มีคู่ศัตรูคู่แข่งอยู่รอบด้าน เราต้องกำหนดกลยุทธ์ วางแผน โจมตี ตั้งรับ เพื่อชิงความได้เปรียบกับฝ่ายตรงข้าม ไม่เช่นนั้นเราก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ศาสตร์ทุกแขนงควรทำการศึกษาและนำมาประยุกต์ปรับใช้กับการทำงานเพื่อให้ผลสำเร็จเกิดขึ้นตามมา เจ้าชื่นชอบการอ่านตำราแต่อ่อนด้อยประสบการณ์ ยังไม่เข้าใจท่องแท้หรอกกระมัง”
ในน้ำเสียงนั้นคล้ายดูแคลนอยู่หลายส่วน แต่จางฟางซินกลับพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย นางยื่นมือไปรับน้ำชาอย่างระวังไม่ให้หกใส่ตำราพิชัยยุทธที่เขาให้นางหยิบยืมมาอ่าน
“ข้าก็เคยคิดอยู่ว่า กลยุทธการศึกเหล่านี้ หากศึกษาให้เข้าใจถึงแก่นแท้ เราย่อมสามารถปรับเปลี่ยนมาใช้ในชีวิตประจำวันได้”
“เช่น?”
“การค้าอย่างไรเล่า” นางยื่นหน้าไปหาเขา “หากเราจะทำการค้าก็ต้องเรียนรู้ว่าคู่แข่งเป็นใคร จุดเด่น จุดอ่อนคืออะไร ทำเลที่ตั้งของร้านก็เหมือนชัยภูมิในการทำศึก ท่านว่าข้าพูดถูกหรือไม่เล่า”
หลัวหลิวหยางหัวเราะในลำคอแล้วพยักหน้ารับ “เรื่องนี้ข้าเห็นด้วย”
“ลักษณะชัยภูมิสำหรับทำศึกมีส่วนสำคัญไม่น้อยไปกว่าการจัดกระบวนทัพ ความได้เปรียบเสียเปรียบขึ้นอยู่กับการสภาพภูมิประเทศ เปรียบได้กับการกำหนดพื้นที่ตั้งร้านค้า พื้นที่ดีย่อมหนุนนำให้กิจการไปในทิศทางที่ดี วันนี้ข้าจะได้เห็นชัยภูมิชายแดนตะวันออกด้วยตาตัวเองแล้ว”
นางอดมองไปทางหน้าต่างไม่ได้
ทั้งสองอยู่ในรถม้าหรูหรา หลัวหลิวหยางจำไม่ได้เลยว่าตนเองนั่งอยู่ในรถม้าเช่นนี้เมื่อไหร่กัน หากไม่เพราะเขาต้องการนั่งเป็นเพื่อนจางฟางซิน พานางไปดู ‘ชัยภูมิ’ ที่นางร้องขอ และเพราะเท้านางเจ็บและนางกลัวที่จะขี่ม้าเพียงคนเดียว เขาจึงยอมนั่งในรถม้ามาเป็นเพื่อนนาง แต่ว่ากันจริง เขาไม่เคยรู้ว่าตนเองมีรถม้าหรูหราเช่นนี้ด้วยซ้ำ ปกติเขามีเพียงอาชาคู่ใจจึงไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ และที่สำคัญที่สุด การนั่งคุยกับนางก็ไม่ได้น่าเบื่อนัก
รถม้าหยุดเมื่อถึงที่หมายแล้ว หลัวหลิวหยางที่เอกเขนกอยู่ขยับกายด้วยท่าทีเกียจคร้านทำเอาจางฟานซินจ้องมองอย่างประหลาดใจ
“ทำไมรึ” เขาเอ่ยถามพลางเคลื่อนกายลงจากรถไปก่อนแล้วหมุนตัวมารอนางที่ค่อยๆ ขยับเท้าที่เจ็บมาที่ทางรถลง
“ข้าคิดว่าสีหน้าท่านคงมีสีหน้าเดียว”
นางหลุบตามองความสูงของรถม้าและพื้นดิน ตอนที่ขึ้นรถม้ามามีเสี่ยวจิ้งช่วยพยุง แรกทีเดียวนางเข้าใจว่าหลัวหลิวหยางจะควบม้าแยกไปต่างหาก ไม่คิดว่าเขาจะพลิกกายเข้ามานั่งรถม้าเดียวกับนางและขับไล่มิให้สาวใช้ติดตามมาด้วย
“ข้าก็เป็นเช่นคนทั่วไป” เขาไหวไหล่เล็กน้อย ยื่นมือไปตรงหน้า “มาสิ”
ท่าทางของเขาทำเหมือนนางเป็นสหายผู้หนึ่ง จางฟางซินฝืนสงบใจให้นิ่ง เป็นนางที่หลงใหลชื่นชมเขาอยู่ฝ่ายเดียวจะให้เขามีปฏิกิริยาต่อนางเป็นอื่นได้อย่างไร แค่เขาไม่ผลักไสนางก็นับว่าดีมากแล้ว คิดได้ดังนั้นแล้ว นางจึงค่อยๆ ขยับตัวช้าๆ วางมือลงบนใหญ่ของเขา ไม่รู้ว่านางชักช้าไม่ทันใจเขาหรือไร มือเล็กของจางฟานซินถูกดึงไปให้โอบลำคอของเขา ร่างของนางผวาเข้าไปในแผ่นอกแกร่ง ยังไม่ทันกะพริบตาร่างของนางก็ถูกเขาอุ้มไว้เรียบร้อยแล้ว
“เอ่อ...”
“เท้าของเจ้าเจ็บ” หลัวหลิวหยางอุ้มนางเดินออกมา ไม่ได้สนใจสายตาของทหารที่ติดตามเขามาด้วย ทุกคนต่างอ้าปากค้างไม่คิดว่าแม่ทัพที่ชื่อเสียงโหดเหี้ยมจะใส่ใจสตรีผู้หนึ่งถึงเพียงนี้
“ท่านจำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้?” นางถามเขาเสียงเบา ลอบกวาดตามองเห็นอาการแตกตื่นของบรรดาทหารที่ติดตามมาด้วยแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ “หนึ่งในกลยุทธ์การศึกคือหลอกผู้อื่นให้ตายใจ แต่ถ้าผู้อื่นเข้าใจไปว่าท่านใส่ใจข้านัก เช่นนี้ข้าจะไม่ได้รับอันตรายหรือ? หากท่านลืมข้าขอย้ำท่านอีกครั้งข้าไร้วรยุทธ์”
ร่างกายของหญิงสาวผ่อนคลายลงแล้วเอนหน้าลงซบกับซอกคอของเขา ลมหายใจยามเอื้อยเอ่ยถ้อยคำคลอเคลียผิวกายที่พ้นอาภรณ์สีดำของเขา เป็นเช่นที่นางกล่าวมา เขาจงใจให้ผู้อื่นเข้าใจไปว่าเขาหลงใหลสตรี ไม่เข้าค่ายทหาร ไม่ฝึกซ้อม ละเลยการลาดตระเวน เพื่อที่จะได้จับตาดูความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม รู้แจ้งแก่ใจว่านี่เป็นเพียงละครตบตาผู้อื่น ทว่าหัวใจของเขากลับหวิบไหวแปลกๆ ชอบกล หรือเขาจะห่างเหินสตรีมากเกินไป ถึงได้รู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้
ถ้าเขาอยากอุ้มนางก็ตามใจเถิด นางไม่ใช่แบกรับน้ำหนักเสียหน่อยไม่เดือดร้อนอันใด อาจจะเรียกว่าได้กำไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้ใกล้ชิดบุรุษที่ตนแอบชอบก็ได้ คิดถึงตรงนี้นางก็ซุกซ่อนใบหน้ากับเสื้อของเขาเพื่อกลั้นเสียงหัวเราะจนไหล่สั่น ถ้าวิญญาณทั้งพ่อท่านแม่ตลอดจนพ่อบุญธรรมและน้องชายเจ้าสำอางล่วงรู้ความคิดของนาง พวกเขาจะมีสีหน้าอย่างไรหนอ
ร่างบอบบางสั่นไหวเล็กน้อยเรียกชายหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์ เขาโอบกระชับนางแน่นขึ้นเข้าใจไปว่านางหนาวสั่นเพราะต้องลมเย็น
“นี่คือแม่น้ำดุจดารา น้ำที่นี่เย็นยะเยือกตลอดทั้งปี”
“เป็นแม่น้ำที่เกิดจากการละลายของหิมะบนยอดเขา” นางรีบพูดขึ้นสีหน้าตื่นเต้น
“เจ้าอ่านตำรามามากจริงๆ” เขาเผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว
“อ่านมากก็มิสู้เห็นด้วยสองตาของตน” นางตบแผ่นอกของเขาสองสามที “ข้าอยากสัมผัสน้ำในแมน้ำได้ไหม?”
“น้ำเย็นมาก เจ้าจะไม่สบายเอา” พูดเช่นนั้นแต่ยอมอุ้มนางไปริมตลิ่ง มีโขดหินที่พอนั่งได้ เขาจึงพานางไปนั่งที่ตรงนั้น
เพราะเท้าที่เจ็บมีผ้าพันรอบข้อเท้า นางจึงใส่รองเท้าเพียงข้างเดียว เมื่อเขาวางนางนั่งลงแล้ว นางจึงรีบชักเท้าไม่ให้เขาแตะเท้าที่สวมรองเท้าข้างเดียวอยู่ จางฟางซินไม่ต้องการให้เขาดูแลนางมากเกินไป นางไม่ได้ห่วงเรื่องชื่อเสียงของตน แต่นางกลัวใจตัวเอง นางชอบเขาฝ่ายเดียวเป็นเรื่องที่นางยอมรับได้ แต่นางกลัวใจตนจะหวั่นไหวคิดเกินเลยมากเกินไป ยามเมื่อต้องจากไป คงเป็นนางที่ต้องทนปวดใจเพียงลำพัง
หลัวหลิวหยางทำเป็นไม่เห็นปฏิกิริยาของนาง เขานั่งข้างๆ ถอดร้องเท้าถุงเท้าของตนออกแล้วม้วนขากางเกงขึ้น
“แม่น้ำสายนี้หล่อเลี้ยงคนสองแคว้น ที่เรียกแม่น้ำดุจดาราเพราะยามแสงอาทิตย์กระทบผิวน้ำจะสะท้อนประกายระยิบระยับราวดับดาวดาวพราวแสง” เขานิ่งไปครู่หนึ่ง “เจ้าคงอ่านมาแล้วเช่นกัน”
นางแย้มยิ้มแล้วพยายามยื่นปลายเท้าที่ไม่เจ็บแตะผิวน้ำ
“ทำเช่นนั้นเจ้าจะไถลตกน้ำลงมาได้ และอาจจะได้เจ็บเท้าสองข้างเท่าเทียมกัน”
“แล้วจะให้ข้าทำเช่นไรเล่า” นางยื่นปากย่นจมูกใส่เขา แต่คำตอบของเขาคือการเดินมาอุ้มนางอีกครั้ง
“กอดคอข้าแน่นๆ ข้าจะพาไปริมแม่น้ำ” เขาอุ้มนางเดินลงไปที่แม่น้ำแล้วโน้มตัวลงให้นางได้ยื่นมือสัมผัสน้ำในแม่น้ำที่ไหลผ่าน นิ้วมือเรียวงามยื่นลงไปในน้ำ กระแสน้ำไหลเย็นเยียบทั้งที่ปลายฤดูใบไม้ผลิ ใบหน้าระบายยิ้มกว้าง
“แม่น้ำสายนี้ มีบางช่วงที่ลึกมาก และกระแสน้ำไหลค่อนข้างแรง เจ้าไม่ควรมาที่นี่ตามลำพัง”
“ท่านพูดเหมือนข้าสามารถมาเองได้” นางหัวเราะคิกคักแล้วเก็บมือของตนขึ้นจากน้ำ “ขอบคุณมาก”
“พอใจแล้วหรือ”
“อืม” นางพยักหน้า แต่เขากลับหัวเราะออกมา
“เจ้านี่คงจะทำให้ท่านอาจารย์หยางปวดหัวน่าดู”
“ข้าเป็นลูกสาวที่ดีและเป็นลูกศิษย์ที่ใฝ่รู้” นางโอ้อวดตนเองอย่างเต็มภาคภูมิ “จะว่าไป ข้าเรียกท่านแม่ทัพว่าศิษย์พี่ก็ได้สินะ”
แม่ทัพหนุ่มหัวเราะออกมา เขาอุ้มร่างบอบบางกลับมานั่งที่โขดหิน เขาปรายตามองทหารยามที่ยืนรักษาความปลอดภัยอยู่ห่างๆ ร่างสูงขยับกายมานั่งเคียงข้าง ไหล่แนบชิด มองไกลๆ จึงเหมือนหนุ่มสาวเอนกายพิงกัน
“จวิ้นอ๋องสงสัยในตัวข้าหรือไม่” นางถามแต่สายตาชื่นชมความงามเบื้องหน้า
“เขาเป็นคนขี้ระแวงย่อมสงสัยเป็นธรรมดา” เขาจับมือของนางมากุมไว้ เมื่อครู่นางแช่มือในน้ำเย็น ทำให้มือของนางค่อนข้างเย็น
“ท่านเคยสงสัยในตัวจวิ้นอ๋องหรือไม่” นางถามรู้สึกสบายจนเผลอเอนตัวไปพิงไหล่ของเขา “ตามจริงแล้ว เรื่องในวังหลวงข้าก็ไม่ล่วงรู้ลึกตื้นหนาบางของผู้อื่นนัก”“แต่เจ้าเชื่อใจองค์รัชทายาท ยอมเดินทางเสี่ยงภัยมาหาข้า”“เพราะท่านมีภัย ข้าจึงรีบมา”“เจ้าไม่ได้รู้จักข้าด้วยซ้ำ” “ท่านกล่าวผิดแล้ว ท่านไม่รู้จักข้าแต่ข้ารู้จักท่าน” นางหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย “ท่านน่าจะให้ข้าพาเปาเป่ามาด้วย” “คนขาเจ็บกับแมวขาพิการ”“ท่านแม่ทัพดูถูกข้าหรือ?” “ข้าพูดความจริงต่างหาก” เขาหัวเราะในลำคอ แต่เมื่อมองเลยไปยังป่าทึบดวงตาของเขามีพลันฉายแววแข็งกร้าวขึ้นมา “มีเรื่องใดหรือ?” นางถามเพราะรู้สึกว่าร่างกายที่นางพิงอยู่มีอาการตื่นตัว“ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวล” เขาพูดเก็บสายตากลับมา นางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมเข้ม ดวงตาของเขาคมปลาบต่อให้ไม่ต้องลงมือแค่ใช้สายตาจ้องมองก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้ แต่นางกลับรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดในสายตาคู่นั้นจนไม่อาจถอนสายตาได้เลย ทว่าอาการนิ่งงันไปของจางฟางซินทำให้หลัวหลิวหยางเข้าใจผิด เขาเบือนหน้าไปสบถอย่างหงุดหงิด อย่างไรนางก็เป็นหญิง จะไม่ให้หวาดกลัวยามเขาเผลอใช้สายตากดดันผู้อื
เดินหมากกับนางช่างน่าปวดหัว เขาเผลอวางเม็ดหมากไม่ระวัง กว่าจะรู้ตัวก็เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของนางก่อนที่นางจะวางหมากขาวชิงพื้นที่ในกระดานแล้ว แม้ไม่ได้เอ่ยวาจาแต่ก็รู้แล้วว่าหมากกระดานชัยชนะเป็นของผู้ใด‘ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ออมมือ’ นางยังคงระบายยิ้มเกลือนใบหน้า‘อีกกระดานเถิด’‘ไม่ดีกระมัง’ คราวนี้นางหน้ามุ่ย ‘ท่านแม่ทัพมีร่างกายแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า แต่ข้าเป็นเพียงสตรีบอบบางซ้ำขาเจ็บและมีแมวขาเป๋อยู่บนตัก ให้ข้าพักผ่อนเถิดนะ’‘ข้าก็ลืมไปว่าเจ้าเปราะบางเสียนี่กระไร ขนาดอยู่ในรถม้าที่ตีลังกาหลายตลบยังรอดตายได้’นางอ้าปากค้างไม่คิดว่าแม่ทัพใหญ่ที่นางชื่นชมจะกล้าประชดประชันนางเช่นนี้ เขาเห็นนางเถียงไม่ออกก็หัวเราะชอบใจนางควรบอกเขาดีหรือไม่ ขอเพียงเขายิ้มสักเล็กน้อย หัวเราะมากขึ้นอีกนิด เขาจะเป็นบุรุษที่สตรีเฝ้าคะนึงหา อาจเพราะชื่อเสียงดวงกินภรรยาของเขา และความเด็ดขาดในฐานะแม่ทัพพิทักษ์บูรพาทำให้คนหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้“เป็นอะไรไป” หลัวหลิวหยางเอ่ยถามเมื่อเห็นนางมองเขาด้วยสายตาเหม่อลอย“ข้ากำลังชื่นชมท่านอยู่” นางตอบไปอย่างที่คิด นางก็เป็นเช่นนี้พูดจาตรงไปตรงมาไม่ค่อยสำรวมนัก อาจเพราะค
“หลี่ไป๋” หลัวหลิวหยางย่อมเคยได้ยินชื่อกวีเลื่องชื่อ แต่เขาไม่ใช่บุรุษที่ชอบอ่านกลอนเขียนกวี จึงไม่ได้ใส่ใจแม้จะเคยอ่านผ่านตามาบ้าง“แต่ที่สำคัญกว่าคือท่านแม่ทัพหลัวชื่นชอบสุรานี้เช่นกัน” นางเอ่ยเสียงเบาด้วยท่าทีเขินอาย “พี่หลิวหยางขอข้าชิมสุราในจอกท่านสักนิดได้หรือไม่” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย นางเรียกเขาว่า ‘พี่’“พี่หลิวหยางก็รู้ว่าท่านพ่อมิให้ข้าชิมสุรา ทุกครั้งที่ท่านมาเยี่ยมเยือนท่านพ่อก็ชอบหิ้วสุราดีมาเสมอ ข้าทำได้แค่ดมกลิ่นเท่านั้น ข้าอยากรู้ว่ารสชาติที่พี่หลิวหยางชื่นชอบเป็นเช่นไร”นางออดอ้อนอย่างน่ารัก ทำให้เขาเผลอใจยื่นจอกสุราของตนให้นาง“สุรารสแรง เจ้าจิบเล็กน้อยก็พอ”“ขอบคุณพี่หลิวหยาง” นางยื่นมือมารับจอกสุราของเขา ดมกลิ่นสุราแล้วจิบเล็กน้อย สุรารสแรงแต่ละมุนลิ้นทำให้ใบหน้าของนางแดงระเรือขึ้นมา “พอแล้ว” เขาแย่งจอกสุรากลับคืน“พี่หลิวหยางอย่าฟ้องพ่อบุญธรรมนะ” “ข้ารู้” นางทำท่ามึนศีรษะเอนกายไปทางเขาแล้วกระซิบ “สุราไม่มีพิษ”หลัวหลิวหยางลอบถอนหายใจ นางห่วงเขาแต่ไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้ แต่ความเป็นห่วงของนางทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว แต่ก่อนมีแต่เขาที่ต้องคอยปกป้องดูแลผู
“มีเรื่องเล่าเช่นนี้ด้วย” จางฟางซินถอดถอนใจจากเรื่องราวที่ได้ยิน นางลอบมองหลัวหลิวหยางที่ยกสุราขึ้นดื่ม“เหตุใดพี่หลิวหยางไม่เล่าให้ข้ารู้บ้าง”“ข้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้” เขาตอบ “เป็นแค่นิทานเล่าขานของคนที่นี้” อวี้หมี่พูดด้วยรอยยิ้มจางฟางซินแปลกใจที่เห็นเขาดื่มสุรามากขึ้น ระหว่างที่อยู่ที่จวน นางไม่เห็นเขาดื่มสุรา นางคาดเดาได้ว่าเขาคงคอแข็งไม่น้อย แต่เห็นเขามอมตัวเองเช่นนี้ นางไม่เข้าใจ นางเผลอยกมือขึ้นนวดขมับ แม้หลัวหลิว หยางไม่ได้มองนางตรงๆ แต่ทุกการเคลื่อนไหวของนางอยู่ในสายตาของเขา ชายหนุ่มจึงยื่นมือไปจับมือที่กำลังนวดขมับอยู่“ไม่สบายรึ? ปวดหัวหรือ?”นางไม่ตอบแต่กัดริมฝีปากครุ่นคิด ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการไปจากที่นี้หรือต้องการให้นางไปกันแน่ เพราะดูเหมือนสายตาของเขาจะอยู่ที่หญิงงามอวี้หมี่ “แม่นางจางไม่สบายรึ” โม่โฉวถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ตามหมอดีหรือไม่”“หม่อมฉันอยากพักผ่อน ต้องขอโทษที่ทำให้ทุกท่านหมดสนุกเพคะ”“แม่นางจางอย่าได้กล่าวเช่นนั้น” โม่โฉวโบกมือไปมา “เจ้าเองยังไม่หายดี เป็นข้าที่เอาแต่ใจฝืนใจให้เจ้ามาชิมชาชมบุบผาเช่นนี้”“กระหม่อมขอพาฟางซินกลับก่อน โอกาสหน้
“หากท่านไม่รีบลงมือ ผู้อื่นอาจช่วงชิงนางไปก็ได้” “ใครกล้า!” เขาเผลอทุบโต๊ะอย่างแรงเสียงดังปัง! บ่าวรับใช้ที่รอด้านนอกได้ยินจนสะดุ้งตัวสั่น “ข้าแค่กล่าวเตือนท่าน หากท่านหวงแหนนางถึงเพียงนี้ก็รีบทำในสิ่งที่ควรทำเถิด” “ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน!” “ท่านหมอมาตรวจแผลให้นาง อยู่ที่เรือนของนางนั้นแหละ” แม่นมเหมยกุ้ยเบี่ยงกายเล็กน้อยให้หลัวหลิวหยางที่ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวยาวๆ ออกไปไม่สนใจนางเลยสักนิด แม่นมได้แต่ส่ายหน้าไปมา ถ้านางไม่กระตุ้นเช่นนี้ เห็นทีว่าแม่ทัพหนุ่มผู้นี้อาจทำให้สตรีในดวงใจหลุดมือไป จางฟางซินวาดเท้าลงบนพื้น ผ้าที่เคยพันรอบข้อเท้าไม่แน่นหนาเช่นแต่ก่อน นางสูดลมหายใจลึกก่อนค่อยยันกายขึ้นยืนโดยมีเสี่ยวจิ้งคอยประคอง แม้เจ็บแปลบอยู่บ้างแต่นางก็สามารถยืนได้แล้ว “ดีจริง ยืนได้แล้ว” นางยิ้มกว้างแล้วหันมาทางหมอทหารที่แวะเวียนมาดูอาการให้นางวันเว้นวันตามคำสั่งของแม่ทัพหลัว “ฝีมือรักษาของท่านยอดเยี่ยมจริงๆ ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ ” ถูกกล่าวชมต่อหน้าเช่นนี้ แม้จะอายุสี่สิบแล้วก็ร
“ไม่นะ!” นางยื้อมือของเขาไม่ให้ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออก ใบหน้าร้อนผ่าวกลายเป็นสีแดงจัด แต่มือของเขากลายเป็นหนวดปลาหมึกยุบยับบนตัวนาง หญิงสาวพยายามปัดป้องพลิกตัวหนีแต่ทำไม่ได้เลย หลัวหลิวหยางกดร่างเล็กลงบนเตียง ตรึงข้อมือไว้เหนือศีรษะของนาง เขายิ้มเจ้าเล่ห์ โน้มหน้าลงใกล้ริมฝีปากช่างเจรจา ทว่าหางตารับรู้การเคลื่อนไหวที่กระโจนใส่ เขาผงะร่างไปด้านหลังพลิกตัวหลบอย่างฉิวเฉียด เจ้าแมวป่าขาเป๋กระโดดเข้าใส่ มันยืนขู่ฟ่อตัวพองบนร่างของจางฟางซิน “เปาเป่า!” เจ้าแมวป่ากลายเป็นแมวบ้านครางเหมียวๆ ฟังน่าเอ็นดูหมุนตัวมาคลอเคลียหญิงสาวอย่างเอาใจ “เจ้าแมวเนรคุณ!” เขาสบถใส่ “ข้าคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเจ้านะ!” “ท่านแม่ทัพ” นางยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ตาเขา “ข้าเคยอ่านตำรามาว่าสัตว์มีสัญชาตญาณรู้ว่าผู้ใดดีกับมัน เจ้าเปาเป่ายอมรู้ว่าข้ารักมันมากที่สุด จึงมาปกป้องข้าเช่นนี้” แม่ทัพหนุ่มไม่คิดว่าตนเองต้องมาทะเลาะกับแมวขาเป๋ตัวหนึ่ง เจ้าแมวก็ทำเฉยชาไม่สนใจเขาเลยสักนิด แต่ไหนแต่ไรมันก็ไม่เคยสนใจผู้ใดอยู่แล้ว เหตุใดเขาจึงโง่นักที่เล
จางฟางซิน บุตรสาวเสนาบดีตกอับสกุลจาง ในยุคสมัยที่ตระกูลจางยังรุ่งเรื่อง บิดามีภรรยาสองคนทั้งสองเป็นพี่น้องกันตกลงปลงใจใช้สามีร่วมกัน บิดามีบุตรเพียงสองคนคือจางฟางซิน และจางฟางหรง น้องที่เกิดหลังนางแค่ครึ่งชั่วยาม มารดาของนางจากไปตั้งแต่วันที่นางถือกำเนิด หลังจากนั้นสามปีภรรยาอีกคนก็จากไป บิดาเศร้าโศกเสียใจจนร่างกายเจ็บป่วย ก่อนจะสิ้นใจบิดาได้ฝากฝั่งจางฟางซินและจางฟางหรงให้สหายรักช่วยดูแลพร้อมทรัพย์สินก้อนสุดท้ายที่เหลือน้อยนิด จางฟางซินในวัยสิบสองจูงมือจางฟางหรงมายังสำนักศึกษาไผ่หยก ภายใต้การดูแลของสหายรักของบิดานามหยางอี้เสียง และด้วยความสงสารเวทนาจึงรับบุตรของสหายเป็นบุตรบุญธรรมชีวิตของจางฟานซินจึงเริ่มต้นใหม่ที่นี่ จนกระทั้งวันที่นางอายุสิบเจ็ด ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปตลอดกาล....นางไม่อยากเชื่อเลย อีกเพียงไม่กี่ลี้นางจะไปถึงที่หมายแล้วแท้ๆ เหตุใดถึงถูกตามไล่ล่าอย่างไร้หนทางเช่นนี้ จางฟางซินเคยอ่านเรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับชายแดนตะวันออก นางศึกษาทุกอย่างจนมั่นใจว่าตัวเองเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างดียิ่ง ทว่านางไม่คิดว่า การลอบเดินทางที่ใช้เวลาครึ่งเดือนนี้จะมาจบลงที่รถม
เสียงครางด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น เรียกสติของแม่ทัพหนุ่มวัยยี่สิบหกให้หันไปมอง เขาหมุนตัวเดินไปก้มมอง แขนซ้ายมีรอยบาดเป็นทางยาว ดูแล้วไม่น่าจะลึกแต่เลือดไหลออกมามาก แต่ส่วนที่น่าจะเจ็บที่สุด น่าจะเป็นข้อเท้าขวาของนาง“แม่นมเหมยกุ้ยมาแล้วขอรับ”“ท่านแม่ทัพ”แม่นมเหมยกุ้ยเป็นสตรีวัยสี่สิบสองที่ท่านแม่ทัพให้ความเคารพดุจญาติผู้ใหญ่ นางยกชายกระโปรงก้าวเร็วๆ เข้าไปหา พอเห็นสภาพคนที่นอนหมดสติบนเตียงก็อุทานออกมา“รบกวนแม่นมแล้ว”“ได้ๆ ทางนี้ข้าจัดการเอง” นางรับคำอย่างรู้หน้าที่ “เด็กๆ ไปยกน้ำอุ่นมา ผ้าสะอาดด้วย ห้ามผู้ชายเข้าใกล้ และขอเชิญท่านมาทางนี้เจ้าค่ะ”แม่นมเหมยกุ้ยสั่งการรวดเร็ว หลัวหลิวหยางถอนหายใจเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินออกมา เพียงยกเท้าพ้นธรณีประตู เสียงแม่นมก็ดังไล่หลังมาทันที“ข้าสั่งคนเตรียมน้ำอุ่นให้ท่านแม่ทัพแล้ว ท่านควรผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วนะเจ้าค่ะ”“ข้าทราบแล้ว”มุมปากของหลัวหลิวหยางยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่เพราะใบหน้าดุดันอยู่เป็นนิจจึงแทบไม่เห็นรอยยิ้มนั้น ในจวนแห่งนี้มีสตรีน้อยมาก บ่าวไพร่ที่เป็นหญิงล้วนมีแม่นมเหมยกุ้ยคัดเลือกเข้ามาทำงาน เขาจึงวางใจเรื่องเหล่านี้บ้าง รวมทั้ง