รวิวรรณมองบุตรสาวที่หมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ด้วยแววตารักใคร่ มะรืนนี้เป็นวันหมั้นหมายแล้ว ดูท่าทางเจ้าตัวจะตื่นเต้นมาก เพราะทันทีที่เธอกลับมาถึงบ้าน บุตรสาวสุดที่รักก็ดึงมือชวนไปดูชุดที่ภีมพลซื้อให้ อีกทั้งยังทดลองทำผมหลายทรงแล้วถามความเห็นมารดาอย่างตนด้วยว่าทรงไหนสวยที่สุด
“คุณแม่ว่าน้องอายทำผมเป็นลอนดีไหมคะ จะได้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาอีกนิด ถ่ายรูปออกมาจะได้สวยด้วย” เสียงเจื้อยแจ้วของรวิชาเรียกรอยยิ้มของคนที่กำลังเดินเข้ามาใหม่ได้ไม่น้อย
“ลูกสาวของพ่อ ทำทรงไหนก็สวยทั้งนั้นแหละ”
อาทิตย์นั่งลงข้างภรรยาพร้อมกับหันไปยิ้มให้กันอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน ใครกันหนอที่หน้าหงิกหน้างอไม่อยากหมั้นกับคนแก่ แล้วดูตอนนี้สิ ตื่นเต้นจนแทบนั่งไม่ติด
“แต่น้องอายก็อยากได้ทรงที่สวยที่สุดนี่นา เอางี้ดีกว่า ในสายตาของคุณพ่อ คุณพ่อว่าทรงไหนดีคะ ระหว่างมัดรวบไว้สูง ๆ หรือม้วนเป็นลอน หรือว่าปล่อยยาวตรงลงมาธรรมดา ๆ ไม่ต้องทำอะไรกับมัน”
อาทิตย์ทำทีเป็นครุ่นคิดทั้งที่ในใจอยากจะหัวเราะออกมาเต็มที่ แต่ไม่อยากให้บุตรสาวงอนเพราะความขัดเขิน
“พ่อว่าปล่อยยาวลงมาธรรมดาก็พอมั้ง ดูธรรมชาติดีนะ”
“แต่น้องอายว่าม้วนเป็นลอนดีกว่านะคะดูเป็นผู้ใหญ่ดี คุณแม่ว่าไหม”
ฟังคำตอบของบุตรสาวแล้วคนเป็นพ่อแม่ก็ได้แต่อมยิ้มพลางส่ายหน้าอย่างเอ็นดู รวิชามักเป็นอย่างนี้เสมอเวลาที่ต้องการความเห็นจากคนอื่น ถ้าตัวเองมีคำตอบอยู่ในใจแล้วก็ไม่วายถามคนนั้นคนนี้เพื่อเสริมความมั่นใจ แต่ถ้าคำตอบที่ได้ไม่ตรงกับสิ่งที่คิดเอาไว้ เจ้าตัวก็ยังจะยืนยันในสิ่งที่ตัวเองคิดและเลือกเอาไว้แต่แรกอยู่ดี
“คืนนี้คุณแม่นอนห้องน้องอายนะคะ...นะคะคุณแม่ น้องอายไม่ได้นอนกับคุณแม่นานแล้วนะ เสียดายเตียงน้องอายเล็กไปหน่อย ไม่งั้นจะให้คุณพ่อมานอนด้วยกัน” รวิชาเดินกอดเอวของบิดาอย่างออดอ้อน เพราะกลัวว่าบิดาจะน้อยใจที่ตนไม่ชวนนอนห้องเดียวกันเหมือนชวนคุณแม่
“รีบนอนกันเถอะครับสาว ๆ เดี๋ยวขอบตาดำแล้วจะไม่สวยเอานะ ถ้าถึงวันงานแล้วใต้ตาดำเป็นหมีแพนด้า แม่เราคงต้องเอาปูนขาวมาปิดใต้ตาแทนรองพื้นล่ะมั้ง”
อาทิตย์พูดยิ้ม ๆ งานหมั้นครั้งนี้แม้ว่าทางฝ่ายภีมพลจะเป็นคนจัดการเกี่ยวกับรายละเอียดของงานเองทั้งหมด แต่รวิวรรณก็ขอเป็นคนแต่งหน้าทำผมให้กับบุตรสาวด้วยตัวเอง เพราะอยากทำอะไรเพื่อลูกในวันสำคัญ
“จริงด้วยจ้ะน้องอาย ถ้าขอบตาดำแล้วแต่งหน้าไม่สวยนะ งานมีวันมะรืนนี้ แต่เราก็ต้องนอนแต่หัววันตั้งแต่วันนี้ไปเลยนะลูก”
รวิวรรณแกล้งขู่บุตรสาว เจ้าตัวจึงรีบเดินไปหยิบชุดนอนจากในตู้แล้วผลุบหายเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ ทิ้งให้บิดามารดาได้แต่ยิ้มให้กันอยู่เบื้องหลัง
รวิชานั่งนิ่งอยู่ที่หน้ากระจก มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบ และสั่นเล็กน้อยทั้งที่เจ้าตัวพยายามระงับความตื่นเต้นอย่างที่สุดแล้ว ทว่าดูเหมือนเธอทำได้ไม่ดีนัก ตาเหลือบมองเวลาที่นาฬิกาบนผนังเป็นระยะเมื่อรู้สึกว่าเวลาเตรียมตัวเตรียมใจเหลือน้อยลงไปทุกที
หญิงสาวสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ก่อนที่มันจะถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของมารดาในเดรสตัวยาวสีฟ้าอ่อนดูสวยงาม และแม่นมชราที่นุ่งผ้าซิ่นยกดอก สวมเสื้อลูกไม้ทั้งตัวเดินเข้ามาในห้อง
“หนูต้องลงไปข้างล่างแล้วนะลูก บ้านโน้นเขามากันแล้ว”
รวิวรรณบอกบุตรสาวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม คนเป็นแม่อย่างเธอได้แต่ปลาบปลื้มอยู่ในอก สาวสวยตรงหน้าคือบุตรสาวของเธอแน่แล้ว ไม่ใช่เด็กน้อยที่คอยยืนกระโดดโลดเต้นอยู่หน้าบ้านตอนเห็นพ่อกับแม่กลับจากที่ทำงานอีกต่อไป
“วันนี้ลูกสาวของแม่สวยมากเลย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหนูจะโตขนาดนี้แล้ว” รวิวรรณน้ำตารื้นบอกกับบุตรสาวเสียงเครือ ในขณะที่แม่นมชรานั้นน้ำตาไหลอาบแก้มไปแล้ว นมพิมใช้ผ้าเช็ดหน้าบรรจงซับที่หางตาอย่างแผ่วเบา สีหน้าและแววตาปลาบปลื้มยินดีไม่ต่างจากรวิวรรณ
“แหม...จะซึ้งอะไรกันมากมายคะคุณแม่ นมพิมขา ก็ไหนว่าแค่หมั้นตบตาลุงบุญทรงไม่ใช่หรือคะ ไม่ได้หมั้นกันเป็นจริงเป็นจังสักหน่อย”
รวิชาทำทีเป็นไม่ใส่ใจกับการหมั้นครั้งนี้นัก ทั้งที่หัวใจเต้นกระหน่ำไปด้วยความตื่นเต้น ลึกลงไปก็ยอมรับว่า ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ภีมพลเอาใจใส่และดีกับเธอมาก มากจนเธอรู้สึกเคยตัว และคุ้นชินว่าทุกวันเวลานี้ เขาต้องมารับเธอไปส่งที่โรงงานของบิดามารดา หรือไม่ก็ไปนั่งช่วยงานเอกสารเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บริษัทของเขา ตกเย็นหลังจากรับประทานมื้อเย็นกันเสร็จเรียบร้อย เขาก็จะพามาส่งบ้าน
และทุกครั้งก่อนเธอลงจากรถ เขาต้องฝากรอยรักเอาไว้ที่หน้าผากอีกด้วย!
ร่างสูงใหญ่กำยำของภีมพลอยู่ในชุดสูทสีเทาดำเรียบหรู เสื้อเชิ้ตตัวในสีขาว ผูกเนคไทสีเทาเข้าชุดกับสูทที่สวมอยู่ ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาในห้องทำงาน โดยมีอาทิตย์เดินตามมานั่งลงอีกฝั่ง หลังจากที่ปิดประตูห้องเรียบร้อยแล้ว
“ผมคิดว่าวันนี้คุณบุญทรงคงไม่มาแน่นอน เพราะผมเพิ่งบอกเขาเมื่อวานซืนนี้เองว่าน้องอายจะหมั้นกับคุณ” อาทิตย์เริ่มเรื่องทันที เพราะไม่อยากให้ทางผู้ใหญ่ฝ่ายภีมพลต้องคอยนาน
“เขาคงคาดไม่ถึงมั้งครับที่จู่ ๆ น้องอายต้องมาหมั้นกับผม ยังดีนะที่ผมกวาดซื้อหุ้นคืนมาได้ถึงสามในสี่ ตอนแรกเขาทำท่าอิดออดไม่ยอมขายท่าเดียว แต่พอผมเสนอจำนวนเงินให้ไปเขาก็ตกลงทันที ผมคิดว่าบริษัทของคุณบุญทรงน่าจะกำลังมีปัญหาทางด้านการเงิน เพราะวันนั้นเขานัดผมเจรจาขอผ่อนผันเงินกู้ ผมเลยได้โอกาสขอซื้อหุ้นบริษัทของพี่ทิตย์ต่อจากเขาเลย”
ภีมพลเล่าเหตุการณ์เมื่อสัปดาห์ก่อนให้อาทิตย์ฟัง นับว่าเป็นโชคดีของเขาที่ไม่ต้องใช้วิธีบีบบังคับอะไรมากนัก
“ไม่ใช่แค่คาดไม่ถึงหรอกครับ ดูท่าแล้วเขาไม่พอใจมากเลยด้วยตอนที่ผมบอกข่าวเรื่องงานหมั้น” อาทิตย์ส่ายหน้าเมื่อนึกถึงตอนที่ตนเกือบปะทะคารมกับบุญทรงเมื่อวันก่อน
“เขาถามไหมครับว่าทำไมผมถึงมาหมั้นกับน้องอายได้ ผมว่าเขาต้องสงสัยแน่ว่าทำไมตอนเขาขอน้องอายให้หมั้นกับลูกชาย ทางพี่ถึงไม่ยอม” พูดไปก็อดนึกถึงใบหน้ายียวนของกลวิชรไม่ได้ ดูท่าทางแล้วร้ายใช่เล่น
“ถามครับ ผมบอกเขาไปว่าเป็นการพูดคุยตกลงกันของสองครอบครัวที่ตั้งใจให้เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้วเพียงแต่ผมไม่ได้บอกใคร พอบอกแบบนี้ไปเท่านั้นแหละ เขาก็โวยวายใส่ผมใหญ่เลย”
อาทิตย์เหลือบมองภีมพลพลางลอบถอนหายใจ ตลอดสองอาทิตย์ที่เขาไม่อยู่บ้าน ใช่ว่าจะละเลยบุตรสาวเพียงคนเดียว เขาจ้างคนให้คอยตามดูอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ให้รวิชากับภีมพลรู้ตัว ฉะนั้นทุกเรื่องราวทุกการกระทำของคนทั้งคู่ เขาจึงได้รับรายงานจนหมดสิ้น
“พี่ทิตย์มีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่าครับ”
ภีมพลนั่งหลังตรงวางมือไว้บนหัวเข่าเพื่อรอฟัง เมื่อเห็นท่าทางราวกับมีเรื่องคับข้องใจจากคนที่เขาวางตัวเอาไว้ว่าเป็น “ว่าที่พ่อตา” ในอนาคต
“ผมมีเรื่องอยากจะขอร้องคุณภีมครับ เกี่ยวกับหนูอาย”
อาทิตย์สูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อตั้งหลัก ในหัวกำลังเรียบเรียงคำพูดให้ฟังดูเป็นกันเองมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่ภีมพลนั่งนิ่งรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“ระหว่างที่หมั้นหมายกัน ผมอยากขอร้องให้คุณภีมช่วยดูแลและให้เกียรติน้องอายจนกว่าเขาจะเรียนจบได้ไหมครับ ผมไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับน้องอายจะเปลี่ยนไปในรูปแบบไหน แต่ในฐานะที่ผมเป็นพ่อ เอ่อ...หวังว่าคุณคงเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ”
อาทิตย์สบตาคนที่กำลังจะกลายมาเป็นคู่หมั้นของบุตรสาวอย่างจริงจัง ไม่ใช่ว่าเขาต้องการกีดกันภีมพล เพียงแต่หญิงชายที่อยู่ใกล้ชิดกันนานวันเข้า อาจมีเรื่องผิดพลาดขึ้นมาได้ เขาจึงต้องป้องกันไว้ก่อน อีกทั้งชื่อเสียง และข่าวลือเรื่องความเจ้าชู้ของภีมพลนั่นอีกเล่าที่เขาค่อนข้างหวั่นใจ
“ผมขอให้คำสัตย์กับพี่ว่าตลอดระยะเวลาที่น้องอายยังเป็นนักศึกษา ผมไม่มีวันทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควรกับน้องอายเป็นอันขาด พี่เชื่อใจผมได้ และผมก็ขอยืนยันด้วยว่าตลอดเวลาที่ผมอยู่ในฐานะคู่หมั้นของน้องอาย จะไม่มีข่าวเสียหายเรื่องผู้หญิงมาให้ระแคะระคายหูพี่แน่นอน ผมขอรับปากพี่ไว้ตรงนี้เลย”ภีมพลกล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สิ่งที่เขาพูดออกไปนั้นเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว“ขอบคุณมากครับคุณภีม”อาทิตย์คลี่ยิ้มพลางลุกขึ้นแล้วยื่นมือออกไปข้างหน้า ภีมพลจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นมือออกไปบีบกระชับแน่นหนักเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของตนเองพิธีหมั้นเป็นไปอย่างเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองมากนัก แขกที่เชิญมามีแค่เพื่อนสนิท โดยทางฝั่งภีมพลมีพชรควงคู่มากับช่อมาลี และอีกคนคือเธียรทัต เพื่อนสนิทที่อยู่กลุ่มเดียวกัน ทางฝั่งรวิชามีแค่พรรณรายกับอารดา เพื่อนร่วมโรงเรียนมาร่วมงานด้วยเท่านั้นเพราะรวิชากำชับไม่ให้บอกใครทางด้านผู้ใหญ่มีแค่บิดามารดาของทั้งสองฝ่าย นอกเหนือจากนั้นก็มีลูกน้องของภีมพลอีกสี่คนที่มาร่วมงานซ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เราก็แค่สนุกกันเกินไปหน่อย อย่างว่าแหละนะตอนเข้าด้ายเข้าเข็มใครจะมามัวนั่งสนใจกระเป๋า”ปากกล้าแต่ขาสั่น ประโยคนี้เหมาะกับกลวิชรในตอนนี้ที่สุด เพราะเพียงเห็นประกายตาวาวโรจน์ของคนตรงหน้าก็ทำเอารู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาทันทีภีมพลแค่นยิ้มมุมปาก เขาก้าวไปยืนจนแทบชิดกับตัวของกลวิชรจนอีกฝ่ายต้องผงะถอย“แต่เท่าที่ฉันเห็นมันไม่ใช่อย่างนั้นนะ ทีหลังจะพูดจะจาหัดระวังปากไว้หน่อย ถ้ายังอยากมีฟันไว้เคี้ยวข้าว ครั้งนี้ฉันจะถือเสียว่าโดนหมามันเลียปาก แต่ถ้าครั้งหน้ายังเกรียนไม่เลิกก็อย่าหาว่าฉันรังแกเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแกก็แล้วกัน ฉันเตือนแกแล้วนะ” ภีมพลพูดเสียงลอดไรฟัน แสยะยิ้มใส่กลวิชรอย่างอาฆาตมาดร้ายก่อนจะออกคำสั่ง“ไสหัวไปได้แล้ว ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”กลวิชรผละไปขึ้นรถที่จอดไว้หน้าบ้านอย่างฮึดฮัดขัดใจ สตาร์ตรถได้ก็ขับกระชากออกไปอย่างเร็วจนล้อบดถนนเสียงดังสนั่น ภีมพลมองตามหลังท้ายรถคันนั้นอย่างหมายมาดแล้วหันไปพูดกับลูกน้องที่ยืนอยู่แถวนั้น“เป็นต่อ ฉันเปลี่ยนใจแล้ว” เขาพ
ภีมพลพารวิชาเดินเข้าทางประตูสำหรับพนักงาน เพื่อจะพาหญิงสาวขึ้นไปยังชั้นสองซึ่งเป็นส่วนของออฟฟิศ ทุกครั้งที่เจอพนักงาน ชายหนุ่มจะแนะนำรวิชาให้ทุกคนรู้จักในฐานะคู่หมั้นโดยไม่ปิดบัง สร้างความแปลกใจให้กับทุกคนที่จู่ ๆ เจ้านายหนุ่มหล่อทั้งสองคนก็ประกาศตัวหมั้นหมายตามกันไปติด ๆมีเพียงวิคกี้ที่ยืนสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อระงับอารมณ์กราดเกรี้ยวและมองหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของภีมพลด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เพราะไม่ว่ามองอย่างไรก็แค่เด็กเมื่อวานซืน แต่ทำไมถึงคว้าเอาชายหนุ่มที่เธอหมายปองไปครอบครองได้ อดคิดไม่ได้ว่าเด็กสาวคนนี้คงผ่านเรื่องอย่างว่ามาอย่างโชกโชนกระมังถึงได้จับเจ้าพ่อซุสได้อยู่หมัด“อย่าเผลอเชียวนะนังเด็กน้อย” วิคกี้เหยียดยิ้มมุมปากเมื่อคิดว่าเด็กสาวอย่างรวิชาคงจะไม่คณามือของตนสักเท่าไร แค่เด็กสาวใจแตกคนหนึ่ง ถ้าเธอเป่าหูเสียหน่อยก็คงจับสองคนนี้แยกกันได้ไม่ยาก“วันนี้ลูกค้าไม่ค่อยเยอะเท่าไรเพราะไม่ใช่คืนสุดสัปดาห์ อาสั่งให้เด็กเตรียมโต๊ะตรงโซนวีไอพีให้เรากับเพื่อนแล้วนะ แล้วเพื่อนเราจะมาถึงกี่ทุ่มล่ะ”ภีมพลชวนคุยร
ทั้งสามคนนั่งเพลิดเพลินกับความสนุกสนานที่รายล้อมรอบตัว รวิชาได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ที่พรรณรายพามา เขาชื่อสกลธี และด้วยความที่สกลธีเป็นเกย์ควีนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศ เธอจึงสามารถสนิทกับเขาได้อย่างรวดเร็ว“เออใช่ ฉันก็ลืมเล่าให้แกฟังเลยยายอาย ที่จริงวันนี้น่ะฉันชวนพี่ทิวมาด้วยนะ แต่เห็นพี่ทิวบอกว่าต้องไปเยี่ยมพี่วิชรที่โรงพยาบาล แกรู้ไหมว่าพี่วิชรเป็นอะไร”พรรณรายพูดออกท่าออกทางอย่างตื่นเต้น มองสีหน้าของเพื่อนสนิทที่กำลังมองมาตาแป๋วรอให้ตนเป็นคนเฉลยคำตอบ“พี่วิชรโดนซ้อมอาการหนักมาก ถึงกับต้องหามส่งโรงพยาบาลเลยนะแก ฉันว่างานนี้อาภีมของแกมีเอี่ยวแหง ๆ”พรรณรายยักคิ้วให้รวิชาเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ตัวเองคาดเดานั้นถูกต้องแน่นอน เพราะเพิ่งมีเรื่องกันไปเมื่อตอนบ่าย“ทำไมแกมั่นใจขนาดนั้น อาจจะไม่ใช่อาภีมก็ได้ แกก็รู้ว่าพี่วิชรน่ะกร่างไปทั่วนั่นแหละ” แม้จะคิดเหมือนเพื่อน ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะแก้ต่างให้คู่หมั้น“แหม วันนี้พี่วิชรมีเรื่องกับใครล่ะจ๊ะถ้าไม่ใช่คู่หมั้นสุดหล่อของเธอน่ะ”&
“เตือน? เตือนเรื่องอะไรคะ” รวิชาขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย ในใจเริ่มคิดไปถึงข่าวลือหนาหูของคู่หมั้นหมาด ๆ ที่เธอได้ยินมาจากพรรณรายถึงเรื่องความเจ้าชู้ของเขา และไหนจะภาพบาดตาเมื่อครู่นี้อีก“ก็คุณภีมน่ะสิคะ เขาค่อนข้างขึ้นชื่อในเรื่องผู้หญิง ยิ่งทำงานกลางคืนที่ต้องใกล้ชิดกับพวกสาว ๆ สวย ๆ ก็ยิ่ง...เอ่อ...อย่าว่าแต่พวกลูกค้าสาว ๆ เลยค่ะ ขนาดนักร้องหรือเด็กเสิร์ฟหน้าตาดีหน่อยส่วนใหญ่ก็ต้องเคยผ่านคุณภีมมาแล้วทั้งนั้น ขนาดพี่เองก็ยัง...เอ่อ...พี่ไม่รู้จะอธิบายยังไงค่ะ แต่ที่พี่เอามาบอกก็เพราะว่าอยากให้น้องทำใจรับเรื่องนี้ของเขาให้ได้นะคะ ไม่งั้นคงคบกันไม่ยืด พี่เห็นน้องยังเด็กมาก กลัวจะรับไม่ได้ก็เลยต้องมาบอกเอาไว้ก่อน”รวิชาเผลอกำมือแน่นจนเล็บจิกฝ่ามืออย่างลืมตัว เธอไม่รู้ว่าทำไมต้องโกรธ และทำไมในอกมันจุกจนเหมือนหายใจไม่ออกในเมื่อรู้มาก่อนล่วงหน้าแล้วว่าเขาเป็นคนแบบนี้ อีกทั้งเธอกับเขาก็แค่หมั้นกันหลอก ๆ แล้วทำไมเธอถึงรู้สึกทนไม่ได้เมื่อได้ยินว่าเขามีความสัมพันธ์กับผู้หญิงมากหน้าหลายตา รวมถึงคนที่อยู่ตรงหน้านี่ด้วย“แต่พี่ขอร้องอย่า
ชายหนุ่มเดินขึ้นมาถึงห้องพักผ่อนที่รวิชาเคยนอนเมื่อครั้งถูกกลวิชรวางยานอนหลับ เขาใช้มืออีกข้างเปิดประตูแล้วเอาเท้าดันให้ปิด พาร่างที่ดิ้นขลุกขลักอยู่บนบ่าไปหย่อนลงบนเตียงนอนหนานุ่มกลางห้อง แล้วหย่อนกายลงนั่งขอบเตียง“ว่าไง ยังจำห้องนี้ได้ไหมหนูอาย” ภีมพลพูดเสียงสั่นปนหอบ มือก็ตามคว้าร่างที่กำลังจะขยับหนีให้ขึ้นมานั่งอยู่บนตักของตน ส่งเสียงขู่ไม่ให้คนตัวเล็กได้แผลงฤทธิ์“นั่งนิ่ง ๆ ถ้าไม่นิ่งอาไม่รับรองความปลอดภัยนะ หรืออยากจะลอง”ประโยคสุดท้ายเขาพูดพร้อมกับเกยคางลงบนไหล่มนจนริมฝีปากแทบจะชิดกับแก้มนุ่ม รวิชานั่งนิ่งตัวแข็งทันที เมื่อตระหนักได้ว่าความปลอดภัยที่เขาพูดถึงนั้นหมายถึงอะไร ทั้งตกใจทั้งหวาดหวั่นแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกวูบวาบหวามไหวไปกับความใกล้ชิด จนเขาสามารถหายใจรดซอกคอเธอได้“ไหนบอกสิว่าโกรธอาเรื่องอะไร ทำไมถึงพูดกับอาแบบนั้น ปกติเราไม่เคยพูดแรงขนาดนี้เลยนะ”อาภีมคนเดิมเริ่มกลับมาเพราะน้ำเสียงที่เขาใช้กับเธอนั้นสุดแสนจะอ่อนทุ้มนุ่มนวล แต่รวิชายังคงปิดปากเงียบ หันหน้าหนีสายตาคมปลาบของเขาไปอีกทาง ภีมพลจึงข
ไม่เกินสิบนาทีต่อมา ชายหนุ่มก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความผ่อนคลาย เห็นรวิชานั่งหน้าแดงเอียงคอ ทำหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่“คิดอะไรอยู่” ภีมพลเดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ เห็นสีหน้าแววตาของรวิชาตื่นเต้นเล็กน้อยก่อนที่เจ้าตัวจะรีบกลบเกลื่อนด้วยการหันมาฉีกยิ้มกว้าง แล้วรีบเบือนหน้าไปทางอื่นแทน ชายหนุ่มจึงเอามือทั้งสองข้างไปกุมใบหน้าเรียวสวยนั้นไว้ บังคับให้หันมองมาตน“รู้ตัวหรือเปล่าว่าเราน่ะโกหกไม่เก่งเลย ว่าไงครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”รวิชาได้แต่ยิ้มแหย นัยน์ตากลมโตกวาดมองไปทางอื่นเพราะไม่กล้าสบตากับเขา ปากอิ่มเม้มแน่นตามความเคยชิน ทำเอาคนมองได้แต่จ้องริมฝีปากสีระเรื่อนั้นตาปรอย“ก็...ก็แค่...นึกถึงวันนั้นค่ะ” วันที่เธอตื่นมาแล้วพบว่ามีผู้ชายเปลือยกายนอนหลับอยู่ข้าง ๆ แถมยังเป็นผู้ชายที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะได้มาพูดคุยจนเลยเถิดมาถึงขั้นหมั้นหมายกันอย่างวันนี้…และที่สำคัญ เธอยังได้เห็นหนอนชาเขียวตัวโตเต็มวัยของเขาอีกด้วย!“ทำไมล่ะ จะบอกให้ว่าวันนั้นน้องอายโชคดีมากแล้วรู้ไหมที่เจออา ถ้าอาไม่ยื่นม
เสียงคนวิ่งตึงตังลงมาจากบันไดทำให้ผู้ที่นั่งดูข่าวเช้าทางโทรทัศน์ต้องเงยหน้าขึ้นมอง จึงเห็นบุตรสาวยืนยิ้มร่าอยู่ตรงหน้า“น้องอายดูเป็นยังไงบ้างคะคุณพ่อคุณแม่”คนพูดกางแขนหมุนตัวหนึ่งรอบให้บิดามารดาได้เห็นตนในชุดนิสิตวันแรก รวิชาอยู่ในชุดกระโปรงอัดจีบรอบตัวยาวเสมอเข่า เสื้อนักศึกษาขนาดพอดีตัวไม่หลวมโคร่ง และไม่รัดรูปจนเกินไป สวมถุงเท้าสีขาวสำหรับใส่กับคัตชูสีขาวเพื่อบ่งบอกสถานะของการเป็นน้องใหม่ เป็นการแต่งกายที่ถูกระเบียบทุกอย่างสำหรับวันรายงานตัวการเข้าเป็นนิสิตใหม่ของมหาวิทยาลัยมีชื่ออันดับต้น ๆ ของประเทศ“ดูดีที่สุดเลยลูก”อาทิตย์มองบุตรสาวด้วยความภาคภูมิใจ รวิชาไม่เคยทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาให้พ่อกับแม่ต้องปวดหัวหรือหนักใจเลยสักครั้ง ตรงกันข้าม เจ้าตัวกลับนำแต่ความชื่นชมยินดีมาให้“แล้วนี่จะไปรถเมล์จริงหรือลูก แม่ว่าเอารถที่บ้านเราไปส่งก็ได้นี่นา ไปมหาวิทยาลัยวันแรกการเดินทางน่าจะยังไม่สะดวก” มารดาถามด้วยความเป็นห่วง แต่รวิชากลับส่ายหน้าหวือ“วันแรกอย่างนี้แหละค่ะดีแล้ว น้องอายจะได้ก
“เฮ้อ แย่เนอะ สมัยพวกเราเรียนมัธยมยังไม่เห็นมีแบบนี้เลย”ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้คุยอะไรกันต่อ เตชินทร์ก็เดินเข้ามาหา แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับรวิชาอย่างถือวิสาสะ เขาหันมาส่งยิ้มให้อารดาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปคุยกับรวิชา“แย่หน่อยนะครับ เจอใครไม่เจอดันไปเจอไอ้วิชร”ชายหนุ่มเปิดรอยยิ้มกว้างจนตายิบหยี ใบหน้าหล่อเหลาขาวใสสไตล์หนุ่มเกาหลีที่กำลังนิยมทำเอาคนมองอย่างอารดาตาพร่า เสียงทุ้มของเขายามเอื้อนเอ่ยฟังดูนุ่มนวลชวนหลงใหล แม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้คุยและยิ้มให้กับเธอ แต่หญิงสาวก็อดเผลอนั่งจ้องเขาไม่ได้“ขอบคุณพี่มาก ๆ เลยนะคะที่ช่วยไว้ พี่ชื่อ...”รวิชาพูดค้างไว้แค่นั้น เตชินทร์จึงแนะนำตัวเอง“เตชินทร์ครับ เรียกพี่ชินทร์เฉย ๆ ก็ได้ พี่อยู่ปีสามคณะเดียวกับน้องนั่นละ แต่ช่วงวันปฐมนิเทศพี่ติดธุระเลยไม่ได้มาร่วมงาน น้องอายเลยไม่เคยได้เจอหน้าพี่ แต่พี่เห็นน้องอายบ่อยเลยนะเพียงแต่ไม่กล้าเข้ามาทัก”เตชินทร์คลี่ยิ้มกว้างอีกครั้ง คราวนี้อารดาต้องแอบจิกเนื้อของตัวเอง เตือนสติให้เลิกมองเขา หัว
รวิชาเดินเข้ามหาวิทยาลัยเพียงลำพัง เมื่อคืนเธอได้แชตกับเพื่อนสนิททั้งสองคนเกี่ยวกับภาพข่าวที่ออกมา และปฏิกิริยาของคนที่เข้ามาโพสต์ อดแปลกใจไม่ได้ว่าบางคนนั้นไม่เคยรู้จักเธอด้วยซ้ำ แต่มาพูดต่อว่าเธอเสีย ๆ หาย ๆ ราวกับรู้จักกันมาเนิ่นนาน จึงลงความเห็นกันว่าเธอคงไม่ค่อยเป็นที่ปรารถนาของนักศึกษาผู้หญิงเท่าไร ไม่ว่าจะรุ่นเดียวกันหรือรุ่นพี่เธอเดาว่าอาจเป็นพราะการที่ตนเป็นจุดเด่นมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ตนเป็นจุดสนใจของเพศตรงข้าม รวมไปถึงการใช้กระเป๋าและนาฬิกาแบรนด์หรูมาเรียน รวิชาจึงพยายามลดความเป็นจุดเด่นของตัวเองลง โดยเริ่มปรับปรุงเกี่ยวกับเรื่องเครื่องประดับติดกายพวกนี้ก่อนวันนี้เธอสะพายกระเป๋าแฮนด์เมดใบละไม่กี่ร้อยที่ซื้อจากตลาดนัดสวนจตุจักรตั้งแต่สมัยมัธยมมาเรียน ใส่นาฬิกาเรือนเดิมที่เคยใส่ตอนเรียนมัธยมปลาย การที่ตัวเองเป็นเด็กใหม่แต่ถ้าทำตัวให้น่าหมั่นไส้แม้จะไม่ตั้งใจก็ตาม ก็อาจจะทำให้เธอใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยได้ไม่ราบรื่นนักเสียงกระหึ่มของรถสปอร์ตคันหรูที่ดังอยู่ด้านหลังไม่ได้ทำให้รวิชาสนใจจนต้องหันไปมอง หญิงสาวยังคงเดินไปเรื่อย ๆ
แต่ภีมพลกลับไม่ยอมให้เธอหลบหน้าไปทางไหน เขาเอานิ้วดันคางมนให้เชิดขึ้นแล้วก้มหน้าลงกระซิบ“งั้น...อาขอคำสุดท้ายนะ”ไม่ต้องรอให้เธออนุญาต เขาก็ยื่นหน้าเข้าไปละเลียดชิมอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาชิมไม่นานนัก เพราะเห็นใจสาวน้อยที่ขัดเขินจนสะท้านไปทั้งร่าง ก่อนจะผละออกแล้วกดจมูกลงไปที่แก้มแดง ๆ ของเธอเต็มฟอดพอเห็นเขาหยิบถ้วยบัวลอยขึ้นมาถือไว้ในมือ รวิชาได้ทีก็รีบเด้งตัวขึ้นจากตักแล้วเดินอ้อมไปนั่งฝั่งตรงข้ามทันที หญิงสาวเบนสายตาไปดูเวลาที่นาฬิกาบนโต๊ะทำงานของเขาแล้วพูดขึ้น“น้องอายไปก่อนนะคะ วันนี้ต้องเข้าโรงงานกับคุณพ่อคุณแม่ค่ะ”“ครับ อาก็คงนั่งทำงานที่นี่ ไม่ได้ไปไหน ค่ำ ๆ ก็ออกไปที่คลับเหมือนเดิม ถ้าน้องอายกลับมาจากโรงงานแล้วจะแวะมานั่งเล่นอยู่กับอาก็ได้นะ”ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ รวิชาพยักหน้ารับเร็ว ๆ ก่อนจะโบกมือลาแล้วเดินออกจากห้องด้วยหัวใจพองโตสุนิตาคลิกเมาส์เพื่อเลื่อนดูฟีดข่าวของหน้าเฟซบุ๊กแล้วหยุดค้างอยู่ที่ข้อความที่พาดพิงถึงเพื่อนสาวในกลุ่ม เพื่อนที่เธอไม่ค่อยอยากนับเ
เสียงของรวิชานิ่งงันไปเมื่อเห็นภาพของตัวเองเด่นหราอยู่ในหน้าเฟซบุ๊กในกรุ๊ปของนักศึกษาคณะบริหารที่ใช้ชื่อกลุ่มว่า “สาวใสคณะบริหาร” ซึ่งในกรุ๊ปนี้จะมีแต่เฉพาะนักศึกษาสถาบันนี้เท่านั้นที่จะเข้าเป็นสมาชิกได้ และรูปที่มีมือดีแอบถ่ายเอาไว้แถมแต่งภาพทำกรอบให้เสียสวยงามนั้นก็เป็นรูปของเธอกับภีมพลที่ไปเที่ยวด้วยกันเมื่อคืนนั่นเอง เธอจะไม่เดือดร้อนเลยถ้าหากใต้รูปนั้นจะไม่บรรยายไปในทางเสื่อมเสีย“น้องอาย ขวัญใจหนุ่ม ๆ ทั้งหลายไม่ใช่สาวใสอย่างที่ใคร ๆ คิดเสียแล้วที่แท้ก็เด็กเสี่ยนี่เอง ไม่รู้ว่าขายตัวด้วยหรือเปล่า”“โห...แรงอ่ะ ใครโพสต์เนี่ย”รวิชาหน้างอง้ำ ยิ่งได้อ่านข้อความด้านล่างที่มีคนมาคอมเมนต์ต่อ ๆ กันก็ยิ่งรู้สึกแย่ บางคนยังไม่เคยพบปะพูดคุยกับเธอด้วยซ้ำ แต่กลับกล้าวิจารณ์เธอไปในเรื่องที่ไม่รู้ว่าไปขุดมาจากไหน“เดี๋ยวฉันสืบให้ เครือข่ายฉันพอมี แต่ฉันว่าก็คงเป็นอีพวกที่ไม่ค่อยชอบหน้าแกนั่นแหละ จะมีใคร ว่าแต่แกเถอะจะแก้ข่าวยังไงยะ จะบอกคู่หมั้นหรือเปล่าเรื่องนี้น่ะ” คิดแล้วก็อดห่วงเพื่อนสาวไม่ได้ เพราะถ้ามีคนเชื่อข
หลังจากวางสาย เขาก็เดินออกจากฮอลล์อีกประตูแล้วอ้อมจากด้านหน้าที่มีการตรวจบัตร เดินผ่านเลยไปยังที่จอดรถสำหรับพนักงานแล้วเข้าประตูหลังเพื่อขึ้นไปยังออฟฟิศด้านบน พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นพนักงานตรวจบัตรนั่งรออยู่ในห้องก่อนแล้ว“อ้าว มาแล้วหรือ พวกนายมานี่สิฉันจะให้ดูอะไร”ภีมพลเดินนำไปที่กระจกบานใหญ่ซึ่งสามารถมองลงไปเห็นฮอลล์ด้านล่างได้ทั้งหมด แต่คนข้างล่างไม่สามารถมองขึ้นมาเห็นคนในห้องนี้ได้ จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังโต๊ะของสุนิตา“พวกนายได้ตรวจบัตรของลูกค้าโต๊ะนั้นหรือเปล่า” พนักงานหนุ่มสองคนนั้นมองตามนิ้วมือของเขาแล้วพยักหน้า“ตรวจครับ พวกเราตรวจทุกคน ไม่มีใครที่เราไม่ได้ตรวจแล้วจะปล่อยให้เข้าไปข้างในได้แน่นอนครับคุณภีม”“นายแน่ใจนะ กลุ่มนั้นเขาเลยยี่สิบกันแล้วหรือ” ภีมพลยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมสุนิตาถึงเข้ามาที่นี่ได้ทั้งที่ด้านหน้าก็มีการตรวจบัตรอย่างเข้มงวด หนึ่งในพนักงานหนุ่มจึงพูดขึ้น“เลยแล้วครับผมจำได้ เพราะถ้าใครที่อายุไม่ถึงยี่สิบ เราไม่ให้เข้าอยู่แล้ว ยิ่งโต๊ะนั้นผมยิ่งจำได้ เพราะน้องชุด
พชร หุ้นส่วนและเพื่อนสนิทของภีมพลเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาแล้วต้องส่ายหน้ากับภาพที่เห็นภีมพลนั่งหลังตรงอยู่ตรงหน้าคอมพิวเตอร์ สีหน้าจริงจังราวกับสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นเป็นโครงการสำคัญระดับชาติ แค่นั้นเขาก็รู้ทันทีว่าเพื่อนรักกำลังทำอะไรอยู่“สนุกนักหรือวะ เห็นพักหลังมานี่แกติดมันงอมแงมเลยนะ ว่างเป็นไม่ได้ฉันเห็นแกต้องเล่นตลอด”พชรถามพลางเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเบียร์ออกมาหนึ่งกระป๋อง แล้วเดินมานั่งที่โซฟาตัวยาว ภีมพลไม่ตอบคำถามเพราะสายตาเอาแต่คอยจ้องหน้าจอสี่เหลี่ยมแทบไม่กะพริบ มือสองข้างก็ถือจอยสำหรับควบคุมเกมไว้แน่น“ได้ข่าวว่าแกโดนวิคกี้รุกอีกแล้วหรือ”พชรยังคงถามต่อแบบยิ้ม ๆ เขาเองก็รู้มาเหมือนกันว่านักร้องสาวอะคูสติกพยายามจะเข้าหาภีมพล ทีแรกก็ไม่ค่อยอยากเชื่อ แต่พอช่อมาลียืนยันหนักแน่นด้วยอีกคน เขาจึงลองจับตามอง ถึงได้เห็นว่าวิธีการอ่อยเหยื่อของเจ้าหล่อนนั้นใช้ไม่ได้ผลกับภีมพลแน่นอน“แกก็จัดให้เขาสักทีสองที เดี๋ยวก็คงเลิกไปเองแหละมั้ง”พชรยังคงแกล้งเย้าแหย่เพื่อน เพราะรู้ดีว่าอย่า
“หายใจไม่ทันหรือคะน้องอาย” ถึงเขาจะผละออกมา แต่ก็ใช่ว่าจะห่างไปไหน ยังคงประพรมจูบทั่วปากอิ่มที่เผยอเล็กน้อยราวกับเชิญชวน“ค่ะ” รวิชาตอบเสียงแผ่วไม่กล้ามองสบสายตาคมกล้าเป็นประกายแม้จะอยู่ในที่มืดสลัว หัวใจดวงเล็กสั่นระรัว ทั้งเขินทั้งอายแต่ก็อุ่นซ่านหวามไหวในคราวเดียวกัน“โกรธอาหรือเปล่าคะที่อาทำอย่างนี้” ถามแล้วก็เหมือนไม่สนใจฟังคำตอบ ริมฝีปากร้อนร้ายยังคงเคลื่อนไหวแผ่วเบาไปตามผิวแก้มทั้งสองข้างระเรื่อยไปจนถึงปลายคางก่อนจะจบลงที่ปากอิ่มหญิงสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ รู้สึกเนื้อตัวร้อนรุ่มราวกับจับไข้ ยิ่งได้ยินเขาพูด คะ ขา กับเธอแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าหัวใจพองโตคับอก เพราะเขาน่ารักอย่างนี้ไงเล่า เธอถึงหวงเขา ไม่อยากให้ผู้หญิงคนไหนได้มาอยู่ใกล้ หรือมาทำท่าทางสนอกสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุนิตา เพื่อนในกลุ่มเธอเอง“แล้วถ้าอาจะขอจูบน้องอายอย่างนี้ทุกครั้งก่อนเข้าบ้านเป็นรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ น้องอายคงไม่ว่าอาใช่ไหมคะ”ชายหนุ่มใช้หลังนิ้วไล้เบา ๆ ที่แก้มสุกปลั่งของหญิงสาวระหว่างรอฟังคำตอบ ซึ่งสาวน้อยก็ส่ายหน้าอีกเช่นเค
“เอ่อ...คนเยอะมากเลยค่ะอาภีม น้องอายไม่ขึ้นชิงช้าแล้วก็ได้นะคะ เราเดินเล่นกันอย่างเดียวก็ได้”รวิชาช้อนสายตาขึ้นมองเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ นึกว่าเขาจะพยักหน้าเห็นด้วยกับที่เธอบอก กลับกลายเป็นว่าเขาเดินโอบบ่ารั้งให้เธอเข้าไปต่อแถวซื้อตั๋วขึ้นชิงช้าสวรรค์ด้วยกัน“ไม่ขึ้นได้ยังไงกันครับอุตส่าห์มาถึงนี่แล้วทั้งที ไม่เป็นไรหรอกน่า...คนอื่นยังรอกันได้เราก็ต้องรอได้สิครับ”ชายหนุ่มยังคงโอบเธอไว้อย่างนั้นกระทั่งถึงตอนที่ต้องหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาจ่ายเงินค่าตั๋ว มือของเขาจึงได้เลื่อนลงไปกุมมือนุ่มของเธอแทนทุกอิริยาบถของคนทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาของใครคนหนึ่งโดยไม่รู้ตัว และคนคนนั้นก็ตามเก็บภาพของทั้งสองคนตั้งแต่ลานจอดเลยก็ว่าได้“โธ่เอ๊ย! นังเด็กปีหนึ่งคนนี้นี่ไอ้เราก็นึกว่าเป็นลูกคุณหนูไฮโซมาจากไหน ที่แท้ก็เป็นไซด์ไลน์มีเสี่ยเลี้ยงนี่เอง”มุมปากของคนพูดกระตุกยิ้มเหยียด ก่อนจะหันไปซุบซิบกับเพื่อนที่มาด้วยกัน พลางส่งต่อรูปที่ถ่ายมาได้ให้เพื่อนในกลุ่มเพื่อช่วยกันกระจายข่าว!ภีมพลรู้สึกผิดหวังราวกับ
“ใครจะมองยังไงก็เรื่องของเขา เราไปห้ามความคิดคนอื่นไม่ได้หรอก คนคิดดีกับเราก็มีคนคิดร้ายกับเราก็เยอะ แค่เรารู้ตัวเองก็พอแล้วว่ากำลังทำอะไรอยู่ คนอื่นจะคิดยังไงก็ช่างเขาอย่าไปใส่ใจเลยครับ” ชายหนุ่มบีบมือเธอเบา ๆ“หรือว่าเราอาย” ภีมพลหันหน้าไปถามก่อนจะหันไปมองถนนเบื้องหน้าต่อ“อายอะไรคะ อาภีมหมายถึงอะไร”“เราอายเพื่อนหรือเปล่าที่อาไปรับที่มหาวิทยาลัยทุกวัน หรือว่าอายเพื่อนไหมที่ต้องบอกว่าอาเป็นคู่หมั้น น้องอายบอกอาได้นะ อาอยากให้เราเปิดใจคุยกันทุกเรื่องให้เข้าใจ”ภีมพลกระแอมเล็กน้อย นึกกลัวคำตอบอยู่เหมือนกัน แต่เขาก็อยากรู้ว่าเธอคิดอย่างไรกับการที่ต้องมีคู่หมั้นอายุห่างกันถึงสิบสี่ปี เด็กสาวอย่างเธอจะนึกอายเพื่อนบ้างหรือเปล่าเวลาที่ต้องแนะนำใครต่อใครว่าเขาคือคู่หมั้น“เปล่าค่ะ ไม่ได้อาย”รวิชาตอบเขาสั้น ๆ นึกอยากถามกลับไปบ้างว่าเขาล่ะอายเพื่อนบ้างหรือเปล่าที่ต้องมีคู่หมั้นเป็นเด็กน้อยปีหนึ่งอย่างเธอ ในขณะที่รอบตัวเขามีแต่สาวสวยเซ็กซี่วนเวียนมาทอดไมตรีให้ตลอด หญิงสาวชั่งใจอยู่สักพักก่อ