค่ะ”
“ฝากเรียนจวิ้นอ๋องด้วยว่าข้าขอบคุณมาก”
จางฟางซินเหลือบตามองกล่องหลายใบที่ถูกลำเลียงเข้ามาในห้องของนาง แบบนี้มันจะไม่มากไปหน่อยหรือ? ส่งของกำนัลมาให้นาง ส่งหญิงงามมาให้แม่ทัพหลัวเป็นอาหารตาอีกด้วย
“จวิ้นอ๋องทราบว่าแม่นางจางไม่สบายจึงเป็นกังวล ข้าเองก็เช่นกัน หวังว่าจะไม่รบกวนเวลาของแม่นางจางและท่านแม่ทัพหลัว”
หลัวหลิวหยางเพียงแค่ยิ้มให้เล็กน้อย ซึ่งนับว่ามากแล้ว นอกจากแม่นมเหมยกุ้ยแล้วก็มีแค่จางฟางซินเป็นสตรีที่เขาพูดคุยด้วยมากที่สุด แต่เพื่อให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้เขาจึงเอ่ยไปอีกประโยค
“ลำบากแม่นางอวี้แล้ว”
อวี้หมี่เอียงอายขวยเขิน “มิได้ลำบากอันใด อวี้หมี่หวังใจจะได้ร่วมบรรเลงเพลงพิณกับท่านแม่ทัพอีกสักครั้ง” นางพูดออกไปแล้วก็ตกใจยกมือขึ้นปิดปากแล้วมองไปทางจางฟางซินอย่างขอโทษ
“ข้า...ข้าเพียงแค่หลงใหลบรรเลงพิณ เมื่อพบเจอบุรุษที่สามารถเล่นพิณได้ยอดเยี่ยมเช่นท่านแม่ทัพจึงอดชื่นชมไม่ได้ มิได้คิดเป็นอื่นใด”
จางฟางซินกลอกตามองหลัวหลิวหยางที่นั่งข้างนางแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้นก็ดียิ่ง ท่านแม่ทัพเองก็อยากเล่นพิณมิใช่หรือ?”
หลัวหลิวหยางเก็บอาการของตนได้มิชิด มีเพียงมุมปากที่กระตุกยิ้มและท่าทีสูดลมหายใจลึก เขาเรียกเด็กรับใช้ยกพิณออกมา บ่าวรับใช้เตรียมน้ำชาและของว่าง ใบหน้าของอวี้หมี่เต็มไปด้วยรอยยิ้มดุจผกาแย้มกลีบแบ่งบานรับแสงอรุณรุ่ง
จางฟางซินมองหนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษนั่งเคียงข้าง ต้องยอมรับว่าเป็นภาพที่น่ามองเสียเหลือเกิน นางเคยได้ยินพ่อบุญธรรมเล่าว่าถึงหลัวหลิวหยางหลายเรื่อง นอกจากความสามารถด้านวรยุทธ์แล้ว เขายังเชี่ยวชาญบรรเลงพิณ นางเพิ่งได้ยินเมื่อวันที่ไปหอระบำน้ำค้าง และวันนี้อีก นางเคยหัดเล่นพิณ ผีผา แต่ไม่ชอบเลยสักอย่าง จางฟางหรงยังเล่นพิณได้ดีกว่านางเสียอีก
หญิงสาวเหม่อมองอย่างใจลอย ไม่บ่อยนักที่จะเห็นแววตาอ่อนโยนของหลัวหลิวหยาง เวลาที่เขาโขกหมากกระดานกับนางก็จริงจังดุดันจนแผ่ไอสังหารออกมา นางจึงเสแสร้งแกล้งหยอกล้อให้เขาคลายความตึงเครียดลง ที่แท้เขาชอบบรรเลงพิณถึงเพียงนี้
อวี้หมี่ลอบมองทางจางฟางซิน มุมปากยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว เป็นสตรีที่มาจากเมืองหลวงหรือ? ไม่เห็นจะดีเด่นสักเท่าไหร่? มองอย่างไรนางก็เหนือกว่าทุกทาง เดิมทีนางรับงานนี้เพราะไม่อาจขัดใจโม่โฉวได้ ชื่อเสียงของแม่ทัพหลัวทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้ นางคิดว่าเขาเป็นบุรุษกักขฬะด้วยซ้ำไป แต่เมื่อได้พบเจอ นอกจากรูปโฉมหล่อเหลาองอาจงามสง่าแล้ว เขายังมีฝีมือบรรเลงพิณราวเทพเซียน
เมื่อคราที่นางยังไม่เคยได้พบเขา นางชื่นชอบด้วยใจปลื้มปิติ นางกล้ากล่าวกับจางฟางหรงว่าเขาคือบุรุษในดวงใจของนาง การได้แอบรักเขาฝ่ายเดียวผลักดันให้นางใฝ่รู้ ร่ำเรียนเขียนอ่านจนพ่อบุญธรรมเอ่ยชมนางอยู่บ่อยครั้ง แต่ในวันนี้ที่นางได้ใกล้ชิดเขา นางกลับรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน
ทำไมเขาต้องสูงส่งจนนางเอื้อมไม่ถึงเช่นนี้
แม้ใบหน้านางจะยิ้ม แต่ดวงตานางมีแววหม่นเศร้าฉายฉาบ หลัวหลิวหยางจ้องมองนางอย่างไม่เข้าใจนัก แต่เมื่อบรรเลงเพลงพิณร่วมกับอวี้หมี่จบไปสองบทเพลง พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน เขาตระหนักดีว่าสตรีผู้นี้มีความสามารถจริง
จางฟางซินได้สติรีบยิ้มกลบเกลื่อน เอ่ยชื่นชมอวี้หมี่อย่างจริงใจ
“ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย” จางฟางซินเอ่ยเสียงเบาท่าทางอ่อนแอดูน่าสงสารนัก
“แย่จริง เป็นข้าที่รบกวนเวลาพักผ่อนของเจ้า” อวี้หมี่กล่าวสีหน้าสำนึกผิด “ต้องขออภัยด้วย”
“ไม่เป็นไร เป็นข้าที่เสียมารยาทไม่สามารถต้อนรับแม่นางอวี้ได้เต็มที่” นางยิ้มน้อยๆ หันหน้าไปทางหลัวหลิวหยาง ขยับปากไร้เสียง ‘ส่งแขก’
‘ช่างกล้านัก! กล้าใช้เขาส่งแขกเชียว’
หลัวหลิวหยางส่งสายตาดุดันใส่จางฟางซิน แต่นางกลอกตามองบนไม่มีท่าทีเกรงกลัวเขาสักนิด ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ เขาคงเอาใจเจ้าเด็กน้อยผู้นี้มากไป นางจึงกล้าลอยหน้าลอยตาใส่เช่นนี้
อา..จริงสิ นางอายุเท่าไหร่กัน สิบหกหรือสิบเจ็ดนะ เขาอายุยี่สิบหก ห่างจากนางตั้งแปดเก้าปี พอตระหนักได้ว่าตนเองอายุมากกว่านางมากนั้นทำให้เขากังวล ผู้อื่นอายุห่างกันสิบยี่สิบปียังแต่งงานกันได้ เขาห่างจากนางแค่เก้าปี ไม่เท่าไหร่หรอก
“แม่นางอวี้ ข้าเดินไปส่ง” เขาเอ่ยอย่างเพิ่งนึกได้
“รบกวนท่านแม่ทัพแล้ว”
จางฟางซินมองคนทั้งสองเดินออกจากห้องไปแล้ว นางก็ถอนหายใจยาวแล้วเรียกเสี่ยวจิ้งมาช่วยจัดข้าวของที่โม่โฉวมอบให้นาง หญิงสาวไม่ได้สนใจนัก นางหยิบสมุดบันทึกแล้วให้เสี่ยวจิ้งฝนหมึกให้
หลัวหลิวหยางเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง เขาเห็นนางก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าตั้งอกตั้งใจ จึงโบกมือไล่เสี่ยวจิ้งให้ออกไปเงียบๆ แล้วเดินอ้อมมาด้านหลัง ก้มมองลายมืองดงามของนาง ลายมือที่เขาคุ้นเคย แต่ก่อนนั้นเขาเขียนจดหมายแลกเปลี่ยนความคิดของ ‘จางฟางหรง’ เขายังแอบคิดว่าลายมือของ ‘จางฟางหรง’ คล้ายลายมือของสตรี น้ำหนักและการตวัดตัวอักษร แต่ความคิดอ่านทีแลกเปลี่ยนกันนั้น เขายอมรับความคิดของ ‘จางฟางหรง’ จนไม่ใส่ใจลายมือในจดหมายอีก มาบัดนี้เข้าใจแล้วว่า แม้นางจะพยายามทำตัวให้เป็นบุรุษเพียงใด นางก็คือสตรี คือจางฟางซิน
จางฟางซิน บุตรสาวเสนาบดีตกอับสกุลจาง ในยุคสมัยที่ตระกูลจางยังรุ่งเรื่อง บิดามีภรรยาสองคนทั้งสองเป็นพี่น้องกันตกลงปลงใจใช้สามีร่วมกัน บิดามีบุตรเพียงสองคนคือจางฟางซิน และจางฟางหรง น้องที่เกิดหลังนางแค่ครึ่งชั่วยาม มารดาของนางจากไปตั้งแต่วันที่นางถือกำเนิด หลังจากนั้นสามปีภรรยาอีกคนก็จากไป บิดาเศร้าโศกเสียใจจนร่างกายเจ็บป่วย ก่อนจะสิ้นใจบิดาได้ฝากฝั่งจางฟางซินและจางฟางหรงให้สหายรักช่วยดูแลพร้อมทรัพย์สินก้อนสุดท้ายที่เหลือน้อยนิด จางฟางซินในวัยสิบสองจูงมือจางฟางหรงมายังสำนักศึกษาไผ่หยก ภายใต้การดูแลของสหายรักของบิดานามหยางอี้เสียง และด้วยความสงสารเวทนาจึงรับบุตรของสหายเป็นบุตรบุญธรรมชีวิตของจางฟานซินจึงเริ่มต้นใหม่ที่นี่ จนกระทั้งวันที่นางอายุสิบเจ็ด ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปตลอดกาล....นางไม่อยากเชื่อเลย อีกเพียงไม่กี่ลี้นางจะไปถึงที่หมายแล้วแท้ๆ เหตุใดถึงถูกตามไล่ล่าอย่างไร้หนทางเช่นนี้ จางฟางซินเคยอ่านเรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับชายแดนตะวันออก นางศึกษาทุกอย่างจนมั่นใจว่าตัวเองเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างดียิ่ง ทว่านางไม่คิดว่า การลอบเดินทางที่ใช้เวลาครึ่งเดือนนี้จะมาจบลงที่รถม
เสียงครางด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น เรียกสติของแม่ทัพหนุ่มวัยยี่สิบหกให้หันไปมอง เขาหมุนตัวเดินไปก้มมอง แขนซ้ายมีรอยบาดเป็นทางยาว ดูแล้วไม่น่าจะลึกแต่เลือดไหลออกมามาก แต่ส่วนที่น่าจะเจ็บที่สุด น่าจะเป็นข้อเท้าขวาของนาง“แม่นมเหมยกุ้ยมาแล้วขอรับ”“ท่านแม่ทัพ”แม่นมเหมยกุ้ยเป็นสตรีวัยสี่สิบสองที่ท่านแม่ทัพให้ความเคารพดุจญาติผู้ใหญ่ นางยกชายกระโปรงก้าวเร็วๆ เข้าไปหา พอเห็นสภาพคนที่นอนหมดสติบนเตียงก็อุทานออกมา“รบกวนแม่นมแล้ว”“ได้ๆ ทางนี้ข้าจัดการเอง” นางรับคำอย่างรู้หน้าที่ “เด็กๆ ไปยกน้ำอุ่นมา ผ้าสะอาดด้วย ห้ามผู้ชายเข้าใกล้ และขอเชิญท่านมาทางนี้เจ้าค่ะ”แม่นมเหมยกุ้ยสั่งการรวดเร็ว หลัวหลิวหยางถอนหายใจเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินออกมา เพียงยกเท้าพ้นธรณีประตู เสียงแม่นมก็ดังไล่หลังมาทันที“ข้าสั่งคนเตรียมน้ำอุ่นให้ท่านแม่ทัพแล้ว ท่านควรผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วนะเจ้าค่ะ”“ข้าทราบแล้ว”มุมปากของหลัวหลิวหยางยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่เพราะใบหน้าดุดันอยู่เป็นนิจจึงแทบไม่เห็นรอยยิ้มนั้น ในจวนแห่งนี้มีสตรีน้อยมาก บ่าวไพร่ที่เป็นหญิงล้วนมีแม่นมเหมยกุ้ยคัดเลือกเข้ามาทำงาน เขาจึงวางใจเรื่องเหล่านี้บ้าง รวมทั้ง
มือหยาบกร้านเพราะจับกระบี่กรำศึกมายาวนานยื่นไปปัดม่านมุ้งออก แม้บอกตัวเองว่าอยู่สนามรบมานาน ทว่าเมื่อเห็นสตรีที่หมดสติ แขนเต็มไปด้วยแผลถลอก ร่องรอยขูดขีด ยังเหลือรอยเลือดยังแห้งกรังที่ผมของนาง ข้อเท้าข้างขวาถูกพันผ้าอย่างแน่นหนา เสี้ยวเวลาอันแสนสั้นก่อนหมดสติ ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความตกใจ ปฏิกิริยาในตอนนี้แม้นางยังหลับอยู่ แต่ยังคงเป็นความหวาดกลัว เปลือกตาของนางกระตุก ปลายนิ้วมือขยับเกร็ง หลัวหลิวหยางเอื้อมมือไปกุมมือหญิงสาวไว้โดยไม่ทันคิด“ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าปลอดภัยแล้ว”ไม่ใช่ถ้อยคำอ่อนโยนหวานหู แต่น้ำเสียงหนักแน่นที่พร้อมปกป้องขับไล่ความหวาดกลัวของหญิงสาว นางบีบมือของเขาแน่นราวกับเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยว เขาไม่อาจผละไปจากนางได้จึงค่อยๆ นั่งลงบนเตียงข้างนาง ดวงตาของเขาจ้องมองริมฝีปากของนางพึมพำ แม้รู้ว่านางยังไม่ได้สติแต่เขากลับโน้มตัวลง แนบใบหูใกล้ริมฝีปากของนาง “ท่านช่วยชีวิตข้า” หญิงสาวพึมพำแทบฟังไม่ออก นางลืมตาขึ้นมองเขา แล้วพยายามขยับตัว เพียงการขยับตัวเล็กน้อยก็ทำให้นางหลุดเสียงร้องเจ็บปวดออกมา“นอนลงไป ใจเย็นๆ”“ข้า...” นางพยายามอย่างสุดกำลัง อย่างน้อยนางก็ได้มา
ยามใดที่จางฟางหรงออกไปชุมนุมกับเหล่าบัณฑิต จางฟางซินจะออกไปด้วย นางแต่งกายเป็นบุรุษ แต่ก่อนยังเยาว์วัย จางฟางซินมักแต่งกายเป็นชายเสมอ เพราะนิสัยนางที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตนอกรั้วบ้าน บิดามารดารักใคร่เอ็นดู ตามใจลูกสาวคนเดียว จางฟางหรงจึงเหมือนมีคู่แฝด แต่เมื่อเติบโตขึ้น รูปร่างของเขาสูงโปร่ง ในขณะที่นางอรชรอ้อนแอ้น ความแตกต่างระหว่างชายหญิงเห็นได้เด่นชัด แม้ว่านางพยายามปกปิดเพียงใดก็ตาม ในบางประเด็นที่ถกเถียงกัน จางฟางซินที่แต่งกายเป็นชายติดตามจางฟางหรง ไม่อาจแสดงความคิดใดได้ นางจึงเขียนจดหมายน้อยให้จางฟางหรงเอ่ยตอบไปแทนนาง ปรัชญาเมธีหรือแม้แต่ตำรายุทธ ล้วนเป็นนางที่ท่องจำเข้าใจอย่างท่องแท้ แต่จางฟางหรงมักชอบการเขียนโคลงกลอนชื่นชมความของธรรมชาติและสตรี ทุกครั้งที่นางอยากถกปัญหาบ้านเมือง นางจะเขียนในจดหมายน้อยโดยใช้ชื่อของจางฟางหรง เป็นเช่นนี้มานานจนทุกคนเข้าใจไปว่าจางฟางหรงผู้มีบุคลิกเสเพลเป็นเสือซ่อนเล็บที่ทรงความรู้ความสามารถ แต่เมื่อไปสอบจอหงวนกลับพลาดอย่างน่าเสียดาย แต่กระนั้น ยามใดที่องครัชทายาทมีปัญหาใดมักมาปรึกษากับจางฟางหรง และจางฟางหรงก็หอบปัญหาเหล่านั้นมาให้จางฟาง
“ข้ารู้แค่ว่านี่เป็นป้ายประจำตัวองค์รัชทายาท” เขากอดอกยืนฟังนาง พยายามสนใจเพียงดวงตากลมโตสีนิล ไม่มองผิวกายเนียนละเอียดที่เต็มไปด้วยรอยบอบช้ำ ตลอดการเดินทาง นางครุ่นคิดอยู่หลายตลบว่าจะเริ่มเรื่องอย่างไรให้เขาเชื่อใจนาง จะแสดงตัวเช่นไรไม่ให้ถูกจับได้ว่าเป็นหญิง แต่เมื่อฐานะถูกเปิดเผยแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะต้องปิดบังอันใดอีก นางสูดลมหายใจแล้วเอ่ยออกมา“ข้าคือจางฟางหรง”“หือ?” หลัวหลิวหยางเลิกคิ้วประหลาดใจ “จางฟางหรง?”“จางฟางหรงที่เขียนจดหมายโต้ตอบกับท่าน” นางยังคงสงบใจกล่าวต่อ “ข้าเคยพบจางฟางหรง เขาเป็นบุตรบุญธรรมของอาจารย์ข้า เขาเป็นบุรุษมิใช่สตรี”“ถูกต้อง จางฟางหรงที่ท่านแม่ทัพพบคือน้องชายต่างมารดาของข้า ข้าชื่อจางฟางซิน ข้าและจางฟางหรงเป็นบุตรบุญธรรมของอาจารย์ หยางอี้เสียง” นางแนะนำตัวเอง และเมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดจะพูดขัด นางจึงพูดต่อ “คนที่เขียนจดหมายถึงท่านคือข้า ข้าใช้ชื่อของน้องชายเพื่อคุยกับท่าน”แววตาของหลัวหลิวหยางประหลาดใจเล็กน้อย เดิมทีเขาสงสัยมาตลอด บุรุษอย่างจางฟางหรงดูเหมือนคนที่ไม่สนใจตำราพิชัยยุทธ์ ไม่ชอบการทหาร แต่กลับแลกเปลี่ยนความคิดกับเขาและเสนอแนวทางให้เขาหลาย
“เช่นนั้น...” นางอ้าปากแต่ยังพูดได้เพียงสองคำ เขาก็ยกมือขึ้นห้ามไว้ก่อน ครู่หนึ่งแม่นมเหมยกุ้ยเข้ามาพร้อมหญิงรับใช้ที่นำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้จางฟางซินผลัดเปลี่ยน แม่นมเหมยกุ้ยพยักหน้าให้บ่าวรับใช้ออกไปก่อน เมื่อเหลือเพียงสามคนนางจึงเอ่ยขึ้น“แม่นางได้สติดีแล้ว ข้าจึงจัดเตรียมเสื้อผ้ามาให้” “ขอบคุณแม่นมเหมยกุ้ยมากเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หลายวันมานี้ท่านลำบากเพราะข้าแท้ๆ ข้าวของเครื่องใช้ของข้าอยู่ในรถม้า”“ในรถม้ามีของสำคัญใดหรือไม่ ข้าส่งคนออกไปดูไม่พบสิ่งใด พวกโจรคงขโมยไปหมดแล้ว”จางฟางซินส่ายหน้าไปมา “นอกจากเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวแล้วไม่มีสิ่งอื่นเจ้าค่ะ โจรกลุ่มนั้นคงปล้นเสียเทียวแล้ว”‘ตัวข้าสำคัญที่สุดแล้ว’ นางไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไป เกรงว่าเขาจะเห็นว่านางเป็นคนชอบเยินยอตัวเอง ยังไม่ทันพูดอะไรต่อเด็กรับใช้ประคองถ้วยยาเข้ามา หญิงสาวยิ้มค้าง ดวงตาจ้องมองหลัวหลิวหยางเป็นเชิงถาม นี่นางต้องดื่มยาอีกแล้วหรือ? ปกตินางเป็นคนแข็งแรงจนน้องชายหยอกล้อว่านางแข็งแรงเหมือนวัว ร้อยวันพันปีจะเจ็บป่วยสักครั้ง หากไม่นับข้อเท้าของนางที่เจ็บหนัก นางคิดว่าตัวเองแข็งแรงดีแล้วจริงๆ หลัวหลิวห
“ขอโทษด้วย” จางฟางซินพูดอย่างนึกขึ้นได้ “ท่านแม่ทัพกรุณากับข้ายิ่ง”“เจ้าต้องกินอะไรบ้าง เพื่อจะได้มีแรง” เขาหยิบตะเกียบคีบเนื้อปลากะพงนึ่งให้นาง“ข้าทำเองได้” นางเตือนเขา “มือของข้ายังใช้การได้ดีอยู่”“แขนซ้ายเจ้ายังเจ็บอยู่” ดูท่านางก็ดื้อดึงไม่แพ้เขาเช่นกัน “เอาไว้เจ้าหายดีแล้วค่อยปรนนิบัติข้าคืนก็แล้วกัน”“ข้าจะจำใส่ใจไว้” นางพูดพลางกินมื้อเที่ยงของตัวเอง หลายวันนี้กินแต่โจ๊ก พอมีอาหารเลิศรสเข้าปาก ใบหน้าของนางพลันแช่มชื้นขึ้น“อร่อยไหม” หลัวหลิวหยางถามเพราะสีหน้าของนางช่างดูมีความสุขเสียเหลือเกิน “ข้าจำได้ว่าท่านเคยปรึกษาเรื่องเพาะปลูกข้าวในพื้นที่ที่เป็นภูเขาเสียส่วนใหญ่ ข้าวในถ้วยนี้มาจากแปลงนาเชิงเขาใช่หรือไม่” เขายิ้มแทนคำตอบ เขาเคยเขียนจดหมายถึง ‘จางฟางหรง’ ปรึกษาเรื่องเหล่านี้จริง และจางฟางหรงช่วยค้นหาวิธีเพาะปลูกและกักเก็บน้ำ ทำให้สองปีมานี้ แผ่นดินที่เคยแห้งแล้งทางทิศตะวันออกเปลี่ยนเป็นเขียวขจีด้วยทุ่งข้าวและพืชพรรณมากมาย “ดีจริง วันนี้ได้กินข้าวที่ท่านปลูกแล้ว”“ข้าสั่งผู้อื่นปลูกต่างหาก” เขาพูดพลางคีบเห็ดผัดน้ำมันหอยให้นาง “เห็ดนี่ได้มาจากภูเขา เก็บมาเมื่อเช้า
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาเคยเขียนจดหมายไร้สาระเล่าให้จางฟางหรงฟังว่าจับแมวป่าได้ แมวป่ามีมูลค่า หนังของมันเป็นที่ต้องการ แต่เปาเป่าตัวเล็กนัก แม่ของมันรวมทั้งพี่น้องมันอยู่ที่ใด ตอนนั้นเขาไม่คิดว่าจะเลี้ยงมัน แต่ไม่รู้นึกอย่างไรหิ้วแมวป่ากลับมาโยนให้แม่นมช่วยดูแล มันเป็นแมวป่าแต่ถูกคนเอาใจใส่ดูแล ความดุร้ายจึงลดลง เป็นจังหวะเดียวกับที่ ‘จางฟางหรง’ ตอบจดหมายและขอความเมตตาจากเขาให้เลี้ยงมัน พร้อมทั้งแนะนำให้เขาหานมแพะมาป้อนมันอีกด้วย เขาไม่เคยตอบ ‘จางฟางหรง’ ว่าเขาตัดสินใจเลี้ยงมันไว้ จนเวลานี้ ‘จางฟางซิน’ ได้มาพบกับมันด้วยตนเองจางฟางซินพยักหน้า แล้วก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อหลัวหลิวหยางหิ้วหนังคอเจ้าแมวป่าออกจากอกของนาง ยื่นแมวยักษ์ไปทางหูซานให้อุ้มแมวไว้ แล้วเขาก็อุ้มนางขึ้นจากพื้น“ท่าน!”“เจ้าอยู่นิ่งๆ ในห้องไม่ได้สินะ” เขาหัวเราะในลำคออุ้มนางมานั่งที่เก้าอี้กลมที่ศาลาหกเหลี่ยม “อุดอู้อยู่ในห้องมาสี่ห้าวันแล้ว ข้าอยากออกมารับแสงแดดบ้าง” นางอาศัยจังหวะที่เขาอยู่ใกล้นาง กระซิบบอกเขา “ข้าอยากเห็นพื้นที่ ภูมิประเทศและผู้คน ข้ามาถึงหลายวันแล้ว ให้ข้าช่วยงานท่านบ้างเถิด”เพื่อไม่ให้ผู้อื่น