“ช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่คงทำงานหนักน่าดูเลยนะคะ น้องอายเห็นท่านไม่ค่อยกลับบ้านเลย นี่ก็เห็นว่าต้องขึ้นเหนือไปดูแปลงเพาะปลูกของเกษตรกรอีก”
“ใช่ค่ะ ตอนนี้บริษัทเราประมูลได้ออเดอร์ล็อตใหญ่จากดูไบ พวกผู้บริหารตื่นเต้นกันใหญ่เลยค่ะ วันก่อนเพิ่งประชุมกันว่าต้องมีการลงทุนเพิ่ม รวมถึงการจ้างพนักงานเพิ่มด้วย เพราะที่นี่ก็มีพนักงานแค่สามสิบกว่าคน ถ้าต้องทำล็อตของดูไบ คนแค่นี้ไม่พอแน่ ๆ”
หวานอธิบายไปยิ้มไป เพราะการมีออเดอร์ล็อตใหญ่เข้ามา รายได้ของบริษัทก็ต้องเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าพนักงานอย่างพวกเธอก็ต้องหวังผลไปถึงโบนัสปลายปีด้วย
ถึงแม้ว่าปีที่ผ่านมาบริษัทจะประสบสภาวะขาดทุน เพราะข่าวลือ และการใส่ร้ายป้ายสีเรื่องวัตถุดิบที่ไม่ได้คุณภาพ รวมถึงโดนตัดราคาจากแบรนด์น้องใหม่ แต่ประธานบริหารก็ไม่ยอมปลดพนักงานออกแม้แต่คนเดียว ทั้งยังจ่ายโบนัสให้กับทุกคนตอนสิ้นปีตามปกติอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะแค่เดือนเดียวก็ตาม นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพนักงานทุกคนจึงยอมทุ่มเทแรงกายแรงใจและสมอง รวมถึงความจงรักภักดีกับองค์กรอย่างถึงที่สุด
“สามสิบกว่าคน เดี๋ยวนี้บริษัทเรามีพนักงานสามสิบกว่าคนแล้วหรือคะ”
รวิชาถามอย่างไม่เชื่อหู รู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันที เพราะเธอเข้าใจมาตลอดว่าบริษัทของบิดามารดานั้นมีพนักงานแค่สิบกว่าคนเหมือนเมื่อหลายปีก่อนที่เธอเคยเดินตามพวกท่านเข้ามาในนี้
“ใช่ค่ะ นี่เฉพาะแค่ในโรงงาน และในส่วนของออฟฟิศเท่านั้นนะคะ ยังไม่นับรวมถึงพนักงานขายตามห้างอีกด้วย”
ผู้จัดการสาวตอบพลางใช้มือผลักบานประตูที่มีป้ายพลาสติกสีขาว ตัวหนังสือสีแดงแผ่นใหญ่แปะเอาไว้ด้านหน้าว่า “ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต”
“นี่เป็นห้องสูตรผสมค่ะ จะเอาไว้ใช้เก็บน้ำมันกลิ่นต่าง ๆ ที่สกัดออกมาได้ ห้องเล็ก ๆ นั่นจะเป็นห้องทดลองกลิ่น คุณวิมักจะอยู่แต่ในนั้นเกือบทั้งวันทั้งคืนเพื่อทดลองกลิ่นใหม่ ๆ น้องอายจะลองเดินเข้าไปดูก็ได้นะคะ”
รวิชามองตามมือของผู้จัดการแล้วเดินไปยังห้องดังกล่าวทันที ภีมพลหันมองขวดน้ำมันต่าง ๆ ที่วางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบบนชั้น แต่ละชั้นจัดวางตามชนิดของกลิ่นที่ได้มา แต่ละแถวจะมีป้ายขนาดเล็กสีขาวพิมพ์รหัสบางอย่างแปะเอาไว้ด้านหน้า
“ทำไมแต่ละแถวรหัสไม่เหมือนกันล่ะครับ ทั้งที่มันก็เป็นกลิ่นจากดอกไม้ชนิดเดียวกันทั้งหมด”
ชายหนุ่มอดถามขึ้นไม่ได้ แม้จะไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบ เพราะเดาว่าคงเป็นสูตรลับของกระบวนการทำ...และก็เป็นจริงดังว่า
“ที่ไม่เหมือนก็เพราะว่าแต่ละแถวจะใช้วิธีสกัดต่างกันค่ะ รวมไปถึงอายุของพืชที่เราได้มาด้วย ส่วนจะเป็นยังไงนั้นหวานบอกไม่ได้จริง ๆ ค่ะ เพราะเป็นความลับ” หญิงสาวยิ้มแหยให้ ซึ่งชายหนุ่มก็เข้าใจดี
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”
ภีมพลหันมองไปทางห้องที่รวิชาเดินหายเข้าไปซึ่งเป็นห้องทดลองกลิ่น เขาก้าวเท้าไปหาแล้วหยุดยืนอยู่หน้าประตู จึงทันได้เห็นไหล่เล็ก ๆ ของเธอสั่นเล็กน้อย ก่อนเจ้าตัวจะยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองแล้วหันมาส่งยิ้มให้
ภีมพลเดินเข้าไปตบบ่าเบา ๆ อย่างปลุกปลอบ และไม่อยากถามอะไรให้มากความ เขากวาดตามองไปรอบห้องอย่างสนใจ ในนี้มีหลอดทดลองหลายใบ กลิ่นหอมรวยรินอบอวลกำจายไปทั่วทั้งห้อง บนโต๊ะติดผนังมีรูปของรวิชาในช่วงอายุต่าง ๆ ตัดแปะใส่กระดาษสาพร้อมกับประโยคสั้น ๆ เขียนด้วยลายมือของเด็กสาวในกระดาษที่ตัดเป็นรูปคำพูดต่าง ๆ แปะซ้อนเข้าไป ทั้งหมดถูกใส่อยู่ในกรอบไม้สีขาวขนาดใหญ่เท่าโปสเตอร์
“ของขวัญชิ้นนี้น้องอายทำให้คุณพ่อคุณแม่ตอนครบรอบแต่งงานของพวกท่านเมื่อหลายปีก่อนค่ะ ตอนนั้นน้องอายเรียนอยู่ม.หนึ่งเอง” รวิชาอธิบายไปยิ้มไป แม้นัยน์ตากลมโตยังคงมีน้ำเอ่อคลออยู่บ้างเล็กน้อย
“น่ารักดีครับ”
ชายหนุ่มส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เขายกมือขึ้นวางบนศีรษะของเธอแล้วโยกไปมาเบา ๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะเหลือบไปเห็นตู้เสื้อผ้าขนาดเล็กที่วางแอบไว้ตรงมุมห้อง รวิชามองตาม น้ำตาจึงเริ่มรื้นขึ้นมาอีกหน
“สงสัยคุณพ่อคุณแม่ต้องคิดว่าที่นี่เป็นบ้านหลังที่สองแน่เลย ถึงได้ขนเสื้อผ้ามาไว้ด้วย ข้างในมีหมอนด้วยนะคะ เมื่อกี้น้องอายไปเปิดดู”
ถึงแม้จะพยายามทำน้ำเสียงให้ร่าเริงแค่ไหน แต่สีหน้าและแววตากลับไม่ได้ร่าเริงไปด้วยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มจึงชวนอีกฝ่ายออกไปเดินดูในส่วนอื่นต่อ
ระหว่างที่เดินไปยังส่วนของบรรจุภัณฑ์ ภีมพลนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงถามผู้จัดการสาว
“ผมได้ยินพี่อาทิตย์บอกว่าจะลงทุนซื้อเครื่องแปะฉลากกับเครื่องซีลสินค้าเพิ่มด้วยใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ ตอนนี้เรามีแค่ตัวเดียว สินค้าบางอย่างเช่นสบู่เราก็จะบรรจุกันด้วยแรงงานคน ก่อนจะส่งไปบรรจุภัณฑ์ แต่บางครั้งก็ทำให้งานล่าช้าเพราะเครื่องจักรมักมีปัญหาบ่อย ๆ จะซื้อใหม่ก็ยังลังเลเพราะเครื่องจักรพวกนี้ราคาค่อนข้างสูง”
ผู้จัดการสาวพาทั้งคู่เดินมาถึงส่วนบรรจุพอดี โรงบรรจุผลิตภัณฑ์นี้มีพนักงานมากกว่าส่วนอื่น เพราะเป็นแผนกที่ต้องคัดแยกสินค้าตามชนิดและน้ำหนัก จดบันทึกทำรายการไว้เป็นหมวดหมู่สำหรับส่งต่อให้ร้านค้าและห้างสรรพสินค้าเป็นลำดับต่อไป
จากนั้นทั้งหมดก็เดินมาจนถึงส่วนท้ายสุดของโรงงาน ซึ่งเป็นโรงคัดแยกวัตถุดิบ ดอกไม้ เปลือกไม้ พืชที่มีกลิ่นหอมนานาชนิดมากมายทั้งที่ล้างทำความสะอาดแล้ว และยังไม่ได้ล้างกองรวมกันนิ่งอยู่ในกระบะขนาดหนึ่งเมตร สูงประมาณฝ่ามือวางเรียงซ้อนกันแยกกันเป็นสัดส่วน กลิ่นหอมของพฤกษานานาพันธุ์ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในบรรยากาศจนรู้สึกสดชื่นน่ารื่นรมย์ แม้ว่าพื้นที่เหยียบย่างอยู่นี้จะเปียกแฉะก็ตาม
“อุ๊ย!”
รวิชาใจหายวาบเมื่อจู่ ๆ ก็ไถลลื่นจนเกือบล้มก้นจ้ำเบ้า โชคดีที่วงแขนแข็งแรงของใครบางคนที่คอยตามประกบไม่ห่างตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในนี้เอื้อมมาโอบรอบเอวของเธอแล้วกอดไว้ได้ทัน จนแผ่นหลังแนบไปกับแผ่นอกของเขา
“ระวังหน่อยน้องอายในนี้มันลื่น เดินเกาะแขนอาไว้ก็ได้”
เขาจับมือนุ่มมาวางไว้บนท่อนแขนตนเอง แล้ววางทาบมือของตนกับมือเธอ ก่อนจะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้พาเดินต่อ
ทั้งสองคนใช้เวลาอยู่ที่โรงงานประมาณสองชั่วโมงกว่าก็ขอตัวกลับ ระหว่างทางกลับบ้าน รวิชาเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา ภีมพลนึกว่าเธอคงเหนื่อยจึงไม่ได้ชวนคุยหรือซักถาม แต่จู่ ๆ คนนั่งข้างกายกลับมีเสียงสะอื้นไห้
“น้องอาย ร้องไห้ทำไมครับบอกอาได้ไหม” น้ำเสียงอาทรห่วงใยของคนถาม ยิ่งทำให้หญิงสาวน้ำตาร่วงพรู ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่อัดอั้นออกมา
“น้องอายเป็นลูกที่แย่มาก ไม่เคยรู้เรื่องบริษัทของตัวเองเลยว่าเป็นยังไง หรือไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว แค่จำนวนพนักงานที่อยู่ในโรงงานน้องอายก็ยังไม่รู้ ไม่เคยรู้ว่าคุณพ่อกับคุณแม่ทำงานหามรุ่งหามค่ำจนต้องนอนที่โรงงานบ่อย ๆ กลับเอาแต่นึกน้อยใจท่านที่ทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียวจนคิดประชดอยากไปเรียนต่อเมืองนอก เพราะอยากรู้ว่าท่านจะสนใจน้องอายบ้างไหม น้องอายเอาแต่ไร้สาระใช้เงินไปวัน ๆ ในขณะที่คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยมีวันหยุดพักผ่อน น้องอาย...แย่มากเลยใช่ไหมคะอาภีม”
เสียงหวานสั่นพร่าเจือสะอื้น ภีมพลตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าจอดข้างทางแล้วเอื้อมคว้ามือเธอมากุมไว้อย่างปลุกปลอบให้กำลังใจ
“อย่าคิดมากสิครับ น้องอายไม่ได้แย่ น้องอายยังเป็นลูกที่ดีของพ่อกับแม่อยู่ ที่ผ่านมาเราไม่เคยทำให้ท่านผิดหวัง น้องอายยังดีกว่าอีกหลายคนนะที่คิดอยากช่วย และแบ่งเบาภาระพ่อกับแม่ ในขณะที่เด็กวัยรุ่นคนอื่นไม่ได้คิดเรื่องนี้อยู่ในหัวเลย อาเชื่อว่าท่านทั้งสองจะต้องภูมิใจในตัวน้องอายอย่างแน่นอนถ้ารู้ว่าลูกสาวอยากมาช่วยทำงาน เชื่ออานะครับ อย่าร้องไห้เลย หมดสวยแล้วเห็นไหม”
เขาพูดพลางใช้นิ้วเช็ดน้ำตาบนพวงแก้มออกให้อย่างอ่อนโยน ตาคมปลาบอาบแววหวานเชื่อมมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาคู่สวยที่ฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำอย่างหลงใหล
รวิชาหลุบตาลงต่ำเพราะไม่กล้าสบตาด้วย ในขณะที่คนตัวโตโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจอุ่นร้อนปะทะพวงแก้ม สัมผัสจากริมฝีปากอุ่นที่ประทับลงบนหน้าผากอย่างแผ่วเบา ส่งผลให้ความร้อนจากบริเวณที่ถูกสัมผัสลามเลียสูบฉีดไปทั่วใบหน้าจนต้องก้มหน้าต่ำลงกว่าเดิม
แม้ตอนนี้เขาจะกลับไปนั่งหลังพวงมาลัยตามเดิม ทว่ารอยประทับยังคงติดตรึงอยู่บนผิวเนื้อราวกับสัมผัสนั้นไม่ได้จากไปไหน เขาจะรู้บ้างไหมว่าทำอะไรกับเธอไว้บ้าง เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับหัวใจกำลังจะถูกปลิดออกจากขั้วเพราะมันเต้นกระหน่ำรัว และสั่นสะเทือนไปถึงมือทั้งสองข้างจนต้องบีบเข้าหากันแน่น
ไม่ต่างกันกับคนที่กำลังนั่งบังคับพวงมาลัย รอยยิ้มกระจายเกลื่อนเต็มวงหน้า ความรื่นรมย์สะท้อนออกมาจากแววตาระยิบระยับ เขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะค่อย ๆ ไล่ระดับความสูงลงมาทีละนิดโดยเริ่มจากวันนี้ที่เริ่มต้นเดินทางที่หน้าผากเนียนสวยของเธอ
รวิวรรณมองบุตรสาวที่หมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ด้วยแววตารักใคร่ มะรืนนี้เป็นวันหมั้นหมายแล้ว ดูท่าทางเจ้าตัวจะตื่นเต้นมาก เพราะทันทีที่เธอกลับมาถึงบ้าน บุตรสาวสุดที่รักก็ดึงมือชวนไปดูชุดที่ภีมพลซื้อให้ อีกทั้งยังทดลองทำผมหลายทรงแล้วถามความเห็นมารดาอย่างตนด้วยว่าทรงไหนสวยที่สุด“คุณแม่ว่าน้องอายทำผมเป็นลอนดีไหมคะ จะได้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาอีกนิด ถ่ายรูปออกมาจะได้สวยด้วย” เสียงเจื้อยแจ้วของรวิชาเรียกรอยยิ้มของคนที่กำลังเดินเข้ามาใหม่ได้ไม่น้อย“ลูกสาวของพ่อ ทำทรงไหนก็สวยทั้งนั้นแหละ”อาทิตย์นั่งลงข้างภรรยาพร้อมกับหันไปยิ้มให้กันอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน ใครกันหนอที่หน้าหงิกหน้างอไม่อยากหมั้นกับคนแก่ แล้วดูตอนนี้สิ ตื่นเต้นจนแทบนั่งไม่ติด“แต่น้องอายก็อยากได้ทรงที่สวยที่สุดนี่นา เอางี้ดีกว่า ในสายตาของคุณพ่อ คุณพ่อว่าทรงไหนดีคะ ระหว่างมัดรวบไว้สูง ๆ หรือม้วนเป็นลอน หรือว่าปล่อยยาวตรงลงมาธรรมดา ๆ ไม่ต้องทำอะไรกับมัน”อาทิตย์ทำทีเป็นครุ่นคิดทั้งที่ในใจอยากจะหัวเราะออกมาเต็มที่ แต่ไม่อยากให้บุตรสาวงอน
“ผมขอให้คำสัตย์กับพี่ว่าตลอดระยะเวลาที่น้องอายยังเป็นนักศึกษา ผมไม่มีวันทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควรกับน้องอายเป็นอันขาด พี่เชื่อใจผมได้ และผมก็ขอยืนยันด้วยว่าตลอดเวลาที่ผมอยู่ในฐานะคู่หมั้นของน้องอาย จะไม่มีข่าวเสียหายเรื่องผู้หญิงมาให้ระแคะระคายหูพี่แน่นอน ผมขอรับปากพี่ไว้ตรงนี้เลย”ภีมพลกล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สิ่งที่เขาพูดออกไปนั้นเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว“ขอบคุณมากครับคุณภีม”อาทิตย์คลี่ยิ้มพลางลุกขึ้นแล้วยื่นมือออกไปข้างหน้า ภีมพลจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นมือออกไปบีบกระชับแน่นหนักเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของตนเองพิธีหมั้นเป็นไปอย่างเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองมากนัก แขกที่เชิญมามีแค่เพื่อนสนิท โดยทางฝั่งภีมพลมีพชรควงคู่มากับช่อมาลี และอีกคนคือเธียรทัต เพื่อนสนิทที่อยู่กลุ่มเดียวกัน ทางฝั่งรวิชามีแค่พรรณรายกับอารดา เพื่อนร่วมโรงเรียนมาร่วมงานด้วยเท่านั้นเพราะรวิชากำชับไม่ให้บอกใครทางด้านผู้ใหญ่มีแค่บิดามารดาของทั้งสองฝ่าย นอกเหนือจากนั้นก็มีลูกน้องของภีมพลอีกสี่คนที่มาร่วมงานซ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เราก็แค่สนุกกันเกินไปหน่อย อย่างว่าแหละนะตอนเข้าด้ายเข้าเข็มใครจะมามัวนั่งสนใจกระเป๋า”ปากกล้าแต่ขาสั่น ประโยคนี้เหมาะกับกลวิชรในตอนนี้ที่สุด เพราะเพียงเห็นประกายตาวาวโรจน์ของคนตรงหน้าก็ทำเอารู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาทันทีภีมพลแค่นยิ้มมุมปาก เขาก้าวไปยืนจนแทบชิดกับตัวของกลวิชรจนอีกฝ่ายต้องผงะถอย“แต่เท่าที่ฉันเห็นมันไม่ใช่อย่างนั้นนะ ทีหลังจะพูดจะจาหัดระวังปากไว้หน่อย ถ้ายังอยากมีฟันไว้เคี้ยวข้าว ครั้งนี้ฉันจะถือเสียว่าโดนหมามันเลียปาก แต่ถ้าครั้งหน้ายังเกรียนไม่เลิกก็อย่าหาว่าฉันรังแกเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแกก็แล้วกัน ฉันเตือนแกแล้วนะ” ภีมพลพูดเสียงลอดไรฟัน แสยะยิ้มใส่กลวิชรอย่างอาฆาตมาดร้ายก่อนจะออกคำสั่ง“ไสหัวไปได้แล้ว ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”กลวิชรผละไปขึ้นรถที่จอดไว้หน้าบ้านอย่างฮึดฮัดขัดใจ สตาร์ตรถได้ก็ขับกระชากออกไปอย่างเร็วจนล้อบดถนนเสียงดังสนั่น ภีมพลมองตามหลังท้ายรถคันนั้นอย่างหมายมาดแล้วหันไปพูดกับลูกน้องที่ยืนอยู่แถวนั้น“เป็นต่อ ฉันเปลี่ยนใจแล้ว” เขาพ
ภีมพลพารวิชาเดินเข้าทางประตูสำหรับพนักงาน เพื่อจะพาหญิงสาวขึ้นไปยังชั้นสองซึ่งเป็นส่วนของออฟฟิศ ทุกครั้งที่เจอพนักงาน ชายหนุ่มจะแนะนำรวิชาให้ทุกคนรู้จักในฐานะคู่หมั้นโดยไม่ปิดบัง สร้างความแปลกใจให้กับทุกคนที่จู่ ๆ เจ้านายหนุ่มหล่อทั้งสองคนก็ประกาศตัวหมั้นหมายตามกันไปติด ๆมีเพียงวิคกี้ที่ยืนสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อระงับอารมณ์กราดเกรี้ยวและมองหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของภีมพลด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เพราะไม่ว่ามองอย่างไรก็แค่เด็กเมื่อวานซืน แต่ทำไมถึงคว้าเอาชายหนุ่มที่เธอหมายปองไปครอบครองได้ อดคิดไม่ได้ว่าเด็กสาวคนนี้คงผ่านเรื่องอย่างว่ามาอย่างโชกโชนกระมังถึงได้จับเจ้าพ่อซุสได้อยู่หมัด“อย่าเผลอเชียวนะนังเด็กน้อย” วิคกี้เหยียดยิ้มมุมปากเมื่อคิดว่าเด็กสาวอย่างรวิชาคงจะไม่คณามือของตนสักเท่าไร แค่เด็กสาวใจแตกคนหนึ่ง ถ้าเธอเป่าหูเสียหน่อยก็คงจับสองคนนี้แยกกันได้ไม่ยาก“วันนี้ลูกค้าไม่ค่อยเยอะเท่าไรเพราะไม่ใช่คืนสุดสัปดาห์ อาสั่งให้เด็กเตรียมโต๊ะตรงโซนวีไอพีให้เรากับเพื่อนแล้วนะ แล้วเพื่อนเราจะมาถึงกี่ทุ่มล่ะ”ภีมพลชวนคุยร
ทั้งสามคนนั่งเพลิดเพลินกับความสนุกสนานที่รายล้อมรอบตัว รวิชาได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ที่พรรณรายพามา เขาชื่อสกลธี และด้วยความที่สกลธีเป็นเกย์ควีนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศ เธอจึงสามารถสนิทกับเขาได้อย่างรวดเร็ว“เออใช่ ฉันก็ลืมเล่าให้แกฟังเลยยายอาย ที่จริงวันนี้น่ะฉันชวนพี่ทิวมาด้วยนะ แต่เห็นพี่ทิวบอกว่าต้องไปเยี่ยมพี่วิชรที่โรงพยาบาล แกรู้ไหมว่าพี่วิชรเป็นอะไร”พรรณรายพูดออกท่าออกทางอย่างตื่นเต้น มองสีหน้าของเพื่อนสนิทที่กำลังมองมาตาแป๋วรอให้ตนเป็นคนเฉลยคำตอบ“พี่วิชรโดนซ้อมอาการหนักมาก ถึงกับต้องหามส่งโรงพยาบาลเลยนะแก ฉันว่างานนี้อาภีมของแกมีเอี่ยวแหง ๆ”พรรณรายยักคิ้วให้รวิชาเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ตัวเองคาดเดานั้นถูกต้องแน่นอน เพราะเพิ่งมีเรื่องกันไปเมื่อตอนบ่าย“ทำไมแกมั่นใจขนาดนั้น อาจจะไม่ใช่อาภีมก็ได้ แกก็รู้ว่าพี่วิชรน่ะกร่างไปทั่วนั่นแหละ” แม้จะคิดเหมือนเพื่อน ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะแก้ต่างให้คู่หมั้น“แหม วันนี้พี่วิชรมีเรื่องกับใครล่ะจ๊ะถ้าไม่ใช่คู่หมั้นสุดหล่อของเธอน่ะ”&
“เตือน? เตือนเรื่องอะไรคะ” รวิชาขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย ในใจเริ่มคิดไปถึงข่าวลือหนาหูของคู่หมั้นหมาด ๆ ที่เธอได้ยินมาจากพรรณรายถึงเรื่องความเจ้าชู้ของเขา และไหนจะภาพบาดตาเมื่อครู่นี้อีก“ก็คุณภีมน่ะสิคะ เขาค่อนข้างขึ้นชื่อในเรื่องผู้หญิง ยิ่งทำงานกลางคืนที่ต้องใกล้ชิดกับพวกสาว ๆ สวย ๆ ก็ยิ่ง...เอ่อ...อย่าว่าแต่พวกลูกค้าสาว ๆ เลยค่ะ ขนาดนักร้องหรือเด็กเสิร์ฟหน้าตาดีหน่อยส่วนใหญ่ก็ต้องเคยผ่านคุณภีมมาแล้วทั้งนั้น ขนาดพี่เองก็ยัง...เอ่อ...พี่ไม่รู้จะอธิบายยังไงค่ะ แต่ที่พี่เอามาบอกก็เพราะว่าอยากให้น้องทำใจรับเรื่องนี้ของเขาให้ได้นะคะ ไม่งั้นคงคบกันไม่ยืด พี่เห็นน้องยังเด็กมาก กลัวจะรับไม่ได้ก็เลยต้องมาบอกเอาไว้ก่อน”รวิชาเผลอกำมือแน่นจนเล็บจิกฝ่ามืออย่างลืมตัว เธอไม่รู้ว่าทำไมต้องโกรธ และทำไมในอกมันจุกจนเหมือนหายใจไม่ออกในเมื่อรู้มาก่อนล่วงหน้าแล้วว่าเขาเป็นคนแบบนี้ อีกทั้งเธอกับเขาก็แค่หมั้นกันหลอก ๆ แล้วทำไมเธอถึงรู้สึกทนไม่ได้เมื่อได้ยินว่าเขามีความสัมพันธ์กับผู้หญิงมากหน้าหลายตา รวมถึงคนที่อยู่ตรงหน้านี่ด้วย“แต่พี่ขอร้องอย่า
ชายหนุ่มเดินขึ้นมาถึงห้องพักผ่อนที่รวิชาเคยนอนเมื่อครั้งถูกกลวิชรวางยานอนหลับ เขาใช้มืออีกข้างเปิดประตูแล้วเอาเท้าดันให้ปิด พาร่างที่ดิ้นขลุกขลักอยู่บนบ่าไปหย่อนลงบนเตียงนอนหนานุ่มกลางห้อง แล้วหย่อนกายลงนั่งขอบเตียง“ว่าไง ยังจำห้องนี้ได้ไหมหนูอาย” ภีมพลพูดเสียงสั่นปนหอบ มือก็ตามคว้าร่างที่กำลังจะขยับหนีให้ขึ้นมานั่งอยู่บนตักของตน ส่งเสียงขู่ไม่ให้คนตัวเล็กได้แผลงฤทธิ์“นั่งนิ่ง ๆ ถ้าไม่นิ่งอาไม่รับรองความปลอดภัยนะ หรืออยากจะลอง”ประโยคสุดท้ายเขาพูดพร้อมกับเกยคางลงบนไหล่มนจนริมฝีปากแทบจะชิดกับแก้มนุ่ม รวิชานั่งนิ่งตัวแข็งทันที เมื่อตระหนักได้ว่าความปลอดภัยที่เขาพูดถึงนั้นหมายถึงอะไร ทั้งตกใจทั้งหวาดหวั่นแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกวูบวาบหวามไหวไปกับความใกล้ชิด จนเขาสามารถหายใจรดซอกคอเธอได้“ไหนบอกสิว่าโกรธอาเรื่องอะไร ทำไมถึงพูดกับอาแบบนั้น ปกติเราไม่เคยพูดแรงขนาดนี้เลยนะ”อาภีมคนเดิมเริ่มกลับมาเพราะน้ำเสียงที่เขาใช้กับเธอนั้นสุดแสนจะอ่อนทุ้มนุ่มนวล แต่รวิชายังคงปิดปากเงียบ หันหน้าหนีสายตาคมปลาบของเขาไปอีกทาง ภีมพลจึงข
ไม่เกินสิบนาทีต่อมา ชายหนุ่มก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความผ่อนคลาย เห็นรวิชานั่งหน้าแดงเอียงคอ ทำหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่“คิดอะไรอยู่” ภีมพลเดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ เห็นสีหน้าแววตาของรวิชาตื่นเต้นเล็กน้อยก่อนที่เจ้าตัวจะรีบกลบเกลื่อนด้วยการหันมาฉีกยิ้มกว้าง แล้วรีบเบือนหน้าไปทางอื่นแทน ชายหนุ่มจึงเอามือทั้งสองข้างไปกุมใบหน้าเรียวสวยนั้นไว้ บังคับให้หันมองมาตน“รู้ตัวหรือเปล่าว่าเราน่ะโกหกไม่เก่งเลย ว่าไงครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”รวิชาได้แต่ยิ้มแหย นัยน์ตากลมโตกวาดมองไปทางอื่นเพราะไม่กล้าสบตากับเขา ปากอิ่มเม้มแน่นตามความเคยชิน ทำเอาคนมองได้แต่จ้องริมฝีปากสีระเรื่อนั้นตาปรอย“ก็...ก็แค่...นึกถึงวันนั้นค่ะ” วันที่เธอตื่นมาแล้วพบว่ามีผู้ชายเปลือยกายนอนหลับอยู่ข้าง ๆ แถมยังเป็นผู้ชายที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะได้มาพูดคุยจนเลยเถิดมาถึงขั้นหมั้นหมายกันอย่างวันนี้…และที่สำคัญ เธอยังได้เห็นหนอนชาเขียวตัวโตเต็มวัยของเขาอีกด้วย!“ทำไมล่ะ จะบอกให้ว่าวันนั้นน้องอายโชคดีมากแล้วรู้ไหมที่เจออา ถ้าอาไม่ยื่นม
คิ้วของรวิชาขมวดมุ่น สงสัยว่าทำไมเธอต้องด่าเขาด้วย และภีมพลก็ไม่ให้เธอสงสัยนาน เขาบีบกระชับมือนุ่มก่อนตัดสินใจเปิดปากพูดสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจออกไปทั้งหมด“อาไม่เคยรังเกียจน้องอาย ตรงกันข้าม อาอยากทำอะไร ๆ อย่างที่คนอื่นเขาเอ่อ...อย่างที่คู่หมั้นคู่อื่นเขาทำกันนั่นแหละ แต่เรายังเด็ก อายุยังไม่ถึงยี่สิบเลยด้วยซ้ำ และอาก็สัญญาไว้กับพ่อของเราด้วยว่าจะไม่ทำอะไรเราจนกว่าเราจะเรียนจบ ทีนี้เข้าใจอาบ้างหรือยัง”รวิชาคิดตามที่ชายหนุ่มพูดแล้วทำหน้าเหมือนจะเข้าใจ ถ้าไม่เพราะคำถามสุดท้ายที่เอ่ยถามออกมา ซึ่งทำเอาภีมพลถึงกับอดหัวเราะออกมาไม่ได้“แล้วทำไมอาภีมต้องวิ่งหนีเข้าห้องน้ำด้วยล่ะคะ ที่ออฟฟิศอาภีมก็เข้าห้องน้ำ เมื่อกี้อาภีมก็วิ่งเข้าห้องน้ำอีก”“นี่จะให้อาพูดออกมาตรง ๆ ให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย ฮ่า ๆ”ภีมพลหัวเราะร่า คิดว่าถึงเวลาที่ควรเปิดอกคุยกันจริง ๆ แล้วกระมัง จะว่าไปแล้วรวิชาก็ไม่ใช่เด็กเล็กที่จะไม่รู้เรื่องเซ็กซ์ หรือความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย เพียงแต่สาวน้อยของเขายังอ่อนด้อยกับเรื่องพรรค์นี้ อีกทั้งย
ยามมองผู้หญิงเหล่านั้น แม้พวกหล่อนจะยิ้มให้ แต่รวิชาระแวงไปหมดว่าคนพวกนี้ยิ้มเยาะอยู่หรือเปล่า แอบสมเพชเธออยู่ในใจไหม ความคิดด้านร้ายวิ่งวนอยู่ในหัวจนรวิชาชักสีหน้าบึ้งตึงไม่เก็บอารมณ์อีกต่อไป“น้องอายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ เวียนหัวไหมที่อาพาเดินไปเดินมา หรือว่าปวดขา อาพาไปพักบนห้องข้างบนก่อนไหมแล้วตอนเขาเริ่มงานค่อยลงมาอีกที”ภีมพลถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าของคนข้างกาย รวิชาพยักหน้า ตอบรับคำชวนของเขา เพราะยิ่งอยู่เธอก็ยิ่งควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เวลาที่มีผู้หญิงมาก้อร่อก้อติกใส่เขาภีมพลจูงมือสาวน้อยพาเดินเข้าไปในตัวอาคาร จากนั้นจึงพาขึ้นบันไดไปชั้นสามที่เป็นห้องพักของเขา เมื่อขึ้นมาถึงจึงพาเธอไปนั่งบนเตียงและเขาก็หย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ เพราะห้องนี้ไม่มีโซฟา“เบื่อหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามอย่างอาทร เห็นใจเธอไม่น้อยเพราะงานนี้เธอแทบไม่รู้จักใครนอกจากเขาและเจ้าบ่าวเจ้าสาวของงาน เธอจึงไม่สามารถปลีกตัวไปนั่งที่ไหนได้ นอกจากเดินตามเขาต้อย ๆ ไปทั่วฮอลล์“ไม่เบื่อหรอกค่ะ” แม้ปากจะบอกอย่างนั้น แต่สีหน้าที่แสดงออกมากลับต
ภีมพลผงกศีรษะรับคำ ก่อนหันไปพยักหน้ากับรวิชาให้เดินไปด้วยกันที่รถเมื่อเข้ามานั่งในรถ หญิงสาวก็เหลือบมองเขา เห็นชายหนุ่มนั่งเงียบไม่พูดไม่จาก็อดก้มมองตัวเองในคืนนี้ไม่ได้ เธอแต่งแบบนี้แล้วไม่สวยหรอกหรือ เขาถึงได้ไม่ออกปากชมสักคำในขณะเดียวกัน คนที่นั่งประจำอยู่หลังพวงมาลัยกลับรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เดรสที่สาวน้อยคู่หมั้นใส่วันนี้นั้น เพิ่งรู้ว่าเวลานั่งมันจะร่นขึ้นไปสูงจนเกือบถึงขาอ่อน ไหนจะหน้าอกหน้าใจที่อวบอิ่มดุนดันออกมาจากคอเสื้ออีก...ให้ตายสิ เด็กบ้าอะไรยิ่งโตยิ่งสวย ยิ่งโตยิ่งอึ๋ม!“อุ๊ย!”รวิชาอุทานเบา ๆ เมื่อโทรศัพท์มือถือหลุดมือกระเด็นไปตกอยู่แทบเท้าของเขา เพราะข้อศอกของเธอกับเขาชนกันพอดีตอนเธอเปิดกระเป๋าจะหยิบมันออกมา“เดี๋ยวอาหยิบให้จ๊ะ”ภีมพลบอกอย่างหวังดี แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าหวือเพราะเขากำลังขับรถอยู่ เกรงว่าจะเกิดอันตรายเข้าตอนก้มควานหาโทรศัพท์ให้เธอ“ไม่เป็นไรค่ะ อาภีมกำลังขับรถอยู่ มันอันตรายเดี๋ยวน้องอายหยิบเอง”ว่าแล้วหญิงสาวก็ค้อมตัวลงควานมือไปหาโทรศัพท์ใ
จนมาแน่ใจว่าสุนิตาไม่น่าคบหาสมาคมด้วย เพราะพฤติกรรมของเจ้าตัวที่มีต่อคู่หมั้นของเธอ รวิชาสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่าสุนิตาชอบพูดถึงภีมพลอยู่บ่อยครั้ง หนำซ้ำยังชอบมองเขาด้วยสายตาหวานเชื่อมราวกับเชิญชวน ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่ชอบ รวิชาไม่มีทางยอมให้ผู้หญิงคนไหนมาแย่งเขาไปอย่างเด็ดขาด!ก่อนหน้านี้ ภีมพลส่งข้อความไปบอกว่ากำลังคุยอยู่กับสุนิตา และถ้าจะเดินมาหาก็อย่าเพิ่งแสดงตัว ให้เธอรอฟังอยู่เงียบ ๆ ก่อน จากนั้นเขาก็กดโทร. เข้าเครื่องเธอ รวิชาจึงได้ยินทุกประโยคที่สองคนนั้นคุยกัน“หมดเรื่องยุ่ง ๆ กันสักทีนะ”ภีมพลเดินเข้ามาโยกศีรษะของรวิชาเบา ๆ หญิงสาวหันมายิ้มให้ ก่อนจะบอกลาเพื่อนทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง แล้วเดินตามคู่หมั้นหนุ่มไปขึ้นรถที่จอดเอาไว้คิดแล้วก็โล่งใจไปอีกเปลาะที่หมดปัญหาเรื่องสุนิตาไปได้ ทีนี้ก็คงเหลือแต่เรื่องบรรดาผู้หญิงมากหน้าหลายตาของเขาที่วิคกี้ขยันส่งภาพมาให้เธอดู คู่หมั้นของเธอก็ช่างกระไร ทำไมถึงได้เป็นคน “ทั่วถึง” ขนาดนั้นก็ไม่รู้ ผู้หญิงที่ไหนเข้าหาก็ไม่เคยปฏิเสธ ไปยืนปล่อยให้พวกหล่อนทั้งกอดทั้งซบอยู่ได้ คิดแล้วก็น
วันต่อมา ภีมพลขับรถไปรับรวิชาที่มหาวิทยาลัย โดยไปก่อนเวลาเลิกเรียนเล็กน้อย ชายหนุ่มอยู่ในชุดลำลองเพราะไม่ได้เข้าออฟฟิศ ตั้งใจไว้ว่าจะพาคู่หมั้นสาวไปหาซื้อชุดสำหรับไปงานแต่งงานของพชรกับช่อมาลี เพราะเมื่อวานเขาลืมบอกว่างานแต่งงานจะจัดในคืนวันเสาร์ที่จะถึง ไม่รู้ว่าหญิงสาวจะมีโปรแกรมไปไหนกับบิดามารดาหรือเปล่าชายหนุ่มเดินเตร่อยู่แถวนั้นระหว่างรอรวิชา ก่อนหน้านี้เขาส่งข้อความไปบอกแล้วว่าจะมารับ เธอก็ตอบกลับว่าเลิกเรียนตอนบ่ายสองโมงสี่สิบห้า เขาดูเวลา ตอนนี้เพิ่งจะบ่ายสองโมงครึ่งเท่านั้น อีกสิบห้านาทีรวิชาก็จะเลิกเรียนแล้ว เขาจึงไม่ได้ไปไหนไกลจากตึกคณะเรียนของเธอ“คุณภีมคะ” เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้ชายหนุ่มต้องชะงักเท้าอยู่กับที่แล้วหันไปมองเจ้าของเสียง เขาลอบถอนหายใจเมื่อเห็นว่าเป็นใคร“มารับอายหรือคะ”สุนิตาเดินยิ้มหวานเข้ามาใกล้พร้อมกับพนมมือไหว้อย่างชดช้อย และเมื่อเงยหน้าขึ้นก็ช้อนตามองเขาอย่างมีจริตจะก้าน“ใช่...แล้วนี่เธอไม่ขึ้นเรียนหรือไง”ชายหนุ่มตอบอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นก็หยิบโทรศ
ด้านคนที่ถูก “แปะมือ” ไว้ก็ได้แต่ตัวแข็งค้าง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเพราะเกรงว่าสาวเจ้าจะรู้ว่าเผลอทำอะไรลงไป แล้วจะพานอับอายจนเข้าหน้ากันไม่ติดอีกรวิชาทำมือบอกเขาว่าจะไปนั่งเล่นที่โซฟา โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าโล่งอกของชายหนุ่ม เพราะเห็นเขากำลังคุยเรื่องงานกับปลายสายด้วยสีหน้าเคร่งเครียดหญิงสาวทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดเครื่องดูเผื่อว่าสกลธีกับอารดาจะฝากข้อความไว้ ทว่าทันทีที่เปิดเครื่อง สัญญาณเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นทันทีจนเจ้าตัวผวา ยิ่งเห็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเธอก็ยิ่งไม่กล้ารับสาย ได้แต่ปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่ภีมพลวางสายจากคู่สนทนาพอดี“ให้อารับแทนไหม” เห็นสีหน้าของเธอ เขาก็รู้แล้วว่าน่าจะเป็นสายจากไอ้พวกหื่นกามที่ติดต่อมาทางเฟซบุ๊กปลอม เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนที่โทร. มามันจะพูดว่าอย่างไรบ้างรวิชาพยักหน้าเร็ว ๆ พร้อมส่งโทรศัพท์ไปให้เขา ภีมพลกดรับสายทันทีเพราะเกรงว่าคนที่โทร. มาจะถอดใจวางไปก่อน ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูแล้วรอฟังหญิงสาวมองหน้าเขาด้วยความอยากรู้ว่าปลายสายพูด
เสียงโทรศัพท์ของรวิชาดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นเบอร์ใหม่ ไม่ใช่เบอร์เดียวกันกับที่โทร. มาเมื่อครู่ หญิงสาวจึงจัดการปิดเสียง แล้วกดโทร. ออกหาคู่หมั้นหนุ่ม รอสายไม่นาน ภีมพลก็กดรับสาย“ว่าไงครับน้องอาย” แค่ได้ยินเสียงเท่านั้น เธอก็อยากให้เขามาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าในตอนนี้เหลือเกิน“อาภีมอยู่ที่ออฟฟิศหรือเปล่าคะ น้องอายไปหาได้ไหม”น้ำเสียงเศร้าสร้อยของสาวน้อยส่งผลให้ชายหนุ่มวางมือจากแฟ้มเอกสารทันที เขาเอนหลังพิงเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่ด้วยท่าทางผ่อนคลาย แล้วถามด้วยความเป็นห่วง“น้องอายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ เอาอย่างนี้ดีกว่า ให้อาขับรถไปรับที่มหาวิทยาลัยดีไหม”“อย่าเลยค่ะอาภีม น้องอายนั่งรถไปหาเองดีกว่า จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา แต่วันนี้อาภีมไม่ได้ไปทำธุระที่ไหนใช่ไหมคะ” เกรงใจเขาก็เกรงใจ แต่ในยามที่มีเรื่องไม่สบายใจ เธอกลับคิดถึงเขาที่สุด“ไม่ได้ไปไหนครับ มาหาได้เลยอาจะรอนะ” เสียงทุ้มอ่อนโยนของเขาช่วยให้ใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง หญิงสาวรับคำแล้วกดวางสาย ในขณะที่ภีมพลก็กดโทรศัพท์ออกไปหาชุมชาย เลข
“เฮ้อ แย่เนอะ สมัยพวกเราเรียนมัธยมยังไม่เห็นมีแบบนี้เลย”ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้คุยอะไรกันต่อ เตชินทร์ก็เดินเข้ามาหา แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับรวิชาอย่างถือวิสาสะ เขาหันมาส่งยิ้มให้อารดาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปคุยกับรวิชา“แย่หน่อยนะครับ เจอใครไม่เจอดันไปเจอไอ้วิชร”ชายหนุ่มเปิดรอยยิ้มกว้างจนตายิบหยี ใบหน้าหล่อเหลาขาวใสสไตล์หนุ่มเกาหลีที่กำลังนิยมทำเอาคนมองอย่างอารดาตาพร่า เสียงทุ้มของเขายามเอื้อนเอ่ยฟังดูนุ่มนวลชวนหลงใหล แม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้คุยและยิ้มให้กับเธอ แต่หญิงสาวก็อดเผลอนั่งจ้องเขาไม่ได้“ขอบคุณพี่มาก ๆ เลยนะคะที่ช่วยไว้ พี่ชื่อ...”รวิชาพูดค้างไว้แค่นั้น เตชินทร์จึงแนะนำตัวเอง“เตชินทร์ครับ เรียกพี่ชินทร์เฉย ๆ ก็ได้ พี่อยู่ปีสามคณะเดียวกับน้องนั่นละ แต่ช่วงวันปฐมนิเทศพี่ติดธุระเลยไม่ได้มาร่วมงาน น้องอายเลยไม่เคยได้เจอหน้าพี่ แต่พี่เห็นน้องอายบ่อยเลยนะเพียงแต่ไม่กล้าเข้ามาทัก”เตชินทร์คลี่ยิ้มกว้างอีกครั้ง คราวนี้อารดาต้องแอบจิกเนื้อของตัวเอง เตือนสติให้เลิกมองเขา หัว
รวิชาเดินเข้ามหาวิทยาลัยเพียงลำพัง เมื่อคืนเธอได้แชตกับเพื่อนสนิททั้งสองคนเกี่ยวกับภาพข่าวที่ออกมา และปฏิกิริยาของคนที่เข้ามาโพสต์ อดแปลกใจไม่ได้ว่าบางคนนั้นไม่เคยรู้จักเธอด้วยซ้ำ แต่มาพูดต่อว่าเธอเสีย ๆ หาย ๆ ราวกับรู้จักกันมาเนิ่นนาน จึงลงความเห็นกันว่าเธอคงไม่ค่อยเป็นที่ปรารถนาของนักศึกษาผู้หญิงเท่าไร ไม่ว่าจะรุ่นเดียวกันหรือรุ่นพี่เธอเดาว่าอาจเป็นพราะการที่ตนเป็นจุดเด่นมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ตนเป็นจุดสนใจของเพศตรงข้าม รวมไปถึงการใช้กระเป๋าและนาฬิกาแบรนด์หรูมาเรียน รวิชาจึงพยายามลดความเป็นจุดเด่นของตัวเองลง โดยเริ่มปรับปรุงเกี่ยวกับเรื่องเครื่องประดับติดกายพวกนี้ก่อนวันนี้เธอสะพายกระเป๋าแฮนด์เมดใบละไม่กี่ร้อยที่ซื้อจากตลาดนัดสวนจตุจักรตั้งแต่สมัยมัธยมมาเรียน ใส่นาฬิกาเรือนเดิมที่เคยใส่ตอนเรียนมัธยมปลาย การที่ตัวเองเป็นเด็กใหม่แต่ถ้าทำตัวให้น่าหมั่นไส้แม้จะไม่ตั้งใจก็ตาม ก็อาจจะทำให้เธอใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยได้ไม่ราบรื่นนักเสียงกระหึ่มของรถสปอร์ตคันหรูที่ดังอยู่ด้านหลังไม่ได้ทำให้รวิชาสนใจจนต้องหันไปมอง หญิงสาวยังคงเดินไปเรื่อย ๆ