ภีมพลยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของสาวน้อย เขารู้ว่าเจ้าตัวกำลังเขินแต่พยายามเก็บอาการอย่างเต็มที่
ชายหนุ่มรู้ว่าเด็กสาววัยรุ่นเป็นวัยที่อ่อนไหวกับเพศตรงข้ามมากแค่ไหน เขาจึงค่อย ๆ ‘ตะล่อม’ ด้วยการเข้าใกล้หัวใจของเธอทีละนิด ถึงแม้จะรู้ว่าความคิดส่วนหนึ่งของรวิชากำลังต่อต้านการหมั้นหมายแบบเงียบ ๆ ตามประสาคนที่ไม่ชอบการถูกบังคับ อีกทั้งช่องว่างระหว่างวัย จึงทำให้สาวน้อยอย่างรวิชาอาจจะรู้สึกอายเพื่อนฝูงบ้าง หากต้องบอกกับเพื่อน ๆ ว่ามีคู่หมั้นอายุสามสิบกว่าปี แต่เขาก็เชื่อว่าถ้าตนสามารถทลายกรอบความคิดตรงนี้ของรวิชาลงได้ เมื่อนั้นเขาจะได้คู่หมั้นที่น่ารักน่ากอดเป็นรางวัลสำหรับความพยายามครั้งนี้แน่นอน
รวิชาเดินเคียงข้างภีมพลอยู่ในห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางเมือง เธอมองไปรอบตัวเพราะเกรงว่าจะเจอคนรู้จัก หรือเพื่อนที่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน เธอยังไม่อยากเจอใครทั้งนั้นในตอนนี้ ไม่อยากตอบคำถาม ไม่อยากตกเป็นเป้าการพูดถึงของใครต่อใคร และไม่อยากกลายเป็นหัวข้อสนทนาในชั่วข้ามคืนว่า มาเดินควงกับผู้ชายมีอายุ!
ถึงแม้ภีมพลจะหน้าตาดูดี ยังไม่แก่ถึงขนาดเรียกว่าเป็นเสี่ยหรือป๋า แต่บุคลิกของเขา แค่มองดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ผู้ชายในวัยนักศึกษาอย่างแน่นอน ถ้ามีคนมาเจอว่าเธอเดินอยู่กับเขาละก็ ไม่แคล้วต้องโดนเอาไปพูดกันแบบปากต่อปากจนเรื่องราวบิดเบี้ยวไปในทางแย่เป็นแน่
วันนี้รวิชาเลือกหยิบเดรสแขนกุดความยาวเลยเข่าแบบพอดีตัวไม่เข้ารูปมาสวมใส่ ผมยาวสีน้ำตาลเข้มปล่อยสยายเคลียแผ่นหลัง รองเท้าคัตชูแบบมีส้นสูงประมาณหนึ่งนิ้ว สะพายกระเป๋ายี่ห้อดังของมารดา และแต่งหน้าอ่อน ๆ ด้วยการปัดแก้ม และเติมลิปกลอสสีชมพูอ่อนแค่นั้นเพราะต้องการให้ตัวเองดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาอีกนิด
“หิวไหมน้องอาย อยากกินอะไรหรือเปล่า ไอติม เค้ก?”
ภีมพลถามเสียงอ่อนจนคนฟังรู้สึกได้ว่าเขาใส่ใจตน และพยายามเอาอกเอาใจเธออยู่ รวิชาฉีกยิ้มกว้าง ตาเป็นประกายขณะที่มองไปยังร้านเค้กชื่อดัง หน้าร้านมีคนรอคิวอยู่ประมาณห้าหกคน
ภีมพลมองตามไปก็คลี่ยิ้มก่อนจะถือวิสาสะจูงมือเธอเดินเข้าไป จากนั้นก็แจ้งชื่อกับพนักงานเพื่อรอรับหมายเลขคิว
“จะดีหรือคะ อาภีมไม่ต้องตามใจน้องอายก็ได้ค่ะ น้องอายซื้อกลับไปกินที่บ้านก็ได้”
รวิชาบอกเขาอย่างเกรงใจ เขาเป็นผู้ชาย แถมอายุไม่ใช่น้อย ๆ แล้วจะให้มานั่งละเลียดเค้กกับเธอในร้านที่มีแต่วัยรุ่นนั่งกันเต็มไปหมดแบบนี้ เธอเกรงว่าเขาจะอึดอัดและรำคาญ
“ไม่เป็นไรหรอก อาก็อยากดื่มกาแฟสักแก้วเหมือนกัน อีกอย่างนะ ถ้าไม่ให้อาตามใจน้องอาย จะให้อาไปตามใจใครที่ไหน เราก็มีกันอยู่แค่สองคนนี่นา”
พูดจบเขาก็เดินยิ้มกริ่มไปยืนอยู่หน้าตู้เบเกอรี่ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่เพิ่งทิ้งประโยคเด็ดเอาไว้ให้ใครบางคนได้คิดตาม ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้ใบหน้าคนฟังร้อนผ่าวจนแก้มขึ้นสีระเรื่อไปแล้วเรียบร้อย หลังจากที่ถูกเขาหยอดใส่ซึ่งหน้า
เราก็มีกันอยู่แค่สองคนนี่นา...เออแฮะ เขาก็ช่างกล้าพูด ไม่อยากจะเชื่อหูตนเองเหมือนกันว่าเขาพูดอะไรลิเกแบบนี้ก็เป็นด้วย ถ้าคนอื่นมาได้ยินสงสัยคงได้เอาไปล้อกันยันลูกยันหลาน
รวิชาเดินมายืนข้างเขา ชายหนุ่มยืนกอดอกแล้วหันไปถามหลังจากที่มองขนมเค้กหน้าตาสวยงามหลากหลายรสชาติในตู้
“เล็งชิ้นไหนไว้ล่ะเรา”
“ชิบูย่าฮันนี่โทสต์ค่ะ ร้านนี้ทำอร่อยมากเลยนะคะแต่ต้องสั่งต่างหาก ไม่มีโชว์ในตู้นี้หรอก อาภีมต้องลองชิมดูแล้วจะติดใจ”
รวิชาแนะนำจานโปรดให้ฟังอย่างกระตือรือร้น ดวงหน้าสดใสมีชีวิตชีวา ท่าทางที่เริ่มแสดงความเป็นกันเองอย่างเป็นธรรมชาตินั้นทำให้ภีมพลเผลอมองสาวน้อยตาปรอย
“ขนาดนั้นเชียวหรือ ท่าจะแย่แล้วนะถ้าเป็นอย่างนั้น เพราะแค่นี้อาก็ติดใจจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว”
ประโยคสุดท้ายเขาโน้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหู พอให้ได้ยินกันแค่สองคน ก่อนจะผละออกมาแล้วมองจ้องเข้าไปในนัยน์ตากลมโตสุกใสที่กำลังไหวระริกอย่างเขินอายและประหม่า ก่อนที่เจ้าตัวจะเบือนสายตาออกไปมองทางอื่นเพราะไม่สามารถสู้สายตาคมปลาบของเขาได้
รวิชานึกค่อนขอดคนตัวโตอยู่ในใจที่ขยันหยอดเหลือเกิน อยากทำใจแข็งแกล้งทำเป็นไม่รับรู้ความนัยที่เขาสื่อ แต่ใบหน้าของเธอก็ดันแสดงอาการออกไปก่อนทุกที
“ไปยืนรอหน้าร้านกันเถอะ ตรงนี้เกะกะคนอื่นเขา”
ภีมพลเอื้อมมาแตะข้อศอกเธอเบา ๆ แล้วพาไปยืนรอเรียกคิวที่หน้าร้าน ระหว่างยืนรอ ภีมพลได้แต่แปลกใจตนเอง เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาไม่มีทางทำอะไรไร้สาระอย่างนี้แน่ การยืนรอคิวเป็นนานสองนานเพื่อจะได้กินเค้กสักชิ้นไม่เคยอยู่ในความคิดของเขา เวลาไปร้านอาหารชื่อดังไม่ว่าจะเป็นที่ไหน เขาจะให้คนสนิทหรือเลขาฯ โทรศัพท์ไปจองเอาไว้ก่อนเสมอ เขาไม่เคยต้องมายืนรออะไรแบบนี้เลยสักครั้ง และที่น่าแปลกคือเขาไม่หงุดหงิดเลยสักนิด กลับมีแต่ความรื่นรมย์อย่างบอกไม่ถูก
ไม่นานนักทั้งคู่ก็ได้โต๊ะที่อยู่ด้านในร้าน ซึ่งภีมพลค่อนข้างพอใจเพราะตอนแรกเขากลัวว่าจะได้นั่งโต๊ะนอกร้านที่มีคนเดินไปมาขวักไขว่ อีกทั้งยังมีคนยืนรอคิวอยู่ใกล้ ๆ ราวกับกดดันคนที่นั่งกินอยู่
เมื่อเมนูของรวิชามาเสิร์ฟลงบนโต๊ะพร้อมกับช็อกโกแลตปั่น และกาแฟของภีมพล ทั้งคู่ก็นั่งกินไปเงียบ ๆ ไม่ได้คุยอะไรกันอีก
ภีมพลนั่งอมยิ้มมองสาวน้อยที่ละเลียดของโปรดอย่างอารมณ์ดี ปากอิ่มเต็มสีชมพูระเรื่อมีรอยยิ้มแต้มไว้เสมอยามเจ้าตัวตักขนมเข้าปาก เห็นท่าทางมีความสุขของเธอแล้วเขาก็รู้สึกอิ่มใจไปด้วย
“อาภีมกินไหมคะ...น่านะ อร่อยจริง ๆ นะคะ น้องอายเต็มใจนำเสนอเลยนะเนี่ย” รวิชาคะยั้นคะยอพลางยื่นช้อนมาตรงหน้าชายหนุ่มแล้วจ่อไว้ที่ปากของเขาราวกับบังคับให้ต้องชิม ชายหนุ่มจึงยื่นหน้าเข้าไปชิมตามที่เธอต้องการเพราะไม่อยากขัดใจให้เจ้าตัวต้องเสียอารมณ์
“เป็นไงคะ อร่อยใช่ไหมล่ะ น้องอายบอกแล้ว โทสต์ของร้านนี้อร่อยที่สุดแล้วค่ะ”
รวิชาฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีก่อนจะตักเข้าปากของตนเองบ้าง ภีมพลได้แต่มองยิ้ม ๆ นัยน์ตาวับวาวจับจ้องใบหน้าเนียนใสนั้นตลอดเวลา จนแทบไม่ละสายตาไปไหน เธอจะรู้บ้างไหมว่ากำลังทำให้โคแก่อย่างเขานึกอยากอุ้มหญ้าอ่อนต้นนี้ไปเคี้ยวในที่ลับตาเหลือเกิน
“อร่อยสิ แต่อาว่ามันอร่อยเพราะคนป้อนมากกว่า ถ้าตักกินเองคงไม่อร่อยเท่านี้หรอก” เขายิ้มบางขณะยกกาแฟขึ้นดื่ม
ทั้งคู่ไม่มีโอกาสรู้เลยว่าขณะนั่งอยู่ในร้านนั้นได้ถูกใครบางคนจับตามองมาจากร้านอาหารญี่ปุ่นไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนั้น เรียวปากสีเข้มอย่างคนที่ดูดบุหรี่จัดแสยะยิ้มอย่างดูแคลน แต่แววตากลับแสดงออกถึงความเกรี้ยวกราดเมื่อเห็นภาพไม่สบอารมณ์ในร้านเบเกอรี่
“โธ่เอ๊ย โดนมันฟันแล้วสิท่า ถึงได้มานั่งป้อนกันอย่างนี้ ป้อนเสร็จก็คง...”
กลวิชรพูดไว้แค่นั้น ชายหนุ่มได้แต่กำหมัดแน่นอย่างแค้นเคืองคนชุบมือเปิบอย่างภีมพล เขาอุตส่าห์วางแผนมาเสียดิบดี นึกว่าคืนนั้นจะได้กินแม่สาวน้อยจอมเย่อหยิ่งให้เต็มคราบสักหน่อย จะได้เลิกเชิดหน้าจองหองใส่เพราะเสียท่าให้เขาแล้ว ที่ไหนได้ กลับมาถูกเจ้าพ่อซุสโฉบไปกินหน้าตาเฉย คิดแล้วก็ให้เจ็บใจนัก
“วิชร อาหารมาแล้วนะคะมองอะไรอยู่น่ะ”
สาวสวยที่นั่งข้าง ๆ ใช้มือลูบไปมาที่ต้นขาของเขาอย่างเอาใจ หญิงสาวทำหน้าเง้างออย่างน่ารักเมื่อเห็นชายหนุ่มเอาแต่เหม่อมองไปทางอื่น กลวิชรจึงหันไปส่งยิ้มให้
สาวสวยหุ่นดีที่นั่งกระแซะอยู่ข้างกายมีดีกรีเป็นถึงดาวคณะ เขาใช้เวลาจีบเธอแค่สัปดาห์เดียวก็สามารถพาขึ้นเตียงได้แล้ว ตอนนี้เขาจึงเดินยืดได้เต็มที่ในมหาวิทยาลัยเมื่อมีหญิงสาวคนนี้เดินเกาะแขนไม่ห่าง ท่ามกลางสายตาอิจฉาของผู้ชายคนอื่นที่เรียงแถวกันมาจีบเธอแต่ไม่ติดแต่ก็นั่นแหละ สำหรับเขาแล้ว ผู้หญิงคนนี้ก็แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ในเมื่อเขาพาเธอขึ้นเตียงได้ง่าย ๆ คนอื่นที่เคยคบกับเธอมาก็คงพาขึ้นเตียงได้ง่ายไม่ต่างกัน ต่อให้สวยเลิศเลอแค่ไหนเขาก็ไม่คิดจะจริงจังอยู่ดี เพราะเขาเชื่อว่าหากหลุดจากเขาไป สาวสวยคนนี้ก็มีหนุ่มรายใหม่มาเดินอยู่ข้างกายไม่เคยขาดอยู่แล้วแต่ที่แน่ ๆ กลวิชรจะไม่รามือจากรวิชาแน่นอน เขาอยากแก้เผ็ดไอ้เจ้าพ่อคลับซุสที่บังอาจมาชุบมือเปิบคนของเขาไป อยากรู้นักว่ามันจะทำหน้าอย่างไรถ้ารู้ว่าเขาเอาผู้หญิงของมันมานอนกกได้“ผมมาดูแหวนหมั้นครับ” ภีมพลแจ้งความประสงค์กับพนักงานขายที่ยืนต้อนรับอยู่หน้าตู้โชว์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พนักงานสาวรีบกุลีกุจอแนะนำหนุ่มสาวทั้งคู่อย่างกระตือรือร้น“ชอบแบบไหนคะ เพชรเม
รวิชาอยากเห็นโรงงานในส่วนที่เป็นการปฏิบัติการบ้าง ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยคิดสนใจในธุรกิจของครอบครัวเลยสักครั้ง น่าแปลกที่พอได้มาคุยกับภีมพล เธอกลับคิดเรื่องการทำงานมากขึ้น“คิดอย่างนั้นได้ก็ดี อาว่าถึงเวลาแล้วนะที่น้องอายต้องเข้าไปศึกษางานของครอบครัว ค่อย ๆ หัดค่อย ๆ เรียนรู้ไป กว่าน้องอายจะเรียนจบป่านนั้นความรู้ความสามารถก็แข็งแกร่งพอที่จะช่วยพ่อกับแม่ได้แล้ว ถ้างั้นพรุ่งนี้อาจะมารับไปที่โรงงานแล้วกันนะ”ภีมพลรีบอาสา ตั้งใจไว้ว่าในช่วงสองอาทิตย์ก่อนถึงวันหมั้น เขาต้องทำตัวติดกับรวิชาเพื่อลดความตึงเครียดของเธอเมื่อต้องเข้าพิธีหมั้นทั้งที่อายุยังน้อย“ให้พี่บุญเกิดขับไปส่งก็ได้ค่ะ ลำบากอาภีมเปล่า ๆ”รวิชารีบปฏิเสธด้วยความเกรงใจ เธอรู้ว่าเขางานยุ่งมากแค่ไหนเพราะต้องทำงานทั้งกลางวันกลางคืน เวลาพักผ่อนก็มีน้อย จนสงสัยว่าเขาเอาเวลาที่ไหนไปนอน“อาเคยบอกแล้วไงว่าถ้าเกี่ยวกับเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรอายอมลำบากทั้งนั้นแหละ”ชายหนุ่มวางมือบนศีรษะเธอแล้วโยกไปมา ก่อนจะเลื่อนมือลงมาเกาะบ่าบอบบางแบบเนียน ๆภีมพลหัน
ร่างสูงใหญ่ของภีมพลก้าวเดินอย่างเชื่องช้าอยู่ตรงลานจอดรถสำหรับพนักงาน ในมือถือโทรศัพท์ไว้โดยที่สายตาก็จดจ่ออยู่แต่หน้าจอ ใบหน้าระบายยิ้มอ่อนโยน บางคราวก็หัวเราะขลุกขลักในลำคอ เวลาที่ชายหนุ่มก้มลงพิมพ์ข้อความเขาจะหยุดเดิน ราวกับกลัวว่าจะพิมพ์ผิดแล้วต้องเสียเวลาพิมพ์ใหม่ด้วยความที่มัวแต่สนใจกับแชตในโทรศัพท์ จึงทำให้ไม่รู้ตัวว่าเจ้าของรถยุโรปคันหรูที่เข้ามาจอดเทียบกับเขาเมื่อครู่นั้น กำลังเดินตามหลังมาด้วยแววตาระยิบระยับพลางหันไปพยักพเยิดกับหญิงสาวที่ตนกำลังโอบเอวอยู่“ม็อทครับ ผมว่าพักหลังมานี้ไอ้ภีมเพื่อนผมดูมันกำลังอินเลิฟยังไงก็ไม่รู้” พชรพูดกับสาวสวยข้างกาย ทำทีเป็นไม่เห็น และไม่สนใจภีมพลที่เดินนำอยู่“ยังไงหรือคะ” ช่อมาลีแสร้งรับมุกทำเป็นไม่เห็นภีมพลบ้าง ขณะเดินผ่านคนที่กำลังพูดถึง“ก็ยิ้มคนเดียว หัวเราะคนเดียว แชตไปยิ้มไป ผมสงสัยว่ามันกำลังจีบสาวสักคนแน่ ๆ”พชรแกล้งเอาหัวไหล่กระทบกับไหล่ของภีมพลตอนเดินแซงไปข้างหน้า คนถูกชนได้แต่ยิ้มไม่พูดอะไร แต่สาวเท้าก้าวตามคู่รักเข้าอาคารไปเงียบ ๆ เขามองพ
เช้าวันถัดมา ภีมพลเดินเข้ามาในบ้านของว่าที่คู่หมั้นอย่างสนิทชิดเชื้อราวกับเป็นบ้านของตนเอง ชายหนุ่มนั่งรอรวิชาที่ห้องรับแขก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความไปหาสาวน้อยที่แต่งตัวอยู่ข้างบน เพื่อบอกว่าตนมารออยู่ข้างล่างแล้ว พลางเอ่ยขอบคุณมาลัยที่เอาน้ำมาเสิร์ฟให้รวิชากึ่งวิ่งกึ่งเดินลงบันไดมาหลังจากที่เขาส่งข้อความไปบอกไม่นานนัก ความจริงเธอแต่งตัวเสร็จสักพักใหญ่แล้ว แต่ที่ยังไม่ลงมาเพราะไม่อยากให้เขาคิดว่าเธอตื่นเต้นแค่ไหนกับการต้องนั่งรถไปกับเขาสองต่อสองภีมพลลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อรวิชาเดินลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย ตาคมกวาดมองคนตรงหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความพึงพอใจ วันนี้สาวน้อยของเขาช่างน่ารักเหลือเกิน พักนี้เขารู้สึกว่าไม่ว่ารวิชาจะใส่ชุดอะไรก็ดูดี น่ารักสมวัยไปเสียทุกอย่าง จนกลายเป็นเขาเสียเองที่ต้องพยายามแต่งตัวให้เข้ากับวัยของเธอเพื่อไม่ให้ดูแก่จนเกินไป“น้องอายจะกินมื้อเช้าก่อนไหม หิวหรือเปล่า หรือว่ากินแล้ว” เขาถามเสียงอ่อนเพราะเห็นว่ายังเช้าอยู่ คิดว่าเธอคงยังไม่ได้กินมื้อเช้าแน่นอนรวิชามองหน้าเขาพลางเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะถามกลับ
“ช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่คงทำงานหนักน่าดูเลยนะคะ น้องอายเห็นท่านไม่ค่อยกลับบ้านเลย นี่ก็เห็นว่าต้องขึ้นเหนือไปดูแปลงเพาะปลูกของเกษตรกรอีก”“ใช่ค่ะ ตอนนี้บริษัทเราประมูลได้ออเดอร์ล็อตใหญ่จากดูไบ พวกผู้บริหารตื่นเต้นกันใหญ่เลยค่ะ วันก่อนเพิ่งประชุมกันว่าต้องมีการลงทุนเพิ่ม รวมถึงการจ้างพนักงานเพิ่มด้วย เพราะที่นี่ก็มีพนักงานแค่สามสิบกว่าคน ถ้าต้องทำล็อตของดูไบ คนแค่นี้ไม่พอแน่ ๆ”หวานอธิบายไปยิ้มไป เพราะการมีออเดอร์ล็อตใหญ่เข้ามา รายได้ของบริษัทก็ต้องเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าพนักงานอย่างพวกเธอก็ต้องหวังผลไปถึงโบนัสปลายปีด้วยถึงแม้ว่าปีที่ผ่านมาบริษัทจะประสบสภาวะขาดทุน เพราะข่าวลือ และการใส่ร้ายป้ายสีเรื่องวัตถุดิบที่ไม่ได้คุณภาพ รวมถึงโดนตัดราคาจากแบรนด์น้องใหม่ แต่ประธานบริหารก็ไม่ยอมปลดพนักงานออกแม้แต่คนเดียว ทั้งยังจ่ายโบนัสให้กับทุกคนตอนสิ้นปีตามปกติอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะแค่เดือนเดียวก็ตาม นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพนักงานทุกคนจึงยอมทุ่มเทแรงกายแรงใจและสมอง รวมถึงความจงรักภักดีกับองค์กรอย่างถึงที่สุด“สามสิบกว่าคน เดี๋ยวนี้บริษัทเร
รวิวรรณมองบุตรสาวที่หมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ด้วยแววตารักใคร่ มะรืนนี้เป็นวันหมั้นหมายแล้ว ดูท่าทางเจ้าตัวจะตื่นเต้นมาก เพราะทันทีที่เธอกลับมาถึงบ้าน บุตรสาวสุดที่รักก็ดึงมือชวนไปดูชุดที่ภีมพลซื้อให้ อีกทั้งยังทดลองทำผมหลายทรงแล้วถามความเห็นมารดาอย่างตนด้วยว่าทรงไหนสวยที่สุด“คุณแม่ว่าน้องอายทำผมเป็นลอนดีไหมคะ จะได้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาอีกนิด ถ่ายรูปออกมาจะได้สวยด้วย” เสียงเจื้อยแจ้วของรวิชาเรียกรอยยิ้มของคนที่กำลังเดินเข้ามาใหม่ได้ไม่น้อย“ลูกสาวของพ่อ ทำทรงไหนก็สวยทั้งนั้นแหละ”อาทิตย์นั่งลงข้างภรรยาพร้อมกับหันไปยิ้มให้กันอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน ใครกันหนอที่หน้าหงิกหน้างอไม่อยากหมั้นกับคนแก่ แล้วดูตอนนี้สิ ตื่นเต้นจนแทบนั่งไม่ติด“แต่น้องอายก็อยากได้ทรงที่สวยที่สุดนี่นา เอางี้ดีกว่า ในสายตาของคุณพ่อ คุณพ่อว่าทรงไหนดีคะ ระหว่างมัดรวบไว้สูง ๆ หรือม้วนเป็นลอน หรือว่าปล่อยยาวตรงลงมาธรรมดา ๆ ไม่ต้องทำอะไรกับมัน”อาทิตย์ทำทีเป็นครุ่นคิดทั้งที่ในใจอยากจะหัวเราะออกมาเต็มที่ แต่ไม่อยากให้บุตรสาวงอน
“ผมขอให้คำสัตย์กับพี่ว่าตลอดระยะเวลาที่น้องอายยังเป็นนักศึกษา ผมไม่มีวันทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควรกับน้องอายเป็นอันขาด พี่เชื่อใจผมได้ และผมก็ขอยืนยันด้วยว่าตลอดเวลาที่ผมอยู่ในฐานะคู่หมั้นของน้องอาย จะไม่มีข่าวเสียหายเรื่องผู้หญิงมาให้ระแคะระคายหูพี่แน่นอน ผมขอรับปากพี่ไว้ตรงนี้เลย”ภีมพลกล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สิ่งที่เขาพูดออกไปนั้นเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว“ขอบคุณมากครับคุณภีม”อาทิตย์คลี่ยิ้มพลางลุกขึ้นแล้วยื่นมือออกไปข้างหน้า ภีมพลจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นมือออกไปบีบกระชับแน่นหนักเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของตนเองพิธีหมั้นเป็นไปอย่างเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองมากนัก แขกที่เชิญมามีแค่เพื่อนสนิท โดยทางฝั่งภีมพลมีพชรควงคู่มากับช่อมาลี และอีกคนคือเธียรทัต เพื่อนสนิทที่อยู่กลุ่มเดียวกัน ทางฝั่งรวิชามีแค่พรรณรายกับอารดา เพื่อนร่วมโรงเรียนมาร่วมงานด้วยเท่านั้นเพราะรวิชากำชับไม่ให้บอกใครทางด้านผู้ใหญ่มีแค่บิดามารดาของทั้งสองฝ่าย นอกเหนือจากนั้นก็มีลูกน้องของภีมพลอีกสี่คนที่มาร่วมงานซ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เราก็แค่สนุกกันเกินไปหน่อย อย่างว่าแหละนะตอนเข้าด้ายเข้าเข็มใครจะมามัวนั่งสนใจกระเป๋า”ปากกล้าแต่ขาสั่น ประโยคนี้เหมาะกับกลวิชรในตอนนี้ที่สุด เพราะเพียงเห็นประกายตาวาวโรจน์ของคนตรงหน้าก็ทำเอารู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาทันทีภีมพลแค่นยิ้มมุมปาก เขาก้าวไปยืนจนแทบชิดกับตัวของกลวิชรจนอีกฝ่ายต้องผงะถอย“แต่เท่าที่ฉันเห็นมันไม่ใช่อย่างนั้นนะ ทีหลังจะพูดจะจาหัดระวังปากไว้หน่อย ถ้ายังอยากมีฟันไว้เคี้ยวข้าว ครั้งนี้ฉันจะถือเสียว่าโดนหมามันเลียปาก แต่ถ้าครั้งหน้ายังเกรียนไม่เลิกก็อย่าหาว่าฉันรังแกเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแกก็แล้วกัน ฉันเตือนแกแล้วนะ” ภีมพลพูดเสียงลอดไรฟัน แสยะยิ้มใส่กลวิชรอย่างอาฆาตมาดร้ายก่อนจะออกคำสั่ง“ไสหัวไปได้แล้ว ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”กลวิชรผละไปขึ้นรถที่จอดไว้หน้าบ้านอย่างฮึดฮัดขัดใจ สตาร์ตรถได้ก็ขับกระชากออกไปอย่างเร็วจนล้อบดถนนเสียงดังสนั่น ภีมพลมองตามหลังท้ายรถคันนั้นอย่างหมายมาดแล้วหันไปพูดกับลูกน้องที่ยืนอยู่แถวนั้น“เป็นต่อ ฉันเปลี่ยนใจแล้ว” เขาพ
คิ้วของรวิชาขมวดมุ่น สงสัยว่าทำไมเธอต้องด่าเขาด้วย และภีมพลก็ไม่ให้เธอสงสัยนาน เขาบีบกระชับมือนุ่มก่อนตัดสินใจเปิดปากพูดสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจออกไปทั้งหมด“อาไม่เคยรังเกียจน้องอาย ตรงกันข้าม อาอยากทำอะไร ๆ อย่างที่คนอื่นเขาเอ่อ...อย่างที่คู่หมั้นคู่อื่นเขาทำกันนั่นแหละ แต่เรายังเด็ก อายุยังไม่ถึงยี่สิบเลยด้วยซ้ำ และอาก็สัญญาไว้กับพ่อของเราด้วยว่าจะไม่ทำอะไรเราจนกว่าเราจะเรียนจบ ทีนี้เข้าใจอาบ้างหรือยัง”รวิชาคิดตามที่ชายหนุ่มพูดแล้วทำหน้าเหมือนจะเข้าใจ ถ้าไม่เพราะคำถามสุดท้ายที่เอ่ยถามออกมา ซึ่งทำเอาภีมพลถึงกับอดหัวเราะออกมาไม่ได้“แล้วทำไมอาภีมต้องวิ่งหนีเข้าห้องน้ำด้วยล่ะคะ ที่ออฟฟิศอาภีมก็เข้าห้องน้ำ เมื่อกี้อาภีมก็วิ่งเข้าห้องน้ำอีก”“นี่จะให้อาพูดออกมาตรง ๆ ให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย ฮ่า ๆ”ภีมพลหัวเราะร่า คิดว่าถึงเวลาที่ควรเปิดอกคุยกันจริง ๆ แล้วกระมัง จะว่าไปแล้วรวิชาก็ไม่ใช่เด็กเล็กที่จะไม่รู้เรื่องเซ็กซ์ หรือความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย เพียงแต่สาวน้อยของเขายังอ่อนด้อยกับเรื่องพรรค์นี้ อีกทั้งย
ยามมองผู้หญิงเหล่านั้น แม้พวกหล่อนจะยิ้มให้ แต่รวิชาระแวงไปหมดว่าคนพวกนี้ยิ้มเยาะอยู่หรือเปล่า แอบสมเพชเธออยู่ในใจไหม ความคิดด้านร้ายวิ่งวนอยู่ในหัวจนรวิชาชักสีหน้าบึ้งตึงไม่เก็บอารมณ์อีกต่อไป“น้องอายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ เวียนหัวไหมที่อาพาเดินไปเดินมา หรือว่าปวดขา อาพาไปพักบนห้องข้างบนก่อนไหมแล้วตอนเขาเริ่มงานค่อยลงมาอีกที”ภีมพลถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าของคนข้างกาย รวิชาพยักหน้า ตอบรับคำชวนของเขา เพราะยิ่งอยู่เธอก็ยิ่งควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เวลาที่มีผู้หญิงมาก้อร่อก้อติกใส่เขาภีมพลจูงมือสาวน้อยพาเดินเข้าไปในตัวอาคาร จากนั้นจึงพาขึ้นบันไดไปชั้นสามที่เป็นห้องพักของเขา เมื่อขึ้นมาถึงจึงพาเธอไปนั่งบนเตียงและเขาก็หย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ เพราะห้องนี้ไม่มีโซฟา“เบื่อหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามอย่างอาทร เห็นใจเธอไม่น้อยเพราะงานนี้เธอแทบไม่รู้จักใครนอกจากเขาและเจ้าบ่าวเจ้าสาวของงาน เธอจึงไม่สามารถปลีกตัวไปนั่งที่ไหนได้ นอกจากเดินตามเขาต้อย ๆ ไปทั่วฮอลล์“ไม่เบื่อหรอกค่ะ” แม้ปากจะบอกอย่างนั้น แต่สีหน้าที่แสดงออกมากลับต
ภีมพลผงกศีรษะรับคำ ก่อนหันไปพยักหน้ากับรวิชาให้เดินไปด้วยกันที่รถเมื่อเข้ามานั่งในรถ หญิงสาวก็เหลือบมองเขา เห็นชายหนุ่มนั่งเงียบไม่พูดไม่จาก็อดก้มมองตัวเองในคืนนี้ไม่ได้ เธอแต่งแบบนี้แล้วไม่สวยหรอกหรือ เขาถึงได้ไม่ออกปากชมสักคำในขณะเดียวกัน คนที่นั่งประจำอยู่หลังพวงมาลัยกลับรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เดรสที่สาวน้อยคู่หมั้นใส่วันนี้นั้น เพิ่งรู้ว่าเวลานั่งมันจะร่นขึ้นไปสูงจนเกือบถึงขาอ่อน ไหนจะหน้าอกหน้าใจที่อวบอิ่มดุนดันออกมาจากคอเสื้ออีก...ให้ตายสิ เด็กบ้าอะไรยิ่งโตยิ่งสวย ยิ่งโตยิ่งอึ๋ม!“อุ๊ย!”รวิชาอุทานเบา ๆ เมื่อโทรศัพท์มือถือหลุดมือกระเด็นไปตกอยู่แทบเท้าของเขา เพราะข้อศอกของเธอกับเขาชนกันพอดีตอนเธอเปิดกระเป๋าจะหยิบมันออกมา“เดี๋ยวอาหยิบให้จ๊ะ”ภีมพลบอกอย่างหวังดี แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าหวือเพราะเขากำลังขับรถอยู่ เกรงว่าจะเกิดอันตรายเข้าตอนก้มควานหาโทรศัพท์ให้เธอ“ไม่เป็นไรค่ะ อาภีมกำลังขับรถอยู่ มันอันตรายเดี๋ยวน้องอายหยิบเอง”ว่าแล้วหญิงสาวก็ค้อมตัวลงควานมือไปหาโทรศัพท์ใ
จนมาแน่ใจว่าสุนิตาไม่น่าคบหาสมาคมด้วย เพราะพฤติกรรมของเจ้าตัวที่มีต่อคู่หมั้นของเธอ รวิชาสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่าสุนิตาชอบพูดถึงภีมพลอยู่บ่อยครั้ง หนำซ้ำยังชอบมองเขาด้วยสายตาหวานเชื่อมราวกับเชิญชวน ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่ชอบ รวิชาไม่มีทางยอมให้ผู้หญิงคนไหนมาแย่งเขาไปอย่างเด็ดขาด!ก่อนหน้านี้ ภีมพลส่งข้อความไปบอกว่ากำลังคุยอยู่กับสุนิตา และถ้าจะเดินมาหาก็อย่าเพิ่งแสดงตัว ให้เธอรอฟังอยู่เงียบ ๆ ก่อน จากนั้นเขาก็กดโทร. เข้าเครื่องเธอ รวิชาจึงได้ยินทุกประโยคที่สองคนนั้นคุยกัน“หมดเรื่องยุ่ง ๆ กันสักทีนะ”ภีมพลเดินเข้ามาโยกศีรษะของรวิชาเบา ๆ หญิงสาวหันมายิ้มให้ ก่อนจะบอกลาเพื่อนทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง แล้วเดินตามคู่หมั้นหนุ่มไปขึ้นรถที่จอดเอาไว้คิดแล้วก็โล่งใจไปอีกเปลาะที่หมดปัญหาเรื่องสุนิตาไปได้ ทีนี้ก็คงเหลือแต่เรื่องบรรดาผู้หญิงมากหน้าหลายตาของเขาที่วิคกี้ขยันส่งภาพมาให้เธอดู คู่หมั้นของเธอก็ช่างกระไร ทำไมถึงได้เป็นคน “ทั่วถึง” ขนาดนั้นก็ไม่รู้ ผู้หญิงที่ไหนเข้าหาก็ไม่เคยปฏิเสธ ไปยืนปล่อยให้พวกหล่อนทั้งกอดทั้งซบอยู่ได้ คิดแล้วก็น
วันต่อมา ภีมพลขับรถไปรับรวิชาที่มหาวิทยาลัย โดยไปก่อนเวลาเลิกเรียนเล็กน้อย ชายหนุ่มอยู่ในชุดลำลองเพราะไม่ได้เข้าออฟฟิศ ตั้งใจไว้ว่าจะพาคู่หมั้นสาวไปหาซื้อชุดสำหรับไปงานแต่งงานของพชรกับช่อมาลี เพราะเมื่อวานเขาลืมบอกว่างานแต่งงานจะจัดในคืนวันเสาร์ที่จะถึง ไม่รู้ว่าหญิงสาวจะมีโปรแกรมไปไหนกับบิดามารดาหรือเปล่าชายหนุ่มเดินเตร่อยู่แถวนั้นระหว่างรอรวิชา ก่อนหน้านี้เขาส่งข้อความไปบอกแล้วว่าจะมารับ เธอก็ตอบกลับว่าเลิกเรียนตอนบ่ายสองโมงสี่สิบห้า เขาดูเวลา ตอนนี้เพิ่งจะบ่ายสองโมงครึ่งเท่านั้น อีกสิบห้านาทีรวิชาก็จะเลิกเรียนแล้ว เขาจึงไม่ได้ไปไหนไกลจากตึกคณะเรียนของเธอ“คุณภีมคะ” เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้ชายหนุ่มต้องชะงักเท้าอยู่กับที่แล้วหันไปมองเจ้าของเสียง เขาลอบถอนหายใจเมื่อเห็นว่าเป็นใคร“มารับอายหรือคะ”สุนิตาเดินยิ้มหวานเข้ามาใกล้พร้อมกับพนมมือไหว้อย่างชดช้อย และเมื่อเงยหน้าขึ้นก็ช้อนตามองเขาอย่างมีจริตจะก้าน“ใช่...แล้วนี่เธอไม่ขึ้นเรียนหรือไง”ชายหนุ่มตอบอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นก็หยิบโทรศ
ด้านคนที่ถูก “แปะมือ” ไว้ก็ได้แต่ตัวแข็งค้าง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเพราะเกรงว่าสาวเจ้าจะรู้ว่าเผลอทำอะไรลงไป แล้วจะพานอับอายจนเข้าหน้ากันไม่ติดอีกรวิชาทำมือบอกเขาว่าจะไปนั่งเล่นที่โซฟา โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าโล่งอกของชายหนุ่ม เพราะเห็นเขากำลังคุยเรื่องงานกับปลายสายด้วยสีหน้าเคร่งเครียดหญิงสาวทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดเครื่องดูเผื่อว่าสกลธีกับอารดาจะฝากข้อความไว้ ทว่าทันทีที่เปิดเครื่อง สัญญาณเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นทันทีจนเจ้าตัวผวา ยิ่งเห็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเธอก็ยิ่งไม่กล้ารับสาย ได้แต่ปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่ภีมพลวางสายจากคู่สนทนาพอดี“ให้อารับแทนไหม” เห็นสีหน้าของเธอ เขาก็รู้แล้วว่าน่าจะเป็นสายจากไอ้พวกหื่นกามที่ติดต่อมาทางเฟซบุ๊กปลอม เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนที่โทร. มามันจะพูดว่าอย่างไรบ้างรวิชาพยักหน้าเร็ว ๆ พร้อมส่งโทรศัพท์ไปให้เขา ภีมพลกดรับสายทันทีเพราะเกรงว่าคนที่โทร. มาจะถอดใจวางไปก่อน ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูแล้วรอฟังหญิงสาวมองหน้าเขาด้วยความอยากรู้ว่าปลายสายพูด
เสียงโทรศัพท์ของรวิชาดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นเบอร์ใหม่ ไม่ใช่เบอร์เดียวกันกับที่โทร. มาเมื่อครู่ หญิงสาวจึงจัดการปิดเสียง แล้วกดโทร. ออกหาคู่หมั้นหนุ่ม รอสายไม่นาน ภีมพลก็กดรับสาย“ว่าไงครับน้องอาย” แค่ได้ยินเสียงเท่านั้น เธอก็อยากให้เขามาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าในตอนนี้เหลือเกิน“อาภีมอยู่ที่ออฟฟิศหรือเปล่าคะ น้องอายไปหาได้ไหม”น้ำเสียงเศร้าสร้อยของสาวน้อยส่งผลให้ชายหนุ่มวางมือจากแฟ้มเอกสารทันที เขาเอนหลังพิงเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่ด้วยท่าทางผ่อนคลาย แล้วถามด้วยความเป็นห่วง“น้องอายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ เอาอย่างนี้ดีกว่า ให้อาขับรถไปรับที่มหาวิทยาลัยดีไหม”“อย่าเลยค่ะอาภีม น้องอายนั่งรถไปหาเองดีกว่า จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา แต่วันนี้อาภีมไม่ได้ไปทำธุระที่ไหนใช่ไหมคะ” เกรงใจเขาก็เกรงใจ แต่ในยามที่มีเรื่องไม่สบายใจ เธอกลับคิดถึงเขาที่สุด“ไม่ได้ไปไหนครับ มาหาได้เลยอาจะรอนะ” เสียงทุ้มอ่อนโยนของเขาช่วยให้ใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง หญิงสาวรับคำแล้วกดวางสาย ในขณะที่ภีมพลก็กดโทรศัพท์ออกไปหาชุมชาย เลข
“เฮ้อ แย่เนอะ สมัยพวกเราเรียนมัธยมยังไม่เห็นมีแบบนี้เลย”ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้คุยอะไรกันต่อ เตชินทร์ก็เดินเข้ามาหา แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับรวิชาอย่างถือวิสาสะ เขาหันมาส่งยิ้มให้อารดาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปคุยกับรวิชา“แย่หน่อยนะครับ เจอใครไม่เจอดันไปเจอไอ้วิชร”ชายหนุ่มเปิดรอยยิ้มกว้างจนตายิบหยี ใบหน้าหล่อเหลาขาวใสสไตล์หนุ่มเกาหลีที่กำลังนิยมทำเอาคนมองอย่างอารดาตาพร่า เสียงทุ้มของเขายามเอื้อนเอ่ยฟังดูนุ่มนวลชวนหลงใหล แม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้คุยและยิ้มให้กับเธอ แต่หญิงสาวก็อดเผลอนั่งจ้องเขาไม่ได้“ขอบคุณพี่มาก ๆ เลยนะคะที่ช่วยไว้ พี่ชื่อ...”รวิชาพูดค้างไว้แค่นั้น เตชินทร์จึงแนะนำตัวเอง“เตชินทร์ครับ เรียกพี่ชินทร์เฉย ๆ ก็ได้ พี่อยู่ปีสามคณะเดียวกับน้องนั่นละ แต่ช่วงวันปฐมนิเทศพี่ติดธุระเลยไม่ได้มาร่วมงาน น้องอายเลยไม่เคยได้เจอหน้าพี่ แต่พี่เห็นน้องอายบ่อยเลยนะเพียงแต่ไม่กล้าเข้ามาทัก”เตชินทร์คลี่ยิ้มกว้างอีกครั้ง คราวนี้อารดาต้องแอบจิกเนื้อของตัวเอง เตือนสติให้เลิกมองเขา หัว
รวิชาเดินเข้ามหาวิทยาลัยเพียงลำพัง เมื่อคืนเธอได้แชตกับเพื่อนสนิททั้งสองคนเกี่ยวกับภาพข่าวที่ออกมา และปฏิกิริยาของคนที่เข้ามาโพสต์ อดแปลกใจไม่ได้ว่าบางคนนั้นไม่เคยรู้จักเธอด้วยซ้ำ แต่มาพูดต่อว่าเธอเสีย ๆ หาย ๆ ราวกับรู้จักกันมาเนิ่นนาน จึงลงความเห็นกันว่าเธอคงไม่ค่อยเป็นที่ปรารถนาของนักศึกษาผู้หญิงเท่าไร ไม่ว่าจะรุ่นเดียวกันหรือรุ่นพี่เธอเดาว่าอาจเป็นพราะการที่ตนเป็นจุดเด่นมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ตนเป็นจุดสนใจของเพศตรงข้าม รวมไปถึงการใช้กระเป๋าและนาฬิกาแบรนด์หรูมาเรียน รวิชาจึงพยายามลดความเป็นจุดเด่นของตัวเองลง โดยเริ่มปรับปรุงเกี่ยวกับเรื่องเครื่องประดับติดกายพวกนี้ก่อนวันนี้เธอสะพายกระเป๋าแฮนด์เมดใบละไม่กี่ร้อยที่ซื้อจากตลาดนัดสวนจตุจักรตั้งแต่สมัยมัธยมมาเรียน ใส่นาฬิกาเรือนเดิมที่เคยใส่ตอนเรียนมัธยมปลาย การที่ตัวเองเป็นเด็กใหม่แต่ถ้าทำตัวให้น่าหมั่นไส้แม้จะไม่ตั้งใจก็ตาม ก็อาจจะทำให้เธอใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยได้ไม่ราบรื่นนักเสียงกระหึ่มของรถสปอร์ตคันหรูที่ดังอยู่ด้านหลังไม่ได้ทำให้รวิชาสนใจจนต้องหันไปมอง หญิงสาวยังคงเดินไปเรื่อย ๆ