เช้าวันถัดมา ภีมพลเดินเข้ามาในบ้านของว่าที่คู่หมั้นอย่างสนิทชิดเชื้อราวกับเป็นบ้านของตนเอง ชายหนุ่มนั่งรอรวิชาที่ห้องรับแขก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความไปหาสาวน้อยที่แต่งตัวอยู่ข้างบน เพื่อบอกว่าตนมารออยู่ข้างล่างแล้ว พลางเอ่ยขอบคุณมาลัยที่เอาน้ำมาเสิร์ฟให้
รวิชากึ่งวิ่งกึ่งเดินลงบันไดมาหลังจากที่เขาส่งข้อความไปบอกไม่นานนัก ความจริงเธอแต่งตัวเสร็จสักพักใหญ่แล้ว แต่ที่ยังไม่ลงมาเพราะไม่อยากให้เขาคิดว่าเธอตื่นเต้นแค่ไหนกับการต้องนั่งรถไปกับเขาสองต่อสอง
ภีมพลลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อรวิชาเดินลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย ตาคมกวาดมองคนตรงหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความพึงพอใจ วันนี้สาวน้อยของเขาช่างน่ารักเหลือเกิน พักนี้เขารู้สึกว่าไม่ว่ารวิชาจะใส่ชุดอะไรก็ดูดี น่ารักสมวัยไปเสียทุกอย่าง จนกลายเป็นเขาเสียเองที่ต้องพยายามแต่งตัวให้เข้ากับวัยของเธอเพื่อไม่ให้ดูแก่จนเกินไป
“น้องอายจะกินมื้อเช้าก่อนไหม หิวหรือเปล่า หรือว่ากินแล้ว” เขาถามเสียงอ่อนเพราะเห็นว่ายังเช้าอยู่ คิดว่าเธอคงยังไม่ได้กินมื้อเช้าแน่นอน
รวิชามองหน้าเขาพลางเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะถามกลับ
“อาภีมหิวหรือคะ ถ้าหิวเรากินกันก่อนก็ได้ค่ะ ไม่รู้ว่าวันนี้พี่มาลัยทำอะไรให้กินบ้าง” พูดจบเธอก็เดินนำไปยังห้องครัว ทิ้งให้คนเดินตามได้แต่ยิ้ม
“วันนี้มีข้าวต้มกุ้งค่ะ เดี๋ยวน้องอายตักให้นะคะ อาภีมนั่งเลย”
หญิงสาวกุลีกุจอหยิบชามจะตักให้เขา ชายหนุ่มจึงเดินไปที่ตู้เย็นเพื่อหยิบขวดน้ำออกมาแล้วมองหาแก้วที่จะรินน้ำใส่
“แก้วน้ำเก็บไว้ที่ไหนหรือน้องอาย” ภีมพลหันไปถามคนที่กำลังใช้ทัพพีตักข้าวต้มใส่ชามอย่างพิถีพิถัน
“อยู่ในตู้ตรงหน้าอาภีมนั่นแหละค่ะ ข้างบนน่ะ เปิดดูก็เห็นแล้ว”
รวิชาบุ้ยหน้าไปทางตู้ที่ว่า ภีมพลมองตามสายตาของหญิงสาวจึงเปิดตู้ตรงหน้าออกดู เห็นแก้วหลายใบวางเรียงกันอยู่ในนั้นอย่างเป็นระเบียบ เขาหยิบแก้วออกมาสองใบแล้วเดินมาที่โต๊ะ เป็นเวลาเดียวกับที่รวิชาวางชามข้าวต้มไว้ตรงหน้าพอดี
ข้าวต้มกุ้งส่งกลิ่นหอมกรุ่นโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวและผักชีดูน่ารับประทาน รวิชาหันไปหยิบขวดพริกไทย น้ำส้มสายชู ซีอิ๊วขาวและน้ำปลาเพื่อเป็นตัวเลือกให้เขาสำหรับการปรุง ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้
“อาภีมจะนั่งกินในนี้ หรือว่าอยากไปนั่งที่ห้องอาหารด้านนอกคะ”
นั่งในครัวเธอเกรงว่าเขาจะร้อนอบอ้าว ไหนจะกลิ่นอาหารที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศยังระบายออกไปไม่หมดนั่นอีก
“ที่ไหนก็ได้ถ้ามีน้องอายนั่งอยู่กับอาด้วย ให้กินที่โรงรถก็ยังได้เลย”
พูดจบก็เหลือบตาขึ้นมองคนฟังครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุบตาลงมองชามข้าวต้มตามเดิม รู้ดีว่าเธอคงจะเขินเต็มที่แล้ว
รวิชาเม้มปากกลั้นยิ้ม เธอนั่งกินข้าวต้มในส่วนของตนเองไปเงียบ ๆ ปล่อยให้คนช่างหยอดลอบมองใบหน้าของตนเป็นระยะ แต่เธอต้องแกล้งทำเป็นไม่สนใจ ทั้งที่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นกระหน่ำจนแทบไม่รู้รสชาติของอาหาร
“เติมข้าวต้มอีกไหมคะอาภีม ยังมีอีกเยอะนะในหม้อ”
รวิชาเห็นข้าวต้มในชามของเขาเหลืออยู่เล็กน้อยจึงเอ่ยปากถาม ภีมพลส่ายหน้าแทนคำตอบ ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มหมดแก้ว
“มื้อเช้าปกติแล้วอาไม่ค่อยกินหรอก ส่วนใหญ่ดื่มแต่กาแฟ”
“จริงสิ แล้วอาภีมไม่ต้องทำงานหรือคะ วันนี้ไม่ต้องพาน้องอายไปดูโรงงานก็ได้นะ น้องอายไม่อยากรบกวนอาภีม”
หญิงสาวเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาเองก็มีงานต้องทำ เธอเกรงใจเขามากที่ต้องให้ชายหนุ่มพาไปดูโรงงานผลิตสินค้าของบิดามารดาที่ชานเมือง
“วันนี้วันเสาร์นะอย่าลืมสิครับ งานออฟฟิศของอาไม่ทำเสาร์อาทิตย์ แต่ถ้าเป็นที่คลับทำทุกวัน ยกเว้นวันพระใหญ่ คลับจะปิด”
ภีมพลนั่งเท้าแขนไว้บนโต๊ะ สายตาพราวระยับจับจัองรวิชาไม่วางตาจนคนถูกมองเริ่มทำหน้าไม่ถูก ก่อนเขาจะทิ้งท้ายประโยคที่ทำให้สาวน้อยรับรู้ได้ว่าใบหน้าของตนคงจะเห่อร้อนจนแดงก่ำประจานเจ้าของไปแล้ว
“เพราะฉะนั้นวันนี้กับวันพรุ่งนี้ อายอมเป็นทาสรับใช้น้องอาย ไม่ว่าน้องอายอยากให้ทำอะไร อายอมทุกอย่าง แล้วแต่เจ้าหญิงของอาจะบัญชา”
เขาสาบานได้ว่าประโยคพวกนี้ไม่เคยใช้พูดกับใคร นอกจากสาวน้อยตรงหน้านี้เท่านั้น และที่สำคัญคนอื่นก็จะไม่มีวันได้ยินเป็นอันขาดโดยเฉพาะพชร มิเช่นนั้นแล้วชีวิตเขาคงจะหาความสงบสุขไม่ได้เป็นแน่ เพราะคงถูกตามล้อตามแซวไม่เลิกราจนกว่าจะมีเรื่องใหม่มาให้พูดถึง
“อาไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ น้องอายกินเสร็จก็ไปตามอาแล้วกันนะครับ อาจะนั่งดูข่าวรอ”
ชายหนุ่มลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องครัวไป ทิ้งให้รวิชานั่งหน้าร้อนอยู่เพียงลำพังบนโต๊ะกินข้าว หญิงสาวพึมพำออกมาเบา ๆ ทั้งที่ใบหน้าแต้มรอยยิ้มอย่างห้ามไม่ได้
“เพิ่งรู้ว่าผีดิบเขาเสพน้ำตาลเป็นอาหารด้วย”
“อาภีมรู้จักทางไปโรงงานด้วยหรือคะ”
รวิชาอดถามไม่ได้ เพราะตั้งแต่ขับรถออกจากบ้านมา ภีมพลไม่ถามเส้นทางไปโรงงานกับเธอสักคำ กลับเอาแต่ชวนคุยเรื่องอื่น
“อาเคยบอกแล้วไงไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับน้องอาย อารู้ทุกอย่างนั่นแหละ อาเตรียมพร้อมเสมอ” เขาหันมาพูดยิ้ม ๆ พลางนึกไปถึงเรื่องที่คุยกับพชรเมื่อวานเรื่องการเรียกขานของรวิชา คิดไปแล้วก็น่าจะดีไม่น้อยหากว่าเธอจะเปลี่ยนคำเรียกขานเสียใหม่ มีอย่างที่ไหน เรียกคู่หมั้นตนเองว่าคุณอา
“จริงสิ น้องอายจะว่ายังไงถ้าอาคิดว่าน้องอายน่าจะเปลี่ยนคำเรียกชื่ออาเสียใหม่น่ะ เอ่อ...คืออาหมายถึง...มันฟังแปลก ๆ นะถ้าคนที่กำลังจะหมั้นมาเรียกกันเหมือนอากับหลาน น้องอายว่าไหม”
ภีมพลลอบถอนหายใจเมื่อพูดจบ ในใจก็ลุ้นรอฟังคำตอบจากสาวน้อยข้างกาย ทว่า...
“แต่น้องอายก็เรียกอาภีมว่าอามาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่คะ อาภีมเองก็แทนตัวเองว่าอามาตั้งแต่แรก ถ้าจะให้เปลี่ยนไปเรียกอย่างอื่นน้องอายคงไม่ชินหรอกค่ะ”
เออว่ะ...เขาก็ลืมนึกไป!
ในเมื่อคนที่แทนตัวเองว่าอามาตั้งแต่ต้นก็คือเขา เวลาพูดกับเธอก็เรียกตนเองว่า “อา” มาตลอด ไม่แปลกหากรวิชาจะใช้คำเรียกขานนั้นตามเขาซึ่งเป็นคนกำหนดมันขึ้นมาเอง
คิดแล้วก็อยากย้อนเวลากลับไปเสียจริง เขาจะแทนตนเองว่า “พี่” จะได้ฟังเสียงหวาน ๆ ของเธอเรียกเขาว่า “พี่ภีม” เสียให้ชื่นใจ ไม่ใช่เรียก “อาภีม” ที่ฟังแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นป๋าเลี้ยงต้อยเด็กอย่างไรก็ไม่รู้
“นั่นสินะ น้องอายก็เรียกแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ก็เรียกต่อไปไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” ภีมพลยิ้มแกน ๆ ให้หญิงสาว แล้วลอบระบายลมหายใจอย่างปลงตก
เอาเถอะ...ไว้ให้สนิทกันกว่านี้หน่อย เขาน่าจะให้เธอเปลี่ยนคำเรียกเขาเสียใหม่ได้ไม่ยาก
ภีมพลเลี้ยวรถเข้าไปในลานจอดรถของโรงงานขนาดย่อมหลังจากแจ้งความประสงค์ และแลกบัตรกับรปภ. ที่ป้อมหน้าประตูทางเข้า ชายหนุ่มดับเครื่องแล้วหันมองรวิชาที่กำลังปลดเข็มขัดนิรภัย จากนั้นจึงเปิดประตูก้าวลงจากรถมายืนบนพื้น เขายกมือขึ้นป้องตรงหน้าผากเพื่อบังแดดขณะมองไปยังอาคารโรงงานสีเทาชั้นเดียวเบื้องหน้า
“ตรงนั้นเป็นโรงงานของฝ่ายผลิตค่ะ ส่วนอาคารนี้เป็นสำนักงาน ปกติเวลาน้องอายมาก็มักจะอยู่แต่ตรงนี้ ไม่ได้เข้าไปในโรงงานเพราะกลัวจะไปเกะกะเขา”
รวิชาชี้ไปยังอาคารสองชั้นสีขาวที่อยู่ห่างออกไปประมาณห้าสิบเมตร ก่อนออกเดินนำเขาไปยังอาคารที่อยู่อีกฝั่ง
“เมื่อวานน้องอายโทร. มาบอกพี่หวานแล้วค่ะว่าวันนี้จะขอเข้ามาดูงานที่นี่ อ้าวนั่นไงคะ มาพอดีเลย”
รวิชายิ้มกว้างให้หญิงสาวอายุประมาณสามสิบพร้อมกับกระพุ่มมือไหว้
“สวัสดีค่ะพี่หวาน อาภีมคะพี่หวานเป็นผู้จัดการโรงงานที่นี่ค่ะ พี่หวานคะนี่คุณภีมพล เอ่อ...”
รวิชาอ้ำอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อไม่รู้ว่าจะแนะนำเขาในฐานะอะไร ซึ่งชายหนุ่มก็เข้าใจดีจึงแนะนำเองเสียเลย เพราะไม่อยากให้สาวน้อยต้องลำบากใจหากต้องแนะนำใครต่อใครว่าเขาคือว่าที่คู่หมั้น
“ผมภีมพลครับ เป็นรุ่นน้องของคุณอาทิตย์ บ้านเราอยู่ใกล้กัน ผมเห็นว่าคุณอาทิตย์ไม่ว่างพาน้องอายมา ผมเลยอาสาพามาเอง”
ภีมพลรับไหว้ผู้จัดการโรงงาน ก่อนจะพากันเดินตามเข้าไปด้านใน รวิชาหันมองหน้าเขาแล้วยิ้มให้อย่างขอบคุณ
ผู้จัดการสาวพาทั้งคู่เข้าไปชมในโรงหม้อกลั่นและสกัดก่อนเป็นอันดับแรกซึ่งเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด ในนี้มีหม้อกลั่นทั้งหมดยี่สิบห้าหม้อ แต่ละหม้อนั้นจะสกัดพืชต่างชนิดกัน พืชที่ใช้หม้อกลั่นมากที่สุดคือไม้กฤษณา ใช้ทั้งหมดสิบหม้อด้วยกัน อาทิตย์เป็นคนสั่งเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพราะส่วนผสมหลักในแต่ละสูตรของน้ำมันหอมระเหย อันเป็นสูตรลับประจำตระกูลของรวิวรรณ คือไม้กฤษณานั่นเอง
รวิชาหันไปชวนหวาน ผู้จัดการสาวที่พาชมโรงงานคุยระหว่างที่เดินออกจากโรงหม้อกลั่นไปยังห้องสูตรผสม
“ช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่คงทำงานหนักน่าดูเลยนะคะ น้องอายเห็นท่านไม่ค่อยกลับบ้านเลย นี่ก็เห็นว่าต้องขึ้นเหนือไปดูแปลงเพาะปลูกของเกษตรกรอีก”“ใช่ค่ะ ตอนนี้บริษัทเราประมูลได้ออเดอร์ล็อตใหญ่จากดูไบ พวกผู้บริหารตื่นเต้นกันใหญ่เลยค่ะ วันก่อนเพิ่งประชุมกันว่าต้องมีการลงทุนเพิ่ม รวมถึงการจ้างพนักงานเพิ่มด้วย เพราะที่นี่ก็มีพนักงานแค่สามสิบกว่าคน ถ้าต้องทำล็อตของดูไบ คนแค่นี้ไม่พอแน่ ๆ”หวานอธิบายไปยิ้มไป เพราะการมีออเดอร์ล็อตใหญ่เข้ามา รายได้ของบริษัทก็ต้องเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าพนักงานอย่างพวกเธอก็ต้องหวังผลไปถึงโบนัสปลายปีด้วยถึงแม้ว่าปีที่ผ่านมาบริษัทจะประสบสภาวะขาดทุน เพราะข่าวลือ และการใส่ร้ายป้ายสีเรื่องวัตถุดิบที่ไม่ได้คุณภาพ รวมถึงโดนตัดราคาจากแบรนด์น้องใหม่ แต่ประธานบริหารก็ไม่ยอมปลดพนักงานออกแม้แต่คนเดียว ทั้งยังจ่ายโบนัสให้กับทุกคนตอนสิ้นปีตามปกติอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะแค่เดือนเดียวก็ตาม นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพนักงานทุกคนจึงยอมทุ่มเทแรงกายแรงใจและสมอง รวมถึงความจงรักภักดีกับองค์กรอย่างถึงที่สุด“สามสิบกว่าคน เดี๋ยวนี้บริษัทเร
รวิวรรณมองบุตรสาวที่หมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ด้วยแววตารักใคร่ มะรืนนี้เป็นวันหมั้นหมายแล้ว ดูท่าทางเจ้าตัวจะตื่นเต้นมาก เพราะทันทีที่เธอกลับมาถึงบ้าน บุตรสาวสุดที่รักก็ดึงมือชวนไปดูชุดที่ภีมพลซื้อให้ อีกทั้งยังทดลองทำผมหลายทรงแล้วถามความเห็นมารดาอย่างตนด้วยว่าทรงไหนสวยที่สุด“คุณแม่ว่าน้องอายทำผมเป็นลอนดีไหมคะ จะได้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาอีกนิด ถ่ายรูปออกมาจะได้สวยด้วย” เสียงเจื้อยแจ้วของรวิชาเรียกรอยยิ้มของคนที่กำลังเดินเข้ามาใหม่ได้ไม่น้อย“ลูกสาวของพ่อ ทำทรงไหนก็สวยทั้งนั้นแหละ”อาทิตย์นั่งลงข้างภรรยาพร้อมกับหันไปยิ้มให้กันอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน ใครกันหนอที่หน้าหงิกหน้างอไม่อยากหมั้นกับคนแก่ แล้วดูตอนนี้สิ ตื่นเต้นจนแทบนั่งไม่ติด“แต่น้องอายก็อยากได้ทรงที่สวยที่สุดนี่นา เอางี้ดีกว่า ในสายตาของคุณพ่อ คุณพ่อว่าทรงไหนดีคะ ระหว่างมัดรวบไว้สูง ๆ หรือม้วนเป็นลอน หรือว่าปล่อยยาวตรงลงมาธรรมดา ๆ ไม่ต้องทำอะไรกับมัน”อาทิตย์ทำทีเป็นครุ่นคิดทั้งที่ในใจอยากจะหัวเราะออกมาเต็มที่ แต่ไม่อยากให้บุตรสาวงอน
“ผมขอให้คำสัตย์กับพี่ว่าตลอดระยะเวลาที่น้องอายยังเป็นนักศึกษา ผมไม่มีวันทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควรกับน้องอายเป็นอันขาด พี่เชื่อใจผมได้ และผมก็ขอยืนยันด้วยว่าตลอดเวลาที่ผมอยู่ในฐานะคู่หมั้นของน้องอาย จะไม่มีข่าวเสียหายเรื่องผู้หญิงมาให้ระแคะระคายหูพี่แน่นอน ผมขอรับปากพี่ไว้ตรงนี้เลย”ภีมพลกล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สิ่งที่เขาพูดออกไปนั้นเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว“ขอบคุณมากครับคุณภีม”อาทิตย์คลี่ยิ้มพลางลุกขึ้นแล้วยื่นมือออกไปข้างหน้า ภีมพลจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นมือออกไปบีบกระชับแน่นหนักเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของตนเองพิธีหมั้นเป็นไปอย่างเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองมากนัก แขกที่เชิญมามีแค่เพื่อนสนิท โดยทางฝั่งภีมพลมีพชรควงคู่มากับช่อมาลี และอีกคนคือเธียรทัต เพื่อนสนิทที่อยู่กลุ่มเดียวกัน ทางฝั่งรวิชามีแค่พรรณรายกับอารดา เพื่อนร่วมโรงเรียนมาร่วมงานด้วยเท่านั้นเพราะรวิชากำชับไม่ให้บอกใครทางด้านผู้ใหญ่มีแค่บิดามารดาของทั้งสองฝ่าย นอกเหนือจากนั้นก็มีลูกน้องของภีมพลอีกสี่คนที่มาร่วมงานซ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เราก็แค่สนุกกันเกินไปหน่อย อย่างว่าแหละนะตอนเข้าด้ายเข้าเข็มใครจะมามัวนั่งสนใจกระเป๋า”ปากกล้าแต่ขาสั่น ประโยคนี้เหมาะกับกลวิชรในตอนนี้ที่สุด เพราะเพียงเห็นประกายตาวาวโรจน์ของคนตรงหน้าก็ทำเอารู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาทันทีภีมพลแค่นยิ้มมุมปาก เขาก้าวไปยืนจนแทบชิดกับตัวของกลวิชรจนอีกฝ่ายต้องผงะถอย“แต่เท่าที่ฉันเห็นมันไม่ใช่อย่างนั้นนะ ทีหลังจะพูดจะจาหัดระวังปากไว้หน่อย ถ้ายังอยากมีฟันไว้เคี้ยวข้าว ครั้งนี้ฉันจะถือเสียว่าโดนหมามันเลียปาก แต่ถ้าครั้งหน้ายังเกรียนไม่เลิกก็อย่าหาว่าฉันรังแกเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแกก็แล้วกัน ฉันเตือนแกแล้วนะ” ภีมพลพูดเสียงลอดไรฟัน แสยะยิ้มใส่กลวิชรอย่างอาฆาตมาดร้ายก่อนจะออกคำสั่ง“ไสหัวไปได้แล้ว ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”กลวิชรผละไปขึ้นรถที่จอดไว้หน้าบ้านอย่างฮึดฮัดขัดใจ สตาร์ตรถได้ก็ขับกระชากออกไปอย่างเร็วจนล้อบดถนนเสียงดังสนั่น ภีมพลมองตามหลังท้ายรถคันนั้นอย่างหมายมาดแล้วหันไปพูดกับลูกน้องที่ยืนอยู่แถวนั้น“เป็นต่อ ฉันเปลี่ยนใจแล้ว” เขาพ
ภีมพลพารวิชาเดินเข้าทางประตูสำหรับพนักงาน เพื่อจะพาหญิงสาวขึ้นไปยังชั้นสองซึ่งเป็นส่วนของออฟฟิศ ทุกครั้งที่เจอพนักงาน ชายหนุ่มจะแนะนำรวิชาให้ทุกคนรู้จักในฐานะคู่หมั้นโดยไม่ปิดบัง สร้างความแปลกใจให้กับทุกคนที่จู่ ๆ เจ้านายหนุ่มหล่อทั้งสองคนก็ประกาศตัวหมั้นหมายตามกันไปติด ๆมีเพียงวิคกี้ที่ยืนสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อระงับอารมณ์กราดเกรี้ยวและมองหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของภีมพลด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เพราะไม่ว่ามองอย่างไรก็แค่เด็กเมื่อวานซืน แต่ทำไมถึงคว้าเอาชายหนุ่มที่เธอหมายปองไปครอบครองได้ อดคิดไม่ได้ว่าเด็กสาวคนนี้คงผ่านเรื่องอย่างว่ามาอย่างโชกโชนกระมังถึงได้จับเจ้าพ่อซุสได้อยู่หมัด“อย่าเผลอเชียวนะนังเด็กน้อย” วิคกี้เหยียดยิ้มมุมปากเมื่อคิดว่าเด็กสาวอย่างรวิชาคงจะไม่คณามือของตนสักเท่าไร แค่เด็กสาวใจแตกคนหนึ่ง ถ้าเธอเป่าหูเสียหน่อยก็คงจับสองคนนี้แยกกันได้ไม่ยาก“วันนี้ลูกค้าไม่ค่อยเยอะเท่าไรเพราะไม่ใช่คืนสุดสัปดาห์ อาสั่งให้เด็กเตรียมโต๊ะตรงโซนวีไอพีให้เรากับเพื่อนแล้วนะ แล้วเพื่อนเราจะมาถึงกี่ทุ่มล่ะ”ภีมพลชวนคุยร
ทั้งสามคนนั่งเพลิดเพลินกับความสนุกสนานที่รายล้อมรอบตัว รวิชาได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ที่พรรณรายพามา เขาชื่อสกลธี และด้วยความที่สกลธีเป็นเกย์ควีนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศ เธอจึงสามารถสนิทกับเขาได้อย่างรวดเร็ว“เออใช่ ฉันก็ลืมเล่าให้แกฟังเลยยายอาย ที่จริงวันนี้น่ะฉันชวนพี่ทิวมาด้วยนะ แต่เห็นพี่ทิวบอกว่าต้องไปเยี่ยมพี่วิชรที่โรงพยาบาล แกรู้ไหมว่าพี่วิชรเป็นอะไร”พรรณรายพูดออกท่าออกทางอย่างตื่นเต้น มองสีหน้าของเพื่อนสนิทที่กำลังมองมาตาแป๋วรอให้ตนเป็นคนเฉลยคำตอบ“พี่วิชรโดนซ้อมอาการหนักมาก ถึงกับต้องหามส่งโรงพยาบาลเลยนะแก ฉันว่างานนี้อาภีมของแกมีเอี่ยวแหง ๆ”พรรณรายยักคิ้วให้รวิชาเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ตัวเองคาดเดานั้นถูกต้องแน่นอน เพราะเพิ่งมีเรื่องกันไปเมื่อตอนบ่าย“ทำไมแกมั่นใจขนาดนั้น อาจจะไม่ใช่อาภีมก็ได้ แกก็รู้ว่าพี่วิชรน่ะกร่างไปทั่วนั่นแหละ” แม้จะคิดเหมือนเพื่อน ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะแก้ต่างให้คู่หมั้น“แหม วันนี้พี่วิชรมีเรื่องกับใครล่ะจ๊ะถ้าไม่ใช่คู่หมั้นสุดหล่อของเธอน่ะ”&
“เตือน? เตือนเรื่องอะไรคะ” รวิชาขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย ในใจเริ่มคิดไปถึงข่าวลือหนาหูของคู่หมั้นหมาด ๆ ที่เธอได้ยินมาจากพรรณรายถึงเรื่องความเจ้าชู้ของเขา และไหนจะภาพบาดตาเมื่อครู่นี้อีก“ก็คุณภีมน่ะสิคะ เขาค่อนข้างขึ้นชื่อในเรื่องผู้หญิง ยิ่งทำงานกลางคืนที่ต้องใกล้ชิดกับพวกสาว ๆ สวย ๆ ก็ยิ่ง...เอ่อ...อย่าว่าแต่พวกลูกค้าสาว ๆ เลยค่ะ ขนาดนักร้องหรือเด็กเสิร์ฟหน้าตาดีหน่อยส่วนใหญ่ก็ต้องเคยผ่านคุณภีมมาแล้วทั้งนั้น ขนาดพี่เองก็ยัง...เอ่อ...พี่ไม่รู้จะอธิบายยังไงค่ะ แต่ที่พี่เอามาบอกก็เพราะว่าอยากให้น้องทำใจรับเรื่องนี้ของเขาให้ได้นะคะ ไม่งั้นคงคบกันไม่ยืด พี่เห็นน้องยังเด็กมาก กลัวจะรับไม่ได้ก็เลยต้องมาบอกเอาไว้ก่อน”รวิชาเผลอกำมือแน่นจนเล็บจิกฝ่ามืออย่างลืมตัว เธอไม่รู้ว่าทำไมต้องโกรธ และทำไมในอกมันจุกจนเหมือนหายใจไม่ออกในเมื่อรู้มาก่อนล่วงหน้าแล้วว่าเขาเป็นคนแบบนี้ อีกทั้งเธอกับเขาก็แค่หมั้นกันหลอก ๆ แล้วทำไมเธอถึงรู้สึกทนไม่ได้เมื่อได้ยินว่าเขามีความสัมพันธ์กับผู้หญิงมากหน้าหลายตา รวมถึงคนที่อยู่ตรงหน้านี่ด้วย“แต่พี่ขอร้องอย่า
ชายหนุ่มเดินขึ้นมาถึงห้องพักผ่อนที่รวิชาเคยนอนเมื่อครั้งถูกกลวิชรวางยานอนหลับ เขาใช้มืออีกข้างเปิดประตูแล้วเอาเท้าดันให้ปิด พาร่างที่ดิ้นขลุกขลักอยู่บนบ่าไปหย่อนลงบนเตียงนอนหนานุ่มกลางห้อง แล้วหย่อนกายลงนั่งขอบเตียง“ว่าไง ยังจำห้องนี้ได้ไหมหนูอาย” ภีมพลพูดเสียงสั่นปนหอบ มือก็ตามคว้าร่างที่กำลังจะขยับหนีให้ขึ้นมานั่งอยู่บนตักของตน ส่งเสียงขู่ไม่ให้คนตัวเล็กได้แผลงฤทธิ์“นั่งนิ่ง ๆ ถ้าไม่นิ่งอาไม่รับรองความปลอดภัยนะ หรืออยากจะลอง”ประโยคสุดท้ายเขาพูดพร้อมกับเกยคางลงบนไหล่มนจนริมฝีปากแทบจะชิดกับแก้มนุ่ม รวิชานั่งนิ่งตัวแข็งทันที เมื่อตระหนักได้ว่าความปลอดภัยที่เขาพูดถึงนั้นหมายถึงอะไร ทั้งตกใจทั้งหวาดหวั่นแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกวูบวาบหวามไหวไปกับความใกล้ชิด จนเขาสามารถหายใจรดซอกคอเธอได้“ไหนบอกสิว่าโกรธอาเรื่องอะไร ทำไมถึงพูดกับอาแบบนั้น ปกติเราไม่เคยพูดแรงขนาดนี้เลยนะ”อาภีมคนเดิมเริ่มกลับมาเพราะน้ำเสียงที่เขาใช้กับเธอนั้นสุดแสนจะอ่อนทุ้มนุ่มนวล แต่รวิชายังคงปิดปากเงียบ หันหน้าหนีสายตาคมปลาบของเขาไปอีกทาง ภีมพลจึงข
คิ้วของรวิชาขมวดมุ่น สงสัยว่าทำไมเธอต้องด่าเขาด้วย และภีมพลก็ไม่ให้เธอสงสัยนาน เขาบีบกระชับมือนุ่มก่อนตัดสินใจเปิดปากพูดสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจออกไปทั้งหมด“อาไม่เคยรังเกียจน้องอาย ตรงกันข้าม อาอยากทำอะไร ๆ อย่างที่คนอื่นเขาเอ่อ...อย่างที่คู่หมั้นคู่อื่นเขาทำกันนั่นแหละ แต่เรายังเด็ก อายุยังไม่ถึงยี่สิบเลยด้วยซ้ำ และอาก็สัญญาไว้กับพ่อของเราด้วยว่าจะไม่ทำอะไรเราจนกว่าเราจะเรียนจบ ทีนี้เข้าใจอาบ้างหรือยัง”รวิชาคิดตามที่ชายหนุ่มพูดแล้วทำหน้าเหมือนจะเข้าใจ ถ้าไม่เพราะคำถามสุดท้ายที่เอ่ยถามออกมา ซึ่งทำเอาภีมพลถึงกับอดหัวเราะออกมาไม่ได้“แล้วทำไมอาภีมต้องวิ่งหนีเข้าห้องน้ำด้วยล่ะคะ ที่ออฟฟิศอาภีมก็เข้าห้องน้ำ เมื่อกี้อาภีมก็วิ่งเข้าห้องน้ำอีก”“นี่จะให้อาพูดออกมาตรง ๆ ให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย ฮ่า ๆ”ภีมพลหัวเราะร่า คิดว่าถึงเวลาที่ควรเปิดอกคุยกันจริง ๆ แล้วกระมัง จะว่าไปแล้วรวิชาก็ไม่ใช่เด็กเล็กที่จะไม่รู้เรื่องเซ็กซ์ หรือความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย เพียงแต่สาวน้อยของเขายังอ่อนด้อยกับเรื่องพรรค์นี้ อีกทั้งย
ยามมองผู้หญิงเหล่านั้น แม้พวกหล่อนจะยิ้มให้ แต่รวิชาระแวงไปหมดว่าคนพวกนี้ยิ้มเยาะอยู่หรือเปล่า แอบสมเพชเธออยู่ในใจไหม ความคิดด้านร้ายวิ่งวนอยู่ในหัวจนรวิชาชักสีหน้าบึ้งตึงไม่เก็บอารมณ์อีกต่อไป“น้องอายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ เวียนหัวไหมที่อาพาเดินไปเดินมา หรือว่าปวดขา อาพาไปพักบนห้องข้างบนก่อนไหมแล้วตอนเขาเริ่มงานค่อยลงมาอีกที”ภีมพลถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าของคนข้างกาย รวิชาพยักหน้า ตอบรับคำชวนของเขา เพราะยิ่งอยู่เธอก็ยิ่งควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เวลาที่มีผู้หญิงมาก้อร่อก้อติกใส่เขาภีมพลจูงมือสาวน้อยพาเดินเข้าไปในตัวอาคาร จากนั้นจึงพาขึ้นบันไดไปชั้นสามที่เป็นห้องพักของเขา เมื่อขึ้นมาถึงจึงพาเธอไปนั่งบนเตียงและเขาก็หย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ เพราะห้องนี้ไม่มีโซฟา“เบื่อหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามอย่างอาทร เห็นใจเธอไม่น้อยเพราะงานนี้เธอแทบไม่รู้จักใครนอกจากเขาและเจ้าบ่าวเจ้าสาวของงาน เธอจึงไม่สามารถปลีกตัวไปนั่งที่ไหนได้ นอกจากเดินตามเขาต้อย ๆ ไปทั่วฮอลล์“ไม่เบื่อหรอกค่ะ” แม้ปากจะบอกอย่างนั้น แต่สีหน้าที่แสดงออกมากลับต
ภีมพลผงกศีรษะรับคำ ก่อนหันไปพยักหน้ากับรวิชาให้เดินไปด้วยกันที่รถเมื่อเข้ามานั่งในรถ หญิงสาวก็เหลือบมองเขา เห็นชายหนุ่มนั่งเงียบไม่พูดไม่จาก็อดก้มมองตัวเองในคืนนี้ไม่ได้ เธอแต่งแบบนี้แล้วไม่สวยหรอกหรือ เขาถึงได้ไม่ออกปากชมสักคำในขณะเดียวกัน คนที่นั่งประจำอยู่หลังพวงมาลัยกลับรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เดรสที่สาวน้อยคู่หมั้นใส่วันนี้นั้น เพิ่งรู้ว่าเวลานั่งมันจะร่นขึ้นไปสูงจนเกือบถึงขาอ่อน ไหนจะหน้าอกหน้าใจที่อวบอิ่มดุนดันออกมาจากคอเสื้ออีก...ให้ตายสิ เด็กบ้าอะไรยิ่งโตยิ่งสวย ยิ่งโตยิ่งอึ๋ม!“อุ๊ย!”รวิชาอุทานเบา ๆ เมื่อโทรศัพท์มือถือหลุดมือกระเด็นไปตกอยู่แทบเท้าของเขา เพราะข้อศอกของเธอกับเขาชนกันพอดีตอนเธอเปิดกระเป๋าจะหยิบมันออกมา“เดี๋ยวอาหยิบให้จ๊ะ”ภีมพลบอกอย่างหวังดี แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าหวือเพราะเขากำลังขับรถอยู่ เกรงว่าจะเกิดอันตรายเข้าตอนก้มควานหาโทรศัพท์ให้เธอ“ไม่เป็นไรค่ะ อาภีมกำลังขับรถอยู่ มันอันตรายเดี๋ยวน้องอายหยิบเอง”ว่าแล้วหญิงสาวก็ค้อมตัวลงควานมือไปหาโทรศัพท์ใ
จนมาแน่ใจว่าสุนิตาไม่น่าคบหาสมาคมด้วย เพราะพฤติกรรมของเจ้าตัวที่มีต่อคู่หมั้นของเธอ รวิชาสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่าสุนิตาชอบพูดถึงภีมพลอยู่บ่อยครั้ง หนำซ้ำยังชอบมองเขาด้วยสายตาหวานเชื่อมราวกับเชิญชวน ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่ชอบ รวิชาไม่มีทางยอมให้ผู้หญิงคนไหนมาแย่งเขาไปอย่างเด็ดขาด!ก่อนหน้านี้ ภีมพลส่งข้อความไปบอกว่ากำลังคุยอยู่กับสุนิตา และถ้าจะเดินมาหาก็อย่าเพิ่งแสดงตัว ให้เธอรอฟังอยู่เงียบ ๆ ก่อน จากนั้นเขาก็กดโทร. เข้าเครื่องเธอ รวิชาจึงได้ยินทุกประโยคที่สองคนนั้นคุยกัน“หมดเรื่องยุ่ง ๆ กันสักทีนะ”ภีมพลเดินเข้ามาโยกศีรษะของรวิชาเบา ๆ หญิงสาวหันมายิ้มให้ ก่อนจะบอกลาเพื่อนทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง แล้วเดินตามคู่หมั้นหนุ่มไปขึ้นรถที่จอดเอาไว้คิดแล้วก็โล่งใจไปอีกเปลาะที่หมดปัญหาเรื่องสุนิตาไปได้ ทีนี้ก็คงเหลือแต่เรื่องบรรดาผู้หญิงมากหน้าหลายตาของเขาที่วิคกี้ขยันส่งภาพมาให้เธอดู คู่หมั้นของเธอก็ช่างกระไร ทำไมถึงได้เป็นคน “ทั่วถึง” ขนาดนั้นก็ไม่รู้ ผู้หญิงที่ไหนเข้าหาก็ไม่เคยปฏิเสธ ไปยืนปล่อยให้พวกหล่อนทั้งกอดทั้งซบอยู่ได้ คิดแล้วก็น
วันต่อมา ภีมพลขับรถไปรับรวิชาที่มหาวิทยาลัย โดยไปก่อนเวลาเลิกเรียนเล็กน้อย ชายหนุ่มอยู่ในชุดลำลองเพราะไม่ได้เข้าออฟฟิศ ตั้งใจไว้ว่าจะพาคู่หมั้นสาวไปหาซื้อชุดสำหรับไปงานแต่งงานของพชรกับช่อมาลี เพราะเมื่อวานเขาลืมบอกว่างานแต่งงานจะจัดในคืนวันเสาร์ที่จะถึง ไม่รู้ว่าหญิงสาวจะมีโปรแกรมไปไหนกับบิดามารดาหรือเปล่าชายหนุ่มเดินเตร่อยู่แถวนั้นระหว่างรอรวิชา ก่อนหน้านี้เขาส่งข้อความไปบอกแล้วว่าจะมารับ เธอก็ตอบกลับว่าเลิกเรียนตอนบ่ายสองโมงสี่สิบห้า เขาดูเวลา ตอนนี้เพิ่งจะบ่ายสองโมงครึ่งเท่านั้น อีกสิบห้านาทีรวิชาก็จะเลิกเรียนแล้ว เขาจึงไม่ได้ไปไหนไกลจากตึกคณะเรียนของเธอ“คุณภีมคะ” เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้ชายหนุ่มต้องชะงักเท้าอยู่กับที่แล้วหันไปมองเจ้าของเสียง เขาลอบถอนหายใจเมื่อเห็นว่าเป็นใคร“มารับอายหรือคะ”สุนิตาเดินยิ้มหวานเข้ามาใกล้พร้อมกับพนมมือไหว้อย่างชดช้อย และเมื่อเงยหน้าขึ้นก็ช้อนตามองเขาอย่างมีจริตจะก้าน“ใช่...แล้วนี่เธอไม่ขึ้นเรียนหรือไง”ชายหนุ่มตอบอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นก็หยิบโทรศ
ด้านคนที่ถูก “แปะมือ” ไว้ก็ได้แต่ตัวแข็งค้าง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเพราะเกรงว่าสาวเจ้าจะรู้ว่าเผลอทำอะไรลงไป แล้วจะพานอับอายจนเข้าหน้ากันไม่ติดอีกรวิชาทำมือบอกเขาว่าจะไปนั่งเล่นที่โซฟา โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าโล่งอกของชายหนุ่ม เพราะเห็นเขากำลังคุยเรื่องงานกับปลายสายด้วยสีหน้าเคร่งเครียดหญิงสาวทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดเครื่องดูเผื่อว่าสกลธีกับอารดาจะฝากข้อความไว้ ทว่าทันทีที่เปิดเครื่อง สัญญาณเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นทันทีจนเจ้าตัวผวา ยิ่งเห็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเธอก็ยิ่งไม่กล้ารับสาย ได้แต่ปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่ภีมพลวางสายจากคู่สนทนาพอดี“ให้อารับแทนไหม” เห็นสีหน้าของเธอ เขาก็รู้แล้วว่าน่าจะเป็นสายจากไอ้พวกหื่นกามที่ติดต่อมาทางเฟซบุ๊กปลอม เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนที่โทร. มามันจะพูดว่าอย่างไรบ้างรวิชาพยักหน้าเร็ว ๆ พร้อมส่งโทรศัพท์ไปให้เขา ภีมพลกดรับสายทันทีเพราะเกรงว่าคนที่โทร. มาจะถอดใจวางไปก่อน ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูแล้วรอฟังหญิงสาวมองหน้าเขาด้วยความอยากรู้ว่าปลายสายพูด
เสียงโทรศัพท์ของรวิชาดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นเบอร์ใหม่ ไม่ใช่เบอร์เดียวกันกับที่โทร. มาเมื่อครู่ หญิงสาวจึงจัดการปิดเสียง แล้วกดโทร. ออกหาคู่หมั้นหนุ่ม รอสายไม่นาน ภีมพลก็กดรับสาย“ว่าไงครับน้องอาย” แค่ได้ยินเสียงเท่านั้น เธอก็อยากให้เขามาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าในตอนนี้เหลือเกิน“อาภีมอยู่ที่ออฟฟิศหรือเปล่าคะ น้องอายไปหาได้ไหม”น้ำเสียงเศร้าสร้อยของสาวน้อยส่งผลให้ชายหนุ่มวางมือจากแฟ้มเอกสารทันที เขาเอนหลังพิงเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่ด้วยท่าทางผ่อนคลาย แล้วถามด้วยความเป็นห่วง“น้องอายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ เอาอย่างนี้ดีกว่า ให้อาขับรถไปรับที่มหาวิทยาลัยดีไหม”“อย่าเลยค่ะอาภีม น้องอายนั่งรถไปหาเองดีกว่า จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา แต่วันนี้อาภีมไม่ได้ไปทำธุระที่ไหนใช่ไหมคะ” เกรงใจเขาก็เกรงใจ แต่ในยามที่มีเรื่องไม่สบายใจ เธอกลับคิดถึงเขาที่สุด“ไม่ได้ไปไหนครับ มาหาได้เลยอาจะรอนะ” เสียงทุ้มอ่อนโยนของเขาช่วยให้ใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง หญิงสาวรับคำแล้วกดวางสาย ในขณะที่ภีมพลก็กดโทรศัพท์ออกไปหาชุมชาย เลข
“เฮ้อ แย่เนอะ สมัยพวกเราเรียนมัธยมยังไม่เห็นมีแบบนี้เลย”ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้คุยอะไรกันต่อ เตชินทร์ก็เดินเข้ามาหา แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับรวิชาอย่างถือวิสาสะ เขาหันมาส่งยิ้มให้อารดาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปคุยกับรวิชา“แย่หน่อยนะครับ เจอใครไม่เจอดันไปเจอไอ้วิชร”ชายหนุ่มเปิดรอยยิ้มกว้างจนตายิบหยี ใบหน้าหล่อเหลาขาวใสสไตล์หนุ่มเกาหลีที่กำลังนิยมทำเอาคนมองอย่างอารดาตาพร่า เสียงทุ้มของเขายามเอื้อนเอ่ยฟังดูนุ่มนวลชวนหลงใหล แม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้คุยและยิ้มให้กับเธอ แต่หญิงสาวก็อดเผลอนั่งจ้องเขาไม่ได้“ขอบคุณพี่มาก ๆ เลยนะคะที่ช่วยไว้ พี่ชื่อ...”รวิชาพูดค้างไว้แค่นั้น เตชินทร์จึงแนะนำตัวเอง“เตชินทร์ครับ เรียกพี่ชินทร์เฉย ๆ ก็ได้ พี่อยู่ปีสามคณะเดียวกับน้องนั่นละ แต่ช่วงวันปฐมนิเทศพี่ติดธุระเลยไม่ได้มาร่วมงาน น้องอายเลยไม่เคยได้เจอหน้าพี่ แต่พี่เห็นน้องอายบ่อยเลยนะเพียงแต่ไม่กล้าเข้ามาทัก”เตชินทร์คลี่ยิ้มกว้างอีกครั้ง คราวนี้อารดาต้องแอบจิกเนื้อของตัวเอง เตือนสติให้เลิกมองเขา หัว
รวิชาเดินเข้ามหาวิทยาลัยเพียงลำพัง เมื่อคืนเธอได้แชตกับเพื่อนสนิททั้งสองคนเกี่ยวกับภาพข่าวที่ออกมา และปฏิกิริยาของคนที่เข้ามาโพสต์ อดแปลกใจไม่ได้ว่าบางคนนั้นไม่เคยรู้จักเธอด้วยซ้ำ แต่มาพูดต่อว่าเธอเสีย ๆ หาย ๆ ราวกับรู้จักกันมาเนิ่นนาน จึงลงความเห็นกันว่าเธอคงไม่ค่อยเป็นที่ปรารถนาของนักศึกษาผู้หญิงเท่าไร ไม่ว่าจะรุ่นเดียวกันหรือรุ่นพี่เธอเดาว่าอาจเป็นพราะการที่ตนเป็นจุดเด่นมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ตนเป็นจุดสนใจของเพศตรงข้าม รวมไปถึงการใช้กระเป๋าและนาฬิกาแบรนด์หรูมาเรียน รวิชาจึงพยายามลดความเป็นจุดเด่นของตัวเองลง โดยเริ่มปรับปรุงเกี่ยวกับเรื่องเครื่องประดับติดกายพวกนี้ก่อนวันนี้เธอสะพายกระเป๋าแฮนด์เมดใบละไม่กี่ร้อยที่ซื้อจากตลาดนัดสวนจตุจักรตั้งแต่สมัยมัธยมมาเรียน ใส่นาฬิกาเรือนเดิมที่เคยใส่ตอนเรียนมัธยมปลาย การที่ตัวเองเป็นเด็กใหม่แต่ถ้าทำตัวให้น่าหมั่นไส้แม้จะไม่ตั้งใจก็ตาม ก็อาจจะทำให้เธอใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยได้ไม่ราบรื่นนักเสียงกระหึ่มของรถสปอร์ตคันหรูที่ดังอยู่ด้านหลังไม่ได้ทำให้รวิชาสนใจจนต้องหันไปมอง หญิงสาวยังคงเดินไปเรื่อย ๆ