“เตือน? เตือนเรื่องอะไรคะ” รวิชาขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย ในใจเริ่มคิดไปถึงข่าวลือหนาหูของคู่หมั้นหมาด ๆ ที่เธอได้ยินมาจากพรรณรายถึงเรื่องความเจ้าชู้ของเขา และไหนจะภาพบาดตาเมื่อครู่นี้อีก
“ก็คุณภีมน่ะสิคะ เขาค่อนข้างขึ้นชื่อในเรื่องผู้หญิง ยิ่งทำงานกลางคืนที่ต้องใกล้ชิดกับพวกสาว ๆ สวย ๆ ก็ยิ่ง...เอ่อ...อย่าว่าแต่พวกลูกค้าสาว ๆ เลยค่ะ ขนาดนักร้องหรือเด็กเสิร์ฟหน้าตาดีหน่อยส่วนใหญ่ก็ต้องเคยผ่านคุณภีมมาแล้วทั้งนั้น ขนาดพี่เองก็ยัง...เอ่อ...พี่ไม่รู้จะอธิบายยังไงค่ะ แต่ที่พี่เอามาบอกก็เพราะว่าอยากให้น้องทำใจรับเรื่องนี้ของเขาให้ได้นะคะ ไม่งั้นคงคบกันไม่ยืด พี่เห็นน้องยังเด็กมาก กลัวจะรับไม่ได้ก็เลยต้องมาบอกเอาไว้ก่อน”
รวิชาเผลอกำมือแน่นจนเล็บจิกฝ่ามืออย่างลืมตัว เธอไม่รู้ว่าทำไมต้องโกรธ และทำไมในอกมันจุกจนเหมือนหายใจไม่ออก
ในเมื่อรู้มาก่อนล่วงหน้าแล้วว่าเขาเป็นคนแบบนี้ อีกทั้งเธอกับเขาก็แค่หมั้นกันหลอก ๆ แล้วทำไมเธอถึงรู้สึกทนไม่ได้เมื่อได้ยินว่าเขามีความสัมพันธ์กับผู้หญิงมากหน้าหลายตา รวมถึงคนที่อยู่ตรงหน้านี่ด้วย
“แต่พี่ขอร้องอย่างหนึ่งนะคะ อย่าเอาไปบอกคุณภีมว่าพี่เอามาบอก พี่เห็นว่าเป็นผู้หญิงเหมือนกันก็เลยอยากมาเตือนเอาไว้ ถ้าน้องรับได้ก็ดีไป แต่ถ้าน้องรับไม่ได้ก็อาจจะมีปัญหา” วิคกี้แอบซ่อนความสะใจไว้ภายใต้ใบหน้าเห็นอกเห็นใจคนฟังที่แสดงออกมาเต็มที่
“ไม่บอกหรอกค่ะ ขอตัวนะคะ” เธอไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่านี้นอกจากขอตัวออกมา เพราะไม่สามารถปั้นหน้ายืนคุยกับผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเคยนอนร่วมเตียงกับคู่หมั้นของตัวเองได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกปวดแปลบในอกจนต้องยกมือขึ้นมากุมเอาไว้
“เดี๋ยวค่ะ นี่เบอร์ของพี่นะคะ เผื่อน้องอายสงสัย หรือมีคำถามอะไรก็โทร. หาพี่ได้เลย พี่บอกตรง ๆ นะคะว่าเห็นแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจเท่าไร เพราะพี่เองก็มีน้องสาววัยเดียวกับน้องนี่แหละค่ะ”
วิคกี้ยื่นกระดาษที่มีเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองพร้อมไอดีไลน์ส่งให้รวิชา สาวน้อยยื่นมือออกไปรับแล้วเก็บใส่กระเป๋าสะพายก่อนจะขอตัวเดินออกมาด้านนอก
ระหว่างที่กำลังเดินอ้อยสร้อยเพื่อจะกลับไปที่นั่งของตัวเอง จู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งเข้ามาดักหน้าเธอไว้ในระยะห่างพอประมาณพร้อมกับส่งยิ้มทรงเสน่ห์มาให้
“สวัสดีครับ ผมเห็นคุณกับเพื่อนนั่งอยู่ที่โซนวีไอพีมาสักพักหนึ่งแล้ว คุณจะรังเกียจไหมถ้าผมอยากทำความรู้จักกับคุณ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรครับ”
เขาดูสุภาพไม่มีท่าทางคุกคามและยังให้เกียรติ ทำให้รวิชาไม่นึกกลัวแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเธอกลับรู้สึกว่าเขาดูไม่มีพิษมีภัยอย่างกลวิชรเท่าไรนัก จึงยิ้มให้บาง ๆ แต่ในใจนั้นกำลังชั่งใจว่าจะตอบรับไมตรีดีหรือไม่เพราะเธอเองก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว ทว่าภาพนัวเนียของสองหนุ่มสาวก่อนหน้านี้ที่ยังคงแจ่มชัดติดตาผุดวาบขึ้นมาในหัวอีกครั้ง เธอจึงคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะลองทำความรู้จักกับชายหนุ่มตรงหน้านี้ดูบ้าง
“อายค่ะ ชื่ออาย” หญิงสาวตอบ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงห้าวห้วนของใครบางคนก็ดังขึ้นมาจากด้านข้างเสียก่อน
“น้องอาย!”
รวิชาหันไปมอง เห็นภีมพลเดินหน้านิ่งเข้ามาหา สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ผู้ชายตรงหน้าที่เธอยังไม่ทันได้รู้จักชื่อ ในขณะที่เขามองเธอกับภีมพลสลับกันไปมา
“เอ่อ...คนนี้อาภีมค่ะ เป็นอาของน้องอายเอง อาภีมคะ พี่คนนี้ชื่อ...”
รวิชาหันไปมองเขา อีกฝ่ายรู้หน้าที่ดีจึงรีบแนะนำตัวเองอย่างรวดเร็ว เพราะเขารู้ดีทีเดียวว่าชายหนุ่มที่หญิงสาวแนะนำนั้นเป็นถึงเจ้าของคลับ
“ชินทร์ครับ ถ้างั้นผมคงต้องขอตัวก่อน เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมเดินไปหาที่โต๊ะนะครับ” เตชินทร์แนะนำตัวเองสั้น ๆ ก่อนจะหันไปพูดกับรวิชาในตอนท้ายแล้วผละไป เพราะตอนนี้ดูเหมือนจะไม่สะดวกใจนักหากต้องยืนคุยกัน
ภีมพลมองตามแผ่นหลังนั้นไปด้วยแววตาสงบนิ่ง ก่อนจะหันมาหาสาวน้อยข้างกายที่กำลังมองตามเช่นกัน
“รู้จักกันหรือ แต่ดูเหมือนเพิ่งจะรู้จักเมื่อกี้ใช่ไหม” ภีมพลจ้องหน้ารวิชานิ่ง เพราะเธอเอาแต่เสมองไปทางอื่นไม่ยอมสบตา
“ใช่ค่ะ เขามาถามชื่อ บอกว่าอยากรู้จัก” เธอบอกเขาไปอย่างไม่ปิดบัง แต่คนฟังหน้าตึงขึ้นมาทันที
“เสน่ห์แรงจริงนะสาวน้อย อย่าลืมนะว่าตัวเองน่ะหมั้นแล้ว” เขาพูดเสียงราบเรียบมุมปากหยักยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เขาไม่อยากใส่อารมณ์กับเธอมากนัก เพราะรู้ว่ารวิชายังเด็กเหลือเกินในด้านความคิดความอ่าน
“แล้วคิดว่าน้องอายอยากหมั้นนักหรือไงคะ ไม่ได้อยากหมั้นสักหน่อยถ้าไม่เพราะอาภีมเอาเรื่องนั้นไปฟ้องคุณพ่อ ไม่มีใครอยากหมั้นกับผู้ชายที่แก่กว่าตัวเองเป็นรอบ ๆ แถมยังเจ้าชู้นอนกับผู้หญิงไม่เลือกหน้าอย่างนั้นหรอกค่ะ”
รวิชาพูดไปตามแรงอารมณ์ที่เริ่มกักเก็บเอาไว้ไม่อยู่ อาการจุกแน่นในอกดูเหมือนจะกำเริบขึ้นมาอีกครั้งเมื่อภาพที่เขานัวเนียกับผู้หญิงคนอื่นผุดวาบขึ้นมา
“น้องอาย!” ภีมพลคำรามเสียงต่ำ ในใจเริ่มเดือดปุด ๆ ที่สาวน้อยโจมตีเขาในเรื่องอายุที่ห่างกัน อีกทั้งเขาพยายามคิดปลอบตัวเองว่าที่เธอระเบิดอารมณ์ใส่อย่างนี้ก็คงเพราะเห็นอรอินมานัวเนียกับเขาเมื่อครู่
“เรียกทำไมคะ หรือว่ารับไม่ได้ที่พูดความจริง คอยดูนะเรียนจบเมื่อไรน้องอายจะขอถอนหมั้น ทุกวันนี้ก็อายเพื่อนจะแย่อยู่แล้วที่ต้องมีคู่หมั้นเป็นตาแก่แบบนี้” รวิชายังคงตอกย้ำในเรื่องเดิมเพราะอยากให้เขารู้สึกเจ็บจุกแบบเธอบ้าง
"นี่เธอไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าชาติที่แล้วทำบุญมาดีแค่ไหน ชาตินี้ถึงได้มีโอกาสมาหมั้นกับฉัน" ภีมพลเริ่มเดือดขึ้นมา เมื่อถูกสาวน้อยพูดตอกหน้าว่าแก่ หนำซ้ำยังทำราวกับว่าเรื่องการหมั้นหมายที่เพิ่งผ่านไปนั้นตนฝืนใจอย่างเหลือแสน
“ก็อยากรู้เหมือนกันค่ะ ชาตินี้จะได้ไม่ทำอีก เผื่อชาติหน้าจะได้โชคร้ายบ้าง” รวิชาตอกกลับทันควัน สำหรับเขา...เธอก็คงเป็นแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร
“เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ” ชายหนุ่มจ้องหน้าเนียนใสไม่วางตา วาจากระแทกแดกดันแบบนี้เธอไม่เคยพูดกับเขา
“อะไรกัน หูตาฝ้าฟางแล้วหรือคะ อายพูดเสียงดังแล้วนะยังไม่ได้ยินอีกหรือ” รวิชาลอยหน้าลอยตาตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน ทีเขานึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่เคยเห็นแคร์เลยว่าตัวเองก็หมั้นแล้วเหมือนกัน
“ยายหนูอาย!” ภีมพลเค้นเสียงต่ำ คำก็แก่สองคำก็แก่ เธอช่างตอกย้ำกันดีเหลือเกิน
"ขา...คุณอาภีม" รวิชาเอียงหน้าขานรับเสียงใส อาการปวดในอกเริ่มจางหายเมื่อเห็นใบหน้าบูดบึ้งของคู่หมั้นหนุ่ม แต่ในระหว่างที่เธอทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ มือของเขากลับตรึงที่ต้นแขนของเธอพร้อมกับฉุดให้เดินไปด้วยกัน
“ปากเก่งนักนะ มานี่เลยแม่ตัวดี” ภีมพลกระตุกยิ้ม ในเมื่อเธอดื้อรั้นนักก็ต้องกำราบในแบบวิธีของเขาให้หลาบจำกันบ้าง
“อาภีมจะพาน้องอายไปไหน อายจะกลับโต๊ะ!” รวิชาขืนร่างไว้สุดแรงไม่ยอมเดินตามเขา ภีมพลจึงคว้าหมับเข้าที่เอวบางแล้วอาศัยแรงที่มากกว่าดันให้เธอต้องเดินตามเขาไป
เมื่อเปิดประตูเข้ามาในส่วนของออฟฟิศได้ เขาก็รั้งให้เธอเดินตามไปจนถึงบันได รวิชาส่งเสียงโวยวายไปตลอดทางพร้อมกับเอื้อมมือไปจับราวบันไดเพื่อขืนตัวไว้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจอุ้มหญิงสาวขึ้นพาดบ่าท่ามกลางเสียงหวีดร้องของคนที่ถูกจับพาดห้อยหัว มือก็ทุบตีแผ่นหลังของชายหนุ่มไปตลอดทาง
“อาภีมบ้า! ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ ตาผีดิบนิสัยเสีย นี่แน่ะ ๆ”
รวิชายังคงร้องโวยวายไม่หยุด ภีมพลจึงจัดการฟาดลงบนสะโพกกลมกลึงไม่แรงนัก แต่คนถูกตีกลับร้องราวกับโดนแส้ฟาด
ชายหนุ่มเดินขึ้นมาถึงห้องพักผ่อนที่รวิชาเคยนอนเมื่อครั้งถูกกลวิชรวางยานอนหลับ เขาใช้มืออีกข้างเปิดประตูแล้วเอาเท้าดันให้ปิด พาร่างที่ดิ้นขลุกขลักอยู่บนบ่าไปหย่อนลงบนเตียงนอนหนานุ่มกลางห้อง แล้วหย่อนกายลงนั่งขอบเตียง“ว่าไง ยังจำห้องนี้ได้ไหมหนูอาย” ภีมพลพูดเสียงสั่นปนหอบ มือก็ตามคว้าร่างที่กำลังจะขยับหนีให้ขึ้นมานั่งอยู่บนตักของตน ส่งเสียงขู่ไม่ให้คนตัวเล็กได้แผลงฤทธิ์“นั่งนิ่ง ๆ ถ้าไม่นิ่งอาไม่รับรองความปลอดภัยนะ หรืออยากจะลอง”ประโยคสุดท้ายเขาพูดพร้อมกับเกยคางลงบนไหล่มนจนริมฝีปากแทบจะชิดกับแก้มนุ่ม รวิชานั่งนิ่งตัวแข็งทันที เมื่อตระหนักได้ว่าความปลอดภัยที่เขาพูดถึงนั้นหมายถึงอะไร ทั้งตกใจทั้งหวาดหวั่นแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกวูบวาบหวามไหวไปกับความใกล้ชิด จนเขาสามารถหายใจรดซอกคอเธอได้“ไหนบอกสิว่าโกรธอาเรื่องอะไร ทำไมถึงพูดกับอาแบบนั้น ปกติเราไม่เคยพูดแรงขนาดนี้เลยนะ”อาภีมคนเดิมเริ่มกลับมาเพราะน้ำเสียงที่เขาใช้กับเธอนั้นสุดแสนจะอ่อนทุ้มนุ่มนวล แต่รวิชายังคงปิดปากเงียบ หันหน้าหนีสายตาคมปลาบของเขาไปอีกทาง ภีมพลจึงข
ไม่เกินสิบนาทีต่อมา ชายหนุ่มก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความผ่อนคลาย เห็นรวิชานั่งหน้าแดงเอียงคอ ทำหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่“คิดอะไรอยู่” ภีมพลเดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ เห็นสีหน้าแววตาของรวิชาตื่นเต้นเล็กน้อยก่อนที่เจ้าตัวจะรีบกลบเกลื่อนด้วยการหันมาฉีกยิ้มกว้าง แล้วรีบเบือนหน้าไปทางอื่นแทน ชายหนุ่มจึงเอามือทั้งสองข้างไปกุมใบหน้าเรียวสวยนั้นไว้ บังคับให้หันมองมาตน“รู้ตัวหรือเปล่าว่าเราน่ะโกหกไม่เก่งเลย ว่าไงครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”รวิชาได้แต่ยิ้มแหย นัยน์ตากลมโตกวาดมองไปทางอื่นเพราะไม่กล้าสบตากับเขา ปากอิ่มเม้มแน่นตามความเคยชิน ทำเอาคนมองได้แต่จ้องริมฝีปากสีระเรื่อนั้นตาปรอย“ก็...ก็แค่...นึกถึงวันนั้นค่ะ” วันที่เธอตื่นมาแล้วพบว่ามีผู้ชายเปลือยกายนอนหลับอยู่ข้าง ๆ แถมยังเป็นผู้ชายที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะได้มาพูดคุยจนเลยเถิดมาถึงขั้นหมั้นหมายกันอย่างวันนี้…และที่สำคัญ เธอยังได้เห็นหนอนชาเขียวตัวโตเต็มวัยของเขาอีกด้วย!“ทำไมล่ะ จะบอกให้ว่าวันนั้นน้องอายโชคดีมากแล้วรู้ไหมที่เจออา ถ้าอาไม่ยื่นม
เสียงคนวิ่งตึงตังลงมาจากบันไดทำให้ผู้ที่นั่งดูข่าวเช้าทางโทรทัศน์ต้องเงยหน้าขึ้นมอง จึงเห็นบุตรสาวยืนยิ้มร่าอยู่ตรงหน้า“น้องอายดูเป็นยังไงบ้างคะคุณพ่อคุณแม่”คนพูดกางแขนหมุนตัวหนึ่งรอบให้บิดามารดาได้เห็นตนในชุดนิสิตวันแรก รวิชาอยู่ในชุดกระโปรงอัดจีบรอบตัวยาวเสมอเข่า เสื้อนักศึกษาขนาดพอดีตัวไม่หลวมโคร่ง และไม่รัดรูปจนเกินไป สวมถุงเท้าสีขาวสำหรับใส่กับคัตชูสีขาวเพื่อบ่งบอกสถานะของการเป็นน้องใหม่ เป็นการแต่งกายที่ถูกระเบียบทุกอย่างสำหรับวันรายงานตัวการเข้าเป็นนิสิตใหม่ของมหาวิทยาลัยมีชื่ออันดับต้น ๆ ของประเทศ“ดูดีที่สุดเลยลูก”อาทิตย์มองบุตรสาวด้วยความภาคภูมิใจ รวิชาไม่เคยทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาให้พ่อกับแม่ต้องปวดหัวหรือหนักใจเลยสักครั้ง ตรงกันข้าม เจ้าตัวกลับนำแต่ความชื่นชมยินดีมาให้“แล้วนี่จะไปรถเมล์จริงหรือลูก แม่ว่าเอารถที่บ้านเราไปส่งก็ได้นี่นา ไปมหาวิทยาลัยวันแรกการเดินทางน่าจะยังไม่สะดวก” มารดาถามด้วยความเป็นห่วง แต่รวิชากลับส่ายหน้าหวือ“วันแรกอย่างนี้แหละค่ะดีแล้ว น้องอายจะได้ก
หญิงสาวเบือนหน้าหนีและหันไปมองอีกทางราวกับคนไม่เคยรู้จัก อารดาก็สังเกตเห็นกลวิชรเช่นกัน และเริ่มรู้สึกถึงเค้าลางความยุ่งยากต่าง ๆ ที่กำลังจะตามมาในไม่ช้า พรรณรายเล่าให้ฟังว่ากลวิชรแค้นใจไม่น้อยที่โดนสั่งสอนจนสะบักสะบอมเมื่อหลายเดือนก่อน และพูดว่าจะหาทางเอาคืนให้ได้จนเธอนึกห่วงสวัสดิภาพของรวิชาขึ้นทันที“อาย พี่วิชรจ้องแกเขม็งเลย น่ากลัวชะมัด” อารดามีสีหน้าหวาดหวั่นระหว่างที่เดินเคียงคู่ไปกับรวิชาเข้าไปในอาคาร“ช่างเขาสิ ถ้ายังอยากหาเรื่องใส่ตัวอีกก็ช่วยไม่ได้แล้วล่ะ”รวิชายักไหล่อย่างไม่ยี่หระ กลวิชรหาเหาใส่หัวเองโดยแท้ที่คิดไปแหย่คนอย่างเจ้าพ่อซุส ถึงแม้เขาจะไม่ใช่มาเฟียที่มีอิทธิพลล้นฟ้าเหมือนในซีรีส์ที่เธอชอบดู แต่เขาก็มีลูกน้องอยู่ในความดูแลเป็นจำนวนมาก หนำซ้ำยังมีเส้นสายในสายงานต่าง ๆ แบบที่เธอไม่เคยรู้และคาดไม่ถึง เพราะเขาแทบจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับงานที่เขาทำอยู่ ทุกครั้งที่เขาหนีบเธอไปทำงานด้วย เขาก็ได้แต่ใช้ให้เธอช่วยนำเอกสารไปให้เลขาฯ ที่อยู่หน้าห้องเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นคือชงกาแฟ เตรียมของว่าง และนั่งรับประทานอาหารเป็นเพื่อนเขา
ภาพของภีมพลคลอเคลียกับผู้หญิงคนนั้นผุดวาบขึ้นในหัวของรวิชาอีกครั้ง หญิงสาวอดหวั่นไหวไปกับคำพูดของเพื่อนไม่ได้ เพราะกับเธอนั้น อย่างมากเขาแค่หอมแก้มโอบไหล่ ไม่เคยทำอะไรมากกว่านั้น จะว่าไปแล้วการกระทำของเขาไม่ต่างกับบิดาของเธอเลย หรือเขาแค่เอ็นดูเธอในฐานะของน้องคนหนึ่งอย่างที่สกลธีว่าไว้จริง ๆ“อ้าว หล่อนจะเหม่ออะไรยะ เดี๋ยวฉันเก็บเรียบหมดแล้วอย่ามากระซิก ๆ ไล่หลังฉันนะยะหล่อน ฉันไม่สำรอกออกมาหรอกนะจะบอกให้” คนพูดเคี้ยวตุ้ย ๆ พลางใช้ตะเกียบชี้หน้าเพื่อน“ตีตี้...อาภีมเขา...เขาไม่เคยทำอะไรแบบนั้นกับฉันเลยน่ะ เต็มที่เขาก็แค่จุ๊บหน้าผาก หรือหอมแก้มฉันแค่นั้นเอง” รวิชาพูดเสียงอ่อย ๆ ออกจะขัดเขินไม่น้อยที่ต้องมาเล่าเรื่องแบบนี้ให้เพื่อนฟัง“ถามจริง! ไม่มีคลุกมีเคล้า ไม่มีการเข้าถึงอะไร ๆ บ้างเลยหรือ”ชายใจหญิงทำตาโตตอนกระซิบถามเพื่อนราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เพราะเท่าที่เขารับรู้มา ภีมพลจัดว่าเป็นเพลย์บอยตัวพ่อเลยทีเดียว ชื่อเสียงเรื่องผู้หญิงของเจ้าพ่อซุสนั้นกระฉ่อนในเหล่าผีเสื้อราตรีไม่น้อย“ถ้างั้นเขาจะมาหม
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นจากในกระเป๋า ส่งผลให้คนที่กำลังจะเอื้อมหยิบหนังสือนิยายบนชั้นวางต้องลดมือลงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แว้บแรกที่เห็นรายชื่อของคนโทร. เข้า ใบหน้าเนียนใสก็คลี่ยิ้มกระจ่างเต็มวงหน้าทันที“อาภีมกลับมาแล้วหรือคะ”รวิชาทักทายคนปลายสายเสียงใส สองอาทิตย์ที่ไม่ได้เจอหน้าทำให้รู้สึกราวกับว่าชีวิตเหมือนขาดอะไรไป เพราะช่วงก่อนเปิดเทอมนั้นเวลาเขาจะไปไหนมักจะหนีบเธอไปด้วยเสมอ แม้กระทั่งตอนไปทำงานที่ออฟฟิศ เขาก็จะพาเธอไปนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่ห้องทำงานของเขาแทน หากว่าวันนั้นเธอไม่ได้เข้าโรงงานของครอบครัว“กลับมาแล้วครับ ลงเครื่องมาปุ๊บก็โทร. หาน้องอายเลย แล้วนี่ทำอะไรอยู่”ภีมพลหันมองลูกน้องที่เดินตามมาห่าง ๆ ซึ่งอีกฝ่ายกำลังชี้บอกเขาว่าคนขับรถมารออยู่ตรงไหน ชายหนุ่มจึงเดินตามไป“มาซื้อหนังสืออ่านเล่นค่ะ ตอนนี้อยู่ที่ห้างสยามพารากอนกับตีตี้ แล้วนี่อาภีมจะกลับบ้านเลยหรือเปล่าคะ” หญิงสาวถามกลับไป เพราะหากภีมพลกลับบ้านเลยเธอจะได้รีบซื้อหนังสือแล้วรีบกลับไปหาเขา“อาคงเข้าออฟฟิศก่อนน่ะ ม
“เค้กร้านเดิมนั่นแหละค่ะ อาภีมจะกินเลยไหมคะน้องอายไปเอาจานกับช้อนมาให้” รวิชาเดินตามมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ภีมพลยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาก่อนเอ่ยตอบ“ยังดีกว่า อายังไม่ได้กินมื้อเที่ยงเลย น้องอายกินมาหรือยัง”“กินมากับตีตี้แล้วค่ะ”หญิงสาวเดินเข้ามาตั้งใจว่าจะลงนั่งบนโซฟาตัวเดียวกับเขา ทว่าเพราะไม่ทันระวังเท้าจึงสะดุดเข้ากับขาโต๊ะจนคะมำไปข้างหน้าทั้งตัว รวิชาร้องเสียงหลงด้วยความตกใจไม่ต่างจากภีมพลที่รีบถลาอ้าแขนเข้าไปรับร่างของเธอไว้ได้ทันท่วงที“โอ๊ย!”รวิชาร้องเบา ๆ เมื่อร่างของตนทิ้งตัวลงไปทาบทับกับร่างของชายหนุ่ม รู้สึกเจ็บจนน้ำตาเล็ดเพราะเหมือนศีรษะจะถูกอะไรแข็ง ๆ กระแทกใส่ หญิงสาวดิ้นขลุกขลักพยายามยันกายขึ้นและค่อย ๆ เอาศอกเท้าไว้กับโซฟาก่อนจะผงกศีรษะขึ้นมอง“อาภีม! น้องอายขอโทษค่ะ น้องอายไม่ได้ตั้งใจ อาภีมเจ็บไหมคะ”รวิชาเอามือแตะริมฝีปากเขาเบา ๆ เมื่อเห็นรอยเลือดซึมออกมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาคงโดนศีรษะของเธอกระแทกเป็นแน่ในขณะที่ภีมพลรู้สึกเหมือนเห็นดาวลอยวนเวียนอ
“เขาบอกไว้ก่อนแล้วล่ะ แต่ไม่คิดว่าจะออกไปเลย” พูดจบชายหนุ่มก็เดินเข้าห้อง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร. หารวิชา แต่รอสายอยู่นานก็ยังไม่มีทีท่าว่าเจ้าตัวจะรับสายจนเขาต้องถอดใจภีมพลทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่ สีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร. ออกอีกครั้ง แต่ผลก็ยังเป็นเหมือนเดิม เขาจึงเปลี่ยนใจพิมพ์ข้อความส่งหาเธอแทน‘โกรธอาหรือครับ อาขอโทษ’ภีมพลนั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่นาน แต่ไม่มีทีท่าว่าหญิงสาวจะอ่านข้อความและพิมพ์ตอบกลับมา เขาจึงวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่รวิชาคงโกรธเขาจริง ๆ หรือไม่ก็คงหวาดกลัวเป็นแน่ที่จู่ ๆ เขาไปหักหาญทำอะไรล่วงเกินไปอย่างนั้น เธอยังเด็กเหลือเกินสำหรับเขา จึงคิดว่าจะค่อย ๆ สอนไปทีละนิดทีละน้อย ให้เธอค่อย ๆ ซึมซับความสัมพันธ์ทางกายไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อที่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นจริง เธอจะโตพอสำหรับการเริ่มต้นผูกพันลึกซึ้งกับเขาได้ตามประสาคนรักทั่วไปแต่เขาก็มาทำเสียเรื่องเข้าจนได้ เขาใจร้อนวู่วามเกินไปที่จู่ ๆ ก็ไปปล้ำจูบเธอ สมควรแล้วที่เด็กสา
“อ้าว! วันนี้คุณอายไม่เข้าบริษัทหรือ” เมื่อเช้าก็ออกมาด้วยกันแท้ ๆ แต่แม่เจ้าประคุณแอบหนีไปเที่ยวไหนกันล่ะนี่ ชายหนุ่มคิดอย่างเข่นเขี้ยวในใจเมื่อเจอ “เซอร์ไพรส์” สุดพิเศษจากศรีภรรยาภีมพลยิ้มกริ่มอย่างหมายมาด เห็นทีต้องรีบกลับไปรับขวัญก่อนเวลาเสียแล้ว ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถออกมา เหลือบไปเห็นแฟ้มงานสองแฟ้มที่ยังคงแผ่หราอยู่เต็มโต๊ะ แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังดูค้างเอาไว้ เขากวาดตามองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ใจจริงเขามีตัวเลือกเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อตัดสินใจได้เขาก็คว้าแฟ้มขวามือเดินออกจากห้องทันที จากนั้นจึงไปยื่นให้กับเลขาฯ ส่วนตัว“ผมเลือกของบริษัทนี้ ให้ฝ่ายจัดซื้อทำเรื่องได้เลย อ้อ วันนี้ผมไม่เข้าแล้วนะ” พูดจบชายหนุ่มก็ผละออกไป และต้องหยุดชะงักเมื่อเลขาฯ รีบวิ่งมาถามถึงงานบางอย่างที่เขาให้เตรียมไว้สำหรับช่วงบ่ายนี้“คุณภีมคะ แล้วเรื่องที่ให้เตรียมเอาไว้บ่ายนี้ล่ะคะ”“ยังคอนเฟิร์มอยู่ แต่ว่าคุณช่วยอะไรผมหน่อยสิ”ภีมพลหันมายิ้มพรายเต็มวงหน้าเมื่อคิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้
อดคิดไปถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้วไม่ได้ ท่านทั้งสองช่างมีความอดทนและมุมานะอย่างล้นเหลือที่สู้ฝ่าฟันจนกระทั่งบริษัทเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ นึกมาถึงตอนนี้แล้วก็โกรธตัวเองที่ตอนนั้นเอาแต่น้อยใจ คิดว่าท่านทำแต่งานจนไม่สนใจใยดีกับเธอผู้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว‘รวิชา แปลว่าลูกพระอาทิตย์ เพราะฉะนั้นหนูต้องเข้มแข็ง อดทนให้สมกับที่เป็นลูกสาวของพ่อ ชีวิตของหนูจะต้องรุ่งโรจน์สดใสเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า’ถ้อยคำจากบิดายังคงดังก้องอยู่ในหัวทุกครั้งที่นึกถึงเวลาเมื่อรู้สึกอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าไม่มีแม่นมชราและสามีที่คอยเป็นกำลังใจให้ ป่านนี้ชีวิตเธอจะหักเหไปทางไหนแล้วบ้างก็สุดรู้“อรุณสวัสดิ์จ้ะ”เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับจุมพิตเบา ๆ ที่ข้างแก้ม จากนั้นคนตัวโตก็ทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลังไว้พร้อมกับดึงบ่าของเธอให้เอนซบลงมาบนตัวเขา“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ” หญิงสาวทักทายกลับไปก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของสามี“จำเป็นต้องตื่นเช้าน่ะ จู่
หลังจากถวายสังฆทานจนกระทั่งกรวดน้ำเสร็จเรียบร้อย ภีมพล รวิชา และนมพิมก็พากันเดินออกมาเทน้ำที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้ากุฏิ ชายหนุ่มสวดบทกรวดน้ำพึมพำโดยไม่ออกเสียง ในขณะที่หญิงสาวและนมพิมอธิษฐานเพื่อส่งผลบุญให้แก่ผู้ล่วงลับอยู่ในใจวันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของบิดามารดาของรวิชา นมพิมเปรยเอาไว้หลายวันก่อนหน้าแล้วว่าอยากมาทำบุญให้ท่านทั้งสอง ซึ่งเธอเองก็เห็นด้วยเพราะคิดไว้เหมือนกันว่าจะมาทำบุญวันนี้ จึงชวนสามีหนุ่มให้มาด้วยกัน และเขาก็ไม่ขัดข้อง เพราะตั้งแต่ผ่านพ้นพิธีแต่งงานมาได้สองเดือน ภีมพลก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกเลยจากนั้นทั้งสามคนก็เดินทางกลับบ้าน พอมาถึง ชายหนุ่มปล่อยให้รวิชาได้อยู่กับแม่นมตามลำพังเพราะคิดว่าทั้งสองคนคงมีเรื่องอยากพูดคุยกัน เขาเองก็เห็นใจคนแก่อย่างนมพิม เพราะตั้งแต่รวิชาเรียนจบมาก็เอาแต่ทำงาน แถมหลังจากนั้นสองเดือนก็เข้าพิธีแต่งงานกับเขา ทำให้บางคืนรวิชาไม่ได้กลับไปนอนบ้านตัวเอง ถึงแม้เขากับรวิชาจะแก้ปัญหาด้วยการสลับบ้านนอนเป็นวันเว้นวันแล้วก็ตาม แต่หัวอกคนแก่ก็คงหงอยเหงาเป็นธรรมดา
“ตอบแบบนี้ค่อยชื่นใจหน่อย อย่างนี้ต้องให้รางวัล”ชายหนุ่มจับล็อกปลายคางมนของหญิงสาวไว้ แล้วก้มลงตบรางวัลให้คนปากหวานช่างจำนรรจาจนเขากระชุ่มกระชวยทุกทีที่ได้ฟังนาทีนี้ภีมพลเหมือนจะคลั่งเสียให้ได้ สาวน้อยช่างหวานจับจิตจับใจสมกับที่รอคอยมานานแสนนาน ถ้าไม่ติดว่าเธอยังใหม่กับความสัมพันธ์แบบนี้แล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าทั้งเขาและเธอยังคงนัวเนียกันอยู่บนเตียงเป็นแน่“อื้ม...อาภีมขา นี่มันริมถนนนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”แค่หญิงสาวพูดเบา ๆ แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วน้ำเสียงสั่นพร่านิด ๆ นั้นช่างฟังดูเซ็กซี่ยั่วยวนดีเหลือเกิน เขานึกถึงตอนเธอครวญครางอยู่ใต้ร่างของเขา ทั้งภาพทั้งเสียงยังคงติดตาตรึงใจเสียจนอะไร ๆ มันพรักพร้อมขึ้นมาอีกแล้ว“เราเข้าหมู่บ้านมาแล้ว ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมาหรอก รถอาก็มืด ใครจะมองเข้ามาเห็นล่ะคะ”เอาอีกแล้ว ลงท้ายด้วยคะ ขาแบบนี้แปลว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้วเป็นแน่ ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร แต่ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน“แวะบ้านอาก่อนนะคะ”แค่เห็นแววตาระยิบระยับแพรวพราวของเข
“ถ้าอย่างนั้น...คืนนี้อยู่กับอาทั้งคืนได้ไหม ตามใจอาหน่อยได้ไหมคะ”เขาถามพร้อมกับประพรมจุมพิตไปทั่วหน้าอย่างหลงใหล ก่อนจะเอ่ยประโยคสำคัญที่ทำให้คนฟังหัวใจพองฟูคับอก“อาก็รักน้องอาย ไม่ใช่แค่คืนนี้ที่อาอยากให้น้องอายอยู่ด้วยแต่เป็นทุก ๆ คืน และตื่นมาตอนเช้าก็เห็นหน้าน้องอายเป็นคนแรกในทุก ๆ เช้า”ชายหนุ่มหยุดพูด แล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากอีกครั้งหนึ่งแล้วไต่ระเรื่อยมาจนถึงใบหู ใจอยากจะโจนจ้วงเข้าหาร่างเย้ายวนนี้ให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน แต่ก็อยากให้หญิงสาวได้สัมผัสกับความสวยงามจากประสบการณ์ในรักครั้งแรกมากกว่า เขาจึงต้องอ่อนโยนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้ว่าความต้องการจะอัดแน่นจนแทบระเบิดแล้วก็ตาม“แต่งงานกับอานะคะ”ไหน ๆ เธอก็เรียนจบแล้ว มีงานมีการทำถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว หนำซ้ำยังจดทะเบียนสมรสเป็นคนคนเดียวกันในทางกฎหมายแล้วด้วย เขาจึงคิดว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรออีกต่อไป เพราะเขากับเธอก็แทบจะเป็นของกันและกันอยู่แล้ว จะเหลือก็แต่การอยู่ร่วมบ้านเดียวกันในฐานะของสามีภรรยาเท่านั้นรวิชาคลี่ยิ้มกว้างพล
ภีมพลยืนยิ้ม มองภรรยาทางนิตินัยที่กำลังยักย้ายส่ายสะโพกอย่างสนุกสนานกับเพื่อนกลุ่มใหญ่อยู่ข้างล่างด้วยแววตาทอดอ่อน เมื่อวานสอบวันสุดท้าย วันนี้รวิชาจึงขออนุญาตเขาพาเพื่อน ๆ มาสนุกกันที่คลับอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการฉลองจบการศึกษา อีกทั้งฉลองที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสปานั้นทะลุเป้าเกินกว่าที่คาดหมายไว้พอสมควรสาวน้อยของเขาเรียนจบแล้ว...ปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งคู่หมั้น สองปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งสามีตามกฎหมาย รวมแล้วร่วมสี่ปีเต็มกับการเฝ้าดูแลเด็กสาวคนหนึ่งให้เติบโตเป็นหญิงสาวแสนสวย และมากความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปเมื่อก่อนเขาเอาแต่นั่งนับวันเวลาว่าเมื่อไรเธอจะเรียนจบ เพราะอยากตีตราจองเธอเอาไว้ด้วยร่างกาย ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียวตามประสาผู้ชายทั่วไปที่คิดอยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนรัก ทว่าพอวันเวลาผ่านไป ความคิดของเขาก็ค่อยปรับเปลี่ยนไปทีละนิดตามความผูกพันที่เพิ่มขึ้นระหว่างเขากับเธอเซ็กซ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่เขาต้องการจากเธอเพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน เพราะมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกมั่นคงในรัก และการรับรู้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งขอ
หลายเดือนผ่านไปเสียงถอนหายใจจากร่างเล็กที่กำลังเอนตัวนอนไปกับที่นั่งในศาลาไม้สักทำให้ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาเงียบ ๆ ต้องชะงักเท้าแล้วหันมองตามเสียงนั้น ภีมพลเดินไปหา คนที่นอนหลับตาจึงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า และไม่รู้ถึงการมาของเขา ชายหนุ่มยืนกอดอกพิงกับเสา มุมปากยกยิ้มอย่างเอ็นดู แววตาทอดอ่อนเมื่อมองไปยังหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของหัวใจ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งใกล้กับเธอกลิ่นน้ำหอมที่เคยคุ้นลอยเข้าจมูก อีกทั้งเริ่มรู้สึกว่าสะโพกกำลังโดนเบียดจากใครบางคน รวิชาลืมตาขึ้นมองแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร จนเมื่อได้สบตากันหญิงสาวจึงส่งยิ้มเนือย ๆ ไปให้“เหนื่อยหรือ ถอนหายใจเสียงดังเชียว” ภีมพลเอื้อมมือปัดปอยผมให้อย่างอ่อนโยน รวิชาจึงยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วย้ายฝั่งไปเอนตัวลงนอนหนุนตักแข็ง ๆ ของเขาแทนอย่างออดอ้อน“ถ้าให้ตอบตรง ๆ ก็ใช่ค่ะ หลายเดือนมานี้เลิกเรียนมาก็ต้องมาศึกษางานของบริษัท นี่ยังดีนะที่น้องอายเคยเรียนรู้มาบ้างแล้วตอนที่คุณพ่อกับคุณแม่ยังอยู่ ต้องขอบคุณอาภีมค่ะที่ตอนนั้นสอนให้น้องอายได้คิดว่าเราควรจะต้องเริ่มศึกษาธุรกิจของครอบครัวเอา
ชายหนุ่มนั่งเท้าแขนอยู่บนโต๊ะพลางมองใบหน้าเนียนใสที่เริ่มมีสีระเรื่ออย่างเอ็นดูแกมมันเขี้ยว เพราะประโยคนั้นของเธอ ทำเอาเขาไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งสิ้นทั้งที่ใกล้สอบเต็มทีอารดาเงยหน้าขึ้นสบตาเขา แล้วรีบก้มหน้าหลบสายตาวิบวับของชายหนุ่ม ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะเมื่อครู่เขาคงได้ยินทุกอย่างจากปากเธอไปหมดแล้ว“อุ้ย...อุ้ยครับ เงยหน้าขึ้นมองพี่หน่อยสิ”เตชินทร์ก้มหน้าเอียงคอลงเพื่อที่จะได้มองหน้าสาวน้อยให้เต็มตา ครั้นพอเธอเงยหน้าขึ้นมา เรียวปากของชายหนุ่มก็คลี่ยิ้มกว้างจนตายิบหยี“พี่อยากจะบอกอุ้ยว่าครอบครัวของพี่ไม่ได้เป็นอย่างที่อุ้ยกังวลหรอกนะ อากงอาม่าของพี่สมัยที่มาอยู่เมืองไทยใหม่ ๆ ก็เป็นลูกจ้างเข็นของอยู่ในตลาด กว่าจะมีอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะน้ำพักน้ำแรงล้วน ๆ ครอบครัวของพี่ก็เลยไม่เคยดูถูกใครในเรื่องของฐานะ ท่านทั้งสองให้ความสำคัญกับค่าของคนมากกว่าค่าของเงิน”ชายหนุ่มหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของหญิงสาวที่เขาเทใจให้ เมื่อเห็นเธอนั่งนิ่งและตั้งใจฟัง เขาจึงตัดสินใจพูดต่อ“ท่านไม่เคยห้ามหรือกีดกันพี่
หลายวันต่อมา ภีมพลยืนดูแบบแปลนและโครงสร้างของโรงงานที่ทีมสถาปนิกเคยนำเสนอเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเขาเห็นว่าปลอดภัยและรัดกุมกว่าโครงสร้างของโรงงานแบบเดิม จึงได้มีคำสั่งให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยเขาต้องมาดูแลการก่อสร้างโรงงานใหม่ทั้งหมดด้วยตัวเองเนื่องจากอาคารหลังเดิมเสียหายจากไฟไหม้มากจนไม่คุ้มหากจะซ่อมแซมใหม่ ตอนนี้ห้องเก็บกลิ่นตัวอย่างจึงต้องอาศัยตู้คอนเทนเนอร์ใช้เป็นออฟฟิศชั่วคราวแทนไปก่อน ส่วนโรงคัดแยกวัตถุดิบก็ใช้พื้นที่ส่วนของลานจอดรถทำไปพลาง ๆ ซึ่งภีมพลได้ว่าจ้างให้ช่างประปาต่อวาล์วน้ำเพิ่มเติมในจุดนี้รวมทั้งทำอ่างสำหรับล้าง และก่อโครงมีหลังคาทำเป็นโรงคัดแยกแบบง่าย ๆ ระหว่างที่รอการก่อสร้างของจริงจะแล้วเสร็จหลังจากที่ดูการก่อสร้างส่วนต่าง ๆ จนพอใจ ชายหนุ่มจึงเดินไปยังอาคารอีกหลังซึ่งเป็นในส่วนของออฟฟิศ และเป็นอาคารที่แยกออกมาจากโรงงาน โชคดีที่อาคารหลังนี้ไม่ถูกไฟไหม้ไปด้วย มิเช่นนั้นบริษัทอาจจะต้องหยุดชะงักลงไปเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นระหว่างที่ภีมพลกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับทันทีที่เห็นชื่อของคนที่โทร.