มีคู่ศัตรูคู่แข่งอยู่รอบด้าน เราต้องกำหนดกลยุทธ์ วางแผน โจมตี ตั้งรับ เพื่อชิงความได้เปรียบกับฝ่ายตรงข้าม ไม่เช่นนั้นเราก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ศาสตร์ทุกแขนงควรทำการศึกษาและนำมาประยุกต์ปรับใช้กับการทำงานเพื่อให้ผลสำเร็จเกิดขึ้นตามมา เจ้าชื่นชอบการอ่านตำราแต่อ่อนด้อยประสบการณ์ ยังไม่เข้าใจท่องแท้หรอกกระมัง”
ในน้ำเสียงนั้นคล้ายดูแคลนอยู่หลายส่วน แต่จางฟางซินกลับพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย นางยื่นมือไปรับน้ำชาอย่างระวังไม่ให้หกใส่ตำราพิชัยยุทธที่เขาให้นางหยิบยืมมาอ่าน
“ข้าก็เคยคิดอยู่ว่า กลยุทธการศึกเหล่านี้ หากศึกษาให้เข้าใจถึงแก่นแท้ เราย่อมสามารถปรับเปลี่ยนมาใช้ในชีวิตประจำวันได้”
“เช่น?”
“การค้าอย่างไรเล่า” นางยื่นหน้าไปหาเขา “หากเราจะทำการค้าก็ต้องเรียนรู้ว่าคู่แข่งเป็นใคร จุดเด่น จุดอ่อนคืออะไร ทำเลที่ตั้งของร้านก็เหมือนชัยภูมิในการทำศึก ท่านว่าข้าพูดถูกหรือไม่เล่า”
หลัวหลิวหยางหัวเราะในลำคอแล้วพยักหน้ารับ “เรื่องนี้ข้าเห็นด้วย”
“ลักษณะชัยภูมิสำหรับทำศึกมีส่วนสำคัญไม่น้อยไปกว่าการจัดกระบวนทัพ ความได้เปรียบเสียเปรียบขึ้นอยู่กับการสภาพภูมิประเทศ เปรียบได้กับการกำหนดพื้นที่ตั้งร้านค้า พื้นที่ดีย่อมหนุนนำให้กิจการไปในทิศทางที่ดี วันนี้ข้าจะได้เห็นชัยภูมิชายแดนตะวันออกด้วยตาตัวเองแล้ว”
นางอดมองไปทางหน้าต่างไม่ได้
ทั้งสองอยู่ในรถม้าหรูหรา หลัวหลิวหยางจำไม่ได้เลยว่าตนเองนั่งอยู่ในรถม้าเช่นนี้เมื่อไหร่กัน หากไม่เพราะเขาต้องการนั่งเป็นเพื่อนจางฟางซิน พานางไปดู ‘ชัยภูมิ’ ที่นางร้องขอ และเพราะเท้านางเจ็บและนางกลัวที่จะขี่ม้าเพียงคนเดียว เขาจึงยอมนั่งในรถม้ามาเป็นเพื่อนนาง แต่ว่ากันจริง เขาไม่เคยรู้ว่าตนเองมีรถม้าหรูหราเช่นนี้ด้วยซ้ำ ปกติเขามีเพียงอาชาคู่ใจจึงไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ และที่สำคัญที่สุด การนั่งคุยกับนางก็ไม่ได้น่าเบื่อนัก
รถม้าหยุดเมื่อถึงที่หมายแล้ว หลัวหลิวหยางที่เอกเขนกอยู่ขยับกายด้วยท่าทีเกียจคร้านทำเอาจางฟานซินจ้องมองอย่างประหลาดใจ
“ทำไมรึ” เขาเอ่ยถามพลางเคลื่อนกายลงจากรถไปก่อนแล้วหมุนตัวมารอนางที่ค่อยๆ ขยับเท้าที่เจ็บมาที่ทางรถลง
“ข้าคิดว่าสีหน้าท่านคงมีสีหน้าเดียว”
นางหลุบตามองความสูงของรถม้าและพื้นดิน ตอนที่ขึ้นรถม้ามามีเสี่ยวจิ้งช่วยพยุง แรกทีเดียวนางเข้าใจว่าหลัวหลิวหยางจะควบม้าแยกไปต่างหาก ไม่คิดว่าเขาจะพลิกกายเข้ามานั่งรถม้าเดียวกับนางและขับไล่มิให้สาวใช้ติดตามมาด้วย
“ข้าก็เป็นเช่นคนทั่วไป” เขาไหวไหล่เล็กน้อย ยื่นมือไปตรงหน้า “มาสิ”
ท่าทางของเขาทำเหมือนนางเป็นสหายผู้หนึ่ง จางฟางซินฝืนสงบใจให้นิ่ง เป็นนางที่หลงใหลชื่นชมเขาอยู่ฝ่ายเดียวจะให้เขามีปฏิกิริยาต่อนางเป็นอื่นได้อย่างไร แค่เขาไม่ผลักไสนางก็นับว่าดีมากแล้ว คิดได้ดังนั้นแล้ว นางจึงค่อยๆ ขยับตัวช้าๆ วางมือลงบนใหญ่ของเขา ไม่รู้ว่านางชักช้าไม่ทันใจเขาหรือไร มือเล็กของจางฟานซินถูกดึงไปให้โอบลำคอของเขา ร่างของนางผวาเข้าไปในแผ่นอกแกร่ง ยังไม่ทันกะพริบตาร่างของนางก็ถูกเขาอุ้มไว้เรียบร้อยแล้ว
“เอ่อ...”
“เท้าของเจ้าเจ็บ” หลัวหลิวหยางอุ้มนางเดินออกมา ไม่ได้สนใจสายตาของทหารที่ติดตามเขามาด้วย ทุกคนต่างอ้าปากค้างไม่คิดว่าแม่ทัพที่ชื่อเสียงโหดเหี้ยมจะใส่ใจสตรีผู้หนึ่งถึงเพียงนี้
“ท่านจำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้?” นางถามเขาเสียงเบา ลอบกวาดตามองเห็นอาการแตกตื่นของบรรดาทหารที่ติดตามมาด้วยแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ “หนึ่งในกลยุทธ์การศึกคือหลอกผู้อื่นให้ตายใจ แต่ถ้าผู้อื่นเข้าใจไปว่าท่านใส่ใจข้านัก เช่นนี้ข้าจะไม่ได้รับอันตรายหรือ? หากท่านลืมข้าขอย้ำท่านอีกครั้งข้าไร้วรยุทธ์”
ร่างกายของหญิงสาวผ่อนคลายลงแล้วเอนหน้าลงซบกับซอกคอของเขา ลมหายใจยามเอื้อยเอ่ยถ้อยคำคลอเคลียผิวกายที่พ้นอาภรณ์สีดำของเขา เป็นเช่นที่นางกล่าวมา เขาจงใจให้ผู้อื่นเข้าใจไปว่าเขาหลงใหลสตรี ไม่เข้าค่ายทหาร ไม่ฝึกซ้อม ละเลยการลาดตระเวน เพื่อที่จะได้จับตาดูความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม รู้แจ้งแก่ใจว่านี่เป็นเพียงละครตบตาผู้อื่น ทว่าหัวใจของเขากลับหวิบไหวแปลกๆ ชอบกล หรือเขาจะห่างเหินสตรีมากเกินไป ถึงได้รู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้
ถ้าเขาอยากอุ้มนางก็ตามใจเถิด นางไม่ใช่แบกรับน้ำหนักเสียหน่อยไม่เดือดร้อนอันใด อาจจะเรียกว่าได้กำไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้ใกล้ชิดบุรุษที่ตนแอบชอบก็ได้ คิดถึงตรงนี้นางก็ซุกซ่อนใบหน้ากับเสื้อของเขาเพื่อกลั้นเสียงหัวเราะจนไหล่สั่น ถ้าวิญญาณทั้งพ่อท่านแม่ตลอดจนพ่อบุญธรรมและน้องชายเจ้าสำอางล่วงรู้ความคิดของนาง พวกเขาจะมีสีหน้าอย่างไรหนอ
ร่างบอบบางสั่นไหวเล็กน้อยเรียกชายหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์ เขาโอบกระชับนางแน่นขึ้นเข้าใจไปว่านางหนาวสั่นเพราะต้องลมเย็น
“นี่คือแม่น้ำดุจดารา น้ำที่นี่เย็นยะเยือกตลอดทั้งปี”
“เป็นแม่น้ำที่เกิดจากการละลายของหิมะบนยอดเขา” นางรีบพูดขึ้นสีหน้าตื่นเต้น
“เจ้าอ่านตำรามามากจริงๆ” เขาเผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว
“อ่านมากก็มิสู้เห็นด้วยสองตาของตน” นางตบแผ่นอกของเขาสองสามที “ข้าอยากสัมผัสน้ำในแมน้ำได้ไหม?”
“น้ำเย็นมาก เจ้าจะไม่สบายเอา” พูดเช่นนั้นแต่ยอมอุ้มนางไปริมตลิ่ง มีโขดหินที่พอนั่งได้ เขาจึงพานางไปนั่งที่ตรงนั้น
เพราะเท้าที่เจ็บมีผ้าพันรอบข้อเท้า นางจึงใส่รองเท้าเพียงข้างเดียว เมื่อเขาวางนางนั่งลงแล้ว นางจึงรีบชักเท้าไม่ให้เขาแตะเท้าที่สวมรองเท้าข้างเดียวอยู่ จางฟางซินไม่ต้องการให้เขาดูแลนางมากเกินไป นางไม่ได้ห่วงเรื่องชื่อเสียงของตน แต่นางกลัวใจตัวเอง นางชอบเขาฝ่ายเดียวเป็นเรื่องที่นางยอมรับได้ แต่นางกลัวใจตนจะหวั่นไหวคิดเกินเลยมากเกินไป ยามเมื่อต้องจากไป คงเป็นนางที่ต้องทนปวดใจเพียงลำพัง
หลัวหลิวหยางทำเป็นไม่เห็นปฏิกิริยาของนาง เขานั่งข้างๆ ถอดร้องเท้าถุงเท้าของตนออกแล้วม้วนขากางเกงขึ้น
“แม่น้ำสายนี้หล่อเลี้ยงคนสองแคว้น ที่เรียกแม่น้ำดุจดาราเพราะยามแสงอาทิตย์กระทบผิวน้ำจะสะท้อนประกายระยิบระยับราวดับดาวดาวพราวแสง” เขานิ่งไปครู่หนึ่ง “เจ้าคงอ่านมาแล้วเช่นกัน”
นางแย้มยิ้มแล้วพยายามยื่นปลายเท้าที่ไม่เจ็บแตะผิวน้ำ
“ทำเช่นนั้นเจ้าจะไถลตกน้ำลงมาได้ และอาจจะได้เจ็บเท้าสองข้างเท่าเทียมกัน”
“แล้วจะให้ข้าทำเช่นไรเล่า” นางยื่นปากย่นจมูกใส่เขา แต่คำตอบของเขาคือการเดินมาอุ้มนางอีกครั้ง
“กอดคอข้าแน่นๆ ข้าจะพาไปริมแม่น้ำ” เขาอุ้มนางเดินลงไปที่แม่น้ำแล้วโน้มตัวลงให้นางได้ยื่นมือสัมผัสน้ำในแม่น้ำที่ไหลผ่าน นิ้วมือเรียวงามยื่นลงไปในน้ำ กระแสน้ำไหลเย็นเยียบทั้งที่ปลายฤดูใบไม้ผลิ ใบหน้าระบายยิ้มกว้าง
“แม่น้ำสายนี้ มีบางช่วงที่ลึกมาก และกระแสน้ำไหลค่อนข้างแรง เจ้าไม่ควรมาที่นี่ตามลำพัง”
“ท่านพูดเหมือนข้าสามารถมาเองได้” นางหัวเราะคิกคักแล้วเก็บมือของตนขึ้นจากน้ำ “ขอบคุณมาก”
“พอใจแล้วหรือ”
“อืม” นางพยักหน้า แต่เขากลับหัวเราะออกมา
“เจ้านี่คงจะทำให้ท่านอาจารย์หยางปวดหัวน่าดู”
“ข้าเป็นลูกสาวที่ดีและเป็นลูกศิษย์ที่ใฝ่รู้” นางโอ้อวดตนเองอย่างเต็มภาคภูมิ “จะว่าไป ข้าเรียกท่านแม่ทัพว่าศิษย์พี่ก็ได้สินะ”
แม่ทัพหนุ่มหัวเราะออกมา เขาอุ้มร่างบอบบางกลับมานั่งที่โขดหิน เขาปรายตามองทหารยามที่ยืนรักษาความปลอดภัยอยู่ห่างๆ ร่างสูงขยับกายมานั่งเคียงข้าง ไหล่แนบชิด มองไกลๆ จึงเหมือนหนุ่มสาวเอนกายพิงกัน
“จวิ้นอ๋องสงสัยในตัวข้าหรือไม่” นางถามแต่สายตาชื่นชมความงามเบื้องหน้า
“เขาเป็นคนขี้ระแวงย่อมสงสัยเป็นธรรมดา” เขาจับมือของนางมากุมไว้ เมื่อครู่นางแช่มือในน้ำเย็น ทำให้มือของนางค่อนข้างเย็น
“ท่านเคยสงสัยในตัวจวิ้นอ๋องหรือไม่” นางถามรู้สึกสบายจนเผลอเอนตัวไปพิงไหล่ของเขา “ตามจริงแล้ว เรื่องในวังหลวงข้าก็ไม่ล่วงรู้ลึกตื้นหนาบางของผู้อื่นนัก”“แต่เจ้าเชื่อใจองค์รัชทายาท ยอมเดินทางเสี่ยงภัยมาหาข้า”“เพราะท่านมีภัย ข้าจึงรีบมา”“เจ้าไม่ได้รู้จักข้าด้วยซ้ำ” “ท่านกล่าวผิดแล้ว ท่านไม่รู้จักข้าแต่ข้ารู้จักท่าน” นางหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย “ท่านน่าจะให้ข้าพาเปาเป่ามาด้วย” “คนขาเจ็บกับแมวขาพิการ”“ท่านแม่ทัพดูถูกข้าหรือ?” “ข้าพูดความจริงต่างหาก” เขาหัวเราะในลำคอ แต่เมื่อมองเลยไปยังป่าทึบดวงตาของเขามีพลันฉายแววแข็งกร้าวขึ้นมา “มีเรื่องใดหรือ?” นางถามเพราะรู้สึกว่าร่างกายที่นางพิงอยู่มีอาการตื่นตัว“ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวล” เขาพูดเก็บสายตากลับมา นางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมเข้ม ดวงตาของเขาคมปลาบต่อให้ไม่ต้องลงมือแค่ใช้สายตาจ้องมองก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้ แต่นางกลับรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดในสายตาคู่นั้นจนไม่อาจถอนสายตาได้เลย ทว่าอาการนิ่งงันไปของจางฟางซินทำให้หลัวหลิวหยางเข้าใจผิด เขาเบือนหน้าไปสบถอย่างหงุดหงิด อย่างไรนางก็เป็นหญิง จะไม่ให้หวาดกลัวยามเขาเผลอใช้สายตากดดันผู้อื
เดินหมากกับนางช่างน่าปวดหัว เขาเผลอวางเม็ดหมากไม่ระวัง กว่าจะรู้ตัวก็เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของนางก่อนที่นางจะวางหมากขาวชิงพื้นที่ในกระดานแล้ว แม้ไม่ได้เอ่ยวาจาแต่ก็รู้แล้วว่าหมากกระดานชัยชนะเป็นของผู้ใด‘ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ออมมือ’ นางยังคงระบายยิ้มเกลือนใบหน้า‘อีกกระดานเถิด’‘ไม่ดีกระมัง’ คราวนี้นางหน้ามุ่ย ‘ท่านแม่ทัพมีร่างกายแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า แต่ข้าเป็นเพียงสตรีบอบบางซ้ำขาเจ็บและมีแมวขาเป๋อยู่บนตัก ให้ข้าพักผ่อนเถิดนะ’‘ข้าก็ลืมไปว่าเจ้าเปราะบางเสียนี่กระไร ขนาดอยู่ในรถม้าที่ตีลังกาหลายตลบยังรอดตายได้’นางอ้าปากค้างไม่คิดว่าแม่ทัพใหญ่ที่นางชื่นชมจะกล้าประชดประชันนางเช่นนี้ เขาเห็นนางเถียงไม่ออกก็หัวเราะชอบใจนางควรบอกเขาดีหรือไม่ ขอเพียงเขายิ้มสักเล็กน้อย หัวเราะมากขึ้นอีกนิด เขาจะเป็นบุรุษที่สตรีเฝ้าคะนึงหา อาจเพราะชื่อเสียงดวงกินภรรยาของเขา และความเด็ดขาดในฐานะแม่ทัพพิทักษ์บูรพาทำให้คนหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้“เป็นอะไรไป” หลัวหลิวหยางเอ่ยถามเมื่อเห็นนางมองเขาด้วยสายตาเหม่อลอย“ข้ากำลังชื่นชมท่านอยู่” นางตอบไปอย่างที่คิด นางก็เป็นเช่นนี้พูดจาตรงไปตรงมาไม่ค่อยสำรวมนัก อาจเพราะค
“หลี่ไป๋” หลัวหลิวหยางย่อมเคยได้ยินชื่อกวีเลื่องชื่อ แต่เขาไม่ใช่บุรุษที่ชอบอ่านกลอนเขียนกวี จึงไม่ได้ใส่ใจแม้จะเคยอ่านผ่านตามาบ้าง“แต่ที่สำคัญกว่าคือท่านแม่ทัพหลัวชื่นชอบสุรานี้เช่นกัน” นางเอ่ยเสียงเบาด้วยท่าทีเขินอาย “พี่หลิวหยางขอข้าชิมสุราในจอกท่านสักนิดได้หรือไม่” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย นางเรียกเขาว่า ‘พี่’“พี่หลิวหยางก็รู้ว่าท่านพ่อมิให้ข้าชิมสุรา ทุกครั้งที่ท่านมาเยี่ยมเยือนท่านพ่อก็ชอบหิ้วสุราดีมาเสมอ ข้าทำได้แค่ดมกลิ่นเท่านั้น ข้าอยากรู้ว่ารสชาติที่พี่หลิวหยางชื่นชอบเป็นเช่นไร”นางออดอ้อนอย่างน่ารัก ทำให้เขาเผลอใจยื่นจอกสุราของตนให้นาง“สุรารสแรง เจ้าจิบเล็กน้อยก็พอ”“ขอบคุณพี่หลิวหยาง” นางยื่นมือมารับจอกสุราของเขา ดมกลิ่นสุราแล้วจิบเล็กน้อย สุรารสแรงแต่ละมุนลิ้นทำให้ใบหน้าของนางแดงระเรือขึ้นมา “พอแล้ว” เขาแย่งจอกสุรากลับคืน“พี่หลิวหยางอย่าฟ้องพ่อบุญธรรมนะ” “ข้ารู้” นางทำท่ามึนศีรษะเอนกายไปทางเขาแล้วกระซิบ “สุราไม่มีพิษ”หลัวหลิวหยางลอบถอนหายใจ นางห่วงเขาแต่ไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้ แต่ความเป็นห่วงของนางทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว แต่ก่อนมีแต่เขาที่ต้องคอยปกป้องดูแลผู
“มีเรื่องเล่าเช่นนี้ด้วย” จางฟางซินถอดถอนใจจากเรื่องราวที่ได้ยิน นางลอบมองหลัวหลิวหยางที่ยกสุราขึ้นดื่ม“เหตุใดพี่หลิวหยางไม่เล่าให้ข้ารู้บ้าง”“ข้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้” เขาตอบ “เป็นแค่นิทานเล่าขานของคนที่นี้” อวี้หมี่พูดด้วยรอยยิ้มจางฟางซินแปลกใจที่เห็นเขาดื่มสุรามากขึ้น ระหว่างที่อยู่ที่จวน นางไม่เห็นเขาดื่มสุรา นางคาดเดาได้ว่าเขาคงคอแข็งไม่น้อย แต่เห็นเขามอมตัวเองเช่นนี้ นางไม่เข้าใจ นางเผลอยกมือขึ้นนวดขมับ แม้หลัวหลิว หยางไม่ได้มองนางตรงๆ แต่ทุกการเคลื่อนไหวของนางอยู่ในสายตาของเขา ชายหนุ่มจึงยื่นมือไปจับมือที่กำลังนวดขมับอยู่“ไม่สบายรึ? ปวดหัวหรือ?”นางไม่ตอบแต่กัดริมฝีปากครุ่นคิด ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการไปจากที่นี้หรือต้องการให้นางไปกันแน่ เพราะดูเหมือนสายตาของเขาจะอยู่ที่หญิงงามอวี้หมี่ “แม่นางจางไม่สบายรึ” โม่โฉวถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ตามหมอดีหรือไม่”“หม่อมฉันอยากพักผ่อน ต้องขอโทษที่ทำให้ทุกท่านหมดสนุกเพคะ”“แม่นางจางอย่าได้กล่าวเช่นนั้น” โม่โฉวโบกมือไปมา “เจ้าเองยังไม่หายดี เป็นข้าที่เอาแต่ใจฝืนใจให้เจ้ามาชิมชาชมบุบผาเช่นนี้”“กระหม่อมขอพาฟางซินกลับก่อน โอกาสหน้
“หากท่านไม่รีบลงมือ ผู้อื่นอาจช่วงชิงนางไปก็ได้” “ใครกล้า!” เขาเผลอทุบโต๊ะอย่างแรงเสียงดังปัง! บ่าวรับใช้ที่รอด้านนอกได้ยินจนสะดุ้งตัวสั่น “ข้าแค่กล่าวเตือนท่าน หากท่านหวงแหนนางถึงเพียงนี้ก็รีบทำในสิ่งที่ควรทำเถิด” “ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน!” “ท่านหมอมาตรวจแผลให้นาง อยู่ที่เรือนของนางนั้นแหละ” แม่นมเหมยกุ้ยเบี่ยงกายเล็กน้อยให้หลัวหลิวหยางที่ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวยาวๆ ออกไปไม่สนใจนางเลยสักนิด แม่นมได้แต่ส่ายหน้าไปมา ถ้านางไม่กระตุ้นเช่นนี้ เห็นทีว่าแม่ทัพหนุ่มผู้นี้อาจทำให้สตรีในดวงใจหลุดมือไป จางฟางซินวาดเท้าลงบนพื้น ผ้าที่เคยพันรอบข้อเท้าไม่แน่นหนาเช่นแต่ก่อน นางสูดลมหายใจลึกก่อนค่อยยันกายขึ้นยืนโดยมีเสี่ยวจิ้งคอยประคอง แม้เจ็บแปลบอยู่บ้างแต่นางก็สามารถยืนได้แล้ว “ดีจริง ยืนได้แล้ว” นางยิ้มกว้างแล้วหันมาทางหมอทหารที่แวะเวียนมาดูอาการให้นางวันเว้นวันตามคำสั่งของแม่ทัพหลัว “ฝีมือรักษาของท่านยอดเยี่ยมจริงๆ ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ ” ถูกกล่าวชมต่อหน้าเช่นนี้ แม้จะอายุสี่สิบแล้วก็ร
“ไม่นะ!” นางยื้อมือของเขาไม่ให้ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออก ใบหน้าร้อนผ่าวกลายเป็นสีแดงจัด แต่มือของเขากลายเป็นหนวดปลาหมึกยุบยับบนตัวนาง หญิงสาวพยายามปัดป้องพลิกตัวหนีแต่ทำไม่ได้เลย หลัวหลิวหยางกดร่างเล็กลงบนเตียง ตรึงข้อมือไว้เหนือศีรษะของนาง เขายิ้มเจ้าเล่ห์ โน้มหน้าลงใกล้ริมฝีปากช่างเจรจา ทว่าหางตารับรู้การเคลื่อนไหวที่กระโจนใส่ เขาผงะร่างไปด้านหลังพลิกตัวหลบอย่างฉิวเฉียด เจ้าแมวป่าขาเป๋กระโดดเข้าใส่ มันยืนขู่ฟ่อตัวพองบนร่างของจางฟางซิน “เปาเป่า!” เจ้าแมวป่ากลายเป็นแมวบ้านครางเหมียวๆ ฟังน่าเอ็นดูหมุนตัวมาคลอเคลียหญิงสาวอย่างเอาใจ “เจ้าแมวเนรคุณ!” เขาสบถใส่ “ข้าคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเจ้านะ!” “ท่านแม่ทัพ” นางยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ตาเขา “ข้าเคยอ่านตำรามาว่าสัตว์มีสัญชาตญาณรู้ว่าผู้ใดดีกับมัน เจ้าเปาเป่ายอมรู้ว่าข้ารักมันมากที่สุด จึงมาปกป้องข้าเช่นนี้” แม่ทัพหนุ่มไม่คิดว่าตนเองต้องมาทะเลาะกับแมวขาเป๋ตัวหนึ่ง เจ้าแมวก็ทำเฉยชาไม่สนใจเขาเลยสักนิด แต่ไหนแต่ไรมันก็ไม่เคยสนใจผู้ใดอยู่แล้ว เหตุใดเขาจึงโง่นักที่เล
“อ๊ะ!” นางเพิ่งรู้ว่าเขามายืนอยู่ด้านหลังนาง “เสียมารยาท!”“เจ้าไม่รู้ตัวเองต่างหาก” เขายังไม่ยอมขยับ แต่กลับโน้มตัวลงตั้งใจอ่านที่นางเขียน กรุ่นอายของเขาโอบล้อมนางไว้แน่นหนา แม้เรือนร่างไม่ได้สัมผัสกันแต่นางรู้สึกเหมือนถูกเขากักขังไว้ด้วยอ้อมกอดของเขา นางแทบกลั้นหายใจพราะไม่ต้องการได้กลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา“เจ้าเขียนเรื่องปีศาจภูเขาอะไรนั้นหรือ?” เขาประหลาดใจ คิดว่านางจะบันทึกอะไรที่มีสาระมากกว่านี้“อื้ม” เมื่อถูกเปิดโปงแล้วก็ทำได้แต่ยืดอกรับอย่างลูกผู้ชาย (?) “เสียดายสมุดบันทึกของข้าหายไป ข้าต้องลำดับเรื่องราวใหม่”“สมุดเล่มที่อยู่ในรถม้านะรึ”“ใช่! ท่านเห็นหรือ?” “มันถูกฉีดขาด ข้าคิดว่าไม่สำคัญจึงเก็บไว้ไม่ได้เอามาให้เจ้าแต่แรก”“มันสำคัญกับข้ามาก” นางยิ้มกว้าง แม้เขาจะบอกว่าสมุดของนางถูกทำลายแต่นางก็รู้สึกมีความหวัง “มีอะไรในสมุดบันทึกของเจ้ารึ” เขาเปิดดูคราวๆ ไม่เห็นความสำคัญจึงไม่ได้ใส่ใจ“บันทึกการเดินทาง” นางตอบด้วยรอยยิ้มภูมิใจ “บางเรื่องราวไม่ได้มีในตำรา เรื่องใดที่ประสบพบเจอข้าก็เขียนบันทึกไว้ ตั้งใจว่ากลับไปจะเรียบเรียงเขียนเป็นหนังสือ”“เรื่องปีศาจอะไรนั้น
อาการบาดเจ็บที่เท้าของจางฟางซินดีขึ้นมาก เวลานี้นางสามารถสวมรองเท้าและเดินเหินได้โดยไม่ต้องใช้ไม้เท้าหรือคนช่วยประคอง หลัวหลิวหยางยังคงสวมเสื้อผ้าสีดำแม้ไม่ใช่ชุดทหารขับเน้นโครงร่างสูงใหญ่องอาจของเขาได้ดียิ่ง มือใหญ่จับเอวบางยกขึ้นนั่งบนหลังม้าก่อนจะพาร่างของตนตามไปนั่งบนอาชาตัวเดียวกัน “เราต้องขี่ม้าตัวเดียวกันเช่นนี้หรือ?” นางถามพยายามกระเถิบตัวไปด้านหน้าไม่ให้แนบชิดกับแผ่นอกแข็งแกร่งที่อยู่ด้านหลัง “เจ้าขี่ม้าไม่เป็นและกลัวการขี่ม้ามิใช่หรือ?” เขาถามกลับ กระชับเสื้อคลุมห่อของนางให้แน่นหนาราวกับจะมัดนางไว้ไม่ให้ดิ้นหลุดไปได้ “ข้าควรดีใจที่ใส่ใจเรื่องของข้าใช่ไหม?” นางบ่นพึมพำ “เจ้าควรซาบซึ้งใจในสิ่งที่ข้าทำให้” “ว้าย!” แม่ทัพหนุ่มหัวเราะในลำคอ เขาบังคับม้าให้พุ่งทะยานไปด้านหน้าโดยไม่ได้บอกนางให้เตรียมตัว ร่างของนางจึงเอนมาด้านหลังเข้าสู่อ้อมกอดของเขาทันที การเดินทางครั้งนี้มีเพียงหูซานและทหารคนสนิทติดตามอยู่ห่างๆ หลัวหลิวหยางสัมผัสได้ถึงร่างกายที่เกร็งตัวอยู่ตลอดเวลา การตกม้าในวัยเด็กของนางทำใ
“ก็...ก็ใช่นะสิ เป็นของนายของข้ามอบให้มา” นางพยายามดิ้นรนแต่กลับถูกท่อนแขนรัดเอวนางแน่นขึ้นจนเผลอร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา“นายเจ้าเป็นเศรษฐีที่ถูกหายตัวไปเมื่อสองเดือนก่อนรึ จุ๊ๆ เจ้าอย่ามาโกหกเลย บอกมาเถอะว่ารถม้าคันนั้นอยู่ที่ใด สมบัติในรถคันนั้นต้องมีมากกว่าที่เจ้าขนลงไปแน่”ฟางซินแตกตื่นจนพูดไม่ออก ยังไม่ทันคิดหาวิธีเอาตัวรอด ร่างของนางถูกเหวี่ยงลงพื้น หญิงสาวทั้งเจ็บและจุก พยายามดิ้นรนแต่ชายคนหนึ่งกลับคร่อมร่างนางไว้และอีกสองคนยึดแขนคนละข้าง เหตุการณ์กลับมาซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง นางนึกถึงเพียงใบหน้าของปีศาจภูเขา แต่นี่อยู่นอกเขตอาคม เขาไม่อาจออกมาช่วยนางได้ไม่! เขาจะออกมานอกเขตอาคมไม่ได้! เขาอาจจะตาย! และถ้ามีคนรู้ว่าปีศาจภูเขามีอยู่จริง จะต้องถูกชาวบ้านเชิญนักพรตมาสังหารเป็นแน่! นางยอมให้เขาเป็นอะไรไม่ได้เด็ดขาด!“โอ๊ย!”แมวป่าตัวหนึ่งพุ่งเข้าใส่คนที่คร่อมร่างหญิงสาวอยู่ กรงเล็บของมันทำให้ใบหน้าของคนผู้นั้นเป็นรอยแผล และเพราะความเจ็บปวดที่ทำให้รับทำให้ชายคนนั้นจับแมวป่าตัวนั้นออกจากร่างของตนแล้วทุ่มลงบนพื้นกระแทกถูกก้อนหิน แมวป่าส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีอ่อนแรง
ทว่านางกลับมีหมาป่าสองสามตัวติดตามลงมาส่ง นางเดาว่าปีศาจภูเขาคงขู่บังคับให้ทำเช่นนี้ คิดได้ดังนั้นหัวใจนางก็ยิ่งเต้นรัว นางไม่อยากจากเขาไปไหนเลย เพียงแต่ว่าครั้งนี้ได้มาลาบิดามารดาก่อนจะไปอยู่กับเขาชั่วชีวิต แต่เขาเป็นปีศาจ หากผู้อื่นรู้เขาเกรงว่าครอบครัวของนางจะลำบาก ระหว่างเดินทาง นางจึงครุ่นคิดหาแผนการเพื่อให้ได้ออกจากบ้านอย่างไร้กังวลหญิงสาวลอบเข้าบ้านหลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครอื่นผ่านมาเห็น เสียงไอโขลกๆ ของมารดาทำให้ฟางซินแทบทิ้งทุกสิ่งที่หอบมาเพื่อเข้าไปในเรือน บานประตูที่ถูกผลักออกโดยง่ายนั้น ทำให้มารดาที่นั่งปักผ้าอยู่เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นใบหน้าบุตรสาวคนเดียวที่หายไปร่วมเดือนก็ดีใจจนหลั่งน้ำตา“แม่คิดว่าเจ้า...เจ้า...”“ข้าไม่เป็นอะไรท่านแม่” นางวางข้าวของที่หอบลงมาจากเขา เปิดห่อผ้าหยิบโสมคนออกมาให้มารดา “นี่โสมคนชั้นเยี่ยม ข้าจะนำมาไปให้ท่านหมอปรุงยาให้ท่านแม่”“เจ้าไปเอาของพวกนี้มาจากไหน แล้วนี่...เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา ผู้อื่นลือกันว่าเจ้าตกเขาตายไปแล้ว”“เอ่อ...มีคนใจดีช่วยชีวิตข้าไว้” นางไม่อยากให้มารดารู้เรื่องที่เกือบถูกขืนใจ นางเองก็ไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้นอีก “ข้า...ข้าข
ฟางซินทั้งเขินอายและเสียวซ่าน นางผงกศีรษะขึ้นมอง เห็นเพียงศีรษะของเขาอยู่ตรงกลางหว่างขา นางอับอายเหลือเกินจึงพยายามดันศีรษะของเขาออก ทว่ารสสัมผัสที่เขามอบให้แสนเย้ายวนจนได้แต่ขยุ้มเส้นผมนุ่มสลวยที่นางบรรจงสางให้เขาอย่างดี เขาช้อนสะโพกนางให้ลอยขึ้น ถอนนิ้วเรียวออกแล้วห่อลิ้นแทรกเข้าไปแทนที่ น้ำหวานที่หลั่งออกมาทำให้ยิ่งฮึกเหิม เสียงครางกระเส่าของนางเสมือนรางวัลที่เขาตักตวงจากกายสาว สะโพกของนางลอยขึ้นจากพื้นโยกไหวตามอารมณ์รัญจวนที่เกิดขึ้น นางหลั่งน้ำหวานออกมามากล้นแต่ยังไม่เพียงพอสำหรับเขา เขาถอนลิ้นออกแล้วเปลี่ยนเป็นนิ้วเรียวสองนิ้วเข้าไป“อ๊า!” ฟางซินหลุดเสียงหวีดร้องออก สะบัดใบหน้าไปมา“เจ้า...ต้องพร้อมมากกว่านี้” เขาพูดเสียงแหบพร่า นิ้วร้ายยังคงเคลื่อนไหวเข้าออกนำพาน้ำหวานวาวใสให้หลั่งออกมาก ร่างกายของเขาแทบปริแตกด้วยความต้อง เขาจ้องมองร่างขาวเนียนบิดไปมาด้วยความรัญจวนจนกระทั่งร่างนางเกร็งและช่องทางที่แสนคับแคบบับรัดรุนแรงด้วยไปถึงจุดสุขสมฟางซินหวีดร้องอย่างไม่รู้ตัว ร่างกายร้อนผ่าวและหลอมละลายด้วยน้ำมือของเขา เขาถอนนิ้วออกช้าๆ นางหอบหายใจแรงมองเห็นเขาส่งนิ้วที่เปื้อนเปรอะน้ำ
“เปล่า” เขาส่ายหน้าไปมา “เป็นข้าที่ต้องดูแลเจ้า เจ้าถอดเสื้อผ้าสิ เร็วเข้า” “ไม่ เอ่อ...” เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีเจตนาดีไม่คิดรังแกนาง นางจึงยอมทำตามที่เขาสั่ง แต่การจะเปลือยกายต่อหน้าผู้อื่นนั้น นางไม่อาจทำได้ “เอาอย่างนี้ ท่านขึ้นจากน้ำไปก่อน ข้าจะถอดเสื้อผ้าในน้ำนี้” “อย่างนั้นรึ” เขาถามและนางก็พยักหน้ายืนยันแทนคำตอบ เขาจึงยอมเป็นฝ่ายขึ้นจากน้ำไปก่อน ฟางซินถอนหายใจโล่งอก ปีศาจตนนี้เอาใจไม่ยากนัก นิสัยคล้ายเด็กมากกว่า แต่นางก็ไม่เคยรู้จักปีศาจตนใดมาก่อนจึงไม่รู้ว่าปีศาจตนอื่นเป็นเช่นนี้หรือไม่ ฟางซินเห็นเขาหันหลังให้เหมือนยามที่นั่งหน้ากองไฟทุกค่ำคืน นางจึงถอดเสื้อผ้าที่เปียกน้ำนี่ออก ให้ร่างกายเปลือยเปล่าได้สัมผัสความอุ่นร้อนพอดีของสายน้ำ นางหลับตาอย่างผ่อนคลาย มันสบายอย่างนี้เองหรือ นางเผลอคลางออกมาอย่างไม่รู้ตัวแต่ประสาทการรับรู้ของปีศาจภูเขานั้นยอดเยี่ยม เขาหันขวับมามองด้วยความเป็นห่วง ทว่าภาพที่เห็นคือสาวงามเปลือกกายในสระน้ำ หัวใจของเขาเต้นรัวราวกับจะทะลุออกมาจากทรวงอก ดอกบัวคู่งามปริ่มน้ำชวนหลงใหล ผิวกายของนางแม้มีรอยบอบช้ำทว่ากลับน่ายื่นม
ขึ้นเขาครั้งนี้เพราะหวังว่าจะหาโสมหรือสมุนไพรหายาก แต่ไม่คิดว่าจะเจอพวกคนในหมู่บ้านมาทำร้ายนางได้ นางหายออกจากบ้านมากี่วันแล้วนะ มีใครออกตามหานางบ้างไหม? มีคนเป็นห่วงนางหรือเปล่า? หรือคิดเพียงแค่ว่านางอาจหนีเอาตัวรอดทิ้งความยากจนไว้เบื้องหลัง เขารู้ว่าอาหารที่ตนทำไม่อร่อย แต่เห็นนางกินจนเกลี้ยงชามก็อดปิติยินดีไม่ได้ “ข้า...ข้ามาอยู่ที่นี่กี่วันแล้ว” “เจ็ดวัน” ปีศาจตอบ “ฝนตกติดต่อกัน หนักบ้างเบาบ้าง” “อย่างนั้นหรือ?” นางถามเหมือนรำพึงไม่ต้องการคำตอบ แต่ถ้าได้อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ คงดีไม่น้อย ไม่ต้องกลับไปเผชิญเรื่องเลวร้ายใดอีก เห็นท่าทางนิ่งงันของนางแล้ว ปีศาจภูเขารู้สึกใจคอไม่ดีนัก เขายื่นมือไปแตะแขนนางเบาๆ ทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาเขา มุมปากค่อยๆ คลี่ยิ้มอ่อนหวานทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอีกครั้ง “ข้า...ข้าอยากอาบน้ำ” “อาบน้ำ?” เขาทำหน้างุนงงไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ “ได้ๆ ตอนนี้ไม่มีฝนแล้ว ข้าจะพาไปที่สระน้ำกลางป่า มีน้ำพุร้อน ที่นั้นจะช่วยรักษาบาดแผลให้เจ้าได้” “น้ำพุ
พายุฝนกระหน่ำทำเอาหญิงสาวต้องขดตัวกลมเพื่อปกป้องความเหน็บหนาวที่ถาโถมเข้าใส่ เสื้อผ้าบนร่างนั้นทั้งเก่าและขาดวิ่นแทบปกปิดเนินอกสล้างนั้นไม่ได้เลย หญิงสาวได้สติเมื่อผ้าผืนชุบน้ำผืนหนึ่งบรรจงเช็ดใบหน้าให้อย่างระวังว่ากรงเล็บจะถูกผิวกายของนาง หญิงสาวได้สติเพราะลมเย็นพัดผ่านผิวกาย มือเล็กยกขึ้นปกปิดทรวงอกไว้ เงาดำนั้นผงะเล็กน้อยแล้วถอยห่าง ฟางซินรู้สึกได้ว่าเงาดำนั้นก้าวออกไปจากบริเวณนั้นแล้ว นางจึงลุกขึ้นนั่ง ก้มมองสภาพตัวเองที่เสื้อผ้าแทบจะปกปิดอะไรไม่ได้เลย นางหยิบผ้าที่ที่วางในอ่างเล็กๆ นั้น ชุบน้ำแล้วเช็ดที่ใบหน้าและแขน แสงไฟจากกองไฟทำให้เห็นว่านางนั่งอยู่บนพรมหนังสัตว์ในถ้ำแห่งหนึ่ง ด้านนอกคงมีพายุฝนโหมกระหน่ำ นางอยู่ด้านในได้ยินเพียงเสียงฟ้าร้องคำรามและไอเย็นแผ่กระจายเข้ามา นางไม่กล้ามองเท้าขวาของตนเองเลย เจ็บจนน้ำตาร่วง และยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น นางก็ยิ่งขวัญเสีย “จะ...เจ็บ...เจ็บมากรึ” ฟางซินได้ยินเสียงแหบแห้งจากด้านหลัง ร่างใหญ่โตนั้นแทบบดบังแสงสว่างจากกองไฟหมดสิ้น นางอ้าปากแต่พูดไม่ออก มีเพียงเสียงสะอึกสะอื้นหลุดจากริมฝ
เมื่อแน่ใจว่ามันตายแล้วจริงๆ ใบหน้าของเด็กน้อยพลันปรากฏรอยยิ้มกว้าง ร่างเล็กหันซ้ายหันขวาเหมือนหาอะไรสักอย่างทำให้ปีศาจภูเขาที่อยู่บนกิ่งไม้ประหลาดใจ พลันเด็กหน้าแหงนหน้าขึ้น สายตาของทั้งสองประสานกัน ไม่เคยมีผู้ใดกล้าสบตากับเขา แม้แต่จะมองยังไม่กล้า แค่ได้ยินเสียงก็พากันหวาดกลัว แต่เด็กน้อยผู้นั้นกลับเบิกตากว้าง มุมปากก็ยิ่งฉีกเป็นรอยยิ้มทำให้ดวงตาคู่นั้นหยีเล็กลง มือเล็กๆ โบกมือไปมาเหมือนกลัวว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็น ปีศาจภูเขาผงะไป “ขอบคุณท่านปีศาจภูเขา!” เจ้าเด็กน้อยคุกเข่าโขกศีรษะสองสามทีแล้วรีบหมุนตัวไปที่หมูป่าตัวนั้น เด็กน้อยพยายามหาวิธีแบกร่างหมูป่า สุดท้ายเด็กน้อยใช้วีธีให้หมูป่าสิ้นใจตัวนั้นขี่หลัง สองมือประสานรองใต้ก้นหมูป่า สองขาหน้าของมันยื่นพาดบ่าของเด็กน้อย แม้จะทุลักทุเลไปบ้างแต่เจ้าเด็กนั้นก็แบกหมูป่าลงจากเขาได้สำเร็จ ปีศาจภูเขาอ้าปากค้าง มองเจ้าเด็กนั้นแบกอาหารของเขาไปจนสุดสายตา แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าคือเป็นครั้งแรกที่มีมนุษย์กล้าสบตาของเขาและยัง ‘ขอบคุณ’ เขาอีกด้วย นับตั้งแต่วันนั้น ปีศาจภูเขามักมาที่สุดเขตเส้นอาคม เจ้
“หนึ่ง ... คำนับฟ้าดินสอง... คำนับพ่อแม่สาม... คำนับกันและกันส่งตัวเข้าห้องหอ” เพียงหญิงสาวเงยตัวขึ้นจากการคำนับกันและกัน ร่างของนางก็โงนเงนเกือบล้มลง หลัวหลิวหยางที่ระวังตัวทุกขณะยื่นมือไปประคองร่างหญิงคนรักไว้ได้ทัน “ซินเอ๋อร์!” หลัวหลิวหยางตวัดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น หัวใจของเขาคล้ายถูกบีบรัดเมื่อเห็นใบหน้าของจางฟางซินซีดเซียวแทบไร้สีเลือด “เจ้า...เป็นอะไรไป ตะ ตาม..ตามหมอ! ตามหมอมาเดี๋ยวนี้” เพราะระแวดระวังเรื่องไม่คาดฝันจะเกิดขึ้น นอกจากเตรียมทหารเฝ้าระวังความปลอดภัยแล้ว ยังเชิญหมอเก่งๆ มาพำนักที่บ้านถึงสามคน เพียงการตะโกนครั้งเดียวก็ทำให้ผู้คนรอบคนตื่นตัว วิ่งหน้าตั้งทำตามหน้าที่ที่ซักซ้อมไว้ก่อนแล้ว “ข้า...” จางฟางซินพยายามสูดลมหายใจลึกๆ และผ่อนออกช้าๆ ฝืนเปิดเปลือกแต่ไม่มีเรี่ยวแรง รับรู้เพียงความโกลาหลรอบข้างและร่างถูกอุ้มมานอนบนเตียงอย่างรวดเร็ว นางรับรู้ถึงน้ำเสียงร้อนรนที่พร่ำเรียกชื่อนาง “ซินเอ๋อร์!” ผ้าชุบน้ำผืนหนึ่งค่อยๆ เช็ดใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา
“ท่าน!” นางดุเขาเสียงสั่น ร่างกายขยับไหวตามการปลุกเร้า เสียงเตียงลั่นเอียดอาดทำให้นางเรียกสติที่เหลือน้อยนิด กัดบ่าเขาไปแรงๆ ทีหนึ่ง “โอ้ว! นี่เจ้าชอบแบบนี้เองหรือ?” “ที่นี่ไม่ได้!” นางร้องขึ้น “เตียงมันลั่นเสียงดังอย่างนี้ ประเดี๋ยวผู้คนทั้งโรงเตี้ยมก็แตกตื่นกันหมดหรอก!” ‘จะกังวลไปไย ทั้งโรงเตี้ยมนี้เขาเหมาไว้หมดแล้ว มีแค่เขากับนางและผู้ติดตามแค่ไม่กี่คนเท่านั้น’ หลัวหลิวหยางไม่ได้เอ่ยสิ่งที่คิดในใจ เขายิ้มเจ้าเล่ห์แล้วจับเรียวขางามให้แยกออกเกี่ยวเอวของเขาไว้ “ท่านจะทำอะไร! ไม่เข้าใจหรือว่าข้า! อ๊า!” จางฟางซินร้องเสียงหลงเมื่อสามีที่ยังไม่เข้าพิธีวิวาห์ของนางอุ้มนางทั้งที่สองขาของนางเกี่ยวเอวของเขาไว้ พละกำลังของเขามากล้น เขาอุ้มนางพร้อมสอดประสานแท่งหยกร้อนระอุเข้ามาในกายนาง ชายหนุ่มคำรามในลำคอ แก่นกายแห่งบุรุษเพศถูกช่องทางรักอ่อนนุ่มโอบรัดจนเขาต้องครางเสียงต่ำบรรเทาความเสียวซ่านที่เกิดขึ้น “ท่าน! ลึกเกินไปแล้วนะ!” นางกอดคอเขา สองขาเกี่ยวเอวเขาไว้แน่นเพราะกลัวตก แต่กระนั้นต้องยอมรับว่าช่