เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาเคยเขียนจดหมายไร้สาระเล่าให้จางฟางหรงฟังว่าจับแมวป่าได้ แมวป่ามีมูลค่า หนังของมันเป็นที่ต้องการ แต่เปาเป่าตัวเล็กนัก แม่ของมันรวมทั้งพี่น้องมันอยู่ที่ใด ตอนนั้นเขาไม่คิดว่าจะเลี้ยงมัน แต่ไม่รู้นึกอย่างไรหิ้วแมวป่ากลับมาโยนให้แม่นมช่วยดูแล มันเป็นแมวป่าแต่ถูกคนเอาใจใส่ดูแล ความดุร้ายจึงลดลง เป็นจังหวะเดียวกับที่ ‘จางฟางหรง’ ตอบจดหมายและขอความเมตตาจากเขาให้เลี้ยงมัน พร้อมทั้งแนะนำให้เขาหานมแพะมาป้อนมันอีกด้วย เขาไม่เคยตอบ ‘จางฟางหรง’ ว่าเขาตัดสินใจเลี้ยงมันไว้ จนเวลานี้ ‘จางฟางซิน’ ได้มาพบกับมันด้วยตนเอง
จางฟางซินพยักหน้า แล้วก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อหลัวหลิวหยางหิ้วหนังคอเจ้าแมวป่าออกจากอกของนาง ยื่นแมวยักษ์ไปทางหูซานให้อุ้มแมวไว้ แล้วเขาก็อุ้มนางขึ้นจากพื้น
“ท่าน!”
“เจ้าอยู่นิ่งๆ ในห้องไม่ได้สินะ” เขาหัวเราะในลำคออุ้มนางมานั่งที่เก้าอี้กลมที่ศาลาหกเหลี่ยม
“อุดอู้อยู่ในห้องมาสี่ห้าวันแล้ว ข้าอยากออกมารับแสงแดดบ้าง” นางอาศัยจังหวะที่เขาอยู่ใกล้นาง กระซิบบอกเขา “ข้าอยากเห็นพื้นที่ ภูมิประเทศและผู้คน ข้ามาถึงหลายวันแล้ว ให้ข้าช่วยงานท่านบ้างเถิด”
เพื่อไม่ให้ผู้อื่นได้ยิน เขายื่นริมฝีปากไปใกล้ริมหูนางแล้วพูด “อย่ารีบร้อนนัก”
“ท่านไม่รีบแต่ข้ารีบ” นางหันมาพูดกับเขา แล้วต้องชะงักไปเมื่อปลายจมูกของทั้งสองสัมผัสกันอย่างไม่ตั้งใจ
หูซานที่อุ้มแมวป่าอยู่ถึงกับยืนตะลึง ส่วนเสี่ยวจิ้งอุทานเบาๆ แล้วรีบยกมือขึ้นปิดปาก ใครกันหนอกล่าวหาว่าท่านแม่ทัพพิทักษ์บูรพานิยมชื่นชมชอบบุรุษด้วย เห็นชัดเช่นนี้แล้ว ไม่มีทางเป็นอย่างข่าวลือแน่ๆ
“เห็นชัดว่าข้าทิ้งเจ้าห่างสายตาไม่ได้เลยจริงๆ” เขาขยับตัวออกห่าง แต่กลิ่นกายของนางยังวนเวียนอยู่ปลายจมูกชวนให้สูดดม
“ข้าคงไม่ใช่คนที่เกิดมาเพื่อเชื่อฟังคำสั่งใครกระมัง” หญิงสาวทำปากยื่น นึกถึงไม้เท้าที่เขาส่งมาให้ “ด้วยของขวัญที่ท่านมอบให้ เห็นได้ชัดเช่นกันว่ามันเหมาะกับข้ายิ่ง”
“เพราะข้ารู้ว่า ถ้าข้าไม่หามาให้ เจ้าก็ต้องหาวิธีลุกขึ้นเดินเองจนได้”
“ขอโทษด้วย”
“สีหน้าเจ้าไม่มีความสำนึกผิดเลยสักนิด”
คราวนี้นางหัวเราะออกมา “ข้าอยากเห็นแปลงนาเชิงเขา”
“ได้”
“ข้าอยากเห็นผืนป่าที่น่ากลัวนักหนา”
“ได้”
“ข้าอยากเห็นตลาดค้าม้า ได้ยินว่าม้าที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นม้าที่แข็งแรงและงามสง่ายิ่ง”
“ได้”
“ข้าอยาก...”
“ได้ทุกอย่างที่เจ้าต้องการ” เขารีบพูดขึ้น แต่นางกลับขมวดคิ้ว เขารับปากง่ายเช่นนี้คงมีข้อแลกเปลี่ยนอย่างอื่นสินะ แววตาของนางบ่งบอกสิ่งที่นางคิดทำให้เขาหัวเราะในลำคอ ยื่นมือไปใช้ปลายนิ้วดีดกลางนางผากนางเบาๆ
“ห้ามหนีไปเอง เจ้าจะไปที่ใด ข้าจะไปด้วย”
“ได้ ข้ารับปากท่าน” นางพยักหน้ารับ “แต่ข้าขอเปาเป่าได้ไหม”
หลัวหลัวหยางปรายตาไปทางหูซาน ทหารคนสนิทอุ้มแมวป่ามาส่งให้ นางยื่นมือไปรับแต่หลัวหลิวหยางรับไว้แทน เขาเกาคางมันแล้วพูดขึ้น
“ตอนนั้นขามันก็บาดเจ็บ ดื้อรั้นไม่ยอมอยู่เฉย แผลสมานตัวช้ามากจนทำให้ทุกวันนี้มันเป็นแมวพิการขากะเผลก ด้วยเหตุนี้มันจึงค่อนข้างเชื่องเมื่ออยู่กับข้า แต่กับเจ้าเพิ่งพบกันอย่างไรก็ต้องระวังมันหน่อย”
“ข้ารู้ๆ” นางรีบรับปาก ยื่นมือไปรับแมวป่ามาอุ้มไว้แนบอก ตามที่เขาเคยเขียนเล่ามา เขาไม่ได้บอก ‘จางฟางหรง’ ว่าตัดสินใจเลี้ยงแมวป่าตัวนั้นหรือไม่ นางไม่กล้าเซ้าซี้เพราะเกรงว่าเขาจะจับพิรุจได้ แต่พอได้เห็นแมวป่าขาเป๋ นางก็อดดีใจไม่ได้ บางครั้งมันก็แค่เรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นเรื่องที่รู้แค่ระหว่างเขากับนาง มันทำให้นางรู้สึกเป็นคนพิเศษ แตกต่างจากผู้อื่น แม้ว่านางอาจคิดไปเองฝ่ายเดียวก็ได้
“อ๊ะ!” นางร้องขึ้นอย่างเพิ่งนึกได้
“มีอะไรรึ”
“ใบหน้าของข้า” นางชี้นิ้วที่หน้าตัวเอง “แย่มากใช่ไหม”
หลัวหลิวหยางส่ายหน้า “เจ้ามีแผลบ้าง ก็เท่านั้นเอง”
“แย่แค่ไหน ตาของข้าเขียวช้ำหรือเปล่า”
แม่ทัพหนุ่มลังเล “ไม่เชิงนัก”
“หมายความว่าอย่างไร”
“จริงๆ แล้ว มันดูเป็นสีม่วงมากกว่า” หลัวหลิวหยางยอมรับพร้อมกับแย้มยิ้ม “คิดว่า…”
“มีอะไรอีกไหมเจ้าคะ”
“มีแผลเล็กๆ สองสามแผล แต่ไม่มีอันไหนที่จะกลายเป็นแผลเป็น และอืม...ริมฝีปากล่างเจ่อนิดหน่อย”
เขาทำท่าเหมือนจะพูดต่อแต่เกรงใจคนฟังอย่างนาง
“แล้ว?”
หลัวหลิวหยางทำท่าเหมือนยักไหล่เป็นเชิงบอกว่า นางไม่รู้จะดีกว่า
“ว่าอย่างไร” นางคาดคั้น
หลัวหลิวหยางแตะนิ้วบนแก้มเนียนของหญิงสาว ลากนิ้วปลายนิ้วบนใบหน้างาม แท้จริงรอยฟอกช้ำจางหายไปมาก นี่นางคิดว่าเขาไม่พานางออกไปไหนเพราะว่าใบหน้าของนางเต็มไปด้วยบาดแผลสินะ
ปลายนิ้วที่ไล้เนียนแก้มทำให้นางรู้สึกประหม่า อยากขยับตัวถอยห่างแต่ก็ทำไม่ได้ หรือบางที นางอาจไม่อยากห่างจากเขาเอง
บุรุษที่ก้าวเข้ามาใหม่เห็นภาพชายหนุ่มหญิงสาวใกล้ชิดสนิทสนม จะเรียกว่าประหลาดใจก็ย่อมได้ แต่ที่ประหลาดใจก็คือบุรุษผู้นั้นคือแม่ทัพหลัวหลิวหยางผู้ได้ชื่อว่ามีดวงกินภรรยาและตลอดเวลาสองปีที่มาประจำชายแดนตะวันออก เขาไม่เคยข้องเกี่ยวกับสตรีนางใด ภาพที่เห็นเบื้องหน้าจึงนับว่ายากจะได้พบเห็นนัก
หูซานขยับตัวเมื่อหันไปมองจึงรู้ว่าเป็น ‘โม่โฉว’ อนุชาของฮ่องเต้แคว้นเหยี่ยน ที่มักมาพบปะกับท่านแม่ทัพอยู่บ่อยครั้ง
“คารวะจวิ้นอ๋อง”
โม่โฉวคลี่พัดโบกไปมาแล้วหัวเราะขึ้น “ไม่คิดว่าจะได้เห็นแม่ทัพหลัวทะนุถนอมสตรีเช่นนี้”
จางฟางซินได้สติหลุบตาลงวางท่าทางสงบเสงี่ยม นางเข้าใจไปว่าท่านแม่ทัพผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง คงล่วงรู้ว่ามีคนเข้ามาจึงแสร้งทำสนิทสนมกับนาง หลัวหลิวหยางเก็บมือของตนอย่างนึกเสียดาย เขาปั้นสีหน้าขรึมลุกขึ้นประสานมือคารวะ
“ไม่รู้ว่าท่านอ๋องเสด็จมาจึงไม่ได้ต้อนรับ”
“พูดจาเป็นคนอื่นคนไกลเสียจริง” โม่โฉวหัวเราะแล้วมองเลยไปยังสตรีที่ยังนั่งอยู่
“นางคือจางฟางซิน เท้าของนางได้รับบาดเจ็บไม่อาจลุกขึ้นคารวะท่านอ๋องได้ โปรดอย่าได้ถือสานาง”
“บาดเจ็บรึ” โม่โฉวขมวดคิ้ว “หรือว่าเป็นรถม้าที่ถูกโจรปล้นเมื่อหลายวันกัน”
“ถูกต้อง บังเอิญกระหม่อมผ่านไปช่วยได้ทันเวลา นางจึงบาดเจ็บเล็กน้อย”
“โจรป่าเหล่านี้เหิมเกริมยิ่ง” โม่โฉวบ่นด้วยเสียงหงุดหงิด “หวังว่าแม่นางฟางจะไม่เป็นอะไรมาก”
“เพคะ”
นางตอบเก็บถ้อยคำตนเองให้มากที่สุด แสดงท่าทางประหม่าและหวั่นวิตกออกมา แม้นางไม่ใช่สตรีงดงามแต่เมื่อทำเช่นนี้ย่อมดูน่าเวทนาสงสารนัก และเป็นไปตามที่จางฟางซินต้องการ โม่โฉวไม่เอ่ยถามอะไรอีก หลัวหลิวหยางเอ่ยปากชวนจวิ้นอ๋องไปที่ห้องอักษรให้จางฟางซินได้พักผ่อน จางฟางซินเห็นเขาปรายตามองทางนางเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไป
หญิงสาวได้แต่มองแผ่นหลัง ‘โม่โฉว’ หรือจวิ้นอ๋องแห่งแคว้น เหยี่ยน คนผู้นี้คือคนที่องค์รัชทายาทสั่งนางให้เตือนหลัวหลิวหยางให้ระวังตัว นางเองก็อยากรู้ว่าภายใต้ท่าทีขี้เล่นและแสดงท่าสนิทสนมนั้น ซ่อนมีดคมกริบไว้จริงหรือไม่
"การชนะร้อยทั้งร้อยมิใช่วิธีการอันประเสริฐแท้ แต่ชนะโดยไม่ต้องรบเลย ถือว่าเป็นวิธีอันวิเศษยิ่ง"
เสียงหญิงสาวเอื้อยเอ่ย พลางจ้องใบหน้าของบุรุษหนุ่มที่นั่งเอนหลังพิงหมอนด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย รถม้าโยกไหวเล็กน้อย แต่ไม่ได้ทำให้จังหวะการรินน้ำชาของเขาได้เลย
“หนึ่งในคำกล่าวของซุนวู” หลัวหลิวหยางเอ่ยแล้วส่งน้ำชาให้จางฟางเหนียง และเพราะเท้าของนางยังพันผ้าไว้ทำให้ท่านั่งของนางไม่สู้จะเรียบร้อยนัก แต่นางก็มิได้ใส่ใจ เหยียดขาข้างที่เจ็บไปกับพื้นพรมขนสัตว์ที่เขาสั่งให้เขาปูให้นางนั่งอย่างสบาย ซ้ำยังมีหมอนใบเล็กหนุนเท้าของนางอีกด้วย
มีคู่ศัตรูคู่แข่งอยู่รอบด้าน เราต้องกำหนดกลยุทธ์ วางแผน โจมตี ตั้งรับ เพื่อชิงความได้เปรียบกับฝ่ายตรงข้าม ไม่เช่นนั้นเราก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ศาสตร์ทุกแขนงควรทำการศึกษาและนำมาประยุกต์ปรับใช้กับการทำงานเพื่อให้ผลสำเร็จเกิดขึ้นตามมา เจ้าชื่นชอบการอ่านตำราแต่อ่อนด้อยประสบการณ์ ยังไม่เข้าใจท่องแท้หรอกกระมัง”ในน้ำเสียงนั้นคล้ายดูแคลนอยู่หลายส่วน แต่จางฟางซินกลับพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย นางยื่นมือไปรับน้ำชาอย่างระวังไม่ให้หกใส่ตำราพิชัยยุทธที่เขาให้นางหยิบยืมมาอ่าน “ข้าก็เคยคิดอยู่ว่า กลยุทธการศึกเหล่านี้ หากศึกษาให้เข้าใจถึงแก่นแท้ เราย่อมสามารถปรับเปลี่ยนมาใช้ในชีวิตประจำวันได้”“เช่น?”“การค้าอย่างไรเล่า” นางยื่นหน้าไปหาเขา “หากเราจะทำการค้าก็ต้องเรียนรู้ว่าคู่แข่งเป็นใคร จุดเด่น จุดอ่อนคืออะไร ทำเลที่ตั้งของร้านก็เหมือนชัยภูมิในการทำศึก ท่านว่าข้าพูดถูกหรือไม่เล่า” หลัวหลิวหยางหัวเราะในลำคอแล้วพยักหน้ารับ “เรื่องนี้ข้าเห็นด้วย”“ลักษณะชัยภูมิสำหรับทำศึกมีส่วนสำคัญไม่น้อยไปกว่าการจัดกระบวนทัพ ความได้เปรียบเสียเปรียบขึ้นอยู่กับการสภาพภูมิประเทศ เปรียบได้กับการกำหนดพื้นที่ตั้งร้านค้า
“ท่านเคยสงสัยในตัวจวิ้นอ๋องหรือไม่” นางถามรู้สึกสบายจนเผลอเอนตัวไปพิงไหล่ของเขา “ตามจริงแล้ว เรื่องในวังหลวงข้าก็ไม่ล่วงรู้ลึกตื้นหนาบางของผู้อื่นนัก”“แต่เจ้าเชื่อใจองค์รัชทายาท ยอมเดินทางเสี่ยงภัยมาหาข้า”“เพราะท่านมีภัย ข้าจึงรีบมา”“เจ้าไม่ได้รู้จักข้าด้วยซ้ำ” “ท่านกล่าวผิดแล้ว ท่านไม่รู้จักข้าแต่ข้ารู้จักท่าน” นางหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย “ท่านน่าจะให้ข้าพาเปาเป่ามาด้วย” “คนขาเจ็บกับแมวขาพิการ”“ท่านแม่ทัพดูถูกข้าหรือ?” “ข้าพูดความจริงต่างหาก” เขาหัวเราะในลำคอ แต่เมื่อมองเลยไปยังป่าทึบดวงตาของเขามีพลันฉายแววแข็งกร้าวขึ้นมา “มีเรื่องใดหรือ?” นางถามเพราะรู้สึกว่าร่างกายที่นางพิงอยู่มีอาการตื่นตัว“ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวล” เขาพูดเก็บสายตากลับมา นางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมเข้ม ดวงตาของเขาคมปลาบต่อให้ไม่ต้องลงมือแค่ใช้สายตาจ้องมองก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้ แต่นางกลับรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดในสายตาคู่นั้นจนไม่อาจถอนสายตาได้เลย ทว่าอาการนิ่งงันไปของจางฟางซินทำให้หลัวหลิวหยางเข้าใจผิด เขาเบือนหน้าไปสบถอย่างหงุดหงิด อย่างไรนางก็เป็นหญิง จะไม่ให้หวาดกลัวยามเขาเผลอใช้สายตากดดันผู้อื
เดินหมากกับนางช่างน่าปวดหัว เขาเผลอวางเม็ดหมากไม่ระวัง กว่าจะรู้ตัวก็เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของนางก่อนที่นางจะวางหมากขาวชิงพื้นที่ในกระดานแล้ว แม้ไม่ได้เอ่ยวาจาแต่ก็รู้แล้วว่าหมากกระดานชัยชนะเป็นของผู้ใด‘ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ออมมือ’ นางยังคงระบายยิ้มเกลือนใบหน้า‘อีกกระดานเถิด’‘ไม่ดีกระมัง’ คราวนี้นางหน้ามุ่ย ‘ท่านแม่ทัพมีร่างกายแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า แต่ข้าเป็นเพียงสตรีบอบบางซ้ำขาเจ็บและมีแมวขาเป๋อยู่บนตัก ให้ข้าพักผ่อนเถิดนะ’‘ข้าก็ลืมไปว่าเจ้าเปราะบางเสียนี่กระไร ขนาดอยู่ในรถม้าที่ตีลังกาหลายตลบยังรอดตายได้’นางอ้าปากค้างไม่คิดว่าแม่ทัพใหญ่ที่นางชื่นชมจะกล้าประชดประชันนางเช่นนี้ เขาเห็นนางเถียงไม่ออกก็หัวเราะชอบใจนางควรบอกเขาดีหรือไม่ ขอเพียงเขายิ้มสักเล็กน้อย หัวเราะมากขึ้นอีกนิด เขาจะเป็นบุรุษที่สตรีเฝ้าคะนึงหา อาจเพราะชื่อเสียงดวงกินภรรยาของเขา และความเด็ดขาดในฐานะแม่ทัพพิทักษ์บูรพาทำให้คนหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้“เป็นอะไรไป” หลัวหลิวหยางเอ่ยถามเมื่อเห็นนางมองเขาด้วยสายตาเหม่อลอย“ข้ากำลังชื่นชมท่านอยู่” นางตอบไปอย่างที่คิด นางก็เป็นเช่นนี้พูดจาตรงไปตรงมาไม่ค่อยสำรวมนัก อาจเพราะค
“หลี่ไป๋” หลัวหลิวหยางย่อมเคยได้ยินชื่อกวีเลื่องชื่อ แต่เขาไม่ใช่บุรุษที่ชอบอ่านกลอนเขียนกวี จึงไม่ได้ใส่ใจแม้จะเคยอ่านผ่านตามาบ้าง“แต่ที่สำคัญกว่าคือท่านแม่ทัพหลัวชื่นชอบสุรานี้เช่นกัน” นางเอ่ยเสียงเบาด้วยท่าทีเขินอาย “พี่หลิวหยางขอข้าชิมสุราในจอกท่านสักนิดได้หรือไม่” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย นางเรียกเขาว่า ‘พี่’“พี่หลิวหยางก็รู้ว่าท่านพ่อมิให้ข้าชิมสุรา ทุกครั้งที่ท่านมาเยี่ยมเยือนท่านพ่อก็ชอบหิ้วสุราดีมาเสมอ ข้าทำได้แค่ดมกลิ่นเท่านั้น ข้าอยากรู้ว่ารสชาติที่พี่หลิวหยางชื่นชอบเป็นเช่นไร”นางออดอ้อนอย่างน่ารัก ทำให้เขาเผลอใจยื่นจอกสุราของตนให้นาง“สุรารสแรง เจ้าจิบเล็กน้อยก็พอ”“ขอบคุณพี่หลิวหยาง” นางยื่นมือมารับจอกสุราของเขา ดมกลิ่นสุราแล้วจิบเล็กน้อย สุรารสแรงแต่ละมุนลิ้นทำให้ใบหน้าของนางแดงระเรือขึ้นมา “พอแล้ว” เขาแย่งจอกสุรากลับคืน“พี่หลิวหยางอย่าฟ้องพ่อบุญธรรมนะ” “ข้ารู้” นางทำท่ามึนศีรษะเอนกายไปทางเขาแล้วกระซิบ “สุราไม่มีพิษ”หลัวหลิวหยางลอบถอนหายใจ นางห่วงเขาแต่ไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้ แต่ความเป็นห่วงของนางทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว แต่ก่อนมีแต่เขาที่ต้องคอยปกป้องดูแลผู
“มีเรื่องเล่าเช่นนี้ด้วย” จางฟางซินถอดถอนใจจากเรื่องราวที่ได้ยิน นางลอบมองหลัวหลิวหยางที่ยกสุราขึ้นดื่ม“เหตุใดพี่หลิวหยางไม่เล่าให้ข้ารู้บ้าง”“ข้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้” เขาตอบ “เป็นแค่นิทานเล่าขานของคนที่นี้” อวี้หมี่พูดด้วยรอยยิ้มจางฟางซินแปลกใจที่เห็นเขาดื่มสุรามากขึ้น ระหว่างที่อยู่ที่จวน นางไม่เห็นเขาดื่มสุรา นางคาดเดาได้ว่าเขาคงคอแข็งไม่น้อย แต่เห็นเขามอมตัวเองเช่นนี้ นางไม่เข้าใจ นางเผลอยกมือขึ้นนวดขมับ แม้หลัวหลิว หยางไม่ได้มองนางตรงๆ แต่ทุกการเคลื่อนไหวของนางอยู่ในสายตาของเขา ชายหนุ่มจึงยื่นมือไปจับมือที่กำลังนวดขมับอยู่“ไม่สบายรึ? ปวดหัวหรือ?”นางไม่ตอบแต่กัดริมฝีปากครุ่นคิด ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการไปจากที่นี้หรือต้องการให้นางไปกันแน่ เพราะดูเหมือนสายตาของเขาจะอยู่ที่หญิงงามอวี้หมี่ “แม่นางจางไม่สบายรึ” โม่โฉวถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ตามหมอดีหรือไม่”“หม่อมฉันอยากพักผ่อน ต้องขอโทษที่ทำให้ทุกท่านหมดสนุกเพคะ”“แม่นางจางอย่าได้กล่าวเช่นนั้น” โม่โฉวโบกมือไปมา “เจ้าเองยังไม่หายดี เป็นข้าที่เอาแต่ใจฝืนใจให้เจ้ามาชิมชาชมบุบผาเช่นนี้”“กระหม่อมขอพาฟางซินกลับก่อน โอกาสหน้
“หากท่านไม่รีบลงมือ ผู้อื่นอาจช่วงชิงนางไปก็ได้” “ใครกล้า!” เขาเผลอทุบโต๊ะอย่างแรงเสียงดังปัง! บ่าวรับใช้ที่รอด้านนอกได้ยินจนสะดุ้งตัวสั่น “ข้าแค่กล่าวเตือนท่าน หากท่านหวงแหนนางถึงเพียงนี้ก็รีบทำในสิ่งที่ควรทำเถิด” “ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน!” “ท่านหมอมาตรวจแผลให้นาง อยู่ที่เรือนของนางนั้นแหละ” แม่นมเหมยกุ้ยเบี่ยงกายเล็กน้อยให้หลัวหลิวหยางที่ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวยาวๆ ออกไปไม่สนใจนางเลยสักนิด แม่นมได้แต่ส่ายหน้าไปมา ถ้านางไม่กระตุ้นเช่นนี้ เห็นทีว่าแม่ทัพหนุ่มผู้นี้อาจทำให้สตรีในดวงใจหลุดมือไป จางฟางซินวาดเท้าลงบนพื้น ผ้าที่เคยพันรอบข้อเท้าไม่แน่นหนาเช่นแต่ก่อน นางสูดลมหายใจลึกก่อนค่อยยันกายขึ้นยืนโดยมีเสี่ยวจิ้งคอยประคอง แม้เจ็บแปลบอยู่บ้างแต่นางก็สามารถยืนได้แล้ว “ดีจริง ยืนได้แล้ว” นางยิ้มกว้างแล้วหันมาทางหมอทหารที่แวะเวียนมาดูอาการให้นางวันเว้นวันตามคำสั่งของแม่ทัพหลัว “ฝีมือรักษาของท่านยอดเยี่ยมจริงๆ ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ ” ถูกกล่าวชมต่อหน้าเช่นนี้ แม้จะอายุสี่สิบแล้วก็ร
“ไม่นะ!” นางยื้อมือของเขาไม่ให้ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออก ใบหน้าร้อนผ่าวกลายเป็นสีแดงจัด แต่มือของเขากลายเป็นหนวดปลาหมึกยุบยับบนตัวนาง หญิงสาวพยายามปัดป้องพลิกตัวหนีแต่ทำไม่ได้เลย หลัวหลิวหยางกดร่างเล็กลงบนเตียง ตรึงข้อมือไว้เหนือศีรษะของนาง เขายิ้มเจ้าเล่ห์ โน้มหน้าลงใกล้ริมฝีปากช่างเจรจา ทว่าหางตารับรู้การเคลื่อนไหวที่กระโจนใส่ เขาผงะร่างไปด้านหลังพลิกตัวหลบอย่างฉิวเฉียด เจ้าแมวป่าขาเป๋กระโดดเข้าใส่ มันยืนขู่ฟ่อตัวพองบนร่างของจางฟางซิน “เปาเป่า!” เจ้าแมวป่ากลายเป็นแมวบ้านครางเหมียวๆ ฟังน่าเอ็นดูหมุนตัวมาคลอเคลียหญิงสาวอย่างเอาใจ “เจ้าแมวเนรคุณ!” เขาสบถใส่ “ข้าคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเจ้านะ!” “ท่านแม่ทัพ” นางยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ตาเขา “ข้าเคยอ่านตำรามาว่าสัตว์มีสัญชาตญาณรู้ว่าผู้ใดดีกับมัน เจ้าเปาเป่ายอมรู้ว่าข้ารักมันมากที่สุด จึงมาปกป้องข้าเช่นนี้” แม่ทัพหนุ่มไม่คิดว่าตนเองต้องมาทะเลาะกับแมวขาเป๋ตัวหนึ่ง เจ้าแมวก็ทำเฉยชาไม่สนใจเขาเลยสักนิด แต่ไหนแต่ไรมันก็ไม่เคยสนใจผู้ใดอยู่แล้ว เหตุใดเขาจึงโง่นักที่เล
จางฟางซิน บุตรสาวเสนาบดีตกอับสกุลจาง ในยุคสมัยที่ตระกูลจางยังรุ่งเรื่อง บิดามีภรรยาสองคนทั้งสองเป็นพี่น้องกันตกลงปลงใจใช้สามีร่วมกัน บิดามีบุตรเพียงสองคนคือจางฟางซิน และจางฟางหรง น้องที่เกิดหลังนางแค่ครึ่งชั่วยาม มารดาของนางจากไปตั้งแต่วันที่นางถือกำเนิด หลังจากนั้นสามปีภรรยาอีกคนก็จากไป บิดาเศร้าโศกเสียใจจนร่างกายเจ็บป่วย ก่อนจะสิ้นใจบิดาได้ฝากฝั่งจางฟางซินและจางฟางหรงให้สหายรักช่วยดูแลพร้อมทรัพย์สินก้อนสุดท้ายที่เหลือน้อยนิด จางฟางซินในวัยสิบสองจูงมือจางฟางหรงมายังสำนักศึกษาไผ่หยก ภายใต้การดูแลของสหายรักของบิดานามหยางอี้เสียง และด้วยความสงสารเวทนาจึงรับบุตรของสหายเป็นบุตรบุญธรรมชีวิตของจางฟานซินจึงเริ่มต้นใหม่ที่นี่ จนกระทั้งวันที่นางอายุสิบเจ็ด ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปตลอดกาล....นางไม่อยากเชื่อเลย อีกเพียงไม่กี่ลี้นางจะไปถึงที่หมายแล้วแท้ๆ เหตุใดถึงถูกตามไล่ล่าอย่างไร้หนทางเช่นนี้ จางฟางซินเคยอ่านเรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับชายแดนตะวันออก นางศึกษาทุกอย่างจนมั่นใจว่าตัวเองเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างดียิ่ง ทว่านางไม่คิดว่า การลอบเดินทางที่ใช้เวลาครึ่งเดือนนี้จะมาจบลงที่รถม