“ช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่คงทำงานหนักน่าดูเลยนะคะ น้องอายเห็นท่านไม่ค่อยกลับบ้านเลย นี่ก็เห็นว่าต้องขึ้นเหนือไปดูแปลงเพาะปลูกของเกษตรกรอีก”
“ใช่ค่ะ ตอนนี้บริษัทเราประมูลได้ออเดอร์ล็อตใหญ่จากดูไบ พวกผู้บริหารตื่นเต้นกันใหญ่เลยค่ะ วันก่อนเพิ่งประชุมกันว่าต้องมีการลงทุนเพิ่ม รวมถึงการจ้างพนักงานเพิ่มด้วย เพราะที่นี่ก็มีพนักงานแค่สามสิบกว่าคน ถ้าต้องทำล็อตของดูไบ คนแค่นี้ไม่พอแน่ ๆ”
หวานอธิบายไปยิ้มไป เพราะการมีออเดอร์ล็อตใหญ่เข้ามา รายได้ของบริษัทก็ต้องเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าพนักงานอย่างพวกเธอก็ต้องหวังผลไปถึงโบนัสปลายปีด้วย
ถึงแม้ว่าปีที่ผ่านมาบริษัทจะประสบสภาวะขาดทุน เพราะข่าวลือ และการใส่ร้ายป้ายสีเรื่องวัตถุดิบที่ไม่ได้คุณภาพ รวมถึงโดนตัดราคาจากแบรนด์น้องใหม่ แต่ประธานบริหารก็ไม่ยอมปลดพนักงานออกแม้แต่คนเดียว ทั้งยังจ่ายโบนัสให้กับทุกคนตอนสิ้นปีตามปกติอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะแค่เดือนเดียวก็ตาม นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพนักงานทุกคนจึงยอมทุ่มเทแรงกายแรงใจและสมอง รวมถึงความจงรักภักดีกับองค์กรอย่างถึงที่สุด
“สามสิบกว่าคน เดี๋ยวนี้บริษัทเรามีพนักงานสามสิบกว่าคนแล้วหรือคะ”
รวิชาถามอย่างไม่เชื่อหู รู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันที เพราะเธอเข้าใจมาตลอดว่าบริษัทของบิดามารดานั้นมีพนักงานแค่สิบกว่าคนเหมือนเมื่อหลายปีก่อนที่เธอเคยเดินตามพวกท่านเข้ามาในนี้
“ใช่ค่ะ นี่เฉพาะแค่ในโรงงาน และในส่วนของออฟฟิศเท่านั้นนะคะ ยังไม่นับรวมถึงพนักงานขายตามห้างอีกด้วย”
ผู้จัดการสาวตอบพลางใช้มือผลักบานประตูที่มีป้ายพลาสติกสีขาว ตัวหนังสือสีแดงแผ่นใหญ่แปะเอาไว้ด้านหน้าว่า “ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต”
“นี่เป็นห้องสูตรผสมค่ะ จะเอาไว้ใช้เก็บน้ำมันกลิ่นต่าง ๆ ที่สกัดออกมาได้ ห้องเล็ก ๆ นั่นจะเป็นห้องทดลองกลิ่น คุณวิมักจะอยู่แต่ในนั้นเกือบทั้งวันทั้งคืนเพื่อทดลองกลิ่นใหม่ ๆ น้องอายจะลองเดินเข้าไปดูก็ได้นะคะ”
รวิชามองตามมือของผู้จัดการแล้วเดินไปยังห้องดังกล่าวทันที ภีมพลหันมองขวดน้ำมันต่าง ๆ ที่วางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบบนชั้น แต่ละชั้นจัดวางตามชนิดของกลิ่นที่ได้มา แต่ละแถวจะมีป้ายขนาดเล็กสีขาวพิมพ์รหัสบางอย่างแปะเอาไว้ด้านหน้า
“ทำไมแต่ละแถวรหัสไม่เหมือนกันล่ะครับ ทั้งที่มันก็เป็นกลิ่นจากดอกไม้ชนิดเดียวกันทั้งหมด”
ชายหนุ่มอดถามขึ้นไม่ได้ แม้จะไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบ เพราะเดาว่าคงเป็นสูตรลับของกระบวนการทำ...และก็เป็นจริงดังว่า
“ที่ไม่เหมือนก็เพราะว่าแต่ละแถวจะใช้วิธีสกัดต่างกันค่ะ รวมไปถึงอายุของพืชที่เราได้มาด้วย ส่วนจะเป็นยังไงนั้นหวานบอกไม่ได้จริง ๆ ค่ะ เพราะเป็นความลับ” หญิงสาวยิ้มแหยให้ ซึ่งชายหนุ่มก็เข้าใจดี
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”
ภีมพลหันมองไปทางห้องที่รวิชาเดินหายเข้าไปซึ่งเป็นห้องทดลองกลิ่น เขาก้าวเท้าไปหาแล้วหยุดยืนอยู่หน้าประตู จึงทันได้เห็นไหล่เล็ก ๆ ของเธอสั่นเล็กน้อย ก่อนเจ้าตัวจะยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองแล้วหันมาส่งยิ้มให้
ภีมพลเดินเข้าไปตบบ่าเบา ๆ อย่างปลุกปลอบ และไม่อยากถามอะไรให้มากความ เขากวาดตามองไปรอบห้องอย่างสนใจ ในนี้มีหลอดทดลองหลายใบ กลิ่นหอมรวยรินอบอวลกำจายไปทั่วทั้งห้อง บนโต๊ะติดผนังมีรูปของรวิชาในช่วงอายุต่าง ๆ ตัดแปะใส่กระดาษสาพร้อมกับประโยคสั้น ๆ เขียนด้วยลายมือของเด็กสาวในกระดาษที่ตัดเป็นรูปคำพูดต่าง ๆ แปะซ้อนเข้าไป ทั้งหมดถูกใส่อยู่ในกรอบไม้สีขาวขนาดใหญ่เท่าโปสเตอร์
“ของขวัญชิ้นนี้น้องอายทำให้คุณพ่อคุณแม่ตอนครบรอบแต่งงานของพวกท่านเมื่อหลายปีก่อนค่ะ ตอนนั้นน้องอายเรียนอยู่ม.หนึ่งเอง” รวิชาอธิบายไปยิ้มไป แม้นัยน์ตากลมโตยังคงมีน้ำเอ่อคลออยู่บ้างเล็กน้อย
“น่ารักดีครับ”
ชายหนุ่มส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เขายกมือขึ้นวางบนศีรษะของเธอแล้วโยกไปมาเบา ๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะเหลือบไปเห็นตู้เสื้อผ้าขนาดเล็กที่วางแอบไว้ตรงมุมห้อง รวิชามองตาม น้ำตาจึงเริ่มรื้นขึ้นมาอีกหน
“สงสัยคุณพ่อคุณแม่ต้องคิดว่าที่นี่เป็นบ้านหลังที่สองแน่เลย ถึงได้ขนเสื้อผ้ามาไว้ด้วย ข้างในมีหมอนด้วยนะคะ เมื่อกี้น้องอายไปเปิดดู”
ถึงแม้จะพยายามทำน้ำเสียงให้ร่าเริงแค่ไหน แต่สีหน้าและแววตากลับไม่ได้ร่าเริงไปด้วยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มจึงชวนอีกฝ่ายออกไปเดินดูในส่วนอื่นต่อ
ระหว่างที่เดินไปยังส่วนของบรรจุภัณฑ์ ภีมพลนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงถามผู้จัดการสาว
“ผมได้ยินพี่อาทิตย์บอกว่าจะลงทุนซื้อเครื่องแปะฉลากกับเครื่องซีลสินค้าเพิ่มด้วยใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ ตอนนี้เรามีแค่ตัวเดียว สินค้าบางอย่างเช่นสบู่เราก็จะบรรจุกันด้วยแรงงานคน ก่อนจะส่งไปบรรจุภัณฑ์ แต่บางครั้งก็ทำให้งานล่าช้าเพราะเครื่องจักรมักมีปัญหาบ่อย ๆ จะซื้อใหม่ก็ยังลังเลเพราะเครื่องจักรพวกนี้ราคาค่อนข้างสูง”
ผู้จัดการสาวพาทั้งคู่เดินมาถึงส่วนบรรจุพอดี โรงบรรจุผลิตภัณฑ์นี้มีพนักงานมากกว่าส่วนอื่น เพราะเป็นแผนกที่ต้องคัดแยกสินค้าตามชนิดและน้ำหนัก จดบันทึกทำรายการไว้เป็นหมวดหมู่สำหรับส่งต่อให้ร้านค้าและห้างสรรพสินค้าเป็นลำดับต่อไป
จากนั้นทั้งหมดก็เดินมาจนถึงส่วนท้ายสุดของโรงงาน ซึ่งเป็นโรงคัดแยกวัตถุดิบ ดอกไม้ เปลือกไม้ พืชที่มีกลิ่นหอมนานาชนิดมากมายทั้งที่ล้างทำความสะอาดแล้ว และยังไม่ได้ล้างกองรวมกันนิ่งอยู่ในกระบะขนาดหนึ่งเมตร สูงประมาณฝ่ามือวางเรียงซ้อนกันแยกกันเป็นสัดส่วน กลิ่นหอมของพฤกษานานาพันธุ์ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในบรรยากาศจนรู้สึกสดชื่นน่ารื่นรมย์ แม้ว่าพื้นที่เหยียบย่างอยู่นี้จะเปียกแฉะก็ตาม
“อุ๊ย!”
รวิชาใจหายวาบเมื่อจู่ ๆ ก็ไถลลื่นจนเกือบล้มก้นจ้ำเบ้า โชคดีที่วงแขนแข็งแรงของใครบางคนที่คอยตามประกบไม่ห่างตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในนี้เอื้อมมาโอบรอบเอวของเธอแล้วกอดไว้ได้ทัน จนแผ่นหลังแนบไปกับแผ่นอกของเขา
“ระวังหน่อยน้องอายในนี้มันลื่น เดินเกาะแขนอาไว้ก็ได้”
เขาจับมือนุ่มมาวางไว้บนท่อนแขนตนเอง แล้ววางทาบมือของตนกับมือเธอ ก่อนจะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้พาเดินต่อ
ทั้งสองคนใช้เวลาอยู่ที่โรงงานประมาณสองชั่วโมงกว่าก็ขอตัวกลับ ระหว่างทางกลับบ้าน รวิชาเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา ภีมพลนึกว่าเธอคงเหนื่อยจึงไม่ได้ชวนคุยหรือซักถาม แต่จู่ ๆ คนนั่งข้างกายกลับมีเสียงสะอื้นไห้
“น้องอาย ร้องไห้ทำไมครับบอกอาได้ไหม” น้ำเสียงอาทรห่วงใยของคนถาม ยิ่งทำให้หญิงสาวน้ำตาร่วงพรู ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่อัดอั้นออกมา
“น้องอายเป็นลูกที่แย่มาก ไม่เคยรู้เรื่องบริษัทของตัวเองเลยว่าเป็นยังไง หรือไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว แค่จำนวนพนักงานที่อยู่ในโรงงานน้องอายก็ยังไม่รู้ ไม่เคยรู้ว่าคุณพ่อกับคุณแม่ทำงานหามรุ่งหามค่ำจนต้องนอนที่โรงงานบ่อย ๆ กลับเอาแต่นึกน้อยใจท่านที่ทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียวจนคิดประชดอยากไปเรียนต่อเมืองนอก เพราะอยากรู้ว่าท่านจะสนใจน้องอายบ้างไหม น้องอายเอาแต่ไร้สาระใช้เงินไปวัน ๆ ในขณะที่คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยมีวันหยุดพักผ่อน น้องอาย...แย่มากเลยใช่ไหมคะอาภีม”
เสียงหวานสั่นพร่าเจือสะอื้น ภีมพลตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าจอดข้างทางแล้วเอื้อมคว้ามือเธอมากุมไว้อย่างปลุกปลอบให้กำลังใจ
“อย่าคิดมากสิครับ น้องอายไม่ได้แย่ น้องอายยังเป็นลูกที่ดีของพ่อกับแม่อยู่ ที่ผ่านมาเราไม่เคยทำให้ท่านผิดหวัง น้องอายยังดีกว่าอีกหลายคนนะที่คิดอยากช่วย และแบ่งเบาภาระพ่อกับแม่ ในขณะที่เด็กวัยรุ่นคนอื่นไม่ได้คิดเรื่องนี้อยู่ในหัวเลย อาเชื่อว่าท่านทั้งสองจะต้องภูมิใจในตัวน้องอายอย่างแน่นอนถ้ารู้ว่าลูกสาวอยากมาช่วยทำงาน เชื่ออานะครับ อย่าร้องไห้เลย หมดสวยแล้วเห็นไหม”
เขาพูดพลางใช้นิ้วเช็ดน้ำตาบนพวงแก้มออกให้อย่างอ่อนโยน ตาคมปลาบอาบแววหวานเชื่อมมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาคู่สวยที่ฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำอย่างหลงใหล
รวิชาหลุบตาลงต่ำเพราะไม่กล้าสบตาด้วย ในขณะที่คนตัวโตโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจอุ่นร้อนปะทะพวงแก้ม สัมผัสจากริมฝีปากอุ่นที่ประทับลงบนหน้าผากอย่างแผ่วเบา ส่งผลให้ความร้อนจากบริเวณที่ถูกสัมผัสลามเลียสูบฉีดไปทั่วใบหน้าจนต้องก้มหน้าต่ำลงกว่าเดิม
แม้ตอนนี้เขาจะกลับไปนั่งหลังพวงมาลัยตามเดิม ทว่ารอยประทับยังคงติดตรึงอยู่บนผิวเนื้อราวกับสัมผัสนั้นไม่ได้จากไปไหน เขาจะรู้บ้างไหมว่าทำอะไรกับเธอไว้บ้าง เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับหัวใจกำลังจะถูกปลิดออกจากขั้วเพราะมันเต้นกระหน่ำรัว และสั่นสะเทือนไปถึงมือทั้งสองข้างจนต้องบีบเข้าหากันแน่น
ไม่ต่างกันกับคนที่กำลังนั่งบังคับพวงมาลัย รอยยิ้มกระจายเกลื่อนเต็มวงหน้า ความรื่นรมย์สะท้อนออกมาจากแววตาระยิบระยับ เขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะค่อย ๆ ไล่ระดับความสูงลงมาทีละนิดโดยเริ่มจากวันนี้ที่เริ่มต้นเดินทางที่หน้าผากเนียนสวยของเธอ
รวิวรรณมองบุตรสาวที่หมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ด้วยแววตารักใคร่ มะรืนนี้เป็นวันหมั้นหมายแล้ว ดูท่าทางเจ้าตัวจะตื่นเต้นมาก เพราะทันทีที่เธอกลับมาถึงบ้าน บุตรสาวสุดที่รักก็ดึงมือชวนไปดูชุดที่ภีมพลซื้อให้ อีกทั้งยังทดลองทำผมหลายทรงแล้วถามความเห็นมารดาอย่างตนด้วยว่าทรงไหนสวยที่สุด“คุณแม่ว่าน้องอายทำผมเป็นลอนดีไหมคะ จะได้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาอีกนิด ถ่ายรูปออกมาจะได้สวยด้วย” เสียงเจื้อยแจ้วของรวิชาเรียกรอยยิ้มของคนที่กำลังเดินเข้ามาใหม่ได้ไม่น้อย“ลูกสาวของพ่อ ทำทรงไหนก็สวยทั้งนั้นแหละ”อาทิตย์นั่งลงข้างภรรยาพร้อมกับหันไปยิ้มให้กันอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน ใครกันหนอที่หน้าหงิกหน้างอไม่อยากหมั้นกับคนแก่ แล้วดูตอนนี้สิ ตื่นเต้นจนแทบนั่งไม่ติด“แต่น้องอายก็อยากได้ทรงที่สวยที่สุดนี่นา เอางี้ดีกว่า ในสายตาของคุณพ่อ คุณพ่อว่าทรงไหนดีคะ ระหว่างมัดรวบไว้สูง ๆ หรือม้วนเป็นลอน หรือว่าปล่อยยาวตรงลงมาธรรมดา ๆ ไม่ต้องทำอะไรกับมัน”อาทิตย์ทำทีเป็นครุ่นคิดทั้งที่ในใจอยากจะหัวเราะออกมาเต็มที่ แต่ไม่อยากให้บุตรสาวงอน
“ผมขอให้คำสัตย์กับพี่ว่าตลอดระยะเวลาที่น้องอายยังเป็นนักศึกษา ผมไม่มีวันทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควรกับน้องอายเป็นอันขาด พี่เชื่อใจผมได้ และผมก็ขอยืนยันด้วยว่าตลอดเวลาที่ผมอยู่ในฐานะคู่หมั้นของน้องอาย จะไม่มีข่าวเสียหายเรื่องผู้หญิงมาให้ระแคะระคายหูพี่แน่นอน ผมขอรับปากพี่ไว้ตรงนี้เลย”ภีมพลกล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สิ่งที่เขาพูดออกไปนั้นเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว“ขอบคุณมากครับคุณภีม”อาทิตย์คลี่ยิ้มพลางลุกขึ้นแล้วยื่นมือออกไปข้างหน้า ภีมพลจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นมือออกไปบีบกระชับแน่นหนักเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของตนเองพิธีหมั้นเป็นไปอย่างเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองมากนัก แขกที่เชิญมามีแค่เพื่อนสนิท โดยทางฝั่งภีมพลมีพชรควงคู่มากับช่อมาลี และอีกคนคือเธียรทัต เพื่อนสนิทที่อยู่กลุ่มเดียวกัน ทางฝั่งรวิชามีแค่พรรณรายกับอารดา เพื่อนร่วมโรงเรียนมาร่วมงานด้วยเท่านั้นเพราะรวิชากำชับไม่ให้บอกใครทางด้านผู้ใหญ่มีแค่บิดามารดาของทั้งสองฝ่าย นอกเหนือจากนั้นก็มีลูกน้องของภีมพลอีกสี่คนที่มาร่วมงานซ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เราก็แค่สนุกกันเกินไปหน่อย อย่างว่าแหละนะตอนเข้าด้ายเข้าเข็มใครจะมามัวนั่งสนใจกระเป๋า”ปากกล้าแต่ขาสั่น ประโยคนี้เหมาะกับกลวิชรในตอนนี้ที่สุด เพราะเพียงเห็นประกายตาวาวโรจน์ของคนตรงหน้าก็ทำเอารู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาทันทีภีมพลแค่นยิ้มมุมปาก เขาก้าวไปยืนจนแทบชิดกับตัวของกลวิชรจนอีกฝ่ายต้องผงะถอย“แต่เท่าที่ฉันเห็นมันไม่ใช่อย่างนั้นนะ ทีหลังจะพูดจะจาหัดระวังปากไว้หน่อย ถ้ายังอยากมีฟันไว้เคี้ยวข้าว ครั้งนี้ฉันจะถือเสียว่าโดนหมามันเลียปาก แต่ถ้าครั้งหน้ายังเกรียนไม่เลิกก็อย่าหาว่าฉันรังแกเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแกก็แล้วกัน ฉันเตือนแกแล้วนะ” ภีมพลพูดเสียงลอดไรฟัน แสยะยิ้มใส่กลวิชรอย่างอาฆาตมาดร้ายก่อนจะออกคำสั่ง“ไสหัวไปได้แล้ว ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”กลวิชรผละไปขึ้นรถที่จอดไว้หน้าบ้านอย่างฮึดฮัดขัดใจ สตาร์ตรถได้ก็ขับกระชากออกไปอย่างเร็วจนล้อบดถนนเสียงดังสนั่น ภีมพลมองตามหลังท้ายรถคันนั้นอย่างหมายมาดแล้วหันไปพูดกับลูกน้องที่ยืนอยู่แถวนั้น“เป็นต่อ ฉันเปลี่ยนใจแล้ว” เขาพ
ภีมพลพารวิชาเดินเข้าทางประตูสำหรับพนักงาน เพื่อจะพาหญิงสาวขึ้นไปยังชั้นสองซึ่งเป็นส่วนของออฟฟิศ ทุกครั้งที่เจอพนักงาน ชายหนุ่มจะแนะนำรวิชาให้ทุกคนรู้จักในฐานะคู่หมั้นโดยไม่ปิดบัง สร้างความแปลกใจให้กับทุกคนที่จู่ ๆ เจ้านายหนุ่มหล่อทั้งสองคนก็ประกาศตัวหมั้นหมายตามกันไปติด ๆมีเพียงวิคกี้ที่ยืนสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อระงับอารมณ์กราดเกรี้ยวและมองหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของภีมพลด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เพราะไม่ว่ามองอย่างไรก็แค่เด็กเมื่อวานซืน แต่ทำไมถึงคว้าเอาชายหนุ่มที่เธอหมายปองไปครอบครองได้ อดคิดไม่ได้ว่าเด็กสาวคนนี้คงผ่านเรื่องอย่างว่ามาอย่างโชกโชนกระมังถึงได้จับเจ้าพ่อซุสได้อยู่หมัด“อย่าเผลอเชียวนะนังเด็กน้อย” วิคกี้เหยียดยิ้มมุมปากเมื่อคิดว่าเด็กสาวอย่างรวิชาคงจะไม่คณามือของตนสักเท่าไร แค่เด็กสาวใจแตกคนหนึ่ง ถ้าเธอเป่าหูเสียหน่อยก็คงจับสองคนนี้แยกกันได้ไม่ยาก“วันนี้ลูกค้าไม่ค่อยเยอะเท่าไรเพราะไม่ใช่คืนสุดสัปดาห์ อาสั่งให้เด็กเตรียมโต๊ะตรงโซนวีไอพีให้เรากับเพื่อนแล้วนะ แล้วเพื่อนเราจะมาถึงกี่ทุ่มล่ะ”ภีมพลชวนคุยร
ทั้งสามคนนั่งเพลิดเพลินกับความสนุกสนานที่รายล้อมรอบตัว รวิชาได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ที่พรรณรายพามา เขาชื่อสกลธี และด้วยความที่สกลธีเป็นเกย์ควีนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศ เธอจึงสามารถสนิทกับเขาได้อย่างรวดเร็ว“เออใช่ ฉันก็ลืมเล่าให้แกฟังเลยยายอาย ที่จริงวันนี้น่ะฉันชวนพี่ทิวมาด้วยนะ แต่เห็นพี่ทิวบอกว่าต้องไปเยี่ยมพี่วิชรที่โรงพยาบาล แกรู้ไหมว่าพี่วิชรเป็นอะไร”พรรณรายพูดออกท่าออกทางอย่างตื่นเต้น มองสีหน้าของเพื่อนสนิทที่กำลังมองมาตาแป๋วรอให้ตนเป็นคนเฉลยคำตอบ“พี่วิชรโดนซ้อมอาการหนักมาก ถึงกับต้องหามส่งโรงพยาบาลเลยนะแก ฉันว่างานนี้อาภีมของแกมีเอี่ยวแหง ๆ”พรรณรายยักคิ้วให้รวิชาเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ตัวเองคาดเดานั้นถูกต้องแน่นอน เพราะเพิ่งมีเรื่องกันไปเมื่อตอนบ่าย“ทำไมแกมั่นใจขนาดนั้น อาจจะไม่ใช่อาภีมก็ได้ แกก็รู้ว่าพี่วิชรน่ะกร่างไปทั่วนั่นแหละ” แม้จะคิดเหมือนเพื่อน ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะแก้ต่างให้คู่หมั้น“แหม วันนี้พี่วิชรมีเรื่องกับใครล่ะจ๊ะถ้าไม่ใช่คู่หมั้นสุดหล่อของเธอน่ะ”&
“เตือน? เตือนเรื่องอะไรคะ” รวิชาขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย ในใจเริ่มคิดไปถึงข่าวลือหนาหูของคู่หมั้นหมาด ๆ ที่เธอได้ยินมาจากพรรณรายถึงเรื่องความเจ้าชู้ของเขา และไหนจะภาพบาดตาเมื่อครู่นี้อีก“ก็คุณภีมน่ะสิคะ เขาค่อนข้างขึ้นชื่อในเรื่องผู้หญิง ยิ่งทำงานกลางคืนที่ต้องใกล้ชิดกับพวกสาว ๆ สวย ๆ ก็ยิ่ง...เอ่อ...อย่าว่าแต่พวกลูกค้าสาว ๆ เลยค่ะ ขนาดนักร้องหรือเด็กเสิร์ฟหน้าตาดีหน่อยส่วนใหญ่ก็ต้องเคยผ่านคุณภีมมาแล้วทั้งนั้น ขนาดพี่เองก็ยัง...เอ่อ...พี่ไม่รู้จะอธิบายยังไงค่ะ แต่ที่พี่เอามาบอกก็เพราะว่าอยากให้น้องทำใจรับเรื่องนี้ของเขาให้ได้นะคะ ไม่งั้นคงคบกันไม่ยืด พี่เห็นน้องยังเด็กมาก กลัวจะรับไม่ได้ก็เลยต้องมาบอกเอาไว้ก่อน”รวิชาเผลอกำมือแน่นจนเล็บจิกฝ่ามืออย่างลืมตัว เธอไม่รู้ว่าทำไมต้องโกรธ และทำไมในอกมันจุกจนเหมือนหายใจไม่ออกในเมื่อรู้มาก่อนล่วงหน้าแล้วว่าเขาเป็นคนแบบนี้ อีกทั้งเธอกับเขาก็แค่หมั้นกันหลอก ๆ แล้วทำไมเธอถึงรู้สึกทนไม่ได้เมื่อได้ยินว่าเขามีความสัมพันธ์กับผู้หญิงมากหน้าหลายตา รวมถึงคนที่อยู่ตรงหน้านี่ด้วย“แต่พี่ขอร้องอย่า
ชายหนุ่มเดินขึ้นมาถึงห้องพักผ่อนที่รวิชาเคยนอนเมื่อครั้งถูกกลวิชรวางยานอนหลับ เขาใช้มืออีกข้างเปิดประตูแล้วเอาเท้าดันให้ปิด พาร่างที่ดิ้นขลุกขลักอยู่บนบ่าไปหย่อนลงบนเตียงนอนหนานุ่มกลางห้อง แล้วหย่อนกายลงนั่งขอบเตียง“ว่าไง ยังจำห้องนี้ได้ไหมหนูอาย” ภีมพลพูดเสียงสั่นปนหอบ มือก็ตามคว้าร่างที่กำลังจะขยับหนีให้ขึ้นมานั่งอยู่บนตักของตน ส่งเสียงขู่ไม่ให้คนตัวเล็กได้แผลงฤทธิ์“นั่งนิ่ง ๆ ถ้าไม่นิ่งอาไม่รับรองความปลอดภัยนะ หรืออยากจะลอง”ประโยคสุดท้ายเขาพูดพร้อมกับเกยคางลงบนไหล่มนจนริมฝีปากแทบจะชิดกับแก้มนุ่ม รวิชานั่งนิ่งตัวแข็งทันที เมื่อตระหนักได้ว่าความปลอดภัยที่เขาพูดถึงนั้นหมายถึงอะไร ทั้งตกใจทั้งหวาดหวั่นแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกวูบวาบหวามไหวไปกับความใกล้ชิด จนเขาสามารถหายใจรดซอกคอเธอได้“ไหนบอกสิว่าโกรธอาเรื่องอะไร ทำไมถึงพูดกับอาแบบนั้น ปกติเราไม่เคยพูดแรงขนาดนี้เลยนะ”อาภีมคนเดิมเริ่มกลับมาเพราะน้ำเสียงที่เขาใช้กับเธอนั้นสุดแสนจะอ่อนทุ้มนุ่มนวล แต่รวิชายังคงปิดปากเงียบ หันหน้าหนีสายตาคมปลาบของเขาไปอีกทาง ภีมพลจึงข
ไม่เกินสิบนาทีต่อมา ชายหนุ่มก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความผ่อนคลาย เห็นรวิชานั่งหน้าแดงเอียงคอ ทำหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่“คิดอะไรอยู่” ภีมพลเดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ เห็นสีหน้าแววตาของรวิชาตื่นเต้นเล็กน้อยก่อนที่เจ้าตัวจะรีบกลบเกลื่อนด้วยการหันมาฉีกยิ้มกว้าง แล้วรีบเบือนหน้าไปทางอื่นแทน ชายหนุ่มจึงเอามือทั้งสองข้างไปกุมใบหน้าเรียวสวยนั้นไว้ บังคับให้หันมองมาตน“รู้ตัวหรือเปล่าว่าเราน่ะโกหกไม่เก่งเลย ว่าไงครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”รวิชาได้แต่ยิ้มแหย นัยน์ตากลมโตกวาดมองไปทางอื่นเพราะไม่กล้าสบตากับเขา ปากอิ่มเม้มแน่นตามความเคยชิน ทำเอาคนมองได้แต่จ้องริมฝีปากสีระเรื่อนั้นตาปรอย“ก็...ก็แค่...นึกถึงวันนั้นค่ะ” วันที่เธอตื่นมาแล้วพบว่ามีผู้ชายเปลือยกายนอนหลับอยู่ข้าง ๆ แถมยังเป็นผู้ชายที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะได้มาพูดคุยจนเลยเถิดมาถึงขั้นหมั้นหมายกันอย่างวันนี้…และที่สำคัญ เธอยังได้เห็นหนอนชาเขียวตัวโตเต็มวัยของเขาอีกด้วย!“ทำไมล่ะ จะบอกให้ว่าวันนั้นน้องอายโชคดีมากแล้วรู้ไหมที่เจออา ถ้าอาไม่ยื่นม
“อ้าว! วันนี้คุณอายไม่เข้าบริษัทหรือ” เมื่อเช้าก็ออกมาด้วยกันแท้ ๆ แต่แม่เจ้าประคุณแอบหนีไปเที่ยวไหนกันล่ะนี่ ชายหนุ่มคิดอย่างเข่นเขี้ยวในใจเมื่อเจอ “เซอร์ไพรส์” สุดพิเศษจากศรีภรรยาภีมพลยิ้มกริ่มอย่างหมายมาด เห็นทีต้องรีบกลับไปรับขวัญก่อนเวลาเสียแล้ว ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถออกมา เหลือบไปเห็นแฟ้มงานสองแฟ้มที่ยังคงแผ่หราอยู่เต็มโต๊ะ แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังดูค้างเอาไว้ เขากวาดตามองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ใจจริงเขามีตัวเลือกเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อตัดสินใจได้เขาก็คว้าแฟ้มขวามือเดินออกจากห้องทันที จากนั้นจึงไปยื่นให้กับเลขาฯ ส่วนตัว“ผมเลือกของบริษัทนี้ ให้ฝ่ายจัดซื้อทำเรื่องได้เลย อ้อ วันนี้ผมไม่เข้าแล้วนะ” พูดจบชายหนุ่มก็ผละออกไป และต้องหยุดชะงักเมื่อเลขาฯ รีบวิ่งมาถามถึงงานบางอย่างที่เขาให้เตรียมไว้สำหรับช่วงบ่ายนี้“คุณภีมคะ แล้วเรื่องที่ให้เตรียมเอาไว้บ่ายนี้ล่ะคะ”“ยังคอนเฟิร์มอยู่ แต่ว่าคุณช่วยอะไรผมหน่อยสิ”ภีมพลหันมายิ้มพรายเต็มวงหน้าเมื่อคิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้
อดคิดไปถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้วไม่ได้ ท่านทั้งสองช่างมีความอดทนและมุมานะอย่างล้นเหลือที่สู้ฝ่าฟันจนกระทั่งบริษัทเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ นึกมาถึงตอนนี้แล้วก็โกรธตัวเองที่ตอนนั้นเอาแต่น้อยใจ คิดว่าท่านทำแต่งานจนไม่สนใจใยดีกับเธอผู้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว‘รวิชา แปลว่าลูกพระอาทิตย์ เพราะฉะนั้นหนูต้องเข้มแข็ง อดทนให้สมกับที่เป็นลูกสาวของพ่อ ชีวิตของหนูจะต้องรุ่งโรจน์สดใสเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า’ถ้อยคำจากบิดายังคงดังก้องอยู่ในหัวทุกครั้งที่นึกถึงเวลาเมื่อรู้สึกอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าไม่มีแม่นมชราและสามีที่คอยเป็นกำลังใจให้ ป่านนี้ชีวิตเธอจะหักเหไปทางไหนแล้วบ้างก็สุดรู้“อรุณสวัสดิ์จ้ะ”เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับจุมพิตเบา ๆ ที่ข้างแก้ม จากนั้นคนตัวโตก็ทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลังไว้พร้อมกับดึงบ่าของเธอให้เอนซบลงมาบนตัวเขา“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ” หญิงสาวทักทายกลับไปก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของสามี“จำเป็นต้องตื่นเช้าน่ะ จู่
หลังจากถวายสังฆทานจนกระทั่งกรวดน้ำเสร็จเรียบร้อย ภีมพล รวิชา และนมพิมก็พากันเดินออกมาเทน้ำที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้ากุฏิ ชายหนุ่มสวดบทกรวดน้ำพึมพำโดยไม่ออกเสียง ในขณะที่หญิงสาวและนมพิมอธิษฐานเพื่อส่งผลบุญให้แก่ผู้ล่วงลับอยู่ในใจวันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของบิดามารดาของรวิชา นมพิมเปรยเอาไว้หลายวันก่อนหน้าแล้วว่าอยากมาทำบุญให้ท่านทั้งสอง ซึ่งเธอเองก็เห็นด้วยเพราะคิดไว้เหมือนกันว่าจะมาทำบุญวันนี้ จึงชวนสามีหนุ่มให้มาด้วยกัน และเขาก็ไม่ขัดข้อง เพราะตั้งแต่ผ่านพ้นพิธีแต่งงานมาได้สองเดือน ภีมพลก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกเลยจากนั้นทั้งสามคนก็เดินทางกลับบ้าน พอมาถึง ชายหนุ่มปล่อยให้รวิชาได้อยู่กับแม่นมตามลำพังเพราะคิดว่าทั้งสองคนคงมีเรื่องอยากพูดคุยกัน เขาเองก็เห็นใจคนแก่อย่างนมพิม เพราะตั้งแต่รวิชาเรียนจบมาก็เอาแต่ทำงาน แถมหลังจากนั้นสองเดือนก็เข้าพิธีแต่งงานกับเขา ทำให้บางคืนรวิชาไม่ได้กลับไปนอนบ้านตัวเอง ถึงแม้เขากับรวิชาจะแก้ปัญหาด้วยการสลับบ้านนอนเป็นวันเว้นวันแล้วก็ตาม แต่หัวอกคนแก่ก็คงหงอยเหงาเป็นธรรมดา
“ตอบแบบนี้ค่อยชื่นใจหน่อย อย่างนี้ต้องให้รางวัล”ชายหนุ่มจับล็อกปลายคางมนของหญิงสาวไว้ แล้วก้มลงตบรางวัลให้คนปากหวานช่างจำนรรจาจนเขากระชุ่มกระชวยทุกทีที่ได้ฟังนาทีนี้ภีมพลเหมือนจะคลั่งเสียให้ได้ สาวน้อยช่างหวานจับจิตจับใจสมกับที่รอคอยมานานแสนนาน ถ้าไม่ติดว่าเธอยังใหม่กับความสัมพันธ์แบบนี้แล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าทั้งเขาและเธอยังคงนัวเนียกันอยู่บนเตียงเป็นแน่“อื้ม...อาภีมขา นี่มันริมถนนนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”แค่หญิงสาวพูดเบา ๆ แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วน้ำเสียงสั่นพร่านิด ๆ นั้นช่างฟังดูเซ็กซี่ยั่วยวนดีเหลือเกิน เขานึกถึงตอนเธอครวญครางอยู่ใต้ร่างของเขา ทั้งภาพทั้งเสียงยังคงติดตาตรึงใจเสียจนอะไร ๆ มันพรักพร้อมขึ้นมาอีกแล้ว“เราเข้าหมู่บ้านมาแล้ว ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมาหรอก รถอาก็มืด ใครจะมองเข้ามาเห็นล่ะคะ”เอาอีกแล้ว ลงท้ายด้วยคะ ขาแบบนี้แปลว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้วเป็นแน่ ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร แต่ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน“แวะบ้านอาก่อนนะคะ”แค่เห็นแววตาระยิบระยับแพรวพราวของเข
“ถ้าอย่างนั้น...คืนนี้อยู่กับอาทั้งคืนได้ไหม ตามใจอาหน่อยได้ไหมคะ”เขาถามพร้อมกับประพรมจุมพิตไปทั่วหน้าอย่างหลงใหล ก่อนจะเอ่ยประโยคสำคัญที่ทำให้คนฟังหัวใจพองฟูคับอก“อาก็รักน้องอาย ไม่ใช่แค่คืนนี้ที่อาอยากให้น้องอายอยู่ด้วยแต่เป็นทุก ๆ คืน และตื่นมาตอนเช้าก็เห็นหน้าน้องอายเป็นคนแรกในทุก ๆ เช้า”ชายหนุ่มหยุดพูด แล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากอีกครั้งหนึ่งแล้วไต่ระเรื่อยมาจนถึงใบหู ใจอยากจะโจนจ้วงเข้าหาร่างเย้ายวนนี้ให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน แต่ก็อยากให้หญิงสาวได้สัมผัสกับความสวยงามจากประสบการณ์ในรักครั้งแรกมากกว่า เขาจึงต้องอ่อนโยนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้ว่าความต้องการจะอัดแน่นจนแทบระเบิดแล้วก็ตาม“แต่งงานกับอานะคะ”ไหน ๆ เธอก็เรียนจบแล้ว มีงานมีการทำถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว หนำซ้ำยังจดทะเบียนสมรสเป็นคนคนเดียวกันในทางกฎหมายแล้วด้วย เขาจึงคิดว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรออีกต่อไป เพราะเขากับเธอก็แทบจะเป็นของกันและกันอยู่แล้ว จะเหลือก็แต่การอยู่ร่วมบ้านเดียวกันในฐานะของสามีภรรยาเท่านั้นรวิชาคลี่ยิ้มกว้างพล
ภีมพลยืนยิ้ม มองภรรยาทางนิตินัยที่กำลังยักย้ายส่ายสะโพกอย่างสนุกสนานกับเพื่อนกลุ่มใหญ่อยู่ข้างล่างด้วยแววตาทอดอ่อน เมื่อวานสอบวันสุดท้าย วันนี้รวิชาจึงขออนุญาตเขาพาเพื่อน ๆ มาสนุกกันที่คลับอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการฉลองจบการศึกษา อีกทั้งฉลองที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสปานั้นทะลุเป้าเกินกว่าที่คาดหมายไว้พอสมควรสาวน้อยของเขาเรียนจบแล้ว...ปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งคู่หมั้น สองปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งสามีตามกฎหมาย รวมแล้วร่วมสี่ปีเต็มกับการเฝ้าดูแลเด็กสาวคนหนึ่งให้เติบโตเป็นหญิงสาวแสนสวย และมากความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปเมื่อก่อนเขาเอาแต่นั่งนับวันเวลาว่าเมื่อไรเธอจะเรียนจบ เพราะอยากตีตราจองเธอเอาไว้ด้วยร่างกาย ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียวตามประสาผู้ชายทั่วไปที่คิดอยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนรัก ทว่าพอวันเวลาผ่านไป ความคิดของเขาก็ค่อยปรับเปลี่ยนไปทีละนิดตามความผูกพันที่เพิ่มขึ้นระหว่างเขากับเธอเซ็กซ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่เขาต้องการจากเธอเพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน เพราะมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกมั่นคงในรัก และการรับรู้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งขอ
หลายเดือนผ่านไปเสียงถอนหายใจจากร่างเล็กที่กำลังเอนตัวนอนไปกับที่นั่งในศาลาไม้สักทำให้ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาเงียบ ๆ ต้องชะงักเท้าแล้วหันมองตามเสียงนั้น ภีมพลเดินไปหา คนที่นอนหลับตาจึงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า และไม่รู้ถึงการมาของเขา ชายหนุ่มยืนกอดอกพิงกับเสา มุมปากยกยิ้มอย่างเอ็นดู แววตาทอดอ่อนเมื่อมองไปยังหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของหัวใจ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งใกล้กับเธอกลิ่นน้ำหอมที่เคยคุ้นลอยเข้าจมูก อีกทั้งเริ่มรู้สึกว่าสะโพกกำลังโดนเบียดจากใครบางคน รวิชาลืมตาขึ้นมองแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร จนเมื่อได้สบตากันหญิงสาวจึงส่งยิ้มเนือย ๆ ไปให้“เหนื่อยหรือ ถอนหายใจเสียงดังเชียว” ภีมพลเอื้อมมือปัดปอยผมให้อย่างอ่อนโยน รวิชาจึงยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วย้ายฝั่งไปเอนตัวลงนอนหนุนตักแข็ง ๆ ของเขาแทนอย่างออดอ้อน“ถ้าให้ตอบตรง ๆ ก็ใช่ค่ะ หลายเดือนมานี้เลิกเรียนมาก็ต้องมาศึกษางานของบริษัท นี่ยังดีนะที่น้องอายเคยเรียนรู้มาบ้างแล้วตอนที่คุณพ่อกับคุณแม่ยังอยู่ ต้องขอบคุณอาภีมค่ะที่ตอนนั้นสอนให้น้องอายได้คิดว่าเราควรจะต้องเริ่มศึกษาธุรกิจของครอบครัวเอา
ชายหนุ่มนั่งเท้าแขนอยู่บนโต๊ะพลางมองใบหน้าเนียนใสที่เริ่มมีสีระเรื่ออย่างเอ็นดูแกมมันเขี้ยว เพราะประโยคนั้นของเธอ ทำเอาเขาไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งสิ้นทั้งที่ใกล้สอบเต็มทีอารดาเงยหน้าขึ้นสบตาเขา แล้วรีบก้มหน้าหลบสายตาวิบวับของชายหนุ่ม ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะเมื่อครู่เขาคงได้ยินทุกอย่างจากปากเธอไปหมดแล้ว“อุ้ย...อุ้ยครับ เงยหน้าขึ้นมองพี่หน่อยสิ”เตชินทร์ก้มหน้าเอียงคอลงเพื่อที่จะได้มองหน้าสาวน้อยให้เต็มตา ครั้นพอเธอเงยหน้าขึ้นมา เรียวปากของชายหนุ่มก็คลี่ยิ้มกว้างจนตายิบหยี“พี่อยากจะบอกอุ้ยว่าครอบครัวของพี่ไม่ได้เป็นอย่างที่อุ้ยกังวลหรอกนะ อากงอาม่าของพี่สมัยที่มาอยู่เมืองไทยใหม่ ๆ ก็เป็นลูกจ้างเข็นของอยู่ในตลาด กว่าจะมีอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะน้ำพักน้ำแรงล้วน ๆ ครอบครัวของพี่ก็เลยไม่เคยดูถูกใครในเรื่องของฐานะ ท่านทั้งสองให้ความสำคัญกับค่าของคนมากกว่าค่าของเงิน”ชายหนุ่มหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของหญิงสาวที่เขาเทใจให้ เมื่อเห็นเธอนั่งนิ่งและตั้งใจฟัง เขาจึงตัดสินใจพูดต่อ“ท่านไม่เคยห้ามหรือกีดกันพี่
หลายวันต่อมา ภีมพลยืนดูแบบแปลนและโครงสร้างของโรงงานที่ทีมสถาปนิกเคยนำเสนอเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเขาเห็นว่าปลอดภัยและรัดกุมกว่าโครงสร้างของโรงงานแบบเดิม จึงได้มีคำสั่งให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยเขาต้องมาดูแลการก่อสร้างโรงงานใหม่ทั้งหมดด้วยตัวเองเนื่องจากอาคารหลังเดิมเสียหายจากไฟไหม้มากจนไม่คุ้มหากจะซ่อมแซมใหม่ ตอนนี้ห้องเก็บกลิ่นตัวอย่างจึงต้องอาศัยตู้คอนเทนเนอร์ใช้เป็นออฟฟิศชั่วคราวแทนไปก่อน ส่วนโรงคัดแยกวัตถุดิบก็ใช้พื้นที่ส่วนของลานจอดรถทำไปพลาง ๆ ซึ่งภีมพลได้ว่าจ้างให้ช่างประปาต่อวาล์วน้ำเพิ่มเติมในจุดนี้รวมทั้งทำอ่างสำหรับล้าง และก่อโครงมีหลังคาทำเป็นโรงคัดแยกแบบง่าย ๆ ระหว่างที่รอการก่อสร้างของจริงจะแล้วเสร็จหลังจากที่ดูการก่อสร้างส่วนต่าง ๆ จนพอใจ ชายหนุ่มจึงเดินไปยังอาคารอีกหลังซึ่งเป็นในส่วนของออฟฟิศ และเป็นอาคารที่แยกออกมาจากโรงงาน โชคดีที่อาคารหลังนี้ไม่ถูกไฟไหม้ไปด้วย มิเช่นนั้นบริษัทอาจจะต้องหยุดชะงักลงไปเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นระหว่างที่ภีมพลกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับทันทีที่เห็นชื่อของคนที่โทร.