จ้าวซือหว่านพิงไปที่อกของเขา พลางกล่าว “หากท่านสงสารข้าจริง ก็ควรจะแต่งงานกับข้า”อวิ๋นเยว่หยางถอนหายใจ “ตอนนี้เจ้ายังเป็นคู่หมั้นของเยียนเซียวหราน ข้าจะแต่งงานกับเจ้าได้อย่างไร?”“ทันทีที่เยียนเซียวหรานตาย ข้าจะรีบยกขบวนสินสอดมาที่จวนของเจ้าทันที”คำพูดเช่นนี้ จ้าวซือหว่านได้ฟังมาหลายครั้งแล้ว กล่าวเสียงเบา “ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะท่านพอใจในดวงชะตาของเยียนเซียวหราน ข้าจะต้องหมั้นหมายกับเขาหรือ?”“ตอนนี้ท่านยังหยิบยกเรื่องนี้มาแก้ตัวอีก ใจร้ายเกินไปแล้ว!”อวิ๋นเยว่หยางโอบนางเอาไว้กล่าว “นี่ก็เป็นเรื่องที่จนหนทางไม่ใช่หรือไร!”“ในใจของข้า เจ้าเป็นคนสำคัญมาโดยตลอด ข้าพูดคำไหนคำนั้น ขอเพียงเยียนเซียวหรานตาย ข้าจะแต่งงานกับเจ้าแน่นอน”จ้าวซือหว่านดึงมือของเขามาไว้ที่หัวใจของนาง กล่าวเสียงเบา “ทรวงอกของข้าเจ็บปวดมาก”อวิ๋นเยว่หยางหัวเราะออกมาเบา ๆ โอบนางแน่นขึ้นอีกหน่อย “เช่นนั้นข้าจะช่วยนวดให้เจ้าเป็นอย่างดีเลย”การนวดของเขาย่อมต้องเป็นการมีสัมพันธ์สวาทกับจ้าวซือหว่านอย่างแน่นอนเพียงแต่เดิมจ้าวซือหว่านก็มีอาการบาดเจ็บ ที่คืนนี้เชิญเขามา เดิมก็มีเจตนาจะลองหยั่งเชิงดู ท่าทีของเขาในเ
หัวสมองของซือเจ๋อเยว่มีภาพที่ไม่เหมาะกับเด็กเกิดขึ้น เมื่อคืนนี้นางกับเยียนเซียวหรานคงไม่ได้...การคาดเดานี้ทำให้นางกระเด้งตัวลุกขึ้นมาจากเตียง แต่ก็ถูกนางปฏิเสธอย่างรวดเร็วเนื่องจากร่างกายของนางไม่มีความผิดปกติใด ๆนางนั่งลงไปอีกครั้ง คิดว่าอย่างไรเสียเมื่อคืนนี้ก็ต้องเกิดเรื่องอะไรบางอย่างที่นางไม่รู้อย่างแน่นอนในเวลานี้ ประตูห้องของนางถูกเคาะ นางรีบไปเปิดประตู เป็นพระชายาเยียนอ๋องพระชายาเยียนอ๋องเห็นว่านางยังไม่ล้างหน้าแต่งตัว ผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับรังนก ก็ยิ้มบาง ๆ “ข้ามารบกวนการพักผ่อนขององค์หญิงอย่างนั้นหรือ?”ซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “เปล่าเจ้าค่ะ ข้าตื่นแล้ว”พระชายาเยียนอ๋องจึงกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ดี วันนี้ที่ข้ามาหาองค์หญิงตั้งแต่เช้าตรู่ เป็นเพราะมีเรื่องอยากจะหารือกับองค์หญิง”“เสด็จแม่มีอะไรเชิญตรัสมาเพคะ” ซือเจ๋อเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “คนครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจเพคะ”พระชายาเยียนอ๋องกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย “วันนี้จวนตระกูลจ้าวส่งเทียบเชิญมาตั้งแต่เช้าตรู่ อยากจะนัดข้าไปไหว้พระที่วัดเป้ากั๋วด้วยกัน”“ท่านอ๋องจากไปนานแล้ว สุสานอ๋องก็ได้ปิดซ่อมแซมเสร็จเร
เขามาหานางเพื่อหารือรายละเอียดของการ ‘เชิญป้าย’ ทุกอิริยาบถล้วนจะต้องถูกต้องตามขนบประเพณี จะผิดแผกไม่ได้แม้แต่นิดเดียวหลังจากพวกเขาคุยธุระเสร็จ ซือเจ๋อเยว่ก็ทนไม่ไหว ถามเยียนเซียวหราน “หลังจากที่เมื่อคืนนี้ข้าทำลายป้ายหยกแล้ว ท่านมีความรู้สึกอย่างไรบ้าง?”เยียนเซียวหรานมองนางแวบหนึ่ง ย้อนถามด้วยสีหน้าปกติ “องค์หญิงคิดว่าข้าควรมีความรู้สึกอะไร?”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะมีความรู้สึกอะไร?หรือว่าเขาไม่เข้าใจ ตอนที่นางถามคำถามประโยคเมื่อครู่นี้ ครึ่งประโยคแรกก็เป็นเพียงแค่การบังหน้าเท่านั้น?เพียงแต่เมื่อนางเผชิญกับใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของเขา ครู่หนึ่งก็มีความไม่แน่ใจอยู่เล็กน้อยว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่นางเกิดความหงุดหงิดใจต่อใบหน้าของเขาอย่างประหลาด ‘หน้าตาก็หล่อดีอยู่หรอก แต่วัน ๆ เอาแต่ปั้นหน้า เดาอารมณ์บนใบหน้าของเขาไม่ออกเลยสักนิด’ในเวลาแบบนี้ ต่อให้นางมาเพื่อสืบข่าว ก็ไม่ควรปล่อยไก่ต่อหน้าของเขานางจึงปั้นหน้าบ้าง กล่าวด้วยท่าทางสบาย ๆ “ป้ายหยกชิ้นนั้นผิดปกติมาก”“เจ้าก็รู้ว่าสุขภาพของข้าอันที่จริงไม่ค่อยสู้ดีนัก หลังจากที่กำจัดวิญญาณร้ายที่สิงสู่อยู่ในป้
ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ลำบากน้องสามแล้ว”นางพูดจบก็ถามอีกว่า “หลังจากที่เมื่อคืนนี้ข้าสูญเสียสติสัมปชัญญะไป ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่เหมาะสมใช่หรือไม่?”สายตาของเยียนเซียวหรานเจือจาง ดวงตาเย็นชาคู่นั้นดูเหมือนจะมองนางออก สุดท้ายแล้วก็กล่าวเพียง “ไม่มี”เรื่องที่นางเป็นกังวล เขาก็ยิ่งเป็นกังวลถึงว่าเมื่อคืนนี้จะเป็นนางที่เป็นฝ่ายจูบเขาก่อน แต่สุดท้ายคนที่สูญเสียการควบคุมกลับกลายเป็นเขาในเรื่องนี้ พวกเขามีสัญญาลับที่ถือว่ารู้กันแค่พวกเขานั่นเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูดเปิดเผยออกมา แม้ว่าจะเกิดขึ้นจริงก็ตาม แต่กลับไม่สามารถพูดเปิดเผยออกมาได้ทั้งในเรื่องนี้ เยียนเซียวหรานมีความร้อนตัวของเขาอยู่เมื่อซือเจ๋อเยว่ได้ยินคำพูดสองคำนี้ของเขา ก็นับว่าเข้าใจความหมายของเขาแล้วไม่ว่าจะพูดจากมุมใดมุมหนึ่ง ในเรื่องนี้พวกเขาต่างใช้วิธีการจัดการที่เหมือนกันซือเจ๋อเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ไม่มีก็ดี”เยียนเซียวหรานเห็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความผ่อนคลายของนาง ราวกับว่าได้ยกหินก้อนยักษ์ในใจของนางได้ถูกยกออกไปแล้วเขาจึงรู้ว่าคำพูดประโยคนั้นที่นางพูดว่าสูญเสียสติสัมปชัญญะเมื่อครู่นี้ เป็นเรื่อ
“แต่ยังมีอีกหนึ่งค่ายกลที่ขโมยดวงชะตาของเจ้าโดยเฉพาะยังไม่ถูกทำลายไป ต่อให้ไม่มีพลังชั่วร้ายเหล่านั้น และเจ้าก็ไม่ได้ตายเร็วปานนั้นแล้ว ทว่ากลับมีผลกระทบรุนแรงมากอยู่ดี” เยียนเซียวหรานถาม “ผลกระทบที่ว่าคืออะไร?” ซือเจ๋อเยว่มองเขาพลางพูด “เมื่อดวงชะตาของคนผู้หนึ่งถูกขโมยไปแล้ว คนผู้นั้นจะดวงซวยขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลาที่ล่วงเลยผ่านพ้นไป” “จนสุดท้ายเจ้าอาจถึงแก่กรรมด้วยเพราะข้าวติดคอ เดินล้มหัวฟาดหรือสำลักน้ำตาย รูปแบบการตายอันน่าประหลาดพิศวงมีสารพัด ที่คนทั่วไปไม่กล้าแม้แต่จะคาดคิด” เยียนเซียวหราน “…” สิ่งเหล่านี้แค่ได้ฟังก็ปวดหัวแล้ว เขาถามซือเจ๋อเยว่ “ตอนนี้สถานการณ์ข้าเป็นเช่นไร?” ซือเจ๋อเยว่กล่าวตอบ“ดวงชะตาของเจ้าถูกคนขโมยมาเป็นเวลานานมากแล้ว แม้ยังไม่เข้าสู่ช่วงระยะสุดท้าย แต่ยังมีค่ายกลพลังชั่วร้ายที่ดูดพลังดวงชะตาเจ้าอยู่โดยเฉพาะ” “ดังนั้นชะตาของเจ้ามีแต่จะย่ำแย่เสียยิ่งกว่าผู้ที่ขโมยดวงชะตาของเจ้าไปมาก หากไม่ได้ข้าที่ก่อนหน้านี้ช่วยเจ้าสลายพลังชั่วร้ายไว้ถึงสองครา ไม่แน่เจ้าอาจจะตายไปแล้ว” เมื่อครั้งนางได้พบเขาในคราแรก ก็รู้สึกว่าเขาช่างประหลาดเสียนี่กระไร ทั้งท
ในใจซือเจ๋อเยว่พลันเกิดความรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย แม้เมื่อคืนนางต่อเวลาชีวิตได้ไม่น้อยในเวลาอันสั้น แต่ระยะนี้เส้นสีแดงมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วขึ้นมาก เส้นชีวิตอันน้อยนิดเพียงเท่านี้แทบจะไม่พอใช้เสียแล้วสิ นางก็ยังไม่รู้ด้วยว่าครั้งหน้าจะต้องใช้วิธีการเช่นไร จึงจะต่อเวลาชีวิตอีกสักระยะหนึ่งจากเขาได้ นางลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนจะเดินออกไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน มีชีวิตอยู่ช่างยากเย็นเสียจริง! แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่อยากตาย! เยียนเซียวหรานเหลือบมองนางแวบหนึ่ง มิได้เอ่ยอันใด เพียงแค่เดินตามนางออกไป บัดนี้พระชายาเยียนอ๋องกำลังจัดเตรียมข้าวของสำหรับไปอารามพุทธในวันพรุ่งนี้ เมื่อเห็นว่าพวกเขาเข้ามา จึงเรียกให้มาช่วยกันคนละไม้คนละมือ เยียนเซียวหรานช่วยไปพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไร้เจตนาแอบแฝง “เสด็จแม่ หยกแขวนชิ้นนั้นที่เสด็จแม่ให้ลูกมาสอดไว้ใต้หมอนก่อนหน้านี้ได้มาจากที่ใดหรือ?” พระชายาเยียนอ๋องได้ฟังเขาถามเช่นนี้ พลันถามกลับด้วยความฉงนเล็กน้อย “เหตุใดจู่ ๆ ถึงถามเรื่องนี้เล่า?” เยียนเซียวหรานเอ่ยตอบ “ครานี้ลูกประสบเคราะห์ภัยจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด สามารถเปลี่ยนเคราะห์ร้
พระชายาเยียนอ๋องผงกศีรษะ “ใช่แล้ว ซือหว่านมีความรู้และเข้าใจกฎเกณฑ์ แยกแยะผิดถูกได้อย่างชัดเจน ทั้งยังมีความรู้สึกพิเศษต่อเซียวเอ๋อร์” “หากนางแต่งเข้าจวนอ๋อง ต้องเป็นสะใภ้ที่ดีเหมือนกันกับองค์หญิงแน่นอน” ซือเจ๋อเยว่ “...” นางไม่อยากถูกเอาไปเปรียบเทียบกับจ้าวซือหว่านเท่าไรนัก ทว่าเรื่องราวในตอนนี้ยังไม่กระจ่างชัด นางคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องพูดอย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าพระพักตร์พระชายาเยียนอ๋อง จึงทำเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น เยียนเซียวหรานถามพระชายาเยียนอ๋อง “พรุ่งนี้แม่นางจ้าวก็ไปอารามพุทธหรือขอรับ?” พระชายาเยียนอ๋องพยักหน้า “นางจะไปด้วย หากไม่ใช่เพราะนางเตือนสติว่าวัดเป้ากั๋วทำแผ่นป้ายวิญญาณดีที่สุด ข้าก็จะไปเชิญป้ายที่วัดซีซานแล้ว” ซือเจ๋อเยว่ยิ้มพลางพูด “แม่นางจ้าวช่างเป็นคนใส่ใจที่คิดการอันใดรอบคอบจริง ๆ เจ้าค่ะ” พระชายาเยียนอ๋องอมยิ้มพลางเอ่ย “ใช่ นางเป็นสตรีที่ดีโดยแท้” นางเอ่ยจบก็กล่าวชื่นชมจ้าวซือหว่านยกใหญ่ไปอีกรอบหนึ่ง ซือเจ๋อเยว่นั่งฟังด้วยความใจเย็น ไม่แสดงความคิดเห็นอันใดทั้งสิ้น นางกำลังคิดเรื่องหนึ่งในใจ ด้านนี้เพิ่งทำลายหยกแขวนได้ จ้าวซือหว่านก็เชิญพวกเขาไปที
เรื่องการเขียนยันต์ สำหรับคนสำนักเต๋าแล้ว ที่จริงมีความยากสูงมาก มีเพียงผู้ที่เข้าถึงแก่นของวิชาเต๋าอย่างถ่องแท้ทั้งยังฝึกการเขียนยันต์ด้วย จึงสามารถเขียนออกมาได้ และอัตราความสำเร็จก็ยังไม่นับว่าสูงมากนัก แต่สำหรับซือเจ๋อเยว่ผู้เป็นอัจฉริยะแห่งลัทธิเต๋า การเขียนยันต์จึงแสนจะง่ายดายราวกับกินข้าวดื่มน้ำก็ไม่ปาน ถึงขั้นที่ในเวลาปกติตอนนางเกียจคร้าน ไม่อยากเขียนยันต์ แค่ใช้มือร่ายคาถาของลัทธิเต๋าก็ได้ผลลัพธ์ที่ไม่เลวเช่นกัน แต่วิญญาณร้ายเมื่อคืนนี้ทำให้นางฉุกคิดได้ว่าศัตรูที่อยู่เบื้องหลังนั้นหาใช่ธรรมดาไม่ แค่อาศัยการร่ายคาถาด้วยมือยังยากนักที่จะจัดการมันให้สิ้นซากได้ นางมิอาจเอาเลือดของตนเองมาใช้จัดการได้อีกแล้ว แค่ด้วยสถานการณ์ร่างกายของนางตอนนี้ ก็ทานทนต่อสิ่งหนักหน่วงกว่านี้ไม่ไหวแล้วจริง ๆ ฉะนั้นการตระเตรียมยันต์ที่มีอานุภาพสูงไว้หลายแผ่น จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง นางเพิ่งเขียนยันต์เสร็จ เยียนเหนียนเหนียนก็มาเที่ยวเล่นหานาง เห็นนางเขียนยันต์อยู่ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยจึงถาม “องค์หญิง นี่คือยันต์หรือ?” ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ยันต์ห้าอัสนีบาตพวกนี้ขับไล่ภูตผีวิญญาณร้า
ตลอดทาง เขากลับทำให้ตัวประหลาดนั่นไม่ต้องครุ่นคิดอีก วิ่งไล่ตามชื่อปาเลี่ยไปทันทีในระหว่างที่ซือเจ๋อเยว่กำลังพูด ตัวประหลาดก็ได้โจมตีชื่อปาเลี่ยหลายรอบแล้วชื่อปาเลี่ยในเวลานี้ได้สติกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์แล้ว กลัวว่าจะช่วยชีวิตเขาไม่ได้ เขาจำต้องคิดหาหนทางช่วยเหลือตัวเองศักยภาพของร่างกายเขาถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด ไม่นึกเลยว่าเขาจะหลบการโจมตีนับครั้งไม่ถ้วนของตัวประหลาดได้อย่างหวุดหวิดเขาในเวลานี้พลางร้องอย่างสิ้นหวัง พลางหลบอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นเจ้าอ้วนที่คล่องแคล่วที่สุดในใต้หล้านี้ได้สำเร็จเมื่อซือเจ๋อเยว่มองเห็นท่าทางที่ตกอยู่ในอันตรายของเขา ทั้งรู้สึกว่าเขาน่าสงสาร แล้วก็อยากจะขำอีกด้วย เนื่องจากตอนที่เขาหลบ เรียกได้ว่าไม่ได้สนใจภาพลักษณ์เลยสักนิดนางกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ถึงแม้ในหนังสือจะไม่ได้บอกวิธีการที่สามารถสังหารตัวประหลาดประเภทนี้เอาไว้ สิ่งของบนโลกใบนี้อยากจะให้หายไปก็มีเพียงสองวิธี”“หนึ่งคือการโจมตีทางกายภาพ อีกอย่างก็คือการโจมตีแบบลี้ลับ”“ในเมื่อการโจมตีทางกายเมื่อครู่นี้ไม่ได้ผล เช่นนั้นก็ต้องลองการโจมตีแบบลี้ลับดูเสียหน่อย”ครั้งก่อนนางวาดยันต์สำรองเอาไว
ตอนนี้สิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขา ก็คือสัตว์ยักษ์สีแดงที่สูงประมาณหนึ่งจั้งตัวหนึ่งสัตว์ยักษ์ตัวนั้นมีดวงตาสีดำที่คล้ายกับระฆัง ไม่มีคิ้ว ไม่มีขนตาจมูกมีเพียงรูจมูกสองรู ปากไม่มีริมฝีปาก ปรากฏให้เห็นฟันแหลมคมเต็มปาก ภายใต้ฟันอันแหลมคม เวลานี้ยังมีของเหลวสีเหลืองไหลย้อยออกมาเพียงแค่พวกนี้ก็พอทนแล้ว ร่างกายของเขายังมีตุ่มสีแดงเต็มตัวตุ่มพวกนั้นห้อยอยู่บนร่างกายของสัตว์ยักษ์ ปกคลุมร่างกายของมันที่เดิมทีเต็มไปด้วยขนสีดำ มองดูน่าสะอิดสะเอียนเป็นอย่างยิ่ง ซือเจ๋อเยว่ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนมีความรู้กว้างขวางมาโดยตลอด กลับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนขนาดนี้ชื่อปาเลี่ยร้องออกมาอย่างอดไม่ได้ “นี่มันตัวบ้าอะไรกันเนี่ย!”นี่เป็นคำถามที่เยี่ยมมากจริง ๆ ซือเจ๋อเยว่เองก็อยากรู้เช่นกันว่านี่มันคือตัวบ้าอะไรสัตว์ยักษ์ที่กำลังน้ำลายไหลตัวนั้นเดินมุ่งหน้าเข้ามาหาพวกเขา ทันทีที่มันเข้าใกล้ กลิ่นคาวกลุ่มนั้นก็รุนแรงขึ้นซือเจ๋อเยว่สะอิดสะเอียนจนอยากอ้วก!ตอนที่เยียนเซียวหรานมองเห็นสัตว์ยักษ์ตัวนั้น เสียงเตือนภายในใจของเขาก็ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่งตอนที่สัตว์ยักษ์ตัวนั้นเดินเ
นางมีแววตาเปล่งประกายล้ำลึก “ช่างเป็นฝีมือที่สูงส่งยิ่งนัก!” เยียนเซียวหรานมองนาง นางจึงเอ่ยต่อ "ฟ้าคือหยาง ดินคือหยิน ยามหยินหยางกลับตาลปัตร สรรพสิ่งพลิกผัน กฎแห่งฟ้าดินถูกตัดขาด!" “แต่สิ่งใดที่หลอกลวงได้ชั่วคราว ย่อมไม่อาจปิดบังไปชั่วชีวิต!” “เหล่าดวงวิญญาณผู้ซื่อสัตย์แห่งสนามรบ ท่านทั้งหลายที่คืนสู่แผ่นดิน ณ ที่แห่งนี้ โปรดร่วมมือกับข้ากำจัดภาพลวงที่ปกคลุมโลกใบนี้ จงสลายม่านมายา! ทำลายมันเสีย!” นางฟาดฝ่ามือลงกับพื้นดิน สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสี่ทิศ เสียงแตกร้าวดังมาจากรอบทิศ ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น พื้นดินสีดำสนิทรอบตัวก็พลันหายไป อาการหายใจที่ยากลำบากบัดนี้กลับมาเป็นปกติ ต้นไม้ที่เคยหายไปปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายและความเสื่อมสลาย ขุนเขาเช่นนี้ หาได้มีภาพของทัศนียภาพอันงดงามเหนือจินตนาการอย่างที่ชื่อปาเลี่ยที่เคยบอกเอาไว้ไม่ แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้ากลับเป็นดินแดนรกร้างที่ไร้ซึ่งชีวิต! เกรงว่าภาพที่เยียนอ๋องเห็นในอดีตก็คงจะเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น เพียงแค่นางยังไม่เข้าใจเหตุผล ผู้ที่วางค่ายกลนี้ เหตุใดจึงต้องสร้างภาพลวงเช่น
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่อากาศโดยรอบเริ่มบางเบาจนผิดปกติ พวกเขาเพียงแค่เดินตามปกติ แต่กลับรู้สึกหายใจติดขัด ชื่อปาเลี่ยอ้าปากหอบหายใจ พลางเอ่ยด้วยความตระหนก “นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดข้าหายใจไม่ออก?” ซือเจ๋อเยว่เอ่ยเสียงเบา “เราก้าวเข้าสู่ค่ายกลของผู้อื่นแล้ว” ชื่อปาเลี่ยเอ่ยด้วยความสงสัย “แต่เมื่อครู่ยามที่เข้ามา ท่านได้ทำลายค่ายกลไปแล้วไม่ใช่หรือ?” ซือเจ๋อเยว่ตอบไป “นี่คือค่ายกลซ้อนค่ายกล ผู้วางค่ายกลนี้ร้ายกาจอย่างยิ่ง ฝีมือในด้านค่ายกลไม่ได้ด้อยกว่าข้าเลย” “แม้แต่ยามที่ก้าวเข้ามาครั้งแรก ข้าเองก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ” “ในเมื่อเราตกเข้ามาแล้ว ยามนี้สิ่งที่ต้องทำคือหาทางทำลายค่ายกลนี้” ชื่อปาเลี่ยรีบถาม “ทำอย่างไรจึงจะทำลายได้?” ซือเจ๋อเยว่กวาดตามองโดยรอบแล้วเอ่ยขึ้น “หากต้องการทำลายต้องหาแกนกลางค่ายกลให้พบ ขอเพียงหามันเจอ การทำลายค่ายกลนี้ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างยิ่ง” “ส่วนเรื่องที่ว่ามันอยู่ที่ใด ยามนี้ข้าเองก็ยังไม่แน่ชัด เราต้องหาต่อไป” ยิ่งพวกเขาก้าวไปข้างหน้าเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกว่าการหายใจยากลำบากเท่านั้น พื้นดินรอบตัวกลายเป็นสีดำไหม้ ฟ้า
ราชครูมองเห็นโชคชะตาของจวนหนิงกั๋วกงกระจัดกระจาย ก่อนที่มันจะรวมตัวขึ้นอีกครั้ง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขายกนิ้วขึ้นคำนวณบางสิ่ง แต่เมื่อได้ผลลัพธ์ เขากลับแย้มยกริมฝีปากแล้วเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “นี่มันตัวอันใด!” เด็กรับใช้สำนักเต๋าชุดเขียวที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายเอ่ยถาม “ท่านราชครู เป็นอันใดไปหรือขอรับ?” ทว่าราชครูกลับตอบไม่ตรงคำถาม “ทุกสิ่งในโลกนี้ ล้วนมีเหตุและผลของมัน” “มีบางเรื่องที่ข้าสามารถแทรกแซงได้ แต่บางเรื่องต้องปล่อยให้นางเป็นผู้จัดการเอง” “นางคนนั้นมีชะตาชีวิตที่แตกต่างจากผู้อื่น เมื่อยามทุกข์ก็ทุกข์อย่างแท้จริง” “แม้ข้าจะสงสารนางเพียงใด แต่เรื่องบางเรื่องก็มีแต่นางที่ต้องเผชิญด้วยตนเอง” เด็กรับใช้สำนักเต๋าชุดเขียวเอ่ยถาม “ท่านกำลังเอ่ยถึงชะตากรรมใดกัน? หรือว่าท่านกำลังเป็นห่วงศิษย์พี่หญิง?” ราชครูหยิบไม้ขนไก่ข้างตัวขึ้นมาแล้วหวดลงไปที่หลังของเด็กรับใช้สำนักเต๋าชุดเขียวทันที “ผู้ใดสนใจนางกัน?!” “ชะตาชีวิตของนางเป็นชะตาที่ต้องตาย แม้แต่มหาเทพเซียนมาเองก็ไม่อาจช่วยนางได้!” “ตลอดหลายปีมานี้ เป็นเพราะนาง ข้าแก่ขึ้นไปตั้งเท่าใด ข้าจะไปสนใจนางเ
ดังที่ซือเจ๋อเยว่คาดการณ์ไว้ อดีตหนิงกั๋วกงพลันกระอักเลือดออกมา เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างเคียดแค้น “ซือเจ๋อเยว่!” ตลอดหลายวันผ่านมานี้ เขาทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษาโชคชะตาของจวนหนิงกั๋วกง สมบัติวิเศษล้ำค่าที่เขาเสาะหามานานหลายปีล้วนถูกใช้ไปจนหมดสิ้น จึงจะประคับประคองไว้ได้อย่างยากลำบาก ครั้งก่อนที่ไป๋จื้อเซียนบุกเข้าไปยังห้องลับ และกลืนกินดวงวิญญาณของบรรพบุรุษคนสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็ทำให้อดีตหนิงกั๋วกงเริ่มรู้สึกถึงความสั่นคลอนของพลัง แม้เวลานั้นสถานการณ์จะอันตราย แต่ค่ายกลใหญ่แห่งชายแดนยังไม่ถูกทำลายโดยสมบูรณ์ หากสามารถจัดการพลังที่หลงเหลือได้อย่างเหมาะสม ก็ยังสามารถต่อเวลาของโชคชะตาในจวนหนิงกั๋วกงออกไปได้อีกระยะหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เมื่อรู้ว่าซือเจ๋อเยว่และเยียนเซียวหรานออกจากเมืองหลวง เขาจึงเร่งวางแผนเพื่อกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก เดิมทีเขาคิดว่าหากสามารถสกัดซือเจ๋อเยว่และเยียนเซียวหรานเอาไว้ที่ด่านอวิ๋นหลิ่งได้ ทุกอย่างก็จะไม่มีปัญหา ทว่าเมื่อครู่ เขาได้รับสารลับจากนกพิราบส่งข่าวจากด่านอวิ๋นหลิ่ง ข้อความในจดหมายบอกเอาไว้ว่าที่ด่านอวิ๋นหลิ่งนั้น เกิดหิมะตกหนัก
ดังนั้น เขาจึงเปลี่ยนจากบุรุษผู้ซื่อสัตย์ กลายเป็นคนหยาบกระด้างและไม่สนใจเหตุผลใด ๆ อีกต่อไป เขาชินเสียแล้วกับสายตาของผู้คนที่มองเขาปานสิ่งสกปรก เขาใช้ชีวิตอย่างเมามายไร้จุดหมายไปวัน ๆ แต่เมื่อวาน ยามที่ไป๋จื้อเซียนคิดจะสังหารเขา ซือเจ๋อเยว่กลับทุ่มเทสุดกำลังเพื่อช่วยชีวิตเขา ยิ่งไปกว่านั้นแววตาที่นางใช้มองเขา ก็หาได้แตกต่างไปจากการมองคนอื่นไม่ ไม่มีแม้เพียงเศษเสี้ยวของความดูแคลน เขาจึงรู้สึกว่าสตรีในโลกนี้ ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเช่นมารดาหรือสตรีที่เขาเคยหมายปองในอดีต เขากระแอมเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณชายสาม หลังจากเรื่องนี้จบแล้ว ท่านพอจะพาข้าไปเมืองหลวงได้หรือไม่?” เยียนเซียวหรานรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “เจ้าคิดจะไปเมืองหลวง?” ชื่อปาเลี่ยตอบไป “ใช่ขอรับ ข้าไม่อยากอยู่ที่ชายแดนอีกต่อไปแล้ว ที่นี่ทุกคนล้วนรู้เรื่องของข้า หากข้าไม่เลือกเป็นอันธพาลก็ต้องเป็นเพียงคนไร้ค่า” “แต่ข้าไม่อยากเป็นอันธพาลและไม่อยากเป็นคนไร้ค่า ข้าเพียงแค่อยากเป็นคนธรรมดา” “ข้าต้องการพึ่งพาความสามารถของตนเอง มีชีวิตที่ดี และแต่งงานกับสตรีดี ๆ สักคน เพื่อใช้ชีวิตอย่างปกติสุข” เยียนเซียวหรานเอ่ย
คำพูดประโยคนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอย่างไรเพียงแต่เขายังจับใจความสำคัญได้อย่างหนึ่ง “วันแต่งงานวันนั้นท่านก็อยากจะลูบคลำข้าแล้ว?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวแก้ไข “ไม่ใช่ว่าอยากลูบคลำเจ้า เพียงแค่คิดว่าขาของเจ้าทั้งยาวทั้งตรง น่าดูจริง ๆ จึงอยากจะลูบสักครั้ง”เยียนเซียวหราน “...เขาคิดว่านางเป็นคนที่มีความสามารถ ไม่คิดเลยว่าจะมีความคิดแบบนี้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วซือเจ๋อเยว่กล่าวอีกครั้ง “ตอนหลังจำเจ้าได้ กลัวว่าเจ้าจะเอามีดฟันข้า ต่อให้ในใจมีความคิดมากกว่านี้ ก็ทำได้เพียงข่มเอาไว้เท่านั้น”เยียนเซียวหรานกล่าวอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ท่านทำเรื่องแบบนั้นออกมาแล้ว ไม่คิดเลยว่ายังจะกลัวข้าลงมืออีก”“ต่อให้ข้าลงมือ ก็ทำอะไรท่านไม่ได้หรอกกระมัง? เรื่องแบบนั้นอย่างไรเสียก็น่าอาย ข้าไม่สามารถบอกใครได้ ก็เหลือแค่อดทนไว้เท่านั้น”ซือเจ๋อเยว่เม้มริมฝีปากยิ้มบาง ๆ ทีหนึ่ง “พูดถูกต้อง แต่หลังจากเกิดเรื่องครั้งนั้นขึ้นเจ้าก็ดุจริง ๆ นี่นา!”เยียนเซียวหรานค้อนนางทีหนึ่ง “หากมีคนฉวยโอกาสตอนท่านไม่ระวังตัว ทำเรื่องแบบนั้นกับท่าน ท่านจะไม่โมโหหรือ?”ซือเจ๋อเยว่หดคอ “โมโหนั่นเป็นเรื่องแน่อยู่แล้ว ข้า...
“สิ่งชั่วร้ายนั่นไม่มายังพอไหว ทันทีที่มาก็จะเอาชีวิตของพวกมันเสีย”นางมีความมั่นใจต่อค่ายกลที่ตนเองวาดมาก โดยเฉพาะในเวลานี้ พวกเขายิ่งต้องเก็บสะสมพลังงานเอาไว้เยียนเซียวหรานพยักหน้าเบา ๆ ทีหนึ่ง นอนลงไปแล้วกอดนางเอาไว้ในอ้อมกอดหลวม ๆนางเงยหน้าขึ้นหันหน้ามองเขา เขากล่าวเสียงอ่อนโยน “ท่านนอนให้สบายเถอะ รักษาสุขภาพให้ดีขึ้น เรื่องพวกนี้ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ต่างก็ต้องพึ่งพาท่าน”นับตั้งแต่เขาสารภาพรักกับนางครั้งก่อน ตอนที่ซือเจ๋อเยว่อยู่ตามลำพังกับเขาก็มักจะมีความไม่สบายใจเกิดขึ้นบัดนี้นางคิดว่าเขาได้ช่วยชีวิตนางมาหลายครั้งแล้ว ทั้งสองคนเคยมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยามาก่อนเช่นกัน หากนางเขินอายจนเกินไปก็จะยากที่จะพูดนางคิดว่าไม่สู้ถือโอกาสในคืนนี้คุยเรื่องนี้ให้ชัดเจนไปเลยนางจึงกล่าว “คือว่า...ชีวิตของข้าในตอนนี้ผูกไว้กับเจ้า หากพูดว่าชอบเจ้าในเวลานี้ เหมือนว่ากำลังพยายามประจบเอาใจเจ้า”“ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยชอบใครมาก่อน ไม่รู้ว่าการชอบเป็นความรู้สึกแบบใด”“แต่ว่ามีข้อหนึ่งที่ข้าสามารถแน่ใจได้ ข้าไม่ได้รังเกียจที่ใกล้ชิดกับเจ้า บางทีนี่อาจจะเป็นความชอบก็ได้”“สุขภาพของข้าเป็