ไม่เกินสิบนาทีต่อมา ชายหนุ่มก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความผ่อนคลาย เห็นรวิชานั่งหน้าแดงเอียงคอ ทำหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
“คิดอะไรอยู่” ภีมพลเดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ เห็นสีหน้าแววตาของรวิชาตื่นเต้นเล็กน้อยก่อนที่เจ้าตัวจะรีบกลบเกลื่อนด้วยการหันมาฉีกยิ้มกว้าง แล้วรีบเบือนหน้าไปทางอื่นแทน ชายหนุ่มจึงเอามือทั้งสองข้างไปกุมใบหน้าเรียวสวยนั้นไว้ บังคับให้หันมองมาตน
“รู้ตัวหรือเปล่าว่าเราน่ะโกหกไม่เก่งเลย ว่าไงครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
รวิชาได้แต่ยิ้มแหย นัยน์ตากลมโตกวาดมองไปทางอื่นเพราะไม่กล้าสบตากับเขา ปากอิ่มเม้มแน่นตามความเคยชิน ทำเอาคนมองได้แต่จ้องริมฝีปากสีระเรื่อนั้นตาปรอย
“ก็...ก็แค่...นึกถึงวันนั้นค่ะ” วันที่เธอตื่นมาแล้วพบว่ามีผู้ชายเปลือยกายนอนหลับอยู่ข้าง ๆ แถมยังเป็นผู้ชายที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะได้มาพูดคุยจนเลยเถิดมาถึงขั้นหมั้นหมายกันอย่างวันนี้…และที่สำคัญ เธอยังได้เห็นหนอนชาเขียวตัวโตเต็มวัยของเขาอีกด้วย!
“ทำไมล่ะ จะบอกให้ว่าวันนั้นน้องอายโชคดีมากแล้วรู้ไหมที่เจออา ถ้าอาไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ คราวหน้าคราวหลังห้ามหนีเที่ยวอีกนะ อยากไปไหนบอกอา อาจะเป็นคนพาไปเอง” คิดแล้วก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้ ถ้าวันนั้นคนที่ช่วยไม่ใช่เขาแต่เป็นนักเที่ยวกลุ่มอื่นที่มาพาตัวเธอไป เขาไม่อยากจะคิดต่อเลยว่าหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“อย่างวันนี้ใช่ไหมคะ” เธอหัวเราะเบา ๆ ก่อนตัดสินใจโพล่งถามเขา
“วันนั้น...น้องอายเห็นอาภีมนอนไม่ใส่เสื้อผ้า” พูดแล้วก็เขิน ใบหน้านวลแดงก่ำ หลุบตาลงต่ำก้มลงมองแต่มือของตัวเอง จนได้ยินเสียงหัวเราะของเขาดังแว่วมา เธอจึงได้ช้อนตาขึ้นมอง
“ว้า...งั้นน้องอายก็เห็นของอาหมดแล้วน่ะสิ ฮ่า ๆ”
ภีมพลหัวเราะอย่างถูกใจ ยิ่งเห็นหน้าใส ๆ นั่นอ้าปากค้างเมื่อถูกเขาพูดตรงประเด็นก็ยิ่งขำจนท้องคัดท้องแข็ง
“อาภีมบ้า! ไม่คุยด้วยแล้ว” รวิชาแหวใส่เสียงดัง คนที่ควรอายน่าจะเป็นเขามากกว่า แล้วทำไมเธอต้องมาอับอายแทนด้วย ดูเขาไม่สะทกสะท้านอะไรเสียด้วยซ้ำ สงสัยจะแก้ผ้าโชว์อยู่บ่อย ๆ
ชายหนุ่มโยกศีรษะเล็กไปมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะรั้งให้เธอเอนมาซบบ่าของเขาพร้อมกับก้มลงจูบหนัก ๆ ที่หน้าผากหนึ่งที รู้สึกได้ว่าร่างน้อยเกร็งพอสมควรในยามที่ได้แนบชิด หรือถูกเขาแสดงความรักด้วยแบบนี้
“น้องอายสบายใจได้ วันนั้นอาไม่ได้ทำอะไรน้องอายเลย อาเมาจนแทบจะเดินไม่ไหวอยู่แล้ว ถึงอยากทำแค่ไหนแต่ก็คงฝืนร่างกายไม่ไหวหรอก แล้วที่อาแก้ผ้าหมดนั่นก็เพราะอานอนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มันคือความเคยชิน”
รวิชาค่อย ๆ ขืนตัวเองออกจากบ่าเขา เธอยังไม่ค่อยชินนักกับการใกล้ชิดแบบถึงเนื้อถึงตัว หรือเพราะการเปลี่ยนสถานะจากคนข้างบ้านมาเป็นคู่หมั้น จึงทำให้เขาแสดงออกกับเธออย่างที่เห็น เธอไม่รู้ว่าคู่หมั้นคู่อื่นจะทำกันแบบนี้หรือเปล่า แล้วอย่างเธอกับเขาจะใช้คำว่า “แฟน” กันได้หรือยัง
แต่จะว่าไปแล้ว...คนเป็นแฟนกันต้องบอกรักกันก่อนไม่ใช่หรือ แต่เขาไม่เคยบอกว่ารักเธอเลยสักคำ หรือแท้จริงแล้วเขาไม่เคยคิดอะไรกับเธอเลย หรือคิดเพียงว่าเธอคือหลาน คือเด็กสาวข้างบ้านเท่านั้นจึงรู้สึกเอ็นดูมากเป็นพิเศษ แล้วเธอเล่าคิดกับเขาอย่างไร ในใจตอนนี้เธอยังไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้เลย
รวิชาได้แต่คิดสับสนวนเวียนไปมาอยู่ในหัว คำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้ คำถามที่ไม่รู้ว่าควรถามหรือปรึกษาใคร แม้กระทั่งผู้ชายที่นั่งโอบบ่าของเธออยู่
ใจหนึ่งอยากถามเรื่องค้างคาใจที่วิคกี้พูดทิ้งท้ายเอาไว้ แต่อีกใจก็คิดว่าขืนถามไปตามตรง แล้วใครที่ไหนจะยอมรับว่าตัวเองทำจริง สุดท้ายเธอจึงได้แต่ปิดปากเงียบ
“ไปข้างล่างกันเถอะ”
ภีมพลลุกขึ้นยืนแล้วเอามือสอดประสานกับมือของรวิชา เขาพาเธอเดินลงบันไดมาจนกระทั่งพบกับพชรที่กำลังเปิดประตูห้องทำงานออกมาพอดี พชรเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นเพื่อนสนิทเดินจูงมือสาวน้อยที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นป้ายแดงลงมาจากห้องพักชั้นบน
พชรเดินเข้าไปกระซิบข้างหูเพื่อนให้ได้ยินกันแค่สองคน
“โทษฐานพรากผู้เยาว์นี่...เขาติดคุกกันกี่ปีวะเพื่อน”
“ไอ้บ้า! ไม่มีอะไรเว้ย ขึ้นไปคุยกันเฉย ๆ” ภีมพลเค้นเสียงตอบ แต่ระดับเสียงเพียงกระซิบ พชรได้ยินถึงกับทำตาโต
“ว้าว! อเมซิ่งมากเลยเพื่อน แกอำฉันเล่นหรือเปล่าวะ”
เขาแทบไม่อยากจะเชื่อ คนอย่างภีมพลเนี่ยน่ะหรือจะปล่อยให้สาวหลุดมือถ้าได้ขึ้นไปถึงห้องนอนชั้นบน ปกติเห็นขึ้นไปกี่คน ๆ ก็ต้องโซซัดโซเซเดินลงมาขาแข้งอ่อนกันทุกราย
“เฮ้อ...น้องอายจ๋า เราไปกันเถอะ” ภีมพลส่ายหน้าให้เพื่อนอย่างระอา รีบจับจูงมือสาวน้อยเดินลงไปชั้นล่างทันที เพราะขืนอยู่นานกว่านี้เขาคงได้โดนพชรแซวไม่เลิก
ก่อนจะเปิดประตูออกไปสู่ฮอลล์ด้านนอก ภีมพลรั้งมือเธอไว้พลางจับไหล่ทั้งสองข้างของหญิงสาวให้หันมาทางตน เพื่อจะพูดย้ำบางอย่างให้เธอปฏิบัติตาม
“น้องอายฟังอานะ อาไม่ได้อยู่เฝ้าน้องอายตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเวลาที่ใครมาตีสนิท มายื่นแก้วเหล้าให้ล่ะก็ อย่ารับมาอย่างเด็ดขาด เพราะเราไม่รู้ว่าในแก้วนั้นเขาใส่อะไรเอาไว้บ้าง อย่ารับฝากของจากคนแปลกหน้า หรือโต๊ะข้าง ๆ หรือใครก็ตาม เพราะเราไม่รู้ว่าในกระเป๋านั้นใส่อะไรเอาไว้ บางทีมันอาจจะมียาเสพติดหรือสิ่งผิดกฎหมายก็ได้ และที่สำคัญเลยก็คืออย่าให้เบอร์โทรศัพท์กับใครเด็ดขาด ไอดีไลน์ด้วย ถามชื่อน่ะถามได้ แต่ถ้าจะทำความรู้จักนอกเหนือไปจากนั้น ปฏิเสธไปให้หมด บอกไปเลยว่ามีแฟนแล้ว แฟนดุมากด้วย โอเคนะครับ”
ภีมพลพูดจบก็ก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของรวิชาหนึ่งที เห็นเธอยังคงยืนทำหน้าเหวอ ๆ ปากอิ่มเผยอขึ้นเล็กน้อยจนเห็นไรฟันขาว เขาเห็นแล้วก็อยากลองลิ้มชิมรสริมฝีปากสีหวานนี้เหลือเกิน
แต่ยังไม่ถึงเวลา ทุกอย่างจะต้องค่อยเป็นค่อยไป ให้เธอค่อย ๆ ชินกับการมีเขาอยู่ใกล้ ๆ ค่อย ๆ ชินกับสัมผัสของเขาไปทีละนิด แค่นี้รวิชาก็เกร็งกับสัมผัสของเขาจะแย่อยู่แล้ว ขืนบุ่มบ่ามทำตามใจตัวเองมากเกินไป คงถูกเธอตราหน้าว่าเป็นตาแก่ตัญหากลับแน่
รวิชาเอาแต่อึ้งกับประโยคสุดท้ายของเขา ตอนนี้สมองแทบไม่รับรู้แล้วว่าเขาจับจูงมือเธอเดินไปทางไหนบ้าง รู้ตัวอีกครั้งก็ตอนที่เธอมายืนอยู่เบื้องหน้าโต๊ะที่พรรณรายกับสกลธีกำลังลุกขึ้นวาดลวดลายกันแล้ว เธอหันมองเขาก็เห็นเขากำลังโน้มใบหน้าลงมากระซิบข้างหูพอดี
“อย่าลืมนะ ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรก็ตาม โทร. หาอาได้ตลอดเวลา แล้วอาจะรีบลงมาหา สนุกกับเพื่อนให้เต็มที่แต่ห้ามดื่มจนเมา และอย่าลืมที่อาบอกไว้ล่ะ”
ชายหนุ่มกำชับเสียงนุ่มน่าฟัง รวิชาได้แต่พยักหน้ารับพร้อมกับส่งยิ้มให้ แต่สายตาอดมองเลยไปยังโต๊ะของผู้หญิงที่เธอเห็นเขานัวเนียด้วยก่อนหน้านี้ไม่ได้
ภีมพลมองตามแล้วหันมาคลี่ยิ้มกว้างให้คู่หมั้นสาว
“อาไม่แวะหรอกน่าไม่ต้องห่วง อากลัวโดนถอนหมั้นจะตายไป น้องอายไม่รู้หรือ แล้วอีกอย่างนะ คุณคนนั้นก็มีคนมานั่งเป็นเพื่อนแล้วนั่นไง”
เขาหยิกแก้มนวลอย่างแผ่วเบา ก่อนเดินจากไป ทิ้งสัมผัสร้อนผ่าวเอาไว้ให้เจ้าตัวได้แต่นั่งอมยิ้มโดยไม่รู้ตัว
“แฟนงั้นหรือ...นี่ตกลงเราเป็นแฟนกับอาภีมแล้วหรือเนี่ย” แล้วการเป็นแฟนกันต้องปฏิบัติต่อกันยังไงบ้าง
เห็นทีเรื่องนี้คงต้องปรึกษากูรูอย่างพรรณรายเสียแล้ว
เสียงคนวิ่งตึงตังลงมาจากบันไดทำให้ผู้ที่นั่งดูข่าวเช้าทางโทรทัศน์ต้องเงยหน้าขึ้นมอง จึงเห็นบุตรสาวยืนยิ้มร่าอยู่ตรงหน้า“น้องอายดูเป็นยังไงบ้างคะคุณพ่อคุณแม่”คนพูดกางแขนหมุนตัวหนึ่งรอบให้บิดามารดาได้เห็นตนในชุดนิสิตวันแรก รวิชาอยู่ในชุดกระโปรงอัดจีบรอบตัวยาวเสมอเข่า เสื้อนักศึกษาขนาดพอดีตัวไม่หลวมโคร่ง และไม่รัดรูปจนเกินไป สวมถุงเท้าสีขาวสำหรับใส่กับคัตชูสีขาวเพื่อบ่งบอกสถานะของการเป็นน้องใหม่ เป็นการแต่งกายที่ถูกระเบียบทุกอย่างสำหรับวันรายงานตัวการเข้าเป็นนิสิตใหม่ของมหาวิทยาลัยมีชื่ออันดับต้น ๆ ของประเทศ“ดูดีที่สุดเลยลูก”อาทิตย์มองบุตรสาวด้วยความภาคภูมิใจ รวิชาไม่เคยทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาให้พ่อกับแม่ต้องปวดหัวหรือหนักใจเลยสักครั้ง ตรงกันข้าม เจ้าตัวกลับนำแต่ความชื่นชมยินดีมาให้“แล้วนี่จะไปรถเมล์จริงหรือลูก แม่ว่าเอารถที่บ้านเราไปส่งก็ได้นี่นา ไปมหาวิทยาลัยวันแรกการเดินทางน่าจะยังไม่สะดวก” มารดาถามด้วยความเป็นห่วง แต่รวิชากลับส่ายหน้าหวือ“วันแรกอย่างนี้แหละค่ะดีแล้ว น้องอายจะได้ก
หญิงสาวเบือนหน้าหนีและหันไปมองอีกทางราวกับคนไม่เคยรู้จัก อารดาก็สังเกตเห็นกลวิชรเช่นกัน และเริ่มรู้สึกถึงเค้าลางความยุ่งยากต่าง ๆ ที่กำลังจะตามมาในไม่ช้า พรรณรายเล่าให้ฟังว่ากลวิชรแค้นใจไม่น้อยที่โดนสั่งสอนจนสะบักสะบอมเมื่อหลายเดือนก่อน และพูดว่าจะหาทางเอาคืนให้ได้จนเธอนึกห่วงสวัสดิภาพของรวิชาขึ้นทันที“อาย พี่วิชรจ้องแกเขม็งเลย น่ากลัวชะมัด” อารดามีสีหน้าหวาดหวั่นระหว่างที่เดินเคียงคู่ไปกับรวิชาเข้าไปในอาคาร“ช่างเขาสิ ถ้ายังอยากหาเรื่องใส่ตัวอีกก็ช่วยไม่ได้แล้วล่ะ”รวิชายักไหล่อย่างไม่ยี่หระ กลวิชรหาเหาใส่หัวเองโดยแท้ที่คิดไปแหย่คนอย่างเจ้าพ่อซุส ถึงแม้เขาจะไม่ใช่มาเฟียที่มีอิทธิพลล้นฟ้าเหมือนในซีรีส์ที่เธอชอบดู แต่เขาก็มีลูกน้องอยู่ในความดูแลเป็นจำนวนมาก หนำซ้ำยังมีเส้นสายในสายงานต่าง ๆ แบบที่เธอไม่เคยรู้และคาดไม่ถึง เพราะเขาแทบจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับงานที่เขาทำอยู่ ทุกครั้งที่เขาหนีบเธอไปทำงานด้วย เขาก็ได้แต่ใช้ให้เธอช่วยนำเอกสารไปให้เลขาฯ ที่อยู่หน้าห้องเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นคือชงกาแฟ เตรียมของว่าง และนั่งรับประทานอาหารเป็นเพื่อนเขา
ภาพของภีมพลคลอเคลียกับผู้หญิงคนนั้นผุดวาบขึ้นในหัวของรวิชาอีกครั้ง หญิงสาวอดหวั่นไหวไปกับคำพูดของเพื่อนไม่ได้ เพราะกับเธอนั้น อย่างมากเขาแค่หอมแก้มโอบไหล่ ไม่เคยทำอะไรมากกว่านั้น จะว่าไปแล้วการกระทำของเขาไม่ต่างกับบิดาของเธอเลย หรือเขาแค่เอ็นดูเธอในฐานะของน้องคนหนึ่งอย่างที่สกลธีว่าไว้จริง ๆ“อ้าว หล่อนจะเหม่ออะไรยะ เดี๋ยวฉันเก็บเรียบหมดแล้วอย่ามากระซิก ๆ ไล่หลังฉันนะยะหล่อน ฉันไม่สำรอกออกมาหรอกนะจะบอกให้” คนพูดเคี้ยวตุ้ย ๆ พลางใช้ตะเกียบชี้หน้าเพื่อน“ตีตี้...อาภีมเขา...เขาไม่เคยทำอะไรแบบนั้นกับฉันเลยน่ะ เต็มที่เขาก็แค่จุ๊บหน้าผาก หรือหอมแก้มฉันแค่นั้นเอง” รวิชาพูดเสียงอ่อย ๆ ออกจะขัดเขินไม่น้อยที่ต้องมาเล่าเรื่องแบบนี้ให้เพื่อนฟัง“ถามจริง! ไม่มีคลุกมีเคล้า ไม่มีการเข้าถึงอะไร ๆ บ้างเลยหรือ”ชายใจหญิงทำตาโตตอนกระซิบถามเพื่อนราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เพราะเท่าที่เขารับรู้มา ภีมพลจัดว่าเป็นเพลย์บอยตัวพ่อเลยทีเดียว ชื่อเสียงเรื่องผู้หญิงของเจ้าพ่อซุสนั้นกระฉ่อนในเหล่าผีเสื้อราตรีไม่น้อย“ถ้างั้นเขาจะมาหม
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นจากในกระเป๋า ส่งผลให้คนที่กำลังจะเอื้อมหยิบหนังสือนิยายบนชั้นวางต้องลดมือลงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แว้บแรกที่เห็นรายชื่อของคนโทร. เข้า ใบหน้าเนียนใสก็คลี่ยิ้มกระจ่างเต็มวงหน้าทันที“อาภีมกลับมาแล้วหรือคะ”รวิชาทักทายคนปลายสายเสียงใส สองอาทิตย์ที่ไม่ได้เจอหน้าทำให้รู้สึกราวกับว่าชีวิตเหมือนขาดอะไรไป เพราะช่วงก่อนเปิดเทอมนั้นเวลาเขาจะไปไหนมักจะหนีบเธอไปด้วยเสมอ แม้กระทั่งตอนไปทำงานที่ออฟฟิศ เขาก็จะพาเธอไปนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่ห้องทำงานของเขาแทน หากว่าวันนั้นเธอไม่ได้เข้าโรงงานของครอบครัว“กลับมาแล้วครับ ลงเครื่องมาปุ๊บก็โทร. หาน้องอายเลย แล้วนี่ทำอะไรอยู่”ภีมพลหันมองลูกน้องที่เดินตามมาห่าง ๆ ซึ่งอีกฝ่ายกำลังชี้บอกเขาว่าคนขับรถมารออยู่ตรงไหน ชายหนุ่มจึงเดินตามไป“มาซื้อหนังสืออ่านเล่นค่ะ ตอนนี้อยู่ที่ห้างสยามพารากอนกับตีตี้ แล้วนี่อาภีมจะกลับบ้านเลยหรือเปล่าคะ” หญิงสาวถามกลับไป เพราะหากภีมพลกลับบ้านเลยเธอจะได้รีบซื้อหนังสือแล้วรีบกลับไปหาเขา“อาคงเข้าออฟฟิศก่อนน่ะ ม
“เค้กร้านเดิมนั่นแหละค่ะ อาภีมจะกินเลยไหมคะน้องอายไปเอาจานกับช้อนมาให้” รวิชาเดินตามมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ภีมพลยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาก่อนเอ่ยตอบ“ยังดีกว่า อายังไม่ได้กินมื้อเที่ยงเลย น้องอายกินมาหรือยัง”“กินมากับตีตี้แล้วค่ะ”หญิงสาวเดินเข้ามาตั้งใจว่าจะลงนั่งบนโซฟาตัวเดียวกับเขา ทว่าเพราะไม่ทันระวังเท้าจึงสะดุดเข้ากับขาโต๊ะจนคะมำไปข้างหน้าทั้งตัว รวิชาร้องเสียงหลงด้วยความตกใจไม่ต่างจากภีมพลที่รีบถลาอ้าแขนเข้าไปรับร่างของเธอไว้ได้ทันท่วงที“โอ๊ย!”รวิชาร้องเบา ๆ เมื่อร่างของตนทิ้งตัวลงไปทาบทับกับร่างของชายหนุ่ม รู้สึกเจ็บจนน้ำตาเล็ดเพราะเหมือนศีรษะจะถูกอะไรแข็ง ๆ กระแทกใส่ หญิงสาวดิ้นขลุกขลักพยายามยันกายขึ้นและค่อย ๆ เอาศอกเท้าไว้กับโซฟาก่อนจะผงกศีรษะขึ้นมอง“อาภีม! น้องอายขอโทษค่ะ น้องอายไม่ได้ตั้งใจ อาภีมเจ็บไหมคะ”รวิชาเอามือแตะริมฝีปากเขาเบา ๆ เมื่อเห็นรอยเลือดซึมออกมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาคงโดนศีรษะของเธอกระแทกเป็นแน่ในขณะที่ภีมพลรู้สึกเหมือนเห็นดาวลอยวนเวียนอ
“เขาบอกไว้ก่อนแล้วล่ะ แต่ไม่คิดว่าจะออกไปเลย” พูดจบชายหนุ่มก็เดินเข้าห้อง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร. หารวิชา แต่รอสายอยู่นานก็ยังไม่มีทีท่าว่าเจ้าตัวจะรับสายจนเขาต้องถอดใจภีมพลทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่ สีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร. ออกอีกครั้ง แต่ผลก็ยังเป็นเหมือนเดิม เขาจึงเปลี่ยนใจพิมพ์ข้อความส่งหาเธอแทน‘โกรธอาหรือครับ อาขอโทษ’ภีมพลนั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่นาน แต่ไม่มีทีท่าว่าหญิงสาวจะอ่านข้อความและพิมพ์ตอบกลับมา เขาจึงวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่รวิชาคงโกรธเขาจริง ๆ หรือไม่ก็คงหวาดกลัวเป็นแน่ที่จู่ ๆ เขาไปหักหาญทำอะไรล่วงเกินไปอย่างนั้น เธอยังเด็กเหลือเกินสำหรับเขา จึงคิดว่าจะค่อย ๆ สอนไปทีละนิดทีละน้อย ให้เธอค่อย ๆ ซึมซับความสัมพันธ์ทางกายไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อที่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นจริง เธอจะโตพอสำหรับการเริ่มต้นผูกพันลึกซึ้งกับเขาได้ตามประสาคนรักทั่วไปแต่เขาก็มาทำเสียเรื่องเข้าจนได้ เขาใจร้อนวู่วามเกินไปที่จู่ ๆ ก็ไปปล้ำจูบเธอ สมควรแล้วที่เด็กสา
ภีมพลนั่งอ่านรายงานที่ได้รับมาจากเจ้าหน้าที่ของทางเยอรมัน ก่อนหน้านี้มีผู้มาเช่าเครื่องบินของบริษัทลำหนึ่งเพื่อไปลงที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมันนีโดยทำทีว่าเป็นข้าวใหม่ปลามันที่ต้องการไปฮันนีมูนที่นั่น แต่แล้วกลับลอบบรรทุกขนยาเสพติดจำนวนมากทั้งโคเคน ยาไอซ์ ยาอีโดยมีเจ้าหน้าที่สนามบินบางคนรู้เห็นเป็นใจ และที่สำคัญคือพนักงานบางคนของเขาก็มีส่วนร่วมด้วย จึงทำให้รอดจากการตรวจสอบไปได้เขาจะไม่เดือดร้อนเลยถ้าพนักงานของเขาจะไม่ทำเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว จากการสอบสวนลึกลงไปทำให้ได้รู้ว่าคนกลุ่มนี้ลักลอบขนของผิดกฎหมายมาหลายต่อหลายครั้งโดยใช้เครื่องบินเช่าเหมาลำของบริษัทเขาเอง ทางการของเยอรมันนีจึงพุ่งเป้ามาที่เขาซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท และผู้บริหารว่าอาจจะมีเอี่ยวกับขบวนการนี้ด้วย กว่าเขาจะหาหลักฐานและเดินเรื่องเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ก็ทำให้เสียเวลาไปถึงสองอาทิตย์กลับมาถึงเมืองไทย นึกว่าจะได้อยู่กับสาวน้อยรวิชาให้หายคิดถึง แต่ดันมาเกิดเรื่องยุ่งขึ้นเสียได้เพราะความหื่นบังตาแท้ ๆ เขาอยากตามไปหาเธอที่บ้านแต่ก็เกรงว่าสาวเจ้าจะกลัวลนลานพานให้เสียความรู้สึ
“ได้ข่าวว่าเรียนเก่งด้วยนี่ใช่ไหม...ทำเกรดให้ดีนะ ถ้าผลงานเข้าตาเกรดเฉลี่ยเป็นที่น่าพอใจ ผมมีตำแหน่งรองรับไว้ให้ไม่ต้องกลัวว่าจะตกงาน”ภีมพลพูดอย่างใจป้ำ เขาชอบคนเก่ง ซื่อสัตย์ และขยัน เพราะหากได้คนแบบนี้มาร่วมงานจะยิ่งช่วยส่งเสริมให้บริษัทก้าวหน้ามั่นคงยิ่งขึ้น“ขอบคุณค่ะอาภีม ใจดีจัง...มิน่าล่ะ ยายอายถึงได้ร้าก...รักขนาดนี้”อารดาเผลอพูดออกไปด้วยความดีใจ แต่คนฟังอย่างภีมพลนั้นหัวใจพองฟูคับอกขึ้นมา“หมดธุระแล้วล่ะ อ้อ...อย่าลืมเอาเลขที่บัญชีให้เป็นต่อด้วยนะ นายอย่าลืมพาน้องอุ้ยไปซื้อโทรศัพท์ด้วยล่ะ” ประโยคหลังเขาหันไปพูดกับเป็นต่อ อีกฝ่ายผงกศีรษะรับคำสั่งก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมกับอารดา“ขอบคุณมากเลยนะคะอาภีม อุ้ยลานะคะ” หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้อย่างนอบน้อมแล้วเดินตามเป็นต่อออกไปจากห้องทำงาน ทิ้งให้เจ้าของห้องได้แต่นั่งมองรูปของคู่หมั้นสาวจากโทรศัพท์อยู่ที่เดิม“ทำอะไรอยู่นะป่านนี้ หายโกรธหายกลัวหรือยังก็ไม่รู้”ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ระหว่างที่เลื่อนดูภาพอื่น ๆ ก่อนตัดใจปิดโ
“อ้าว! วันนี้คุณอายไม่เข้าบริษัทหรือ” เมื่อเช้าก็ออกมาด้วยกันแท้ ๆ แต่แม่เจ้าประคุณแอบหนีไปเที่ยวไหนกันล่ะนี่ ชายหนุ่มคิดอย่างเข่นเขี้ยวในใจเมื่อเจอ “เซอร์ไพรส์” สุดพิเศษจากศรีภรรยาภีมพลยิ้มกริ่มอย่างหมายมาด เห็นทีต้องรีบกลับไปรับขวัญก่อนเวลาเสียแล้ว ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถออกมา เหลือบไปเห็นแฟ้มงานสองแฟ้มที่ยังคงแผ่หราอยู่เต็มโต๊ะ แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังดูค้างเอาไว้ เขากวาดตามองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ใจจริงเขามีตัวเลือกเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อตัดสินใจได้เขาก็คว้าแฟ้มขวามือเดินออกจากห้องทันที จากนั้นจึงไปยื่นให้กับเลขาฯ ส่วนตัว“ผมเลือกของบริษัทนี้ ให้ฝ่ายจัดซื้อทำเรื่องได้เลย อ้อ วันนี้ผมไม่เข้าแล้วนะ” พูดจบชายหนุ่มก็ผละออกไป และต้องหยุดชะงักเมื่อเลขาฯ รีบวิ่งมาถามถึงงานบางอย่างที่เขาให้เตรียมไว้สำหรับช่วงบ่ายนี้“คุณภีมคะ แล้วเรื่องที่ให้เตรียมเอาไว้บ่ายนี้ล่ะคะ”“ยังคอนเฟิร์มอยู่ แต่ว่าคุณช่วยอะไรผมหน่อยสิ”ภีมพลหันมายิ้มพรายเต็มวงหน้าเมื่อคิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้
อดคิดไปถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้วไม่ได้ ท่านทั้งสองช่างมีความอดทนและมุมานะอย่างล้นเหลือที่สู้ฝ่าฟันจนกระทั่งบริษัทเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ นึกมาถึงตอนนี้แล้วก็โกรธตัวเองที่ตอนนั้นเอาแต่น้อยใจ คิดว่าท่านทำแต่งานจนไม่สนใจใยดีกับเธอผู้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว‘รวิชา แปลว่าลูกพระอาทิตย์ เพราะฉะนั้นหนูต้องเข้มแข็ง อดทนให้สมกับที่เป็นลูกสาวของพ่อ ชีวิตของหนูจะต้องรุ่งโรจน์สดใสเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า’ถ้อยคำจากบิดายังคงดังก้องอยู่ในหัวทุกครั้งที่นึกถึงเวลาเมื่อรู้สึกอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าไม่มีแม่นมชราและสามีที่คอยเป็นกำลังใจให้ ป่านนี้ชีวิตเธอจะหักเหไปทางไหนแล้วบ้างก็สุดรู้“อรุณสวัสดิ์จ้ะ”เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับจุมพิตเบา ๆ ที่ข้างแก้ม จากนั้นคนตัวโตก็ทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลังไว้พร้อมกับดึงบ่าของเธอให้เอนซบลงมาบนตัวเขา“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ” หญิงสาวทักทายกลับไปก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของสามี“จำเป็นต้องตื่นเช้าน่ะ จู่
หลังจากถวายสังฆทานจนกระทั่งกรวดน้ำเสร็จเรียบร้อย ภีมพล รวิชา และนมพิมก็พากันเดินออกมาเทน้ำที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้ากุฏิ ชายหนุ่มสวดบทกรวดน้ำพึมพำโดยไม่ออกเสียง ในขณะที่หญิงสาวและนมพิมอธิษฐานเพื่อส่งผลบุญให้แก่ผู้ล่วงลับอยู่ในใจวันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของบิดามารดาของรวิชา นมพิมเปรยเอาไว้หลายวันก่อนหน้าแล้วว่าอยากมาทำบุญให้ท่านทั้งสอง ซึ่งเธอเองก็เห็นด้วยเพราะคิดไว้เหมือนกันว่าจะมาทำบุญวันนี้ จึงชวนสามีหนุ่มให้มาด้วยกัน และเขาก็ไม่ขัดข้อง เพราะตั้งแต่ผ่านพ้นพิธีแต่งงานมาได้สองเดือน ภีมพลก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกเลยจากนั้นทั้งสามคนก็เดินทางกลับบ้าน พอมาถึง ชายหนุ่มปล่อยให้รวิชาได้อยู่กับแม่นมตามลำพังเพราะคิดว่าทั้งสองคนคงมีเรื่องอยากพูดคุยกัน เขาเองก็เห็นใจคนแก่อย่างนมพิม เพราะตั้งแต่รวิชาเรียนจบมาก็เอาแต่ทำงาน แถมหลังจากนั้นสองเดือนก็เข้าพิธีแต่งงานกับเขา ทำให้บางคืนรวิชาไม่ได้กลับไปนอนบ้านตัวเอง ถึงแม้เขากับรวิชาจะแก้ปัญหาด้วยการสลับบ้านนอนเป็นวันเว้นวันแล้วก็ตาม แต่หัวอกคนแก่ก็คงหงอยเหงาเป็นธรรมดา
“ตอบแบบนี้ค่อยชื่นใจหน่อย อย่างนี้ต้องให้รางวัล”ชายหนุ่มจับล็อกปลายคางมนของหญิงสาวไว้ แล้วก้มลงตบรางวัลให้คนปากหวานช่างจำนรรจาจนเขากระชุ่มกระชวยทุกทีที่ได้ฟังนาทีนี้ภีมพลเหมือนจะคลั่งเสียให้ได้ สาวน้อยช่างหวานจับจิตจับใจสมกับที่รอคอยมานานแสนนาน ถ้าไม่ติดว่าเธอยังใหม่กับความสัมพันธ์แบบนี้แล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าทั้งเขาและเธอยังคงนัวเนียกันอยู่บนเตียงเป็นแน่“อื้ม...อาภีมขา นี่มันริมถนนนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”แค่หญิงสาวพูดเบา ๆ แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วน้ำเสียงสั่นพร่านิด ๆ นั้นช่างฟังดูเซ็กซี่ยั่วยวนดีเหลือเกิน เขานึกถึงตอนเธอครวญครางอยู่ใต้ร่างของเขา ทั้งภาพทั้งเสียงยังคงติดตาตรึงใจเสียจนอะไร ๆ มันพรักพร้อมขึ้นมาอีกแล้ว“เราเข้าหมู่บ้านมาแล้ว ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมาหรอก รถอาก็มืด ใครจะมองเข้ามาเห็นล่ะคะ”เอาอีกแล้ว ลงท้ายด้วยคะ ขาแบบนี้แปลว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้วเป็นแน่ ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร แต่ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน“แวะบ้านอาก่อนนะคะ”แค่เห็นแววตาระยิบระยับแพรวพราวของเข
“ถ้าอย่างนั้น...คืนนี้อยู่กับอาทั้งคืนได้ไหม ตามใจอาหน่อยได้ไหมคะ”เขาถามพร้อมกับประพรมจุมพิตไปทั่วหน้าอย่างหลงใหล ก่อนจะเอ่ยประโยคสำคัญที่ทำให้คนฟังหัวใจพองฟูคับอก“อาก็รักน้องอาย ไม่ใช่แค่คืนนี้ที่อาอยากให้น้องอายอยู่ด้วยแต่เป็นทุก ๆ คืน และตื่นมาตอนเช้าก็เห็นหน้าน้องอายเป็นคนแรกในทุก ๆ เช้า”ชายหนุ่มหยุดพูด แล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากอีกครั้งหนึ่งแล้วไต่ระเรื่อยมาจนถึงใบหู ใจอยากจะโจนจ้วงเข้าหาร่างเย้ายวนนี้ให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน แต่ก็อยากให้หญิงสาวได้สัมผัสกับความสวยงามจากประสบการณ์ในรักครั้งแรกมากกว่า เขาจึงต้องอ่อนโยนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้ว่าความต้องการจะอัดแน่นจนแทบระเบิดแล้วก็ตาม“แต่งงานกับอานะคะ”ไหน ๆ เธอก็เรียนจบแล้ว มีงานมีการทำถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว หนำซ้ำยังจดทะเบียนสมรสเป็นคนคนเดียวกันในทางกฎหมายแล้วด้วย เขาจึงคิดว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรออีกต่อไป เพราะเขากับเธอก็แทบจะเป็นของกันและกันอยู่แล้ว จะเหลือก็แต่การอยู่ร่วมบ้านเดียวกันในฐานะของสามีภรรยาเท่านั้นรวิชาคลี่ยิ้มกว้างพล
ภีมพลยืนยิ้ม มองภรรยาทางนิตินัยที่กำลังยักย้ายส่ายสะโพกอย่างสนุกสนานกับเพื่อนกลุ่มใหญ่อยู่ข้างล่างด้วยแววตาทอดอ่อน เมื่อวานสอบวันสุดท้าย วันนี้รวิชาจึงขออนุญาตเขาพาเพื่อน ๆ มาสนุกกันที่คลับอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการฉลองจบการศึกษา อีกทั้งฉลองที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสปานั้นทะลุเป้าเกินกว่าที่คาดหมายไว้พอสมควรสาวน้อยของเขาเรียนจบแล้ว...ปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งคู่หมั้น สองปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งสามีตามกฎหมาย รวมแล้วร่วมสี่ปีเต็มกับการเฝ้าดูแลเด็กสาวคนหนึ่งให้เติบโตเป็นหญิงสาวแสนสวย และมากความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปเมื่อก่อนเขาเอาแต่นั่งนับวันเวลาว่าเมื่อไรเธอจะเรียนจบ เพราะอยากตีตราจองเธอเอาไว้ด้วยร่างกาย ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียวตามประสาผู้ชายทั่วไปที่คิดอยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนรัก ทว่าพอวันเวลาผ่านไป ความคิดของเขาก็ค่อยปรับเปลี่ยนไปทีละนิดตามความผูกพันที่เพิ่มขึ้นระหว่างเขากับเธอเซ็กซ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่เขาต้องการจากเธอเพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน เพราะมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกมั่นคงในรัก และการรับรู้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งขอ
หลายเดือนผ่านไปเสียงถอนหายใจจากร่างเล็กที่กำลังเอนตัวนอนไปกับที่นั่งในศาลาไม้สักทำให้ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาเงียบ ๆ ต้องชะงักเท้าแล้วหันมองตามเสียงนั้น ภีมพลเดินไปหา คนที่นอนหลับตาจึงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า และไม่รู้ถึงการมาของเขา ชายหนุ่มยืนกอดอกพิงกับเสา มุมปากยกยิ้มอย่างเอ็นดู แววตาทอดอ่อนเมื่อมองไปยังหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของหัวใจ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งใกล้กับเธอกลิ่นน้ำหอมที่เคยคุ้นลอยเข้าจมูก อีกทั้งเริ่มรู้สึกว่าสะโพกกำลังโดนเบียดจากใครบางคน รวิชาลืมตาขึ้นมองแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร จนเมื่อได้สบตากันหญิงสาวจึงส่งยิ้มเนือย ๆ ไปให้“เหนื่อยหรือ ถอนหายใจเสียงดังเชียว” ภีมพลเอื้อมมือปัดปอยผมให้อย่างอ่อนโยน รวิชาจึงยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วย้ายฝั่งไปเอนตัวลงนอนหนุนตักแข็ง ๆ ของเขาแทนอย่างออดอ้อน“ถ้าให้ตอบตรง ๆ ก็ใช่ค่ะ หลายเดือนมานี้เลิกเรียนมาก็ต้องมาศึกษางานของบริษัท นี่ยังดีนะที่น้องอายเคยเรียนรู้มาบ้างแล้วตอนที่คุณพ่อกับคุณแม่ยังอยู่ ต้องขอบคุณอาภีมค่ะที่ตอนนั้นสอนให้น้องอายได้คิดว่าเราควรจะต้องเริ่มศึกษาธุรกิจของครอบครัวเอา
ชายหนุ่มนั่งเท้าแขนอยู่บนโต๊ะพลางมองใบหน้าเนียนใสที่เริ่มมีสีระเรื่ออย่างเอ็นดูแกมมันเขี้ยว เพราะประโยคนั้นของเธอ ทำเอาเขาไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งสิ้นทั้งที่ใกล้สอบเต็มทีอารดาเงยหน้าขึ้นสบตาเขา แล้วรีบก้มหน้าหลบสายตาวิบวับของชายหนุ่ม ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะเมื่อครู่เขาคงได้ยินทุกอย่างจากปากเธอไปหมดแล้ว“อุ้ย...อุ้ยครับ เงยหน้าขึ้นมองพี่หน่อยสิ”เตชินทร์ก้มหน้าเอียงคอลงเพื่อที่จะได้มองหน้าสาวน้อยให้เต็มตา ครั้นพอเธอเงยหน้าขึ้นมา เรียวปากของชายหนุ่มก็คลี่ยิ้มกว้างจนตายิบหยี“พี่อยากจะบอกอุ้ยว่าครอบครัวของพี่ไม่ได้เป็นอย่างที่อุ้ยกังวลหรอกนะ อากงอาม่าของพี่สมัยที่มาอยู่เมืองไทยใหม่ ๆ ก็เป็นลูกจ้างเข็นของอยู่ในตลาด กว่าจะมีอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะน้ำพักน้ำแรงล้วน ๆ ครอบครัวของพี่ก็เลยไม่เคยดูถูกใครในเรื่องของฐานะ ท่านทั้งสองให้ความสำคัญกับค่าของคนมากกว่าค่าของเงิน”ชายหนุ่มหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของหญิงสาวที่เขาเทใจให้ เมื่อเห็นเธอนั่งนิ่งและตั้งใจฟัง เขาจึงตัดสินใจพูดต่อ“ท่านไม่เคยห้ามหรือกีดกันพี่
หลายวันต่อมา ภีมพลยืนดูแบบแปลนและโครงสร้างของโรงงานที่ทีมสถาปนิกเคยนำเสนอเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเขาเห็นว่าปลอดภัยและรัดกุมกว่าโครงสร้างของโรงงานแบบเดิม จึงได้มีคำสั่งให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยเขาต้องมาดูแลการก่อสร้างโรงงานใหม่ทั้งหมดด้วยตัวเองเนื่องจากอาคารหลังเดิมเสียหายจากไฟไหม้มากจนไม่คุ้มหากจะซ่อมแซมใหม่ ตอนนี้ห้องเก็บกลิ่นตัวอย่างจึงต้องอาศัยตู้คอนเทนเนอร์ใช้เป็นออฟฟิศชั่วคราวแทนไปก่อน ส่วนโรงคัดแยกวัตถุดิบก็ใช้พื้นที่ส่วนของลานจอดรถทำไปพลาง ๆ ซึ่งภีมพลได้ว่าจ้างให้ช่างประปาต่อวาล์วน้ำเพิ่มเติมในจุดนี้รวมทั้งทำอ่างสำหรับล้าง และก่อโครงมีหลังคาทำเป็นโรงคัดแยกแบบง่าย ๆ ระหว่างที่รอการก่อสร้างของจริงจะแล้วเสร็จหลังจากที่ดูการก่อสร้างส่วนต่าง ๆ จนพอใจ ชายหนุ่มจึงเดินไปยังอาคารอีกหลังซึ่งเป็นในส่วนของออฟฟิศ และเป็นอาคารที่แยกออกมาจากโรงงาน โชคดีที่อาคารหลังนี้ไม่ถูกไฟไหม้ไปด้วย มิเช่นนั้นบริษัทอาจจะต้องหยุดชะงักลงไปเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นระหว่างที่ภีมพลกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับทันทีที่เห็นชื่อของคนที่โทร.