“ไม่เป็นไรหรอกครับ เราก็แค่สนุกกันเกินไปหน่อย อย่างว่าแหละนะตอนเข้าด้ายเข้าเข็มใครจะมามัวนั่งสนใจกระเป๋า”
ปากกล้าแต่ขาสั่น ประโยคนี้เหมาะกับกลวิชรในตอนนี้ที่สุด เพราะเพียงเห็นประกายตาวาวโรจน์ของคนตรงหน้าก็ทำเอารู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาทันที
ภีมพลแค่นยิ้มมุมปาก เขาก้าวไปยืนจนแทบชิดกับตัวของกลวิชรจนอีกฝ่ายต้องผงะถอย
“แต่เท่าที่ฉันเห็นมันไม่ใช่อย่างนั้นนะ ทีหลังจะพูดจะจาหัดระวังปากไว้หน่อย ถ้ายังอยากมีฟันไว้เคี้ยวข้าว ครั้งนี้ฉันจะถือเสียว่าโดนหมามันเลียปาก แต่ถ้าครั้งหน้ายังเกรียนไม่เลิกก็อย่าหาว่าฉันรังแกเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแกก็แล้วกัน ฉันเตือนแกแล้วนะ” ภีมพลพูดเสียงลอดไรฟัน แสยะยิ้มใส่กลวิชรอย่างอาฆาตมาดร้ายก่อนจะออกคำสั่ง
“ไสหัวไปได้แล้ว ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”
กลวิชรผละไปขึ้นรถที่จอดไว้หน้าบ้านอย่างฮึดฮัดขัดใจ สตาร์ตรถได้ก็ขับกระชากออกไปอย่างเร็วจนล้อบดถนนเสียงดังสนั่น ภีมพลมองตามหลังท้ายรถคันนั้นอย่างหมายมาดแล้วหันไปพูดกับลูกน้องที่ยืนอยู่แถวนั้น
“เป็นต่อ ฉันเปลี่ยนใจแล้ว” เขาพูดเพียงแค่นั้น ลูกน้องมือขวาของเจ้าพ่อซุสก็ผงกศีรษะรับคำสั่งในทันที
“ครับคุณภีม”
ภีมพลปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนเดินไปหารวิชาที่กำลังยืนมองนิ่ง เขาคลี่ยิ้มให้คู่หมั้นสาวพลางยื่นกระเป๋าสะพายใบเล็กเจ้าปัญหาส่งให้ แต่ช่อดอกไม้เขากลับยื่นไปที่สองสาวน้อย เพื่อนของรวิชา
“เอาไปตกลงกันเองนะครับสาว ๆ ว่าใครจะได้ช่อนี้ไป” เขายิ้มโปรยเสน่ห์ เผื่อแผ่มาถึงหญิงสาวตรงหน้านี้ด้วย
“อารู้ว่าน้องอายไม่อยากได้ดอกไม้ของหมอนั่นหรอก จริงไหม”
“น้องอายยังไม่ได้พูดสักคำว่าไม่อยากได้ จะว่าไปมันก็สวยดีนะคะ กุหลาบสีชมพูเสียด้วย” ปากพูดอย่างนั้นแต่สีหน้าไม่ได้มีแววว่าเสียดาย ภีมพลระบายยิ้มทั้งปากและตาแล้วเอ่ยชวนคู่หมั้นป้ายแดง
“คืนนี้ไปนั่งเล่นที่คลับไหม อาขอพ่อกับแม่ให้ ไปกับอาท่านอนุญาตอยู่แล้ว”
เขาเห็นสีหน้าตื่นเต้น ประกายตาวิบวับของรวิชาแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“น้องอายอยากไปค่ะ แต่ให้เพื่อนน้องอายไปด้วยนะคะ น้องอายจะได้มีเพื่อน” หญิงสาวพยักพเยิดไปทางเพื่อนสาวสองคนที่นั่งคุยกันงุ้งงิ้งอยู่ข้างหลัง
“เอาสิครับ ตามสบายเลย คืนนี้อาเลี้ยงเต็มที่”
เขาพูดจบ รวิชาก็หันไปบอกพรรณรายกับอารดาทันที พรรณรายนั้นออกอาการดีใจอย่างไม่ปิดบัง ในขณะที่อารดาส่ายหน้าปฏิเสธ
“ฉันไปไม่ได้ ฉันต้องทำงานนะแกก็รู้ นี่อุตส่าห์ขอแลกกะกับพี่ที่ทำงานเพื่อมาที่นี่ เพราะฉะนั้นยังไงคืนนี้ฉันก็ขาดงานไม่ได้เด็ดขาด” อารดายิ้มแหย นึกเกรงใจชายหนุ่มที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้าไม่น้อย
“จริงด้วยสิ ฉันก็ลืมไปเลย งั้นเดี๋ยวฉันไปกับยายพิงค์สองคนก็ได้...อาภีมขา เพื่อนน้องอายไปคนหนึ่งค่ะคือพิงค์ ส่วนอุ้ยไปไม่ได้เพราะต้องทำงานพิเศษ อาภีมอย่าลืมไปขอคุณพ่อคุณแม่ให้น้องอายนะคะ”
หญิงสาวชี้ไปที่เพื่อนทีละคน ก่อนจะคว้าข้อมือเขามาเขย่าอย่างออดอ้อน ภีมพลได้แต่ยิ้ม มองอากัปกิริยานั้นด้วยความชอบใจ เขาชอบให้รวิชามาออดอ้อนออเซาะเหมือนลูกแมวน้อย มันทำให้เขารู้สึกระชุ่มกระชวยอย่างบอกไม่ถูก
เขาเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าทำไมพวกอาเสี่ย หรือป๋าถึงชอบเลี้ยงอีหนูคราวลูกไว้เป็นบ้านเล็กบ้านน้อย
“ได้สิ อาจะไปขอให้ แต่ไปค่ำ ๆ โน่นน่ะแหละ ไม่ต้องรีบหรอก...จริงสิ น้องอายไปรู้จักกับเพื่อน ๆ อาหน่อยนะ พวกเพื่อนอาอยากรู้จักเราน่ะ” พูดจบเขาก็ถือวิสาสะคว้าข้อมือของหญิงสาวเดินไปยังโต๊ะที่กลุ่มเพื่อนของเขานั่งอยู่
ท่าทางประหม่าด้วยความเขินอาย จนหน้านวลใสแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดูของรวิชา ทำให้พชรกับเธียรทัตอดไม่ได้ที่จะกระเซ้าเย้าแหย่สาวน้อยที่เดินตามแรงจับจูงของภีมพลตั้งแต่ยังไม่ถึงโต๊ะ
“อากับหลานมาถึงกันแล้วเว้ยเฮ้ย” เธียรทัตยิ้มร่าเปิดปากตะโกนให้สองคนที่กำลังเดินมาได้ยิน พชรหัวเราะจนแทบสำลักน้ำ แต่ยังมิวายต่อประโยคเพื่อนเหมือนแก้ความเข้าใจเสียใหม่
“เฮ้ยไอ้บ้า! อากับหลานที่ไหนกันเล่า คู่หมั้นเว้ยคู่หมั้น นี่เรามางานหมั้นไอ้ภีมนะเว้ย ไม่ได้มางานฉลองรับเลี้ยงลูกบุญธรรม ฮ่า ๆ” พชรพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะเปลี่ยนเป็นร้องโอดโอยเมื่อถูกช่อมาลีหยิกที่สีข้าง
“คุณโอมคะ น้องเขาอายจะแย่อยู่แล้วยังจะแซวไม่เลิกอีก นิสัยเสียจริงเชียว” ช่อมาลีเอ็ดให้คนรักก่อนจะยิ้มกว้างให้รวิชาที่หน้าแดงก่ำทำตัวไม่ถูกอยู่ข้างโต๊ะหลังจากเจ้าตัวยกมือไหว้ทุกคนแล้ว เธอรีบเอากระเป๋าสะพายของตนออกจากเก้าอี้ แล้วเชื้อเชิญให้สาวน้อยนั่งลงข้างตัวเอง
“น้องอายนั่งข้างพี่ก็ได้ค่ะ”
รวิชารีบนั่งตามคำเชิญทันที อย่างน้อยนั่งใกล้ผู้หญิงด้วยกันก็ยังดีกว่าต้องไปนั่งอีกฝั่งซึ่งใกล้กับเพื่อนผู้ชายของคู่หมั้นหนุ่ม
“ขอบคุณค่ะ” รวิชายิ้มขอบคุณสาวสวยที่เธอรู้มาว่าเป็นคนรักของพชร และรู้มาจากพรรณรายว่าเป็นอดีตนักร้องนำวงบัตเตอร์ฟลายที่เล่นให้คลับซุส
“สวัสดีครับน้องอาย พี่ชื่อพี่เธียรนะครับ ส่วนนี่พี่โอม พี่ม็อท พวกเราเป็นเพื่อนของ...อาภีมน่ะ”
เธียรทัตแนะนำตัวเองและคนอื่นให้สาวน้อยรู้จัก รวิชายกมือไหว้ทุกคนอีกครั้ง สักพักเธียรทัตก็หลุดหัวเราะเมื่อหันไปมองหน้าภีมพล
“นึกยังไงให้คู่หมั้นเรียกแกว่า “คุณอา” วะไอ้ภีม ฟังเหมือนเลี้ยงต้อยยังไงก็ไม่รู้ว่ะ” เธียรทัตหันไปหาเพื่อนที่นั่งทำหน้าไม่ถูก เหลือบมองสาวน้อยก็เห็นเจ้าตัวเอาแต่ก้มหน้างุดด้วยความเขิน
“จะเรียกยังไงก็ไม่สำคัญ เขาอยากเรียกฉันว่าอะไรก็ตามใจเขาเถอะ เพราะฉันก็เลี้ยงต้อยจริง ๆ นี่หว่า”
ภีมพลยักไหล่ตอบอย่างไม่แยแส สายตาจับจ้องอยู่แต่ใบหน้าของคู่หมั้นสาวที่อายม้วนจนแทบมุดไปอยู่ใต้โต๊ะ รู้ว่าเธอกำลังกลั้นยิ้มอย่างเต็มที่เพราะเห็นท่าทางเม้มปากล่างเสียแน่น นี่คงกำลังใช้ฟันกัดที่ปากด้านในอยู่เป็นแน่
“น้องอายครับ ไม่เอานะไม่ทำแบบนี้ เดี๋ยวเป็นแผล”
เขาเอื้อมไปแตะปลายคางของเธอแล้วใช้นิ้วโป้งกด ๆ คลึง ๆ อย่างแผ่วเบาที่ริมฝีปากอิ่มโดยไม่แคร์สายตาของเพื่อนร่วมโต๊ะที่มองอยู่
อาภีมบ้า! เขินจะตายอยู่แล้ว ยังมาทำอย่างนี้อีก
รวิชาแทบอยากแกล้งเป็นลมสลบอยู่ตรงนั้น เธออุตส่าห์นั่งนิ่ง ๆ แล้ว แต่เขายังมาทำให้เขินอีกจนได้ เธอแอบช้อนตามองเพื่อนของเขาแต่ละคน เห็นแววตาล้อเลียนมองมาจึงรีบก้มหน้าหลบแทบไม่ทัน ไม่รู้ตัวเลยว่าคู่หมั้นหนุ่มนั้นวาดแขนขึ้นมาพาดไว้บนพนักเก้าอี้ที่ตนนั่งอยู่ราวกับต้องการประกาศความเป็นเจ้าของ
“คืนนี้ฉันจะพาน้องอายกับเพื่อนไปที่คลับด้วย” ภีมพลหาทางเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะนึกเห็นใจสาวน้อยที่นั่งเก็บปากเก็บคำเงียบเชียบ
“เฮ้ยไม่ได้! อายุยังไม่ถึง ในฐานะที่ฉันก็เป็นหุ้นส่วน ฉันไม่อนุญาตให้เข้า”
พชรแกล้งทำท่าทางขึงขังแต่แววตาไหวระริกอย่างนึกสนุก จนคนที่อยากพาคู่หมั้นไปเที่ยวที่คลับต้องคว้าก้อนน้ำแข็งจากในแก้วเขวี้ยงใส่
“ทีอย่างนี้มาทำเป็นเคร่งครัดกฎระเบียบ แล้วใครวะดันแหกกฎที่ตัวเองตั้งไว้ว่าจะไม่กินไก่วัดน่ะ” ภีมพลแยกเขี้ยวใส่เพื่อนพลางชำเลืองมองไปทางช่อมาลี อดีตลูกน้องที่เคยเป็นเป็นนักร้องประจำคลับซุส
“แล้วจะทำไมวะ ก็ไก่มันน่ากิน ถ้าฉันไม่กินเองคนอื่นก็มาคว้าไปสิ เรื่องอะไรจะปล่อยให้คนอื่นล่ะ เนอะ” พชรหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้แฟนสาว ช่อมาลีได้แต่ยิ้มเขิน ไม่พูดอะไรที่เป็นการวกเข้าหาตัวเอง
จากนั้นทั้งหมดก็นั่งคุยหยอกล้อกันไปสักพัก ก่อนจะแยกย้ายในเวลาต่อมา และนัดหมายกันอีกครั้งตอนสองทุ่มให้ไปเจอกันที่คลับ พรรณรายกับอารดานั้นกลับไปตั้งแต่ช่วงบ่าย ซึ่งพรรณรายบอกกับเพื่อนเอาไว้ว่าจะเดินทางไปที่คลับด้วยตัวเอง ส่วนอารดานั้นไปทำงานต่อทันทีหลังออกจากบ้านของรวิชาแล้ว
ภีมพลพารวิชาเดินเข้าทางประตูสำหรับพนักงาน เพื่อจะพาหญิงสาวขึ้นไปยังชั้นสองซึ่งเป็นส่วนของออฟฟิศ ทุกครั้งที่เจอพนักงาน ชายหนุ่มจะแนะนำรวิชาให้ทุกคนรู้จักในฐานะคู่หมั้นโดยไม่ปิดบัง สร้างความแปลกใจให้กับทุกคนที่จู่ ๆ เจ้านายหนุ่มหล่อทั้งสองคนก็ประกาศตัวหมั้นหมายตามกันไปติด ๆมีเพียงวิคกี้ที่ยืนสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อระงับอารมณ์กราดเกรี้ยวและมองหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของภีมพลด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เพราะไม่ว่ามองอย่างไรก็แค่เด็กเมื่อวานซืน แต่ทำไมถึงคว้าเอาชายหนุ่มที่เธอหมายปองไปครอบครองได้ อดคิดไม่ได้ว่าเด็กสาวคนนี้คงผ่านเรื่องอย่างว่ามาอย่างโชกโชนกระมังถึงได้จับเจ้าพ่อซุสได้อยู่หมัด“อย่าเผลอเชียวนะนังเด็กน้อย” วิคกี้เหยียดยิ้มมุมปากเมื่อคิดว่าเด็กสาวอย่างรวิชาคงจะไม่คณามือของตนสักเท่าไร แค่เด็กสาวใจแตกคนหนึ่ง ถ้าเธอเป่าหูเสียหน่อยก็คงจับสองคนนี้แยกกันได้ไม่ยาก“วันนี้ลูกค้าไม่ค่อยเยอะเท่าไรเพราะไม่ใช่คืนสุดสัปดาห์ อาสั่งให้เด็กเตรียมโต๊ะตรงโซนวีไอพีให้เรากับเพื่อนแล้วนะ แล้วเพื่อนเราจะมาถึงกี่ทุ่มล่ะ”ภีมพลชวนคุยร
ทั้งสามคนนั่งเพลิดเพลินกับความสนุกสนานที่รายล้อมรอบตัว รวิชาได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ที่พรรณรายพามา เขาชื่อสกลธี และด้วยความที่สกลธีเป็นเกย์ควีนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศ เธอจึงสามารถสนิทกับเขาได้อย่างรวดเร็ว“เออใช่ ฉันก็ลืมเล่าให้แกฟังเลยยายอาย ที่จริงวันนี้น่ะฉันชวนพี่ทิวมาด้วยนะ แต่เห็นพี่ทิวบอกว่าต้องไปเยี่ยมพี่วิชรที่โรงพยาบาล แกรู้ไหมว่าพี่วิชรเป็นอะไร”พรรณรายพูดออกท่าออกทางอย่างตื่นเต้น มองสีหน้าของเพื่อนสนิทที่กำลังมองมาตาแป๋วรอให้ตนเป็นคนเฉลยคำตอบ“พี่วิชรโดนซ้อมอาการหนักมาก ถึงกับต้องหามส่งโรงพยาบาลเลยนะแก ฉันว่างานนี้อาภีมของแกมีเอี่ยวแหง ๆ”พรรณรายยักคิ้วให้รวิชาเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ตัวเองคาดเดานั้นถูกต้องแน่นอน เพราะเพิ่งมีเรื่องกันไปเมื่อตอนบ่าย“ทำไมแกมั่นใจขนาดนั้น อาจจะไม่ใช่อาภีมก็ได้ แกก็รู้ว่าพี่วิชรน่ะกร่างไปทั่วนั่นแหละ” แม้จะคิดเหมือนเพื่อน ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะแก้ต่างให้คู่หมั้น“แหม วันนี้พี่วิชรมีเรื่องกับใครล่ะจ๊ะถ้าไม่ใช่คู่หมั้นสุดหล่อของเธอน่ะ”&
“เตือน? เตือนเรื่องอะไรคะ” รวิชาขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย ในใจเริ่มคิดไปถึงข่าวลือหนาหูของคู่หมั้นหมาด ๆ ที่เธอได้ยินมาจากพรรณรายถึงเรื่องความเจ้าชู้ของเขา และไหนจะภาพบาดตาเมื่อครู่นี้อีก“ก็คุณภีมน่ะสิคะ เขาค่อนข้างขึ้นชื่อในเรื่องผู้หญิง ยิ่งทำงานกลางคืนที่ต้องใกล้ชิดกับพวกสาว ๆ สวย ๆ ก็ยิ่ง...เอ่อ...อย่าว่าแต่พวกลูกค้าสาว ๆ เลยค่ะ ขนาดนักร้องหรือเด็กเสิร์ฟหน้าตาดีหน่อยส่วนใหญ่ก็ต้องเคยผ่านคุณภีมมาแล้วทั้งนั้น ขนาดพี่เองก็ยัง...เอ่อ...พี่ไม่รู้จะอธิบายยังไงค่ะ แต่ที่พี่เอามาบอกก็เพราะว่าอยากให้น้องทำใจรับเรื่องนี้ของเขาให้ได้นะคะ ไม่งั้นคงคบกันไม่ยืด พี่เห็นน้องยังเด็กมาก กลัวจะรับไม่ได้ก็เลยต้องมาบอกเอาไว้ก่อน”รวิชาเผลอกำมือแน่นจนเล็บจิกฝ่ามืออย่างลืมตัว เธอไม่รู้ว่าทำไมต้องโกรธ และทำไมในอกมันจุกจนเหมือนหายใจไม่ออกในเมื่อรู้มาก่อนล่วงหน้าแล้วว่าเขาเป็นคนแบบนี้ อีกทั้งเธอกับเขาก็แค่หมั้นกันหลอก ๆ แล้วทำไมเธอถึงรู้สึกทนไม่ได้เมื่อได้ยินว่าเขามีความสัมพันธ์กับผู้หญิงมากหน้าหลายตา รวมถึงคนที่อยู่ตรงหน้านี่ด้วย“แต่พี่ขอร้องอย่า
ชายหนุ่มเดินขึ้นมาถึงห้องพักผ่อนที่รวิชาเคยนอนเมื่อครั้งถูกกลวิชรวางยานอนหลับ เขาใช้มืออีกข้างเปิดประตูแล้วเอาเท้าดันให้ปิด พาร่างที่ดิ้นขลุกขลักอยู่บนบ่าไปหย่อนลงบนเตียงนอนหนานุ่มกลางห้อง แล้วหย่อนกายลงนั่งขอบเตียง“ว่าไง ยังจำห้องนี้ได้ไหมหนูอาย” ภีมพลพูดเสียงสั่นปนหอบ มือก็ตามคว้าร่างที่กำลังจะขยับหนีให้ขึ้นมานั่งอยู่บนตักของตน ส่งเสียงขู่ไม่ให้คนตัวเล็กได้แผลงฤทธิ์“นั่งนิ่ง ๆ ถ้าไม่นิ่งอาไม่รับรองความปลอดภัยนะ หรืออยากจะลอง”ประโยคสุดท้ายเขาพูดพร้อมกับเกยคางลงบนไหล่มนจนริมฝีปากแทบจะชิดกับแก้มนุ่ม รวิชานั่งนิ่งตัวแข็งทันที เมื่อตระหนักได้ว่าความปลอดภัยที่เขาพูดถึงนั้นหมายถึงอะไร ทั้งตกใจทั้งหวาดหวั่นแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกวูบวาบหวามไหวไปกับความใกล้ชิด จนเขาสามารถหายใจรดซอกคอเธอได้“ไหนบอกสิว่าโกรธอาเรื่องอะไร ทำไมถึงพูดกับอาแบบนั้น ปกติเราไม่เคยพูดแรงขนาดนี้เลยนะ”อาภีมคนเดิมเริ่มกลับมาเพราะน้ำเสียงที่เขาใช้กับเธอนั้นสุดแสนจะอ่อนทุ้มนุ่มนวล แต่รวิชายังคงปิดปากเงียบ หันหน้าหนีสายตาคมปลาบของเขาไปอีกทาง ภีมพลจึงข
ไม่เกินสิบนาทีต่อมา ชายหนุ่มก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความผ่อนคลาย เห็นรวิชานั่งหน้าแดงเอียงคอ ทำหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่“คิดอะไรอยู่” ภีมพลเดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ เห็นสีหน้าแววตาของรวิชาตื่นเต้นเล็กน้อยก่อนที่เจ้าตัวจะรีบกลบเกลื่อนด้วยการหันมาฉีกยิ้มกว้าง แล้วรีบเบือนหน้าไปทางอื่นแทน ชายหนุ่มจึงเอามือทั้งสองข้างไปกุมใบหน้าเรียวสวยนั้นไว้ บังคับให้หันมองมาตน“รู้ตัวหรือเปล่าว่าเราน่ะโกหกไม่เก่งเลย ว่าไงครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”รวิชาได้แต่ยิ้มแหย นัยน์ตากลมโตกวาดมองไปทางอื่นเพราะไม่กล้าสบตากับเขา ปากอิ่มเม้มแน่นตามความเคยชิน ทำเอาคนมองได้แต่จ้องริมฝีปากสีระเรื่อนั้นตาปรอย“ก็...ก็แค่...นึกถึงวันนั้นค่ะ” วันที่เธอตื่นมาแล้วพบว่ามีผู้ชายเปลือยกายนอนหลับอยู่ข้าง ๆ แถมยังเป็นผู้ชายที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะได้มาพูดคุยจนเลยเถิดมาถึงขั้นหมั้นหมายกันอย่างวันนี้…และที่สำคัญ เธอยังได้เห็นหนอนชาเขียวตัวโตเต็มวัยของเขาอีกด้วย!“ทำไมล่ะ จะบอกให้ว่าวันนั้นน้องอายโชคดีมากแล้วรู้ไหมที่เจออา ถ้าอาไม่ยื่นม
เสียงคนวิ่งตึงตังลงมาจากบันไดทำให้ผู้ที่นั่งดูข่าวเช้าทางโทรทัศน์ต้องเงยหน้าขึ้นมอง จึงเห็นบุตรสาวยืนยิ้มร่าอยู่ตรงหน้า“น้องอายดูเป็นยังไงบ้างคะคุณพ่อคุณแม่”คนพูดกางแขนหมุนตัวหนึ่งรอบให้บิดามารดาได้เห็นตนในชุดนิสิตวันแรก รวิชาอยู่ในชุดกระโปรงอัดจีบรอบตัวยาวเสมอเข่า เสื้อนักศึกษาขนาดพอดีตัวไม่หลวมโคร่ง และไม่รัดรูปจนเกินไป สวมถุงเท้าสีขาวสำหรับใส่กับคัตชูสีขาวเพื่อบ่งบอกสถานะของการเป็นน้องใหม่ เป็นการแต่งกายที่ถูกระเบียบทุกอย่างสำหรับวันรายงานตัวการเข้าเป็นนิสิตใหม่ของมหาวิทยาลัยมีชื่ออันดับต้น ๆ ของประเทศ“ดูดีที่สุดเลยลูก”อาทิตย์มองบุตรสาวด้วยความภาคภูมิใจ รวิชาไม่เคยทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาให้พ่อกับแม่ต้องปวดหัวหรือหนักใจเลยสักครั้ง ตรงกันข้าม เจ้าตัวกลับนำแต่ความชื่นชมยินดีมาให้“แล้วนี่จะไปรถเมล์จริงหรือลูก แม่ว่าเอารถที่บ้านเราไปส่งก็ได้นี่นา ไปมหาวิทยาลัยวันแรกการเดินทางน่าจะยังไม่สะดวก” มารดาถามด้วยความเป็นห่วง แต่รวิชากลับส่ายหน้าหวือ“วันแรกอย่างนี้แหละค่ะดีแล้ว น้องอายจะได้ก
หญิงสาวเบือนหน้าหนีและหันไปมองอีกทางราวกับคนไม่เคยรู้จัก อารดาก็สังเกตเห็นกลวิชรเช่นกัน และเริ่มรู้สึกถึงเค้าลางความยุ่งยากต่าง ๆ ที่กำลังจะตามมาในไม่ช้า พรรณรายเล่าให้ฟังว่ากลวิชรแค้นใจไม่น้อยที่โดนสั่งสอนจนสะบักสะบอมเมื่อหลายเดือนก่อน และพูดว่าจะหาทางเอาคืนให้ได้จนเธอนึกห่วงสวัสดิภาพของรวิชาขึ้นทันที“อาย พี่วิชรจ้องแกเขม็งเลย น่ากลัวชะมัด” อารดามีสีหน้าหวาดหวั่นระหว่างที่เดินเคียงคู่ไปกับรวิชาเข้าไปในอาคาร“ช่างเขาสิ ถ้ายังอยากหาเรื่องใส่ตัวอีกก็ช่วยไม่ได้แล้วล่ะ”รวิชายักไหล่อย่างไม่ยี่หระ กลวิชรหาเหาใส่หัวเองโดยแท้ที่คิดไปแหย่คนอย่างเจ้าพ่อซุส ถึงแม้เขาจะไม่ใช่มาเฟียที่มีอิทธิพลล้นฟ้าเหมือนในซีรีส์ที่เธอชอบดู แต่เขาก็มีลูกน้องอยู่ในความดูแลเป็นจำนวนมาก หนำซ้ำยังมีเส้นสายในสายงานต่าง ๆ แบบที่เธอไม่เคยรู้และคาดไม่ถึง เพราะเขาแทบจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับงานที่เขาทำอยู่ ทุกครั้งที่เขาหนีบเธอไปทำงานด้วย เขาก็ได้แต่ใช้ให้เธอช่วยนำเอกสารไปให้เลขาฯ ที่อยู่หน้าห้องเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นคือชงกาแฟ เตรียมของว่าง และนั่งรับประทานอาหารเป็นเพื่อนเขา
ภาพของภีมพลคลอเคลียกับผู้หญิงคนนั้นผุดวาบขึ้นในหัวของรวิชาอีกครั้ง หญิงสาวอดหวั่นไหวไปกับคำพูดของเพื่อนไม่ได้ เพราะกับเธอนั้น อย่างมากเขาแค่หอมแก้มโอบไหล่ ไม่เคยทำอะไรมากกว่านั้น จะว่าไปแล้วการกระทำของเขาไม่ต่างกับบิดาของเธอเลย หรือเขาแค่เอ็นดูเธอในฐานะของน้องคนหนึ่งอย่างที่สกลธีว่าไว้จริง ๆ“อ้าว หล่อนจะเหม่ออะไรยะ เดี๋ยวฉันเก็บเรียบหมดแล้วอย่ามากระซิก ๆ ไล่หลังฉันนะยะหล่อน ฉันไม่สำรอกออกมาหรอกนะจะบอกให้” คนพูดเคี้ยวตุ้ย ๆ พลางใช้ตะเกียบชี้หน้าเพื่อน“ตีตี้...อาภีมเขา...เขาไม่เคยทำอะไรแบบนั้นกับฉันเลยน่ะ เต็มที่เขาก็แค่จุ๊บหน้าผาก หรือหอมแก้มฉันแค่นั้นเอง” รวิชาพูดเสียงอ่อย ๆ ออกจะขัดเขินไม่น้อยที่ต้องมาเล่าเรื่องแบบนี้ให้เพื่อนฟัง“ถามจริง! ไม่มีคลุกมีเคล้า ไม่มีการเข้าถึงอะไร ๆ บ้างเลยหรือ”ชายใจหญิงทำตาโตตอนกระซิบถามเพื่อนราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เพราะเท่าที่เขารับรู้มา ภีมพลจัดว่าเป็นเพลย์บอยตัวพ่อเลยทีเดียว ชื่อเสียงเรื่องผู้หญิงของเจ้าพ่อซุสนั้นกระฉ่อนในเหล่าผีเสื้อราตรีไม่น้อย“ถ้างั้นเขาจะมาหม
“อ้าว! วันนี้คุณอายไม่เข้าบริษัทหรือ” เมื่อเช้าก็ออกมาด้วยกันแท้ ๆ แต่แม่เจ้าประคุณแอบหนีไปเที่ยวไหนกันล่ะนี่ ชายหนุ่มคิดอย่างเข่นเขี้ยวในใจเมื่อเจอ “เซอร์ไพรส์” สุดพิเศษจากศรีภรรยาภีมพลยิ้มกริ่มอย่างหมายมาด เห็นทีต้องรีบกลับไปรับขวัญก่อนเวลาเสียแล้ว ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถออกมา เหลือบไปเห็นแฟ้มงานสองแฟ้มที่ยังคงแผ่หราอยู่เต็มโต๊ะ แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังดูค้างเอาไว้ เขากวาดตามองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ใจจริงเขามีตัวเลือกเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อตัดสินใจได้เขาก็คว้าแฟ้มขวามือเดินออกจากห้องทันที จากนั้นจึงไปยื่นให้กับเลขาฯ ส่วนตัว“ผมเลือกของบริษัทนี้ ให้ฝ่ายจัดซื้อทำเรื่องได้เลย อ้อ วันนี้ผมไม่เข้าแล้วนะ” พูดจบชายหนุ่มก็ผละออกไป และต้องหยุดชะงักเมื่อเลขาฯ รีบวิ่งมาถามถึงงานบางอย่างที่เขาให้เตรียมไว้สำหรับช่วงบ่ายนี้“คุณภีมคะ แล้วเรื่องที่ให้เตรียมเอาไว้บ่ายนี้ล่ะคะ”“ยังคอนเฟิร์มอยู่ แต่ว่าคุณช่วยอะไรผมหน่อยสิ”ภีมพลหันมายิ้มพรายเต็มวงหน้าเมื่อคิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้
อดคิดไปถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้วไม่ได้ ท่านทั้งสองช่างมีความอดทนและมุมานะอย่างล้นเหลือที่สู้ฝ่าฟันจนกระทั่งบริษัทเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ นึกมาถึงตอนนี้แล้วก็โกรธตัวเองที่ตอนนั้นเอาแต่น้อยใจ คิดว่าท่านทำแต่งานจนไม่สนใจใยดีกับเธอผู้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว‘รวิชา แปลว่าลูกพระอาทิตย์ เพราะฉะนั้นหนูต้องเข้มแข็ง อดทนให้สมกับที่เป็นลูกสาวของพ่อ ชีวิตของหนูจะต้องรุ่งโรจน์สดใสเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า’ถ้อยคำจากบิดายังคงดังก้องอยู่ในหัวทุกครั้งที่นึกถึงเวลาเมื่อรู้สึกอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าไม่มีแม่นมชราและสามีที่คอยเป็นกำลังใจให้ ป่านนี้ชีวิตเธอจะหักเหไปทางไหนแล้วบ้างก็สุดรู้“อรุณสวัสดิ์จ้ะ”เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับจุมพิตเบา ๆ ที่ข้างแก้ม จากนั้นคนตัวโตก็ทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลังไว้พร้อมกับดึงบ่าของเธอให้เอนซบลงมาบนตัวเขา“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ” หญิงสาวทักทายกลับไปก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของสามี“จำเป็นต้องตื่นเช้าน่ะ จู่
หลังจากถวายสังฆทานจนกระทั่งกรวดน้ำเสร็จเรียบร้อย ภีมพล รวิชา และนมพิมก็พากันเดินออกมาเทน้ำที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้ากุฏิ ชายหนุ่มสวดบทกรวดน้ำพึมพำโดยไม่ออกเสียง ในขณะที่หญิงสาวและนมพิมอธิษฐานเพื่อส่งผลบุญให้แก่ผู้ล่วงลับอยู่ในใจวันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของบิดามารดาของรวิชา นมพิมเปรยเอาไว้หลายวันก่อนหน้าแล้วว่าอยากมาทำบุญให้ท่านทั้งสอง ซึ่งเธอเองก็เห็นด้วยเพราะคิดไว้เหมือนกันว่าจะมาทำบุญวันนี้ จึงชวนสามีหนุ่มให้มาด้วยกัน และเขาก็ไม่ขัดข้อง เพราะตั้งแต่ผ่านพ้นพิธีแต่งงานมาได้สองเดือน ภีมพลก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกเลยจากนั้นทั้งสามคนก็เดินทางกลับบ้าน พอมาถึง ชายหนุ่มปล่อยให้รวิชาได้อยู่กับแม่นมตามลำพังเพราะคิดว่าทั้งสองคนคงมีเรื่องอยากพูดคุยกัน เขาเองก็เห็นใจคนแก่อย่างนมพิม เพราะตั้งแต่รวิชาเรียนจบมาก็เอาแต่ทำงาน แถมหลังจากนั้นสองเดือนก็เข้าพิธีแต่งงานกับเขา ทำให้บางคืนรวิชาไม่ได้กลับไปนอนบ้านตัวเอง ถึงแม้เขากับรวิชาจะแก้ปัญหาด้วยการสลับบ้านนอนเป็นวันเว้นวันแล้วก็ตาม แต่หัวอกคนแก่ก็คงหงอยเหงาเป็นธรรมดา
“ตอบแบบนี้ค่อยชื่นใจหน่อย อย่างนี้ต้องให้รางวัล”ชายหนุ่มจับล็อกปลายคางมนของหญิงสาวไว้ แล้วก้มลงตบรางวัลให้คนปากหวานช่างจำนรรจาจนเขากระชุ่มกระชวยทุกทีที่ได้ฟังนาทีนี้ภีมพลเหมือนจะคลั่งเสียให้ได้ สาวน้อยช่างหวานจับจิตจับใจสมกับที่รอคอยมานานแสนนาน ถ้าไม่ติดว่าเธอยังใหม่กับความสัมพันธ์แบบนี้แล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าทั้งเขาและเธอยังคงนัวเนียกันอยู่บนเตียงเป็นแน่“อื้ม...อาภีมขา นี่มันริมถนนนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”แค่หญิงสาวพูดเบา ๆ แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วน้ำเสียงสั่นพร่านิด ๆ นั้นช่างฟังดูเซ็กซี่ยั่วยวนดีเหลือเกิน เขานึกถึงตอนเธอครวญครางอยู่ใต้ร่างของเขา ทั้งภาพทั้งเสียงยังคงติดตาตรึงใจเสียจนอะไร ๆ มันพรักพร้อมขึ้นมาอีกแล้ว“เราเข้าหมู่บ้านมาแล้ว ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมาหรอก รถอาก็มืด ใครจะมองเข้ามาเห็นล่ะคะ”เอาอีกแล้ว ลงท้ายด้วยคะ ขาแบบนี้แปลว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้วเป็นแน่ ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร แต่ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน“แวะบ้านอาก่อนนะคะ”แค่เห็นแววตาระยิบระยับแพรวพราวของเข
“ถ้าอย่างนั้น...คืนนี้อยู่กับอาทั้งคืนได้ไหม ตามใจอาหน่อยได้ไหมคะ”เขาถามพร้อมกับประพรมจุมพิตไปทั่วหน้าอย่างหลงใหล ก่อนจะเอ่ยประโยคสำคัญที่ทำให้คนฟังหัวใจพองฟูคับอก“อาก็รักน้องอาย ไม่ใช่แค่คืนนี้ที่อาอยากให้น้องอายอยู่ด้วยแต่เป็นทุก ๆ คืน และตื่นมาตอนเช้าก็เห็นหน้าน้องอายเป็นคนแรกในทุก ๆ เช้า”ชายหนุ่มหยุดพูด แล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากอีกครั้งหนึ่งแล้วไต่ระเรื่อยมาจนถึงใบหู ใจอยากจะโจนจ้วงเข้าหาร่างเย้ายวนนี้ให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน แต่ก็อยากให้หญิงสาวได้สัมผัสกับความสวยงามจากประสบการณ์ในรักครั้งแรกมากกว่า เขาจึงต้องอ่อนโยนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้ว่าความต้องการจะอัดแน่นจนแทบระเบิดแล้วก็ตาม“แต่งงานกับอานะคะ”ไหน ๆ เธอก็เรียนจบแล้ว มีงานมีการทำถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว หนำซ้ำยังจดทะเบียนสมรสเป็นคนคนเดียวกันในทางกฎหมายแล้วด้วย เขาจึงคิดว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรออีกต่อไป เพราะเขากับเธอก็แทบจะเป็นของกันและกันอยู่แล้ว จะเหลือก็แต่การอยู่ร่วมบ้านเดียวกันในฐานะของสามีภรรยาเท่านั้นรวิชาคลี่ยิ้มกว้างพล
ภีมพลยืนยิ้ม มองภรรยาทางนิตินัยที่กำลังยักย้ายส่ายสะโพกอย่างสนุกสนานกับเพื่อนกลุ่มใหญ่อยู่ข้างล่างด้วยแววตาทอดอ่อน เมื่อวานสอบวันสุดท้าย วันนี้รวิชาจึงขออนุญาตเขาพาเพื่อน ๆ มาสนุกกันที่คลับอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการฉลองจบการศึกษา อีกทั้งฉลองที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสปานั้นทะลุเป้าเกินกว่าที่คาดหมายไว้พอสมควรสาวน้อยของเขาเรียนจบแล้ว...ปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งคู่หมั้น สองปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งสามีตามกฎหมาย รวมแล้วร่วมสี่ปีเต็มกับการเฝ้าดูแลเด็กสาวคนหนึ่งให้เติบโตเป็นหญิงสาวแสนสวย และมากความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปเมื่อก่อนเขาเอาแต่นั่งนับวันเวลาว่าเมื่อไรเธอจะเรียนจบ เพราะอยากตีตราจองเธอเอาไว้ด้วยร่างกาย ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียวตามประสาผู้ชายทั่วไปที่คิดอยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนรัก ทว่าพอวันเวลาผ่านไป ความคิดของเขาก็ค่อยปรับเปลี่ยนไปทีละนิดตามความผูกพันที่เพิ่มขึ้นระหว่างเขากับเธอเซ็กซ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่เขาต้องการจากเธอเพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน เพราะมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกมั่นคงในรัก และการรับรู้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งขอ
หลายเดือนผ่านไปเสียงถอนหายใจจากร่างเล็กที่กำลังเอนตัวนอนไปกับที่นั่งในศาลาไม้สักทำให้ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาเงียบ ๆ ต้องชะงักเท้าแล้วหันมองตามเสียงนั้น ภีมพลเดินไปหา คนที่นอนหลับตาจึงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า และไม่รู้ถึงการมาของเขา ชายหนุ่มยืนกอดอกพิงกับเสา มุมปากยกยิ้มอย่างเอ็นดู แววตาทอดอ่อนเมื่อมองไปยังหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของหัวใจ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งใกล้กับเธอกลิ่นน้ำหอมที่เคยคุ้นลอยเข้าจมูก อีกทั้งเริ่มรู้สึกว่าสะโพกกำลังโดนเบียดจากใครบางคน รวิชาลืมตาขึ้นมองแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร จนเมื่อได้สบตากันหญิงสาวจึงส่งยิ้มเนือย ๆ ไปให้“เหนื่อยหรือ ถอนหายใจเสียงดังเชียว” ภีมพลเอื้อมมือปัดปอยผมให้อย่างอ่อนโยน รวิชาจึงยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วย้ายฝั่งไปเอนตัวลงนอนหนุนตักแข็ง ๆ ของเขาแทนอย่างออดอ้อน“ถ้าให้ตอบตรง ๆ ก็ใช่ค่ะ หลายเดือนมานี้เลิกเรียนมาก็ต้องมาศึกษางานของบริษัท นี่ยังดีนะที่น้องอายเคยเรียนรู้มาบ้างแล้วตอนที่คุณพ่อกับคุณแม่ยังอยู่ ต้องขอบคุณอาภีมค่ะที่ตอนนั้นสอนให้น้องอายได้คิดว่าเราควรจะต้องเริ่มศึกษาธุรกิจของครอบครัวเอา
ชายหนุ่มนั่งเท้าแขนอยู่บนโต๊ะพลางมองใบหน้าเนียนใสที่เริ่มมีสีระเรื่ออย่างเอ็นดูแกมมันเขี้ยว เพราะประโยคนั้นของเธอ ทำเอาเขาไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งสิ้นทั้งที่ใกล้สอบเต็มทีอารดาเงยหน้าขึ้นสบตาเขา แล้วรีบก้มหน้าหลบสายตาวิบวับของชายหนุ่ม ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะเมื่อครู่เขาคงได้ยินทุกอย่างจากปากเธอไปหมดแล้ว“อุ้ย...อุ้ยครับ เงยหน้าขึ้นมองพี่หน่อยสิ”เตชินทร์ก้มหน้าเอียงคอลงเพื่อที่จะได้มองหน้าสาวน้อยให้เต็มตา ครั้นพอเธอเงยหน้าขึ้นมา เรียวปากของชายหนุ่มก็คลี่ยิ้มกว้างจนตายิบหยี“พี่อยากจะบอกอุ้ยว่าครอบครัวของพี่ไม่ได้เป็นอย่างที่อุ้ยกังวลหรอกนะ อากงอาม่าของพี่สมัยที่มาอยู่เมืองไทยใหม่ ๆ ก็เป็นลูกจ้างเข็นของอยู่ในตลาด กว่าจะมีอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะน้ำพักน้ำแรงล้วน ๆ ครอบครัวของพี่ก็เลยไม่เคยดูถูกใครในเรื่องของฐานะ ท่านทั้งสองให้ความสำคัญกับค่าของคนมากกว่าค่าของเงิน”ชายหนุ่มหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของหญิงสาวที่เขาเทใจให้ เมื่อเห็นเธอนั่งนิ่งและตั้งใจฟัง เขาจึงตัดสินใจพูดต่อ“ท่านไม่เคยห้ามหรือกีดกันพี่
หลายวันต่อมา ภีมพลยืนดูแบบแปลนและโครงสร้างของโรงงานที่ทีมสถาปนิกเคยนำเสนอเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเขาเห็นว่าปลอดภัยและรัดกุมกว่าโครงสร้างของโรงงานแบบเดิม จึงได้มีคำสั่งให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยเขาต้องมาดูแลการก่อสร้างโรงงานใหม่ทั้งหมดด้วยตัวเองเนื่องจากอาคารหลังเดิมเสียหายจากไฟไหม้มากจนไม่คุ้มหากจะซ่อมแซมใหม่ ตอนนี้ห้องเก็บกลิ่นตัวอย่างจึงต้องอาศัยตู้คอนเทนเนอร์ใช้เป็นออฟฟิศชั่วคราวแทนไปก่อน ส่วนโรงคัดแยกวัตถุดิบก็ใช้พื้นที่ส่วนของลานจอดรถทำไปพลาง ๆ ซึ่งภีมพลได้ว่าจ้างให้ช่างประปาต่อวาล์วน้ำเพิ่มเติมในจุดนี้รวมทั้งทำอ่างสำหรับล้าง และก่อโครงมีหลังคาทำเป็นโรงคัดแยกแบบง่าย ๆ ระหว่างที่รอการก่อสร้างของจริงจะแล้วเสร็จหลังจากที่ดูการก่อสร้างส่วนต่าง ๆ จนพอใจ ชายหนุ่มจึงเดินไปยังอาคารอีกหลังซึ่งเป็นในส่วนของออฟฟิศ และเป็นอาคารที่แยกออกมาจากโรงงาน โชคดีที่อาคารหลังนี้ไม่ถูกไฟไหม้ไปด้วย มิเช่นนั้นบริษัทอาจจะต้องหยุดชะงักลงไปเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นระหว่างที่ภีมพลกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับทันทีที่เห็นชื่อของคนที่โทร.