“มีเรื่องเล่าเช่นนี้ด้วย”
จางฟางซินถอดถอนใจจากเรื่องราวที่ได้ยิน นางลอบมองหลัวหลิวหยางที่ยกสุราขึ้นดื่ม
“เหตุใดพี่หลิวหยางไม่เล่าให้ข้ารู้บ้าง”
“ข้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้” เขาตอบ
“เป็นแค่นิทานเล่าขานของคนที่นี้” อวี้หมี่พูดด้วยรอยยิ้ม
จางฟางซินแปลกใจที่เห็นเขาดื่มสุรามากขึ้น ระหว่างที่อยู่ที่จวน นางไม่เห็นเขาดื่มสุรา นางคาดเดาได้ว่าเขาคงคอแข็งไม่น้อย แต่เห็นเขามอมตัวเองเช่นนี้ นางไม่เข้าใจ นางเผลอยกมือขึ้นนวดขมับ แม้หลัวหลิว หยางไม่ได้มองนางตรงๆ แต่ทุกการเคลื่อนไหวของนางอยู่ในสายตาของเขา ชายหนุ่มจึงยื่นมือไปจับมือที่กำลังนวดขมับอยู่
“ไม่สบายรึ? ปวดหัวหรือ?”
นางไม่ตอบแต่กัดริมฝีปากครุ่นคิด ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการไปจากที่นี้หรือต้องการให้นางไปกันแน่ เพราะดูเหมือนสายตาของเขาจะอยู่ที่หญิงงามอวี้หมี่
“แม่นางจางไม่สบายรึ” โม่โฉวถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ตามหมอดีหรือไม่”
“หม่อมฉันอยากพักผ่อน ต้องขอโทษที่ทำให้ทุกท่านหมดสนุกเพคะ”
“แม่นางจางอย่าได้กล่าวเช่นนั้น” โม่โฉวโบกมือไปมา “เจ้าเองยังไม่หายดี เป็นข้าที่เอาแต่ใจฝืนใจให้เจ้ามาชิมชาชมบุบผาเช่นนี้”
“กระหม่อมขอพาฟางซินกลับก่อน โอกาสหน้ากระหม่อมขอเลี้ยงคืนจวิ้นอ๋องสักมื้อ” “อย่าทำเป็นคนอื่นคนไกล วันนี้ได้ฟังเจ้าเล่นพิณ นับว่าเป็นโชคดีของข้า”
จางฟางซินคิดว่า หลัวหลิวหยางจะเข็นเก้าอี้รถเข็นนี่ให้นางเพื่อไปขึ้นรถม้า ทว่าเขากลับลุกขึ้นโน้มตัวลงอุ้มนางขึ้น แล้วกระซิบบอกนาง
“ข้าเดินเร็วกว่าเข็นเจ้านั่งรถเข็นนี่”
“อวี้หมี่ของส่งท่านทั้งสองเจ้าค่ะ” อวี้หมี่ย่อกายคารวะงดงามแช่มช้อย
จางฟางซินไม่ทันได้เอ่ยลาผู้ใดก็ถูกหลัวหลิวหยางอุ้มนางเดินลิ่วมาที่รถม้าด้านนอก จริงอย่างที่เขาพูด เขาเดินเร็ว แม้จะอุ้มนางอยู่ก็ตามที นางขึ้นรถม้าแล้วก็พลิกกายหาท่านั่งสบายๆ เพื่อจะได้เหยียดขาข้างที่เจ็บ แต่ก็ต้องตกใจที่แม่ทัพหนุ่มมุดเข้ามาในรถม้ามานั่งข้างนาง
“ท่านเข้ามาทำอะไร”
“มาดูเจ้า”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร”
นางแตกตื่นกับท่าทางของเขา กระถดกายถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว รถม้าเคลื่อนออกไปอย่างช้าๆ
“แล้วม้าของท่านเล่า”
“ประเดี๋ยวก็มีคนนำส่งไปที่จวนเอง” นางเป็นห่วงม้าของเขาแต่ไม่ห่วงเขาหรือไร ยิ่งเห็นนางกระถดตัวถอยหนี เขากลับรู้สึกไม่พอใจ ร่างกายเคลื่อนไหวรวดเร็วยื่นมือข้างหนึ่งไปเท้ากับผนังรถม้า กักขังนางไว้ด้วยท่อนแขนแข็งแกร่งของเขา
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนหญิงสาวไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากอุ่นของนางถูกริมฝีปากหยักสวยประทับอย่างแนบแน่น ดวงตาของนางเบิกกว้างจ้องมองดวงตาดุดันของเขา จนเห็นเงาตนเองในดวงตาคมวาวราวราชสีห์ออกล่าเหยื่อ ลมหายใจของเขาผ่าวร้อนและเมื่อปลายลิ้นของเขาแทรกเข้ามาโพรงปากของนาง นำพารสของสุราเจียนหนานชุนเข้ามาด้วย
เขาจุมพิตนาง
หลัวหลิวหยางกำลังจุมพิตนาง!
จางฟางซินหลับตาซ่อนความรู้สึกสับสนระคนหวาบไหว สองมือที่ควรผลักแผ่นอกแกร่งนี้ออก แต่ทำได้แค่ขยุ้มสาบเสื้อของเขา นางถูกเขาบดขยี้ริมฝีปากจนแทบหายใจไม่ทัน เหมือนคนกำลังจะขาดอากาศหายใจ นางทุบอกประท้วงเขา หลัวหลิงหยางจึงยอมถอนริมฝีปากมองดูหญิงสาวหอบหายใจจนตัวโยน
“ท่านจะฆ่าข้าเรอะ!” นางตวาดเขาเสียงแผ่ว “ท่านปิดปากข้า ข้าหายใจไม่ออก!”
ได้ยินนางต่อว่าเขาเช่นนี้ หัวใจที่ถูกบีบรัดกลับผ่อนคลาย เขากดหน้าผากของตนกับหน้าผากของนาง
“เวลาจูบต้องหายใจทางจมูก”
“จะ...จะ...จูบ” นางหน้าแดงขึ้นมาทันที “จูบทีแทบขาดใจอย่างนี้ ข้าไม่จูบแล้ว”
“ไม่มีผู้ใดตายเพราะถูกจูบหรอกนะ” เขายิ้มออกมา “ฝึกบ่อยๆ จะดีขึ้น”
“เหตุใดข้าต้องฝึกจูบบ่อยๆ ด้วยเล่า” นางโวยวายใส่เขา
“เวลาข้าจูบเจ้า เจ้าจะได้ไม่เป็นลมไปก่อนอย่างไรล่ะ”
“พูดจาไร้สาระ ท่านไม่ใช่สามีข้าเสียหน่อย อ๊ะ!” พูดไม่ทันจบประโยค เขาก็จูบนางอีกครั้ง ดวงตาประสานกัน นางเม้มปากแน่นไม่ยินยอมให้อีกฝ่ายบุกรุก แววตาของเขาฉายแววปรารถนา เขากัดริมฝีปากนางเบาๆ หยอกเย้าจนนางยอมเผยอริมฝีปากให้เรียวลิ้นเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นน้อยๆ ของนาง จุมพิตของเขาแนบแน่นและประกาศความเป็นเจ้าของ
จะ...จะ..จะหมดลมหายใจอยู่แล้วนะ!
มือเล็กทุบที่แผ่นอกแกร่งแต่เขากลับรวบข้อมือนางด้วยมือเพียงข้างเดียวของเขา หลัวหลิวหยางจูบนางจนพอใจแล้วจึงยอมปล่อย หญิงสาวหอบหายใจจนตัวโยน ร่างกายอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง จนต้องใช้ อกของเขาเป็นที่พึ่งพิง จางฟางซินมึนงนและสับสนได้ ปกตินางฉลาดปราดเปรื่องนัก แต่เหตุใดเรื่องนี้นางกลับไม่เข้าใจ
หลัวหลิวหยางประคองนางไว้ในอ้อมอก กอดนางไว้อย่างห่วงแหน
เขารู้วิธีที่จะกำราบสตรีผู้นี้แล้ว!
แม่ทัพหนุ่มกลับจากค่ายทหาร แม้จะประกาศว่าเป็นช่วงหยุดพักของเขาแต่กระนั้น เขาก็ยังต้องเข้าไปตรวจตราความเรียบร้อย ความมีวินัยของทหารคือสิ่งสำคัญของกองทัพ เขาละเลยไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้เหล่าทหารของเขากล้าแกร่งและเคารพในตัวเขา
แต่เดิมเมื่อกลับมาถึงจวน เขามักคลุกอยู่ที่ห้องหนังสือ วางแผนหรือสรุปความเคลื่อนไหวจากหน่วยสอดแนมที่ส่งออกไป แต่วันนี้เขาเห็นแม่นมเหมยกุ้ยเดินเข้ามาพร้อมสาวใช้ เขาจึงอดถามไม่ได้
“มีเรื่องใดรึ”
“ข้ารบกวนเวลาท่านแม่ทัพสักครู่ได้หรือไม่”
“เชิญ” เขาเดินนำเข้ามาในห้องหนังสือ แม่นมพยักหน้าให้สาวใช้รอด้านนอก นางเดินไปรินน้ำชาส่งให้หลัวหลิวหยาง
“ท่านไม่ต้องทำให้ข้าเช่นนี้ก็ได้” เขารับน้ำชามาดื่ม เขาให้ความเคารพต่อแม่นมประดุจมารดาผู้ให้กำเนิด
“ข้าดูแลท่านมาตั้งแต่เด็ก เห็นท่านเติบใหญ่มีวันนี้ได้ ก็นับเป็นความสุขความภูมิใจของข้า” นางแย้มยิ้มแล้วพิศมองใบหน้าหล่อเหลาคมคายของบุรุษเบื้องหน้าที่นางเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเป็นทารก
“ท่านเองก็ลำบากเพื่อข้ามามาก บัดนี้ยังต้องมาดูแลข้าในดินแดนห่างไกลอีก ข้ารู้สึกผิดต่อท่านยิ่งนัก”
“ข้าต่างหากที่ดีใจที่ได้ดูแลท่าน” นางเห็นสีหน้าของแม่ทัพหนุ่มอ่อนลงจึงเอ่ยขึ้น “ข้าก็แก่ชราขึ้นทุกวัน ได้แต่หวังใจว่าได้เลี้ยงดูลูกๆ ของท่าน”
“แค่กๆ” หลัวหลิวหยางถึงกับสำลักน้ำชา “แม่นม เรื่องนี้...”
เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังขึ้นก่อนจะกล่าวต่อ “ปีนี้ท่านอายุยี่สิบหก ผู้อื่นแต่งภรรยามีลูกตัวโตกันหมดแล้ว แต่ท่านยังเดียวดายเช่นนี้ ข้ารู้สึกปวดใจนัก”
“ข้าก็เคยแต่งภรรยาแล้วนี่ พี่น้องในตระกูลก็ล้วนแต่งงานมีลูกหลาน ตระกูลหลัวมิได้สิ้นไร้ทายาท”
จะว่าเขาไม่เคยแต่งงานก็ไม่ถูก เพียงแต่นางด่วนจากไปเสียก่อน ส่วนอีกครั้งก็ล้มเลิกก่อนจะได้แต่งงาน เขาอยู่คนเดียวจนเริ่มชิน แม้ไม่ได้ใส่ใจว่าผู้อื่นจะล่ำลือว่าเรามีดวงกินภรรยา แต่ก็ไม่ต้องการเห็นสตรีผู้ใดต้องอายุสั้นเพราะเขา
“ท่านเสียสละเพื่อตระกูลถึงเพียงนี้ควรได้รับความสุขในชีวิตบ้าง” นางส่ายหน้าไปมา “อย่าหาว่าข้าก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของท่านเลยนะ ข้าไม่ได้เห็นท่านแย้มยิ้มหัวเราะมานานแล้ว แต่พอแม่นางจางมาถึง ข้าจึงได้ยินเสียงหัวเราะของท่านอีกครั้ง”
“นางมาเพราะคำสั่งขององค์รัชทายาท” น้ำเสียงของเขาเจือความไม่พอใจอยู่หลายส่วน
“ท่านดูไม่ออกหรือไม่ยอมรับกันแน่” แม่นมเหมยกุ้ยไม่คิดว่าคนปราดเปรื่องอย่างเขาจะมองไม่ออก “นางชอบท่าน”
“แม่นม...”
“ท่านเองก็ชอบนาง”
“ข้า...”
“เมื่อต่างฝ่ายต่างมีใจให้กัน เหตุใดไม่ทำให้ถูกต้อง รับนางไว้ข้างกายให้ฐานะแก่นาง”
เขาต้องการนาง ปรารถนาให้นางเคียงข้าง เพียงแต่...เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าตนเองกังวลเรื่องใดอยู่ หวาดหวั่น ไม่มั่นใจ สิ่งเหล่านี้ผิดวิสัยของเขาที่มักตัดสินใจเด็ดขาดจนดูโหดเหี้ยมในสายตาผู้อื่น
“หากท่านไม่รีบลงมือ ผู้อื่นอาจช่วงชิงนางไปก็ได้” “ใครกล้า!” เขาเผลอทุบโต๊ะอย่างแรงเสียงดังปัง! บ่าวรับใช้ที่รอด้านนอกได้ยินจนสะดุ้งตัวสั่น “ข้าแค่กล่าวเตือนท่าน หากท่านหวงแหนนางถึงเพียงนี้ก็รีบทำในสิ่งที่ควรทำเถิด” “ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน!” “ท่านหมอมาตรวจแผลให้นาง อยู่ที่เรือนของนางนั้นแหละ” แม่นมเหมยกุ้ยเบี่ยงกายเล็กน้อยให้หลัวหลิวหยางที่ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวยาวๆ ออกไปไม่สนใจนางเลยสักนิด แม่นมได้แต่ส่ายหน้าไปมา ถ้านางไม่กระตุ้นเช่นนี้ เห็นทีว่าแม่ทัพหนุ่มผู้นี้อาจทำให้สตรีในดวงใจหลุดมือไป จางฟางซินวาดเท้าลงบนพื้น ผ้าที่เคยพันรอบข้อเท้าไม่แน่นหนาเช่นแต่ก่อน นางสูดลมหายใจลึกก่อนค่อยยันกายขึ้นยืนโดยมีเสี่ยวจิ้งคอยประคอง แม้เจ็บแปลบอยู่บ้างแต่นางก็สามารถยืนได้แล้ว “ดีจริง ยืนได้แล้ว” นางยิ้มกว้างแล้วหันมาทางหมอทหารที่แวะเวียนมาดูอาการให้นางวันเว้นวันตามคำสั่งของแม่ทัพหลัว “ฝีมือรักษาของท่านยอดเยี่ยมจริงๆ ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ ” ถูกกล่าวชมต่อหน้าเช่นนี้ แม้จะอายุสี่สิบแล้วก็ร
“ไม่นะ!” นางยื้อมือของเขาไม่ให้ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออก ใบหน้าร้อนผ่าวกลายเป็นสีแดงจัด แต่มือของเขากลายเป็นหนวดปลาหมึกยุบยับบนตัวนาง หญิงสาวพยายามปัดป้องพลิกตัวหนีแต่ทำไม่ได้เลย หลัวหลิวหยางกดร่างเล็กลงบนเตียง ตรึงข้อมือไว้เหนือศีรษะของนาง เขายิ้มเจ้าเล่ห์ โน้มหน้าลงใกล้ริมฝีปากช่างเจรจา ทว่าหางตารับรู้การเคลื่อนไหวที่กระโจนใส่ เขาผงะร่างไปด้านหลังพลิกตัวหลบอย่างฉิวเฉียด เจ้าแมวป่าขาเป๋กระโดดเข้าใส่ มันยืนขู่ฟ่อตัวพองบนร่างของจางฟางซิน “เปาเป่า!” เจ้าแมวป่ากลายเป็นแมวบ้านครางเหมียวๆ ฟังน่าเอ็นดูหมุนตัวมาคลอเคลียหญิงสาวอย่างเอาใจ “เจ้าแมวเนรคุณ!” เขาสบถใส่ “ข้าคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเจ้านะ!” “ท่านแม่ทัพ” นางยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ตาเขา “ข้าเคยอ่านตำรามาว่าสัตว์มีสัญชาตญาณรู้ว่าผู้ใดดีกับมัน เจ้าเปาเป่ายอมรู้ว่าข้ารักมันมากที่สุด จึงมาปกป้องข้าเช่นนี้” แม่ทัพหนุ่มไม่คิดว่าตนเองต้องมาทะเลาะกับแมวขาเป๋ตัวหนึ่ง เจ้าแมวก็ทำเฉยชาไม่สนใจเขาเลยสักนิด แต่ไหนแต่ไรมันก็ไม่เคยสนใจผู้ใดอยู่แล้ว เหตุใดเขาจึงโง่นักที่เล
จางฟางซิน บุตรสาวเสนาบดีตกอับสกุลจาง ในยุคสมัยที่ตระกูลจางยังรุ่งเรื่อง บิดามีภรรยาสองคนทั้งสองเป็นพี่น้องกันตกลงปลงใจใช้สามีร่วมกัน บิดามีบุตรเพียงสองคนคือจางฟางซิน และจางฟางหรง น้องที่เกิดหลังนางแค่ครึ่งชั่วยาม มารดาของนางจากไปตั้งแต่วันที่นางถือกำเนิด หลังจากนั้นสามปีภรรยาอีกคนก็จากไป บิดาเศร้าโศกเสียใจจนร่างกายเจ็บป่วย ก่อนจะสิ้นใจบิดาได้ฝากฝั่งจางฟางซินและจางฟางหรงให้สหายรักช่วยดูแลพร้อมทรัพย์สินก้อนสุดท้ายที่เหลือน้อยนิด จางฟางซินในวัยสิบสองจูงมือจางฟางหรงมายังสำนักศึกษาไผ่หยก ภายใต้การดูแลของสหายรักของบิดานามหยางอี้เสียง และด้วยความสงสารเวทนาจึงรับบุตรของสหายเป็นบุตรบุญธรรมชีวิตของจางฟานซินจึงเริ่มต้นใหม่ที่นี่ จนกระทั้งวันที่นางอายุสิบเจ็ด ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปตลอดกาล....นางไม่อยากเชื่อเลย อีกเพียงไม่กี่ลี้นางจะไปถึงที่หมายแล้วแท้ๆ เหตุใดถึงถูกตามไล่ล่าอย่างไร้หนทางเช่นนี้ จางฟางซินเคยอ่านเรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับชายแดนตะวันออก นางศึกษาทุกอย่างจนมั่นใจว่าตัวเองเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างดียิ่ง ทว่านางไม่คิดว่า การลอบเดินทางที่ใช้เวลาครึ่งเดือนนี้จะมาจบลงที่รถม
เสียงครางด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น เรียกสติของแม่ทัพหนุ่มวัยยี่สิบหกให้หันไปมอง เขาหมุนตัวเดินไปก้มมอง แขนซ้ายมีรอยบาดเป็นทางยาว ดูแล้วไม่น่าจะลึกแต่เลือดไหลออกมามาก แต่ส่วนที่น่าจะเจ็บที่สุด น่าจะเป็นข้อเท้าขวาของนาง“แม่นมเหมยกุ้ยมาแล้วขอรับ”“ท่านแม่ทัพ”แม่นมเหมยกุ้ยเป็นสตรีวัยสี่สิบสองที่ท่านแม่ทัพให้ความเคารพดุจญาติผู้ใหญ่ นางยกชายกระโปรงก้าวเร็วๆ เข้าไปหา พอเห็นสภาพคนที่นอนหมดสติบนเตียงก็อุทานออกมา“รบกวนแม่นมแล้ว”“ได้ๆ ทางนี้ข้าจัดการเอง” นางรับคำอย่างรู้หน้าที่ “เด็กๆ ไปยกน้ำอุ่นมา ผ้าสะอาดด้วย ห้ามผู้ชายเข้าใกล้ และขอเชิญท่านมาทางนี้เจ้าค่ะ”แม่นมเหมยกุ้ยสั่งการรวดเร็ว หลัวหลิวหยางถอนหายใจเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินออกมา เพียงยกเท้าพ้นธรณีประตู เสียงแม่นมก็ดังไล่หลังมาทันที“ข้าสั่งคนเตรียมน้ำอุ่นให้ท่านแม่ทัพแล้ว ท่านควรผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วนะเจ้าค่ะ”“ข้าทราบแล้ว”มุมปากของหลัวหลิวหยางยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่เพราะใบหน้าดุดันอยู่เป็นนิจจึงแทบไม่เห็นรอยยิ้มนั้น ในจวนแห่งนี้มีสตรีน้อยมาก บ่าวไพร่ที่เป็นหญิงล้วนมีแม่นมเหมยกุ้ยคัดเลือกเข้ามาทำงาน เขาจึงวางใจเรื่องเหล่านี้บ้าง รวมทั้ง
มือหยาบกร้านเพราะจับกระบี่กรำศึกมายาวนานยื่นไปปัดม่านมุ้งออก แม้บอกตัวเองว่าอยู่สนามรบมานาน ทว่าเมื่อเห็นสตรีที่หมดสติ แขนเต็มไปด้วยแผลถลอก ร่องรอยขูดขีด ยังเหลือรอยเลือดยังแห้งกรังที่ผมของนาง ข้อเท้าข้างขวาถูกพันผ้าอย่างแน่นหนา เสี้ยวเวลาอันแสนสั้นก่อนหมดสติ ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความตกใจ ปฏิกิริยาในตอนนี้แม้นางยังหลับอยู่ แต่ยังคงเป็นความหวาดกลัว เปลือกตาของนางกระตุก ปลายนิ้วมือขยับเกร็ง หลัวหลิวหยางเอื้อมมือไปกุมมือหญิงสาวไว้โดยไม่ทันคิด“ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าปลอดภัยแล้ว”ไม่ใช่ถ้อยคำอ่อนโยนหวานหู แต่น้ำเสียงหนักแน่นที่พร้อมปกป้องขับไล่ความหวาดกลัวของหญิงสาว นางบีบมือของเขาแน่นราวกับเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยว เขาไม่อาจผละไปจากนางได้จึงค่อยๆ นั่งลงบนเตียงข้างนาง ดวงตาของเขาจ้องมองริมฝีปากของนางพึมพำ แม้รู้ว่านางยังไม่ได้สติแต่เขากลับโน้มตัวลง แนบใบหูใกล้ริมฝีปากของนาง “ท่านช่วยชีวิตข้า” หญิงสาวพึมพำแทบฟังไม่ออก นางลืมตาขึ้นมองเขา แล้วพยายามขยับตัว เพียงการขยับตัวเล็กน้อยก็ทำให้นางหลุดเสียงร้องเจ็บปวดออกมา“นอนลงไป ใจเย็นๆ”“ข้า...” นางพยายามอย่างสุดกำลัง อย่างน้อยนางก็ได้มา
ยามใดที่จางฟางหรงออกไปชุมนุมกับเหล่าบัณฑิต จางฟางซินจะออกไปด้วย นางแต่งกายเป็นบุรุษ แต่ก่อนยังเยาว์วัย จางฟางซินมักแต่งกายเป็นชายเสมอ เพราะนิสัยนางที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตนอกรั้วบ้าน บิดามารดารักใคร่เอ็นดู ตามใจลูกสาวคนเดียว จางฟางหรงจึงเหมือนมีคู่แฝด แต่เมื่อเติบโตขึ้น รูปร่างของเขาสูงโปร่ง ในขณะที่นางอรชรอ้อนแอ้น ความแตกต่างระหว่างชายหญิงเห็นได้เด่นชัด แม้ว่านางพยายามปกปิดเพียงใดก็ตาม ในบางประเด็นที่ถกเถียงกัน จางฟางซินที่แต่งกายเป็นชายติดตามจางฟางหรง ไม่อาจแสดงความคิดใดได้ นางจึงเขียนจดหมายน้อยให้จางฟางหรงเอ่ยตอบไปแทนนาง ปรัชญาเมธีหรือแม้แต่ตำรายุทธ ล้วนเป็นนางที่ท่องจำเข้าใจอย่างท่องแท้ แต่จางฟางหรงมักชอบการเขียนโคลงกลอนชื่นชมความของธรรมชาติและสตรี ทุกครั้งที่นางอยากถกปัญหาบ้านเมือง นางจะเขียนในจดหมายน้อยโดยใช้ชื่อของจางฟางหรง เป็นเช่นนี้มานานจนทุกคนเข้าใจไปว่าจางฟางหรงผู้มีบุคลิกเสเพลเป็นเสือซ่อนเล็บที่ทรงความรู้ความสามารถ แต่เมื่อไปสอบจอหงวนกลับพลาดอย่างน่าเสียดาย แต่กระนั้น ยามใดที่องครัชทายาทมีปัญหาใดมักมาปรึกษากับจางฟางหรง และจางฟางหรงก็หอบปัญหาเหล่านั้นมาให้จางฟาง
“ข้ารู้แค่ว่านี่เป็นป้ายประจำตัวองค์รัชทายาท” เขากอดอกยืนฟังนาง พยายามสนใจเพียงดวงตากลมโตสีนิล ไม่มองผิวกายเนียนละเอียดที่เต็มไปด้วยรอยบอบช้ำ ตลอดการเดินทาง นางครุ่นคิดอยู่หลายตลบว่าจะเริ่มเรื่องอย่างไรให้เขาเชื่อใจนาง จะแสดงตัวเช่นไรไม่ให้ถูกจับได้ว่าเป็นหญิง แต่เมื่อฐานะถูกเปิดเผยแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะต้องปิดบังอันใดอีก นางสูดลมหายใจแล้วเอ่ยออกมา“ข้าคือจางฟางหรง”“หือ?” หลัวหลิวหยางเลิกคิ้วประหลาดใจ “จางฟางหรง?”“จางฟางหรงที่เขียนจดหมายโต้ตอบกับท่าน” นางยังคงสงบใจกล่าวต่อ “ข้าเคยพบจางฟางหรง เขาเป็นบุตรบุญธรรมของอาจารย์ข้า เขาเป็นบุรุษมิใช่สตรี”“ถูกต้อง จางฟางหรงที่ท่านแม่ทัพพบคือน้องชายต่างมารดาของข้า ข้าชื่อจางฟางซิน ข้าและจางฟางหรงเป็นบุตรบุญธรรมของอาจารย์ หยางอี้เสียง” นางแนะนำตัวเอง และเมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดจะพูดขัด นางจึงพูดต่อ “คนที่เขียนจดหมายถึงท่านคือข้า ข้าใช้ชื่อของน้องชายเพื่อคุยกับท่าน”แววตาของหลัวหลิวหยางประหลาดใจเล็กน้อย เดิมทีเขาสงสัยมาตลอด บุรุษอย่างจางฟางหรงดูเหมือนคนที่ไม่สนใจตำราพิชัยยุทธ์ ไม่ชอบการทหาร แต่กลับแลกเปลี่ยนความคิดกับเขาและเสนอแนวทางให้เขาหลาย
“เช่นนั้น...” นางอ้าปากแต่ยังพูดได้เพียงสองคำ เขาก็ยกมือขึ้นห้ามไว้ก่อน ครู่หนึ่งแม่นมเหมยกุ้ยเข้ามาพร้อมหญิงรับใช้ที่นำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้จางฟางซินผลัดเปลี่ยน แม่นมเหมยกุ้ยพยักหน้าให้บ่าวรับใช้ออกไปก่อน เมื่อเหลือเพียงสามคนนางจึงเอ่ยขึ้น“แม่นางได้สติดีแล้ว ข้าจึงจัดเตรียมเสื้อผ้ามาให้” “ขอบคุณแม่นมเหมยกุ้ยมากเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หลายวันมานี้ท่านลำบากเพราะข้าแท้ๆ ข้าวของเครื่องใช้ของข้าอยู่ในรถม้า”“ในรถม้ามีของสำคัญใดหรือไม่ ข้าส่งคนออกไปดูไม่พบสิ่งใด พวกโจรคงขโมยไปหมดแล้ว”จางฟางซินส่ายหน้าไปมา “นอกจากเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวแล้วไม่มีสิ่งอื่นเจ้าค่ะ โจรกลุ่มนั้นคงปล้นเสียเทียวแล้ว”‘ตัวข้าสำคัญที่สุดแล้ว’ นางไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไป เกรงว่าเขาจะเห็นว่านางเป็นคนชอบเยินยอตัวเอง ยังไม่ทันพูดอะไรต่อเด็กรับใช้ประคองถ้วยยาเข้ามา หญิงสาวยิ้มค้าง ดวงตาจ้องมองหลัวหลิวหยางเป็นเชิงถาม นี่นางต้องดื่มยาอีกแล้วหรือ? ปกตินางเป็นคนแข็งแรงจนน้องชายหยอกล้อว่านางแข็งแรงเหมือนวัว ร้อยวันพันปีจะเจ็บป่วยสักครั้ง หากไม่นับข้อเท้าของนางที่เจ็บหนัก นางคิดว่าตัวเองแข็งแรงดีแล้วจริงๆ หลัวหลิวห