“หากท่านไม่รีบลงมือ ผู้อื่นอาจช่วงชิงนางไปก็ได้”
“ใครกล้า!” เขาเผลอทุบโต๊ะอย่างแรงเสียงดังปัง! บ่าวรับใช้ที่รอด้านนอกได้ยินจนสะดุ้งตัวสั่น
“ข้าแค่กล่าวเตือนท่าน หากท่านหวงแหนนางถึงเพียงนี้ก็รีบทำในสิ่งที่ควรทำเถิด”
“ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน!”
“ท่านหมอมาตรวจแผลให้นาง อยู่ที่เรือนของนางนั้นแหละ”
แม่นมเหมยกุ้ยเบี่ยงกายเล็กน้อยให้หลัวหลิวหยางที่ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวยาวๆ ออกไปไม่สนใจนางเลยสักนิด แม่นมได้แต่ส่ายหน้าไปมา ถ้านางไม่กระตุ้นเช่นนี้ เห็นทีว่าแม่ทัพหนุ่มผู้นี้อาจทำให้สตรีในดวงใจหลุดมือไป
จางฟางซินวาดเท้าลงบนพื้น ผ้าที่เคยพันรอบข้อเท้าไม่แน่นหนาเช่นแต่ก่อน นางสูดลมหายใจลึกก่อนค่อยยันกายขึ้นยืนโดยมีเสี่ยวจิ้งคอยประคอง แม้เจ็บแปลบอยู่บ้างแต่นางก็สามารถยืนได้แล้ว
“ดีจริง ยืนได้แล้ว” นางยิ้มกว้างแล้วหันมาทางหมอทหารที่แวะเวียนมาดูอาการให้นางวันเว้นวันตามคำสั่งของแม่ทัพหลัว “ฝีมือรักษาของท่านยอดเยี่ยมจริงๆ ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ ”
ถูกกล่าวชมต่อหน้าเช่นนี้ แม้จะอายุสี่สิบแล้วก็รู้สึกเก้อเขินอยู่บ้าง แรกที่เดียวเขาเองวิตกกังวลที่ถูกตามตัวมารักษาสตรีของท่านแม่ทัพหลัว แต่เมื่อได้พบกันบ่อยครั้งเข้า ความกังวลที่มีก็ลดลงไปมาก นางเป็นหญิงสาวที่ไม่ถือตัวและเป็นคนเจ็บที่ไม่เรื่องมาก หากไม่นับเรื่องที่นางดื้อรั้นพยายามเดินอยู่บ่อยครั้ง ก็นับได้ว่านางเป็นคนเจ็บที่ดีคนหนึ่ง
“เสี่ยวจิ้งปล่อยให้ข้าลองเดินด้วยตนเองสักหน่อยเถอะนะ”
“จะดีหรือเจ้าค่ะ”
“อย่าเพิ่งรีบร้อนนัก”
ทั้งท่านหมอและสาวใช้ร้องห้าม แต่จางฟางซินผลักเบาๆ ให้เสี่ยวจิ้งออกห่าง นางก้มมองเท้าตนเองที่ค่อยๆ ก้าวทีละก้าว ที่ละก้าว แม้จะไม่เจ็บเท่าแต่ก่อน แต่ทุกก้าวก็เจ็บแปลบจนนางนิ่วหน้า แต่นางไม่ยอมแพ้ยังก้าวเดินอีกก้าว อีกก้าว เหงื่อเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าและนางเริ่มหอบหายใจแรง
“อ๊ะ!”
หญิงสาวร้องเสียงหลงเมื่อความเจ็บปวดเอาชนะจนได้ ร่างกายทรุดฮวบลงไป ทว่ามือแข็งแกร่งยื่นมาประคองนางไว้ได้ทันเวลา
“เจ้าไม่คิดจะอยู่นิ่งบ้างหรือไร”
น้ำเสียงดุดันลอยอยู่เหนือศีรษะของหญิงสาว จางฟางซินช้อนตาขึ้นมองเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของเขาแล้วก็หลุบตาลง
“อย่าดุนักสิ ข้าเป็นคนเจ็บนะ” นางบ่นพึมพำแต่เขากลับได้ยิน นางอุทานตกใจเมื่อร่างถูกช้อนตัวอุ้มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวจิ้งและท่านหมอถูกสายตาคมกริบของแม่ทัพหลัวจ้องมองทำเอาต้องรีบก้มหน้า
“บาดแผลนางเป็นอย่างไร?” เขาถามอุ้มร่างบอบบางไว้แนบอกหยุดคุยกับหมอทหารที่ส่งมาดูแลจางฟางซิน
“บาด...บาดแผลดีขึ้นมากแล้วขอรับ อ้อ! นี่เป็นยาใช้ทาบริเวณที่เป็นแผล จะช่วยให้แผลสมานไม่ทิ้งรอยแผลเป็นขอรับ” ท่านหมอรีบหยิบตลับยาส่งให้
“นางจะมีแผลเป็น?”
“ไม่มีแน่นอนขอรับ ยาชนิดดีมาก แต่อาจใช้เวลาสักหน่อย แผลที่แขนของนางเป็นรอยบาดลึกพอสมควร”
“เข้าใจแล้ว”
“หมดธุระแล้ว ข้าน้อยขอตัว”
“ไปเถอะ” หลัวหลิวหยางพูดแล้วปรายตาไปยังเสี่ยวจิ้งที่ก้มหน้างุดจนคางแทบจะชิดแผ่นอก “เจ้าไปส่งท่านหมอ แล้วมีอะไรก็ไปทำ ทางนี้ข้าจัดการเอง”
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวจิ้งถอนหายใจโล่งอก รีบนำทางท่านหมอออกไปโดยเร็ว
จางฟางซินเงยหน้าขึ้นมองเห็นคนทั้งสองแทบจะวิ่งออกไป นางถอนหายใจเบาๆ เงยหน้ามองเขาที่อุ้มนางเดินกลับเข้ามาในเรือน
“ทำไมต้องดุผู้อื่นด้วย เป็นข้าที่อยากเดินเอง พวกเขาไม่ผิดอะไรเสียหน่อย”
“ไม่ได้ดุ” เขาตอบแล้ววางนางลงบนเตียง
“ดุ” นางยืนยัน นางเริ่มชินที่ถูกเขาอุ้ม แต่เขาวางนางให้นั่งริมเตียงแล้ว เหตุใดไม่ขยับตัวออกไปอีก นางสบตากับดวงตาคู่วาววับของเขาแล้วก็เป็นฝ่ายหลุบตาลง
“ข้าก็เป็นของข้าอย่างนี้” เห็นนางหลบสายตาเขาแล้วอดยิ้มไม่ได้ ‘นึกว่าจะอวดเก่งอีก’ สายตาของเขาอ้อยอิ่งที่ริมฝีปากที่เขาเลยลิ้มชิมรส รสหวานหวามยังคงติดปลายลิ้นให้ชวนลุ่มหลง
ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาคลอเคลียใบหน้า จางฟางซินนึกถึงจุมพิตที่ทำเอานางเกือบหมดสติในคราวนั้นก็กระเถิบกายเอนไปด้านหลังเพื่อถอยห่างสัมผัสของเขา แต่ร่างสูงกลับโน้มตัวลงตามติดทำให้นางเสียหลักหงายหลังลงบนเตียง
“อ๊ะ!” นางหลุดเสียงอุทานไม่คิดว่าเขาจะคร่อมนางเช่นนี้ คล้ายราชสีห์ตะครุบเหยื่อ แล้วนางกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของเขาไปได้อย่างไร นางไม่ใช่สตรีที่เขาชอบเสียหน่อย เวลานี้ไม่มีผู้อื่นอยู่ เขาไม่จำเป็นต้องทำตัวเสน่หากับนางถึงเพียงนี้
หรือว่า
หลัวหลิวหยางเห็นสีหน้าแตกตื่นของนางสลับกับครุ่นคิดแล้วก็เหมือนนางคิดอะไรได้ ร่างกายของนางจึงผ่อนคลายไม่แข็งเกร็ง สองแขนของนางยื่นมาคล้องคอเขาไว้ เหนี่ยวตัวขึ้นแล้วกระซิบถาม
“มีคนสอดแนมพวกเราใช่หรือไม่”
“???”
“เข้าใจแล้ว” จางฟางซินพยักหน้าน้อยๆ “ใช่คนของจวิ้นอ๋องหรือเปล่า”
จางฟางซินไม่ได้คำตอบ แต่เขากลับแหงนหน้าขึ้น นางปล่อยมือออกจากรอบคอของเขา นางยันกายกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงในขณะที่หลัวหลิวหยางทิ้งตัวลงข้างกายนาง หงายตัวแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น
“ท่านแม่ทัพ” นางเรียกเขาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“เจ้าคิดว่าในจวนของข้ามีสายสืบแฝงกายอยู่รึ”
“สายสืบ หน่วยสอดแนม ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในกองทัพ” สีหน้านางจริงจังมาก แต่เขาหัวเราะเยาะนางเช่นนี้ ความภูมิใจที่มีพลันหายไปหมดสิ้น
“ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าอ่านตำรามามากจริงๆ” เขาพลิกตัวตะแคงกายมองนาง กลิ่นกายของนางบนที่นอนหอมกรุ่น “ข้ามัวแต่กังวลเรื่องเท้าของเจ้า ลืมบาดแผลที่แขนไปเสียสนิท”
“แผลนั้นสมานดีแล้ว” นางเผลอลูบแขนซ้ายของตน วันนั้นในรถม้าที่พลิกคว่ำตีลังกายหลายตลบ ไม่รู้ว่าแขนของนางถูกอะไรบาดเข้า จึงทำให้กายนางเปื้อนเปรอะโลหิตจนน่าหวาดกลัว นางเองนอกจากที่เคยตกม้าในวัยเด็กแล้วก็ไม่เคยบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยหนักหนาเลยสักคราวเดียว
“ขอข้าดูแผลนั้นหน่อย”
“ห๊ะ!” นางขึงตาใส่เขา “ได้อย่างไร ท่านเป็นบุรุษจะมาดูแผลของข้าไม่ได้”
“ถ้าไม่เห็นด้วยตา ข้าก็ไม่วางใจ” เขายันกายขึ้นนั่ง คว้านางไว้ได้ทันก่อนที่นางจะลุกหนีเขาไป
ร่างเล็กถูกมือแข็งแรงคว้าไว้ เขาออกแรงเพียงนิดเดียวนางก็เข้ามาอยู่ในอ้อมอกของเขาแล้ว นางดิ้นขลุกขลักเหมือนแมวตัวน้อยที่พยายามจะดิ้นรนออกจากอ้อมกอด
“อยู่นิ่งๆ ไม่เช่นนั้นข้าฉีกเสื้อผ้าของเจ้าแน่”
“ท่านกล้าเรอะ!” นางขึงตาใส่แต่เขาตอบกลับด้วยแววตาจริงจังทำให้นางไม่กล้าขยับตัวอีก นางกัดริมฝีปากอย่างขัดใจก่อนเอ่ยเสียงเบาออกมา “ก็ได้ ข้าจะเปิดแผลให้ท่านดู ท่านดูเฉยๆนะ”
หลัวหลิวหยางไม่ได้ตอบรับแต่จ้องนางแน่วแน่ นางจึงก้มนางปลดสายรัดเอวให้คลายออกแล้วค่อยๆ ขยับสาบเสื้อออกให้เห็นบาดแผลที่ต้นแขนซ้าย
“ไฉนเป็นรอยเช่นนั้น ท่านหมอบอกว่าจะไม่ทิ้งรอยแผลไว้นี่” เขายื่นหน้ามาใกล้ แต่นางกระถดตัวหนี
“เป็นแผลก็ต้องใช้เวลารักษา วันแรกที่แผลใหญ่เหวอะหวะกว่านี้ นี่นับว่าดีแล้วที่เหลือเพียงรอยขีดจางๆ เช่นนี้”
“เจ้าเป็นสตรีเช่นไรกันจึงละเลยเรื่องสำคัญเช่นนี้!” เขาตะคอกนางอย่างลืมตัว
“แล้วท่านเป็นบุรุษเช่นไรมาใส่ใจเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้!” นางโต้เขากลับแล้วรีบจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่
“เจ้าบาดเจ็บเพราะข้า” น้ำเสียงของเขาเบาลง “หากเจ้าไม่เดินทางมาเตือนข้า เจ้าคงไม่...”
นางอ้าปากจะปฏิเสธว่าไม่ใช่เพราะเขา แต่พอนึกถึงท่าทางข่มขู่ของเขาแล้วนางก็เปลี่ยนใจ
“ถูกต้อง” นางกล่าว “นับว่าท่านติดหนี้ข้าอยู่”
“ข้าไม่ชอบติดหนี้ผู้ใด” เขารั้งเอวบางของนางเข้ามาแนบชิด
“ท่านจะทำอะไร!” นางดุเขาเสียงสั่นเมื่อมือข้างหนึ่งของเขากระตุกสายรัดเอวของนางออก
“ใช้หนี้” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ “ปรนนิบัติดูแลเจ้าอย่างไรเล่า”
“ไม่นะ!” นางยื้อมือของเขาไม่ให้ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออก ใบหน้าร้อนผ่าวกลายเป็นสีแดงจัด แต่มือของเขากลายเป็นหนวดปลาหมึกยุบยับบนตัวนาง หญิงสาวพยายามปัดป้องพลิกตัวหนีแต่ทำไม่ได้เลย หลัวหลิวหยางกดร่างเล็กลงบนเตียง ตรึงข้อมือไว้เหนือศีรษะของนาง เขายิ้มเจ้าเล่ห์ โน้มหน้าลงใกล้ริมฝีปากช่างเจรจา ทว่าหางตารับรู้การเคลื่อนไหวที่กระโจนใส่ เขาผงะร่างไปด้านหลังพลิกตัวหลบอย่างฉิวเฉียด เจ้าแมวป่าขาเป๋กระโดดเข้าใส่ มันยืนขู่ฟ่อตัวพองบนร่างของจางฟางซิน “เปาเป่า!” เจ้าแมวป่ากลายเป็นแมวบ้านครางเหมียวๆ ฟังน่าเอ็นดูหมุนตัวมาคลอเคลียหญิงสาวอย่างเอาใจ “เจ้าแมวเนรคุณ!” เขาสบถใส่ “ข้าคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเจ้านะ!” “ท่านแม่ทัพ” นางยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ตาเขา “ข้าเคยอ่านตำรามาว่าสัตว์มีสัญชาตญาณรู้ว่าผู้ใดดีกับมัน เจ้าเปาเป่ายอมรู้ว่าข้ารักมันมากที่สุด จึงมาปกป้องข้าเช่นนี้” แม่ทัพหนุ่มไม่คิดว่าตนเองต้องมาทะเลาะกับแมวขาเป๋ตัวหนึ่ง เจ้าแมวก็ทำเฉยชาไม่สนใจเขาเลยสักนิด แต่ไหนแต่ไรมันก็ไม่เคยสนใจผู้ใดอยู่แล้ว เหตุใดเขาจึงโง่นักที่เล
จางฟางซิน บุตรสาวเสนาบดีตกอับสกุลจาง ในยุคสมัยที่ตระกูลจางยังรุ่งเรื่อง บิดามีภรรยาสองคนทั้งสองเป็นพี่น้องกันตกลงปลงใจใช้สามีร่วมกัน บิดามีบุตรเพียงสองคนคือจางฟางซิน และจางฟางหรง น้องที่เกิดหลังนางแค่ครึ่งชั่วยาม มารดาของนางจากไปตั้งแต่วันที่นางถือกำเนิด หลังจากนั้นสามปีภรรยาอีกคนก็จากไป บิดาเศร้าโศกเสียใจจนร่างกายเจ็บป่วย ก่อนจะสิ้นใจบิดาได้ฝากฝั่งจางฟางซินและจางฟางหรงให้สหายรักช่วยดูแลพร้อมทรัพย์สินก้อนสุดท้ายที่เหลือน้อยนิด จางฟางซินในวัยสิบสองจูงมือจางฟางหรงมายังสำนักศึกษาไผ่หยก ภายใต้การดูแลของสหายรักของบิดานามหยางอี้เสียง และด้วยความสงสารเวทนาจึงรับบุตรของสหายเป็นบุตรบุญธรรมชีวิตของจางฟานซินจึงเริ่มต้นใหม่ที่นี่ จนกระทั้งวันที่นางอายุสิบเจ็ด ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปตลอดกาล....นางไม่อยากเชื่อเลย อีกเพียงไม่กี่ลี้นางจะไปถึงที่หมายแล้วแท้ๆ เหตุใดถึงถูกตามไล่ล่าอย่างไร้หนทางเช่นนี้ จางฟางซินเคยอ่านเรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับชายแดนตะวันออก นางศึกษาทุกอย่างจนมั่นใจว่าตัวเองเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างดียิ่ง ทว่านางไม่คิดว่า การลอบเดินทางที่ใช้เวลาครึ่งเดือนนี้จะมาจบลงที่รถม
เสียงครางด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น เรียกสติของแม่ทัพหนุ่มวัยยี่สิบหกให้หันไปมอง เขาหมุนตัวเดินไปก้มมอง แขนซ้ายมีรอยบาดเป็นทางยาว ดูแล้วไม่น่าจะลึกแต่เลือดไหลออกมามาก แต่ส่วนที่น่าจะเจ็บที่สุด น่าจะเป็นข้อเท้าขวาของนาง“แม่นมเหมยกุ้ยมาแล้วขอรับ”“ท่านแม่ทัพ”แม่นมเหมยกุ้ยเป็นสตรีวัยสี่สิบสองที่ท่านแม่ทัพให้ความเคารพดุจญาติผู้ใหญ่ นางยกชายกระโปรงก้าวเร็วๆ เข้าไปหา พอเห็นสภาพคนที่นอนหมดสติบนเตียงก็อุทานออกมา“รบกวนแม่นมแล้ว”“ได้ๆ ทางนี้ข้าจัดการเอง” นางรับคำอย่างรู้หน้าที่ “เด็กๆ ไปยกน้ำอุ่นมา ผ้าสะอาดด้วย ห้ามผู้ชายเข้าใกล้ และขอเชิญท่านมาทางนี้เจ้าค่ะ”แม่นมเหมยกุ้ยสั่งการรวดเร็ว หลัวหลิวหยางถอนหายใจเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินออกมา เพียงยกเท้าพ้นธรณีประตู เสียงแม่นมก็ดังไล่หลังมาทันที“ข้าสั่งคนเตรียมน้ำอุ่นให้ท่านแม่ทัพแล้ว ท่านควรผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วนะเจ้าค่ะ”“ข้าทราบแล้ว”มุมปากของหลัวหลิวหยางยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่เพราะใบหน้าดุดันอยู่เป็นนิจจึงแทบไม่เห็นรอยยิ้มนั้น ในจวนแห่งนี้มีสตรีน้อยมาก บ่าวไพร่ที่เป็นหญิงล้วนมีแม่นมเหมยกุ้ยคัดเลือกเข้ามาทำงาน เขาจึงวางใจเรื่องเหล่านี้บ้าง รวมทั้ง
มือหยาบกร้านเพราะจับกระบี่กรำศึกมายาวนานยื่นไปปัดม่านมุ้งออก แม้บอกตัวเองว่าอยู่สนามรบมานาน ทว่าเมื่อเห็นสตรีที่หมดสติ แขนเต็มไปด้วยแผลถลอก ร่องรอยขูดขีด ยังเหลือรอยเลือดยังแห้งกรังที่ผมของนาง ข้อเท้าข้างขวาถูกพันผ้าอย่างแน่นหนา เสี้ยวเวลาอันแสนสั้นก่อนหมดสติ ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความตกใจ ปฏิกิริยาในตอนนี้แม้นางยังหลับอยู่ แต่ยังคงเป็นความหวาดกลัว เปลือกตาของนางกระตุก ปลายนิ้วมือขยับเกร็ง หลัวหลิวหยางเอื้อมมือไปกุมมือหญิงสาวไว้โดยไม่ทันคิด“ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าปลอดภัยแล้ว”ไม่ใช่ถ้อยคำอ่อนโยนหวานหู แต่น้ำเสียงหนักแน่นที่พร้อมปกป้องขับไล่ความหวาดกลัวของหญิงสาว นางบีบมือของเขาแน่นราวกับเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยว เขาไม่อาจผละไปจากนางได้จึงค่อยๆ นั่งลงบนเตียงข้างนาง ดวงตาของเขาจ้องมองริมฝีปากของนางพึมพำ แม้รู้ว่านางยังไม่ได้สติแต่เขากลับโน้มตัวลง แนบใบหูใกล้ริมฝีปากของนาง “ท่านช่วยชีวิตข้า” หญิงสาวพึมพำแทบฟังไม่ออก นางลืมตาขึ้นมองเขา แล้วพยายามขยับตัว เพียงการขยับตัวเล็กน้อยก็ทำให้นางหลุดเสียงร้องเจ็บปวดออกมา“นอนลงไป ใจเย็นๆ”“ข้า...” นางพยายามอย่างสุดกำลัง อย่างน้อยนางก็ได้มา
ยามใดที่จางฟางหรงออกไปชุมนุมกับเหล่าบัณฑิต จางฟางซินจะออกไปด้วย นางแต่งกายเป็นบุรุษ แต่ก่อนยังเยาว์วัย จางฟางซินมักแต่งกายเป็นชายเสมอ เพราะนิสัยนางที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตนอกรั้วบ้าน บิดามารดารักใคร่เอ็นดู ตามใจลูกสาวคนเดียว จางฟางหรงจึงเหมือนมีคู่แฝด แต่เมื่อเติบโตขึ้น รูปร่างของเขาสูงโปร่ง ในขณะที่นางอรชรอ้อนแอ้น ความแตกต่างระหว่างชายหญิงเห็นได้เด่นชัด แม้ว่านางพยายามปกปิดเพียงใดก็ตาม ในบางประเด็นที่ถกเถียงกัน จางฟางซินที่แต่งกายเป็นชายติดตามจางฟางหรง ไม่อาจแสดงความคิดใดได้ นางจึงเขียนจดหมายน้อยให้จางฟางหรงเอ่ยตอบไปแทนนาง ปรัชญาเมธีหรือแม้แต่ตำรายุทธ ล้วนเป็นนางที่ท่องจำเข้าใจอย่างท่องแท้ แต่จางฟางหรงมักชอบการเขียนโคลงกลอนชื่นชมความของธรรมชาติและสตรี ทุกครั้งที่นางอยากถกปัญหาบ้านเมือง นางจะเขียนในจดหมายน้อยโดยใช้ชื่อของจางฟางหรง เป็นเช่นนี้มานานจนทุกคนเข้าใจไปว่าจางฟางหรงผู้มีบุคลิกเสเพลเป็นเสือซ่อนเล็บที่ทรงความรู้ความสามารถ แต่เมื่อไปสอบจอหงวนกลับพลาดอย่างน่าเสียดาย แต่กระนั้น ยามใดที่องครัชทายาทมีปัญหาใดมักมาปรึกษากับจางฟางหรง และจางฟางหรงก็หอบปัญหาเหล่านั้นมาให้จางฟาง
“ข้ารู้แค่ว่านี่เป็นป้ายประจำตัวองค์รัชทายาท” เขากอดอกยืนฟังนาง พยายามสนใจเพียงดวงตากลมโตสีนิล ไม่มองผิวกายเนียนละเอียดที่เต็มไปด้วยรอยบอบช้ำ ตลอดการเดินทาง นางครุ่นคิดอยู่หลายตลบว่าจะเริ่มเรื่องอย่างไรให้เขาเชื่อใจนาง จะแสดงตัวเช่นไรไม่ให้ถูกจับได้ว่าเป็นหญิง แต่เมื่อฐานะถูกเปิดเผยแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะต้องปิดบังอันใดอีก นางสูดลมหายใจแล้วเอ่ยออกมา“ข้าคือจางฟางหรง”“หือ?” หลัวหลิวหยางเลิกคิ้วประหลาดใจ “จางฟางหรง?”“จางฟางหรงที่เขียนจดหมายโต้ตอบกับท่าน” นางยังคงสงบใจกล่าวต่อ “ข้าเคยพบจางฟางหรง เขาเป็นบุตรบุญธรรมของอาจารย์ข้า เขาเป็นบุรุษมิใช่สตรี”“ถูกต้อง จางฟางหรงที่ท่านแม่ทัพพบคือน้องชายต่างมารดาของข้า ข้าชื่อจางฟางซิน ข้าและจางฟางหรงเป็นบุตรบุญธรรมของอาจารย์ หยางอี้เสียง” นางแนะนำตัวเอง และเมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดจะพูดขัด นางจึงพูดต่อ “คนที่เขียนจดหมายถึงท่านคือข้า ข้าใช้ชื่อของน้องชายเพื่อคุยกับท่าน”แววตาของหลัวหลิวหยางประหลาดใจเล็กน้อย เดิมทีเขาสงสัยมาตลอด บุรุษอย่างจางฟางหรงดูเหมือนคนที่ไม่สนใจตำราพิชัยยุทธ์ ไม่ชอบการทหาร แต่กลับแลกเปลี่ยนความคิดกับเขาและเสนอแนวทางให้เขาหลาย
“เช่นนั้น...” นางอ้าปากแต่ยังพูดได้เพียงสองคำ เขาก็ยกมือขึ้นห้ามไว้ก่อน ครู่หนึ่งแม่นมเหมยกุ้ยเข้ามาพร้อมหญิงรับใช้ที่นำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้จางฟางซินผลัดเปลี่ยน แม่นมเหมยกุ้ยพยักหน้าให้บ่าวรับใช้ออกไปก่อน เมื่อเหลือเพียงสามคนนางจึงเอ่ยขึ้น“แม่นางได้สติดีแล้ว ข้าจึงจัดเตรียมเสื้อผ้ามาให้” “ขอบคุณแม่นมเหมยกุ้ยมากเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หลายวันมานี้ท่านลำบากเพราะข้าแท้ๆ ข้าวของเครื่องใช้ของข้าอยู่ในรถม้า”“ในรถม้ามีของสำคัญใดหรือไม่ ข้าส่งคนออกไปดูไม่พบสิ่งใด พวกโจรคงขโมยไปหมดแล้ว”จางฟางซินส่ายหน้าไปมา “นอกจากเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวแล้วไม่มีสิ่งอื่นเจ้าค่ะ โจรกลุ่มนั้นคงปล้นเสียเทียวแล้ว”‘ตัวข้าสำคัญที่สุดแล้ว’ นางไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไป เกรงว่าเขาจะเห็นว่านางเป็นคนชอบเยินยอตัวเอง ยังไม่ทันพูดอะไรต่อเด็กรับใช้ประคองถ้วยยาเข้ามา หญิงสาวยิ้มค้าง ดวงตาจ้องมองหลัวหลิวหยางเป็นเชิงถาม นี่นางต้องดื่มยาอีกแล้วหรือ? ปกตินางเป็นคนแข็งแรงจนน้องชายหยอกล้อว่านางแข็งแรงเหมือนวัว ร้อยวันพันปีจะเจ็บป่วยสักครั้ง หากไม่นับข้อเท้าของนางที่เจ็บหนัก นางคิดว่าตัวเองแข็งแรงดีแล้วจริงๆ หลัวหลิวห
“ขอโทษด้วย” จางฟางซินพูดอย่างนึกขึ้นได้ “ท่านแม่ทัพกรุณากับข้ายิ่ง”“เจ้าต้องกินอะไรบ้าง เพื่อจะได้มีแรง” เขาหยิบตะเกียบคีบเนื้อปลากะพงนึ่งให้นาง“ข้าทำเองได้” นางเตือนเขา “มือของข้ายังใช้การได้ดีอยู่”“แขนซ้ายเจ้ายังเจ็บอยู่” ดูท่านางก็ดื้อดึงไม่แพ้เขาเช่นกัน “เอาไว้เจ้าหายดีแล้วค่อยปรนนิบัติข้าคืนก็แล้วกัน”“ข้าจะจำใส่ใจไว้” นางพูดพลางกินมื้อเที่ยงของตัวเอง หลายวันนี้กินแต่โจ๊ก พอมีอาหารเลิศรสเข้าปาก ใบหน้าของนางพลันแช่มชื้นขึ้น“อร่อยไหม” หลัวหลิวหยางถามเพราะสีหน้าของนางช่างดูมีความสุขเสียเหลือเกิน “ข้าจำได้ว่าท่านเคยปรึกษาเรื่องเพาะปลูกข้าวในพื้นที่ที่เป็นภูเขาเสียส่วนใหญ่ ข้าวในถ้วยนี้มาจากแปลงนาเชิงเขาใช่หรือไม่” เขายิ้มแทนคำตอบ เขาเคยเขียนจดหมายถึง ‘จางฟางหรง’ ปรึกษาเรื่องเหล่านี้จริง และจางฟางหรงช่วยค้นหาวิธีเพาะปลูกและกักเก็บน้ำ ทำให้สองปีมานี้ แผ่นดินที่เคยแห้งแล้งทางทิศตะวันออกเปลี่ยนเป็นเขียวขจีด้วยทุ่งข้าวและพืชพรรณมากมาย “ดีจริง วันนี้ได้กินข้าวที่ท่านปลูกแล้ว”“ข้าสั่งผู้อื่นปลูกต่างหาก” เขาพูดพลางคีบเห็ดผัดน้ำมันหอยให้นาง “เห็ดนี่ได้มาจากภูเขา เก็บมาเมื่อเช้า